สืบเนื่องจากการแถลงข่าวปิดตัวลงไปของค่ายหนังอารมณ์ดี
GTH ที่ทำเอาแฟนคลับใจหายไปตามๆ กัน ไม่เคยรู้ระแคะระคายมาก่อน
หรือไม่ได้คาดคิดมาก่อน จนกลายเป็นกระแส talk of the town ให้พูดถึงในโลกโซเชียลกันมากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
จะว่าไปก็มีหลายเสียงบ่นว่าเสียดาย ไม่น่าปิดตัวลงไปเลย สู้อุตส่าห์ให้การสนับสนุน
และเป็นบริษัทหนังหัวหอกของคนไทย ที่ทำหนังถูกใจตลาดมากที่สุด และโดยส่วนใหญ่ก็เป็นหนังที่ได้รับการตอบรับจากแฟนหนังชาวไทยมากที่สุดบริษัทหนึ่ง
จนก้าวขึ้นมาเป็นค่ายหนังที่อยู่ในใจคนไทยอันดับ 1 ,
บางเสียงบ่นก็พูดถึงความประทับใจที่มีต่อจีทีเอช ในรอบ 11 ปี
(ผู้เขียน แม้นอ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับของจีทีเอช
แต่ก็ไม่ได้ดูหนังทุกเรื่องของจีทีเอช ซึ่งมีถึง 43 เรื่อง
คงได้ดูเพียงประมาณครึ่งนึงของจำนวนนั้น) บางเสียงบ่นก็บอกว่าก็ดีนะ
ในเมื่อแนวความคิดไม่ตรงกัน ก็ควรจะแยกย้ายกันไปทำในส่วนที่ตนเองถนัดจะดีกว่า
เพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ ดีกว่าจะทนทู่ซี้ ผลิตผลงานที่จมอยู่ในกรอบความคิดที่จำกัดอยู่เช่นนี้ต่อไป
(ซึ่งประเด็นนี้ เดี๋ยวจะมีการพูดขยายต่อไป)
กล่าวถึงประเด็นที่พี่เล็ก บุษบา
ดาวเรือง (ปธ.เจ้าหน้าที่บริหารฝั่งจีเอ็มเอ็มแกรมมี่) ได้แถลงในวันแถลงข่าว
บอกว่าสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจยุติการร่วมมงานกันในนามบริษัทจีทีเอช
เพราะว่าหุ้นส่วนหลัก 2 ฝ่ายคิดเห็นไม่ตรงกัน
คือฝ่ายคุณวิสูตร (ไทเอ็นเตอร์เทน)
มองเห็นว่าควรนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนในการขยายงาน
และสร้างฐานเงินทุนให้แข็งแกร่งในการผลิตผลงานที่สเกลใหญ่ขึ้นได้ ในขณะที่ฝ่ายของพี่เก้งจิระ,คุณจีน่า
(หับโห้หิ้น) เห็นว่าไม่ควรเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในช่วง 1 -3
ปีนี้ เนื่องจากยังไม่พร้อม
และอาจเป็นการสร้างแรงกดดันให้ไม่สามารถทำงานในกรอบที่ตนเองถนัดฟังดูมีเหตุผลที่ดีทั้งสองฝ่าย
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นตลอดมา ทำให้ฝั่งของจีเอ็มเอ็มที่อยู่ตรงกลาง
ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร จะถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็กลัวจะเสียมิตร
จึงเลือกหนทางที่จะยุติบทบาทการทำหนังในนามจีทีเอชลง และเปิดโอกาสให้ 2 บริษัท (ไทเอ็นเตอร์เทน,หับโห้หิ้น) ได้ไปตั้งหลักใหม่
ด้วยการอาจจะไปเปิดบริษัทหนังขึ้นมาใหม่ และเลือกเดินในเส้นทางถนัดของตน และจีเอ็มเอ็ม
ดูเหมือนจะสนับสนุนและพร้อมจะร่วมเป็นพันธมิตรกับทั้ง 2 ฝั่ง
ผู้เขียนมองอย่างนี้นะครับ (ขออนุญาตวิเคราะห์และให้ทัศนะส่วนตัวซึ่งเป็นความคิดส่วนตัว
ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้) ประเด็นเห็นต่างเรื่องการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่ฝั่งคุณวิสูตรต้องการผลักดัน
แต่ฝั่งหับโห้หิ้นเห็นแย้งนั้น
ผู้เขียนมองว่าประเด็นนี้นำเอามาเป็นเหตุผลในการแถลงข่าวออกสื่อ ให้ฟังดูดี
มีหลักการ น่าเชื่อถือ แต่เบื้องลึกแล้ว ประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ อาจเป็น 1
ในสาเหตุหลัก แต่ไม่ใช่สาเหตุใหญ่
เพราะถ้ามองเพียงว่าการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์คือชนวนที่สำคัญนั้น
ก็ต้องบอกว่าหลายบริษัทที่เคยคิดจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีกระบวนการ ขั้นตอน
ตรวจสอบที่ยาวนาน กว่าจะไฟนอล จนถึงไอพีโอ มันใช้กระบวนการที่นานพอที่บริษัทจะมีเวลาปรับตัวหรือตั้งหลักได้ก่อน
บางครั้งต้องเลื่อนการเข้าตลาดไปเป็นปีๆ หรือถึง 2-3 ปีด้วยซ้ำ
ด้วยอุปสรรคหรือข้อจำกัดบางอย่าง ข้อดีก็คือเป็นแหล่งระดมทุนที่ประหยัดต้นทุน
ไม่เสียดอกเบี้ย ใช้เป็นฐานเงินทุนสำหรับการผลิต โปรดักชั่นต่างๆ
มีเงินทุนหมุนเวียน ขยายงานมากมาย ซึ่งก็สอดคล้องกับศักยภาพของจีทีเอชอยู่แล้ว
ส่วนข้อเสียก็คือ จะต้องเปิดเผยแผนงานทางธุรกิจ งบการเงิน ฐานะการเงิน เปิดเผยสู่สาธารณชน
ซึ่งตรงส่วนนี้หรือเปล่าที่เป็นข้อกังวลต่อฝั่งหับโห้หิ้น
ที่มองว่าอาจมีผลมากดดันการทำงานหรือกรอบการทำงานที่เคยสามารถทำได้อย่างเป็นเอกเทศ
มีอิสระเสรื ไม่มีใครจะมาประเมินผลได้ ซึ่งมองว่าที่ผ่านมา
จีทีเอชมีทีมงานหรือบุคลากรที่ทำงานเป็นระบบมืออาชีพอยู่แล้ว
วัดได้จากผลงานที่ออกมา จึงไม่น่ามีปัญหาในส่วนนี้
จึงมองเป็นอื่นไปไม่ได้
ที่จะมองกลับไปยังประเด็นสาเหตุใหญ่
ที่ไม่ใช่สาเหตุเรื่องการขัดแย้งเกี่ยวกับการจดทะเบียนเข้าตลาดฯ
นั่นก็คือเรื่องของแนวความคิดในการทำหนังที่แตกต่างกันของ 2
ฝ่าย ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานแล้วนั่นเอง
ก็คือฝั่งของคุณวิสูตร ถนัดทำหนังที่ตอบโจทย์ตลาด สูตรสำเร็จ ทำหนังที่ตอบโจทย์คนดูโดยส่วนใหญ่หรือแมส
เพื่อเน้นสร้างรายได้เป็นหลัก แต่ในฝั่งของหับโห้หิ้น
ถนัดทำหนังที่ตอบโจทย์คนทำหนังหรือผู้กำกับมากกว่า หรือมีความเป็นศิลปะของหนัง
ไม่เป็นหนังสูตร ตลาดจ๋า ซึ่งจะว่าไปก็เป็นสองขั้วทางความคิดที่ใหญ่มาก
ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ที่ผ่านมาพวกเขาสามารถผสานให้มันลงตัวได้ ด้วยสูตรการทำหนังแบบที่เรียกว่า “ฟีลกู๊ด”
ก็คือเอาข้อดีของ 2 ฝั่งมาคนคละกัน จับมาเขย่าอยู่ตรงกลาง
จึงออกมาเป็นแบบฟีลกู๊ดที่เห็นๆ กัน จนถูกขนานนามว่าค่ายหนังอารมณ์ดี แต่พอบริษัทมันเริ่มเติบใหญ่ขึ้น มุมมองในการทำหนังจำเป็นที่จะต้องโตตามอายุของบริษัท
โตไปตามประสบการณ์ของคนดู จะมานั่งทำหนังในแง่คิดบวก มองโลกสวยงาม หรือแบบเดิมๆ
คนดูก็จะรู้สึกเบื่อหรือไม่เป็นที่ชื่นชอบ จึงเกิดแนวความคิดที่จะฉีกกรอบหรือขยายฐานคนดูให้มีแนวทางหนังที่แปลกใหม่หรือสร้างทางเลือกเพิ่มมากขึ้น
นอกเหนือจากหนังแนวโรแมนติก คอมเมดี้ ,หนังรัก ,หนังผี ,หนังวัยรุ่น ,หนังตลก
ที่ตนเองถนัด แต่พอต้องฉีกกรอบหรือแตกไลน์แนวหนังออกไป
ก็เผชิญความเห็นต่างของผู้บริหารสองฝั่งที่เห็นขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
ก็คือฝั่งหนึ่งต้องการทำหนังตลาด หนังสูตรเดิมๆ ที่เคยประสบความสำเร็จ และได้ตังค์
อีกฝั่งก็ต้องการฉีกออกจากกรอบเดิมๆ
สร้างหนังแนวทางเลือกใหม่ๆ
แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่จะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้มากนัก บางครั้งมีการรอมชอมกันให้มาอยู่ตรงกลาง
เพื่อให้หนังสำเร็จออกฉายได้ตามกำหนด แต่เผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันไม่สุดไปซักทาง
อาทิ เช่น ภ.เรื่องฝากไว้ในกายเธอ เป็นตัวอย่างของหนังจีทีเอช ที่มีส่วนผสมของ 2
แนวความคิดอย่างละครี่ง มันไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง
จะเป็นหนังสูตรตลาดจ๋าก็ไม่ใช่ จะแอบมีติสท์ ฉีกกรอบบริบท
ในตอนท้ายของหนังที่จบแบบคนดูรู้สึกค้างคาใจ
ทำให้ตัวหนังมันทำรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ และก็เกิดปัญหาอีหร็อบเดียวกัน
กับเรื่อง ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ และ เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ หนังทั้ง 3 เรื่องหลังสุดนี้ของจีทีเอช
คือตัวอย่างของการที่ผู้บริหาร 2 ฝั่งมีความเห็นขัดแย้งกันในแนวความคิดหลัก
ที่ทำให้ตัวหนังออกมาในลักษณะคาบลูกคาบดอก ไม่สุดไปในทางใดทางหนึ่ง
และมันสะท้อนออกมาให้เห็นในแง่ของรายได้ของหนังที่ผิดฝาผิดตัว
เพราะถ้าหนังเดินไปในแนวของตนทางใดทางหนึ่ง ผลของรายได้จะเป็นดังนี้
ฝากไว้ในกายเธอ จะทำเงินเฉียดร้อยล้าน , ฟรีแลนซ์น่าจะทำรายได้เพียงหลัก 30-50
ล้าน และเมย์ไหน ควรจะจบที่เกินร้อยล้านขึ้น แต่ด้วยการผสมสูตรครึ่งๆ
กลางๆ เพื่อรอมชอมกัน ไม่ใช่มีผลต่อรายได้เท่านั้น ในแง่ความพึงพอใจหรือความประทับใจของคนดู
ก็เกิดความคาดหวังหรือสนองตอบที่ผิดคาด ไม่เหมือนครั้งที่จีทีเอชทำหนังในช่วงปีแรกๆ
อันนั้นค่อนข้างมีแนวทางที่ชัดเจนกว่านี้ ว่าหนังเรื่องนี้เลือกเดินไปในแนวทางใด
คนดูจะเป็นคนตัดสินเอง แต่ช่วงหลัง ดูเหมือนจีทีเอชค่อนข้างแคร์เรื่องผลตอบรับด้านรายได้เป็นหลัก
ทำให้การตั้งโจทย์และแนวความคิดมันออกมาในรูปแบบที่จะเอาทั้งสองทาง คือเป็นหนังตลาด(แมส)ด้วยแต่ก็ยังต้องการความติสท์ที่มีเอกลักษณ์แฝงอยู่ด้วย
ซึ่งบางครั้งตัวหนังมันไม่เอื้อที่จะให้คุณเดินไปทั้งสองด้านได้ จำต้องเลือกไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
การทำหนังแบบคาบลูกคาบดอกเช่นนี้เอง
ที่ทำให้จีทีเอชสูญเสียแฟนคลับบางส่วนที่เคยเหนียวแน่นไป จากความผิดหวัง
ความคาดหวังที่หนังที่เขาเลือกเข้าไปดู ทำไมมันเหยียบเรือสองแคม
เดินตามสูตรแต่จบแบบติสท์ หรือเดินตามหนังติสท์
แต่เลือกจบตามหนังสูตร ทำให้คุณค่าความเป็นหนัง ความประทับใจมันเลือนหายไป
จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับหนังจีทีเอชในช่วงหลังๆ
ดังนั้น
ทางออกในการยุติการทำหนังในชื่อจีทีเอช และเลือกที่จะไปสร้างสตูดิโอผลิตหนังของแต่ละฝั่ง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อทั้งผู้ผลิตและคนดูในระยะยาว (วินวินด้วยกันทั้งคู่)
เพราะจะสามารถทลายกรอบ
หรือข้อผูกมัดอะไรบางอย่างที่จะต้องมานั่งฝืนทนทำกันในลักษณะนี้
และทำให้ผลของงานออกมาไม่ดี สู้ออกไปหาแนวทางและทำผลงานตามแบบที่ตนถนัด
และตอบโจทย์คนดูได้มากกว่า และยังเป็นการขยายฐานตลาดของทั้งสองบริษัทให้กว้างมากขึ้น
ไม่ต้องมาจำกัดตนเองอยู่ในกรอบของคำว่า ฟีลกู๊ดอีกต่อไป ไม่ได้บอกว่า ฟีลกู๊ด
ไม่ดีนะครับ แต่ควรมี ฟีลแบ๊ดบ้างก็ได้ หรือมีหลากหลายแนวทาง
เพราะมันหมดยุคโลกสวยไปตั้งนานแล้ว อะไรต่างๆ ก็ควรปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย จะว่าไปที่จีทีเอชประสบความสำเร็จได้ก็เพราะรวมเอาข้อดีของทั้งสามฝ่ายมาเข้าด้วยกัน คุณวิสูตรเก่งเรื่องแนวทางการตลาด, ฝ่ายหับโห้หิ้นเก่งเรื่องไอเดียและพล็อต และแกรมมี่เก่งเรื่องการประชาสัมพันธ์และช่องทางการสื่อสาร เมื่อมันต้องแยกย้ายกันไปเป็นแนวทางเอกเทศของ 2 บริษัท จะลดทอนศักยภาพในส่วนนี้ลงหรือไม่ จากพลังบวกของ 3 บริษัท จากนี้ไปคงต้องเป็นบทพิสูจน์ที่ต้องเผชิญความท้าทาย และเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะติดตาม สำหรับคอหนังไทยต่อไป
ตลอดระยะเวลา 11
ปีของการมีค่ายหนัง จีทีเอช ค่ายหนังอารมณ์ดีนี้ ผู้เขียนก็อยากจะรวบรวมความประทับใจส่วนตัว
ที่จะเก็บเอาไว้ในความทรงจำส่วนตัว ว่าเราประทับใจอะไรบ้าง
เกี่ยวกับหนังของค่ายนี้ โดยขอจัดเป็น 5 ที่สุดแห่งความประทับใจ
เกี่ยวกับจีทีเอช ดังนี้
1. ภาพยนตร์แห่งความทรงจำ
ก็ขอไล่เรียงแบบไม่จัดอันดับ ดังนี้
แฟนฉัน ,ชัตเตอร์ ,มหาวิทยาลัยเหมืองแร่ ,เพื่อนสนิท
,เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ,สายลับจับบ้านเล็ก ,รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ,กวนมึนโฮ ,แฝด
,บอดี้ศพ 19 , 4 แพร่ง ,5 แพร่ง ,เด็กหอ ,วัยรุ่นพันล้าน ,เก๋าเก๋า, ลัดดาแลนด์ ,ความจำสั้น
แต่รักฉันยาว ,กอด,เคาน์ดาวน์,พี่มากพระโขนง ,ไอฟายแท๊งค์กิ้วเลิฟยู ,คิดถึงวิทยา
,ฝากไว้ในกายเธอ ,ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ,suck seed ห่วยขั้นเทพ
,เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ ,รัก 7 ปีดี 7 หน,สายล่อฟ้า
ขอรวมเอา 15 ค่ำเดือน 11 เข้าไปด้วย
เป็นต้น
2. ซีรี่ย์หรือรายการโทรทัศน์แห่งความทรงจำ
ที่ประทับใจ ได้แก่ ซีรี่ย์ชุด
เนื้อคู่ประตูถัดไป เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร ,ซีรี่ย์ชุด Hormones
, ซีรี่ย์ชุดมาลีเพื่อนรักพลังพิสดาร , หมวดโอภาสเดอะซีรี่ย์ รายการ
Gang Ment เป็นต้น
3. เพลงประกอบภาพยนตร์หรือละคร
แห่งความทรงจำ อาทิ ความทรงจำสีจาง, คนของเธอ ,ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ
,ยินดีที่ไม่รู้จัก ,โปรดส่งใครมารักฉันที ,ไม่บอกเธอ ,แตกต่างเหมือนกัน
,รถของเล่น , ทำไมต้องรัก ,ทุ้มอยู่ในใจ ,อย่างน้อย ฯลฯ
4. นักแสดงของค่ายจีทีเอชที่สร้างความประทับใจ อาทิ แก๊งค์นักแสดงจากเรื่องแฟนฉัน ,ซันนี่
,เต๋อ ,พีค ,หนูนา, ไอซ์, เต้ย ,แพ็ตตี้ แก๊งค์นักแสดงจากเรื่องพี่มาก
, แก๊งค์นักแสดงจากซีรี่ย์ฮอร์โมนส์ , แก๊งค์นักแสดงจากซีรี่ย์ เนื้อคู่ประตูถัดไป
เป็นต้น
5. วลีเด็ดๆ
ที่เป็นประโยคจำจากภาพยนตร์หรือซีรี่ย์
- ดากานดา ฉันรักแกหว่ะ แกมาทำอะไรเอาตอนนี้ –เพื่อนสนิท
- ถึงแม่หนูจะดำ
แต่หนูก็รักของหนูนะ อ้วนดำ ๆ ๆ -แฟนฉัน
- โห....หล่อทะลุแป้งเลยหว่ะ –รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
- อาหารร้านลุงเนี่ย รสชาติเหี้ยมาก –กวนมึนโฮ
- อีหนวด หูกาง นมแบน ตัวหนา ขาสั้น ตูดใหญ่ ศอกดำ
เข่าด้าน หน้าบานอย่างกะลิง ... โกรธป๊ะ
?
... สมองหมา ปัญญาควาย พ่อมึงตาย แม่ยายมึงสิ้น ... เออ
สนุกดีว่ะ –กวน มึนโฮ
-
อี อ้าก เอ๋น อี๋ - พี่มากพระโขนง
- นึกว่ารักดนตรี
ที่แท้ก็ตามผู้หญิงมา - Season Change
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น