รอยเตอร์
– วงดนตรีร็อคจากแคลิฟอเนียร์ที่ทำการแสดงในกรุงปารีสเมื่อคืนวันที่
13 พฤศจิกายนรอดชีวิตจากเหตุสังหารหมู่กลางคอนเสิร์ตของพวกเขามาได้
แต่มีคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตขณะพยายามหลบในห้องแต่งตัว
นักร้องนำของวงนี้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ข่าวนานาชาติไวซ์ (Vice)
เจสซี ฮิวส์ จากวงอีเกิลส์ออฟเดธเมทัล (Eagles of Death
Metal ) พูดคุยกับไวซ์ในการสัมภาษณ์ที่จะออกอากาบนเว็บไซต์ของช่องในสัปดาห์หน้า
คลิปตัวอย่างความยาว 30 วินาทีได้ถูกโพสต์เมื่อวานนี้ (21)
นี่เป็นครั้งแรกที่สมาชิกของวงนี้ยอมเปิดปากพูดเกี่ยวกับเหตุยิงดังกล่าว
ไวซ์ระบุ เหตุระเบิดและกราดยิงโดยฝีมือของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)
ในกรุงปารีสได้คร่าชีวิตคนไป 130 ราย รวมถึง 89 คนที่เข้าร่วมชมการแสดงของวงดนตรีอเมริกันวงนี้ที่ห้องโถงคอนเสิร์ตบาตาคล็อง “มีคน 7 คนซ่อนอยู่ในห้องแต่งตัวของพวกเรา
และคนร้ายก็เข้ามาและฆ่าพวกเขาทุกคน
เหลือเพียงเด็กคนเดียวที่ซ่อนอยู่ใต้แจ็คเก็ตหนังของผม” ฮิวส์
กล่าวในการให้สัมภาษณ์ ขณะที่ จอช ฮอมมี ผู้ร่วมก่อตั้งวงนั่งอยู่ข้างๆ เขา “หลายคนแกล้งตายและพวกเขากลัวมาก” ฮิวส์
กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เหตุผลหลักที่มีคนเสียชีวิตจำนวนมากนั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ทิ้งเพื่อน
หลายคนเอาตัวเองไปบังอยู่หน้าคนอื่น” ในถ้อยแถลงบนหน้าเฟสบุ๊คเมื่อต้นสัปดาห์
วงนี้ระบุว่า ผู้ที่ถูกสังหารในคืนนั้นรวมถึง นิค อเล็กซานเดอร์
ผู้จัดการฝ่ายขายของวง และเพื่อนในค่ายแพลง 3 คนคือ โทมัส
อายัด , มาเรีย มอสเซอร์ และมานู เปเรซ วงดนตรีวงนี้ซึ่งมีชื่อย่อว่า (EDOM)
อยู่บนเวทีในตอนที่มือปืนเปิดฉากยิงด้วยปืนกลอัตโนมัติ คลิปวิดีโอสั้นๆ
ที่ถูกถ่ายภายในห้องโถงดังกล่าวในตอนที่การโจมตีเริ่มขึ้นนั้นได้ถูกโพสต์บนอินสตราแกรม
และมีการนำไปออกอากาศทางโทรทัศน์หลังจากนั้น ในคลิปนี้เผยให้เห็นนักดนตรีของวง EODM
3 คนอยู่บนเวทีในช่วงกลางของการแสดงดังกล่าวในขณะที่การยิงปะทุขึ้น
กระตุ้นให้มือกลองรีบหมอบลงต่ำเพื่อหลบและมือกีตาร์คนหนึ่งวิ่งหนีจากเวทีส่วนอีกคนหนึ่งยืนแข็งไม่ขยับเขยื้อน
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – SOHR กลุ่ม NGO ด้านสิทธิมนุษยชนที่มีฐานในอังกฤษรายงานสถานการณ์ในซีเรียเมื่อวานนี้ (20) ว่า ในปฎิบัติการโจมตีกลุ่มติดอาวุธ IS ของรัสเซียทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,300 คน ซึ่งมีเด็กชาวซีเรียรวมอยู่ในนี้ถึง 97 คน ในขณะที่มีรายงานออกมาจากสื่อรัฐบาลเลบานอนว่า เครมลินบีบบังคับให้เบรุตสั่งปิดน่านฟ้าชั่วคราว เพื่ออนุญาตให้ “กองกำลังรบรัสเซียทำการฝึกซ้อมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน” เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้(20)ว่า กลุ่มสังเกตการณ์ซีเรียด้านมนุษยชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร SOHR รายงานในวันศุกร์(20)ว่า ตั้งแต่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการโจมตีกลุ่มก่อการร้าย IS ในเดือนกันยายนล่าสุด พบว่ามีผู้เสียชีวิตไปไม่ต่ำกว่า 1,300 คนแล้ว และพบว่า 2 ใน 3 ของตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดราว 1,331 เป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ SOHR แถลง และทางกลุ่ม SOHR แถลงลงในรายละเอียดเพิ่มเติมว่า พบว่าสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ IS จำนวน 381 คนถูกสังหาร ในขณะที่ยอดจำนวนสมาชิกกลุ่มติดอาวุธเครือข่ายอัลกออิดะห์ อัลนุสรา ฟรอนต์ และรวมไปถึงสมาชิกกลุ่มติดอาวุธกบฏซีเรียกลุ่มอื่นๆเสียชีวิตรวมกันราว 547 คน นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจเมื่อพบว่า มีพลเรือนซีเรียราว 403 คนเสียชีวิต ซึ่งตัวเลขนี้รวมไปถึงเด็กชาวซีเรียอีก 97 คน อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีให้ข้อสังเกตว่า ดูเหมือนตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ทาง SOHRประกาศล่าสุดจะสูงกว่า 2 เท่าของตัวเลขก่อนหน้านั้นที่ทางกลุ่มได้ประกาศออกมาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หรือในวันที่ 29 ตุลาคม แถลงว่า มียอดผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซียเกือบ 600 คน นอกจากเอเอฟพียังรายงานว่า กลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรด้านการแพทย์จำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติงานในซีเรีย ยังได้ออกมากล่าวหารัสเซียว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย ทำให้คลินิกสนามรักษาคนไข้ของหน่วยงาน และโรงพยาบาลในซีเรียได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้กลุ่ม SOHR ยังรายงานตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกิดจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯว่า มีตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 3,649 คน ซึ่ง 6% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นพลเรือน นับตั้งแต่สหรัฐฯเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลุ่มสังเกตการณ์ซีเรียแถลงว่า ยอดตัวเลขผู้ก่อการร้าย IS เสียชีวิตในซีเรียจากปฏิบัติการทางอากาศของสหรัฐฯมีราว 3,276 คน และมีจำนวนสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายเครือข่ายอัลกออิดะห์ อัลนุสรา ฟรอนต์ และกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นราว 147 คน และมีพลเรือนซีเรียเสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯราว 226 คน และในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองกำลังรัสเซียในซีเรีย ยังมีข่าวว่า ทางเครมลินได้ร้องขอให้รัฐบาลเลบานอนทำการปิดน่านฟ้าชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้กองกำลังรัสเซีย “ทำการซ้อมรบ” โดย VOX สื่อสหรัฐฯรายงานถึงเรื่องนี้ในวันศุกร์(20)ว่า สื่อ NNAภายใต้การควบคุมรัฐบาลเลบานอน และหนังสือพิมพ์ เดอะเดลี สตาร์ ว่า ทางรัฐบาลรัสเซียได้ทำการร้องขอให้รัฐบาลเลบานอนสั่งปิดท่าอากาศยานนานาชาติของประเทศชั่วคราวเป็นเวลา 3 วัน โดยทำการสั่งห้ามไม่ให้เครื่องบินโดยสารทำการบินขึ้นและลงที่บริเวณท่าอากาศยานแห่งนี้ นับตั้งแต่วันเสาร์(22)ไปจนถึงวันจันทร์ (24) โดยในการเสนอข่าวจากสื่อเลบานอน ทางรัสเซียอ้างว่า จะมีการทำการฝึกซ้อมรบทางการทหารทางทะเลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอาจทำให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินต่างๆไม่ปลอดภัย ซึ่งจุดต่างๆในการซ้อมรบของกองทัพเรือรัสเซียนี้ NNA รายงานว่า “จะทำให้จราจรทางอากาศของเลบานอนต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง” โดยสื่อสหรัฐฯอ้างอิงจากการรายงานของ นูร์ ซามาฮา (Nour Samaha)นักข่าวชาวเลบานอน ซึ่งได้รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมเลบานอนได้ปฎิเสธคำขอของรัสเซีย ด้านบริษัทสายการบินตะวันออกกลาง และสายการบินประจำชาติเลบานอนได้ออกมายืนยันว่า ทางบริษัททำการบินตามปกติ VOX รายงานเพิ่มเติมว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า รัสเซียจะมีปฏิกิริยาในเรื่องนี้อย่างใด หากรายงานข่าวที่ว่านี้เป็นความจริง นอกจากนี้สื่อสหรัฐฯยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในรายงานเดียวกันนี้ที่เปิดเผยออก พบว่าทางรัสเซียได้ยื่นคำขอไปทางเลบานอนล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อร้องทำการปิดน่านฟ้าชั่วคราวต่อสายการบินต่างๆในวันชาติเลบานอน ซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของประเทศในวันที่ 22 พฤศจิกายน หรือคือวันนี้ VOX ชี้ว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดถึงรายละเอียดการฝึกซ้อมรบที่รัสเซียอ้าง แต่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการโจมตีอากาศในซีเรีย และสื่อสหรัฐฯยังรายงานต่อว่า ในขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า รัสเซียจะยังคงทำการฝึกซ้อมรบตามกำหนดหรือไม่ หลังจากที่ได้รับการปฎิเสธอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเลบานอนแล้ว ด้าน วาลิด จอมแบลตต์ (Walid Joumblatt) บุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงการเมืองเลบานอนได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ผ่านทวีตเตอร์ในวันศุกร์(20)ว่า ดูเหมือนว่า การที่รัสเซียขอให้ทางเลบานอนทำการปิดน่านฟ้าของตัวเองในวันครบรอบประกาศเอกราชย์นั้น คล้ายกับว่าทางเครมลินคิดว่า “เลบานอนเป็นแค่เขตหนึ่งในกรุงมอสโก” ซึ่งถือเป็นการหยามเกียร์ติ และละเมิดอำนาจอธิปไตยของเราอย่างร้ายแรง”
เอเจนซีส์
- ผู้นำจีนและสหรัฐฯ
ต่างออกมาแถลงประณามเหตุบุกจับตัวประกันในโรงแรมหรูใจกลางกรุงบามาโกของมาลี
เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.)
ซึ่งล่าสุดมีการยืนยันยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 27 ราย
โดยมีชาวอเมริกันตกเป็นเหยื่อด้วย 1 ราย
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ
ซึ่งเดินทางไปร่วมการประชุมซัมมิตที่มาเลเซีย ระบุว่า
เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในมาลีเป็นสิ่งที่น่าตื่นตระหนก และชี้ว่า “พฤติกรรมป่าเถื่อน” ของนักรบญิฮาด “มีแต่จะทำให้สหรัฐฯ ยิ่งมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้”
อัล-มูราบิทูน ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธเครือข่ายอัลกออิดะห์ภายใต้การนำของ “ม็อคตาร์ เบลม็อคตาร์”
นักรบชาวแอลจีเรียผู้มีดวงตาข้างเดียว
ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบกรณีกลุ่มมือปืนอิสลามิสต์บุกจับตัวประกันกว่าร้อยคนในโรงแรม
เรดิสสัน บลู ในกรุงบามาโกไว้เป็นเวลานานถึง 9 ชั่วโมง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ทั่วโลกยิ่งตระหนักถึงภัยคุกคามจากเครือข่ายนักรบญิฮาด
หลังเหตุวินาศกรรมสังหารหมู่ 130 ศพในปารีสเพิ่งผ่านพ้นมาได้แค่
1 สัปดาห์ กองกำลังพิเศษมาลีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
และฝรั่งเศสได้บุกจู่โจมเข้าไปในอาคารทีละชั้น จนสามารถยุติเหตุการณ์ลงได้ในที่สุด
โอบามา
ได้ให้สัมภาษณ์นอกรอบระหว่างการประชุมซัมมิตเอเชีย-แปซิฟิกที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า
“กลุ่มก่อการร้ายได้ก่อเหตุจับตัวประกัน
และสังหารผู้คนอย่างไร้ความปรานี... ในนามของชาวอเมริกัน
ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังชาวมาลีและครอบครัวผู้เสียชีวิต
ซึ่งมีชาวอเมริกันด้วยอย่างน้อย 1 คน” “พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สมควรจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป” แหล่งข่าวด้านความมั่นคงในมาลียืนยันว่า
มีตัวประกันถูกสังหารไปอย่างน้อย 27 คน
ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่ามีชาวอเมริกันเสียชีวิตแน่นอนแล้ว 1 ราย และอีกหลายสิบคนรอดชีวิตมาได้
ด้านประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง ของจีน
ก็ได้ออกมาแถลงประณามเหตุโจมตีโรงแรมในกรุงบามาโก ซึ่งมีชาวจีนเสียชีวิตอย่างน้อย 3
ราย เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศจีนเผยแพร่คำแถลงของ
สี่ ซึ่งยืนยันว่า จีนจะยกระดับความร่วมมือกับนานาชาติเพื่อต่อต้านลัทธิก่อการร้าย
รอยเตอร์ -
หลังเกิดระเบิดฆ่าตัวตายที่คาเฟ่ ก็องตัวร์ วอลแตร์ ในกรุงปารีส
ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายจุดที่ถูกอิสลามิสต์โจมตีเมื่อคืนวันที่ 13
พ.ย.
บุรุษพยาบาลเมืองน้ำหอมคนหนึ่งได้เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เขาพยายามจะช่วยชีวิตไว้นั้นเป็น “มือระเบิด”
บุรุษพยาบาลซึ่งบอกชื่อตนเองสั้นๆว่า “เดวิด”
เล่าว่า เขาเห็นชายผู้บาดเจ็บนอนอยู่ท่ามกลางโต๊ะและเก้าอี้ที่กระจัดกระจายเกลื่อนบาร์
จึงช่วยพามานอนราบกับพื้น ชายคนดังกล่าวหมดสติไปแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บมากนัก เดวิด
จึงตัดสินใจว่าจะทำซีพีอาร์ปั๊มหัวใจตามขั้นตอนที่ได้ร่ำเรียนมา
แต่เมื่อถอดเสื้อทีเชิ้ตออกจากร่างผู้บาดเจ็บ บุรุษพยาบาลคนนี้ก็ทราบทันทีว่า
สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นแค่ “แก๊สระเบิด” ในคาเฟ่ใกล้ๆ
กับโรงละครบาตากล็องที่มีมือปืนบุกเข้าไปกราดยิงผู้ชมคอนเสิร์ตเสียชีวิต 89
ราย อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิดไว้ “ผมเห็นสายไฟ 4 เส้น สีขาว ดำ แดง และส้ม...
ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าเขาเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย” เดวิด ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์
ชายที่ เดวิด พยายามช่วยชีวิตก็คือ “บราฮิม
อับเดสลาม” หนึ่งในคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุโจมตีคาเฟ่
ภัตตาคาร โรงคอนเสิร์ต และสนามกีฬาในกรุงปารีส จนมีผู้เสียชีวิตถึง 130 คน บราฮิม เป็นพี่ชายแท้ๆ ของ “ซาลาห์ อับเดสลาม”
ที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี
และเป็นคนเดียวที่เสียชีวิตบริเวณคาเฟ่แห่งนี้ จากคลิปวีดีโอที่คนด้านนอกคาเฟ่บันทึกไว้ได้
มีชาย 2 คนที่เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
หนึ่งในนั้นคือ เดวิด ส่วนอีกคนยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ใกล้ๆ
กันนั้นยังมีผู้บาดเจ็บอีกรายนอนจมกองเลือดอยู่ “สายไฟเส้นแรกที่ผมเห็นเป็นสีแดง
เข้าใจว่าน่าจะเป็นชนวนระเบิด... ตรงปลายมีอะไรบางอย่างติดอยู่ด้วย” เดวิด กล่าว พอรู้ว่าคนที่กำลังจะช่วยเป็นมือระเบิด
พนักงานดับเพลิงก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพอดี หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่
เดวิด รู้จัก เขาจึงเล่าให้ฟังว่าพบเห็นอะไรมา “เขาจ้องหน้าผม
และสั่งให้ทุกคนอพยพออกจากที่เกิดเหตุเดี๋ยวนั้นเลย” เดวิด
วัย 46 ปี ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงปารีส
เขาคุ้นเคยกับคาเฟ่ ก็องตัวร์ วอลแตร์ เป็นอย่างดี เพราะมีบ้านอยู่แถวนั้น วันเกิดเหตุ
เขานั่งรับประทานอาหารค่ำอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง พอบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
ก็เกิดการระเบิดขึ้น “ตอนนั้นมีลูกไฟระเบิดตูมขึ้น
ฝุ่นคลุ้งไปหมด... ผมเดาทันทีว่าคงเป็นฮีตเตอร์ระเบิด
ก็เลยตะโกนให้คนในร้านรีบปิดแก๊ส... ทุกคนตื่นตระหนกและวิ่งออกจากร้าน
ผมเองก็ออกไปยืนอยู่ที่เทอร์เรซ” เดวิด
ตรงเข้าไปช่วยเหลือหญิงคนหนึ่งก่อน จากนั้นก็ช่วยเด็กหนุ่มที่เลือดออกเต็มตัวแต่ยังพอมีสติสัมปชัญญะ
เมื่อเริ่มมีคนอื่นเข้ามาช่วยอีก เขาจึงตรงไปที่ อับเดสลาม “ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขาเป็นมือระเบิด
นึกว่าเป็นลูกค้าเหมือนคนอื่นๆ... ผมเข้าใจว่าแก๊สระเบิด
และเขาคงได้รับบาดเจ็บด้วย” เดวิด เล่าว่า เขาไม่เห็น อับเดสลาม เดินเข้าไปในร้าน
และเชื่อว่าคนร้ายคงจะกดชนวนระเบิดขณะนั่งอยู่ที่เทอร์เรซ “ที่ข้างลำตัวของเขามีแผลเปิดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร...
พอผมเปิดเสื้อเขาและเห็นสายไฟ ก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว” ตำรวจบอกกับ เดวิด ว่า ระเบิดของ
อับเดสลาม ยังทำงานไม่สมบูรณ์ “ผมมาคิดๆ ดู ตอนที่พาเขามานอนกับพื้นและจะทำซีพีอาร์ให้
มันเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้พละกำลังพอสมควร ซึ่งถ้าผมทำ
ผมอาจถูกระเบิดตายไปแล้วก็ได้”
เอพี / เอเจนซีส์ / MGR
online – อินโดนีเซียและมาเลเซีย
ประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่สุด 2 อันดับแรกของโลกลงนามในข้อตกลงความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ในวันเสาร์
( 21 พ.ย.)
เพื่อจัดตั้งองค์กรซึ่งเป็นที่รวมของบรรดาประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรชนิดนี้
เลียนแบบกลุ่มโอเปกของวงการน้ำมัน หวังสร้างอำนาจในการเป็นผู้กำหนดราคาขายปาล์มน้ำมันในตลาดโลก
ผ่านกลไกบริหารจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ริซาล รามลี
รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรของอินโดนีเซียเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวโดยระบุ
สภาผู้ผลิตปาล์มน้ำมันโลกซึ่งจะมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียนี้
จะมีโครงสร้างองค์กรที่คล้ายคลึง กับกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก
หรือกลุ่ม “โอเปก” และว่า
การถือกำเนิดขององค์กรที่เป็นศูนย์รวมของบรรดาประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันในครั้งนี้จะถือเป็น
“การพลิกเกม” สำหรับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องประสบปัญหาราคาตกต่ำ ตลอดจน
ถูกกล่าวหาจากบรรดานักสิ่งแวดล้อมทั่วโลกถึงวิถีการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันที่ไม่ยั่งยืน
และสร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมเป็นวงกว้าง
โดยเฉพาะการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกด้วยวิธีการเผาป่า จนก่อให้เกิด “วิกฤตหมอกควัน” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซ้ำซากทุกปี น้ำมันทั่วโลก ถูกมองว่า
เป็นความพยายามของทั้งสองประเทศในการแก้ปัญหาความไร้เสถียรภาพ
ของราคาปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรแดนอิเหนายังระบุเพิ่มเติมว่า
สภาผู้ผลิตปาล์มน้ำมันโลกยังจะมุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกให้กับบรรดาประเทศผู้ผลิตผ่านกลไกการทำ
“การเกษตรสีเขียว” ที่มีความยั่งยืน
และจะมุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของบรรดาเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 4 ล้านคนที่ปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย รวมถึงอีกราว 500,000 คนในมาเลเซีย ด้านอามาร์ อุงกาห์ เอ็มบาส รัฐมนตรีกระทรวงการเพาะปลูก
อุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ของมาเลเซีย ออกโรงยืนยันในวันเสาร์ (21) ว่า
สภาผู้ผลิตปาล์มน้ำมันโลกนี้จะมิใช่องค์กรที่มุ่งแต่กำหนดราคาโดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของฝ่ายผู้ผลิตแต่เพียงอย่างเดียว
แต่จะมุ่งเน้นการสร้างกลไกกำหนดราคาแบบยั่งยืน
ที่จะส่งผลให้ทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ประโยชน์ร่วมกัน
ผ่านการบริหารจัดการปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่มีความเป็นเอกภาพรัฐมนตรีกระทรวงการเพาะปลูก
อุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ของมาเลเซียยังเผยด้วยว่า นอกเหนือจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรความร่วมมือนี้แล้ว
จะมีการดึงประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วย เช่น ประเทศไทย บราซิล
โคลอมเบีย ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี ยูกันดา ไนจีเรีย ไลบีเรีย และกานา ในอีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า อินโดนีเซียและมาเลเซียตกลงจะสมทบเงินเข้าสู่องค์กรความร่วมมือใหม่ล่าสุดนี้ประเทศละ
5 ล้านดอลลาร์ในเบื้องต้นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานขององค์กร
ขณะที่รายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ
ในการสถาปนาองค์กรนี้อย่างเต็มรูปแบบยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
(เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากหน้าข่าว,แปลข่าวต่างประเทศ คอลัมน์ข่าวต่างประเทศ เว็บผุ้จัดการออนไลน์)
(เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากหน้าข่าว,แปลข่าวต่างประเทศ คอลัมน์ข่าวต่างประเทศ เว็บผุ้จัดการออนไลน์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น