วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

แม็ตช์คลาสสิก "เอล กลาซิโก้" บาร์ซ่า vs มาดริด


2 ทีมนี้เจอกันทีไรก็สนุกทุกทีครับ จะเรียกได้ว่าเป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ก็ว่าได้ เพราะมี 2 ซุปเปอร์สตาร์ตัวเก่งของทีมอันดับ 1 กับ 2 ของโลกอยู่ในฝั่งละทีม และมีหน.โค้ชหรือผู้ฝึกสอน(รวมผู้จัดการทีมเข้าไปด้วย) ที่เก่งอันดับ 1 ของโลกไว้ทั้ง 2 ทีมเช่นเดียวกัน เราจะเรียกแม็ทช์ที่ 2 สุดยอดทีมมาเจอกันว่า แม็ทช์คลาสสิก หรือที่คนสเปนเรียกว่า “เอล กลาซิโก” สถิติที่ 2 ทีมเคยโคจรมาเจอกันทั้งหมด มีดังนี้


-ศึก ''เอล กลาซิโก้'' ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 218 ทุกรายการที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า เอาชนะไป 85 ครั้งซัดไป 351 ประตู ขณะที่ เรอัล มาดริด เอาชนะไป 86 ครั้งซัดไป 364 ประตูและเสมอกัน 46 ครั้ง แต่หากนับเฉพาะลีกถือเป็นการเจอกันครั้งที่ 164 โดยก่อนหน้านี้ ''ราชันชุดขาว'' เอาชนะได้ 68 ครั้งยิงได้ 264 ลูก ''เจ้าบุญทุ่ม'' เอาชนะได้ 64 ครั้งยิงได้ 255 ลูกและเสมอกันไป 31 ครั้ง

-มีอยู่หนึ่งสถิติซึ่งน่าเหลือเชื่อมากตรงที่ 163 ครั้งในลา ลีกาที่ผ่านมาการเจอกันของทั้งคู่จบลงด้วยการเสมอ 0-0 เพียงแค่ 8 เกมเท่านั้นแค่สถิติตรงนี้ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าโอกาสที่ เอล กลาซิโก้ จะลงเอยแบบโนสกอร์เกิดขึ้นนั้นยากมาก

-การพบกันตลอด 10 ครั้งหลังสุด โชเซ่ มูรินโญ่ สามารถนำ เรอัล มาดริด เอาชนะ บาร์เซโลน่า ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงของการต่อเวลาพิเศษเกม โกปา เดล เรย์ นัดชิงชนะเลิศจากประตูชัยของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองส่วนที่เหลืออีก 9 ครั้งแบ่งเป็นแพ้ 5 และเสมอ 4 แต่หากนับในเวลา 90 นาทีปกติแล้วเท่ากับว่า มูรินโญ่ ยังไม่สามารถนำทีมเอาชนะ บาร์ซ่า ได้เลย

-ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเหนือมนุษย์ของ บาร์เซโลน่า มีสถิติการยิงประตูค่อนข้างถูกโฉลกเหลือเกินในการพบกับ เรอัล มาดริด หลังจากซัดไปแล้วทั้งสิ้น 13 เม็ดติดทำเนียบดาวยิงอันดับ 6 ที่ทำประตูได้มากที่สุดในเกม ''เอล กลาซิโก้'' ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาผู้เล่นชุดปัจจุบันของทั้งสองทีมโดย เมสซี่ ต้องการอีก 5 ประตูเพื่อขึ้นไปเทียบเท่าเบอร์หนึ่งอย่าง อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ตำนานดาวยิง ''ราชันชุดขาว'' ที่ทำเอาไว้ 18 ลูกซึ่งเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาบวกกับอายุความสามารถแล้วไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย

-การพบกัน 10 ครั้งหลังสุดมีใบแดงเกิดขึ้นถึง 9 ใบโดยเป็นทางฝั่ง เรอัล มาดริด ที่ได้ไป 7 ใบและ บาร์เซโลน่า 2 ใบ


(หมายเหตุ ข้อมูลนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ของสยามกีฬา ขอขอบคุณครับ)


นอกจากการที่ทั้ง 2 ยอดทีมจะต้องแข่งขันขับเคี่ยวแย่งชิงกันเป็นแชมป์ลาลีกาสเปน ในฤดูกาลนี้ให้ได้กันแล้ว ซึ่งคะแนนห่างกันไม่มาก นั่นคือ บาร์เซโลน่า ยังตามหลังทีมจ่าฝูง เรอัลมาดริดอยู่ถึง 4 คะแนน ถ้าบาร์ซ่าชนะนัดนี้จะทำให้ผลห่างของคะแนนตามหลังมาดริดเพียงแค่ 1 คะแนน และจะมีสิทธิ์ลุ้นเป็นแชมป์ได้ง่าย ๆ เพราะเหลืออีกเพียงไม่กี่นัดต่อจากนี้ ทำให้แม็ทช์นี้มีความสำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นทีมใหญ่ ศักดิ์ศรีของโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 ทีม และยังมีเรื่องของแฟนคลับอีก เรอัลมาดริดหมายมั่นปั้นมือมากในฤดูกาลนี้ ที่จะต้องเป็นแชมป์ให้ได้ เพื่อแก้มือจากปีก่อนที่ถูกบาร์เซโลน่าแย่งแชมป์ไป และยังสร้างความยิ่งใหญ่ในเวทียูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกอีก ตัวนักเตะทรงคุณค่าอย่างลีโอเนล เมสซี่ก็ยังได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม(บัลลงดอร์) จากฟีฟ่าไปหลายปีซ้อนแล้ว แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้แค่รองมาหลายปีติด ปีนี้จึงเหมือนการล้างตา หรือทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นที่หนึ่งกลับมาจากบาร์เซโลน่าให้จงได้


การเปรียบเทียบขุมกำลังของทั้ง 2 ทีม มีดังนี้

ทีมบาร์เซโลน่า มี เปป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้ฝึกสอน

นัดนี้จะยังไม่มี ดาวิด บีญ่า และอิบราฮิม อเฟลลาย ที่ยังไม่ฟิต และเอริก อบิดัล ที่จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับ ส่วนนักเตะกำลังหลักอื่นๆ ยังคงอยู่ครบ โดยในแนวรับยังมี เคราร์ด ปิเก ,คาร์เลส ปูโยล และอาร์เวียร์ มาสเคราโน คุมเกม ส่วนแดนกลาง ก็จะประกอบไปด้วย ซาบี เออร์นันเดซ , อันเดรส อิเนียสตา ขณะที่แนวรุกก็ยังคงเป็นคนเดิมคือ ลีโอเนล เมสซี่ นำทัพเช่นเดิม บาร์เซ จะเล่นในระบบ 3-4-3 มี บิคตอร์ บัลเดส เป็นนายทวารเฝ้าเสา แนวรับจะประกอบไปด้วย ฮาเวียร์ มาสเคราโน ,คาร์เลส ปูโยล และเคราร์ด ปิเก แดนกลาง มี ดาเนียล อัลเวส ,เซร์ดิโอ บุลเกตส์ ,ซาบี เออร์นันเดซ , และเชส ฟาเบรกัส สำหรับ 3 แนวรุก จะเป็น อเล็กซิส ซานเชช ,ลิโอเนล เมสซี่ และอันเดรส อิเนียสตา

ทีม เรอัลมาดริด มี โฮเซ มูริญโญ่ เป็นผู้ฝึกสอน ค่อนข้างฟูลทีม เพราะจะได้ซาบี อลองโซ กลับมาหลังจากติดโทษแบน และจะกลับมาคุมเกมในแดนกลางอีกครั้ง ในขณะที่แนวรุก ก็จะประกอบไปด้วย คริสเตียโน่ โรนัลโด ,เมซุต โอซิล ,อังเดส ดิ มาเรีย รวมทั้ง คาริม เบนเซมา ตัวปิดสกอร์ ส่วนในแนวรับ มาร์เซโล (ซึ่งถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง ในเกมแชมป์เปี้ยนลีก) จะได้กลับมาเป็นแบ็คซ้ายตัวจริง แทน ฟาบิโอ โคเอนเทรา อีกครั้ง โดยเกมนี้ มาดริดจะเล่นในระบบ 4-2-3-1 โดยมี อิเกร์ กาซิยาส เป็นนายทวารเฝ้าเสา แนวรับ 4 ตน ประกอบด้วย อัลบาโร อาร์ เบลัว , เซร์คิโอ รามอส , เปเป้ , และมาร์เซโล ส่วนแดนกลางมี ซาบี อลองโซ กับซามี เคดิรา ยืนเป็นห้องเครื่อง ขณะที่อังเคล ดิ มาเรีย ,เมซุต โอซิล และคริสเตียโน โรนัลโด จะเล่นเป็นตัวรุก อยู่ด้านหลัง คาริม เบนเซมา ที่เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า

รูปเกมน่าจะออกมาคู่คี่สูสี สุดๆ โอกาสแพ้ชนะ มีด้วยกันทั้งคู่แบบ 50: 50 และผลแพ้ชนะ หรือเสมอก็มีความเป็นไปได้เท่าๆ กัน ขึ้นอยู่กับการแก้เกมของโค้ช หรือใครจะผิดพลาดให้เห็นก่อนกัน และสุดท้ายจุดพลิกผันของเกมจะอยู่ที่ความสามารถเฉพาะตัวของบรรดาซุปเปอร์สตาร์ของแต่ละทีมจะเล่นได้เข้าขา ลงตัว และท็อปฟอร์มเพียงใด คืนนี้รู้ผลแน่ รับชมได้ทางทรูวิชั่น,ช่อง 3 เวลา 01.00 น. คืนวันที่ 21-22 เม.ย.นี้ แข่งกันที่ แคมป์นู บ้านของบาร์เซโลน่าครับ

โจเซ่ มูรินโญ่ผู้จัดการทีมเพื่อนน้อยของเรอัล มาดริดใช้คำพูดประโยคหนึ่งของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพมาเป็นการกระตุ้นให้พวกเขาเอาชนะบาร์เซโลน่า เรอัล มาดริดเพิ่งจะเก็บชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลเหนือบาร์เซโลน่าเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโคลป้า เดล เรย์
"ปกติผมเป็นคนที่ชอบกระตุ้นคนอื่นอยู่แล้ว ก่อนที่จะไปกระตุ้นพวกคุณ ผมต้องจัดการกับตัวเองซะก่อน"
"เมื่อผมมีแรงจูงใจแล้ว มันก็ง่ายมากขึ้นในการชักจูงเหล่านักเตะของผม"
"แต่ผมก็เป็นคนที่พูดจูงใจคนเดียวกับคนที่ทำทีมแพ้ 5-0 ต่อบาร์เซโลน่า ผมไม่ได้มีน้ำยาวิเศษอะไรหรอกนะ"
"ผมบอกกับนักเตะของผมง่ายๆ มันไม่ใช่คำพูดของผมหรอก มันเป็นคำพูดของคนคนหนึ่งที่ชื่อว่าอัลเบิร์ต - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"
"มีพลังงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าพลังงานไอน้ำ , แข็งแกร่งกว่าพลังงานไฟฟ้าและปรมาณู พลังงานนั้นก็คือความพยายามของมนุษย์"
"อัลเบิร์ตคนนี้ไม่ใช่คนโง่ ด้วยความพยายามของคุณแล้ว คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้"
หลังจากมูริณโญ่กล่าวคำพูดนี้จบ ทุกๆคนในห้องต่างยืนตะลึง

ชูเซบ "เป๊ป" กวาร์ดีโอลา อี ซาลา (คาตาลัน: Josep "Pep" Guardiola i Sala) เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1971 ที่เมืองซันต์เปดอร์ จังหวัดบาร์เซโลนา แคว้นคาตาโลเนีย เป็นผู้จัดการฟุตบอลและนักฟุตบอลชาวสเปน กวาร์ดีโอลาเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรับ และเล่นกับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาเป็นหลัก เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมของ โยฮัน ครัฟฟ์ ที่นำทีมบาร์เซโลนาชนะการแข่งขันยูโรเปียนคัพครั้งแรก กวาร์ดีโอลายังเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเบรสเซีย, สโมสรฟุตบอลโรมา, Al-Ahli และสโมสรฟุตบอลโดราโดสเดอซีนาโลอา ส่วนในการแข่งขันระดับนานาชาติ เขาเป็นตัวแทนของฟุตบอลทีมชาติสเปน และในบางครั้งยังเล่นในนัดกระชับมิตรใหักับฟุตบอลทีมชาติคาตาโลเนียอีกด้วย


หลังจากที่เขาเกษียนจากการเป็นนักเตะ กวาร์ดีโอลาได้เป็นโค้ชให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาทีมบี และเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ประธานสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ควน บาหอร์ตา ประกาศว่ากวาร์ดีโอลาจะแทน แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ในตำแหน่งผู้จัดการทีมแรก เขาเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2008[1] ในฤดูกาลแรกในฐานะผู้จัดการทีม บาร์เซโลนาชนะ 3 ตำแหน่งคือ ลาลีกา, โคปาเดลเรย์ และแชมเปียนส์ลีก ในการที่เขานำทีมชนะยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุด และในฤดูกาลต่อมา กวาร์ดีโอลานำทีมบาร์เซโลนาชนะในซูเปร์โกปาเดเอสปาญา (Supercopa de España) โดยชนะสโมสรแอทเลติกบิลเบา และชนะในยูฟ่าซูเปอร์คัพ โดยชนะสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ และชนะในฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ โดยชนะสโมสรฟุตบอลเอสตูดีอันเตส (Estudiantes) ทำให้เขาเป้นผู้จัดการที่นำถ้วยรางวัลชนะเลิศให้กับทีม 6 ถ้วยในการแข่งขันเพียงปีเดียว

นับตั้งแต่โชเซ่ มูรินโญ่ย้ายมากุมบังเหียนเรอัล มาดริด แม็ตช์ที่มีชื่อเรียกตามภาษาเมืองกระทิงว่า "เอล กลาซิโก้" เปลี่ยนจากเกมฟุตบอลกลายเป็น "สงคราม" ทั้งในและนอกสนามชนิดเต็มรูปแบบแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง ผู้ชนะก็ยังเป็นบาร์เซโลน่าอยู่นั่นเอง
จึงอาจบอกได้ว่าแม้ฟ้าจะส่ง "สเปเชี่ยล วัน" มาเกิด แต่ฟ้าก็ประทาน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้ทำหน้าที่กำราบความหยิ่งยะโสโอหังของมูรินโญ่เช่นกัน จากซีซั่นแรกกับราชันชุดขาวซึ่งกุนซือโปรตุกีสพาทีมคว้าได้เพียงแชมป์ โกปา เดล เรย์ หนึ่งใบ คาดว่าในซีซั่นหน้าเฮียมูน่าจะเจองานหนักอีกตามเคยสำหรับภารกิจอันแสนสาหัสกับการฉุดยักษ์กาตาลันให้ร่วงลงมาจากบัลลังก์ ทั้งนี้เพราะในการหยั่งเชิง (กันแบบเอาเป็นเอาตาย) สองนัดของศึก สแปนิช ซูเปอร์คัพ ปรากฏว่า บาร์ซ่า ยังข่ม เรอัล มาดริด อยู่นั่นเอง ไม่ว่าราชันชุดขาวจะใช้แทคติกแบบไหน รวมไปถึงการเตะติดดาบก็ไม่อาจทำให้คู่แค้นค่ายคัมป์นูระส่ำระสายได้ ต่อให้มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ในสังกัด แต่บาร์ซ่าทีมที่ดีที่สุดในโลกยุคนี้ก็มี ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกยุคนี้อยู่ในชายคา แม้หลายคนอาจชี้นิ้วว่าทีมของกวาร์ดิโอล่ามีจุดอ่อนอยู่ที่แนวรับ แต่เอาเข้าจริงแผงหลังของเรอัล มาดริดนั่นแหละที่มีช่องโหว่เยอะกว่า และเป็นจุดบอดของทีมอันทำให้ต้องเพลี่ยงพล้ำอีกตามเคย
อีกอย่างที่ต้องยอมรับกันก็คือราชันชุดขาวยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อนที่เคยได้รับฉายาว่า "กาลาคติกอส" อีกแล้ว
กล่าวคือทีมของมูรินโญ่ไม่มีพ่อค้าแข้งในระดับ ซีเนดีน ซีดาน , โรนัลโด้ , เดวิด เบ็คแฮม , โคล้ด มาเกเลเล่ , โรแบร์โต้ คาร์ลอส และฯลฯ
ต่างไปจากขุนพลของบาร์ซ่าซึ่งอันตรายและจัดจ้านทุกราย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเฉพาะตัว ตลอดจนรูปแบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ไม่มีทีมไหนเสมอเหมือน และยากต่อการลอกเลียนแบบ ถึงตรงนี้ กวาร์ดิโอล่ายังข่มมูรินโญ่ได้อย่างยอดเยี่ยม และเขากลายเป็นตำนานหน้าใหม่ของคัมป์นูไปแล้วเมื่อนับรวมถ้วยแชมป์ เพียงในเวลาไม่กี่ปีที่กระโดดขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ พี่เป๊ปพาบาร์ซ่ากวาดโทรฟี่ได้รวมสิบใบ มากกว่าอดีตกุนซือเทวดาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ไปแล้ว ฉะนั้น หากจะเรียกกวาร์ดิโอล่าว่าโค้ชขั้นเทพก็ไม่น่าจะเกินจริงแต่ประการใด
โดยเฉพาะหากในซีซั่นใหม่ เขายังขวางทางยิ่งใหญ่ของมูรินโญ่ ยัดเยียดให้โค้ชฝอยทองรับประทานแห้วได้อีกปี





วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

จิตใต้สำนึกและการเลี้ยงดูที่ดีจะเป็นตัวผลักดันความสำเร็จในชีวิต

ช่วงนี้ตัวผู้เขียนจะดูทีวีบ่อยมาก มากกว่าสื่ออื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ ภาพยนตร์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ทำให้เป็นโรคติดทีวีไปแบบไม่รู้ตัว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อจะติดตามหาข้อมูล หรือประเด็นใหม่ๆ มาไว้ใช้เขียนบทความหรืออย่างน้อยไว้ติดตามข่าวสารบ้านเมือง เพื่อให้รู้เท่าทันสถานการณ์โลกภายนอกเสียหน่อยว่าเป็นเช่นไร แต่ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางด้านเคเบิ้ลทีวีมากกว่าฟรีทีวี เพราะมีรายการที่หลากหลายกว่า และเจาะลึกเนื้อหาประเด็นได้มากกว่า ปริมาณเนื้อหาการออกอากาศมีมากกว่า โฆษณาน้อยกว่า นี่คือเหตุผลที่เลือกดูเคเบิ้ลทีวีหรือทีวีดาวเทียม แต่ประเด็นที่จะเขียนในบทความชิ้นนี้กลับได้จากรายการทีวี 3 รายการ จากช่องฟรีทีวี นั่นคือ รายการเช้าดูวู้ดดี้ สรยุทธ์เจาะข่าวเด่น และ เดอะสตาร์ค้นฟ้าคว้าดาว และได้ดูข่าวที่ บัวขาว ป.ประมุข นักมวยไทยที่เก่งที่สุดของยุคนี้ หนีออกจากค่าย ป.ประมุข แหกกฏของค่าย ต้องการฉีกสัญญาจ้าง ต้องการเป็นอิสระจากพันธะสัญญาของผู้ใหญ่ ไม่ต่างอะไรจากตอนที่ จา พนม หนีออกจากสหมงคลฟิมล์ หนีหน้าเสี่ยงเจียง ไปปลีกวิเวก อ้างต้องการทำสมาธิ ทั้งๆ ที่ติดสัญญาถ่ายหนังให้เสี่ยเจียงเรื่ององก์บาก 2 อยู่ยังไม่เสร็จ จนเป็นเรื่องเป็นราว ถึงขั้นจะตัดหางปล่อยวัด แล้วยังไงไม่ทราบก็กลับมาอยู่ในครรลองได้ตามระบบของเสี่ยเจียงเดิมอีก ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา สามารถนำมาผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกันได้ ภายใต้ประเด็นหัวข้อที่ว่า “จิตใต้สำนึกและการเลี้ยงดูที่ดีจะเป็นตัวผลักดันความสำเร็จในชีวิต” ของคนได้มากจริงๆ




สืบเนื่องจากผู้เขียนได้ชมรายการ “เช้าดูวู้ดดี้” เทปล่าสุดที่ออกอากาศเมื่อเช้าวันที่ 20 เม.ย.2555 ที่มีแขกรับเชิญชื่อ ครูเงาะ ชื่อจริงรสสุคนธ์ กองเกตุ ครูแอ็คติ้งโค้ชชื่อดังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์การแสดงด้วยการใช้การบำบัดที่จิตใต้สำนึก หริอที่เรียกว่ารวมศาสตร์การแสดงกับการสะกดจิต แขกรับเชิญผู้นี้ได้พูดถึงคนทุกๆ คนในโลกนี้สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตในแบบของตนได้ทุกคน เช่น เป็นเศรษฐีพันล้าน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง หรือทำให้คนบางคนไปได้ไม่ไกลจากความสำเร็จ หรือเคยประสบความสำเร็จแล้วพังครืนลงมาก็คือปมที่อยู่ในจิตใจ ที่คนผู้นั้นบางทีไม่รู้ตัวว่าตนเองมีปมในใจ ซึ่งต้องอาศัยการบำบัด หรือเข้าไปค้นหาที่ระดับจิตใต้สำนึก แล้วแก้ไขเสีย เมื่อแก้ไขได้แล้ว จะทำให้ปมในใจของเรานั้นถูกเปิด และเมื่อทำสิ่งใดในชีวิตจะมีความรู้สึกเชื่อมั่นและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นแบบยั่งยืน อันนี้คือคีย์เวิร์ดที่เธอเปิดประเด็นขึ้นมาในรายการ คนบางคนถูกครอบครัวเลี้ยงดูมาแบบผิดๆ ถูกพ่อแม่สปอยด์ไปในทางลบๆ ทำให้เด็กถูกสั่งสมความเชื่อแบบผิดๆ มาจนกระทั่งโตหรือเกือบทั้งชีวิต เช่น แกมันโง่ ทำอะไรก็ไม่ได้ดี , บางคนสปอยด์ตัวเองแบบผิดๆ มาทั้งชีวิต คิดว่าตัวเองไม่สวย อ้วน หน้าตาไม่ดี เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก หรือเรียนไม่เก่ง จนขาดความมั่นใจมาตั้งแต่เด็กๆ




รายการ สรยุทธ์เจาะข่าวเด่น ช่วงสัมภาษณ์ตอนท้ายของเรื่องเด่นเย็นนี้ (ข่าวช่วงเย็นช่อง 3) ได้เชิญน้อง ณดล จูทะสมพากร แชมป์ดีดกีต้าร์คลาสสิกระดับโลก ที่มีโปรไฟล์น่าสนใจ คว้าแชมป์ดีดกีต้าร์คลาสสิคมาหลายรายการ ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ถือเป็นเด็กอัจฉริยะอีกคนนึงของไทย ดูจากการสัมภาษณ์นั้น ตัวน้องมีพรสวรรค์ส่วนนึง แต่ครอบครัวนั้นช่วยเติมเต็มและส่งเสริมในส่วนของพรแสวงให้น้อง คือเมื่อคุณพ่อรู้ว่าน้องมีทักษะ พรสวรรค์เกินวัย จึงรีบพาน้องไปฝึกปรือ เรียนกับครูที่เก่งที่สุดในเมืองไทย ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเมื่อครูเห็นแววเก่งจึงผลักดันต่อ หลังจากเรียนเพียง 3 เดือนก็ส่งประกวดในระดับโลก แล้วก็คว้าแชมป์มาได้เลย หลังจากนั้นน้องก็พยายามเรียนรู้ ฝึกซ้อม พัฒนาทักษะการดีดกีต้าร์มาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของครอบครัวและครู ก็พยายามส่งเสริมให้น้องไปประกวดในหลายๆ ที่ จนได้แชมป์อีกหลายรายการ ในขณะที่ตอนนี้น้องมีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เป็นแชมป์กีต้าร์ฝีมือดีที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมี และผลการเรียนอย่างอื่นก็ไม่ตก อยุ่ในระดับหัวกะทิ เกียรตินิยมเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ด้าน I.Q.ที่เป็นเลิศ แล้ว ด้าน E.Q. ที่เป็นส่วนที่สำคัญของเด็กยุคนี้ก็ไม่ขาด และอยู่ในเกณฑ์ดีเสียด้วย คือน้องเป็นคนมีบุคลิกร่าเริง แจ่มใส พูดเก่ง คล้ายๆ อีกคนที่จะพูดถึงต่อไป

รายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 8 มีผู้เข้าแข่งขันคนนึงที่ป็อปปูล่าร์มากในซีซั่นนี้ ชื่อ น้องแกงส้ม มาจากครอบครัวคุณพ่อชื่อสุรศักดิ์ ชัยอรรถ เป็นทั้งนักแสดงและนักธุรกิจ นอกจากความสามารถด้านการร้อง การแต่งเพลง ของตัวน้องแกงส้มที่สะสมประสบการณ์มาหลายปี ตั้งแต่เด็ก นอกเหนือจากรูปร่าง หน้าตา บุคลิกภาพที่ดีแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ทัศนคติ การวางตัว การพูดคุยไม่ว่าจะกับเพื่อนๆ ในบ้าน ,บรรดาครู หรือทีมงาน ผู้ใหญ่ ,คุยกับสื่อหรือแฟนคลับ การแสดงความคิดเห็นของน้องนั้นโต้ตอบได้ฉะฉาน มีความมันใจในตัวเอง มีการจัดระบบความคิดที่ดี ทั้งหมดนี้มาจากผลพวงของการเลี้ยงดูน้องแกงส้มจากครอบครัวที่บ้านแน่ๆ เป็นสำคัญ การให้ความเป็นอิสระ เป็นกันเอง ผู้เขียนเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณพ่อเกี่ยวกับน้องแกงส้ม ว่าเลี้ยงดูเหมือนเพื่อน มีอะไรจะคุยกันได้ทุกเรื่อง จะคอยบอก คอยเตือนกันแบบผู้ใหญ่ ส่วนนึงตัวน้องแกงส้มก็เป็นเด็กดีด้วย คือจะเชื่อฟังคำสอนของคุณพ่อคุณแม่ และคนรอบข้างเป็นอย่างดี อีกคุณสมบัติที่ดีอีกประการนึงในตัวน้องก็คือเป็นคนมุมานะ มีระเบียบวินัย ต่อตนเองอย่างสูงมาก สังเกตได้จากผลการเรียนในระดับดีมาก ถึงขั้นสามารถเรียนแพทย์ได้แต่ตัวน้องเลือกที่จะเรียนสถาปัตย์มากกว่า เพราะมีใจชอบด้านนี้ ส่วนอีกด้านคือด้านดนตรี ซึ่งก็ใช้เวลาส่วนที่เหลือจากการเรียนมาฝึกปรือผีมือ เคยไปประกวดและเรียนร้องเพลงกับครูอ้วน มณีนุช เป็นรองแชมป์ในรายการ CISA 2 ก่อนมาประกวดเดอะสตาร์ปี 8 ก็ได้เตรียมตัวมาประกวดด้วยการลดน้ำหนักตนเองลงมาจาก 90 ลงมาเหลือ 70 ก.ก. ซึ่งแสดงถึงการวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี ณ ตอนที่เขียนนี้ ผู้เขียนยังไม่รู้ว่าน้องจะไปได้ไกลถึงดวงดาวหรือไม่ แต่หยิบเอาประเด็นในด้านความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวของน้องแกงส้ม มาเพื่อที่จะบอกว่ามีผลต่อความสำเร็จอย่างยิ่งยวดครับ

ดูๆ ไปแล้ว น้องแกงส้มอาจจะเปรียบได้กับ น้อง ณดล ในภาคของวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งทั้ง 2 คนนี้คือเพชร ที่รอการเจียระไน ยังมีอณาคตได้อีกไกลโข ขึ้นอยู่กับพี่เลี้ยงของเขาจะช่วยกันเจียระไนผลักดันให้ไปได้ไกลแค่ไหน และจะรักษาระดับความสำเร็จไปได้นานแค่ไหน ผู้เขียนคิดว่าเขาไม่ใช่แค่สตาร์แต่เป็นซุปเปอร์สตาร์แน่ๆ ในอนาคต เพราะเชื่อว่าฐานของน้องทั้ง 2 คนนั้นแข็งแกร่งมาก นั่นคือพื้นฐานของครอบครัว และการศึกษาที่ดีด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่จะเป็นตัวผลักดันให้เขาไปได้สุดจริงๆ นั่นคือเรื่องของจิตใต้สำนึกอีกตัวแปรนึง พลังของจิตใต้สำนึกและกฏแห่งแรงดึงดูด จะเป็นตัวแปรใหญ่ที่จะทำให้น้องทั้ง 2 คนยืนบนฐานที่แน่นและประสบความสำเร็จได้อย่างยาวนาน เหมือนพี่เบิร์ด หรือซุปเปอร์สตาร์คนอื่นๆ ที่ยกตัวอย่างน้องทั้ง 2 คนนี้ ที่อยู่ในแวดวงดนตรี ไม่ได้หมายความว่าสาขาวิชาชีพอื่นๆ จะไม่มีอัจฉริยะนะครับ มีอีกมากมายในประเทศนี้ หลักคิดเดียวกัน วิธีคิดเหมือนกัน ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน ในแนวทางอาชีพแต่ละแบบ เพียงแต่ยกตัวอย่างนี้เพราะสาขาอาชีพนักดนตรี นักร้อง มันเอนเตอร์เทนคนดูได้ด้วยไง คือเขาสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปกับเขาได้ด้วยนั่นเอง

มาดูในส่วนของ บัวขาว ป.ประมุข และก็จา พนม ยีรัมย์ 2 ท่านนี้เป็นตัวอย่างไอด้อลฮีโร่ ด้านการต่อสู้ คนนึงมาในสาขานักมวยอาชีพเงินล้าน ดังในระดับโลกไปแล้ว อีกคนนึงมาในทางสายนักแสดง และก็ดังในระดับโลกเช่นกัน เป็นฮีโร่ด้านการต่อสู้ที่เก่งที่สุด เท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา และจริงๆ ตัวผู้เขียนก็ชื่นชอบมากด้วยทั้ง 2 คน จากที่ได้ตามข่าวทั้ง 2 ท่านนี้มา ก็ทราบว่าทั้ง 2 คนไม่ได้มาจากครอบครัวที่อบอุ่นนัก มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนมากๆ ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนด้านการศึกษานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่เรียนให้จบถึงระดับปริญญาตรีได้ก็ต้องถือว่าเจ๋งแล้ว ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันมากนั่นก็คือ มีความมุมานะ อดทน ขยัน สู้ชีวิตด้วยความมานะบากบั่นด้วยตนเอง โตด้วยลำแข้งของตนเองจริงๆ ใช้ทักษะทางด้านร่างกายของตนเองหากินเลี้ยงครอบครัวมาได้ ต้องต่อสู้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ไม่เคยได้รับความสุข ความบันเทิงใจในวัยเด็กเหมือนคนอื่นหรือเด็กในวัยเดียวกันพึงจะมี ทั้งคู่ต้องอาศัยแรงกาย หยาดเหงื่อของตนเอง เข้าแลกกับเงินหรือรายได้เพื่อประทังชีวิต ซึ่งเป็นคนละด้านกับน้องณดล และน้องแกงส้ม ซึ่งเด็ก 2 คนนั้นใช้ทักษะด้านสมองเป็นส่วนใหญ่ ด้านแรงกายแทบไม่มี แต่ใช่ว่าบัวขาวและ จา พนม จะไม่มีทักษะด้านสมอง หรือความฉลาดน้อยนะครับ คือคนที่จะเป็นนักสู้ในระดับนี้ได้นั้น เขาจะต้องมีความฉลาด ปฏิภาณ ไหวพริบในระดับเทพด้วยเช่นกัน เพราะไม่งั้นคงจะไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้คนอื่นมาได้จนมายืนในระดับนี้ได้หรอก ด้านอารมณ์นั้น ทั้งคู่ก็ดูเป็นคนมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดีเช่นกัน โดยเฉพาะบัวขาวดูจะเป็นคนมีบุคลิกคุยเก่ง และ friendly มากกว่าจาพนมนิดนึง จาพนม อาจเป็นคนมีบุคลิกขรึม ๆ เงียบๆ มากกว่าบัวขาว แต่ทั้ง 2 คนเดาได้เลยว่าเป็นคนมีปมในใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในจิตใจ ตั้งแต่วัยเด็ก บัวขาวนั้นแสดงออกมาให้เห็นแล้วตอนนี้ ด้วยการที่เขาเป็นกบฏต่อค่าย ป.ประมุข ปฏิเสธที่จะไปร่วมงานกับทางค่าย มันเป็นแผลหรือความรู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่างที่สะสมมานาน เราจะไม่พูดว่าทางค่ายต้นสังกัดเขานั้นเอาเปรียบบัวขาวยังไง แต่บอกได้คำเดียวว่าระบบพี่เลี้ยงของเขาต้องมีปัญหาแน่ๆ คือคนดูแลจัดสรรผลประโยชน์ไม่เก่ง (แนะให้ไปดูงานที่คุณบอย ณ เอ็กแซ็กท์นะครับ อันนั้นเขาชำนาญเป็นพิเศษ อ๊ะๆ ล้อเล่นนะครับคุณบอย) ส่วนรายของจา พนม ยีรัมย์ นั้นคงเป็นองค์ประกอบที่มากไปกว่านั้น ความที่โลกส่วนตัวสูง ติสท์แตก การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันระหว่าง เสี่ยเจียง คุณปรัชญา ปิ่นแก้ว(คนกลางประสาน) และตัวคุณจา พนมเอง ปัจจุบันคงไม่มีปัญหากันแล้วมั๊ง 2 คนนี้ถ้าเข้าไปแก้ปมในระดับจิตใต้สำนึกได้แล้ว เขาจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ฮีโร่ของไทยไปอีกนาน และไปเสริมในจุดที่เขาขาดนั่นก็คือ ความรักความอบอุ่น ความเอาใจใส่ และก็ด้านการศึกษา ระบบความคิดที่ดี รวมถึงทัศนคติการมองโลกด้วย ซึ่งก็คือสลับขั้วด้านตรงข้ามกับเด็กอีก 2 คนนั้นที่เขามีในส่วนนี้ล้นเหลือ และก็กำลังตามหาไอ้เจ้าสิ่งที่บัวขาวและจาพนมมี นั่นก็คือความเป็นซุปเปอร์สตาร์ หรือฮีโร่ของคนไทยทั้งประเทศนั่นเอง

เส้นทางชีวิตน้อง ณดล จูทะสมพากร (บทสัมภาษณ์น้องใน นสพ.ประชาชาติธุรกิจ)


เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว โลกได้จารึกชื่อของคนไทยอย่าง "เอกชัย เจียรกุล" ไว้ในวงการกีตาร์คลาสสิกระดับโลก แต่ในช่วง 1-2 ปีมานี้กลับมีอีกชื่อหนึ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างน่าประหลาดใจ และน่าประทับใจ นั่นก็คือ "ณดล จูทะสมพากร" นักกีตาร์คลาสสิกระดับโลกที่มีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เด็กน้อยผู้มากความสามารถกวาดแชมป์จากต่างประเทศ และในประเทศมาแล้วอย่างมากมาย แม้ว่าหลายคนจะเคยรู้จักและได้สัมผัสกับฝีไม้ลายมือของหนูน้อยอัจฉริยะคนนี้มาบ้างแล้ว แต่เชื่อว่าก็น่าจะมีอีกหลายกลุ่มที่ยังไม่รู้จักเด็กชาย คนนี้ ทั้งก่อนและหลังที่เด็กชายตัวน้อยกลายเป็นผู้โด่งดังไปทั่วโลก ชีวิตของเขาเป็นไปและเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง มาฟังเรื่องราวของเด็กดังจากปากเจ้าตัวกันดีกว่า

ทีมงาน "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับเชิญให้เข้าไปพูดคุยถึงในบ้าน เด็กชาย ณดลและครอบครัวที่ช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวของมุมมองชีวิตจากเด็กธรรมดาสู่เส้นทางที่ไม่ธรรมดา พร้อมกับบรรเลงกีตาร์คลาสสิก สลับเสียงเปียโนแสนหวานคลอเคล้าตลอดการพูดคุยในครั้งนี้

ก่อนเริ่มการสนทนา เสียงเพลง "โรแมนซ์" อันแสนนุ่มนวลจากกีตาร์คลาสสิกของน้องณดลก็ดังขึ้นหนึ่งท่อน ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาในเส้นทางสายนี้ให้เราฟัง "ตอนอายุ 6 ขวบ ผมเห็นคุณพ่อเล่นกีตาร์คลาสสิกอยู่ ก็รู้สึกว่าอยากเล่น เลยขอเล่นบ้าง และตั้งแต่ตอนนั้นก็เล่นมาเรื่อย ๆ จนอายุ 10 ขวบ" น้องณดลได้เล่าย้อนให้เราฟังถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองเลือกจับกีตาร์คลาสสิกเป็นครั้งแรก หลังจากที่ณดลเริ่มเล่นกีตาร์มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว พ่อของณดลก็ตัดสินใจที่จะพาเขาไปหัดเรียนอย่างจริง ๆ จัง ๆ กับอาจารย์กมล อัจฉริยะศาสตร์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์สอนกีตาร์คลาสสิกคนแรกของเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่เด็กคนหนึ่งจะได้เรียนกับปรมาจารย์ เพราะขณะนั้นเขาอายุได้เพียงแค่ 6-7 ปีเท่านั้นเอง นับว่าเป็นช่วงอายุที่น้อยเกินกว่าที่จะเรียนได้ แต่สุดท้ายเมื่อณดลได้ลองแสดงฝีมือกีตาร์ คลาสสิกให้ฟัง อาจารย์กมลก็เกิดเปลี่ยนใจและตกลงรับสอนเขาทันที จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไป ณดลได้มีโอกาสมาพบกับอาจารย์โน้ต-ณัฐวุฒิ รัตนกาญจน์ ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของอาจารย์กมล เส้นทางชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากอาจารย์โน้ตได้ชักชวนกึ่งรบเร้าแกมขอร้องให้คุณพ่อและคุณแม่ของณดล อนุญาตให้เขาลงแข่งขันกีตาร์คลาสสิกในรายการ Kyznecov"s International Competition 2010 ที่เมืองมะนิโตกอร์ส ประเทศรัสเซีย จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันเวทีแรกมาได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่มีเวลาฝึกซ้อมเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ก่อนการเดินทางไปแข่งขันที่รัสเซีย ณดลเกากีตาร์คลาสสิกในมืออย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะเล่าต่อว่า "ตอนที่ไปแข่งที่รัสเซีย อากาศหนาวมาก ติดลบ 3 องศา หนาวจนมือแข็งนิ้วแข็งไปหมด แต่โชคดีที่โรงแรมที่จัดการแข่งมีฮีตเตอร์ก็เลยเอามือไปอุ่นก่อนเล่น อีกอย่างหนึ่งตอนที่แข่งผมก็รู้สึกกังวลเหมือนกันว่า ถ้าไม่ชนะจะทำยังไง เพราะคุณพ่อก็เสียเงินไปเยอะกับค่าใช้จ่ายในการแข่งขัน แต่พอถึงตอนนั้นผมก็เล่นได้และชนะกลับมา"

ภายหลังจากที่น้องณดลคว้ารางวัลชนะเลิศจากประเทศรัสเซียมาแล้ว หนุ่มน้อยมากพรสวรรค์ผู้นี้ก็ได้รับรางวัลชิงชนะเลิศอีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น Thailand International Guitar Festival 2010, Bangkok Guitar Festival 2010 และ Mario Egido 2011 ที่ประเทศสเปน เสียงกีตาร์คลาสสิกแสนนุ่มนวลของณดลเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กชายวัย 10 ปีคนนี้ติดอกติดใจ และมุ่งมั่นที่จะอยู่บนเส้นทางสายนี้ "ผมเลือกเล่นกีตาร์คลาสสิกเพราะเสียงมันเพราะ เวลาเล่นออกมาเสียงมันจะนุ่มน่าฟัง แต่ถ้าเป็นกีตาร์โปร่ง เวลาที่เราเล่นเสียงจะเป็นเหล็ก ฟังแล้วไม่รู้สึกนุ่ม คือผมชอบอะไรที่เสียงมันนุ่ม ๆ จากนั้นเป็นต้นมากีตาร์คลาสสิกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมจะขาดไปไม่ได้เลย" นี่คือคำบอกเล่าของหนูน้อยวัย 10 ขวบ แชมป์กีตาร์คลาสสิกระดับโลก ส่วนเบื้องหลังความสำเร็จ บนเส้นทางสายดนตรีของณดล นอกจากพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับ "คุณพ่อชูศักดิ์ จูทะพากร" และ "คุณแม่อริยา บัณฑิตยานนท์" ที่คอยผลักดัน สนับสนุน ปลูกฝังหัวใจแห่งดนตรี และวินัยในการใช้ชีวิตของ ณดล จนหล่อหลอมให้เกิดแชมป์กีตาร์คลาสสิกระดับโลกคนนี้ขึ้นมาได้ พ่อชูศักดิ์เล่าให้ฟังว่า ที่สนับสนุนให้ณดลเล่นดนตรีนั้น ส่วนหนึ่งมาจากความชอบส่วนตัวของเขา และอีกส่วนหนึ่งก็ต้องการใช้ "ดนตรี" เป็นเครื่องมือในการแย่งเวลาในการทำสิ่งไร้สาระของณดล หรือเด็กในสมัยนี้ออกไป เช่น การเล่นคอมพิวเตอร์ หรือการดูโทรทัศน์ อีกอย่างดนตรีสามารถทำให้เขาคลายเครียด และพัฒนาเรื่องของสมาธิได้เป็นอย่างดี "การที่ณดลเล่นดนตรียังช่วยให้เขาพัฒนาในเรื่องของสมาธิ สมอง และการจดจำ ซึ่งส่งผลไปถึงเรื่องการเรียนของเขาที่ทำออกมาได้ดีทุกปี ทั้ง ๆ ที่ในเวลาปกติที่อยู่บ้านจะไม่ค่อยได้มีเวลาทบทวนบทเรียนมากสักเท่าไรนัก

อีกอย่างดนตรีเป็นสิ่งที่ต้องทำซ้ำ ๆ ทุกวัน จุดนี้เองจะช่วยให้เขาเกิดสิ่งที่เรียกว่าระเบียบวินัยในตัวเองขึ้นมา" คาดว่าอีกไม่กี่ปี เมืองไทยจะมีครูสอนดนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลก ตามที่เด็กอัจฉริยะผู้นี้ยืนยันว่า "โตขึ้นผมอยากเป็นครูสอนกีตาร์คลาสสิกและเปียโน"




ประวัติของบัวขาว ป.ประมุข นักชกชื่อดังขวัญใจชาวไทย

บัวขาว ป.ประมุข เกิดเมื่ิอ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 เป็นนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการการต่อสู้ระดับสากล โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นนักมวยไทยสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข ส่วนสูง 174 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม บัวขาวจัดเป็นหนึ่งในนักกีฬาอาชีพไทยที่ทำรายได้สูง โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการชกมวยที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์ไทยเรื่องซามูไร อโยธยา


บัวขาวยังเคยได้รับเชิญในงานสัมมนาที่ประเทศฮ่องกงสำหรับการเผยแพร่ศิลปะมวยไทย ณ วันที่ 19 และ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 โดยมี อลัน เอ็นกาลานี่ ให้การต้อนรับที่อิมแพคยิม และใน พ.ศ. 2554 เขาได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการไทยไฟท์ ที่ประเทศไทย ในรุ่น 70 กก. ซึ่งเขาได้เป็นแชมป์ของการแข่งขันครั้งนี้อีกด้วย

สมบัติ บัญชาเมฆ หรือบัวขาว เกิดและเริ่มชีวิตอาชีพมวยไทย ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ที่จังหวัดสุรินทร์ เข้ากรุงเทพมาสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข เมื่ออายุได้ 15 ปี บัวขาวได้รับเข็มขัดแชมป์มาครองเป็นจำนวนมากภายหลังเริ่มอาชีพมวยไทยที่กรุงเทพ ได้แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอร์เวท แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอร์เวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท ในปี พ.ศ. 2545 บัวขาวชนะเลิศมวยไทยมาราธอนโตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่สนามมวยลุมพินี ชนะโคบายาชินักชกชาวญี่ปุ่น

พ.ศ. 2547 บัวขาวชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะ จอห์น เวย์น พาร์ นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย โคะฮิรุยมาคิ และมาซาโตะแชมป์เก่าชาวญี่ปุ่น และในปีต่อมา บัวขาวเกือบที่จะรักษาแชมป์รายการ เค-วัน ได้ โดยแพ้คะแนน แอนดี้ ซอเยอร์ ในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่ากังขา
พ.ศ. 2549 บัวขาวเข้าชิงชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง โดยเป็นนักมวยคนแรกในรายการนี้ที่ชนะเลิศสองสมัย
พ.ศ. 2550 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 บัวขาวสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายโดยชนะคะแนน Nieky “The Natural” Holtzken นักชกชาวฮอลแลนด์
พ.ศ. 2551 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยบัวขาวแพ้น็อกให้กับ โยชิฮิโร่ ซาโตะ นักมวยชาวญี่ปุ่น แฟนมวยบางส่วนกังขาว่ามีการล้มมวยหรือไม่ แต่พิจารณาแล้วพบว่าบัวขาวแพ้น็อกจริงๆ ด้วยเข่าของซาโตะทำให้จุกและโดนหมัดฮุคเข้ากกหูสลบคาเวที เป็นความเสียใจของคนไทยครั้งหนึ่ง
พ.ศ. 2552 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยคราวนี้สามารถเข้าถึงรอบ 4 คนสุดท้าย แต่ต้องมาแพ้คะแนนให้แอนดี้ ซาวเวอร์ คู่ปรับเก่าอย่างน่ากังขาอีกหน บัวขาวถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้กรรมการชี้แจงผลการตัดสิน แฟนมวยเควันต่างพากันเห็นใจบัวขาวโดยมีหลักฐานคือผลโหวตนักสู้เค-วันแม็กซ์ของปีนี้ บัวขาวได้เป็นอันดับ 2 ด้อยกว่าเพียง จอร์จิโอ เปโตรเซียน แชมเปี้ยนรายการเควันปีนี้เท่านั้น
ใน พ.ศ. 2554 บัวขาวได้เข้าแข่งขันในรายการไทยไฟท์ โดยเขาเป็นฝ่ายชนะน็อค ไมเคิล พิซิเทโล่ ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ และได้พบกับแฟร้งค์ จอร์จี้ จากประเทศออสเตรเลียในรอบชิงชนะเลิศที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 18 ธันวาคม ของปีเดียวกันนี้ ซึ่งบัวขาวเป็นฝ่ายชนะ และครองแชมป์ในการแข่งขันครั้งนี้

เกียรติประวัติ

อดีตแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่น 126 ปอนด์
อดีตแชมป์ประเทศไทย มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์
อดีตแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นไลท์เวท
แชมป์มวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ในพ.ศ. 2545
แชมป์ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 ในพ.ศ. 2547
รองแชมป์ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 ในพ.ศ. 2548
S1 ซูเปอร์เวลเธอร์เวท เวิลด์แชมเปี้ยน
WMC มิดเดิ้ลเวทเวิลด์แชมเปี้ยน
แชมป์ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 ในพ.ศ. 2549
พ.ศ. 2554 แชมป์ไทยไฟท์ 2011 (70 กก.)



วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

การศึกษาไทย ควรฝากความหวังไว้กับใครดี


(เรื่องนี้ ต้องมีเคลียร์ ถ้าไม่มีผู้รับผิดชอบนะ เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่)

เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ได้รายงานข่าว ผลคะแนนการสอบของเด็กนักเรียนไทย เกี่ยวกับผลคะแนน O-NET , A-NET , GAT, PAT ว่าคะแนนเฉลี่ยเด็กไทยทั่วประเทศนั้นสอบตก คือไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ชนิดที่เรียกว่าผลคะแนนสอบทั่วทั้งประเทศนั้นสอบตกเกือบทั้งประเทศ นั่นแสดงให้เห็นมาตรฐาน คุณภาพของการเรียนการสอนในบ้านเรา ว่าตกต่ำเพียงใด เราจะไม่ไปโทษตัวเด็กนักเรียนแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะเขาคือผลผลิตของระบบการศึกษาไทย พอมันออกมาเป็นแบบนี้ ทำให้เรารู้เราเห็นแล้วว่า มันต้องมีความผิดปกติ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาของบ้านเราต้องกลับมาคิดทบทวนกันแล้วว่า เกิดข้อผิดพลาดอะไร และแสวงหาจุดบกพร่องเพื่อแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาให้เด็กนักเรียนของบ้านเราให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ระบบตั้งเอาไว้ ถ้าเกณฑ์มาตรฐานมันสูงเกินไป ไม่สอดคล้องกับคุณภาพของเด็กโดยส่วนใหญ่ ก็น่าจะพิจารณาปรับลดเกณฑ์ลงมาได้มั๊ย หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรเพื่อจะพัฒนาตัวเด็กนักเรียนให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นให้ได้ ที่ผู้เขียนใช้คำว่าผิดปกติในระบบการศึกษาไทย ก็เพราะว่า เรามีเด็กไทยที่ไปสร้างชื่อได้เหรียญทอง เหรียญเงิน ในด้านวิชาการต่างๆ ในระดับโลก(โอลิมปิกวิชาการ) มากมาย เกือบทุกปี แต่แล้วทำไมเด็กไทยโดยส่วนใหญ่ถึงไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเสียส่วนใหญ่ นี่มันประเทศเดียวกันหรือไม่ สอนโดยระบบการเรียนการสอนแบบเดียวกันหรือไม่ หรือพวกหัวกะทิเรียนอีกอย่าง ส่วนพวกหัวอ่อน หรือหัวกลาง(กลวง)ๆ ไปเรียนอีกอย่าง ทำไมมาตรฐานมันช่างต่างกันสุดขั้วเช่นนี้หนอ ตัวผู้เขียนเองตั้งแต่เล็ก เรียนหนังสือมาในระบบโรงเรียนวัดตลอด ไม่เคยได้เรียนพิเศษ เรียนกวดวิชาใดๆ ไม่เคยได้เรียนโรงเรียน 2 ภาษา ไม่เคยจบโรงเรียนดังมีชื่อ โรงเรียนสาธิตใดๆ ไม่ได้สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อด้วย แต่ก็กระเสือกกระสนดั้นด้นเรียนทางลัดมาตลอดจนจบระดับการศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยของรัฐได้ ก็ไม่รู้เอาตัวเองรอดมาได้อย่างไรเหมือนกัน และใช้งบการเรียนตลอดทั้งชีวิตของตัวเองก็คงไม่ถึง 5 แสนบาทแน่ๆ แต่ถ้าผู้เขียนต้องเกิดมาเป็นเด็กยุคนี้ คงจะต้องเครียดกับระบบการศึกษาในสมัยปัจจุบันเป็นแน่ และก็คงต้องใช้เงินเป็นค่าการศึกษาของตนเองเกิน 1 ล้านบาทอย่างแน่ๆ แล้วไม่รู้ว่าจบออกมาแล้วจะได้งานทำในแบบที่ตัวเองต้องการหรือไม่ด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องประหลาดที่สุดของประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างไทยๆ เรา เพราะขนาดประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ อเมริกา หรือหลายๆประเทศในยุโรป นั้นรัฐบาลของประเทศเหล่านั้นเขาส่งเสริมเรื่องระบบการศึกษาของประชากรอย่างเต็มที่ และยังพยายามลดต้นทุนทางการศึกษาให้กับประชากรของเขาอย่างเต็มที่ ประเทศเหล่านั้นไม่มีระบบโรงเรียนกวดวิชาแบบบ้านเราที่ผู้ปกครองจะต้องส่งลูกหลานไปเรียนเพิ่มเติมให้เสียเงินทองมากมาย ในขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของบ้านเขาเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้ที่สนใจทั่วไปสามารถเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ฟรีผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่ปิดกั้น และไม่จำเป็นต้องเสียเงินลงทะเบียนเป็นนักศึกษาในระบบด้วย คือเขาเปิดโอกาสทางการศึกษาอย่างเต็มที่ ยิ่งกว่ามหาวิทยาลัยเปิดของบ้านเราเสียอีก การที่ประเทศที่เจริญแล้ว เขาเปิดโอกาสทางการศึกษาทุกรูปแบบให้กับประชาชนของเขา ในทุกโอกาส สถานที่ และเวลา เช่นมีห้องสมุดประชาชนดีๆ มีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะดีๆ มีระบบการให้ทุนการศึกษาแบบให้เปล่าในรูปองค์กร มูลนิธิ สถาบันทางการกุศลต่างๆ มากมาย มีวิทยาลัย มหาวิทยาลัยของทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่รับสมัครนักศึกษาเข้าไปเรียนได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องผ่านการสอบวัดผลอย่างเคร่งครัดแบบบ้านเรา ทำให้ประชาชนของประเทศที่เจริญแล้วเข้าถึงระบบการศึกษาได้อย่างกว้างขวาง ทำให้การศึกษาไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว ค่านิยมการศึกษาแบบตลอดชีวิตเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญแล้วมากกว่าของไทย การศึกษาของบ้านเรากับการพัฒนาหรือกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจเกือบจะเป็นทิศทางเดียวกันเลย ก็คือคนมีตังค์มีฐานะเข้าถึงการศึกษาที่ดีได้มากกว่าคนมีฐานะยากจน คนจนก็จะเข้าถึงระบบการศึกษาดีๆ ได้ยากมาก ผิดกับประเทศอินเดีย จีน ที่คนฐานะยากจนในประเทศของเขาสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่ดีได้ เพราะรัฐบาลของเขาสนับสนุนอย่างเต็มที่ กระทรวงการศึกษาของบ้านเขาทำงานได้ดี มีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างชาติ สร้างคนอย่างเต็มที่ ไม่ใช่มีความคิดได้เพียงแค่จะซื้อแท็บเล็ตมาแจกเด็ก แถมยังแจกได้ไม่ทั่วถึงอีกด้วย ไม่ว่าปัญหาของระบบการศึกษาของไทยจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม อาทิ เช่น เกิดจากปริมาณและคุณภาพของครู ,เกิดจากมาตรฐานการเรียนการสอนของระบบโรงเรียนที่ไม่เท่าเทียมกัน ระบบโรงเรียนดีๆ อาจารย์เก่งๆ กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ หรือโรงเรียนสาธิตไม่กี่แห่ง ,ระบบค่าตอบแทนของวิชาชีพครู อาจารย์ในระบบไม่เพียงพอ หรือต่ำไป ทำให้ต้องไปเสริมอาชีพ รายได้กันทางธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาแทน ซึ่งไปทำให้เกิดการสร้างค่านิยมเรื่องเรียนกวดวิชาทำให้ได้ทริก เคล็ดลับในการสอบติดมากกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนกวดวิชา ,เป้าหมายของการพัฒนาประเทศไม่ชัดเจน ทำให้เด็กที่จะเข้ามาเรียนในโรงเรียน หรือโรงเรียนที่จะผลิตเด็กออกไป ต่างคนต่างไม่รู้ความต้องการของตลาดแรงงานที่ชัดเจน ทำให้การเรียนการสอนนั้นสูญเปล่า เพราะตลาดแรงงานต้องการคนที่มีความพร้อมใช้งาน คือเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเฉพาะจริงๆ และต้องมีประสบการณ์ร่วมกับองค์กรธุรกิจ ที่จะพร้อมออกไปทำงานได้เลย ทำให้ประเทศเราผลิตคนออกไปตอบสนองตลาดแรงงานได้น้อยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือจีน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาของไทย ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านจะต้องนำข้อมูลทั้งหมดเอาไปประมวลและคิดทบทวน แล้วก็วางรากฐานการศึกษาของไทยเสียใหม่ ก่อนที่ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน ด้านแรงงานให้กับประเทศคู่แข่งในเอเซียด้วยกัน เมื่อตลาด AEC กำลังจะมาในปี 2558 นี้แล้ว

กรณีมาตรฐานของครู ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของครูไทย

เมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตครูในประเทศอังกฤษ ผู้ที่จะสอบเป็นครูได้ต้องศึกษาในสาขาที่สนใจจนจบระดับปริญญาตรี หลังจากนั้นต้องเรียนหลักสูตรครูที่เรียกว่า Post Graduate Certificate of Education หรือ PGCE ในมหาวิทยาลัยอีก 1 ปี เหมือนประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิตของไทย แต่ยังไม่สามารถประกอบวิชาชีพครูได้ เพราะเป็นเพียง Newly Qualified Teacher ต้องฝึกสอนอีก 1 ปี จนได้ใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษ ที่เรียกว่า Qualified Teacher Status หรือ QTS ความเข้มข้นในการผลิตครู ที่เน้นหนักด้านเนื้อหาสาขาวิชาอย่างเชี่ยวชาญ ก่อนที่บัณฑิตคนนั้นจะตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางวิชาชีพครู ระบบการฝึกสอนที่มุ่งฝึกฝนเรื่องการสอน ทั้งภาคทฤษฏี และภาคปฏิบัติแบบรายตัว ไม่เว้นแม้กระทั่ง เทคนิคการกวาดสายตา เพื่อดึงความสนใจของเด็กแต่ละคน ในขณะที่คณะครุศาสตร์ของไทยเน้นการศึกษาวิธีการเป็นครู การออกข้อสอบ การพูด การสอน แล้วไปเลือก เอก โท ในสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งกลับกันกับระบบของอังกฤษ ที่สำคัญอาชีพ “ครู” เป็นอันดับท้ายๆ ในแง่ความนิยมของนักศึกษาไทย หรือเลือกเรียนเผื่อพลาดจากคณะยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ วิศวะ สถาปัตย์ สื่อสารมวลชน แม้กระทั่งนิติศาสตร์ ด้วยเหตุผลในแง่รายได้ โอกาสทางด้านอาชีพการงานและชื่อเสียง ปัญหาข้อนี้ กระทรวงศึกษาธิการรู้เห็นปัญหาและเป็นที่มาของโครงการผลิต “ตรูพันธุ์ใหม่” เพื่อปฏิรูปครูตามกรอบการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี 2553-2562 โดยตั้งเป้าผลิตครูพันธุ์ใหม่จำนวนทั้งสิ้น 30,000 คน จำแนกเป็นครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน 27,000 คน และครูอาชีวศึกษา 3,000 คน ถ้าจำแนกตามหลักสูตรจะประกอบด้วยหลักสูตรครู 5 ปี จำนวน 17,500 คน โดยรับผู้เข้าร่วมโครงการที่สำเร้จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 13,500 คน และผู้กำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 ในระดับอุดมศึกษาอีก 4,000 คน ส่วนหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (หลักสูตร 1 ปี) จำนวน 12,500 คน รับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาวิชา เข้าศึกษาในสถาบันที่ได้รับการรับรองมาตรฐานหลักสูตรและมาตรฐานการผลิตประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับระบบของอังกฤษ หากเป็นไปตามแผน กระทรวงศึกษาธิการวาดความฝันไว้ว่า จะสร้างสรรค์ครูที่มีอุดมการณ์และมีความรู้ทางวิชาการที่เหมาะสมกับการสอนในโรงเรียนแต่ละระดับแตกต่างกันและใช้เวลาการผลิตที่รวดเร็วขึ้น อันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาครูในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทีอยู่ในการดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ

ในขณะที่บรรดาคณาจารย์ในระดับอุดมศึกษาของไทย นั้นสิ่งที่พบเจอก็คือ ในแง่ปริมาณนั้นมักไม่ค่อยเป็นปัญหามากนัก เพราะสถาบันอุดมศึกษาของไทยนั้น ส่วนหนึ่งที่ออกนอกระบบไปแล้วนั้น เขาแก้ปัญหาด้วยการจ้างผู้เชียวชาญที่อยู่ในภาคเอกชนมาเป็นครูหรืออาจารย์พิเศษในบางรายวิชาที่ขาดแคลนอาจารย์ที่เชียวชาญในบางสาขาวิชำได้ โดยต้นทุนค่าจ้างนั้นเขาสามารถผลักไปยังผู้เรียนได้ แต่ในด้านคุณภาพนั้นพบว่ามีปัญหาอยู่มากในแทบทุกมหาวิทยาลัยของรัฐ เหตุเพราะว่าบรรดาคณาจารจย์หลายท่านนั้นรายได้ไม่เพียงพอ บางท่านต้องวิ่งรอกสอนหลายที่ หลายมหาวิทยาลัย ทำให้เวลาที่จะทุ่มเทให้กับนิสิตนักศึกษานั้นเป็นเรื่องรองไป และบางท่านนั้นกินตำแหน่งด้านบริหารด้วย ทำให้เวลาถูกแบ่งไป บางท่านนั้นก็ต้องทำงานด้านวิชาการด้วย คือทำงานวิจัยเพื่อที่จะสอบเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เป็น ผศ รศ หรือ ศาสตราจารย์ ทำให้เกิดปัญหาทางด้านคุณภาพการสอนในระบบมหาวิทยาลัยของไทย คือหาความเป็นเลิศด้านวิชาการไม่มี ไหนจะต้องวิ่งรอกสอน ไหนจะต้องทำงานด้านวิจัย ไหนจะต้องเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ไหนจะต้องเอาเวลาไปบริหารงานเป็นคณบดี รองคณบดีอะไรอีก ผู้เขียนเห็นว่าควรแยกคณาจารย์ที่ทำงานสายบริหาร ออกจากสายการสอน ไปเลย คนไหนทำงานบริหารก็บริหารไปเลยอย่างเดียว อาจจะทำงานด้านวิจัยควบคู่กันไปด้วยได้เพราะมีเวลามากพอ ไม่ควรมีสอนควบคู่ ส่วนพวกที่ทำงานด้านการสอนอย่างเดียว ควรทุ่มเทให้กับงานสอนอย่างจริงจังเพื่อผลเลิศด้านวิชาการไปเลย  และถ้าเก่งจะทำงานด้านวิจัยควบคุ่กันไปด้วยก็ได้ และถ้าท่านจะวิ่งรอกการสอนหลายที่แล้ว ควรทิ้งเรื่องการทำงานด้านวิจัยทิ้งไปเสีย จะจับปลาสองมือ ทำให้ผลเสียตกไปสู่เด็กก็คือบรรดาลูกศิษย์ลูกหา นิสิตนักศึกษาที่จะไม่ได้รับคุณภาพการเรียนการสอนจากท่านเท่าที่ควร บ่อยครั้งก็สั่งแต่รายงานให้ไปทำมา แต่คุณค่าการเรียนการสอนในห้องเรียนแทบไม่มีเลย รวมถึงระบบการแลกเปลี่ยน ความรู้ ทัศนคติ แชร์ประสบการณ์ในห้องเรียน หรือความรัก ความเอาใจใส่ในคลาสเรียนไม่มีเลย กลายเป็นระบบธุรกิจล้วนๆ ที่อาจารย์มีหน้าที่มาป้อนข้อมูล ความรู้ให้กับนักศึกษาเท่านั้น ขาดวิญญาณความเป็นครูไปเลย (เฉพาะบางท่านเท่านั้นที่ผู้เขียนเคยได้พบประสบกับตัวเองมา)


กรณีค่านิยมสอบเข้าโรงเรียนดัง มีชื่อเสียง (เช่น โรงเรียนสาธิต โรงเรียนเตรียมอุดม)

เหตุผล บ้างก็ว่าเป็นการวางแผนระยะยาว ถ้าเข้าโรงเรียนสาธิตได้ถือว่าขาข้างหนึ่งเข้าไปอยุ่ในมหาวิทยาลัยได้แล้ว บางคนมองว่า เมื่อลูกได้เรียนในโรงเรียนดังๆ มีศิษย์เก่าชื่อดังมากมาย ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการ หมอ นักธุรกิจ สามารถสร้างสัมพันธ์ต่อยอดทางธุรกิจ ถือเป็นการลงทุนเพื่อซื้อสังคมให้ลูกได้ร่วมรุ่นกับลูกคนดัง บุคคลในสังคมชั้นสูง มีฐานะทางการเงิน มีน้อยคนที่พูดถึงความเป็นโรงเรียนสาธิตในฐานะสถาบันฝึกหัดครูของชาติ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการจัดตั้งโรงเรียนสาธิตแห่งแรกของไทย ตามดำริของ ศาตราจารย์ ม.ล.ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น เพื่อวางแผนโครงการจัดการเรียนการสอนเป็นเหน่วยสาธิตในแผนกฝึกหัดครูมัธยมของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ต้องยอมรับว่า โรงเรียน มศว.ปทุมวัน เป็นต้นแบบที่สร้างความตื่นเต้นให้วงการศึกษาไทยในยุคสมัยนั้น กลายเป็นแหล่งผลิตหลักสูตรใหม่ๆ และครูชั้นเยี่ยมของประเทศ ดึงดูดให้เหล่าเจ้าขุนมูลนาย ข้าราชการ และชนชั้นกลางส่งลูกหลานเข้ามาศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้เป็นจำนวนมาก มหาวิ่ทยาลัยอื่นๆ จึงเริ่มเปิดโรงเรียนสาธิต รวมถึงสถาบันราชภัฏ หรือวิทยาลัยครูในอดีตกันตามมา โดยวิทยาลัยครูพระนครนำร่องมาก่อน มีการโอนโรงเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ สังกัดกรมวิสามัญศึกษา เข้ามาสังกัดกรมการฝึกหัดครู ใช้ชื่อว่า โรงเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ แผนกสาธิตวิทยาลัยครูพระนคร เมื่อปี 2513 ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จนถึงปัจจุบันมีโรงเรียนที่ใช้ชื่อ “สาธิต” จำนวนมาก กลุ่มโรงเรียนสาธิตที่สังกัดมหาวิทยาลัยของรัฐมีทั้งหมด 16 แห่ง สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ 23 แห่ง โรงเรียนสาธิตของเทศบาลวัดเพชรจริกอีก 1 แห่ง และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นโรงเรียนสาธิตที่สังกัดมหาวิทยาลัยเอกชนเป็นแห่งแรก อย่างไรก็ตาม กระแส “สาธิตฟีเวอร์” ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงและยาวนาน เฉพาะโรงเรียนสาธิตไม่กี่แห่ง การสอบมีอัตราการแข่งขันสูง ในอัตรา 1 ต่อ 300 คน บางโรงเรียนสูงถึง 1 ต่อ 1,000 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงการแข่งขัน ช่วงแรก การสอบเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หรือ ป.1 กลุ่มโรงเรียนท็อปทรี ได้แก่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร ส่วนช่วงที่ 2 การสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หรือ ม.1 ได้แก่ โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน , สาธิต มศว.ประสานมิตร และสาธิตรามคำแหง ตามลำดับ พอถึงฤดูกาลการสอบแข่งขันจึงมักมีเสียงเล่าลือเกี่ยวกับเงินใต้โต๊ะ,ค่าแป๊ะเจี๊ยะ เงินบริจาค และการวิ่งเต้น ในกลุ่มผู้บริหาร ใช้เส้นสายนักการเมือง รัฐมนตรี ต่อสายถึงคณบดี ผู้อำนวยการและอาจารย์ แต่ใช่บ้าง ไม่ใช่บ้าง ยังไม่มีใครกล้าพูดอย่างเต็มปาก แท้ที่จริงแล้ว เงื่อนไขการสมัครสอบโรงเรียนในกลุ่มสาธิตเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มผู้ปกครอง คือ นอกจากการสมัครสอบตามปกติแล้วยังมีการสมัครผ่านโครงการสวัสดิการ การศึกษาสงเคราะห์ ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดไว้ให้ลูกหลานบุคลากรของมหาวิทยาลัย เช่น สาธิตจุฬาฯ มีโควต้า 150 คน แต่มีลูกหลานบุคลากรสมัครไม่เต็ม ผู้บริหารโรงเรียนจึงเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ และถือเป็นการใช้สิทธื้ของบุคคลภายนอก พ่อแม่ผู้ปกครองที่ใช้สิทธิ์สวัสดิการส่วนนี้ตามเงื่อนไขต้องจ่ายเงินค่าสิทธิ์สวัสดิการเพิ่มจากค่าเล่าเรียนอีกคนละ 50,000 บาทต่อปี กว่าที่จะได้ที่นั่งในโครงการสวัสดิการนี่แหละ คือ ตัวปัญหาที่ถูกตั้งข้อครหากันไม่จบ เพราะมีเกณฑ์กำหนดให้ผู้ปกครองทำความดีสะสมอย่างน้อย 2 ปี เพื่อนำเสนอคณะกรรมการโรงเรียน “ความดี” ที่ว่ามีหลายรูปแบบ ทั้งในแง่แรงกาย ในแง่สมอง และในแง่ปัจจัย เช่น เป็นผู้ปกครองอาสาสมัครทำโครงการต่างๆ คิดค้นหรือออกแรงจัดเตรียมงานต่างๆ หรือให้ทุนนิสิตคณะต่างๆ แน่นอนว่า มีผู้ปกครองต่อคิวขอสิทธิ์เกินกว่าจำนวนที่นั่งที่เหลือจากบุคลากรจุฬาฯ ทุกปีและมีผู้พลาดโอกาส ซึ่งต้องไปลุ้นผลการสอบที่จัดพร้อมกันทั้งหมด อดีตอาจารย์โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ คนหนึ่งกล่าวว่า โครงการนี้เป็นลักษณะปากต่อปาก ผู้ปกครองต้องทำความดีสะสมล่วงหน้าถึง 2 ปี คนที่ไม่รู้ไม่มีทาง แม้ทุ่มเงินถึงสิบล้านบาทหรือยกที่ดินให้โรงเรียนก็ไม่มีทางได้ ขณะเดียวกันโครงการนี้อาจไม่เปิดในบางปี ถ้ามีลูกหลานบุคลากรจุฬาฯ ใช้โควต้าเต็ม เด็กทุกคนก็ต้องสอบทั้งหมด

อาคารวรรณสรณ์ ศูนย์รวมโรงเรียนกวดวิชาที่ใหญ่ที่สุด มี 18 ชั้น อยู่บริเวณ ถ.พญาไท ตึก (ธ.ทหารไทยเก่า)


กรณีโรงเรียนกวดวิชา หอกข้างแคร่การศึกษา หรือ โรงบ่มวิชาหัวกะทิของประเทศ

การเติบโตอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดดของธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา ประเมินตัวเลขเงินสะพัดล่าสุดไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท มีโรงเรียนกวดวิชาที่จดทะเบียนมากถึง 6,000 แห่ง แบรนด์หลักๆ เกือบ 50 แบรนด์ ไม่นับรวมกลุ่มติวเตอร์สอนตามบ้านหรือจัดกลุ่มติวตามร้านฟาสต์ฟู้ด หลายธุรกิจเข้ามาเกาะกระแสต่อยอดหารายได้ มีทั้งบริการรถตู้โดยสาร หอพัก ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ศักยภาพด้านธุรกิจยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนจากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่ทุ่มงบประมูลซื้อตึกธนาคารทหารไทยเก่ามารีโนเวตใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มโรงเรียนกวดวิชา หลังจากอนุสรณ์ ศิวะกุล นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาชือดัง “เคมี อ.อุ๊” ลงเงินเกือบพันล้านผุดอาคารวรรณสรณ์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนจากเถ้าแก่โรงเรียนกวดวิชาสู่นักธุรกิจเจ้าของโครงการ “เอ็ดดูเคชั่นคอมเพล็กซ์” เต็มรูปแบบ หากมองเส้นทางธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา 40 กว่าปี แม้ย้ายทำเลและปรับรูปแบบมาเรื่อย แต่ถือเป็นธุรกิจที่ไม่มีวันตาย จากยุคแรกๆ มักเป็นการใช้โรงเรียนเป็นสถานที่กวดวิชา เนื่องจากการเปิดโรงเรียนกวดวิชาต้องขอใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการซึ่งยังไม่ใช่เรื่องง่าย หรืออาจเสี่ยงไปใช้ใบอนุญาตโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดและพ่วงสอนพิเศษด้วย เวลานั้นเริ่มมีตลาดกวดวิชาเกิดขึ้นแถวมหาวิทยาลัยมหิดล เช่น โรงเรียนพันธะศึกษา แต่ยังไม่มีการรวมตัวเป็นสถาบัน จนกระทั่งมีนายทุนคนหนึ่งเห็นโอกาสเชิงธุรกิจ เขาดึงอาจารย์จากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนชื่อดังมารวมกลุ่มตั้งสถาบันกวดวิชา “เป๊ป” อยุ่ย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ โดยเปิดคอร์สการเรียนพิเศษหลากหลายวิชาแบบครบวงจร “เป๊ป” ดังมากและประสบความสำเร็จ แต่ผ่านไประยะหนึ่งประกอบกับรัฐบาลในสมัยอานันท์ ปันยารชุน มีนโยบายเปิดเสรีธุรกิจโรงเรียนและต้องการแก้ปัญหาพวกปล่อยเช่าใบอนุญาตที่ปั่นราคาสูงถึงใบละ 5 แสนบาท จึงประกาศแจกใบอนุญาตโรงเรียนกวดวิชา อาจารย์กลุ่มนี้จึงเริ่มเห็นช่องทางทำธุรกิจ ผันตัวเองจากการเป็นมือปืนรับจ้างมาเป็นเจ้าของธุรกิจเสียเอง เกิดติวเตอร์แบรนด์ใหม่ๆ สอนเฉพาะวิชา โรงเรียนกวดวิชาจึงผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด มีทั้งเช่าห้องแถว และเช่าพื้นที่ในอาคาร อย่าง เดอะเบรน อาจารย์ช้าง อาจารย์เจี๋ย ช่วงนั้นแหล่งใหญ่อยู่ที่สยามสแควร์ ซึงบูมมาก และสามารถสร้างรายได้ให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะเจ้าของที่ดิน แต่ภายหลังเกิดปัญหาสัมปทานและการขึ้นค่าเช่าสูงมากเกือบ 600% ตกตารางเมตรละ 160,000-200,000 บาท ติวเตอร์หลายรายเริ่มหาที่ทางใหม่ ซึ่งรวมถึง “เคมี อ.อุ๊” ของอนุสรณ์ด้วย จุดเริ่มต้นของอนุสรณ์และอาจารย์อุ๊ หรือ อ.อุไรวรรณ ศิวะกุล มาจากการเป็นครูในโรงเรียนทับหลีสุริยวงศ์ โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ทั้งคู่มาพบกันที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย แต่สุดท้ายทั้ง 2 ท่านตัดสินใจทิ้งอาชีพข้าราชการครู มาทำธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาแทน

อาจารย์อุ๊ สอนเคมี ที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค

ประเด็นสำคัญที่ อนุสรณ์ย้ำก็คือการศึกษาของไทย ไม่ได้ผลิตครูที่มีคุณภาพ โรงเรียนไม่สามารถมีครูผู้สอนที่มีคุณภาพ ไม่สามารถบริหารจัดการคุณภาพได้เลย ถ้าทุกโรงเรียนมีครูที่มีคุณภาพ ซึ่งสะท้อนถึงการมีผู้บริหารที่ดีด้วย ในอดีตผู้บริหารที่ดีมาจากครูที่ดี แต่ทุกวันนี้ทั้งระบบทำให้ครูมีปัญหา พอครูมีปัญหา โรงเรียนก็มีมาตรฐานต่างกัน ถ้าโรงเรียนมีคุณภาพเท่ากันหมด เด็กคงไม่ต้องมาแย่งกันเข้าไม่กี่โรงเรียน ทั้งที่ผู้ปกครองทุกคนไม่อยากให้ลูกไปเรียนไกลบ้าน แต่โรงเรียนใกล้บ้านไม่มีคุณภาพ และกลายเป็นที่รวมของเด็กที่ไม่มีคุณภาพ เกิดปัญหาในชุมชน มีเรื่องชกต่อย ตีรันฟันแทง ทะเลาะวิวาทกัน หากเปรียบเทียบครูกับติวเตอร์ พบว่าติวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ชื่อดังๆ 80-90% คือใคร ไม่ได้เป็นครู แต่เป็นกลุ่มนักศึกษาจบปริญญาตรี โท สาขาแพทย์ วิศวะ คณิตศาสตร์ระดับเหรียญทองโอลิมปิก เนื่องจากการเรียนการสอนนอกระบบอย่างโรงเรียนกวดวิชา ไม่ได้บังคับครูผู้สอนต้องมีใบประกอบวิชาชีพครู แต่ติวเตอร์พวกนี้มีความรู้เชิงลึกในแต่ละสาขาอย่างแท้จริงและถ่ายทอดได้ดี (ไม่อยากจะบอกว่าบางคนเก่งกว่าครูในระบบเสียอีก ยกตัวอย่าง ครูลิลลี่ ที่สอนภาษาไทยได้รู้เรื่องเข้าใจง่ายจริงๆ ) หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ (ปฏิรูปการศึกษา) จึงอยู่ที่ “ครู” และครูที่เก่งมีคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องออกมาเปิดโรงเรียนกวดวิชากันหมดหรอก ถ้ารัฐเปิดพื้นที่และให้โอกาสพวกเขามากกว่านี้ (รวมถึงให้สตางค์มากๆด้วย อันนี้ผู้เขียนคิดเอง)

ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่สำคัญทีสุดของการปฏิรูประบบการศึกษาของไทยก็คือ การปฏิรูปแม่พิมพ์ของชาติเสียก่อน คือปฏิรุปครู อาจารย์ ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและปรับทัศนคติ จิตวิญญาณความเป็นครูเสียใหม่ จากนั้นจึงพัฒนาที่ตัวหลักสูตรการเรียนการสอน กระบวนทัศน์ใหม่ๆ ของการเรียนการสอน วิธีคิดในการเรียนการสอนของครูอาจารย์ กับลูกศิษย์ ที่จะต้องสอดคล้องต้องกัน เป็นที่ยอมรับด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย มีการแยกแยะองค์ความรู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นโรงเรียนพิเศษเฉพาะสาขาไปเลย อย่างเช่น ที่ ม.มหิดล มีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ เป็นต้น จากนั้นจึงคัดกรองเด็ก คัดสรรเด็กที่มีความต้องการ เรียนรู้เฉพาะด้าน ให้มีที่ทาง หรือโอกาสในการเข้าเรียน จากนั้นจึงจะหาเกณฑ์มาวัดผล หรือประเมินผล วัดความเป็นเลิศด้านวิชาการ แต่ระบบที่เป็นอยู่นั้นจะเรียกว่า เหวี่ยงแหได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะเกณฑ์การวัดผลแบบเกณฑ์เดียวกันทั่วทั้งประเทศ คนที่ผ่านเกณพ์ก็จะเป็นพวกหัวกะทิไปเลย แต่พวกที่ไม่ผ่านเกณฑ์นั้น ไม่ใช่ไม่เก่ง และเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งน่าจะต้องมาวิเคราะห์กันว่า สิ่งที่เด็กขาดไปคืออะไร และเสริมตรงส่วนนั้น การสร้างคนไม่ใช่เหมือนการสร้างสินค้า อันไหนไม่ผ่าน Q.C. ก็จับโยนลงถังขยะหรือไลน์การผลิตไปเลย มันไม่ใช่นะครับ สิ่งที่ต้องนำมาทบทวนก็คือ ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ของวัตถุดิบ แหล่งซื้อ เครื่องจักร สายพานการผลิต ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบกระแสไฟ หรืออะไรต่างๆ ว่ามีส่วนใดที่มันเดินผิดพลาด หรือคลาดเคลื่อน แม้เพียงเล็กน้อย มันก็ยังผลให้ผลผลิตออกมาไม่ได้มาตรฐานแล้ว ได้แต่หวังว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือผู้มีส่วนรับผิดชอบจะมีมันสมอง และวิสัยทัศน์ที่เท่าทันกับเด็กสมัยนี้ และเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และประเทศเพื่อนบ้านบ้างนะครับ ดูๆ รอบบ้านเราเป็นตัวอย่างก็ได้ และนำมาพัฒนาหรือปรับปรุงบ้านเราให้ดีขึ้นได้บ้าง 

หมายเหตุ : ถอดความบางส่วนจากบทความ RECONSTRUCTURING การศึกษาไทย, นิตยสารผู้จัดการ 360 องศารายเดือน ปีที่ 4 ฉบับที่ 38 เดือนมกราคม 2555


ข่าวการศึกษา - สพฐ.ไม่ฟันธง คะแนน O-Net ต่ำลง สะท้อน นร.ไร้คุณภาพ ชี้ เด็กอาจไม่ตั้งใจสอบ เพราะไม่ได้เอาผลคะแนนไปใช้ เหตุมหา’ลัยนิยมรับตรง พร้อมมอบสำนักมัธยมปลายวิเคราะห์หาสาเหตุ

กรณีสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ประกาศผลทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-Net ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประจำปีการศึกษา 2554 ซึ่งพบว่า คะแนนเฉลี่ยในปีนี้ลดลงอีกใน 5 วิชา จากทั้งหมด 8 กลุ่มวิชา ได้แก่ ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ สุขศึกษาและพลศึกษา และศิลปะ ส่วนวิชาที่คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2553 ได้แก่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ เฉลี่ย 14.99 คะแนน นั้น

วันนี้ (26 มี.ค.) นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ได้มอบให้สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย ของ สพฐ.ไปวิเคราะห์ผลคะแนน O-Net ระดับชั้น ม.6 ปีการศึกษา 2554 หาสาเหตุว่า ทำไมคะแนน O-Net ใน 5 วิชาหลัก จึงลดลง อย่างไรก็ตาม คะแนน O-Net ในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษดีขึ้น ส่วนตัวนั้นยังไม่ได้เห็นผลคะแนนอย่างเป็นทางการ เพราะติดราชการไปจังหวัดปัตตานี

ทั้งนี้ ตนไม่ได้ปฏิเสธผลคะแนน O-Net ดังกล่าว เพียงแต่อยากให้ข้อสังเกตุว่า การสอบ O-Net ระดับชั้น ม.6 นั้น ยังปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้แทรกซ้อนเข้ามาได้ ซึ่งอาจมีผลทำให้ผลคะแนน O-Net ออกมาต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเรื่องการรับตรง ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีโควตารับตรงจำนวนมาก บางแห่งก็ไม่ได้ใช้คะแนน O-Net ตรงนี้อาจทำให้นักเรียนบางส่วนไม่ตั้งใจทำข้อสอบ เพราะไม่ได้หวังนำคะแนน O-Net ไปใช้ประโยชน์ ต่างจากการสอบ O-Net ระดับชั้น ป.6 และ ม.3 ซึ่ง สพฐ.สามารถควบคุมปัจจัยแวดล้อมได้ดีกว่า อีกทั้งยังมีการนำผลคะแนน O-Net ไปใช้ในการสอบเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา จึงทำให้นักเรียนตั้งใจทำข้อสอบ ขณะเดียวกัน ผลคะแนน O-Net ของนักเรียนก็มีผลต่อการพิจารณาความดีความชอบของครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาด้วย

อนึ่ง สำหรับคะแนน O-Net ชั้น ม.6 ประจำปี 2553 ใน 8 วิชา มีค่าเฉลี่ยดังนี้ ภาษาไทย เฉลี่ย 41.88 คะแนน สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เฉลี่ย 33.39 คะแนน ภาษาอังกฤษ เฉลี่ย 21.80 คะแนน คณิตศาสตร์ เฉลี่ย 22.73 คะแนน วิทยาศาสตร์ เฉลี่ย 27.90 คะแนน สุขศึกษาและพลศึกษา เฉลี่ย 54.61 คะแนน ศิลปะ เฉลี่ย 28.54 คะแนน การงานอาชีพและเทคโนโลยี เฉลี่ย 48.72 คะแนน








วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

Fight Club ร่างทรงของคนมีอัตตา

Fight Club ร่างทรงของคนมีอัตตา
(ไม่ใช่หนังเก็บสบู่ หรือหนังบู๊ในห้องน้ำ)
จำได้ว่าเคยได้ชมหนังเรื่องนี้ครั้งแรกทางเคเบิ้ลทีวี ตอนดูรอบแรกนั้นสนุกมาก แต่ยังไม่เข้าใจเนื้อเรื่องหรือเรื่องราว ประเด็นที่เข้าต้องการนำเสนอ แต่เป็นหนังที่มีการเล่าเรื่องได้สนุก และหักมุมตอนจบที่สร้างความตื่นตะลึง และประทับใจมาก จนต้องหา DVD มาชมซ้ำอีกหลายรอบ เป็นหนังของเดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับคนเก่งอีกคนของวงการฮอลลีวู้ด ที่ถนัดสร้างหนังแนว dark movie (หม่นเศร้า,ฆาตกรรม) ได้ดี แกจะมีวิธีการเล่าเรื่องที่ชวนให้เราติดตามไปได้ตลอด  ไม่มีเบื่อเลย และพล็อตเรื่องในแต่ละเรื่องที่แกสร้างนั้น จะคล้ายๆ กันก็คือ การตีแผ่ด้านมืดในจิตใจคนนั่นเอง ดูๆ ไปแล้วผู้เขียนเอง สงสัยจะเป็นแฟนคลับของแกไปโดยไม่รู้ตัว เพราะชื่นชอบเกือบทุกเรื่องที่แกกำกับ คล้ายๆ ที่ชื่นชอบผลงานของผู้กำกับชาวเอเซียที่ชื่อหว่องกาไว แต่ทั้ง 2 ท่านนั้น ไปกันคนละทางกันเลย แต่ฝีมือนั้นเก๋าทั้งคู่ Fight Club นั้นตั้งชื่อได้ชวนฉงน สงสัยดียิ่งนัก เพราะไม่ได้ช่วยให้สามารถเดาเนื้อหาของเรื่องอะไรได้เลย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเด็นที่ต้องการจะนำเสนออะไรใดๆ ทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่คนดูจะเข้าใจผิด คิดว่าแนวทางของหนังจะไปในแบบหนังแอ็คชั่น แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ และยิ่งเมื่อดูหนังจนจบเรื่องแล้ว เรายิ่งเซอร์ไพร้ซ์ในเนื้อหา ประเด็นที่นำเสนอมากกว่าในแบบคาดไม่ถึง จนต้องอุทานว่า “เฮ้ยมันเจ๋งหว่ะ” แต่นั่นเป็นเพียงรอบแรกที่ดูเท่านั้น เพราะการดูรอบต่อๆ มา คงเป็นการดูเพื่อเก็บรายละเอียดในสิ่งที่เราไม่ได้สังเกต หรือตีความไม่ออก หรือมองข้ามไป หนังเรื่องนี้ออกฉายในปี 1999 นำแสดงโดยดาราแม่เหล็กอย่าง แบรด พิตต์ และเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ซึ่งตอนนั้นกำลังขึ้นหม้อ (กำลังโด่งดังมีผลงาน) มากๆ แต่ทำไม ๆ ตัวหนังไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เลย ทั้งๆ ที่องค์ประกอบก็ดีหมด ทั้งนักแสดงนำ เนื้อหา ประเด็น ผู้เขียนกำลังตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะการตั้งชื่อเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิด ไขว้เขวหรือเปล่า ทำให้ผู้ชมคาดหวังว่าจะเป็นหนังในสไตล์แอ็คชั่น บู๊สนั่นจอ แต่กลับเป็นหนังที่คนเข้าไปดูแล้วมึนตึ้บ ไม่รู้เรื่อง กว่าจะรู้เรื่องก็ค่อนไปทางท้ายเรื่องแล้ว และกระแสบอกต่อคงไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร จึงทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ แต่กระแสด้านการวิจารณ์นั้นดีใช้ได้เลย อย่างที่ผู้เขียนเองก็ชื่นชอบ


ตัวหนังเล่าเรื่องราว ของแจ็ค (แสดงโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของสังคมแบบทุนนิยม เห็นคุณค่าของคนจากวัตถุที่เขามี ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรู เสื้อผ้าแบรนด์เนม บ้านหลังใหญ่โต ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเขาไม่มีความสุขเอาเสียเลย ต่อการใช้ชีวิตวิ่งตามหาเงินทอง ของมีค่า บูชาเงิน แถมยังต้องทนกับความทรมานกับโรคนอนไม่หลับ แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อเขาได้พบกับ ไทเลอร์ (แสดงโดยแบรดพิตต์) หนุ่มที่แอนตี้สังคม และทุนนิยมอย่างสิ้นเชิง ทั้ง 2 คนได้ชกต่อยกันในคืนแรกที่ได้นั่งดื่มกัน แต่นั่นก็ทำให้แจ็คเริ่มรู้สึกว่า ไทเลอร์ มาทำให้ชีวิตเขามีชีวิตชีวา มีพละกำลังมากขึ้น ทั้งคู่ได้ร่วมกันเปิดสมาคม ไฟต์คลับ ขึ้นมา เป็นชมรมใต้ดิน ที่เป็นสถานที่ชุมนุมของชายหนุ่มที่จะมาชกต่อยกัน เพื่อระบายความเครียด ความกดดันในชีวิต โดยเป็นการชักชวนกันแบบปากต่อปาก รางวัลอะไรก็ไม่มี เป็นเพียงแต่ได้มาสังสรรค์พูดคุยกันเท่านั้น ไทเลอร์นั้นได้ตั้งกฏสำหรับชมรมไฟต์คลับไว้ว่า กฏข้อที่ 1 ห้ามพูดถึงไฟต์คลับ ส่วนกฎข้อที่ 2 ก็ให้กลับไปดูกฏข้อแรกใหม่ สรุปก็คือ ใครก็ตามที่เข้ามาอยุ่ในชมรมนี้แล้ว ห้ามไปพูดต่อ หรือเอาไปเล่าให้ใครคนอื่นฟัง มิฉะนั้นจะถูกขับออกจากชมรม นับวันสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเรื่องราวบานปลายใหญ่โตจนเกินการควบคุม เมื่อมีอยู่วันนึง ทั้งแจ็คและไทเลอร์ก้เข้าไปปล้น และทำลายข้าวของร้านค้า อาคารสำนักงาน ทำให้เกิดความเสียหาย จราจลกันไปทั้งเมือง จนแจ็คถูกจับมาสอบสวน ลงโทษ และเรื่องราวความสัมพันธ์ที่แจ็คได้ไปทำความรู้จักแฟนของไทเลอร์ และแอบมีความสัมพันธ์กัน แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา


ข้อความนับจากนี้จะเป็นการสปอยด์เนื้อหาแล้ว ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่ได้ดู กรุณาอย่าอ่านย่อหน้านี้ เพราะจะเป็นการเฉลยเนื้อหาทั้งหมดให้ข้ามย่อหน้านี้ไปอ่านย่อหน้าสุดท้ายเลย เพราะทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์นั้นเกิดจากจินตนาการของแจ็คเองคนเดียวล้วน ๆ ส่วนไทเลอร์นั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงร่างทรงองค์ลง ของแจ็คนั่นเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือแจ็คเป็นคน 2 บุคลิก นั่นเอง คือในยามปกติกลางวันเขามีชีวิตเฉกเช่นมนุษย์เงินเดือน ใช้ชีวิตตามกรอบของสังคมทุนนิยมไปตามเรื่องตามราว มีความเครียด ความกดดันในชีวิตสะสมอยู่ แต่พอกลางคืนก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนอีกบุคลิกหนึ่งซึ่งก็คือไทเลอร์ ที่เป็นคนดิบ กร้าน และแอนตี้สังคม ชอบชกต่อย หาเรื่อง ทำลายข้าวของ ส่วนผู้หญิงที่เล่าเรื่องมาว่าเป็นแฟนของไทเลอร์นั้น แท้ที่จริงก็คือแฟนของแจ็คนั่นเอง มีอยู่หลายฉากที่คนดูยังสงสัย แต่พอดูจนจบก็จะเข้าใจได้ ว่าไทเลอร์คือตัวตนในความคิดของแจ็คก็เท่านั้น เช่น ฉากที่แจ็คต่อยตัวเองแล้วทำทีว่าถูกเจ้านายทำร้ายร่างกาย เขาก็พูดว่า “มันทำให้เขารู้สึกว่าเหมือนต่อยกับไทเลอร์ในครั้งแรก” ซึ่งจริงๆ ก็คือการสู้กับตัวเองครั้งแรกนั่นเอง หรือฉากในรถที่แจ็คนั่งอยู่ในที่นั่งข้างคนขับเถียงกับไทเลอร์ที่ขับรถอยู่ แต่พอรถชนกันไทเลอร์กลับดึงแจ็คออกมาจากที่นั่งคนขับแทน รวมไปถึงฉากที่ทั้งคู่ขึ้นรถเมล์แต่แจ็คกลับจ่ายค่าโดยสารเพียงคนเดียว แจ็ครุ้ว่าไทเลอร์คือบุคลิกอีกตัวตนหนึ่งของเขา ซึ่งเป็นด้านมืดในจิตใจของเขา เขาต้องการฆ่าไทเลอร์ให้ตาย นั่นหมายความว่าเขาจำเป็นต้องจบชีวิตตัวเขาเอง


หนังต้องการนำเสนอประเด็นเนื้อหา เกี่ยวกับการค้นหาตัวตนที่แท้จริงและความต้องการของตัวเรา ซึ่งวิธีการที่จะค้นหาตนเองให้เจอนั้นมีหลากหลายวิธี แต่ในเรื่องนี้เขานำเสนอในวิธีการของการต่อสู้ชกต่อย (สัญลักษณ์) ทั้งที่สู้กับความกลัวของตัวเอง การชกต่อยกับคนอื่น ก็คือการต่อสู้กับอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า กับคนอื่น “หากคุณไม่เคยต่อสู้แล้ว คุณจะรู้จักตัวเองได้ดีเพียงใด? “ ส่วนสบู่มาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ สบู่เป็นสัญลักษณ์ของชมรมไฟต์คลับ เป็นการประชดประชัน แดกดันทุนนิยม ประมาณว่า สบู่คือสินค้าอุปโภคบริโภค คือเครื่องมือของทุนนิยมชนิดหนึ่ง หรือเป็นสัญลักษณ์ของสังคมทุนนิยม

จริงๆ เรื่องนี้จะแหลมคมกว่านี้ หากเอาวิธีการของศาสนาพุทธไปใช้ ตัวที่จะฆ่าทุนนิยมได้ดีที่สุด คือ อิทัปปัจจยตา นั่นคือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าเราดับปัจจัยที่ก่อให้เกิดทุกข์ มันจะไม่เกิดมาตั้งแต่ต้น ดับที่ผัสสะ (อายตนะทั้ง 6 รับรู้กลิ่นเสียงรูปรสสัมผัสต่างๆ รับรู้แล้ววาง) จะไม่เกิด เวทนา ดับที่เวทนา (การรับรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ แล้ววางเฉยเสีย) จะไม่เกิดตัณหา ดับที่ตัณหา (โลภ โกรธ หลง, ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วเกิดกิเลสแน่ ดับเสีย) จะไม่เกิดอุปาทาน ดับที่อุปาทาน (ตัวกู ของกู,เป็นขั้นที่แก้ยากแล้ว แต่ก็ยังดับได้) ตัวที่จะสู้กับทุนนิยมได้ดีก็คือ ชีวิต,เศรษฐกิจแบบพอเพียง สู้กับทุนนิยมได้สบาย ไม่ฟูมฟาย ไม่เดือดร้อน ลืมไป ศาสนาอิสลามก็มีบทบัญญัติที่สู้กับทุนนิยมได้เฉกเช่นศาสนาพุทธ แต่ต้องเคร่งจริงๆ เช่นกัน

ประวัติและผลงานของผู้กำกับ
 
David Andrew Leo Fincher (born August 28, 1962) is an American film and music video director who is known for his dark and stylish thrillers, such as Alien (1992) , Seven (1995), The Game (1997), Fight Club (1999), Panic Room (2002), and Zodiac (2007). Fincher received Academy Award nominations for Best Director for his 2008 film The Curious Case of Benjamin Button and his 2010 film The Social Network, which also won him the Golden Globe and the BAFTA for Best Director. His most recent film is 2011's The Girl with the Dragon Tattoo, an English-language adaptation of Stieg Larsson's novel of the same name.

เมดิคัลฮับ ตอบโจทย์การแข่งขัน AEC แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ค่ารักษาพยาบาลแพง

ผู้เขียนเองเป็นผู้ป่วยที่ปีๆ นึงจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะมีโรคประจำตัวที่จะต้องเข้าไปโรงพยาบาลเพื่อรักษากับคุณหมอผู้ดูแลประจำตัว ที่โรงพยาบาลของรัฐ อีกทั้งก็ยังเป็นคนไข้ในส่วนของลูกค้าประกันตนของระบบประกันสังคมอีกด้วย จึงมีโอกาสได้ใช้บริการโรงพยาบาลของเอกชนควบคุ่กันไปด้วย จึงเห็นข้อแตกต่างระหว่างการบริการของโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน เมื่อในอดีตนั้นแตกต่างกันอย่างมาก แต่ในปัจจุบันโรงพยาบาลของรัฐมักมีการเปิดให้บริการคลินิกพิเศษตอนเย็นหรือวันเสาร์เพิ่มขึ้นมา ทำให้ได้เห็นพัฒนาการ การปรับปรุงการบริการที่ดีขึ้นมาก บางแห่งก็ไม่ด้อยกว่า รพ.เอกชนเท่าไรนัก (ในแง่การบริการจริงๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งถือว่าทัดเทียมกันแล้วในปัจจุบัน) และยิ่งล่าสุด ข่าวที่สะเทือนวงการรักษาพยาบาล ก็คือ รพ.ศิริราช เปิดตัว รพ.แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หรือ SiPH ด้วยการเปิดให้บริการแบบเดียวกับระบบเอกชน แต่บุคลากรด้านนายแพทย์ มาจากคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.ศิริราช แน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาลย่อมแพงกว่าของ รพ.ศิริราช เดิม แต่ยังไงก็ถูกกว่า รพ.เอกชนชื่อดัง แต่คุณภาพดีเทียบเท่าหรือดีกว่าแน่นอน เพราะอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยที่สุดในเอเซีย แบบนำเข้าเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยในระดับโลกกันเลยทีเดียว อีกด้านนึง รพ.รามาธิบดี เองก็เปิดศูนย์การแพทย์แห่งใหม่ไปแบบเงียบๆ ที่ชื่อว่า ศูนย์การแพทย์อาคารเทพรัตน์ ซึ่งเป็นอาคารหลังใหม่ เพื่อรองรับคนไข้นอก ซึ่งนับวันจะทวีความหนาแน่นมากขึ้น แต่อาคารหลังใหม่นี้ ทันทีที่คุณก้าวเข้าไปใช้บริการ คุณจะนึกไม่ถึงว่า นี่เรากำลังเข้าไปใช้บริการของ รพ.รามาธิบดี ผู้เขียนนึกว่ากำลังเข้าไปใช้บริการ รพ.บำรุงราษฏร์ ภายในมีร้านรวง เยอะแยะมากมาย ราวกับศุนย์การค้า อาคารกว้างขวาง โอ่โถง ใหญ่โต แน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาล และค่าบริการ มีการปรับขึ้นจากเดิมที่เราไปใช้บริการที่ตึกหลังเก่า นิดหน่อย แต่การบริการเทียบเท่า รพ.เอกชนชั้นนำเลยทีเดียว นี่คงเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ตัวอย่างของ รพ.ภาครัฐที่มีการปรับตัว พัฒนาการบริการเพื่อตอบโจทย์ การที่ประเทศไทยกำลังจะกลายไปเป็น เมดิคัลฮับ (ศูนย์กลางการรักษาพยาบาลของภูมิภาคเอเซีย) และเพื่อรองรับการเปิดเสรีของตลาดร่วมอาเซี่ยน หรือที่เรียกว่า AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้แล้ว การปรับตัวหรือการแข่งขันในส่วนของ รพ.ภาคเอกชนนั้นมีมาอย่างต่อเนื่อง และอัตราเร่งที่มากกว่า รพ.ภาครัฐ อยู่ไกลโข เรามักจะได้ยินข่าวว่าเชน รพ.เอกชนขนาดใหญ่ ชื่อดัง นั้นได้เข้าไปซื้อกิจการ หรือควบรวม (M&A) กิจการโรงพยาบาลขนาดเล็ก หรือ รพ.ระดับภูมิภาค มาไว้ในเครือ เพื่อสร้างเครือข่าย ขยายฐาน สร้างอำนาจการต่อรอง และเป้าหมายที่สำคัญก็คือสร้างสเกล หรือขนาดของธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่ามาร์เก็ตแชร์ หรือ value ให้ใหญ่พอ ต่อการแข่งขันกับเครือโรงพยาบาลคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งเครือโรงพยาบาลจากต่างชาติ ที่จะเข้ามาช่วงชิงฐานลูกค้ากำลังซื้อสูง ซึ่งในขณะนี้ที่ถนนทุกสายจากทั่วเอเซีย และทั่วโลก กำลังมุ่งมาสู่ไทย ซึ่งเป็น Destination of Medical Hub in Asia ความที่ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของเราถูก แต่คุณภาพการรักษาเทียบเท่าระดับโลก รพ.บำรุงราษฏร์ ของไทยนั้นติดอันดับโลก ในระดับท็อปเท็นของโลก ด้านการรักษาพยาบาลในหลากหลายสาขา จึงมีมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกา บินมารักษาที่บ้านเรากันอย่างคึกคัก ซึ่งอานิสงส์ นี้ทำให้เครือ รพ.เอกชนของไทยอื่นๆ ก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วยเข่นกัน จากจำนวนคนไข้ชาวต่างชาติจำนวนมากที่เข้ามาทำการรักษาพยาบาลในเครือ รพ.เอกชนชื่อดัง ในอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี



นอกเหนือจาก รพ.บำรุงราษฏร์ (ซึ่งเป็นเบอร์ 1 ของ รพ.เอกชนในไทย) ประเทศไทยนั้นมีเครือ รพ.เอกชนใหญ่ๆ อยู่หลายกลุ่ม ด้วยกัน แบ่งเป็นกลุ่มของ รพ.กรุงเทพ (มีนายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ วิทยากร เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่มของ รพ.ปิยะเวท,รพ.ธนบุรี (มีนายแพทย์บุญ วนาสิน เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่มของ รพ.สมิติเวช ,กลุ่มของ รพ.พญาไท,เปาโล เมโมเรียล (มีนายวิชัย ทองแตง เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่ม รพ.บางกอกเชน ฮอสปิตอล,รพ.เกษมราษฎร์ (มีนายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์ เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่ม รพ.รามคำแหง,รพ.พระราม 9 (ของตระกูลชินวัตร คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่ม รพ.วิภาวดี (มีนายแพทย์ พร้อมพงษ์ พีระบูล เป็นผู้บริหารใหญ่)

ศิริราชโมเดล จุดกระแสการเปลี่ยนแปลง รพ.ไทย


การประกาศตัวให้บริการในรูปแบบเอกชนอย่างเต็มตัวของโรงพยาบาลศิริราช ถือเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของธุรกิจโรงพยาบาลในเมืองไทย และกลายเป็นโมเดลต้นแบบที่ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนจับตาดูอยู่ เพราะหากพูดถึงการให้บริการ รพ.รัฐ ต้องยอมรับว่า แทบไม่ต้องนึกถึงเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ เพราะเอาแค่บริการคนเจ็บป่วยให้ทันและเพียงพอก็นับว่าลำบากและสุดยอดมากแล้ว การประกาศตัวของ รพ.ศิริราช ในการให้บริการแบบเอกชน จึงเท่ากับเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมต่อวงการแพทย์เมืองไทยเป็นอย่างมาก ลำพังชื่อเสียงของ “ศิริราช” นั้นก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว การันตีคุณภาพเต็มร้อย ยิ่งเมือผนวกกับอัตราค่าบริการที่เบื้องต้นว่ากันว่า ราคาอาจจะย่อมเยากว่าเอกชนราว 20-30% งานนี้ก็ทำให้หลายคนในวงการมองว่าเป็นการจุดพลุให้การแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเดือดพล่านยิ่งขึ้นไปอีก เพราะนั่นเท่ากับว่า รพ.เอกชนน้องใหม่รายนี้ จะเข้ามาร่วมเอี่ยวเค้กก้อนใหญ่ที่มีมูลค่าเกือบแสนล้านเพิ่มอีกรายนึง นักวิเคราห์บางคนบอกว่า อย่าไปตกใจ ถือเป็นมิติใหม่ของการก้าวเข้ามาสู่การเปลี่ยนแปลง แต่อย่ามองว่า ศิริราชจะเข้ามาแข่งขันกับเอกชนเลย ตรงกันข้ามมันเป็นการเตรียมตัวเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะการเปิดตลาดร่วม AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2015 มากกว่า ของโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐมากกว่า



การเปิดตัว โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) โรงพยาบาลแห่งใหม่ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ซึ่งกำลังเป็นน้องใหม่ ในธุรกิจโรงพยาบาล แม่จะเป็นน้องใหม่ แต่ได้พ่อใหญ่อย่าง รพ.ศิริราช มาคอยช่วยดูแลทุกอย่างหรือ คอยซัพพอร์ท ทำให้โรงพยาบาลมีความพร้อมในทุกด้าน นอกจากนี้ การได้ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน มาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ รพ. SiPH ทุกอย่างจึงดูง่ายขึ้น ด้วยประสบการณ์ของ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ในการเข้ามาบริหาร “The Heart by Siriraj หรือศูนย์ตรวจรักษาโรคหัวใจ ซึ่งศูนย์นี้จะทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นสูง ในรูปแบบการให้บริการที่ไม่ได้แตกต่าง จาก รพ.เอกชนเลยทีเดียว เรียกได้ว่า The Heart by Siriraj คือศุนย์ตั้นแบบในการบริหารงานของ SiPH โดย รศ.นพ.ประดิษฐ์ วางตำนหน่งของ SiPH ให้เป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบสนองความต้องการผู้ป่วยในปัจจุบัน โดยเน้นการให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่ SiPH ได้รับการบริการที่สะดวกรวดเร็ว เช่นเดียวกับบริการของ รพ.เอกชน ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งอยุ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถัดจาก รพ.ศิริราช ทำให้มีภูมิทัศน์ที่งดงาม ระบบการคานาคมสะดวกสบาย ตัวอาคารสูง 14 ชั้น มีพื้นที่จอดรถกว่า 1,000 คัน ภายในอาคารประกอบด้วยห้องบริการผู้ป่วยนอก 177 ห้อง ห้องผ่าตัด 17 ห้อง ห้องพักผู้ป่วย 284 ห้อง หอผู้ป่วยวิกฤต 61 ห้อง พื้นที่ใช้สอยรวม 165,270 ตารางเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ทั้งเครื่องตรวจวินิจฉัยโรค ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ,เครื่องเร่งอนุภาค (LINAC) หรือเครื่องฉายรังสีรักษาผู้ป่วยโรค มะเร็ง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและแม่นยำมากที่สุดในปัจจุบัน รวมทั้งยังมีศูนย์รักษาโรคครบวงจร เช่น ศูนย์อายุรกรรม ศูนย์ศัลยกรรม ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็ง ศูนย์รังสีรักษา ศูนย์รังสีวินิจฉัย ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์ไตเทียม ฯลฯ นอกจากนี้ SiPH ยังเป็นูศูนย์กลางในการรักษาโรคซับซ้อนที่รักษายาก เนื่องจาก รพ.มีบุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์สูง รวมทั้งเป็นหนึ่งในศูนยิวิจัยด้านการแพทย์ที่สำคัญของประเทศอีกด้วย SiPH จึงพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ และรับผู้ป่วยโรคซับซ้อนที่รักษายาก ที่ส่งตัวมาจาก รพ.อื่นๆ อีกด้วย ถ้าที่ศิริราชมีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พอก็สามารถมาใข้บริการที่นี่ได้ หรือคนไข้ของเราต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่ศิริราช ก็สามารถไปใช้บริการกับศิริราชได้ทันที ด้านมาตรฐานการรักษา ถือเป็นมาตรฐานเดียวกันกับ รพ.ศิริราช ในอัตราค่าบริการที่สูงกว่า รพ.ศิริราช แต่ถูกกว่า รพ.เอกชนโดยทั่วไป แต่ในบางบริการก็อาจจะเท่ากันหรือแพงกว่า อาทิ รพ.เอกชน คิดค่าบริการ 100 บาท มา SiPH จะคิดเพียง 75-80 บาท ทีมแพทย์เราเป็นระดับอาจารย์แพทย์ ที่ทำงานอยู่กับ รพ.ศิริราช แต่เราไม่รับเข้ามาทำงานแบบเต็มเวลา แพทย์เหล่านี้จะมาทำงานเป็นพาร์ตไทม์ คือ ช่วงเวลาเย็น (นอกเวลาราชการ) หรือ เสาร์ อาทิตย์ แต่ถ้าเป็นเวลาราชการ แพทย์เหล่านี้จะมาทำงานที่นี่ได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง เพื่อให้งานสอน งานตรวจ จะต้องไม่เสีย ส่วนแพทย์ที่จะลาออกมาจากศิริราช ออกมาเพื่อมาทำงานที่นี่ ก็ไม่รับ ซึ่งเป็นการป้องกัน ลดปัญหาแพทย์ที่จะออกไปทำงาน กับ รพ.เอกชนได้ ในส่วนของรายได้ของ SiPH จะนำมาเลี้ยงตัวเอง และช่วยผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ใน 4 ด้าน คือการบริการผู้ป่วยโดยรวม การศึกษาของแพทย์ การวิจัย และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่วา ผู้ปวยทีเข้ามาใช้บริการที่นี่จึงจะเป็นทั้ง ผู้รับการรักษา และเป็นทั้งผู้ให้ ในเวลาเดียวกันด้วย ปีนี้ SiPH พร้อมเปิดให้บริการในเฟสแรก 30% ของพื้นที่อาคารทั้งหมด ภายในปลายเดือนเมษายนนี้ โดยจะให้บริการในสาขาอายุรกรรม และศัลยกรรม และโรคเฉพาะทางในกลุ่มโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองและประสาท เบาหวาน ไต กระดูกและข้อ ทางเดืนอาหารและตับ ทางเดินปัสสาวะ ส่วนเฟสที่ 2 เปิดให้บริการอีก 50% ภายในปี 2556 และระยะสุดท้าย อีก 20% ทีเหลือจะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2558 นอกจากเป้าหมายในเรื่องของการรักษาโรคและการบริหารแล้ว ยังตั้งเป้าที่จะให้ SiPH เป็น รพ.ที่น่ายกย่องชืนชมมากที่สุดในประเทศในปี 2559 ให้ได้ เราคงต้องมาดูกันว่า ภารกิจที่ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ได้รับจะทำให้ได้ถึงฝั่งฝัน ที่ต้องการเป็น เมดิคัลฮับ อย่างที่วางเอาไว้ได้หรือเปล่า แต่เชื่อว่านับจากนี้ไป รพ.เอกชนคงต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ ทั้งในเรื่องของบุคลากรทางการแพทย์ที่อาจจะหาได้ยากขึ้น และคนจำนวนคนไข้ที่อยากจะเข้าไปใช้บริการจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ


นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการเครือ รพ.พญาไท และเปาโล เมโมเรียล กล่าว ยอมรับว่า แม้ผลพวงจากการขยับของศิริราช สู่เส้นทางธุรกิจ รพ.เอกชน ในวันนี้ อาจจะเข้ามาแย่งมาร์จิ้นไปส่วนหนึ่ง โดยสะท้อนได้จากราคาในตลาดหุ้นในช่วงนี้ แต่โดยภาพรวมไม่กระทบมากนัก อีกทั้งยังจะช่วยยกระดับและเพิ่มทางเลือกในวงกว้างมากขึ้น และเชื่อว่าจะส่งผลให้ธุรกิจสุขภาพจากนี้ไปจะเติบโตอย่างเด่นชัด สิ่งทีต้องจับตามองต่อไปจากก้าวย่างของศิริราชในครั้งนี้ คือ จะกระตุ้นให้โรงเรียนแพทย์ และ รพ.เอกชนต้องปรับตัวจากนี้ไป โดยเห็นว่า รพ.เอกชน ควรจะหันมาผนึกกำลังกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น และไม่อยากให้โฟกัสเฉพาะการแข่งขันในประเทศ ต้องมองไปถึงการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก เนื่องจากในอีก 3 ปีข้างหน้า AEC จะเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นจาก 70 ล้านคน เป็น 600 ล้านคน ดังนั้นทุกภาคส่วนจึงต้องเร่งปรับตัวรับมือสิ่งเหล่านี้ให้ทัน ดังเช่น การควบรวมกิจการในเครือ รพ.พญาไท เข้ากับ รพ.เปาโล เมโมเรียล และกรุงเทพดุสิตเวชการ ในปีที่ผ่านมา คุณวิชัย กล่าวว่า เป็นทั้งการปรับตัวและการขับเคลื่อน เพื่อเตรียมความพร้อมกับการแข่งขันในสนามรบที่กว้างขึ้น เพื่อรองรับตลาดมูลค่ามหาศาล และถือเป็นโมเดลที่ทุกประเทศในเอเซียแปซิฟิกกำลังจับตามอง เนื่องจาความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ รพ.ในเมืองไทย จะเห็นได้จากนักลงทุนหันมาสนใจซื้อหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น จนทำให้มาร์เก็ตแคปทะลุหุ้นกลุ่ม รพ.ของออสเตรเลียไปแล้ว คุณวิชัย ยังเชื่อว่า อนาคตจะเห็น ร.ร.แพทย์ และ รพ.รัฐ ปรับตัวลงมาให้บริการโมเดลแบบเดียวกับ รพ.ศิริราช มากขึ้น ส่วน รพ.เอกชน นอกจากแนวทางควบรวมกิจการแล้ว ยังต้องมองหาแนวทางเสริมศักยภาพเฉพาะของตนเองให้เด่นชัดด้วย อย่างการเป็นสเปเชียลลิสต์เฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น ร.พ.ตา ,หรือ หูคอจมูก เป็นต้น หรือการปรับตัวสู่การแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ก็เป็นสิ่งที่สามารถจะทำได้และเกิดได้เร็ว แม้การเคลื่อนไหวของศิริราชในครั้งนี้ จะสร้างแรงกระเพื่อมได้บ้าง แต่ปีนี้เครือ รพ.พญาไทและเปาโล ยังคงตั้งเป้าเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักอย่างแน่นอน ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากแนวทางการควบรวมกิจการที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ คุณวิชัยยืนยันว่า แผนหลังควบรวมกิจการครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เกิดความเข้มแข็งจนกลายเป็นเครือ รพ.กลุ่มใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแล้ว ความแข็งแกร่งนี้ยังช่วยให้มีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปซื้อธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในตอนนี้

ผู้เขียนคิดว่า โมเดลของ รพ. SiPH ในเครือ รพ.ศิริราช เป็นต้นแบบของ รพ.รัฐที่ออกนอกระบบราชการ เฉกเช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการนั่นเอง คือพยายามที่จะบริหารงานเป็นแบบเอกชน ใช้ต้นทุนของรัฐแต่หากำไรแบบเอกชน เพื่อที่จะมีรายได้มาหล่อเลี้ยงตัว รพ.แม่ส่วนหนึ่ง และเพื่อที่จะเป็นฐานรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงตนเองให้อยู่รอดได้ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณของภาครัฐที่ปีๆ นึงมีไม่มากนัก ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรคนไข้ และบุคลากรทางการแพทย์ที่จะต้องจ่ายค่าจ้างที่สูงมากพอที่จะทำให้พวกเขายังคงอยู่กับโรงพยาบาลต่อไป ส่วนอีกด้านนึง พวก รพ.เอกชนจำเป็นต้องควบรวมกิจการกันเองหรือผูกโยงกันเป็นเครือข่าย ให้มีขนาดกิจการที่ใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง และเป็นการลดต้นทุน อีกทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มของกิจการ หรือเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน ที่เรียกว่า synergy เพื่อที่จะต่อกรกับ รพ.รัฐที่ออกนอกระบบ ต่อกรกับ รพ.เอกชนด้วยกันเอง เครือ รพ.ใหญ่ ๆ จากต่างประเทศ หรือเพื่อรองรับการแข่งขันอย่างเสรี และรุนแรงจากเครือ รพ.เอกชนขนาดใหญ่ในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เครือ รพ.ของสิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารกิจการโรงพยาบาลเอง ที่จะบริหารกิจการอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและยังคงสร้างผลกำไรให้มากที่สุด แม้ว่าการขยายกิจการ เพิ่มมูลค่าตลาด ขนาดของธุรกิจใหญ่ขึ้น จะสามารถลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้มากมายเพียงใด แต่ไม่ได้หมายว่า เขาจะคำนึงถึงการตั้งราคาให้ต่ำที่สุดเพื่อผู้บริโภคหรือผู้ป่วยหรือคนไข้หรอกนะครับ ตรงกันข้ามเลย การลดต้นทุนให้ต่ำ และตั้งราคาให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นการตอบโจทย์หรือเป้าหมายในการสร้างผลกำไรมหาศาล เฉกเช่นธุรกิจทุกประเภทในระบบทุนนิยม เฉกเช่นบรรษัทธุรกิจขนาดใหญ่ในโลกนี้ มีมั๊ยที่จะขายสินค้าหรือบริการให้ผู้บริโภคในระดับราคาประหยัดหรือถูกลงมา มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง เราเคยสังเกตเห็นธุรกิจอะไรก็ตามก่อนทำการควบรวมกิจการก็จะอ้างว่า เมื่อควบรวมกิจการกันแล้วจะทำให้ลดต้นทุนลงอย่างมาก และเพื่อสร้างผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของกิจการได้มากขึ้นในระยะยาว แต่เขาจะไม่เคยพูดถึงผู้บริโภคหรือผู้ใช้ปลายทางของเขา อาทิ กิจการในเครือ ปตท.เมื่อควบรวมกิจการมากๆ เข้ากลายเป็นยิ่งทำกำไรได้อย่างมโหฬาร แต่ราคาพลังงานต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมที่จะปรับราคาลงมา ดูต้วอย่างของเคเบิ้ลทีวี เมื่อก่อนตอนที่เหลือเพียง UBC (เป็นการควบรวมกันระหว่าง IBC กับ UTV) ราคาก็ไม่ลดลงให้ผู้บริโภค เพราะว่าผูกขาดเหลืออยู่เจ้าเดียวแล้วในขณะนั้น แม้ว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็น Truevision แล้วก็ตาม แม้ตลาดเคเบิ้ลทีวีมีหลายเจ้าแล้ว แต่เขายังคงตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งอยู่มาก ,ลองดูธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่างเครือเมเจอร์ซีนีเพล็ก (ไปซื้อกิจการ EGV คู่แข่งมาอยู่ในเครือ) หลังจากนั้นในเครือโรงหนังนี้ ไม่มีโรงหนังราคาประหยัดอีกเลย มีแต่พรีเมียม และพรีเมี่ยมกว่า เช่น พาราก้อนซีเนเพล็กซ์ เอสพลานาด ไอแม็กซ์ ปัจจุบันค่าตั๋วดูหนังสูงขึ้นเกือบทุกปี แล้วก็มักจะอ้างเงินเฟ้อ อ้างค่าครองชีพ อ้างต้นทุนนำเข้าภาพยนตร์มีราคาสูง ทำให้ต้องปรับราคา แต่ทำไมคู่แข่งอีกค่ายนึง SF กับทำราคาต่ำกว่าได้ หรืออย่างข้าวของเครื่องใช้ในร้านโชว์ห่วยติดแอร์อย่าง 7-11 ลองสังเกตุดูราคาสินค้าในร้านดูสิครับ ส่วนใหญ่มีราคาสุงกว่าในร้าน moderntrade (Big C, Tesco Lotus) มาก ทุกวันนี้เขาอยุ่ในฐานะกึ่งผูกขาดในตลาดร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว ทำให้ไม่มีคู่แข่ง จะตั้งราคาสินค้าสูงกว่าคนอื่นอย่างไรก็ได้ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่ข้ออ้างเรื่องการควบรวมกิจการ การลดต้นทุนต่างๆ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขายอมลดมาร์จิ้นมาตั้งราคาขายต่ำๆ หรือถูกๆ ให้กับผู้บริโภคอย่างเราๆ หรอก เพราะโลกของทุนนิยม เขาว่ากันด้วยตัวเลขกำไร ใครทำได้มากกว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอามากกว่า คนนั้นคือผู้ชนะในเกมแข่งขันเสรี แล้วก็จะมีอำนาจต่อรองสูงขึ้นไปอีก และก็จะยิ่งตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งขันอื่นมากขึ้นไปอีก เป็นวงจรอุบาทว์ของความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

ข่าวการควบรวมกิจการ และซื้อหุ้นเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
 
ทันหุ้น - BGH ขยายลงทุนเข้าซื้อหุ้น BH เพิ่มอีก 6.05% สรุปถือหุ้นเป็น 20.28% หวังผลตอบแทนและดันรายได้เติบโตในอนาคต ฟากโบรกมองทิศทางธุรกิจ BGH ไปได้สวยจากการเติบโตลูกค้าผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงแผนขยายธุรกิจยาวเหยียดทั้งแผน ควบรวมกิจการ-เข้าซื้อกิจการ และแผนลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ชู BGH หุ้น Top Pick กลุ่มโรงพยาบาล แนะสอยเป้าหมาย 90.00 บาท นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BGH เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือBH ทั้งหมดจำนวน 44.2 ล้านหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.05 ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของ BH ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,234,854,865.53 บาท จึงเป็นผลให้บริษัทถือหุ้นใน BH รวมทั้งสิ้น 148,027,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.28 ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของ BH โดยการเข้าลงทุนดังกล่าวใช้แหล่งเงินทุนจากเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการและแหล่งเงินทุนภายนอกจากสถาบันการเงิน ภายหลังจากรายการดังกล่าวBH จะกลายเป็นบริษัทร่วมของบริษัทซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานของ BH ตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียในงบการเงินรวมของบริษัทได้ ทั้งนี้ เริ่มจากวันที่บริษัทเข้าถือหุ้นใน BH เกินกว่าร้อยละ 20 บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ"ซื้อ" BGH ราคาเป้าหมาย 90.00 บาทต่อหุ้น โดยระบุว่า การเติบโตของรายได้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 15%เทียบกับเป้าของบริษัท 11% ในปี2555 จากปัจจัยขับเคลื่อนคือลูกค้าผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ ส่วนจากการควบรวมกิจการโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลยังคงไม่สิ้นสุด BGH จะร่วมมือกับโรงพยาบาลพญาไทในการให้บริการด้านหัวใจที่โรงพยาบาลพญาไท 3 โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ในขณะเดียวกัน BGH จะร่วมมือกับโรงพยาบาลเปาโลในการเปิดหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลเปาโล นวมินทร์ ในปีนี้BGH จะส่งทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากร ช่วยสนับสนุนการให้บริการดังกล่าว กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ BGH สามารถเพิ่ม Asset Utilization และการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวผ่านจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และราคาการให้บริการที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ BGH อยู่ระหว่างหาโอกาสที่จะลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่ และมีแผนเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลภายในประเทศ ขณะที่โรงพยาบาลสมิติเวช (บริษัทในเครือของBGH) มีการบริหารโรงพยาบาลหนึ่งแห่งในพม่า ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูง BGH มีแผนที่จะลงทุนในพม่าในอนาคตเมื่อประเทศเริ่มเปิดมากขึ้น อย่างไรก็ดี BGH คาดการเปิดโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) ของโรงพยาบาลศิริราช จะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อBGH เนื่องจาก BGH รับแพทย์จากทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนรวมถึงโรงพยาบาลในต่างประเทศดังนั้น บริษัทคาดการเปิดของSiPH จะไม่กระทบต่ออุปทานของแพทย์ ทางด้านอุปสงค์การบริการทางการแพทย์ในประเทศมีการเติบโตหลังรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิต ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BGH ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มโรงพยาบาล ราคาเป้าหมาย 90 บาทต้อหุ้น โดยประมาณการให้ 3 ปี EPS CAGR 17% เทียบกับ BH 8% และKH 15% ในขณะที่ PEG 1.0 เท่า ในปี 2555 ถูกที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่2.4 เท่า



KH พุ่ง 6.82% บอร์ดยอมรับมีแผนควบรวมกิจการ รพ.อื่น แต่ขอรอดูจังหวะก่อน


ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2553 11:28:31 น.
หุ้น KH ราคาวิ่งขึ้น 6.82% มาอยู่ที่ 7.05 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท มูลค่าซื้อขาย 188.68 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น. โดยเปิดตลาดที่ 6.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 7.35 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 6.75 บาท
ล่าสุดเมื่อ 11.12 น.หุ้น KH อยู่ที่ 6.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท(+5.30%)มูลค่าซื้อขาย 211.46 ล้านบาท
นายไพบูรณ์ นาโคศิริ กรรมการ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล(KH)กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯสนใจแนวทางการควบรวมกิจการกับโรงพยาบาลอื่นในอนาคตเหมือนกัน แต่คงต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสมก่อน ซึ่งก็เป็นแนวทางที่จะช่วยขยายธุรกิจตามปกติ
"อนาคตแผนการควบรวมกิจการก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ต้องรอดูจังหวะ ก่อนหน้านี้เราก็เคยคุยในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่คุย ซึ่งทิศทางการขยายธุรกิจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เห็นเขาทำแล้วเราจะทำตาม"นายไพบูรณ์ กล่าว
กรรมการ KH กล่าวว่า ไม่แปลกใจกับการที่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)ซื้อกิจการเครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโล เพราะเดิม BGH ถือหุ้น รพ.พญาไท อยู่แล้วประมาณเกือบ 20% โดยซื้อจากแบงก์เจ้าหนี้ของทางบมจ.ประสิทธิพัฒนา(PYT)ในช่วงรพ.พญาไทมีปัญหาด้านการเงิน จากนั้นก็มาคิดต่อว่าหากอยากมีส่วนร่วมในการบริหารงานด้วยก็ต้องถือหุ้นเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความเคลื่อนไหวของ BGH คงไม่กระทบกับ KH มากนัก เพราะต้องมองว่าตลาดธุรกิจโรงพยาบาลของ KH กับ BGH อยู่คนละตลาดกัน โดย KH จะเป็นตลาดเงินสด และจับลูกค้าระดับกลาง
นายไพบูรณ์ กล่าวต่อว่า เดิมบริษัทฯมีสัดส่วนที่เป็นผู้ถือบัตรประกันสังคม 25% และผู้ที่จ่ายเงินสด 60% และมีส่วนของผู้ที่อยู่ในโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติ(UC) 15% นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาได้ยกเลิกในส่วนของ UC ไป ดังนั้นจึงตั้งเป้าหมายว่าปีหน้าสัดส่วนในส่วนผู้ประกันตนจะมี 30% และส่วนลูค้าเงินสดจะเพิ่มเป็น 70%  ปัจจุบัน รพ.ในเครือมีทั้งหมด 6 สาขา และกำลังก่อสร้างอีก 1 สาขาที่แจ้งวัฒนะ ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะดูแลผู้ป่วยเงินสดเท่านั้น ดังนั้น จึงจะใช้ชื่อที่แตกต่างออกไป เป็นชื่อ "The World Medical Center"คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในต้นปี 55  สำหรับผลการดำเนินงานของปีนี้บอกได้แต่เพียงว่า ทำรายได้ และกำไร ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร