วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Brand Supremacy - Case Study Nike



เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์ผู้นำที่เป็นหนึ่งในเรื่องนวัตกรรมกีฬา “ไนกี้”  เป็นแบรนด์ต้นๆ ที่คนส่วนใหญ่คิดถึง  ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน นวัตกรรมแรกของไนกี้ได้ถือกำเนิดขึ้นจากประกายความคิดของ “บิล บาวเวอร์แมน”  สุดยอดโค้ชทีมวิ่งระดับตำนานของมหาวิทยาลัยโอเรกอนและของโลก ผู้ปั้นนักวิ่งซึ่งต่อมามีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์กีฬาวิ่งของโลกหลายต่อหลายคน  บาวเวอร์แมนยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งไนกี้และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดและผลักดันเป้าหมายสูงสุดของแบรนด์ในการนำเสนอนวัตกรรมและแรงบันดาลใจให้แก่นักกีฬาทุกคนในโลกนี้

ในปี พ.ศ.2514 ขณะที่บิล บาวเวอร์แมน กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่กับภรรยา เขาเกิดความคิดแหวกแนวอย่างหนึ่งขึ้นมา วาฟเฟิลในจานไม่ได้ดูเหมือนแค่อาหารเช้า เพราะจากรูปแบบตารางช่องๆ ของวาฟเฟิล  ทำให้เขาเกิดไอเดียขึ้น เขามองเห็นอนาคตของรองเท้าวิ่งที่จะมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะ และการเร่งความเร็วที่ดี เขาได้ทดสอบทฤษฏีที่คิดค้นนี้โดยนำยางมาเทลงในเครื่องทำวาฟเฟิล เมื่อยางแข็งตัวเขาจึงได้พื้นรองเท้าแบบใหม่  รองเท้าโอเรกอน วาฟเฟิลรุ่นแรก ประกอบไปด้วยโลโก้  Swoosh  บนพื้นแดง และเป็นรองเท้าแบบแรก ในตลาดที่มีพื้นรองเท้าแบบวาฟเฟิล มีน้ำหนักเบา ซึ่งเหมาะสำหรับการแข่งขันหรือการฝึกซ้อม นับจากนั้น ลายวาฟเฟิลได้กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของรองเท้าวิ่งรุ่นต่างๆ ของไนกี้  ไนกี้ยังคงคิดค้นพัฒนาต่อไป จนกระทั่งคิดค้นเทคโนโลยีที่มาแทนวาฟเฟิลในไม่กี่ปีให้หลัง   

เรื่องราวประวัติศาสตร์ความผูกพันระหว่างแบรนด์ไนกี้และกีฬาวิ่งคงจะไม่สมบูรณ์ ถ้าเราไม่ได้พูดถึงยอดนักวิ่งแห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอนและทีมชาติสหรัฐอเมริกาในยุคทศวรรษที่ 70 ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “จิตวิญญาณของไนกี้”   เขาคือ “สตีฟ พรีฟอนเทน”  ในยุคนั้น “พรี”  (ชื่อเล่นที่ทุกคนใช้เรียกเขา)  เป็นสุดยอดนักวิ่งของสหรัฐอเมริกา ที่คว้าอันดับ 1 จากเกือบทุกสนามที่ลงแข่ง เป็นเจ้าของทุกสถิติของสหรัฐอเมริกาสำหรับการวิ่งระยะทางตั้งแต่ 2 ถึง 6 ไมล์ ตลอดช่วงเวลาที่ลงแข่งขัน เขาทำลายสถิติวิ่งของตนเองและของสหรัฐอเมริกาถึง 14 ครั้ง เขาเป็นขวัญใจของคนดูในสนาม โดยทุกคนจะลุกขึ้นและตะโกนชื่อเขาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าทุกครั้งที่จบการแข่งขัน  

 
พรีฟอนเทน เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของ บิล บาวเวอร์แมน และเป็นนักกีฬาคนแรกที่สวมรองเท้าวิ่งของไนกี้ลงแข่งขัน  เขายังมีส่วนร่วมในการทดสอบผลิตภัณฑ์ และออกความเห็นเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของนักกีฬาได้ดีที่สุด แต่แล้วในเดือนพฤษภาคม 2518 แฟนๆ ทั่วโลกต่างช็อกกับข่าวการเสียชีวิตของพรี จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวัยเพียง 24 ปี ถึงแม้พรีจะไม่เคยได้เหรียญใดๆ จากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แต่เขาก็ได้กลายเป็นตำนานของกีฬาวิ่งไปแล้ว  ปัจจุบัน พรียังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักวิ่งทั่วโลก  ด้วยเรื่องราวความสามารถในการวิ่ง ความชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และที่สำคัญที่สุด คือความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะชนะ เขาทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดเพื่อเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 เสมอ โดยไม่หวังจะได้อันดับรองจากนั้น คำพูดของเขาประโยคหนึ่งที่ถือเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักวิ่งทั่วโลกคือ  To give anything less than your best is to sacrifice  your gift  จากผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับนักกีฬาเพื่อใช้ในการฝึกซ้อมและลงสนามแข่งขัน ไนกี้ได้นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ “ไนกี้ สปอร์ต คัลเจอร์”  เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ชอบนำเสื้อผ้าแนวกีฬามาใส่ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งให้ความสำคัญในเรื่องของแฟชั่นและสไตล์ด้วย

ไนกี้ยังคงยึดเรื่องของกีฬาและนวัตกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ใส่พลังความแปลกใหม่ที่หลากหลายเข้าไปเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้หลงใหลในแฟชั่นและสไตล์  ตัวอย่างเช่น คอลเลคชั่นฤดูหนาวเมื่อปี 2006  คอลเลคชั่นที่ชื่อ “สปอร์ต เฮริเทจ” มีไฮไลต์สำคัญคือ  รองเท้าโอเรกอน วาฟเฟิล ดีไซน์ ย้อนยุคที่ยังคงเอกลักษณ์ของไนกี้เอาไว้ และแจ็คเก็ต “วินด์รันเนอร์” ที่มีจุดเด่นคือดีไซน์ รูปตัววี 26 องศา ออกแบบโดยเจฟฟ์ โฮลิสเตอร์ (ภายหลังไปสร้างแบรนด์โฮลิสเตอร์เป็นของตนเอง)  อดีตนักวิ่งลูกศิษย์ของโค้ชบิล บาวเวอร์แมน ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน และเป็นผู้ชักชวนพรีฟอนเทนให้มาร่วมงานกับไนกี้เป็นครั้งแรก

ในปี 1948 บิลล์ บาวเวอร์แมนซึ่งเป็นโค้ชให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน มีผลงานอย่างในการแข่งขัน NCAA outdoor championships ในปี 1962, 1964, 1965 และ 1970 เขายังทำให้ทีมชาติอเมริกาสามารถพิชิตถึง 6 เหรียญทอง ในโอลิมปิก และฟิล ไนต์ได้รู้จักกับบาวเวอร์แมนในขณะที่เขาเป็นนักวิ่งให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการรองเท้าคุณภาพเยี่ยมที่มีความเบาและทนทานสำหรับการแข่งขัน จนในปี 1962 ไนต์ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลและพบว่ารองเท้ากีฬาจากประเทศญี่ปุ่นมีคุณภาพดี และมีราคาถูกกว่าสินค้ากีฬาจากประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้นำตลาดในอเมริกาอยู่ขณะนั้น และหลังจากที่ไนต์เรียนจบด้าน MBA จึงได้ออกเดินทางไปทั่วโลก และไปที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเขาได้มีโอกาสพบกับ Onitsuka Tiger Company โรงงานผลิตรองเท้ากีฬาของญี่ปุ่น และชักชวนให้ Tiger ขยายตลาดเข้ามาในอเมริกา    ไนต์ใช้ชื่อสินค้าว่า “Blue Ribbon Sports” หรือ BRS ซึ่งเป็นชื่อเดิมของไนกี้ และได้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับบาวเวอร์แมนที่ชื่อ BRS Inc.ขึ้น โดย ไนต์ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านการเงินและการตลาด ส่วนบาวเวอร์แมน ดูแลทางด้านการพัฒนาออกแบบรองเท้ากีฬา

ต่อมาในปี 1970 บาวเวอร์แมนทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวาฟเฟิล (Waffle) ของภรรยาเขา ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำหรับรองเท้ากีฬา ที่พื้นรองเท้าเป็นแบบที่เห็นในทุกวันนี้ ถัดมาในปี 1971 บาวเวอร์แมนจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ชื่อว่า Nike Inc. ในปีถัดมา BRS Inc. และ Onitsuka Tiger ได้แยกบริษัทออกจากกันอันเนื่องจากความขัดแย้งกันทางธุรกิจ ในปีนี้เองได้ออกแบรนด์ไนกี้เพื่อเจาะกลุ่มนักกีฬากรีฑาในโอลิมปิก ต่อมาในปี 1981 BRS Inc. และ Nike Inc. ได้รวมบริษัทเข้าด้วยกัน  ในปี 1984 ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อดังได้มาร่วมงานกับไนกี้ ซึ่งทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด โดยมีผลิตภัณฑ์ ที่ใช้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อ "Jordan" และในปี 1997 สินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของ “M.J.” แตกไลน์ออกไปโดยใช้ชื่อ "12-Star products" (ในปีนั้นไมเคิล จอร์แดนได้รับเป็นผู้เล่น All-Star Game ถึง 12 ครั้ง) และไนกี้ยังประสบความสำเร็จกับแคมเปญ โฆษณาชุด “Just Do It” อีกด้วย

ปัจจุบัน Nike Inc. มีพนักงาน 23,000 คนทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือที่เมืองโอเรกอน ประเทศอเมริกา และประเทศเนเธอร์แลนด์ กีฬาสำคัญที่ไนกี้ได้ให้การสนับสนุน คือ บาสเกตบอล เบสบอล อเมริกันฟุตบอล และเทนนิส ฯลฯ

แคมเปญ โฆษณา

ไนกี้เริ่มทำโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2525 สำหรับการออกอากาศในการถ่ายทอดการแข่งขันนิวยอร์กมาราธอน สร้างโดย บริษัท Wieden+Kennedy โดยคำขวัญที่ว่า Just do it ซึ่งได้รับการยกย่องจาก แอดเวอร์ไทซิ่ง เอจ ว่าเป็นหนึ่งในห้าสโลแกนแห่งศตวรรษที่ 20   การใช้นักกีฬาในการเป็น Brand Endorser ทางไนกี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2521 โดยเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักเทนนิสชาวโรมาเนียชื่อ IIie Nastase ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ นักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน ไมเคิล จอร์แดน ซึงไนกี้เป็นสปอนเซอร์ตั้งแต่ปี 2527 และผลิตภัณฑ์สำหรับกีฬาบาสเกตบอลไลน์จอร์แดน ยังทำรายได้ให้ไนกี้มหาศาล   สำหรับแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ของ ไนกี้ ได้รับการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สมิทโซเนียน  ปัจจุบัน ไนกี้ ได้เข้าสู่ตลาดกอล์ฟ โดยใช้ Tiger Woods เป็น Brand Ambassader (TAK MBA ABAC)


 

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ย้อนตำนานยุครุ่งเรืองซีรี่ย์ญี่ปุ่น ตอนที่ 2


สงครามชีวิต...โอชิน เป็นละครตอนเช้าของสถานีโทรทัศน์ NHK  เริ่มฉายที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2526 เมื่อนำเข้ามาถึงเมืองไทย ออกอากาศครั้งแรกเมื่อคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2527 เวลา 21.20 น.เพียงแค่ซีรี่ย์ดำเนินไปไม่กี่ตอน เรตติ้งไต่ระดับถึงใจผู้ชมอย่างรวดเร็ว นับแต่นั้นมา ทุกคืนวันจันทร์ถึงพฤหัสฯ แทบทุกบ้านต่างต้องมานั่งหน้าจอเปิดทีวีช่อง 5 คาไว้ทุกบ้าน ตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่ 7 ขวบ จนถึง 83 ปี ของโอชิน ซึ่งเป็นต้นตระกูลของโทโนกูระ (เจ้าของและผู้ก่อตั้งห้างเยาฮันชื่อดัง)ต้องเผชิญมรสุมชีวิตลูกแล้วลูกเล่า หากไม่มีจิตใจที่มั่นคงและใฝ่ดีเป็นที่ตั้ง เธอคงข้ามอดีตมาไม่พ้น
โอชินเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวนาทางภาคเหนือ สมัยต้นศตวรรษที่ 20 สงครามนอกบ้านระหว่างญี่ปุ่นกับจีนกำลังดำเนินไป ข้าวยากหมากแพงแร้นแค้นไปทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะชาวนาอย่างพ่อกับแม่ ต้องเช่าที่ดินคนอื่นทำกิน อีกทั้งลูกก็มาก และมีย่าเฒ่าชราที่ต้องคอยดูแล อากาศแล้งเพาะปลูกไม่ได้ราคา ทำเท่าไรไม่พอข้าวสารกรอกหม้อ ครอบครัวต้องผสมหัวไชเท้าประทังความหิวอยู่เป็นประจำ ในฐานะโอชินเป็นเด็กผู้หญิง ส่วนลูกชายคนโตต้องช่วยพ่อทำนา ทันทีที่ลูกสาวโตพอรู้ประสา พ่อตัดสินใจส่งหนูน้อย 7 ขวบ ขึ้นแพไปเป็นคนเลี้ยงเด็กที่ร้านค้าไม้  เพื่อแลกกับข้าวสารเพียงถังเดียว  ที่ร้านค้าไม้ห่างไกลบ้าน โอชินต้องพบกับความกดดัน เป็นครั้งแรกจากคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ สาวใช้เจ้าอารมณ์ทุบตีเธอไม่เว้นวัน  ข้าวในชามมีแค่พอเกือบอิ่มไปวันๆ สุดท้ายโดนกล่าวหาว่าเป็นขโมย  โอชินตัดสินใจหนีกลับบ้าน กระทั่งเกิดพายุหิมะกระหน่ำฝังร่าง  และได้ชินซากุมาช่วยชีวิตเอาไว้  แต่ในโชคชะตาที่แสนจะอาภัพนี้ ในความมืดมิดที่โอชินต้องเผชิญ ยังพอเกิดแสงสลัวส่องทางแก่หนูน้อยอยู่บ้าง

ขณะเป็นคนเลี้ยงเด็กอยู่ที่ร้านค้าไม้ ด้วยความกรุณาของนายจ้างและครูที่โรงเรียน อนุญาตให้เธอได้เรียนหนังสือเป็นครั้งแรก และเมื่อต้องเฉียดตายอยู่ท่ามกลางหิมะ ชินซากุสอนให้เธอรู้จักความงดงามของบทกวี ความไพเราะจากหีบเพลงปาก รวมถึงความไม่เท่าเทียมกัน ความขัดแย้ง การสูญเสีย ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาในโลกภายนอก ในเวลานั้น  หนูน้อยยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ชินซากุบอกเท่าไรนัก  กระทั่งถึงวันที่เขาจากไปด้วยกระสุนปืนของทหาร โอชินถูกจับไปสอบสวน  เธอปิดปากแน่นไม่ตอบคำถามใด ทหารเกิดบันดาลโทสะตบหนูน้อยจนกระดอนไป และเมื่อถูกปล่อยตัว  การกลับบ้านมาพบพ่อแม่ไม่ได้รับความเห็นใจ พ่อตบตีฐานที่หนีมาจากร้านค้าไม้และไปอยู่กับทหารหนีทัพ จนกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน เหมือนที่เคยเป็นมา มีเพียงแม่กับย่าเท่านั้นที่คอยปลอบประโลม  แต่ความอบอุ่นจากคนทั้ง 2  โอชินมีสิทธิ์หวนกลับมารับได้ไม่นาน  เธอถูกพ่อส่งไปเป็นคนเลี้ยงเด็กอีกครั้ง คราวนี้ที่ร้านค้าข้าวคางายาในเมืองซาคาตะ  ค่าตัวของเด็กวัย 8 ขวบ เพิ่มขึ้นเป็นข้าวสาร 5 ถัง  ส่วนแม่ของเธอจำใจทิ้งผืนนาและลูกสาวน้อย  ออกเดินทางไปเป็นเกอิชาหาเงินมาจุนเจือครอบครัว แรกเริ่มเดิมที เมื่อมาถึงร้านคางายา โอชินได้รับการตอบรับด้วยความเย็นชาจากทั้งคุณนายใหญ่คุนิ  มิโนกับเซทาโร บุตรชายและลูกสะใภ้ รวมถึงคาโย  หลานย่าของคุณนายคุนิ  คาโยมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับโอชิน แต่ทั้งคู่เติบโตมาในสถานภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน คาโยได้กินข้าวขาวทุกวัน  แต่งตัวสวยไปโรงเรียน  มีความเป็นอยู่สุขสบาย ได้รับการดูแลอย่างกับไข่ในหิน เธอจึงเป็นเด็กเอาแต่ใจ คาโยแสดงท่าทีรังเกียจพี่เลี้ยงของน้องชาย  แต่เมื่อไม่ให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วง และเพื่อลบล้างความรู้สึกผิดที่หนีกลับบ้านเมื่อคราวก่อน  โอชินกัดฟันอดทนทำงานโดยเคร่งครัด ไม่สนใจท่าทีรังเกียจของคาโย  ยามเหงาเธอได้อาศัยหีบเพลงของชินซากุปลอบประโลม แต่วิธีคลายเหงาของโอชินกลับนำเรื่องยุ่งยากมาให้   คาโยยื้อแย่งหีบเพลงจากโอชินและทำแตกหักใช้การไม่ได้ โอชินหมดความอดกลั้น  เธอผลักคาโยล้มฟาดพื้น จนหมดสติ  โอชินคิดว่าตนเองคงถูกไล่ออกและพ่อแม่ต้องเดือดร้อนอีก  เธอสารภาพผิดโดยไม่โทษคาโย  แต่เมื่อคาโยฟื้นขึ้นมา เหตุการณ์กลับตาลปัตร เธอกลับยอมสารภาพผิดเสียเอง และเสียใจในการกระทำของเธอ คาโยขอร้องไม่ให้คุณย่าไม่ให้ไล่โอชินออก
ตั้งแต่นั้นมา โอชินกับคาโยจึงเข้าใจกันในที่สุด เธอปฏิญาณจะขอรับใช้คุณหนูของเธออย่างถวายชีวิต ทั้งคู่กลายเป็นเงาตามตัวกันและกัน  แต่ความเป็นไปนี้ไม่ได้มีผู้เห็นชอบด้วยทุกคน  คุณนายใหญ่คุนิเป็นคนใจดี เธอเห็นโอชินรักเรียน จึงสั่งสอนทุกวิชาความรู้เท่าที่กุลสตรีควรมีไว้ประดับตัว เธอไม่รังเกียจที่หลานรักจะเป็นเพื่อนกับเด็กรับใช้ และความสนิทสนมระหว่างโอชินกับคาโย ยังช่วยให้หลานสาวรักเรียนมากขึ้น  คาโยยึดความหมั่นเพียรของเด็กด้อยโอกาสอย่างโอชินเป็นตัวอย่าง แต่จะมีที่เห็นต่างจากคุณนายใหญ่ไป คือแม่ของคาโยเอง ....

“คาโย หนูหน่ะจะเป็นผู้สืบสกุลคางายานะ มันคนละชั้นกับโอชิน ให้มันเข้ามาในห้องในหับอย่างนี้ มันจะเหลิง!” มิโนบอกลูกสาว  เมื่อเห็นโอชินเข้ามาเล่นกับคาโย  แต่สำหรับเด็กวัย 8 ขวบ ฟังแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย  กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อความศิวิไลซ์ได้เคลื่อนมาถึงเมืองซาคาตะ  เสาไฟฟ้าต้นแรกได้ถูกตั้งขึ้นกลางเมือง ทุกคนกรูกันเข้าไปดูอย่างเนืองแน่น  รวมทั้งโอชินและคาโยด้วย แต่แล้วเกิดอุบัติเหตุเสาไฟเอนตัวไร้ควบคุมมาทางคาโย  เด็กน้อยยืนตะลึงมองดูเสาขนาดยักษ์กำลังล้มมาหาตัว  แต่โอชินเคยผ่านทั้งความตาย เสียงปืน และความกดดันมาอย่างมากมาย  เธอจึงยังมีสติ พุ่งเข้าไปกระแทกคาโยจนพ้นระยะอันตราย ส่วนเธอรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยความดีที่กระทำจนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่ว มิโนจึงเริ่มเปลี่ยนสายตาจากดูแคลนไปเป็นเอ็นดูเด็กน้อย นับแต่นั้นเธอจึงเปลี่ยนใจมารักโอชินเป็นดั่งลูกในไส้อีกคน
ในวันขึ้นปีใหม่ โอชินวัย 9 ขวบ ได้นุ่งชุดกิโมโนราคาแพง โอชินอายหน้าแดงยิ้มเขินกับคำชมของใครๆ  เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสแต่งตัวสวยเหมือนคนอื่น  บางขณะเธอคิดว่าเหมือนฝันไป  คาโยจูงมือโอชินออกไปไหว้พระที่วัด ทั้งคู่ได้พบผู้คนมากมายออกมาทำบุญปีใหม่  ท่ามกลางฝูงชนในวัด โอชินกับคาโยที่แต่งกายเหมือนกับราวฝาแฝดกำลังหัวเราะสดใสแต่โอชินเหลือบไปพบหญิงสวมกิโมโนสีฉูดฉาดคนหนึ่ง  เธอกำลังหัวร่อต่อกระซิกอยู่ท่ามกลางชายหนุ่ม  บางคนอยู่ใกล้กับโอชิน กำลังกระซิบนินทาในอิริยาบถของหล่อน แต่โอชินจำได้ว่า หญิงคนนั้นคือมารดาของเธอ แม้ในความทรงจำอีกด้าน พยายามยื้อยั้งไว้ไม่ให้เชื่อในภาพที่เห็นก็ตาม และในคืนนั้นมีคนแอบมาซุ่มอยู่ริมรั้ว โอชินออกไปดู เธอจึงพบแม่ที่กำลังยืนรั้งรอเพื่อพบกัน ดวงตาไม่โป้ปด  ผู้หญิงในวัดคือแม่ของเธอจริง สองแม่ลูกสนทนากันด้วยน้ำตา แม่ยื่นเงินให้โอชินเก็บไว้ แต่ลูกสาวกลับรีบปฏิเสธ นางเองก็เหมือนเข้าใจลูกสาว เงินเกอิชาอาจทำให้ลูกสาวไม่สะดวกใจที่จะรับไว้ แต่การพบกันทั้งคู่ อยู่ในสายตาของคุณนายใหญ่คุนิโดยตลอด  “ผู้หญิง เราหน่ะ ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อตัวเองดอกนะ ทำเพื่อลูกเพื่อผัวทั้งนั้น  ถึงจะลำบากเลือดตากระเด็นยังไงก็ไม่สนใจ นี่แหละคือผู้หญิง... “แม่ของหนูก็เหมือนกัน  คิดแต่เพื่อครอบครัวอย่างเดียว ยอมทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นไม่ว่าแม่จะเป็นอะไร หนูไม่ควรคิดตำหนิคุณแม่เป็นอันขาด  คุณแม่ห่วงหนูอย่างที่สุด อยากเห็นลูกแทบใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้ามาพบ คิดดูสิว่า คุณแม่จะช้ำชอกใจเพียงใด  โอชิน...หนูต้องรักคุณแม่ให้มากๆ นะ”  คุณนายใหญ่บอกกับโอชิน ทั้งแก้มของหนูน้อยเปียกเปื้อนไปด้วยน้ำตาใสๆ

ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของโอชินจะดีขึ้นผิดจากเดิม อนาคตเบื้องหน้าก็ไม่เคยให้โอชินก้าวไปโดยไร้อุปสรรค ทั้งยามเป็นเด็ก เติบใหญ่เป็นสาว จนล่วงสู่วัยชรา สงครามชีวิตก่อตัวขึ้นโดยไม่มีวันหยุดพัก ราวกับเพื่อนสนิทของเธอ  เมื่อเติบใหญ่โอชินต้องออกจากบ้านคางายาเมื่ออายุย่างเข้า 16 ปี เพราะไม่ยินยอมแต่งงานตามประสงค์ของคุณนายใหญ่ โอชินถือเป็นการเนรคุณ และเธอต้องยอมเสียสละรักแรกให้คาโยผู้มีพระคุณ โอชินโซซัดโซเซกลับไปบ้านเกิด พ่อก็ยังเหมือนเดิม เขารำคาญการกลับมาของเธอ เพราะรังแต่จะเปลืองข้าวสาร เขาแนะนำให้โอชินไปเป็นเกอิชายังจะเข้าทีเสียกว่า  โอชินจึงออกจากบ้าน พลัดถิ่นมาถึงกรุงโตเกียว เธอเข้าไปขอเป็นคนรับใช้ที่ร้านทำผมของอาจารย์ทากะ เธอพบรักกับลิวโซ-พ่อค้าร้านขายผ้า ทั้งคู่ตกลงใจเป็นคู่สามีภรรยา ช่วยกันก่อร่างสร้างตัว แม้จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งของชีวิตคู่ โอชินก็ออกทำงานหาเงินเพื่อครอบครัวอย่างเต็มกำลัง ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ต่อให้เสี่ยงอันตรายเพียงใด เมื่อยามลำบากต้องพาผัวและลูกให้รอด เธอไม่ปริปากบ่นท้อแท้  จากช่างทำผม ตกแต่งความงามให้กับบรรดาเกอิชา โอชินคิดฝันกับสามีจะมีร้านเสื้อเป็นของตนเองสักร้าน แต่พอความฝันใกล้จะเป็นจริง กิจการค้าเริ่มก่อรูปเจริญรุ่งเรือง เพื่อนเก่าก็กลับมาอีก  เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทุกอย่างพังราบคาบ โอชินกับลิวโซต้องพาลูกน้อยไปซางาเพื่อพึ่งใบบุญครอบครัวของสามี โอชินต้องกระเตงลูกคนโตและลูกในท้องออกทำนา แต่แม่สามีรังเกียจเธอ มองเธอเหมือนตัวอัปมงคล ไม่ว่าจะทำอย่างไร  ไม่มีค่าใดตอบแทน ชีวิตสมรสแตกหักในเวลาต่อมา พร้อมกับชีวิตลูกในท้อง เป็นอีกครั้งที่โอชินต้องออกเผชิญมรสุมชีวิตเพียงลำพัง เธอหอบลูกหนีจากลิวโซ มุ่งหน้ากลับโตเกียว เธอหวังสร้างครอบครัวขึ้นใหม่ และรอวันที่พ่อแม่ลูกได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง  ที่โตเกียว โอชินทำงานหนักเท่าที่จะทำได้  จนสามารถเปิดร้านขายขนมเล็กๆ ขึ้นมา ในขณะเดียวกัน ลิวโซก็มุ่งมั่นทำนาบนทะเลให้ได้  เขาหวังจะรับโอชินกับลูกกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ข่าวคราวของทั้งคู่ก็ถูกกีดกันโดยตลอดจากแม่สามี  กว่าจะกลับมาเข้าใจและอยู่ร่วมกันได้ใหม่ ก็ต้องผ่านมรสุมอีกลูกแล้วลูกเล่า  และในเวลาต่อมา แม้ว่าโอชินจะกลายมาเป็นคนร่ำรวยจากผลของความอุตสาหะ  มีซุปเปอร์มาร์เก็ตเกือบ 20 สาขา ช่วงชีวิตทั้งก่อนหน้าและกำลังดำเนินไป ภาวะสงครามกินเวลาถึง 10 ปี ความเข้าใจผิดของคนในครอบครัว โอชินต้องพบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า บั้นปลายชีวิตของโอชินมีแต่ปัญหาประเดประดังเข้ามาอยู่เช่นเดิม บททดสอบความอดทนและความดีของชีวิตเหมือนไม่มีตอนจบ ด้วยทั้งหมดของเรื่องราวหนักหน่วงกินเวลายาวนาน
เมื่อซีรี่ย์นี้ออกอากาศครั้งแรกในญี่ปุ่น ละครเรื่องนี้มีความยาวถึง 300 ตอน ก่อนที่คนญี่ปุ่นทุกคนจะออกไปทำงาน ต่างต้องดูเรื่องนี้เหมือนกันหมด เป็นเรตติ้งระดับประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีละครเรื่องใดเลยทำได้มาก่อน และเมื่อละครเรื่องนี้ตกมาถึงบ้านเรา  บริษัทรัชฟิล์มทีวี  ร่วมกับบริษัทเดนสึ (ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณาของญี่ปุ่น) นำเข้ามาฉาย ช่วงเวลาก่อนรายการมาตามนัด (รายการเกมส์โชว์ชื่อดัง เรตติ้งสูงสุดของช่อง 5) สามารถสร้างเรตติ้งสูงสุดได้ในเวลาอันรวดเร็ว มีการขยายเวลาออกอากาศจาก 30 นาทีเป็น 1 ชั่วโมงเต็ม ซีรี่ย์เรื่องนี้ในบ้านเราจึงแพร่ภาพออกอากาศไม่ยาวนานเหมือนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม จำนวนกว่า 100 ตอน ก็ยังถือว่าเป็นประวัติการณ์สำหรับวงการโทรทัศน์ไทยด้วยเช่นกัน  ชื่อโอชินกับลิวโซ ถูกนักการเมืองเอาไปใช้เรียกฝ่ายตรงข้าม คอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ชื่นชมเนื้อหาสร้างเสริมสังคมอย่างเป็นเอกฉันท์  ยังไม่ทันฉายหมดชุด ต้องถูกนำมาฉายรีรันใหม่ตั้งแต่ต้นอีกหนในช่วงเย็น  เพื่อให้คุณหนูๆ ได้ตามดูกันได้ตลอด ดารานำผู้รับบทโอชินโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั้งเมือง  โดยเฉพาะ โคบายาชิ  อากิโกะ และยูโกะ ทานากะ ถูกใจใครต่อใครเหลือเกิน

โคบายาชิ อากิโกะ รับบทเป็นโอชินวัย 7-9 ขวบ ได้เดินทางมาปรากฏตัวพร้อมเปิดห้างโตคิว ในช่วงละครกำลังโด่งดังสุดขีด ส่วน ยูโกะ ทานากะ ผู้รับบทโอชินวัยสาวจนถึงกลางคน มีข่าวลือว่าผู้สร้างหนังบ้านเรา เล็งทาบทามให้เธอมาเล่นหนังไทยเรื่องนึง แต่ก็เงียบหายไป  นอกจากนั้นยังมีวิดีโอหนังจอเงินเรต R สมัยก่อนที่ ยูโกะ ทานากะ จะมารับบทโอชิน ออกมาให้เสือสิงห์กระทิงเฒ่าทั้งหลายไล่ตะครุบ กรณีตกเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมทั้งที่ญี่ปุ่นและเมืองไทย เพราะในหนังเรื่องนั้น ทานากะยอมเปลือยกายจะแจ้ง ผิดแผกภาพลักษณ์จากละครดัง ชนิดพลิกคาแรกเตอร์ไปคนละด้าน ซึ่งอาจทำลายภาพลักษณ์สาวคนดีในเรื่องโอชินลงอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี กรณีนี้ไม่ได้จางความประทับใจของผู้ชมโดยมากที่มีต่อเธอได้ในฐานะผู้รับบทโอชิน 
ความเชื่อ ศรัทธา น้ำใจ ที่สำคัญที่สุด หมายถึงความอดทน  บางทีก็หมายถึงจุดรวมของสิ่งทั้งหลาย สิ่งใหม่ๆ สัจธรรม ความอดกลั้น......สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ผู้คนจดจำเธอ ยามคิดถึงนามนี้ที่ชื่อ   โอชิน

(แดง ระวี ถอดความประโยคของชินกากุ ที่กล่าวกับโอชิน เมื่อคราวเธออายุได้แค่ 8 ปี  ตีพิพม์ไว้ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่หน้า 10 ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527)หมายเหตุ บทความและเรื่องย่อนี้ ถอดความจาก สงครามชีวิตโอชิน  โดยสืบสกุล แสงสุวรรณ,  Good Olddays 2 ดีวันดีคืน ,สำนักพิมพ์ อะบุ้ค , บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด

สงครามชีวิตโอชิน (อังกฤษ: Oshin) (ญี่ปุ่น: おしん) เป็นละครโทรทัศน์ญี่ปุ่นผลิตโดยเอ็นเอชเค เป็นละครฉลองครบรอบ 30 ปีเอ็นเอชเค โดยเล่าถึงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ ชิน ทาโนะคุระ ตั้งแต่เกิดในยุคเมจิปี พ.ศ. 2441 จนเข้าวัยชราในยุคโชวะปี พ.ศ. 2526 ผ่านเรื่องราวมามากมายทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งหมด 297 ตอน ตอนละ 15 นาที มีการฉายครั้งแรกในญี่ปุ่นในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2525 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2526 โดยออกอากาศวันละ 1 ตอน และมีการออกอากาศในอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 2 ล้านคน
บทละครเขียนขึ้นโดย อิวาซากิ ซุงาโกะ (ใช้นามแฝงว่า ฮาชิดะ ซุงาโกะ) ดัดแปลงจากเรื่องราวในชีวิตจริงของ คัทสึ วะดะ (Katsu Wada) มารดาของคะซึโอะ วะดะ ผู้ก่อตั้งและประธานห้างสรรพสินค้าเยาฮัน  เรียวเฮ (Ryohei Wada) สามีของคัทสึ วะดะเสียชีวิตตั้งแต่ลูกยังเล็ก คัทสึต้องเลี้ยงดูลูกจำนวนห้าคนตามลำพัง และก่อร่างสร้างตัวจากร้านขายผักสด จนเป็นเจ้าของร้านขายของชำ และขยายกิจการจนเป็นเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

·         รัชฟิล์มทีวี ได้นำละครโทรทัศน์เรื่องนี้ มาฉายทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในช่วงปี พ.ศ. 2527-2528
·         ไทยทีวีสีช่อง 3 นำมาฉายซ้ำในปี พ.ศ. 2537 - พ.ศ. 2538

·         วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 ทรูวิชั่นส์ได้เปิดช่องทรูเอเชี่ยนซีรีส์และได้นำละครเรื่องนี้กลับมาฉาย โดยออกอากาศในวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 21.00 น. (รีรัน 04.00 น. และ 14.00 น.) และจบในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 จากนั้นได้ฉายซ้ำครั้งที่สองในเวลา 12.00 น. จบประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2552 จากนั้นประมาณเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ได้ฉายซ้ำครั้งที่สาม ในเวลา 24.00 น. และ 06.00 น. จบในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 เป็นการฉายซ้ำครั้งสุดท้ายในทรูวิชั่นส์ก่อนที่จะส่งลิขสิทธิ์ต่อให้ไทยทีวีสีช่อง 3

·         ครั้งล่าสุดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 นำมาฉาย ออกอากาศใน วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 18.15 น. - 18.45 น. เริ่มออกอากาศตอนแรก วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553 - วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554  ต่อมาได้ปรับเวลาออกอากาศเป็น 18.30-19.00 น. โดยออกอากาศวันละ 2 ตอน แต่หากมีโอกาสพิเศษจะออกอากาศเพิ่มเป็น 45 นาที นอกจากนี้ สงครามชีวิตโอชินในฉบับพากย์ พ.ศ. 2553 ยังเป็นผลงานพากย์เรื่องสุดท้ายของกำธร สุวรรณปิยะศิริ นักแสดงและนักพากย์อาวุโส โดยพากย์เป็น โนโซมิ ลูกชายบุญธรรมของโอชินในวัยผู้ใหญ่  และในปี 2554 true vision ได้นำมาออกอากาศอีกครั้งที่ช่อง 160 โดยออกอากาศตลอด 24 ชม.

(ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม จากเว็บวิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์) 




สถานีโทรทัศน์ NHK กำลังมีโครงการใหญ่ยักษ์ กับการหยิบเอาทีวีซีรีส์ระดับตำนานแห่งวงการโทรทัศน์ญี่ปั่น "สงครามชีวิตโอชิน" ที่เคยสร้างความโด่งดังทั้งในประเทศ และต่างประเทศเมื่อยุค 80s กลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบของภาพยนตร์

ผลงานของ
NHK เรื่องนี้ แพร่ภาพครั้งแรกระหว่างปี 1983 - 1984 จนกลายเป็นปรากฏการณ์อย่างที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นกับวงการโทรทัศน์ญี่ปุ่นมาก่อน นอกจากนั้นก็ยังถูกซื้อไปเผยแพร่ในประเทศต่าง ๆ 60 ประเทศทั่วโลกด้วย ซึ่งล่าสุดเรื่องราวของ สงครามชีวิตโอชิน จะได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง แต่เป็นในรูปแบบของภาพยนตร์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดใด ๆ ของหนังรวมถึงเรื่องนักแสดงแต่อย่างใด

สงครามชีวิตโอชิน เล่าเรื่องของ
โอชิน ทาโนะคุระ สตรีผู้ต่อสู้กับอุปสรรคมากมายกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของประเทศตั้งแต่ปี 1907 - 1980 โดยอิงจากประวัติชีวิตมารดาของ คาซุโอะ วาดะ ผู้ก่อตั้ง 'เยาฮัน' เครือห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นซีรีส์ที่ออกอากาศวันละ 15 นาทีกับจำนวนตอนมากถึง 297 ตอน ซึ่งเรื่องราวว่าด้วยการต่อสู้กับปัญหา และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกมากมาย สำหรับในญี่ปุ่นช่วงที่มีเรตติ้งสูงสุดนั้นยอดคนดูพุ่งไปสูงถึง 62.9% เลยทีเดียว

สำหรับโอชินในฉบับซีรีส์นั้นมีนักแสดงหลายคน ที่ร่วมกันรับบทเป็นตัวละครเอกตัวนี้ในวัยที่แตกต่างกันไปโดย
อายาโกะ โคบายาชิ สวมบทบาทเป็น เด็กหญิงโอชิน, ยูโกะ ทานากะ รับบทในวัยสาว และโนบุโกะ โอโตวะ เป็นในช่วงบั้นปลาย

โดยนาย
มิตซึโอะ ซูซูกิ ผู้นำกลุ่มอนุรักษ์ที่ร่วมกันดูแลบ้านอายุ 100 ปี ใน นากายามะ จังหวัดยางาตะ ซึ่งเคยใช้ถ่ายทำในฉากบ้านของโอชิน ได้กล่าวแสดงความตื่นเต้นถึงการรื้อฟื้นเรื่องราวของโอชินขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อเด็กรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสรับรู้ถึงเรื่องราวสุดแสนประทับใจอย่างที่คนรุ่นก่อนเคยสัมผัสกันมาก่อน โดยบ้านอายุ 100 ปี ยังคงเป็นที่สนใจของเหล่านักท่องเที่ยว ซึ่งแวะเวียนไปชมบ้านเก่าแก่ซึ่งเคยถูกใช้ถ่ายทำซีรีส์เรื่องดัง แม้ค่าใช้จ่ายในการดูแลค่อนข้างสูงก็ตาม

โอชิน ผลงานการเขียนบทของ ฮาชิดะ ซุงาโกะ ที่แพร่ภาพทาง NHK ในช่วงเช้าวันละ 15 นาที ระหว่างปี 1983-1984 ด้วยจำนวนตอนทั้งหมด 297 ตอน ถือเป็นตำนานบทหนึ่งแห่งวงการโทรทัศน์ญี่ปุ่น ด้วยการมีเรตติ้งสูงสุดถึง 62.9% และเรตติ้งเฉลี่ย 52.6% นับว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์โทรทัศน์แดนอาทิตย์อุทัย

สำหรับเรื่องราวในซีรีส์มีฉากหลังอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กับชีวิตของ โอชิน หญิงสาวผู้เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่ยากไร้ในยามางาตะ และใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็ง แม้จะต้องเจอกับอุปสรรคในชีวิตมากมาย แต่ก็ไม่ท้อถอย เป็นงานที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวในชีวิตจริงของ คัทสึ วาดะ มารดาของ คาซึโอะ วาดะ ผู้ก่อตั้งและประธานห้างสรรพสินค้าเยาฮัน

โดยซีรีส์เรื่องนี้ยังถูกซื้อไปฉายใน 86 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในเมืองไทยภายใต้ชื่อ สงครามชีวิตโอชินด้วย  สำหรับ โอชิน ฉบับภาพยนตร์จะเน้นเนื้อหาไปที่ช่วงตัวละครเอกยังเป็นเด็กที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีผู้งดงามทั้งรูปกาย และจิตใจ ในบ้านนอกที่ยามางาตะ ที่ซึ่งเด็กสาวตัวน้อยๆ ต้องทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวแม้จะต้องเจอกับปัญหาต่างๆ มากมาย โดยหนังจะอ้างอิงจากบทละครดั้งเดิมของ ฮาชิดะ ที่เขียนเอาไว้เมื่อร่วม 30 ปีก่อน แต่ก็จะเพิ่มเติมรายละเอียดใหม่บางอย่างลงไป

สำหรับนักแสดงหลักในภาพยนตร์ที่ประกาศกันออกมาในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ก็ประกอบไปด้วย ดาราเด็กหน้าใหม่ ฮามาดะ โคโคเนะ ที่จะสวมบทบาทเป็น โอชิน และดาราสาวสวย อุเอโตะ อายะ เป็น ฟุจิ มารดาของ โอชิน   หนังยังจะมี คิชิโมโตะ คาโยโกะ สวมบทบาทเป็น ซึเนะ บ่าวของโรงค้าไม้ ซึ่งถือว่าเป็นนายจ้างคนแรกของ โอชิน, โคบายาชิ อายาโกะ เป็น มิโนะคุณนายรองของตระกูลคางายะ, โนงิ เรียวสึเกะ เป็น เซทาโรนายของตระกูลคางายะ, โยชิมูระ จิทสึโกะ เป็น นากะ ย่าของโอชิน, มิทซึชิมะ ชินโนะสึเกะ เป็น ชินซากุ คนหนีทหาร, เก็ตส์ อิชิมัตสึ เป็น มัตสึสุคนเผาถ่าน และ อิซูมิ พินโกะ เป็น คุนิ คุณนายใหญ่ร้านคางาย่า


โดยในการแถลงข่าวมี อุเอโตะ, อิซูมิ, ฮาชิดะ และหนูน้อยฮามาดะ ที่สวมบทบาท โอชิน รวมถึงผู้กำกับ โทกาชิ ชิน มาร่วมปรากฏตัว  ซึ่งดาราสาวคนสวย อุเอโตะ อายะ ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มามีส่วนร่วมในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องนี้ ว่าขอบคุณคนที่เลือกฉันให้มารับบทนี้แทนที่จะเป็นนักแสดงหญิงคนอื่นนะคะ แต่ก็รู้สึกกดดันไปด้วยในเวลาเดียวกันเลย ฉันรู้ว่าคงมีคนคิดว่าฉันเด็กเกินไปสำหรับบทนี้รึเปล่า หรือไม่ก็อาจคิดว่าฉันดูไม่เหมือนคุณแม่เลย แต่คุณพินโกะนี่แหละที่ให้คำแนะนำที่ดีที่สุดกับฉันว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าทำให้เต็มที่เพราะฉะนั้นฉันจะทุ่มทุกอย่างให้บทนี้ค่ะ

อันที่จริง อิซูมิ พินโกะ ก็คือ ผู้รับบทแม่ของโอชินในซีรีส์ฉบับคลาสสิกนั้นเอง ซึ่งดารารุ่นใหญ่ที่กลับมาสวมบทบาท คุณนายใหญ่ร้านคางาย่า ใน โอชิน 2013 ยังพูดถึงนักแสดงรุ่นหลานที่จะได้แสดงเป็นตัวละครเดียวกับเธออีกว่า ฉันดีใจค่ะที่ อายะจัง ได้เล่นบทนี้ และมั่นใจถ้าเราทุกคนพยายาม หนังจะต้องออกมาพิเศษแน่ๆ”  สำหรับนักแสดงเด็กหน้าใหม่ ฮามาดะ โคโคเนะ ที่เอาชนะคู่แข่ง 2,500 คน ที่มาคัดเลือกบท โอชิน ก็กล่าวอย่างมุ่งมั่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในงานแถลงข่าวว่าหนูก็จะพยายามให้ดีที่สุดกับการแสดงเป็น โอชิน ค่ะ”  โดยหนังจะยกกองเข้าไปถ่ายทำที่ยามางาตะ ในช่วงต้นเดือน ก.พ.นี้ และน่าจะเข้าฉายได้ในเดือน ต.ค.
(อ้างอิงข้อมูล จาก เว็บผู้จัดการออนไลน์)

 

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา (ดาวเคราะห์น้อยโคจรใกล้โลก - อุกกาบาตตกที่รัสเซีย)



เมื่อเวลาตี 2 กว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาเช้าวันใหม่ที่ 16 ก.พ.นี้ ดาวเคราะห์ 2012 DA14 ที่มีขนาดประมาณสนามฟุตบอลเฉียดโลก และเป็นสถิติการเข้าใกล้โลกมากที่สุดของดาวเคราะห์น้อยที่ใหญ่ขนาดนี้เท่าที่เรามีข้อมูล แต่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันวัตถุอวกาศนี้ไม่พุ่งชนโลกอย่างแน่นอน

ดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 ที่กว้าง 45 เมตรจะเข้าใกล้โลกมากที่สุดเวลา 02.24 น.ของวันที่ 16 ก.พ.2013 ตามเวลาประเทศไทย ที่ระยะ 17,200 ไมล์ หรือ 27,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะที่ใกล้โลกมากกว่าระยะของดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาและดาวเทียมระบุตำแหน่งที่โคจรรอบโลกที่ความสูงประมาณ 20,000 ไมล์หรือ ประมาณ 32,100 กิโลเมตร

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะไม่พุ่งชนโลก โดย จิม กรีน (Jim Green) ผู้อำนวยการแผนกวิทยาการดาวเคราะห์ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) แถลงผ่านวิดีโอเผยแพร่ขององค์การอวกาศว่า ไม่มีใครบนโลกหรือดาวเทียมดวงใดจะได้รับอันตรายจากการเข้าใกล้โลกของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้

อย่างไรก็ดี หากดาวเคราะห์น้อยดวงนี้พุ่งชนโลกนักวิทยาศาสตร์คาดว่าความเสียหายจะใกล้เคียงกับดาวเคราะห์ขนาดเท่าๆ กันนี้ ซึ่งเคยพุ่งชนโลกที่ทังกัสกาแถบไซบีเรียเมื่อปี 30 มิ.ย.1908 โดยครั้งนั้นดาวเคราะห์น้อยขนาด 40 เมตร หนัก 100 ล้านกิโลกรัม ได้ทำลายต้นไม้ในป่าทังกัสกา รวมถึงกวางเรนเดียร์อีกหลายร้อยตัว เป็นพื้นที่กว่า 1,287 ตารางกิโลเมตร แต่โชคดีว่าพื้นที่ดังก่าวอยู่ห่างไกล จึงไม่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้น และตอนนี้บริเวณที่ต้นไม้ถูกทำลายก็ฟื้นตัวขึ้นใหม่แล้ว

ดาวเคราะห์น้อยที่ทำลายป่าในทังกัสกาพุ่งชนโลกด้วยความเร็ว 539,130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสเปซด็อทคอมระบุโดยอ้างตามรายงานของนาซา และมีความรุนแรงมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ถล่มฮิโรชิมาของญี่ปุ่นถึง 185 เท่า แต่ไม่มีหลุมอุกกาบาตปรากฏเนื่องจากความดันและความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ทำให้ดาวเคราะห์น้อยระเบิดเสียก่อน

สำหรับการเข้าใกล้โลกของดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 ในครั้งนี้สเปซด็อทคอมระบุว่า สร้างความตื่นเต้นให้แก่นักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นโอกาสอันหายากที่จะได้เห็นดาวเคราะห์น้อยขนาดนี้อย่างใกล้ชิด โดยกรีนบอกว่าทางนาซาจะใช้สัญญาณเรดาร์ที่มียิงไปยังดาวเคราะห์น้อยดวงนี้แล้ววัดสัญญาณวิทยุที่สะท้อนกลับเพื่อศึกษาการหมุนและขนาดของดาวเคราะห์น้อย รวมถึงรูปร่างและข้อมูลที่อาจจะได้บ้างเกี่ยวกับองค์ประกอบของดาวเคราะห์น้อย

ผู้ที่มีโอกาสเห็นดาวเคราะห์น้อยดวงนี้คือผู้ที่อยู่ในเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย และพื้นที่บางส่วนของยุโรป โดยใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ในการจับภาพ ซึ่งดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วเชิงมุม 0.8 องศาต่อนาที หรือหากใครไม่สะดวกก็มีหลายองค์กรที่ถ่ายทอดสดการเข้าใกล้โลกของดาวเคราะห์น้อยผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงหอดูดาวลาซากรา (La Sagra Observatory) ในสเปน ที่นักดาราศาสตร์สมัครเล่นอาศัยข้อมูลจากหอดูดาวแห่งนี้ค้นพบ 2012 DA14 เมื่อเดือน ก.พ.2012

ส่วนนาซาซึ่งอยู่ในซีกโลกตะวันตกที่ยังเป็นช่วงเวลากลางวัน ขณะที่ดาวเคราะห์น้อยเข้าใกล้โลกก็จะอาศัยกล้องโทรทรรศน์จากหอดูดาวขององค์การที่ตั้งอยู่ในทวีปต่างๆ เพื่อจับภาพดาวเคราะห์น้อยดวงนี้และถ่ายทอดสดผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย (ผู้สนใจสามารถดูได้ในเว็บแคสต์ที่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้แนบไว้ด้านล่าง)

ทางด้านบริษัทดีพสเปซอินดัสทรีส์ (Deep Space Industries) บริษัทเอกชนตั้งเจตนารมย์ในการทำเหมืองบนดาวเคราะห์น้อยตีมูลค่าของดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 ว่ามีมูลค่าสูงถึง 5.85 ล้านล้านบาท หากสามารถทำเหมืองบนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ เนื่องจากมีแร่โลหะและน้ำที่สร้างมูลค่าได้มหาศาล แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกจก็ออกมาแย้งว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ไม่ได้มีมูลค่าขนาดนั้น และไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลย


webcast จากนาซาถ่ายทอดการเข้าใกล้ของดาวเคราะห์น้อย โดยเริ่มถ่ายทอดเวลาเที่ยงคืนนี้


ผู้บาดเจ็บอุกกาบาตตกในรัสเซียพุ่งกว่า 1,000 คนแล้ว
วันที่ 16 ก.พ 2013 เวลา 00:28 น.
ทางการรัสเซีย รายงานว่า ยอดผู้บาดเจ็บจากเหตุอุกกาบาตตกลงมาเหนือเทือกเขา "อูรัล" ทางตอนกลางของประเทศ ได้เพิ่มสูงราว 1,000 คนแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้ มีผู้บาดเจ็บสาหัส 43 คน โดยแพทย์ระบุว่า ส่วนใหญ่ถูกกระจกบาด หลังจากได้รับคลื่นกระแทก หรือ "ช็อกเวฟ" ที่ทำให้กระจกหน้าต่าง อาคารและบ้านเรือนแตกกระจาย ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญ เปิดเผยว่า เหตุอุกกาบาตตกลงมายังพื้นโลกในครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับ"ดาวเคราะห์ 2012 ดีเอ 14" ที่จะพุ่งเฉียดโลกในช่วงเช้ามืดวันนี้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี รัฐบาลรัสเซีย ประกาศห้ามประชาชนเข้าใกล้สะเก็ดอุกกาบาตที่ตกในบริเวณใกล้เคียงอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย พร้อมกับยืนยันว่า ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงระดับรังสีที่เป็นอันตราย จากอุกกาบาตในครั้งนี้

ยันอุกกาบาตตกที่รัสเซียไม่ใช่ ดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 แม้ว่านาซ่าจะจับตาวัตถุใกล้โลกอย่างใกล้ชิด แต่ก็มีโอกาสเล็ดลอด เพราะแถบดาวเคราะห์น้อยที่อยู่เลยดาวอังคารออกไปนั้นมีอยู่จำนวนมาก  จากเหตุอุกกาบาตระเบิดเหนือรัสเซียส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกจนกระจกตามอาคารแตกและกระเด็น และเป็นเหตุให้ผู้คนในเขตอุตสาหกรรมทางตะวันออกของรัสเซียได้รับบาดเจ็บกว่า 500 คนตามรายงานของรอยเตอร์ โดยสื่อของรัสเซียพยายามเชื่อมโยงกับการเข้าใกล้โลกของดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14

อย่างไรดี สเปซด็อทคอมอ้างความเห็น ดอน ยีโอมานส์ (Don Yeomans) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุใกล้โลก จากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) ยืนยันว่าการเข้าใกล้โลกของดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 ไม่สร้างอันตรายต่อคนและโลกแต่อย่างใด

ด้าน น.ส.ประพีร์ วิไลพร เลขานุการสมาคมดาราศาสตร์ไทย เผยว่า การที่มีอุกกาบาตตกมายังโลกในครั้งนี้มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น เพราะระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดีเป็นแถบดาวเคราะห์น้อย และเป็นบริวารของระบบสุริยะ มีโอกาสที่จะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงเข้ามา ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติที่เราเห็นเป็นดาวตก แต่กรณีที่มีขนาดใหญ่มากแต่มีเศษซากตกถึงพิ้นโลกก็จะกลายเป็นอุกกาบาต
"ถึงจะเฝ้าระวัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเฝ้าได้หมดแต่รับรองว่าไม่เกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 ซึ่งมีวงโคจรที่แม่นยำ และนาซาได้คำนวณอย่างชัดเจนอีกทั้งเศษซากวัตถุมี่หลงเหลือจากกำเนิดสุริยะนี้มีมากกว่าดาวเทียมที่เราปล่อยเสียอีก" น.ส.ประพีร์ กล่าว

แม้ว่ายังไม่มีรายงานหรือการวิเคราะห์ของนักวิชาการจากต่างประเทศ แต่นายวรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการวิชาการสมาคมดาราศาสตร์ไทยคาดว่าอุกกาบาตลูกนี้น่าจะมีขนาดไม่เกิน 10 เมตร โดยเทียบเคียงจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันซึ่งเคยเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย และเป็นเรื่องปกติที่จะมีอุกกาบาตขนาดเล็กเช่นนี้หลุดเข้ามา แม้ว่านาซาและองค์การอวกาศอื่นๆ ทั่วโลกเฝ้าจับตา เพราะยื่งวัตถุอวกาศเล็กยิ่งมีจำนวนมากเป็นแสนเป็นล้านชิ้น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะจับตาได้หมด


วันที่ ( 15 ก.พ. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ว่า นางอีรินา รอสซิอุส โฆษกหญิงกระทรวงสภาวการณ์ฉุกเฉินรัสเซีย แถลงเกี่ยวกับรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอุกกาบาตตก ที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนแถบภาคกลางของประเทศว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ( 12.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) โดยขนาดของอุกกาบาตยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากส่วนหนึ่งของมันน่าจะลุกไหม้ระหว่างลอยผ่านชั้นบรรยากาศโลก

ขณะที่อุกกาบาตส่วนที่เหลือ ซึ่งลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟและกลุ่มควัน ได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหนือท้องฟ้าในเขตเชลยาบินสก์ บริเวณเทือกเขาอูราล ส่งผลให้เกิดเสียงระเบิดดังเป็นระยะ และแสงสว่างจ้าทั่วทั้งบริเวณ ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ต่างรีบพากันหลบเข้าไปภายในอาคารหรือหาที่กำบัง ด้วยความหวาดกลัวว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้น ส่วนโรงเรียนทุกแห่งในพื้นที่ประกาศหยุดการเรียนการสอนชั่วคราว

แม้หลังจากนั้นไม่นาน ก้อนอุกกาบาตดังกล่าวจะร่วงลงสู่พื้นดินห่างจากเมืองซัตกี ราว 80 กิโลเมตร แต่เศษชิ้นส่วนของอุกกาบาตที่หลุดร่วงลงมาระยะได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนของชาวบ้านราว 6 เมืองในเขตเชลยาบินสก์ เบื้องต้นมีรายงานประชาชนกว่า 400 คน เดินทางไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่นเพื่อเข้ารับการปฐมพยาบาล ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการถูกเศษกระจกบาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสะเก็ดอุกกาบาต แต่ในจำนวนนี้มี 3 รายอาการสาหัส

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องระงับการปล่อยคลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย แต่ไม่มีรายงานการเปลี่ยนแปลงของระดับกัมมันตรังสีในอากาศ

ด้านโฆษกบริษัท โรซาทอม ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งในเขตเชลยาบินสก์ ที่รวมถึงนิคมอุตสาหกรรม มายัก ซึ่งภายในเป็นสถานที่ตั้งของหนึ่งในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย แถลงยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของเตาปฏิกรณ์

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดว่า อุกกาบาตดังกล่าวตกที่ไหน และมาจากดาวดวงไหน ตกถึงพื้นหรือไม่ จากข่าวบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ปกติแล้วเวลาอุกกาบาตตกจะมีความเร็วสูงเหนือกว่าความเร็วเสียงหลายเท่าตัว ส่วนที่แตกออกมาแล้วเผาไหม้ไม่หมด ก็ทำให้กระจกแตก แล้วได้รับบาดเจ็บได้ ในแต่ละวันมีอุกกาบาตตกมากมาย เช่น ดาวตก ซึ่งตกไม่ถึงพื้นโลก หากตกถึงพื้นจะเรียกว่าอุกกาบาต นักดาราศาสตร์ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครตื่นตระหนกปัจจุบันมีโครงการดาราศาสตร์มากมายที่ศึกษาเกี่ยวกับอุกกาบาต ถือเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันทำให้เบี่ยงเบนไปได้

"จากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์และเฝ้าดูดาวมานาน ยังไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่ามีรายงานเกี่ยวกับมีคนเสียชีวิตเพราะอุกกาบาตตก"


รายงานข่าวต่อมาแจ้งว่า สถาบันวิทยาศาสตร์รัสเซียออกแถลงการณ์ระบุว่า จากการประเมินแล้วพบว่า ลูกอุกกาบาตที่ตกลงมาเหนือท้องฟ้าในแถบเทือกเขาอูราล เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น โคจรลงมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็ว 54,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง น้ำหนักประมาณ 10 ตัน และ สะเก็ดของอุกกาบาตรแตกกระจายเป็นบริเวณกว้าง 30-50 กิโลเมตร ส่งผลให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แล้วยังทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนจนทำให้กระจกหน้าต่างแตกกระจายเป็นบริเวณกว้าง มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 500 คนแล้ว ในจำนวนนี้ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 34 คน

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผู้ว่า กทม.ต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพตัวจริงเท่านั้น

กระแสการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่หนนี้ สำหรับผู้เขียนถือว่ากร่อยและก็น่าเบื่อเป็นที่สุด เต็มไปด้วยการสร้างภาพ เกมการเมือง สาดโคลนใส่กันของ 2 พรรคใหญ่ที่มีลักษณะไม่ต่างจากสนามเลือกตั้งใหญ่ ประกอบกับตัวเลือกผู้สมัครที่มีวิสัยทัศน์ ความสามารถในการบริหาร ประสบการณ์เก่งๆ ที่น่าสนใจแทบไม่มี พลอยทำให้ตัวผู้เขียนเองไม่ค่อยได้สนใจติดตามข่าวการหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯ ในหนนี้ซักเท่าไร เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ โดยส่วนใหญ่ก็มีมุมมองคล้ายๆ กับผู้เขียนด้วยเช่นกัน สังเกตจากคนรอบข้าง และสื่อต่างๆ ไม่ค่อยได้นำเสนอข่าวในมุมที่สร้างสรรค์ หรือประเด็นปัญหาในแง่นโยบายที่มาตอบโจทย์ได้อย่างเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร ถามว่าผู้เขียนจะไปเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในครั้งนี้หรือไม่ ตอบได้เลยว่าก็คงจะต้องไปเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่กำเนิด ชีวิตเราเกิด โต เรียน ทำงาน ในกรุงเทพฯมาตลอด เจอปัญหาที่ต้องเผชิญด้วยตนเองมากมาย จึงต้องสนใจ ใส่ใจ และอยากได้ผู้ว่าฯ ที่เป็นคนที่มีความสามารถมาแก้ไขปัญหาให้เราได้จริงๆ

ผู้สมัครผู้ว่าฯ แบบใดที่ผู้เขียนจะไม่เลือกอย่างแน่นอน ก็คือ ประเภท รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ (ไม่ได้รังเกียจผู้สมัครที่เคยมีอาชีพเหล่านี้ แต่หมายถึงบุคลิก ลักษณะนิสัย พฤติกรรมที่เข้าข่ายคนประเภทนั้นๆ รวมไปถึงนโยบายที่เอามาขายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นด้วย) ผู้สมัครประเภทเล่นปาหี่ ชอบสร้างภาพ จัดอีเว้นท์เก่ง เหล่านี้คงจะเป็นช้อยส์แรกๆ ที่ตัดทิ้งไปก่อนเลย ผู้สมัครที่เป็นตัวเต็งในผลโพลล์ต่างๆ ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้เขียน เพราะไม่สนใจที่จะติดตามหรือเอามาเป็นน้ำหนักในการตัดสินใจ (เรื่องทัศนะเกี่ยวกับโพลล์ผู้เขียนได้เคยเขียนวิเคราะห์วิจารณ์ไว้ในบทความชิ้นนึงในบล็อกมาแล้ว) ผู้สมัครที่นำเอานโยบายประเภทถ้าเลือกฉันแล้วคุณจะได้โน่นได้นี่ เข้าข่ายประชานิยม ถ้าเป็นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่จริงจะรับไว้พิจารณา แต่ผู้เขียนจะดูด้วยว่าจะเป็นจริงได้ในแง่รูปธรรมด้วยหรือไม่ และต้องไม่ไปสร้างภาระหนี้สินใช้งบประมาณเกินตัวด้วยหรือไม่ ประเภทนโยบายเกินจริง ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ หรือบนพื้นฐานแห่งความเป็นเหตุเป็นผล เหมาะสมกับวิถีหรือครรลองที่ควรจะเป็น ผู้เขียนจะถือรวมเป็นนโยบายขายฝัน ประชานิยม เตรียมจะทุจริตเชิงนโยบาย ก็จะไม่เลือกผู้สมัครผู้ว่าฯ ท่านนั้นอย่างแน่นอน

10 ประเด็นพื้นฐานที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบกับนโยบายของผู้สมัครผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานของกรุงเทพฯ มีดังนี้

1.ปัญหาขยะ ความสะอาด การแยกขยะ การจัดเก็บ และการทำลายขยะ ของกรุงเทพฯ รวมถึงมาตรการดูแล ปรับเงิน ลงโทษผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือหรือทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง รวมถึงขยะตามลำคลองแม่น้ำ ระบบระบายน้ำเสียของอุตสาหกรรม

2.ปัญหาอากาศเป็นพิษ การสร้างปอดให้กรุงเทพฯ ให้มีอากาศหายใจ ได้สะดวกขึ้นสะอาดขึ้น การขจัดมลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ อากาศเป็นพิษจากโรงงาน ฯลฯ การอนุรักษ์หรือปลูกต้นไม้ตามถนนสำคัญ เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะต่างๆ

3.ปัญหาทางเดินเท้า หาบเร่แผงลอยเต็มฟุตปาธ ทางเดินเท้าลดลง ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ การขุดหลุม ขุดท่อต่างๆ รวมถึงทางสำหรับรถจักรยานยนต์วิ่งทั่วกรุง ทางข้ามม้าลาย สะพานลอยในจุดสำคัญ

4. ปัญหาความปลอดภัยตามจุดสำคัญ ซอกซอยเปลี่ยว บริเวณที่พักผู้โดยสารประจำทาง จุดที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดอย่างทั่วถืง (ที่ไม่ใช่กล้องดัมมี่ด้วย) ไฟตามถนนหลักๆ ถนนสายรอง ต้องมีทุกจุด ความสว่างมากพอ

5. ปัญหาการระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ คูคลอง การขุดรอกท่อ ฝังกลบอย่างเป็นระเบียบ มาตรการป้องกันการเกิดปัญหาฝนตกน้ำท่วม ส่วนการเปิดปิดประตูน้ำ อุโมงค์ต่างๆ เป็นเรื่องของโครงสร้างใหญ่ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมของทั้งกรุงเทพฯ เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่คนเป็นผู้ว่าฯ จะต้องให้ความสำคัญและมีความรู้ หรือมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้คอยดูแลอยู่แล้ว

6.ปัญหาการจราจรติดขัด (เป็นปัญหาโครงสร้างใหญ่ของเมืองหลวง ที่แก้ยาก) แต่ผู้ว่าฯ มีส่วนที่จะช่วยบรรเทาหรือลดปัญหาให้ลดลงได้โดยการ สำรวจทางลัดเพิ่ม ทางแยกที่สำคัญทำเป็นอุโมงค์และสะพานข้ามแยก ประสานงานกับตำรวจและขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม บริหารจัดการพวกรถโดยสารประเภทต่างๆ การคุมกำเนิดรถสาธารณะบางประเภทที่วิ่งทับเส้นทางหรือแย่งผู้โดยสารกัน การเก็บค่าผ่านทางเข้าเมืองสำหรับรถส่วนบุคคล(นั่งมาคนเดียว)ที่เข้าเขตจราจรชั้นใน ในช่วงเวลาเร่งด่วน(Rush Hour) การประชาสัมพันธ์ให้คนกรุงใช้รถสาธารณะ การทำจุดจอดรถสาธารณะเพิ่มเพื่อต่อรถไฟฟ้า (Park & Ride)

7.ปัญหาบริการสาธารณะสุข ไม่ได้หมายรวมเฉพาะสถานสาธารณสุขของกทม.เท่านั้น แต่รวมถึงโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งควรมีการปรับปรุงบริการให้รวดเร็ว การบริการที่สุภาพ มีน้ำใจ และกระจายตัวให้ทั่วถึง เพราะประชากรกรุงเทพฯปาเข้าไป 10 ล้านคนแล้ว โรงพยาบาลบางแห่งไม่สามารถรองรับปริมาณคนไข้ได้อย่างเพียงพอ แต่บางแห่งก็ล้างผู้คนมาก

8.ปัญหาบริการการศึกษา และสันทนาการ นอกเหนือจากสถานศึกษาของรัฐ ประเภทโรงเรียน วิทยาลัย รวมถึงสำนักศึกษาทางด้านศาสนา ควรมีการควบคุมมาตรฐานที่เข้มงวด รวมถึงการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงสถานออกกำลัง ประเภทกีฬา เช่น สนามกีฬาตามชุมชนต่างๆ ควรจัดให้มีมากขึ้นและเปิดกว้างให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการ อาจมีการเก็บค่ารักษาสถานที่บ้างแต่ไม่ควรจะแพงเกินไป และตั้งกฎเกณฑ์ที่ไว้ใช้ควบคุมระเบียบวินัยในการใช้สถานที่ตามสมควรด้วย

9.ปัญหาบริการนักท่องเที่ยว เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงติดอันดับโลกด้านการท่องเที่ยว เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แต่จุดบริการนักท่องเที่ยวยังมีน้อย และไม่คลอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะป้ายบอกทางที่เป็นภาษาอังกฤษหรือป้ายสถานที่สำคัญที่เป็นภาษาอังกฤษยังมีน้อย แผนที่เส้นทางตามจุดท่องเที่ยวที่สำคัญยังมีน้อย รวมถึงประชาสัมพันธ์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญไม่เด่นชัด หรือแทบไม่มีเลยในบางจุด

10.ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ สายไฟ สายโทรศัพท์ ป้ายโฆษณา ระเกะระกะทั่วกรุง โดยเฉพาะย่านสำคัญๆ ทางธุรกิจหรือแหล่งช็อปปิ้งที่สำคัญยังเห็นอุจาดตาจำนวนมาก จุดสัญญาณโครงข่ายเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่สำคัญอย่าง Wi-Fi รวมถึง 3G ยังมีน้อยและความเร็วความแรงไม่คงที่หรือจุดอับสัญญาณมีมาก

นี่เป็นเพียงนโยบายพื้นฐานหลักๆ คร่าวๆ ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมาก ที่คนเป็นผู้บริหารเมืองหลวงต้องเอาใจใส่ สิ่งที่ผู้บริหารเมืองควรเริ่มคิดได้แล้วก็คือการจัดระเบียบกรุงเทพฯ การกำหนดผังเมืองที่เหมาะสม การจะทำอย่างไรกับการจราจรในกรุงเทพฯ การจะทำอย่างไรที่จะทำให้กรุงเทพฯ หลวม ไม่แออัด การกระจายคน แหล่งทำงาน สถานที่ราชการออกนอกเขตชั้นใน กระจายตัวไปบริเวณรอบนอกมากขึ้น หรือเลยไปถึงการพิจารณาเมืองหลวงแห่งที่ 2 หรือเมืองบริวารที่กระจายตัวออกไปจากความแออัดคับคั่งชั้นใน ทางด่วนไม่ได้เป็นทางด่วนอีกต่อไปแล้ว บางทีคับคั่งรถติดมากกว่าทางทางลาดปกติเสียอีก การสัญจรทางน้ำเป็นอีกทางเลือกนึงที่แก้ปัญหาจราจรได้ แต่เรือโดยสารประจำทางที่ปลอดภัยและปริมาณที่น้อยไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้อย่างเพียงพอ และการเดินทางที่รวดเร็วในช่วงเวลาเร่งด่วน รวมถึงเส้นทางสำหรับรถจักรยานยนต์ที่ครอบคลุมทุกถนนสายหลักในกรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรมเสียที สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่คนกรุงเทพฯ ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจคนที่เสนอตัวมาเป็นผู้สมัครผู้ว่า ฯ เพราะยุคนี้แล้ว คนที่จะมาเป็นผู้บริหารเมืองต้องเป็นมืออาชีพ ตัวจริงเสียงจริงเท่านั้น ประเภทมือสมัครเล่นอยากมาทดลองงานคงไม่ได้ และกรุงเทพฯ ทุกวันที่ผ่านไปแต่ละวันมีแต่ปัญหาที่หมักหมมมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องการคนที่ตั้งใจ อุตสาหะ มีความรู้จริง มาแก้ไขปัญหาให้พวกเราชาวกทม.ได้อย่างแท้จริง ประเภทสร้างภาพเก่งอย่ามาเลย คนกรุงเบื่อ และเคยมีประสบการณ์กับคนเหล่านี้มามากพอแล้ว เราจะไม่ให้โอกาสสำหรับคนที่ไม่พร้อม ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพตัวจริงเท่านั้น


2 ผู้สมัคร ผู้ว่าฯกทม.ที่เป็นตัวเต็งสำคัญ จาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ ระหว่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครหมายเลข 16 จากพรรคประชาธิปัตย์และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครหมายเลข 9 ของพรรคเพื่อไทย

โดยล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมรับได้กำชับให้ผู้สมัครของพรรคนำเสนอนโยบายในการหาเสียงเป็นหลัก ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เชื่อมั่นว่า การนำเสนอนโยบายที่เป็นไปตามหลักความเป็นจริง จะสามารถเพิ่มคะแนนนิยมของผู้สมัครได้


รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ติดตามการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้วิเคราะห์บริบทในสนามเลือกตั้งว่า ยังไม่เห็นข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบของผู้สมัครทั้ง 2 คนอย่างโดดเด่น แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีดีคนละด้าน โดยชี้ว่า คุณสมบัติของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แม้จะได้เปรียบในด้านการบริหารที่มีประสบการณ์ แต่ก็เสียเปรียบเรื่องวัยวุฒิ เมื่อเทียบกับ พล.ต.อ.พงศพัศ
แต่ในด้านของ พล.ต.อ.พงศพัศ ก็เสียเปรียบที่ขาดประสบการณ์ แต่ถ้าเทียบเรื่องนโยบายของทั้ง 2พรรค อาจไม่เห็นความต่าง จึงต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธการนำเสนอนโยบายหลักของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.พรรคประชาธิปัตย์ เปิดแล้ว 10 มาตรการเร่งด่วน ขณะที่พรรคเพื่อไทย ชู 8 ยุทธศาสตร์หลักสร้างกรุงเทพฯ แบบไร้รอยต่อ ซึ่งในรายละเอียดต่างก็นำเสนอแนวนโยบายที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคน กทม.ดูแลเรื่องรายได้และค่าครองชีพให้สอดคล้องกันเรื่องการจราจรก็เน้นที่จะเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง นอกจากนั้นก็เป็นข้อเสนอเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งการบริการของ กทม.และการบริหารสาธารณะ

สุหฤท สยามวาลา ประกาศลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.เปิดนโยบาย “SURPRISE BKK FUN BKK SUHARIT RUN BKK!” ผ่านทวิตเตอร์ เน้นแปลกใหม่-สร้างสุข-ฉับไว วางแผนหาเสียงกับกลุ่มงดออกเสียง ไม่ไปเลือกตั้ง หวังใช้เงินน้อยที่สุดในโลกผ่านทางสื่อดิจิตอล-การแบ่งปันในสังคมออนไลน์ วอนอย่าตัดสินคนด้วยการแต่งตัว

นายสุหฤท สยามวาลา กรรมการผู้จัดการบริษัท ดี.เอช.เอ.สยามวาลา จำกัด ศิลปินนักแต่งเพลงและดีเจวัย 45 ปี ประกาศผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ @suharit ยืนยันการตัดสินใจจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในสมัยหน้า พร้อมแถลงนโยบายหาเสียงภายใต้แนวคิด “SURPRISE BKK FUN BKK SUHARIT RUN BKK!”

นายสุหฤท กล่าวว่า หลักการทำงานจะอยู่ภายใต้ 3 แนวคิด ได้แก่ “surprise” หมายถึงสิ่งที่จะทำจะต้องสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่ สร้างความประหลาดใจในแง่บวก “fun” คือ เน้นความสุขอย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ และ “run” คือ เน้นความฉับไวในการทำงาน ไม่ปล่อยให้สูญเสียโอกาส ซึ่งจะเน้นโครงการที่ทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน เช่น โครงการ “1 เขต 1 เสน่ห์” ส่งเสริมกิจกรรมขี่จักรยาน โยคะ ออกกำลังกาย นายสุหฤท กล่าวอีกว่า ส่วนการหาเสียงจะมุ่งไปที่กลุ่มคนที่เคยงดออกเสียง ไม่ไปเลือกตั้ง เนื่องจากที่ผ่านมา มีผู้มาใช้สิทธิน้อยมาก และคนหัวก้าวหน้าทุกช่วงอายุ เริ่มจากการหาเสียงผ่านทวิตเตอร์ เปิดให้พูดคุยสอบถามได้ และตั้งใจจะหาเสียงโดยใช้เงินน้อยที่สุดในโลกผ่านทางสื่อดิจิตอลและการแบ่งปันในสังคมออนไลน์เป็นหลัก “ผมอยากชวนผู้ที่มีบทบาทในสังคมวันนี้มาช่วยคิดเรื่องต่างๆ ที่จะสร้าง surprise และ fun ไปพร้อมๆ กัน เพียงแค่ขอโมเดิร์น นะครับ” นายสุหฤท กล่าวนายสุหฤท กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์บุส่วนกรณีที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์บุคลิกและการแต่งกายของตนที่ดูแปลกนั้น ขอให้อย่าตัดสินตนจากรูปลักษณ์การแต่งตัว


พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร หมายเลข 11 กล่าวถึงการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกว่า ตั้งใจนำเสนอนโยบายใหม่แก่คนกรุงเทพ โดยจะประกาศนโยบายใหม่วิถี 4 จี ประกอบด้วย สร้างกรุงเทพฯให้เป็นเมืองปลอดภัย เมืองที่มีคุณภาพชีวิตสดใส เมืองเศรษฐกิจดี และเมืองที่มีคนดี โดยโครงการผู้ว่ากทม. 4 จี คือการชูธงเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตใหม่ของคนกรุงเทพ รหัสความปลอดภัยคนกรุงซึ่งเป็นเลขหมายเดียวกับหมายเลขของตนคือ 011 ซึ่งจะมีการเฝ้าระวังระบบความปลอดภัยโดยไอพีทีวี ซึ่งเป็นระบบที่ดีกว่าซีซีทีวี ที่เคยใช้อยู่เป็นเครือข่ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จีพีเอสไร้สาย นอกจากนี้ยังมีนโยบายย้ายศาลาว่าการกรุงเทพจากเดิมตั้งอยู่ที่เสาชิงช้าไปอยู่ที่ทำการกรุงเทพทฯย่านดินแดง และปรับศาลาว่าการกรุงเทฯเดิมให้เป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรม พร้อมกันนี้จะจัดพื้นที่โรงงานยาสูบให้เป็นสวนป่าที่มีพื้นที่จอดรถใต้ดินด้วย สำหรับการแก้ปัญหาหาบเร่แผงลอยจะจัดระเบียบยกแม่ค้าพ่อค้าให้ไปค้าขายบนสะพานลอยฟ้าเพื่อให้มีพื้นที่ทำมาหากินที่แน่นอน ส่วนนโยบายที่มีการเรียกร้องกันมากจากคนกรุงเทพคือการสร้างเลนจักรยาน ตนมีแนวคิดใช้พื้นที่เลนใต้เส้นทางรถไฟฟ้าเป็นพื้นที่สำหรับจักรยานเนื่องจากกรุงเทพฯมีพื้นที่น้อยจึงจำเป็นต้องปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมมาประกอบให้ใช้ร่วมกันได้  พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวผู้สมัครอิสระเตรียมรวมตัวโค่นผู้สมัครที่มาจากพรรคการเมืองโดยยอมรับว่ามีผู้สมัครอิสระหลายรายติดต่อเพื่อขอให้มีการรวมตัวของผู้สมัครอิสระเพื่อต่อต้านการซื้อสิทธิ และการทำโพลล์ที่ไม่ถูกต้อง แต่ตนมองว่าควรรอดูสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามเห็นว่าขณะนี้พรรคการเมืองพยายามสร้างกระแสว่าผู้ว่าฯต้องมาจากพรรคการเมือง เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง ทั้งที่จริงแล้วหากกลับไปพิจารณาเจตนารมณ์การเลือกผู้ว่าฯจะรู้ว่าควรเป็นผู้ที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำ เน้นดูที่ความตั้งใจจริงเป็นหลัก ที่ผ่านมาจะพบว่าผู้ว่าฯที่มาจากพรรคการเมืองล้วนถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีทั้งสิ้น


โฆสิต สุวินิจจิต ว่าที่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯราชการกรุงเทพมหานคร ชู 4 นโยบายบริหารกรุงเทพฯ ในคอนเซ็ปต์ กรุงเทพฯ 24 ชั่วโมงเน้นนโยบายที่ทำได้และช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วน ทั้งแก้ไขปัญหาจราจร ยกระดับ ร.ร.สังกัด กทม.เทียบเท่าโรงเรียนดังของรัฐบาล เล็งผุด ร.ร.สาธิต กทม.เป็น ร.ร.กินนอนดูแลเด็กด้อยโอกาส หนุนเศรษฐกิจสู่อาเซียน และกรุงเทพฯต้องปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยหวังให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน พร้อมขายฝันเอาใจคนกรุง ติดตั้งไว-ไฟ 20 เมกฯ ให้เข้าถึงการใช้งานแท้จริง และปรับภูมิทัศน์ใหม่เก็บสายไฟลงใต้ดิน

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา  ณ สวนสมเด็จย่า 84 ถนนวิภาวดี นายโฆสิต สุวินิจจิต ว่าที่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวเปิดนโยบายกรุงเทพฯ 4 นโยบาย แก้ไขปัญหาเร่งด่วนและสามารถทำได้ทันทีภายใต้กรอบ กรุงเทพฯ 24 ชั่วโมงโดย 4 นโยบายนั้น คือ แก้ไขปัญหาจราจร พัฒนาการศึกษา เศรษฐกิจรองรับ AEC และบริการ 24 ชั่วโมงเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดย นายโฆสิต กล่าวว่า วันนี้ กรุงเทพมหานครเป็นสังคมที่มีชีวิต 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯต้องตอบสนองต่อประชาชนในทุกๆ ด้าน รองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วยการให้บริการที่ทั่วถึง และตลอด 24 ชั่วโมง หรือ 3 กะ เพื่อให้กรุงเทพฯ เดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของ Asian ฉะนั้น นโยบายหลัก ภายใต้กรอบ กรุงเทพฯ 24 ชั่วโมงต้องสอดคล้อง พร้อมแก้ปัญหา และพัฒนากรุงเทพมหานคร
โดยมี 4 นโยบายหลัก คือ นโยบายกรุงเทพฯเดินทางสะดวก 24 ชั่วโมง โดยจะเน้นการแก้ปัญหาจราจร เพื่อให้การเดินทางในกรุงเทพฯสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่ทำได้ทันทีหากได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.คือ ติดป้ายบอกทางให้มากขึ้น เนื่องจากสาเหตุหลัก อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กรุงเทพฯ รถติด คือ คนขับรถหลงทาง เนื่องจากมีป้ายบอกทางน้อย บอกทางไม่ชัดเจน จึงได้เกิดปัญหาดังกล่าว ซึ่งการติดตั้งป้ายหาเสียงของตนในวันนี้ก็จะเน้นให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนให้มากที่สุด ดีกว่าการติดป้ายหาเสียงแบบเดิมๆ ที่สามารถปัญหาการจราจรเพิ่มให้กับประชาชนที่ใช้ยวดยานในท้องถนนโดยจะติดตั้งบอกเส้นทางทั้งทางลัด ทางแยก และระยะทาง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ในการเดินทาง

นโยบายการเรียนรู้ 24 ชั่วโมง โดยจะจัดตั้งโรงเรียนสาธิตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ เพื่อรวบรวมเด็กๆ ที่ขาดโอกาสทางการศึกษาและการยกระดับโรงเรียนของกรุงเทพมหานครให้เทียบเท่ากับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงประสานความร่วมมือกับโรงเรียนรัฐที่เด่นและดัง ที่มีคณะครูอาจารย์เป็นที่ยอมรับในสังคมการศึกษา นำมาถ่ายทอดสดระบบการศึกษาผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ทุกแห่ง ได้เรียนกับคณะครู อาจารย์ที่สอนอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลที่เด่นดังทางการศึกษา ยกระดับให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด และยังจะเป็นการเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนได้พร้อมๆ กันด้วย

นายโฆสิต กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของประชาชนทั่วไปก็จะมีเปิดไว-ไฟอินเทอร์เน็ต 20 เมกะไบต์ให้กับคนกรุงเทพทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ เข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตที่เป็นจริง นอกจากนี้ ยังมีการเปิดบริการห้องสมุดประชาชนในสังกัด กทม.24 ชั่วโมง รวมทั้งเปิดศูนย์อินเทอร์เน็ต ให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้บริการได้สะดวกสบาย

นโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเราจะแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งประเทศไทยเรามีพื้นที่และภูมิประเทศที่ได้เปรียบประเทศสิงคโปร์อย่างมาก หากเราเปิดการทำงานได้ตามนโยบาย 24 ชั่วโมง รองรับการทำงานของ Head Office บริษัทชั้นนำทั่วโลก ที่เขามีเวลาการทำงานไม่ตรงกับเราเพื่อให้เขาสามารถติดต่อประสานทำธุรกรรมต่างๆ ได้ และนโยบายภาษีที่เราจะเก็บเท่ากับสิงคโปร์ คือ 17% ซึ่งจูงใจทำให้เหล่าบริษัท Head office เข้ามาตั้งในกรุงเทพฯ ทำให้เราสามารถแข่งขันกับสิงคโปร์ได้ โดยเราจะได้เปรียบในด้านภูมิประเทศที่เป็นศูนย์กลางของการเดินทางในอาเซียน รวมทั้งความทันสมัยต่างๆ ที่เราจะพัฒนารองรับในอนาคต

และนโยบายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งอาเซียน โดยจะสร้างให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม มาเป็นจุดเด่นในการสร้างเสริมเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การตั้งศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมอาเซียนที่จะรวบรวมวัฒนธรรมของทุกประเทศในอาเซียน, พิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ เพื่อนำเสนอวัฒนธรรมของกรุงเทพ และสร้าง Hollywood of Asia ศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรม สร้างโรงหนัง โรงละครแห่ง Asia เพื่อการเรียนรู้วัฒนธรรมไทย พร้อมการแปรรูปวัฒนธรรมสู่ธุรกิจ เพื่อหารายได้สู่ประเทศไทย และนโยบายสุดท้าย คือ นโยบายปลอดภัย 24 ชั่วโมง เป็นนโยบายที่จะทำให้คนกรุงเทพมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความปลอดภัยตลอดเวลา โดยจะทำให้กรุงเทพฯมีไฟสว่างรอบกรุง มีกล้องวงจรปิด(CCTV) รอบกรุง มี รปภ.ทั่วทั้ง 50 เขตในจุดเสี่ยง และจะมีการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูล GPS ที่ติดในรถแท็กซี่ทุกคัน เพื่อให้คนกรุงเทพฯ หรือประชาชนทั่วไป สามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางของรถแท็กซี่ ที่บุตรหลาน หรือตัวท่านนั่งใช้บริการว่าไปถูกเส้นทางหรือไม่ อีกกี่นาทีจะถึงจุดหมาย

รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ให้กับเมืองหลวง ด้วยนโยบายนำสายไฟต่างๆ บนเสาไฟฟ้าลงสู่ใต้ดิน ซึ่งนอกจากจะทำให้ภูมิทัศน์ของกรุงเทพฯ ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถลดปัญหาความเสียหายต่างๆ จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เช่น อุบัติเหตุรถเครนชนเสาไฟฟ้าล้มจนทำให้ไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ทำให้เศรษฐกิจเสียหายจำนวนมาก การที่นำสายไฟฟ้า หรือสายไฟต่างๆ ลงดิน ยังจะทำให้เราลดการตัดต้นไม้ที่สร้างความร่มรื่นริมสองข้างทางด้วย และทั้งหมดคือนโยบายที่สามารถทำได้จริง และทำได้ทันที เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีสวัสดิภาพและสวัสดิการที่ดีขึ้น เพราะกรุงเทพฯ ไม่ใช่เมืองหลวงของคนกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่เป็นเมืองหลวงของคนไทยทั้งชาติ