วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สภาปฏิสังขรณ์ สภาปฏิสนธิ สนุกสนานกันใหญ่


ดิฉัน ขอกราบเรียนเชิญพี่น้อง ประชาชนชาวไทย นักการเมือง สื่อมวลชน ข้าราชการ ทุกสาขาอาชีพค่ะ มาร่วมกัน ปฏิสังขรณ์ วัตถุโบราณของชาติไทยเรากันเถอะค่ะ เป็นเวลาหลายปีเกือบจะศตวรรษนึงแล้ว ที่ประเทศไทยยังไม่ได้สังคายนาวัตถุโบราณทั้งหลายเหล่านี้เลย ดิฉันจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วน ทั้งพี่น้องที่อยู่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้มาร่วมกันบูรณาการ ปฏิสังขรณ์วัตถุโบราณของประเทศร่วมกันค่ะ ขอบพระคุณค่ะ (Thank You 3 Times)





รายการวัตถุโบราณที่นำมาร่วมประมูลกันในครั้งนี้ ได้แก่ 5 ชิ้นสำคัญที่เป็นไฮไลท์



"กลับบ้านกันเถอะลูก ไปนอนซะ ไปนอน ไม่มีอะไรแล้ว พ่อมาเพื่อจะบอกว่า พ่อแบกโซ่มาหนักมากแล้วลูก เดินทางมาก็ 200,000 กว่ากิโลเมตรแล้วลูก เดี๋ยวพ่อจะไปกระโดดน้ำโขงตายเดี๋ยวนี้เลย ถ้าพวกลูกๆ ไม่เชื่อพ่อ ไปนะจ๊ะ กลับบ้านไปนอนกันได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว กินอิ่ม นอนหลับ นะจ๊ะทุกคน"






"เออจริงๆ แล้ว เราทุกคนต้องลดทิฐิมานะลงบ้าง ลดกิเลสลงให้ได้ทุกคน ถอยกันคนละก้าวบ้าง แล้วชาติก็จะไปได้ ไม่มีอะไรเหนือบ่าฝ่าแรงหรอก ถ้าทุกคนพร้อมจะพูดคุยกัน หันหน้าเข้าหากัน มาร่วมกันปรองดอง"   "ไม่มี ไม่มี เรื่องงบประมาณไปลงสุพรรณบุรีอะไรกัน พวกเราอดอยากปากแห้งมานานแล้ว"





"พี่น้องครับ ใครจะไปยอมมันครับ ถ้ามันแก้รัฐธรรมนูญ ผลักดันกฏหมายนิรโทษกรรมให้กับคนกระทำความผิด ผมจะออกมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่พร้อมๆ กับพี่น้องทุกท่านทันที"   "เมื่อพี่น้องมาส่งเราถึงหน้ารัฐสภาแล้ว เราขอขอบคุณพี่น้องทุกท่าน จากนี้ไปเราจะเดินเข้าไปทำหน้าที่ในสภาอย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ให้สมกับที่พี่น้องให้ความศรัทธาไว้วางใจพวกเรา"



"ต้องเข้าใจก่อนนะว่า การปฏิสังขรณ์วัตถุโบราณคือการนำเอาของเก่ามาขายใหม่ หรือเหล้าเก่าในขวดใหม่นั่นแหละ หรืออาจมองคล้ายๆ การปฏิสนธิกันทางการเมืองก็ได้ หรือการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กันก็ได้ ดังนั้นการปฏิสังขรณ์เป็นเรื่องที่ควรทำ ไมใช่เรื่องที่จะมาตั้งแง่กัน ความจริงใจมีมั๊ย ขอความจริงใจกันหน่อย"




"ถ้าหากเรามัวทะเลาะเบาะแว้ง ชาติก็ไม่อาจหลุดพ้น เจริญก้าวหน้าไปได้ ที่ผ่านมาเราบอบช้ำมามากแล้ว ผมยอมรับว่าการทำรัฐประหารไม่ใช่ทางออกของประเทศอีกต่อไป มีแต่ความเสียหาย ดังนั้น วันนี้เราต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน ว่าเราจะกำหนดกติกากันใหม่อย่างไร ให้เราอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่แบ่งแยกสีเสื้อ"   





พิพิธิภัณฑ์ ลูฟ ปฏิเสธ ไม่เคยมีแนวคิดรับ "วัตถุโบราณ" จากประเทศไทย
แหล่งข่าวจากสำนักข่าว เดอะซัน ทีเชื่อถือได้ กล่าวอ้างอิงจาก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพิพิธภัณฑ์ ลูฟ แห่งประเทศฝรั่งเศส กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่เคยมีแนวคิดจะรับซื้อหรือประมูลวัตถุโบราณมีค่าจากประเทศไทย เหตุต้องนำมาโมดิฟายด์หรือล้าง(สมอง) ทำความสะอาด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและบกพร่องจำนวนมาก อีกทั้งชิ้นส่วนไม่สมประกอบ ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก จึงปฏิเสธมาตั้งแต่ต้น และหากมีการลักลอบนำเข้ามายังประเทศฝรั่งเศส หรือมีการจารกรรมมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ทางพิพิธภัณฑ์จะอัปเปหิออกจากประเทศฝรั่งเศสโดยทันที และอาจเรียกร้องค่าปรับหรือค่าเสียหายที่ทำให้เสียชื่อเสียงแก่พิพิธภัณฑ์ไปยังประเทศไทยด้วย






"อย่าไปเข้าร่วมเลย ไอ้สภาปฏิสังขรณ์หรือปฏิสนธิอะไรเนี่ย ผมรู้พวกคุณเหงา ก็เลยมาเข้าชมรมคนแก่เบื่อเลี้ยงหลาน ที่บ้าน ลูกหลานไม่สนใจใยดีแล้ว ไม่มีอะไรทำ เกณียณจากงานมานาน ว่างๆ ก็มาลงอ่างอย่างผมสิครับ จะได้เพลิดเพลินมีความสุข"



"ถามกูหรือยัง พวกมึงเอาภาษีของชาวบ้านอย่างพวกกู ไปนัดชุมนุมเปิดบ้านบางแค สาขา 2 กันใช่มั๊ย ไม่มีอะไรทำก็ไปดายหญ้า ปลูกผัก เลี้ยงควายไปสิ อย่ามาใช้ภาษีชาวบ้าน มันเปลืองนะ บรรดาหัวหงอก หัวแก่ทั้งหลาย"


"ถ้าพวกท่านอยากมีส่วนร่วมในทอล์คโชว์เดี่ยว 11 ของผม ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกครับ โปรดอย่ามาแย่งซีน ปล่อยมุกแข่งกับผมเป็นพอ เดี๋ยวผมจะส่งแผ่น DVD เดี่ยว 10 ของผม ไปให้พวกท่านดูแก้เครียดก็แล้วกัน"


"อาหารมื้อนี้ (last supper) เรามาทานร่วมกัน มีทั้งปลาที่มีวิตามินสูงจากอ่าวพร้าว ข้าวก็เป็นข้าวหอมมะลิอย่างดี จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล น้ำยางอย่างดีที่พึ่งกรีดมาสดๆ จากชะอวด เดี๊ยนหวังว่าทุกท่านจะอิ่มหมีพลีมัน แล้วโอกาสหน้าเราจะมาประชุมโต๊ะแชร์กันใหม่เดือนหน้านะคะ"   "เท้าแชร์อย่าเบี้ยวนะ ลูกแชร์เบื๊อ เบื่อ เปียยากเปียเย็น"







"กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็เอาไปเททิ้ง อย่ามาบ่นให้ฉันได้ยินนะ ว่าไม่อร่อย ที่บ้านคงกินทิ้งกินขว้างกันหล่ะสิท่า ถ้ากินไม่หมด ฉันจะปรับ 10 เท่าเลยนะยะจะบอกให้รู้ ตามจำนวนอาหารที่เหลือบนโต๊ะ นี่คิดแบบร้านหมูกะทะแถวบ้านฉันหย่ะ"




"พวกผู้ใหญ่ครับ ผมไม่อยากได้แท็บเล็ตกระจอกๆ อ่ะ ใช้การไม่ได้ ผมขอจัดตั้งเงินกองทุนไว้สำหรับเบิกจ่าย เป็นทุนสงเคราะห์การเล่นเกมส์แก่เยาวชนของชาติเพียง  3,000 บาท ต่อ 1 คน ต่อ 1 เทอมเท่านั้น ไม่เห็นจะยากเลย ทีพวกท่านยังตั้งกองทุนอย่างอื่นได้เลย ทำไมช่วยชาวนา แล้วไม่ช่วยพวกผมบ้างหล่ะครับ พวกผมเยาวชนของชาตินะครับ"






"ความฝันของปูก็คือ การได้เดินทางรอบโลก ด้วยเครื่องบินส่วนตัวค่ะ มีกระเป๋ากุชชี่ ชาแนล พราด้า หลุยส์ วิตตอง แอร์เมส ดีแอนด์จี เบอร์เบอร์ลี่ ได้ใส่ชุดสวยๆ ทุกวัน ไม่มีซ้ำค่ะ อาหารที่ชอบคืออาหารไทยค่ะ ตอนนี้อยากไปเที่ยวขั้วโลกเหนือค่ะ อยากไปเล่นสกีที่มีหิมะค่ะ แล้วก็อยากไปช็อปปิ้งที่ฝรั่งเศส แล้วมาไหว้พระที่เกียวโต แล้วมาจบที่ดินเนอร์หรูที่ริมแม่น้ำปิง ชีวิตปูก็ชิลล์ ชิลล์แบบนี้แหละค่ะ"


"กูมึนตึ้บเลยมึง อีนี่เป็นใครวะ   เอ้า ไอ้เชี่ย! นี่มันนายกของประเทศสาระขัณฑ์หรอกเหรอ ว๊าย ตายกูซวยแล้ว แล้วก็ไม่บอกก่อน ไอ้เต๋อ ช่วยกูด้วย เดี๋ยวมันมาอุ้มกูไป เฮ้ยพวกมึงช่วยกูด้วย"


"อั๊ว ไม่เห็นด้วย ที่พวกลื้อจะมาแย่งงานอั๊วทำ ถ้าลื้ออยากเล่นตลกให้ไปสภา ลื้ออยากไถนาให้ไปที่ศรีสะเกษ ลื้ออยากเป็นผีเปรต ให้ศึกษางานจากคนพวกนี้เอาไว้"



"เวลาพวกมึงยังไม่ดัง(ยังไม่ได้เป็น ส.ส.) บางทีมากราบตีนกูก็มี แต่พอมันดังแล้ว (ได้เป็น รมต.)กูต้องไปกราบตีนมัน มึงเชื่อกูดิ กูอยู่วงการนี้มา 50 ปี แล้ว กูดูไม่เคยพลาด ถ้ามึงจะสร้างหนัง (แหกตา) ให้ไม่เจ๊ง ต้องมาถามกูสิ ทำหนังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอก"                        




      

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (จับตาสหรัฐและนาโต้เปิดฉากโจมตีซีเรีย,ไฟป่าที่โคโลราโดบานปลาย,คณะยูเอ็นตรวจอาวุธเคมีในซีเรีย)

เอเจนซีส์ – รัฐบาลซีเรียเชื่อประเทศเสี่ยงต่อการถูกโจมตีได้ “ทุกเวลา” นับจากนี้ หลังผู้ตรวจสอบอาวุธเคมีขององค์การสหประชาชาติเดินทางออกจากซีเรียไปแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา(31) ขณะที่หลายประเทศเตือนพลเมืองของตนให้งดเดินทางไปเลบานอนซึ่งมีพรมแดนติดกับซีเรีย หวั่นได้รับอันตรายจากปฏิบัติการทางทหารของอเมริกา  เจ้าหน้าที่ความมั่นคงซีเรียซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า “เราเชื่อว่าตะวันตกอาจจะเปิดฉากโจมตีได้ตลอดเวลา”   ภารกิจของเจ้าหน้าที่ยูเอ็นที่ปิดฉากลงทำให้ทั่วโลกคาดหมายว่า เร็วๆนี้อาจจะมีการผนึกกำลังทหารโจมตีรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด เพื่อลงโทษที่ใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าพลเรือนตัวเอง ขณะที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ก็แถลงชัดเจนวานนี้(30)ว่า กำลังเตรียมปฏิบัติการโจมตีซีเรีย “อย่างจำกัดและเฉพาะเจาะจง” พร้อมย้ำว่านานาชาติไม่ควรนิ่งเฉย เมื่อสตรีและเด็กชาวซีเรียหลายร้อยคนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยแก๊สพิษทำลายระบบประสาท

คณะผู้ตรวจสอบยูเอ็นซึ่งขณะนี้เดินทางถึงเลบานอนแล้ว จะรายงานผลตรวจสอบให้เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มูน ทราบว่ามีการใช้แก๊สพิษในวันที่ 21 พฤษภาคมจริงหรือไม่ โดยยึดหลักฐานที่พบในจุดเกิดเหตุ  ซีเรียปฏิเสธว่าทหารฝ่ายตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สังหารหมู่ ขณะที่วอชิงตันอ้างข้อมูลข่าวกรองว่า มีชาวซีเรียผู้บริสุทธิ์ถูกอาวุธเคมีคร่าชีวิตไปกว่า 1,400 คน

ล่าสุด บาห์เรน, คูเวต, อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้เตือนพลเมืองงดเดินทางไปเลบานอนในระยะนี้ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่กองทัพสหรัฐฯจะใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรีย ส่วนออสเตรียเพียงแนะนำให้ผู้ที่ต้องการเดินทางสอบถามสถานการณ์จากสถานทูตในเลบานอนเสียก่อน   บาห์เรนและคูเวตยังแจ้งให้พลเมืองของตนรีบเดินทางออกจากเลบานอนทันที ตามรายงานของสำนักข่าวแห่งชาติทั้ง 2 ประเทศ   แหล่งข่าวอาวุโสด้านความมั่นคงในเลบานอนเปิดเผยว่า เมื่อวันพฤหัสบดี(29) มีชาวต่างชาติเดินทางออกจากเลบานอนแล้วประมาณ 14,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป

เมื่อวานนี้(30) อังกฤษแจ้งให้ประชาชนงดเดินทางไปเลบานอน เว้นแต่มีธุระจำเป็นจริงๆ โดยเตือนถึงสถานการณ์อันตรายที่กำลังแผ่ลามจากซีเรียออกสู่ประเทศข้างเคียง และชี้ว่าแผนปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯอาจจะก่อให้เกิดกระแสเกลียดชังชาวตะวันตกขึ้น ปารีสได้ออกคำเตือนในลักษณะเดียวกัน เมื่อวันพฤหัสบดี(29)


รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า เครื่องบินรบหลากหลายรุ่นรวมถึงบรรดาเครื่องบินลำเลียงทางทหารของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ทยอยเดินทางมาถึงยังฐานทัพอากาศ “อะโครติรี” บนเกาะไซปรัสแล้วตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (27) ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าปฏิบัติการทางทหารของกองกำลังสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรต่อซีเรียใกล้เปิดฉากเต็มที

“เดอะ การ์เดียน” สื่อดังของอังกฤษรายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นนักบิน 2 รายของสายการบินพาณิชย์ ที่บินมายังไซปรัสระบุว่า พวกเขาพบเห็นเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินลำเลียงซี-130 รวมถึงอุปกรณ์เรดาร์ และยุทโธปกรณ์ทางทหารจำนวนมากของกองทัพอังกฤษทยอยเข้ามายังไซปรัส สอดคล้องกับข้อมูลจากประชาชนที่อาศัยอยู่รอบฐานทัพอากาศอะโครติรีที่ให้ข้อมูลว่าพวกเขาพบการเคลื่อนไหวภายในฐานทัพดังกล่าวที่มากกว่าปกติตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ฐานทัพอากาศอะโครติรีนั้น แม้จะตั้งอยู่ในไซปรัส แต่ตัวฐานทัพถือเป็นเขตอธิปไตยของอังกฤษและกองทัพอากาศเมืองผู้ดีก็ได้ใช้ฐานทัพแห่งนี้ในการปฏิบัติการทางทหารนับครั้งไม่ถ้วนนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรรวมถึงอังกฤษตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อสั่งสอนรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดแห่งซีเรียจริง ฐานทัพอากาศอะโครติรีกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้น่าจะถูกใช้เป็นหนึ่งในที่มั่นหลักในการโจมตีซีเรีย เนื่องจากมีที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งของซีเรียไม่ถึง 100 ไมล์ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกองทัพอังกฤษมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลซีเรียประกาศปกป้องตนเองอย่างเต็มกำลังจากการโจมตีใดๆ ของต่างชาติต่อรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งถูกกล่าวหาใช้อาวุธเคมีสังหารผู้คน  วาลิด มูอัลเลม รัฐมนตรีต่างประเทศซีเรีย แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่าดามัสกัสจะปกป้องตนเองจากการโจมตีใดๆ โดยระบุว่าซีเรียมีสองทางเลือก คือยอมจำนน หรือปกป้องตนเอง ซึ่งในมุมมองของรัฐบาลซีเรียแล้วทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การปกป้องตนเองอย่างสุดกำลัง พร้อมคุยโตด้วยว่าซีเรียมีแสนยานุภาพที่สามารถสร้างความประหลาดใจแก่ทั้งโลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ว่าเพราะเหตุใดการใช้อาวุธเคมีในซีเรียเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 ศพ จึงกระตุ้นให้ประเทศมหาอำนาจนำโดยสหรัฐ ประกาศเตรียมใช้กำลังทางทหารเข้าแทรกแซง เพื่อ "ลงโทษ" ผู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งที่ยังไม่หลักฐานชี้ชัดว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลดามัสกัส หรือฝ่ายกบฏ ปัจจัยใดทำให้สหรัฐและพันธมิตรมั่นใจว่า การใช้กำลังทางทหารคือวิธีที่สมควรที่สุดแล้วในเวลานี้

หลักการความรับผิดชอบในการคุ้มครอง ( Responsibility to Protect ) หรือที่รู้จักกันในตัวย่อว่า “อาร์ทูพี” ( R2P ) เกิดขึ้นเมื่อปี 2548 จากแนวคิดของนายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ในเวลานั้น ที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองในรวันดากว่า 800,000 ศพ เมื่อปี 2537 และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประธานาธิบดีสโลโบดัน มิโลเซวิช แห่งเซอร์เบีย ต่อชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ชาวเซิร์บ ในยูโกสลาเวียและโคโซโว เมื่อ 15 ปีก่อน

แม้อาร์ทูพีจะเป็นเพียงบรรทัดฐาน ไม่ใช่กฎหมาย แต่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากลว่ามีน้ำหนักไม่ต่างกัน และมีองค์ประกอบสำคัญในเบื้องต้น 3 ข้อ ได้แก่

- ประเทศต้องมีศักยภาพที่จะปกป้องพลเมืองของตัวเองจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ แต่หากเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันทั้งหมด ถือเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่ประชาคมโลกจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้

- แม้มีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมดังกล่าวข้างต้น แต่ประเทศไม่สามารถรับมือต่อเหตุการณ์ได้ ขอให้ประชาคมโลกร่วมดำเนินการอย่างสันติวิธี รวมถึงวิธีการทางการทูตและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เพื่อหาทางหยุดยั้งความโหดร้ายเหล่านี้

- หากพยายามทุกวิธีแล้วแต่ไม่สำเร็จ ประชาคมโลกสามารถใช้กำลังทางทหารเข้าคลี่คลายสถานการณ์ และปกป้องพลเมืองของประเทศนั้น เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงทางทหารจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ซึ่งในกรณีของซีเรียถือว่าเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงมากว่า รัสเซียและจีน 2 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซีจะใช้สิทธิ์คัดค้าน ( วีโต้ )

ดูเหมือนใจความสำคัญของอาร์ทูพีจะ “เข้าทาง” สหรัฐและพันธมิตร ด้วยความที่สถานการณ์ในซีเรียยังคงเลวร้าย ประชาคมโลกพยายามร่วมกันทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น การใช้กำลังทางทหารจึงเป็นวิธีสุดท้าย ที่จะสามารถยุติความรุนแรงในซีเรียได้ ทว่าหากมองย้อนกลับไปยังปฏิบัติการโจมตีทางทหารในยูโกสลาเวีย คำว่า “ประชาคมโลก” ของสหรัฐ กลับหมายถึงองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) ไม่ใช่ยูเอ็น ซึ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศถือว่าไม่มีน้ำหนัก และความชอบธรรมมากพอที่จะใช้เป็นเหตุผลในการเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง

พบผู้เสียชีวิต 2 ราย จากเหตุไฟป่า ในรัฐโคโลราโด สหรัฐ ขณะที่อีกกว่า 6,500 คน ได้รับคำสั่งเตรียมพร้อมให้อพยพ

เจ้าหน้าที่ พบร่างผู้เสียชีวิต เป็นชาย 1 ราย และ หญิง 1 ราย จากบ้าน 1 ใน 16 หลัง ที่ถูกไฟป่าเผาไหม้ ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของเขตภูเขา เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้สูญหายอีก 1 ราย ซึ่งเป็นประชาชนในพื้นที่เดียวกัน

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ยังไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม หลังไฟป่าได้โหมไหม้พื้นที่ไปแล้วกว่า 7 ตารางกิโลเมตร ทางฝั่งตะวันตกของเมือเดนเวอร์ ซึ่งเป็นชานเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ค่อนข้างหน้าแน่น

ภัยคุกคามจากไฟป่า ได้เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ระหว่างช่วงฤดูร้อนและแห้งแล้งผิดปกติในเดือนมีนาคม โดยมีการสั่งอพยพประชาชนไปแล้ว กว่า 100 หลังคาเรือน ประชากรอีกราว 6,500 คน ได้รับคำสั่งให้เตรียมความพร้อมเพื่ออพยพ หลัง เจ้าหน้าที่พบว่า ไฟป่าโหมไหม้รุนแรงขึ้น ขณะที่ บ้านเรือนประชาชนอีกหลายหลัง ที่อยู่ในหุบเขาที่คดเคี้ยว เจ้าหน้าที่ จะมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุระหว่างการอพยพ

คณะตรวจสอบของ UN เข้าไปซีเรียแล้ว


เอเจนซีส์ - คณะตรวจสอบของสหประชาชาติ ออกเดินทางไปปฏิบัติงานในวันจันทร์ (26 ส.ค.) ในพื้นที่ชานกรุงดามัสกัสซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมี ขณะที่มหาอำนาจตะวันตกแสดงท่าทีโน้มเอียงมากขึ้นในการใช้กำลังลงโทษรัฐบาลซีเรียโดยไม่รอฉันทามติจากคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ด้านประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดเตือนอเมริกา เตรียมตัวพบความล้มเหลวเช่นเดียวกับสงครามทุกครั้งที่วอชิงตันเปิดฉาก

รถ 6 คันลำเลียงคณะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธที่สวมเสื้อเกราะสีฟ้าของสหประชาชาติ เดินทางออกจากโรงแรมที่พักกลางกรุงดามัสกัสเมื่อวันจันทร์ โดยมีรถของกองกำลังรักษาความปลอดภัยและรถพยาบาลร่วมขบวนไปด้วยอย่างละคัน จุดหมายคือเขตกูตา ชานเมืองด้านตะวันออกของกรุงดามัสกัสซึ่งเป็นพื้นที่ยึดครองของกบฏซีเรียที่นักเคลื่อนไหวระบุว่า ถูกโจมตีด้วยจรวดติดอาวุธเคมีเมื่อเช้าวันพุธ (21) ทำให้ประชาชนเสียชีวิตหลายร้อยคน

แม้ที่สุดรัฐบาลซีเรียยอมให้คณะเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว แต่สหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกก็ออกมาระบุว่า เป็นการสายเกินไปเนื่องจากช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพของประธานาธิบดีอัสซาด ได้ถล่มพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อทำลายหลักฐาน

เวลานี้นานาชาติยังคงมีความเห็นแตกแยกเกี่ยวกับแนวทางจัดการกับวิกฤตซีเรีย โดยที่ก่อนหน้านี้รัสเซียกับจีนได้ใช้สิทธิ์ยับยั้งมติเกี่ยวกับซีเรียของฝ่ายตะวันตกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นมาหลายครั้งแล้ว

ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ มีท่าทีลังเลที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อปกป้องพลเรือนซีเรีย เนื่องจากเกรงว่า จะถูกดึงเข้าสู่สงครามกลางเมืองอันโหดเหี้ยม เพียงไม่นานหลังจากที่เขานำเอาทหารอเมริกันออกมาจากอิรัก

กระนั้น หลังจากคลิปและภาพข่าวที่เผยให้เห็นร่างเด็กเรียงรายเป็นทิวแถวที่สื่อทั่วโลกประโคมข่าวเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว เขาจึงถูกชาติตะวันตกอื่นๆ รวมทั้งพันธมิตรอาหรับกดดันอย่างหนักให้ลงมือจัดการกับวิกฤตซีเรีย

ทางด้าน วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ ตอบข้อซักถามของบีบีซีว่า เป็นไปได้ที่จะมีการตอบโต้การใช้อาวุธเคมีโดยไม่รอฉันทามติจากคณะมนตรีความมั่นคง

ส่วนที่ปารีส รัฐมนตรีต่างประเทศ ลอรองต์ ฟาเบียส กล่าวว่า ฝรั่งเศสจะตัดสินใจเกี่ยวกับวิกฤตซีเรียในเร็ววันนี้

เช่นเดียวกับตุรกีที่ประกาศเข้าร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศต่อต้านรัฐบาลซีเรีย แม้คณะมนตรีความมั่นคงไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ก็ตาม

เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เผยว่า โอบามาซึ่งหารือกับผู้ช่วยระดับสูงด้านความมั่นคงเมื่อวันเสาร์ (24) จะตัดสินใจว่าจะตอบโต้ต่อการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียนี้อย่างไร โดยอิงอาศัยข้อมูลอันถี่ถ้วน

ปีที่แล้ว โอบามาเคยประกาศว่า ตะวันตกจะเข้าแทรกแซง หากกองทัพซีเรียใช้อาวุธเคมี อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวปฏิเสธรายงานของหนังสือพิมพ์เทเลกราฟของอังกฤษที่ว่า ลอนดอนและวอชิงตันมีแผนสนธิกำลังเปิดปฏิบัติการทางทหารต่อกองทัพของอัสซาด “ภายในไม่กี่วันนี้”

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า แนวโน้มปฏิบัติการที่เป็นไปได้มากที่สุดของสหรัฐฯคือ การโจมตีด้วยจรวดร่อน (ครูซ มิสไซล์) จากเรือรบไปยังเป้าหมายทางการทหารของซีเรียและกองทหารปืนใหญ่ที่มีส่วนในการโจมตีด้วยอาวุธเคมี โดยที่มีเครื่องบินขับไล่ที่ประจำการอยู่นอกอเมริการ่วมปฏิบัติภารกิจด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่กำลังป้องกันอากาศยานของซีเรียอาจเล่นงานนักบินอเมริกันและพันธมิตร

นอกจากนั้นมีแนวโน้มว่า วอชิงตันอาจขอการสนับสนุนจากพันธมิตรในยุโรปและในอ่าวเปอร์เซีย เนื่องจากค่อนข้างแน่นอนว่า รัสเซียจะพยายามขัดขวางปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย

มีรายงานว่านายทหารระดับสูงจากตะวันตกและชาติมุสลิม ซึ่งรวมถึงประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ กำหนดหารือกันเมื่อวันจันทร์เกี่ยวกับผลกระทบจากการเปิดศึกเช่นนี้ที่อาจเกิดกับตะวันออกกลาง

วันเดียวกัน บัน คีมุน เลขาธิการยูเอ็นกล่าวว่า ต้องเร่งรีบเข้าตรวจสอบข้อกล่าวหาการใช้อาวุธเคมีโจมตีที่ตามรายงานของของกลุ่มแพทย์ไร้พรมแดนระบุว่าทำให้พลเรือนเสียชีวิต 355 คน

สำหรับด้านอัสซาดปฏิเสธว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องทางการเมืองล้วนๆ โดยยืนยันว่า รัฐบาลซีเรียไม่มีทางทำเช่นนั้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวก็มีทหารของรัฐบาลอยู่จำนวนมาก

“ความล้มเหลวรออเมริกาอยู่เหมือนเช่นสงครามทุกครั้งที่อเมริกาเป็นคนก่อ ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามจนถึงปัจจุบัน”

ขณะที่รัสเซีย พันธมิตรเก่าแก่ที่ขายอาวุธให้อัสซาด รับลูกว่า กลุ่มกบฏอาจอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยอาวุธเคมี และจะเป็นความผิดพลาดร้ายแรงในการด่วนสรุปว่า เป็นฝีมือฝ่ายใด พร้อมแสดงความกังวลและเรียกร้องให้วอชิงตันอดกลั้นจากการยั่วยุให้ใช้ปฏิบัติการทางทหาร

รัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เกย์ ลัฟรอฟ ของรัสเซีย ยังกล่าวเตือนในขณะหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น เคร์รี ของสหรัฐฯ ถึง“ผลสืบเนื่องอันมีอันตรายอย่างยิ่งต่อภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือโดยรวม จากความเป็นไปได้ที่ (สหรัฐฯและฝ่ายตะวันตก) จะมีการเข้าแทรกแซงทางทหารครั้งใหม่”

ส่วนทางด้านจีนนั้น สนับสนุนให้สหประชาชาติเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามข้อกล่าวหาหรือไม่ แต่ก็เร่งเร้าให้ดำเนินการตอบโต้ “อย่างระมัดระวัง”









Marketing Never Die ว่าด้วยกลยุทธ์การตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์สมัยใหม่

นับแต่การถือกำเนิดอินเตอร์เน็ตบนโลกนี้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว และวิวัฒนาการของโลกไซเบอร์ได้พัฒนาไปไม่หยุดหย่อน ปรากฏการณ์แรกของโลกอินเตอร์เน็ตก็คือ การถือกำเนิดของโปรแกรมวินโดว์ของไมโครซอฟท์ จากนั้นเกิด อีเมลล์, icq ซึ่งเป็นโปรแกรมแช็ทตัวแรกๆ ของโลก กับ MSN ที่เป็นโปรแกรม chat & messenger ของไมโครซอฟท์ที่มาคู่กับโปรแกรมวินโดว์ ที่เกือบทุกเครื่องบนโลกต้องมี จากนั้นก็ตามมาด้วยHi5,MySpace,Youtube,Facebook,Twitter,Foursquare,LinkedIn,Googleplus,Tumblr,Instagram,WeChat ปัจจุบันก็มี Line Chat เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นตัวล่าสุด ในอนาคตก็อาจจะมีเพิ่มขึ้นมาอีก  จะเห็นว่าพลวัตด้านการติดต่อสื่อสาร หรือวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี ไม่เคยหยุดนิ่ง ซึ่งทำให้การตลาด และนักการตลาดจำเป็นต้องไปผูกโยง หากจำเป็นต้องใช้เป็นเครื่องมือทำการค้าหรือซื้อขายสินค้าบนโลกออนไลน์ เราจึงอยากมาทำความรู้จักกับสิ่งเหล่านี้ที่ขอเรียกรวมๆ ว่า คือสื่อสังคมออนไลน์สมัยใหม่ก็แล้วกัน

Social Media Marketing บทวิจัยของ Nielsen Global Online Consumer Survey สำรวจทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อรูปแบบโฆษณาต่างๆทั้งหมด 16 รูปแบบ พบว่า พวกเขา เชื่อถือคำแนะนำจากคนรู้จัก 90% เชื่อความคิดเห็นบนออนไลน์ 70% เชื่อโทรทัศน์ 62% เชื่อหนังสือพิมพ์ 61% เชื่อวิทยุ 55%

Social Media Marketing บรรดาเพื่อนๆของเราอยู่ที่ไหนบ้างในโลก Social Media – Facebook ,Twitter, Blog, Media Forum (Web Board) อย่าง Pantip, Manager, Sanook, Kapook, Dek-d เป็นต้น

Social Media Marketing ทำไมสื่อเดิมถึงลดความสำคัญลง ??? ลักษณะของการสื่อสารทางเดียวที่ควบคุมโดยกิจการ สารการตลาดที่สื่อออกมาเป็นลักษณะของ การเข้าขัดจังหวะ (Interruption) ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาในแต่ละวัน จนกระทั่งผู้รับสารอย่างเราจดจำไม่ไหว ผู้รับสารเกิดการระแวดระวัง เพราะเคยถูกสื่อเดิมๆเหล่านี้หลอกมาแล้ว สำคัญที่สุดคือ ในยุค Internet ทำให้เกิดช่องทางในการค้นหาข้อมูลของสินค้าและบริการต่างๆอย่างมากมาย ซึ่งเกิดจากปัจเจกชนทั่วไปเข้าไปสร้างเนื้อหา ไม่ได้มากจากกิจการ ทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น

Social Media Marketing ความสำคัญของปัจเจกชน – ทำให้เกิดการตลาดแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า Viral Marketing เกิดการบอกต่อๆกันไปว่าสินค้าหรือบริการใดดี หรือไม่ดี จากคนไม่กี่คน สามารถกลายเป็น Mass ได้ ทำให้เสียงของปัจเจกชน จากเดิมที่เป็นเสียงเล็กๆ กลายเป็นเสียงใหญ่ ที่คุณต้องฟัง

ยกตัวอย่าง เช่น ซูซาน บอยด์,นาธาน โอมาน, Blendtec เป็นต้น

Social Media Marketing ดังนั้น หัวใจสำคัญของการใช้ Social Media ในทางการตลาด คือ ทำอย่างไรข่าวสารที่ทางกิจการแจ้งออกไปนั้น จะเกิดการบอกต่อ หรือพูดง่ายๆว่าเกิด Viral ขึ้น

Social Media Marketing หากกิจการยังใช้สื่อเดิมๆที่พูดอยู่ข้างเดียว ย่อมยากที่จะทำให้เกิดการบอกต่อได้ เมื่อกระโจนเข้ามาใช้ Social Media จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ามาร่วมวงพูดคุยกับลูกค้าเป็นรายปัจเจก บทสนทนาที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ จะต้องทำให้เกิดคุณค่าพอในการที่จะบอกต่อๆให้เพื่อนๆได้รับรู้

Social Media Marketing ตัวอย่างบทสนทนาของ GTH หลักสำคัญคือ สร้างกิจกรรมผ่านทาง Facebook เปิดโอกาสให้บรรดา Fan ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรม (Engagement) เช่น ถามคำถามชิงรางวัล ให้ถูกได้ตั๋วหนัง กิจกรรมดังกล่าวสร้างคุณค่า ทำให้ Fan เกิดความต้องการที่อยากร่วมแล้วบอกต่อเพื่อนๆ หรือ GTH ใช้ Twitter สนทนาแบบ Real-Time กับบรรดา Follower เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ เป็น CRM ปัญหาคือ คนในสื่อเก่า ไม่คุ้นเคย เคยคุยระดับ Mass แต่ Social Media คุยระดับ Individual

Social Media Marketing นิยามของ Social Media เป็นสื่อที่แพร่กระจายด้วยปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม – การแพร่กระจายเกิดจากการปันเนื้อหาจากใครก็ได้ เป็นสื่อที่เปลี่ยนแปลงจากสื่อเดิมที่แพร่กระจายแบบทางเดียวเป็นแบบการสนทนาที่สามารถมีผู้เข้าร่วมได้หลายๆคน และไม่มีใครมีอำนาจในการควบคุมเนื้อหาในการสนทนา เพราะหากคุณคิดเช่นนั้น ถือเป็นการคิดผิดอย่างยิ่ง เป็นสื่อที่เปลี่ยนผู้คนจากผู้บริโภคเนื้อหาเป็นผู้ผลิตเนื้อหา

Social Media Marketing อะไรบ้างที่เราถือว่าเป็น Social Media Blog – เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถเขียนบทความต่างๆได้โดยง่าย ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML ในการทำ web site อย่างสมัยก่อน

Social Media Marketing อะไรบ้างที่เราถือว่าเป็น Social Media Twitter – เป็นรูปแบบหนึ่งของ Blog ที่จำกัดการโพสต์แต่ละครั้งที่ 140 ตัวอักษร เป็นเครื่องในการสนทนาแบบ Real Time

Social Media Marketing อะไรบ้างที่เราถือว่าเป็น Social Media Social Networking – เช่น Hi5, Facebook เป็นเครือข่ายเพื่อนที่เชื่อมโยงกันเป็นสังคม ที่บันทึกตัวตนของเราลงไปผ่านทาง Info Photo Note หรือ Video แล้วเปิดให้เพื่อนๆเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

Social Media Marketing อะไรบ้างที่เราถือว่าเป็น Social Media Media Sharing – เป็น web site ที่เปิดโอกาสให้เรา upload รูป วิดีโอ แล้วแบ่งปันให้คนอื่นได้ชม

Social Media Marketing อะไรบ้างที่เราถือว่าเป็น Social Media Social News and Bookmarking – เป็นเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงไปยังบทความหรือเนื้อหาใดในอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้เป็นผู้ส่งและทำการโหวต แชร์กันได้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยการบอกต่อและสร้างคนเข้ามายังเว็บไซต์หรือ Campaign การตลาดที่ต้องการ

Social Media Marketing อะไรบ้างที่เราถือว่าเป็น Social Media Online Forum – ถือเป็นรูปแบบของ Social Media ที่เก่าแก่ที่สุด เป็นเสมือนสถานที่ที่ให้ผู้คนเข้ามาพูดคุยในหัวข้อที่พวกเขาสนใจ เช่น board ใน pantip,dek-d,sanook,kapook,mthai เป็นต้น

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อเพิ่มยอดขาย – หลายคนมองว่า หากใช้ Social Media แบบตั้งหน้าตั้งตาขายของจะไม่ work แต่ที่จริงแล้ว อยู่ที่ว่าคุณได้ให้สิทธิประโยชน์อะไรหรือไม่แก่ผู้รับสาร หรือใช้วิธีการอื่น อันนำไปสู่การขาย เช่น Twitter – Dell แจ้งข้อความผ่านทาง Twitter ให้บรรดา Follower ทราบถึงการเปิดขายสินค้าลดราคาพิเศษ คนอื่นเห็นว่ามีประโยชน์ก็พากัน RT บอกกันไป Nokia เปิดตัว Nokia 5800 Express Music ให้ Blogger ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมือถือใช้แล้วบอกต่อ เกิดกระแสปากต่อปาก

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อเพิ่มยอดขาย – Amazon เปิดโอกาสให้ลูกค้าเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือที่ได้ซื้อไปและให้คะแนนจาก 1-5 ซึ่งถือเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภครายอื่นๆ

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อสร้างการรับรู้ Brand (Brand Awareness) – คือการเน้นให้ลูกค้าได้เข้ามามีส่วนร่วม (Engagement) กับกิจกรรมทางการตลาด เช่น HP – ใช้ YouTube ในการจัดการแข่งขันให้ผู้เข้าร่วมทำคลิปวิดีโอสั้นๆ แต่เน้นความคิดสร้างสรรค์ โดยไม่ให้เปิดเผยใบหน้าของตน แล้วให้ผู้ชมได้ทำการโหวต ปรากฏว่ามีผู้ส่งเข้าประกวด 6,433 ราย โดยมีผู้ชมทั้งสิ้น 2 ล้านคน

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อสร้างการรับรู้ Brand (Brand Awareness) – GTH ใช้ Fan Page ใน Facebook ที่นอกจากจะใช้ในลักษณะของการประชาสัมพันธ์แล้ว แต่เน้นการพูดจาในลักษณะคุยกัน ทำให้บรรดา Fanclub เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้รับรู้ถึงกิจกรรม และตอกย้ำ Brand GTH ตลอดเวลา

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อสร้างการรับรู้ Brand (Brand Awareness) – Nokair – เป็น Sponsor ให้กับทาง Twitter ของสุทธิชัย หยุ่น มีรูปสัญลักษณ์ และพนักงานของนกแอร์เป็นพื้นหลัง

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อสร้างการรับรู้ Brand (Brand Awareness) – โออิชิ จัดทำ web site www.oishicafecity.com ที่ให้สมัครเล่นเกมส์บริหารร้านอาหาร ที่ผู้เล่นสามารถชวนเพื่อนๆแลกเปลี่ยนอาหารกันได้ ทำให้มีลักษณะของ Social Media ทั้งนี้จุดเด่น คือ การใช้ Augmented Reality Technology ที่ถอดรหัสสัญลักษณ์ OR Code ข้างกล่องโออิชิ ผ่าน Web Cam เพื่อให้ได้วัตถุดิบในการปรุงอาหาร เมื่อผู้เล่นเข้ามาเล่นเรื่อยๆ ก็จะรับรู้ถึง Brand โออิชิไปในตัว นอกจากนี้ยังมีส่วนกระตุ้นยอดขายด้วย เพราะอยากจะได้ Code เพื่อให้ได้วัตถุดิบ จนเดี่ยวนี้มีกิจกรรมการแลก Code บน web board

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ Sun Microsystems มีการจัดทำ CEO Blog โดยนาย Jonathan Schwartz ที่บอกเล่าถึงนโยบานและความเคลื่อนไหวภายในองค์กร

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อทราบ Feedback ของลูกค้า – เมื่อเกิดชุมชน ย่อมมีการพูดจาเกี่ยวกับสินค้าของเราทั้งแง่ดีและแง่ร้าย กิจการจะต้องเข้าไปรับรู้และจัดการให้ถูกต้อง Starbucks – จัดทำ www.Mystarbucksidea.com Blog แห่งนี้เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาแนะนำและแสดงความคิดเห็นตลอดจนโหวตความคิดเห็นของคนอื่นๆได้ และทางร้านจะคัดเลือก Idea ที่ได้รับคะแนนสูงสุดไปปฏิบัติให้เห็นจริง

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ – อย่างการใช้ Social News หรือ Social Bookmark อย่าง Digg, Delicious, G-bookmarks หรือแม้กระทั่งการใช้ Facebook หรือ Twitter นอกจากนี้เมื่อมีจำนวนลิงค์ที่เพิ่มมากขึ้นจาก Social Bookmark จะส่งผลต่ออันดับการค้นหาของ Google ด้วย ถือเป็นการเพิ่มในส่วนของ Popularity

Social Media Marketing เป้าหมายของการใช้ Social Media เพื่อสร้างการเป็นผู้นำทางความคิด – เป็นกรณีที่ผู้ใช้ประเภทปัจเจกชน ที่ใช้สื่อ Social Media ในการแสดงความรู้ที่ตนเองมี และเมื่อมีผู้คนเข้ามาอ่านมากๆ ก็ทำให้เกิดอิทธิพลทางการตลาดได้ เช่น Jeban เขียนเรื่องความสวยความงามใน Blog มีคนนิยมมากจนเกิดกระแส จากนั้นจึงได้ขยับขยายมาทำ www.jeban.com มีคนเข้ามากว่า 1 ล้านครั้งต่อเดือน คำแนะนำของ Jeban เกี่ยวกับเครื่องสำอาง มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของสาวๆ

Social Media Marketing เริ่มต้นด้วยการฟัง – เป็นการสำรวจ Social ที่มีอยู่แล้วว่ามีการพูดคุยเกี่ยวกับ บริษัท สินค้าหรือบริการ Brand ของเราอย่างไรบ้าง สิ่งที่เราควรจะสนใจฟังนั้น มี Share of Voice – เป็นการพิจารณาว่ามีคนพูดถึงเรามากน้อยแค่ไหน หากไม่มีเลยก็ต้องสร้างมันขึ้นมา Tone of Voice – เป็นการตรวจสอบว่าการสนทนานั้นว่าเป็นในทางบวกหรือทางลบ Trend over time – เป็นการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องว่าคนพูดถึงเราอย่างไร

Social Media Marketing จัดการเสียงวิจารณ์ หากมีปัญหาเกิดขึ้น แล้วมีการพูดกันใน Social ให้แก้ไขดังต่อไปนี้ สนองตอบปัญหาที่เกิดขึ้นทันที ทำได้เพราะตรวจสอบอยู่เสมอ ติดต่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ให้รีบแจ้งกลับลูกค้าของเราอย่างรวดเร็ว พยายามติดตามลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ว่ามีความต้องการอะไรอีกไหม แต่หากคำวิจารณ์ไม่เป็นความจริงและมุ่งทำร้ายชื่อเสียง อย่าเฉย ต้องติดตามต่อเนื่องและฟ้องร้องจนกระทั่งอีกฝ่ายต้องยอมขอโทษหรือรับผิด เพราะเป็นการปกป้องชื่อเสียงของคุณ

Social Media Marketing การกำหนดตัวตนใน Social Media – การเข้าในนามของกิจการหรือ Brand เช่น GTH แทนที่จะสร้าง Web Site หรือ Social Media ในนามของหนังเรื่องต่างๆที่ตนเองสร้าง กลับใช้ Brand GTH ซึ่งเป็นชื่อบริษัท ทำให้ Brand GTH แกร่งและใช้ได้กับหนังทุกเรื่อง Clinique จัดกิจกรรมทางการตลาด ใน Campaign “Great Skin Challenge” Say Yes! เป็นการประกวดสาวหุ่นดีผ่านเว็บไซต์ คือ www.cliniquelover.in.th/greatskinchallenge จากนั้นใช้ Twitter ในการแจ้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆ และใช้ Facebook ในสร้างบทสนทนาระหว่าง Brand และผู้บริโภค

Social Media Marketing คุณเคยเห็นไหมว่าเวลา สรยุทธแนะนำ หนังสือเล่มไหน ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือกาลาแมร์ใช้ BB ก็แห่กันใช้กันทั้งเมือง คนเหล่านี้เรียกว่า Marketing Influencer ในระดับ Mass เราๆท่านๆเป็นไม่ได้เพราะไม่มีโอกาสออกสื่อหลักๆ

Social Media Marketing Facebook – เป็น Social Network ซึ่งไม่ได้มีแต่ Facebook แต่รวมถึงพวก Hi5, Myspace, Orkut, Friendster และอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะร่วมกันคือ มีการสร้างข้อมูลส่วนตัว (Profile) ซึ่งอาจจะเปิดเผยต่อสาธารณะทั้งหมด หรือเฉพาะที่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีข้อมูลไม่ว่าจะเป็น อายุ ที่อยู่ ความสนใจ และอื่นๆ รวมถึงการนำรูปภาพขึ้นไว้ใน Profile ด้วย เมื่อเป็นสมาชิกแล้ว ผู้ใช้สามารถทำการเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ ซึ่งอาจเรียกว่า “ Friend” “Contacts” “Fans”

อ้างอิงแหล่งที่มา ถอดความบางส่วนจากเอกสารสัมมนาวิชาการด้านกลยุทธ์การตลาด ของ ดร.ภิเษก ชัยนิรันดร์ http://www.slideshare.net/pisek/social-media-marketing-4371075

ทีนี้เราลองมาเจาะลึกถึง social media ตัวล่าสุดที่ฮอตฮิตที่สุดในโลก และในประเทศไทยของเราว่ามีที่มาที่ไป และกลยุทธ์การทำตลาดอย่างไร ตัวที่ว่าก็คือ Line Application    พวกเราคงได้เห็นแบรนด์หลายๆ แบรนด์เริ่มเข้ามาทำการตลาดผ่าน LINE Mobile Messenger Chat Application ที่กำลังมาแรงที่สุดของไทยในขณะนี้ ซึ่งความโดดเด่นของ LINE ก็คือ สติ๊กเกอร์น่ารัก กวนๆ ที่ผู้ใช้ LINE ต่างต้องการจะดาวน์โหลดมาใช้งานฟรี ทำให้ LINE มองเห็นถึงการเปิดทางให้กับแบรนด์สินค้าได้เข้ามาทำการตลาดบนแอพพลิเคชั่นของตน


LINE Messenger Chat Application นี้เป็นของ NHN Corporation ผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์ Search Engine และ เว็บ Portal ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นและเกาหลี Naver.co.kr Naver.co.jp ที่แม้แต่ Google เองยังไม่สามารถเอาชนะได้ NHN Corp มีสาขาทั้งในประเทศเกาหลีใต้และในประเทศญี่ปุ่น โดยธุรกิจหลักคือการขายโฆษณาบนผ่าน Search Engine และการทำเงินผ่าน Game Portal ที่ชื่อว่า Hangame เว็บไซต์เกมพอทัลที่มีสมาชิกมากกว่า 20 ล้านสมาชิก และเป็นเว็บไซต์เกมส์ส่งออกชื่อดังที่คนไทยหลายคนได้เคยติดกันงอมมาแล้ว ทั้งเกมประเภท MMORPG และ Casual Game

LINE Messenger Chat เป็นเพียงหนึ่งในบริการของทาง NHN Corp. เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2011 ในประเทศญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแอพพลิเคชั่นอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่นในเวลาเพียง 1 เดือน ทำให้ผู้บริหารของทาง NHN ต้องหันมาใส่ใจเป็นพิเศษและมองหาช่องทางการทำเงินโดยเร็ว ปัจจุบัน LINE ได้ถูกดาวน์โหลดไปใช้งานแล้วกว่า 70 ล้านดาวน์โหลดทั่วโลก ซึ่งรวมการดาวน์โหลดของทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง โทรศัพท์มือถือ แทบเบล็ต พีซี ซึ่ง LINE สนับสนุนการใช้งานทั้ง iOS, Android, Windows Phone และ BlackBerry และเปิดให้บริการกว่า 230 ประเทศทั่วโลก และเป็นแอพพลิเคชั่นที่ Rank อันดับ 1 ของ 24 ประเทศ ซึ่งรวมประเทศไทยในนั้นด้วย

หลังจากความสำเร็จของ LINE Messenger Chat NHN ยังต่อยอดแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ให้กับ LINE อีกเช่น LINE Camera, LINE Brush, LINE Card และ LINE Birzzle และล่าสุด เมื่อสัปดาห์ก่อน NHN ได้เปิดตัวเกมใหม่ 3 เกมที่มาพร้อมกับสติ๊กเกอร์ให้เราได้ดาวน์โหลดกัน คือ LINE Pop, LINE Cartoon Wars และ LINE Patapoko Animal

จุดเด่นของ LINE Messenger Chat



ฟีเจอร์การใช้งานของ LINE นั้นไม่ได้แตกต่างจาก What’s App, MSN Messenger หรือ WeChat ที่ให้เราได้ Chat ตรงกับผู้ใช้ LINE ด้วยกัน ด้วยการส่งข้อความ การสร้างกรุ๊ป Chat และการแชร์ภาพ วิดีโอ เสียง ระหว่างการสนทนา แต่จุดเด่นของ LINE คือ Voice Call ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่สามารถให้เราใช้แทนโทรศัพท์ได้ ทั้งในและต่างประเทศโดยไม่เสียเงิน อย่างไรก็ตาม Voice Call ก็ยังสู้ไม่ได้กับ Sticker ที่ผู้ใช้งานดูเหมือนจะเลิฟมากที่สุด คือ สติ๊กเกอร์ที่เราใช้แสดงอารมณ์ผ่านการพูดคุย และด้วยความน่ารัก จึงทำให้การแชทผ่าน LINE มีเอกลักษณ์และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

LINE เหมือน หรือ แตกต่าง จาก Facebook อย่างไร [สำหรับผู้ใช้งาน]

สำหรับผู้ใช้งาน หากเทียบ LINE กับ Facebook นั้นคงถือว่าแตกต่างพอสมควร เนื่องจาก Facebook เป็น Social Network ที่ให้เราเข้าไปติดตามการแชร์เรื่องราวของเพื่อน และของตัวเองผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งแน่นอนว่าการใช้งานจะสะดวกว่า LINE เมื่อต้องการใช้แชร์ภาพ วีดีโอ สถานะ และการติดตามเรื่องราวความเคลื่อนไหวที่กำลัง talk of the town หรือน่าสนใจ และที่สำคัญจำนวนผู้ใช้งานที่เป็นเพื่อนเรานั้น จะใช้เวลาบน Facebook กันมากกว่า

ส่วน LINE นั้นดูจะเหมือนกับ Facebook Messenger เพราะเน้นหลักในการ Chat ตัวต่อตัว หรือเป็นกรุ๊ป ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็น Social network ผ่านโทรศัพท์มือถือในครั้งแรก แม้ว่า LINE จะปรับการใช้งานให้เราแชร์เรื่องราวผ่าน Timeline ได้เหมือน Facebook ก็ตาม LINE ก็ยังเป็นได้เพียง Messenger Chat สำหรับคนทั่วไป ในขณะเดียวกัน LINE จะออกแนว Instant Chat มากกว่า คือทักเพื่อต้องการพูดคุยเดี๋ยวนั้น หรือในทันที ส่วน Facebook เราค่อนข้างคุ้นเคยกับการทิ้งข้อความไว้ใน Inbox ซึ่งผู้ใช้งานจะไม่คาดหวังว่าเราจะต้องตอบในทันที

การเติบโตของ LINE เมื่อเทียบกับ Facebook และ Twitter

ก่อนหน้านี้เราเคยทึ่งกับการเติบโตของ Facebook และ Twitter กันมาแล้ว ที่เติบโตด้วยสมาชิก 50 ล้านในเวลาเพียง 3 ปี เมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆที่ใช้เวลากันหลาย 10 ปี หากกล่าวถึงการเติบโตของ LINE นั้นกลับเร็วกว่า Facebook และ Twitter เสียอีก เพราะ LINE ได้จำนวนผู้ใช้งาน 50 ล้านในเวลาเพียง 1 ปีกับ 34 วัน ซึ่งเร็วกว่า Facebook และ Twitter ที่ใช้เวลา 3 ปี! เรียกได้ว่า LINE อาจจะเป็นสื่อที่มีสมาชิกที่เติบโตเร็วที่สุดเลยก็ว่าได้

จำนวนผู้ใช้ LINE ในไทย

จากการสอบถามไปยัง NHN Corp. ทราบมาว่าจำนวนผู้ใช้ LINE ของไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มีตัวเลขผู้ใช้งานอยู่ที่ 18 ล้านคนแล้ว
(นายโมริคาว่า อาคิระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไลน์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในปัจจุบันแอพพลิเคชั่นไลน์มีจำนวนผู้ใช้รวม 230 ล้านคนทั่วโลก โตขึ้น 460% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยในทุก 1 ชั่วโมง มีผู้ลงทะเบียนใช้งานใหม่ถึง 63,000 ราย ประเทศที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดคือ ญี่ปุ่นจำนวน 47  ล้านคน รองลงมาคือไทย 18 ล้านคน  ไต้หวัน 17 ล้านคน สเปน 15 ล้านคน และอินโดนีเซีย 14 ล้านคน และกำลังเติบโตในยุโรป แอฟริกา และลาตินอเมริกา การสื่อสารผ่านข้อความจำนวนถึง 7,000 ล้านข้อความต่อวัน เพิ่มขึ้น 440% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ส่วนการส่งสติกเกอร์มีถึง 1,000 ล้านตัวต่อวัน เพิ่มขึ้น 488% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว และขณะนี้ไลน์รองรับ 17 ภาษาทั่วโลก)

การตลาดผ่าน LINE

ปัจจุบัน NHN เปิดช่องทางให้แบรนด์สินค้าร่วมทำการตลาดผ่าน LINE ได้ 2 ช่องทาง ซึ่งผู้ใช้ LINE คนไทยคงได้เห็นกันมาแล้ว คือ

1. การทำการตลาดผ่าน LINE Official Account

2. การทำการตลาดผ่าน LINE Sponsored Sticker

ซึ่งทั้ง 2 ช่องทางนี้ ได้เปิดให้บริการในประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก และประสบความสำเร็จด้วยดี ประกอบกับการเติบโตอย่างน่าสนใจของผู้ใช้งานคนไทย และประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ NHN ต้องการเข้ามาทำการตลาดในไทยเป็นประเทศที่ 2 และตามด้วยประเทศอื่นอย่าง อินโดนิเซีย มาเลเชีย สิงคโปร์ เป็นต้น

LINE Official Account

ผู้ใช้งาน LINE ของไทยได้เริ่มเห็น LINE Official Account ในครั้งแรกๆ จาก Official Account ของเหล่าดารา ศิลปิน และเริ่มติดตามเป็น Followers กันอย่างต่อเนื่อง ทั้ง GTH, Opal, Ter Chantawit, Singular, Love IS, 2AM ที่ทาง NHN ได้ใช้เป็นกลยุทธ์ในการนำศิลปิน และดารา ให้มีช่องทางติดต่อเหล่าแฟนคลับผ่านทาง Official Account ซึ่งหากสังเกตุจาก Official Account ของ LINE ในหลายๆ ประเทศ จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์นี้ถูกนำมาใช้ในหลายๆ ประเทศเพื่อชิมทางและทดสอบความต้องการของผู้บริโภคก่อนที่ NHN จะเปิดตัว LINE Official Account ให้กับแบรนด์สินค้าทั่วไป

LINE Official Account เปิดให้ผู้ใช้งาน LINE ได้ติดตามแบรนด์ที่ตนสนใจ และให้แบรนด์สินค้าได้มีช่องทางติดต่อกับกลุ่มลูกค้าโดยตรงผ่านการ Broadcast หรือการส่งข้อความถึงลูกค้าผ่านทาง Official Account นั่นเอง อย่างที่กล่าวในข้างต้น ว่า Official Account นั้นคล้ายกับ Facebook Brand Page ที่เปิดให้ลูกค้าหรือผู้สนใจติดตามแบรนด์ผ่านการ Like และการเป็น Followers แต่วิธีการสร้าง Relationship หรือการติดต่อกับกลุ่ม Followers นั้นต่างกับ Facebook เพราะ LINE Official Account นั้นเป็น One Way Communication คือ แบรนด์สินค้าสามารถส่งข้อความให้กับกลุ่ม Followers พร้อมกันได้ในแต่ละครั้ง แต่กลุ่ม Followers จะไม่สามารถติดต่อ หรือพูดคุยกับแบรนด์สินค้าเหมือนที่ทำได้ผ่านทาง Facebook

การส่งข้อความผ่าน LINE Official Account

สรุปง่ายๆ คือ Brand Official Account ส่งข้อความออกไปในแต่ละครั้ง จะถือเป็นการ Broadcast ถึงทุกคน หาก Followers 1 ท่าน ส่งข้อเพื่อพูดคุยกับแบรนด์นั้น Follower ท่านอื่นๆ จะไม่เห็น นอกจากนี้ยังจะได้รับข้อความตอบกลับโดยอัตโนมัติจากทางแบรนด์สินค้าที่ได้เตรียมกำหนดข้อความสำหรับการตอบกลับไว้ล่วงหน้า [อันนี้ ลองเล่นได้ ด้วยการส่งข้อความอะไรก็ได้ไปยังแบรนด์หรือศิลปินที่เราติดตาม เมื่อส่งข้อความไปแล้ว เราจะได้รับข้อความอัตโนมัติตอบกลับมาในทันที]

** สำหรับข้อความ หรือ Content ที่แบรนด์สินค้าสามารถส่งผ่าน Official Account คือ ข้อความ Text, ภาพ, วิดีโอ และ Audio เสียง และข้อความยอดฮิตของแบรนด์สินค้าที่นิยมใช้กับกลุ่มลูกค้าคือ โปรโมชั่น ที่สามารถมาในรูปแบบคูปอง ส่วนลด และข่าวสารที่เกี่ยวกับแบรนด์โดยตรง

Event Page

Event Page เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับ LINE Official Account คือการเปิดให้เจ้าของ Official Account สามารถสร้างหน้า Event หรือให้เข้าใจง่ายคือ Mini Microsite ภายใต้ LINE Official Account นั่นเอง เจ้าของ Official Account สามารถสร้างหน้าดังกล่าว โดยสามารถใส่ภาพและเนื้อหา รวมถึง Hyperlink ไปยังเว็บไซต์หรือ Facebook Brand Page ได้ตามต้องการ เมื่อสร้างหน้าดังกล่าวเสร็จแล้ว ก็สามารถส่งแจ้งลูกค้าที่ติดตาม LINE Official Account ให้คลิกเข้าไปชมได้ หน้า Mini Microsite สำหรับ Event Page นี้ เหมาะสำหรับการโปรโมทสินค้า การให้ข้อมูลเพิ่มเติม การสร้างแกเลอรี่ภาพ และการสร้างหน้าอีเว้นท์ต่างๆ ได้ ซึ่งในความเป็นจริงยังสามารถประยุกต์ใช้ได้ตามต้องการ

ON AIR

นอกจากการส่งข้อความถึงกลุ่มผู้ตามหรือลูกค้าแล้ว LINE Official Account ยังมีฟีเจอร์ให้แบรนด์หรือเจ้าของ Official Account ได้เปิดช่องทาง 2 way communications เพื่อเล่นกิจกรรมกับลูกค้าได้ผ่านฟีเจอร์ที่เรียกว่า ON AIR ลักษณะการทำงานของ ON AIR จะคล้ายกับการ ON AIR ผ่านทางวิทยุ ที่ดีเจมักจะเปิดสายให้ผู้ฟังเข้ามาร่วมสนุกรับของรางวัล ซึ่งการทำ ON AIR นี้ ระบบหลังบ้านของ LINE จะเก็บข้อความที่ผู้ร่วมสนุกส่งเข้ามา และสามารถติดต่อกลับได้เมื่อต้องการ

2. LINE Sponsored Sticker

LINE Sponsored Sticker คือการทำการตลาดผ่านสติ๊กเกอร์ของ LINE ซึ่ง NHN เปิดโอกาสให้แบรนด์สินค้าที่สนใจมีสติ๊กเกอร์ในแบบของตนเอง สามารถร่วมสร้างสติ๊กเกอร์ให้ผู้ใช้ LINE ได้ดาวน์โหลดไปใช้งานฟรี

การสร้างสติ๊กเกอร์กับ LINE นั้น สามารถทำได้ทั้ง ตัวหนังสือ ภาพการ์ตูน สินค้า หรือแม้แต่พรีเซ็นเตอร์ของสินค้า โดยทีมงาน NHN ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นผู้ดีไซน์และออกแบบให้ ทั้งออกแบบให้จากภาพของพรีเซ็นเตอร์ หรือจากภาพ Mascos ที่แบรนด์มีอยู่แล้ว หรือคิดให้ใหม่เลยก็ทำได้ หรือจะใช้คาแรคเตอร์ของ LINE มาปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับแบรนด์ของตนเอง

บริการ Sponsored Sticker LINE มีข้อจำกำจัด คือ จะเปิดให้ผู้ใช้ LINE สามารถดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์เพียง 1 เดือนหลังจากการเปิดตัวของ Brand Sticker Shop และเมื่อดาวน์โหลดไปแล้ว ผู้ดาวน์โหลดจะสามารถใช้สติ๊กเกอร์นั้นเพียง 90 วันหลังจากวันที่ดาวน์โหลด หลังจากนั้นสติ๊กเกอร์ของแบรนด์จะหายไปจากระบบของ LINE ในทันที

เช่น ใครที่เคยดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์พี่เชฟ กับน้องเกี๊ยวของทางซีพี หรือจากการบินไทยไปแล้ว จะไม่สามารถดาวน์โหลดได้อีกแล้ว และจะใช้สติ๊กเกอร์ได้อีกเพียงไม่ถึง 2 เดือนเท่านั้น

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเพิ่มระยะเวลาการดาวน์โหลด หรือเพิ่มระยะเวลาการใช้งานของสติ๊กเกอร์ ก็สามารถทำได้ด้วยการจ่ายเงินเพิ่มให้กับทาง NHN ตามที่กำหนดไว้

ความคุ้มค่าของ LINE Marketing

มีข้อโต้แย้งพอสมควรเกี่ยวกับการทำการตลาดผ่านทาง LINE โดยเฉพาะหลังจากที่เราได้เห็นจำนวน Followers ของการบินไทย และซีพี ที่มีตัวเลข Followers มากกว่า 2 ล้าน รวมถึงความน่ารักของสติ๊กเกอร์ที่ถูกทำออกมา ทำให้นักการตลาดไทยต่างตื่นตาตื่นใจกับผลลัพท์ที่ได้จากกระแสของ LINE และต้องการสร้างแบรนด์และสร้างโมบายคอมมูนิตี้เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ LINE คนไทย

ราคาของการทำการตลาดผ่าน LINE นั้นดูจะราคาสูงสำหรับนักการตลาดส่วนมากที่ทราบราคาในครั้งแรก ซึ่งราคารวมการเปิดตัว Official Account และ Sponsored Sticker Shop จะอยู่ประมาณ 4 ถึง 5 ล้านบาท สำหรับ Sponsored Sticker 1 ครั้ง และ Offical Account 12 เดือน (ราคานี้ เป็นราคาประมาณการคร่าวๆ) ซึ่งเมื่อคิดเร็วๆ แล้วนำมาเทียบกับการทำการตลาดผ่าน Facebook Brand Page ก็จะดูแพงมาก เพราะราคาการดูแล Facebook Brand Page จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 80,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับความยากง่ายหรือความเยอะในการทำของแต่ละแบรนด์ แต่หากคิดกันให้ดี จะเห็นว่าราคาของ LINE นั้นถูกและคุ้มค่ากว่ามากทีเดียว สมมติว่าต้องเสียเงิน 5,000,000 บาทในการทำ LINE Official Account และ LINE Sponsored Sticker และได้จำนวน Followers มาที่ 2,000,000 (ตามเคสของการบินไทยและซีพี) จะเท่ากับว่าราคาต่อ 1 Follower = 2.50 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกันตรงๆ กับการทำ Facebook ซึ่งต้องเสียทั้งบริการการดูแล Fan Page ต้องสร้างแคมเปญเพื่อเพิ่มจำนวน Like และยังต้องซื้อออนไลน์มีเดียในการโปรโมทตลอดทั้งปี และผลลัพท์ที่ได้จาก Fan Page ของไทยนั้น ยังไม่มี Fan Page ใดที่สามารถเพิ่มจำนวน Like ได้ถึง 1,000,000 ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งในความเป็นจริงอาจต้องใช้เวลา 1-3 ปี หรืออาจจะมากกว่า ด้วยเหตุนี้ การทำการตลาดผ่าน LINE ในขณะนี้ จึงดูว่าคุ้มค่ากว่าทั้งราคาและระยะเวลา

อนาคตของ LINE

บางคนอาจจะสงสัยว่าการทำการตลาดผ่าน LINE นั้นดีจริงหรือไม่ และหากว่าดีจะดีได้นานเพียงใด ข้อสงสัยนี้คงยังไม่สามารถหาคำตอบได้ภายในปี 2012 นี้ เพราะ LINE ถือเป็นช่องทางใหม่สำหรับนักการตลาดไทย และรวมถึง NHN Corp. ด้วยเช่นกัน ที่ยังต้องการเรียนรู้ตลาดและความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ LINE ว่าจะมีเทรนด์การใช้งาน LINE ไปในลักษณะใด ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับการเพิ่มหรือปรับฟีเจอร์การทำงานของ LINE ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ทั่วโลกให้ถูกใจมากกขึ้น

สำหรับวันนี้ เรามองว่า LINE เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ โดยเฉพาะสินค้าใหม่ หรือสินค้าและบริการที่ต้องการจับกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน นอกจากนี้ LINE ยังเหมาะที่จะทำเป็นทูลสำหรับการทำ Direct marketing เพราะช้อความที่ส่งถึง Followers นั้น สามารถเข้าถึงกลุ่ม Followers ได้ในทันที

อ้างอิงข้อมูลที่มา http://www.marketingoops.com/media-ads/line-marketing-1/


บทความ 3 เทรนด์ดิจิตอลมาแรง !!! โดยศุภชัย ปาจริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมคฟิว่า (ประเทศไทย) จำกัด ดิจิตอลเอเยนซี่ชื่อดัง ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังในประเทศไทยเป็นที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็น ไมโครซอฟท์ ไทยเบฟ โตโยต้า จอห์นสันแอนด์จอหน์สัน ได้เคยคาดคะเนแนวโน้มเทรนด์ดิจิตอลที่จะมาแรงตั้งแต่ปี 2555 ไว้ดังนี้


แนวโน้มแรก ยุคของโซเชียลเอนเกจเมนต์ (Social Engagement Era) หรือที่ คุณศุภชัยเรียกว่า “หมดยุค Like แต่ต้อง Love นั่นเอง ซึ่งทำให้กลยุทธ์แบบเดิมที่ฮิตมาเป็นแรมปีของเฟซบุ๊คที่ให้กด “Like” เยอะๆ อีกทั้งคอมเมนต์และทำแฟนเพจของแบรนด์สินค้าต่างๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ซึ่งคุณศุภชัย ขยายความว่า มุมมองถึงแนวโน้มดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ Facebook พัฒนาฟีเจอร์ตัวใหม่ที่เรียกว่า ทอล์กกิ้ง อะเบาต์ ดิส (Talking About This) ขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าตัวที่ว่านี้อยู่หลังจำนวน “Like” บนแฟนเพจของเจ้าของแบรนด์สินค้าที่ใช้เฟซบุ๊กทำกิจกรรมทางการตลาด คุณศุภชัยอธิบายต่อว่า ที่มาที่ไปของทอล์กกิ้ง อะเบาต์ ดิส ว่า ส่วนแรกเกิดจากการคลิก Like ของประชากรในเฟซบุ๊ก ที่มีต่อแฟนเพจนั้นๆ ส่วนที่ 2 เกิดจากจำนวนการแสดงความคิดเห็น (Comment) ลงบนวอลล์ (Wall) และส่วนที่ 3 เกิดจากการแบ่งปัน (Share) ไปยังหมู่เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กของคุณ ข้อมูลดังกล่าวบ่งบอกให้นักการตลาดทราบถึงข้อมูลกิจกรรมทางการตลาดที่ถูกเขียนลงไปในนั้น เป็นที่ต้องตาต้องใจผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด ถ้ามีมากนั่นหมายถึงความสำเร็จของข้อมูลการตลาดที่ทำให้ผู้บริโภคยินยอมที่จะมีปฏิสัมพันธ์หรือเอนเกจเมนต์ด้วยนั่นเอง ทิศทางนี้เกิดขึ้นกับโซเชียลมีเดียอื่นด้วย เช่น Twitter ก็มีเหมือนกันที่สามารถวิเคราะห์ได้ ขวามือเข้าไปโฆษณา มีคนเข้ามาเอนเกจเมนต์เท่าไร แสดงว่า ตอนนี้เอนเกจเมนต์เป็นอะไรทีแบรนด์จะต้องให้ความสนใจ ไม่ใช่เรื่องของ Like เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ส่วนสูตรที่วัดถึงความสำเร็จของการสร้างเอนเกจเมนต์ให้เกิดขึ้นในแฟนเพจของแต่ละแบรนด์นั้น ศุภชัยฟันธงว่า แบรนด์ที่มีแฟนเพจน้อยกว่า 1 แสนLike จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของการเข้ามามีส่วนร่วมไม่ต่ำกว่า 10% แต่ถ้าแบรนด์ที่มีแฟนเพจมากกว่า 1 แสนLike ขึ้นไปจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของการเข้ามามีส่วนร่วมไม่น้อยกว่า 5% ในขณะที่กลุ่มท็อป 20 ของแฟนเพจระดับต้นๆ ของประเทศนั้น มีผู้เข้ามาเอนเกจเมนต์อยู่ราวๆ 3.9% ซึ่งก็ยังเป็นตัวเลขที่จัดว่าน้อยอยู่ สิ่งที่คาดหวังได้จากการทำเอนเกจเมนต์มีทั้งจำนวน Like ที่เพิ่มขึ้น คู่ไปกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น และความจงรักภักดีของตราสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งบ่งบอกว่าแบรนด์จะสนใจแต่ยอด Like อย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป ต้องสนใจการเอนเกจเมนต์กับผู้บริโภค เป็นเทรนด์หลักนับจากนี้ต่อไป


แนวโน้มที่ 2 การเข้าสู่ยุคของฟรีไม่มีในโลกที่จะกลับมาอีกครั้ง (Free Lunch is Over) เพราะว่าเวลานี้รายการต่างๆที่มีการแพร่ภาพในช่องฟรีทีวีในปัจจุบัน มีถึง 95% ที่สามารถดูย้อนหลังได้บน youtube ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไปอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ดูทีวีน้อยลง ศุภชัย ยืนยันข้อมูลตัวนึงจากรายงานวิจัยตลาดของดิสเพลย์เสิร์ชดอทคอมที่ระบุว่า ช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม ปี 2555 ยอดขายเครื่องรับโทรทัศน์ทั่วโลกรวมกันอยู่ที่ 51.22 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับยอดขายปี 2544 ที่มียอดขายอยู่ที่ 55.54 ล้านเครื่อง หรือลดลงราว 8% ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวีต่อวันเฉลี่ยลดลง แต่หันไปให้ความสนใจกับเนื้อหาหรือภาพเคลื่อนไหวบนสื่อดิจิตอลประเภทต่างๆ มากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้บรรดาคอนเทนต์โพรไวเดอร์ รวมไปถึงเจ้าของสถานีโทรทัศน์ต่างมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวรายได้จากค่าโฆษณาบนสื่อออนไลน์แทนกันมากขึ้น และ อินสตรีมวีดีโอ (In-Stream Video) คือคำตอบของแนวโน้มที่สองนี้ ศุภชัยเล่าให้ฟังว่า นับจากนี้ไปอีก 6 เดือน อินสตรีมวีดีโอ จะเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น จะเห็นชิ้นงานโฆษณา เข้ามาสอดแทรกในคลิปที่ดูบนโลกออนไลน์มากขึ้น จากเดิมที่ไม่สามารถควบคุมได้จากเจ้าของรายการหรือคอนเทนต์โพรไวเดอร์นั้นๆ ที่สำคัญจะเริ่มไม่เห็นเนื้อหารายการจากผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ๆ ใน youtube แต่เราจะสามารถดูได้จากช่องทางที่เจ้าของรายการส่งมาเองโดยตรง ซึ่งมีให้เห็นแล้วเมื่อช่อง 7 เปิดช่อง Bugaboo.TV ของตนเอง โดยในคลิปรายการดังกล่าว จะมีการใส่อินสตรีมวีดีโอ แอดเวอร์ไทซิ่งอยู่ด้วย แนวโน้มนี้ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จะไม่ได้มีแค่ช่อง 7 เท่านั้น ผู้ผลิตรายการดังๆ อย่าง เวิร์คพ้อยท์ กันตนา เอ็กแซ็กท์ รวมไปถึงสถานีฟรีทีวีช่องอื่นๆ ก็จะทยอยเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้บริโภคยังดูฟรีทีวีได้เหมือนเดิม แต่จะมีโฆษณาเยอะขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การลงโฆษณาก็จะเปลี่ยนไป โดยสามารถที่จะเพิ่มช่องทางโฆษณา โดยการโฆษณาในฟรีทีวีเป็นโฆษณาในชาแนลนึง ในโลกออนไลน์ก็จะมีโฆษณาอีกชาแนลนึง ซึ่งจะสามารถขายโฆษณาได้ทั้ง 2 ทาง หรือลง 2 ชาแนลเลย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่นักการตลาดจำเป็นต้องรู้ แมคฟีว่า คาดการณ์ว่า ตลาดโฆษณาผ่าน อินสตรีมวีดีโอ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี ในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยในปี 2556 คาดว่าตลาดโฆษณาประเภทนี้ในประเทศไทยจะมีมูลค่าถึง 750 ล้านบาท โดยในปีนี้คาดว่าจะมียอดอยู่ประมาณ 125 ล้านบาท ของมูลค่าตลาดรวมของสื่อดิจิตอลกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าการตลาดยังน้อยอยู่ เพราะว่าเพิ่งจะเริ่ม นักการตลาดเพิ่งรู้จัก หรือไม่เคยใช้ แต่ในต่างประเทศมูลค่าไปไกลแล้ว

แนวโน้มที่ 3 ศุภชัยมองว่า คือวิธีการทำตลาดผ่านสื่อดิจิตอลออนไลน์จะหมดยุคของการคาดเดาอีกต่อไ ป เพราะมีเครื่องมือใหม่ๆ ที่ทันสมัยให้นักการตลาดได้เลือกใช้ เช่น วิธีการของแนวโน้มทั้ง 2 ก่อนหน้านี้ และสามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันก็คือ การขาดบุคลากรที่มีความเชียวชาญในการใช้เครื่องมือเพื่อวัดผลต่างๆ จากการทำดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับ บุคลากร ถึง 99% ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องพัฒนาบุคลากรขึ้นมารอบรับในด้านนี้ นักการตลาดสามารถเลือกส่งสารที่เหมาะสมกับผู้บริโภคโดยคำนึงถึงปัจจัย 3 เรื่องก็คือ การเพิ่มรายได้ การลดรายจ่าย และทำให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นหัวใจของการทำตลาด และเจ้าของสินค้า จากการวัดผลทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณไปพร้อมๆ กัน”








วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กรณีศึกษาจากเรื่องจริงของ โจ แม่สาย ประภาสะวัต เจ้าของกิจการติดตั้งแก๊ส แบรนด์ Versus


หากเอ่ยชื่อนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว จนขึ้นแท่นมหาเศรษฐีในยุคนี้ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ "คุณแม่สาย ประภาสะวัต" กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็ม เอส แฟคทอรี่ จำกัด เป็นแน่ เพราะด้วยวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลของคุณแม่สาย ทำให้เขาเล็งเห็นช่องทางทำติดตั้งแก๊สรถยนต์ตั้งแต่ที่ยังไม่บูม จนปัจจุบันนี้ธุรกิจติดแก๊สรถยนต์กลายมาเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ส่งให้ชื่อแบรนด์ Versus Thailand ที่คุณแม่สายปลุกปั้นมากับมือเป็นธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในประเทศไทย


ทั้งนี้ หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คุณแม่สาย ในวัย 21 ปี ซึ่งมีความสนใจในเรื่องธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์เป็นทุนเดิมได้สมัครเป็นเด็กอู่ติดแก๊ส เมื่อเรียนรู้และฝึกฝนการติดตั้งแก๊สรถยนต์จนชำนาญแล้ว ในปี พ.ศ. 2548 คุณแม่สายจึงได้ออกมาเปิดกิจการติดตั้งแก๊สของตัวเอง และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มทะยานสูงขึ้น ส่งผลให้คนเปลี่ยนมาใช้แก๊สเป็นพลังงานแทนน้ำมันกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจของคุณแม่สายเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

แต่แล้ว...ธุรกิจที่กำลังไปได้ดีกลับต้องสะดุดลงเล็กน้อย เมื่อผู้ประกอบการรายอื่น ๆ เริ่มเปิดร้านติดตั้งแก๊สรถยนต์บ้าง พร้อมกับการตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้า และทำให้อุปกรณ์การติดตั้งแก๊สขาดตลาด โชคดีที่คุณแม่สายกลับสามารถพลิกวิกฤติครั้งนั้นเป็นโอกาสได้ ด้วยกลยุทธ์ "เปลี่ยนคู่แข่งเป็นคู่ค้า"

ด้วยวัย 22 ปี คุณแม่สายตัดสินใจเดินไปหาเสาะแสวงหาอุปกรณ์ติดตั้งแก๊สที่มีคุณภาพในต่างประเทศ เพื่อนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยพกเงินติดตัวไปเพียง 70,000 บาท และในที่สุด คุณแม่สายก็ได้ตกลงทำสัญญาทำธุรกิจอุปกรณ์ติดตั้งแก๊สรถยนต์กับบริษัท Bi Gas และ OMB SALERI ที่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นบริษัทติดตั้งแก๊สรถยนต์มาตรฐานยุโรปรายใหญ่ เพื่อนำเข้าอุปกรณ์เทคโนโลยีหัวฉีดแก๊ส Versus สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ภายใต้แบรนด์ Versus Thailand

แน่นอนว่า การที่ Versus Thailand เป็นที่เชื่อถือของวงการติดตั้งแก๊สรถยนต์ได้นั้น คงไม่ได้เป็นเพราะการให้บริการติดตั้งแก๊ส และขายอุปกรณ์แต่เพียงอย่างเดียว เพราะ Versus Thailand ยังให้บริการแบบครบวงจร พร้อมด้วยการฝึกอบรมการติดตั้งแก๊สรถยนต์จากทีมงานมืออาชีพ

นอกจากนั้นแล้ว เทคโนโลยีหัวฉีดแก๊ส Versus ยังมีจุดเด่นในเรื่องการประหยัด ทุกระบบการทำงานสั่งจ่ายแก๊สได้อย่างแม่นยำ จึงช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 50% พร้อมกับได้รับการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานยุโรป ECE 67R ที่ยกเรื่องความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก ขณะเดียวกัน ระบบนี้ก็ออกแบบมาได้อย่างเหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรถทุกรุ่น จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์แบบ นับเป็นการนำอุปกรณ์ติดตั้งแก๊สรถยนต์ที่ดีที่สุดของโลกมาให้กับคนไทยได้ใช้ในราคาที่ไม่สูงนัก ทำให้ Versus ได้รับความสนใจจากศูนย์บริการติดตั้งแก๊สรถยนต์เข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ

ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ เพราะทาง Versus Thailand มีการจัดเก็บสินค้าอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล ตรวจสอบสินค้าก่อนการจัดจำหน่าย และจัดส่งสินค้าให้ถึงมือด้วยความรวดเร็วฉับไวทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ ยังมีบริการหลังการขายด้วยสายด่วนคอลเซ็นเตอร์ 1716 ซึ่งจะมีพนักงานขายที่มีคุณภาพคอยให้คำปรึกษา แนะนำ รับฟังปัญหา และรองรับการสั่งซื้อตลอดทุกช่วงเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

และด้วยความที่คุณแม่สายตระหนักดีว่าการติดตั้งแก๊สที่ได้มาตรฐานและปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด เขาจึงได้จัดกิจกรรมฝึกอบรมการติดตั้งแก๊สรถยนต์ขึ้นบ่อยครั้ง และยังได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในฐานะผู้เชี่ยวชาญอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมผู้ติดตั้งอุปกรณ์ใช้แก๊สสำหรับยานยนต์ที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า จากเงินลงทุนที่เริ่มต้นเพียง 70,000 บาท มาถึงปัจจุบันนี้ บริษัท เอ็ม เอส แฟคทอรี่ จำกัด กลายเป็นบริษัทที่มียอดจำหน่ายอุปกรณ์ติดตั้งแก๊สรถยนต์สูงที่สุดในประเทศไทย มีผลประกอบการมูลค่านับพันล้านบาท ด้วยหนึ่งสมองและสองมือของผู้บริหารวัยเพียง 26 ปี ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้นเอง

จากศูนย์สู่นักธุรกิจพันล้าน

"ผมอยากรวย ตอนเด็ก ๆ คิดอย่างนั้นจริง ๆ เพราะผมเห็นคนส่วนใหญ่จะชื่นชมกับคนมีเงินว่าเก่ง ว่าดี ผมเลยมีความคิดอยากเป็นนักธุรกิจ อยากมีธุรกิจของตัวเอง"

"โจ-แม่สาย ประภาสะวัต" นักธุรกิจหนุ่มวัย 26 ปี เจ้าของบริษัท เอ็ม เอส แฟคทอรี่ จำกัด และรั้งตำแหน่งนายกสมาคมผู้ติดตั้งอุปการณ์ใช้ก๊าซสำหรับรถยนต์คนปัจจุบัน แถมยังเป็นนายกสมาคมที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย

โจโลดแล่นอยู่ในวงการติดตั้งก๊าซรถยนต์รวม 5 ปี เพราะความที่เป็นคนมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง คิดวางแผนล่วงหน้า และกล้าได้กล้าเสีย ทำให้วันนี้เขากลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่น่าจับตามอง กับธุรกิจก๊าซรถยนต์ครบวงจร ทั้งนำเข้า ขายส่ง ขายปลีก และติดตั้งที่มีเงินทุนหมุนเวียนร่วม 1,000 ล้านบาท ด้วยระยะเวลาอันสั้น จากเงินทุนเริ่มต้นเพียง 70,000 บาทเท่านั้น

โจบอกว่า เขาไม่คิดว่าจะเดินมาไกลถึงขนาดนี้ เพราะเกิดในครอบครัวทหาร ฐานะปานกลาง ในจังหวัดลพบุรี เขาถูกเลี้ยงอย่างมีวินัยมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวจึงหวังให้เป็นทหารตามแบบอย่างคุณพ่อ แต่โจฝันที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองเพราะ "อยากรวย" จึงตัดสินใจเลือกเรียนต่อคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ท่ามกลางถ้อยคำดูถูกจากคนรอบข้างว่า "จะไปได้ไกลขนาดไหนเชียว"

หลังเรียนจบ โจไม่คิดที่จะยื่นใบสมัครงานที่บริษัทไหนเลย แต่เสาะหาธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวเอง จนได้คุยกับลุงเจ้าของอู่ซ่อมรถข้าง ๆ หอพักว่าธุรกิจติดตั้งก๊าซรถยนต์มีผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากในช่วงปี 2548 เป็นช่วงวิกฤติพลังงาน น้ำมันราคาแพง ประกอบกับเขาชอบเครื่องยนต์กลไกและรถยนต์เป็นทุนเดิม โจเห็นช่องทางในการทำธุรกิจจึงควักเงินเก็บที่มีอยู่เพียง 70,000 บาท ลงทุนซื้อเครื่องมือติดตั้งก๊าซรถยนต์ และทำร้านเพิงเล็ก ๆ ขนาด 3x3 เมตร ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพราะเห็นว่ามีคู่แข่งน้อยกว่าจะเปิดร้านในกรุงเทพฯ ซึ่งโจจะต้องโดยสารรถตู้จากบ้านพักที่รังสิตไปพระนครศรีอยุธยาเพื่อเปิดร้านทุกวัน

"เรียกว่าผมเริ่มจากศูนย์ก็ว่าได้ ช่วงนั้นผมต้องทำทุกอย่าง ใกล้ ๆ ร้าน ผมมีตลาดนัดผมก็ใส่ชุดแบบสุภาพไปยืนแจกโบรชัวร์ร้าน และกลับมาเปลี่ยนเป็นชุดช่างเพื่อทำงาน ช่วงนั้นผมจ้างช่าง 2 คนมาช่วย ผลตอบแทนก็ดีอย่างที่คุยกับคุณลุงไว้ ได้กำไรตกคันละ 5,000 บาท วันหนึ่งผมทำรถ 1 คัน เดือนหนึ่งผมก็มีรายได้แสนห้าแล้ว"

โจชอบหาความรู้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จึงมักชอบไปถามช่างตามร้านต่าง ๆ ว่ารถยนต์แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อต้องติดตั้งก๊าซในลักษณะใด พร้อมกับเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการติดตั้ง เพื่อใช้เวลาในการทำงานน้อยลง และเกิดความปลอดภัยกับผู้มาใช้บริการมากขึ้น กิจการของโจขยายขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นช่องทางธุรกิจที่กว้างขึ้น นั่นคือ การนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งก๊าซ โจเริ่มทำธุรกิจนำเข้ากับต่างประเทศ แต่เพียงปีเศษหุ้นส่วนที่ทำธุรกิจด้วยกันเกิดแยกตัวไปทำเอง ทำให้เขาต้องแบกรับภาระ อุปกรณ์ที่นำเข้ามาเป็นเงินหลายสิบล้าน

"ตอนนั้นผมขาดทุนเดือนละ 1 ล้านบาท แต่จะทำอย่างไรได้ ผมลงทุนไปแล้วก็ต้องทำต่อไป ยอมขาดทุน และก็ไม่ท้อด้วย พอเดือนที่ 9 ตัวเลขขาดทุนก็น้อยลง และเริ่มกลับมามีกำไร"

โจกลับมารุกเรื่องการนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งก๊าซรถยนต์อีกครั้ง เพราะเล็งเห็นว่าธุรกิจนี้ยังขยายตลาดได้อีก เขาได้เขียนตำราคู่มือติดตั้งก๊าซรถยนต์เป็นเล่มแรกของประเทศไทย และถูกใช้อ้างอิงในการเรียนการสอนของนักศึกษาที่เรียนด้านเทคโนโลยี โจยังได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรตามสถาบันการศึกษาเป็นระยะ นอกจากนี้เขาเองยังได้จัดอบรมฟรีให้กับช่างทั่วประเทศที่ต้องการความรู้ด้านการติดตั้งก๊าซรถยนต์ที่ถูกต้องและปลอดภัยทุกเดือน

เขาย้ำว่าเขาอบรมให้ฟรีโดยไม่ได้มุ่งหวังอะไร เพียงแค่ต้องการให้ช่างหรือคนทั่วไปที่สนใจได้รับความรู้ แต่ผลพลอยได้คือได้เพื่อน ได้เครือข่าย หรืออาจจะสนใจสินค้าที่เขานำเข้า แต่หากไม่สนใจก็ไม่เป็นไร ปัจจุบันนอกจากบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งก๊าซรถยนต์ครบวงจร โดยมีธุรกิจติดต่อกับต่างประเทศ 7 ประเทศแล้ว โจยังทำโรงงานผลิตถังก๊าซรถยนต์ และทำธุรกิจ ผู้ผลิต จำหน่าย ให้เช่าจอแอลอีดี (LED) อีกด้วย

ความมุ่งมั่น ไม่ท้อถอย ขยันพัฒนาตัวเอง วาง แผนให้ดี เป็นสิ่งที่หนุ่มคนนี้ยึดถือมาตลอด และเป็นสิ่งผลักดันให้จุดเริ่มต้นที่ศูนย์ กลายเป็นธุรกิจพันล้านได้จริงๆ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณโจได้ที่ www.versusthailand.com , www.msfactory.co.th

อ้างอิงข้อมูลจาก kapook.com

กรณีศึกษาจากเรื่องจริงของ วุฒิ-ศักดิ์ คลีนิก ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาผิวเบอร์ 1 ของไทย


จะมีใครทราบมั๊ยว่าจริงๆ แล้ว "วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก" ไม่ใช่เป็นธุรกิจของน.พ.วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช แต่อย่างใด เพราะไม่มีชื่อ"น.พ.วุฒิศักดิ์" เป็น 1 ในหุ้นส่วนใหญ่ของเครือข่ายธุรกิจพันล้านแห่งนี้


เจ้าของจริงๆ คือ 3 เกลอ อันประกอบด้วย นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ" นาย พลภัทร จันทร์วิเมลือง สถาปนิก และ นาย สิทธิโชติ ลิ่มพานิช
และจริงๆ แล้ว ณกรณ์นั่นแหละคือคีย์แมนหลักผู้สร้าง วุฒิ-ศักดิ์ คลีนิก มากับมือ เขาคือใคร?
“ณกรณ์ กรณ์หิรัญ" เล่าว่า "ผมไปกินข้าวกับเพื่อน คนหนึ่งเป็นหมอ (น.พ.วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช) อีกคนเป็นสถาปนิก (พลภัทร จันทรวิเมลือง) เรามีสายเลือดนักธุรกิจตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ทุกอย่างไม่มีคำว่ากลัว เราคิดว่า...ลอง เล่น ๆ ก็แล้วกัน ทำสัก 5 แสน ลงทุนก่อนไปจดชื่อบริษัท โดย ชื่อ วุฒิ-ศักดิ์ ซึ่งเป็นชื่อคุณหมอ โดยชื่อเราต้องมีขีดด้วย เพื่อป้องกันการเกิดมีหมอชื่อซ้ำกัน”

เอาเข้าจริง ก่อนจะมี "วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก" ใน ปี 2545 สามเกลอ ทดลองโมเดลธุรกิจในชื่อ หจก. เพื่อนผิว อันเป็นค้าปลีกยารักษาผิว - ค้าปลีก ตั้งอยู่ 44/21-22 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 ก่อนจะเลิกกิจการไปแล้ว

ปีต่อมา 3 เกลอกลับมาใหม่ในชื่อ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรม จำกัด จดทะเบียน วันที่ 20 สิงหาคม 2546 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท และภายหลังจากนั้น ในเวลา 5 ปีต่อมา เพิ่มทุนเป็น 400 ล้าน ( พ.ย. 2551) ปี 2552 ก็เพิ่มทุนขึ้นอีกครั้งเป็น 430 ล้าน

กรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรม จำกัด ประกอบด้วย 1. นายพลภัทร จันทร์วิเมลือง 2. นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ 3. นายสิทธิโชติ ลิ่มพานิช 4. นางเสาวณี ใจรักษ์ 5. นางสุพัฒนา วีรวงศ์ 6.นางปุญญาพร ธนัชชวลัย 7. นายณัฎฐพัชร อมรมนัสวรกุล

เส้นทางของบริษัทวุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรมฯ โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างแท้จริง
สินทรัพย์ของบริษัท ปี 2548 มีเพียง 3.6 ล้าน ปี 2549 เพิ่มเป็น 6.4 ล้าน ปี 2550 เพิ่มสามเท่าเป็น 17.6 ล้าน ปี 2551 สินทรัพย์เพิ่มเป็น 80.5 ล้าน ปี 2551 ทะลุ 481.5 ล้าน  รายได้จากการขายและบริการ ปี 2548 จิ๊บๆ แค่ 37 ล้าน ปี 2549 เพิ่มเป็น 80.8 ล้าน ปี 2550 ยอดขายโต 100.9 ล้าน ปี2551 ดับเบิ้ลเป็น 213 ล้าน

หลังจาก บริษัทวุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรมฯ โกยเงินเป็นว่าเล่นปี 2553 บริษัทแห่งนี้ก็แปลงสภาพมาเป็น บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ด้วยทุนจดทะเบียน 575 ล้านบาท แต่ปีถัดมา ได้ลดทุนจดทะเบียนเหลือ 430 ล้าน

จากการตรวจสอบ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า เครือข่ายของ 3 เกลอ ทำธุรกิจครบวงจร 7 บริษัท

1. ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพื่อนผิว (เลิกกิจการ)

2. บริษัท บี แอค จำกัด ประกอบกิจการโรงเรียนเอกชน ฝึกอบรมเพื่อธุรกิจประชาสัมพันธ์และความงาม-บริการ

3. บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

4. บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก เวชกรรม จำกัด (แปลงสภาพ)

5. บริษัท วุฒิศักดิ์ ฟาร์มาซี จำกัด จำหน่ายปลีกและส่งยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์ยาอื่นๆ - ค้าปลีก,ค้าส่ง

6. บริษัท ไอดัล คลิ๊ก จำกัด ประกอบกิจการสถานเสริมความงาม ประกอบกิจการค้ายา ผลิตภัณฑ์ยา เครื่องสำอาง

7. บริษัท ณกรณ์ เรียลเอสเตจท จำกัด

ส่วนใหญ่แล้ว นายพลภัทร จันทร์วิเมลือง , นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ และนายสิทธิโชติ ลิ่มพานิช จะลงทุนร่วมกัน แต่กระนั้น พลภัทร มีอีก 2 บริษัท ที่ไม่ได้ร่วมลงทุนกับ นายพลภัทร จันทร์วิเมลืองและนายณกรณ์ กรณ์หิรัญ นั่นคือ บริษัทพัสวี มาสเตอร์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัทพีพีดี อินเตอร์เทรด (ประเทศไทย) จำกัด

นี่คือ หุ้นส่วนแห่งความมั่งคั่งอย่างแท้จริง


เปิดชีวิต (น้องเอก) ณกรณ์ กรณ์หิรัญ เจ้าของวุฒิ-ศักดิ์ คลีนิก นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่เขาบอกว่าตัวเองเริ่มต้นมาจากติดลบ จากเป็นเศรษฐีเงินกู้ แต่โดนโกงจนเป็นหนี้ รถที่เพิ่งซื้อผ่อนยังไม่ทันหมด ก็ต้องขายทิ้งเพื่อเอามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดย ณกรณ์ กรณ์หิรัญ ได้บอกเล่าถึงชีวิตในวัยเยาว์ว่า ครอบครัวของตนเองเป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ฐานะพอมีกินมีใช้ จึงได้ส่งตนเองเข้ามาศึกษาในกรุงเทพฯ โดยส่วนตัวเป็นคนมีหัวธุรกิจ ชอบทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มพูนรายได้ให้กับตัวเอง ถึงขั้นเป็นเศรษฐีเงินกู้เลยทีเดียว เนื่องจากไปหยิบยืมเงินของที่บ้านมาปล่อยกู้ 2 ล้านบาท จนรายได้งอกเงยไปถึง 4-5 ล้านบาท แต่แล้ววันหนึ่ง ณกรณ์ กรณ์หิรัญ ก็มาถึงคราวพลั้งพลาด เมื่อเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไร ตนก็ไม่ทันระวัง ปล่อยกู้ให้ลูกหนี้รายหนึ่งไป แล้วโดนโกงจนหมดตัว ถึงขั้นรถที่เพิ่งซื้อมาไม่เท่าไรก็โดนยึดไปด้วย เพราะไม่มีเงินไปชำระค่าผ่อน

แต่ด้วยความที่ ณกรณ์ กรณ์หิรัญ เป็นคนมีหัวการค้า เขาจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการสมัครเข้าไปเป็นเซลล์จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน จนมีรายได้ขึ้นมาระดับหนึ่ง จึงเริ่มเปิดร้านเล็ก ๆ จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน มีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นเดือนละ 2-3 แสน

หลังจากนั้นไม่นาน มีเพื่อนคนหนึ่งของ ณกรณ์ กรณ์หิรัญ สนใจอยากจะเปิดคลินิกความงาม จึงมาชักชวนเขามาร่วมทุนเพื่อเปิดร้าน วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก ย่านงามวงศ์วาน โดยตั้งชื่อคลินิกตามชื่อแพทย์ที่มาร่วมหุ้นอีกคน และเป็นคนดูแลระบบการรักษาความงามทั้งหมดของคลินิก

และเมื่อ วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ขยายสาขาไปหลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ ณกรณ์ กรณ์หิรัญ จึงได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เจ้าตัวก็ถ่อมตัวพร้อมแจกแจงว่า อายุ 30 กว่าแล้ว ถือว่ามาครึ่งทางของชีวิตแล้ว นี่เป็นเพียงก้าวขึ้นบันไดได้สำเร็จอีกขั้นหนึ่ง ชีวิตไม่มีคำว่าประสบความสำเร็จสุด ๆ เราต้องเดินหน้าไปเรื่อย ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายหนึ่ง แล้วก้าวต่อไปเพื่อบรรลุอีกเป้าหมายหนึ่งเท่านั้นเอง

Official Website: http://www.wuttisakclinic.com/th/

บทความ วุฒิศักดิ์ คลินิก...“สูตรสำเร็จ” ธุรกิจคนหนุ่ม ในเว็บไซต์ nationejobs.com

เพียงปีแรกที่วุฒิศักดิ์ คลินิกสยายปีกในลาวก็ประกาศจะขยายถึง 5 สาขา นี่คือความไม่ธรรมดาของธุรกิจคนหนุ่มที่พวกเขาพร้อมจะถ่ายทอดซัคเซส สตอรี่ มี "คมความคิด" ดีๆ ตลอดการสนทนากับผู้บริหารหนุ่ม "ณกรณ์ กรณ์หิรัญ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วุฒิศักดิ์ คลินิก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ไม่เพียงผู้ประกอบการ คลินิกความงามและผิวพรรณเท่านั้น ที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ หากยังรวมถึงผู้ประกอบการในทุกธุรกิจ ที่จะได้ไอเดียใหม่ๆ ไป "ขบคิด"

ความสำเร็จของ "วุฒิศักดิ์ คลินิก" ตลอด 11 ปี บนเวที คลินิกความงามและผิวพรรณ จากธุรกิจหลักแสนกลายเป็นกิจการมูลค่าหลายพันล้านบาทในวันนี้ เกิดจากความมุ่งมั่นของทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่ "ลงล็อก" สุดๆ ทั้ง นายแพทย์ วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช ณกรณ์ กรณ์หิรัญ และ พลภัทร จันทร์วิเมลือง คุณหมอ นักการตลาดและบริหารจัดการ ตลอดจนมือวาง งานออกแบบและเลือกทำเล นับเป็นความลงตัวที่นำไปสู่โอกาสธุรกิจไม่หยุดนิ่ง สามารถขยับขยายจนมีสาขากว่า 100 สาขาในประเทศ และเดินหน้าสู่สาขาในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเปิดในลาวถึง 5 สาขา ดึงเม็ดเงินกว่า 300 ล้านบาท กลับเมืองไทย มาสเตอร์คีย์สู่ความสำเร็จ ณกรณ์ บอกว่า คือ "ความไม่หยุดนิ่ง"

"ผมเชื่อว่าการทำทุกอย่างไม่ควรหยุดนิ่ง ทำตรงนี้ได้ก็ต้องหาช่องทางขยายต่อไป ไม่ใช่จะหยุดยาวแค่ตรงนี้ ทำให้ธุรกิจของเราโตได้ค่อนข้างเร็ว จากคลินิกความงามและผิวพรรณก็มาเป็นวุฒิศักดิ์ คลินิก คอสเมติก จำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม กลูต้า เฮลติ วุฒิศักดิ์ ฟามาร์ซี ขายผลิตภัณฑ์ยา วุฒิศักดิ์ คลินิก ศัลยกรรม ให้บริการศัลยกรรมความงาม

วิธีคิดคือเราจะดูว่าอันไหนมีความเป็นไปได้ก็ทำ ถ้าตัวไหนไปไม่ได้ก็จะชะลอดู ถ้าไม่ดีก็ขายออกไป ผมมองว่าการทำธุรกิจไม่ใช่ต้องสำเร็จทุกอย่าง ก็แค่ทำให้ดีที่สุด"

ณกรณ์ เชื่อในวิธีคิดแบบนี้ และเชื่อว่าเป็นวิธีคิดที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ กระทั่ง แม่ค้าขายน้ำพริกตามตลาดนัด

"คุณอาจทำน้ำพริกขายอยู่ในตลาดนัด วันหนึ่งก็เริ่มทำให้ใหญ่ขึ้น เริ่มส่งขายในจังหวัดใกล้เคียง จากนั้นกลับมาพัฒนาแพ็คเกจจิ้ง ส่งขายในกรุงเทพ จนส่งออก

วันนี้คุณก็คือน้ำพริกแม่ประนอม แต่ถ้าคุณคิดแค่ว่าทำน้ำพริกขายในตลาดนัด ขายตั้งแต่อายุ 20 จนถึง 80 ปี ก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่ขยับขยายไปไหน คุณก็เป็นได้แค่คนขายน้ำพริกในตลาดนัดเท่านั้น"

นั่นคือเหตุผลที่เขาบอกว่า ทำธุรกิจอะไรก็ดีทั้งนั้น เพียงแค่รู้จัก”ปรับวิธีคิด"

ขณะที่หลายธุรกิจหาวิธีพัฒนาตัวเอง ด้วยการมองคู่แข่ง แล้วหาหนทางทำสิ่งที่เหนือกว่าให้ได้ แต่กับ "วุฒิศักดิ์" พวกเขาไม่ได้มองคู่แข่งขัน แต่เป็นการหาไอเดียมาพัฒนาธุรกิจของพวกเขาให้ดีขึ้น มากกว่า

"ผมจะไม่มองคู่แข่ง แต่จะมองธุรกิจอื่นไปเลย อย่างดูการจัดดีสเพลย์หน้าร้านสวยๆ ดูว่าเขาทำสวยเพราะอะไร จะเอามาประยุกต์กับร้านของเราได้ไหม เห็นข้อดีของสิ่งต่างๆ อย่างละเล็ก อย่างละน้อย ค่อยๆ สั่งสมทุกอย่าง จนรวมมาเป็นเราวันนี้"

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ "วุฒิศักดิ์ คลินิก" มีความแตกต่าง ความต่างที่เกิดจากการ "ช่างสังเกต" ของผู้บริหาร ซึ่งยอมรับกับเราว่า ไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะ แต่เลือกออกไปเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ รอบตัว

"สำหรับผมการทำทุกอย่างต้องคิดเป็นงานหมด อย่างผมเห็นป้ายโฆษณา ก็คิดเป็นวุฒิศักดิ์ เห็นโลโก้อะไรก็มองเป็นวุฒิศักดิ์ เห็นอะไรแปลกๆ ก็มองเป็นวุฒิศักดิ์หมด

วุฒิศักดิ์ถึงได้มีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นเขา เช่นเข้าไปทำหน้าแต่ก็มีไดร์เป่าผม มีน้ำเสิร์ฟ มีห้องส่วนตัว มีบริการต่างๆ ที่ค่อนข้างแหวกแนว สิ่งที่เราทำคือหาจุดต่างให้เจอ คิดว่าเราอยากได้อะไรก็ใส่อย่างนั้นให้ลูกค้า" คนอื่นอาจเรียกว่า "บ้างาน" แต่กับ ณกรณ์ เขาบอกว่า "คุ้นชิน" กับการเอางานมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

"ถ้าสามารถเอาตัวเรากับงาน รวมเป็นคนคนเดียวกันได้ ผมเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ ผมไม่มีเวลาเลิกงาน ตีสาม ตีสี่ ถ้าคิดอะไรได้ผมก็จะจดบันทึกไว้ ผมชินกับตัวผมที่เป็นแบบนี้ เพราะเราเป็นผู้นำ ถ้าผู้บริหารไม่ครีเอท พนักงานก็อยู่ไม่ได้ การทำทุกอย่างของผม ต้องคำนึงถึงชีวิตพนักงานอีกหลายพันคน "

วิธีคิดหนึ่งที่น่าสนใจของวุฒิศักดิ์ คือการเลือกเป็น "ผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม" แม้จะมีความเสี่ยงมากกว่า

เช่นเดียวกับการเข้าไปขยายสาขาในต่างประเทศ พวกเขาประเดิมด้วยการเลือก "ลาว" และมีเป้าหมายต่อไปคือ "กัมพูชา" ประเทศที่คนอื่นเมินหน้านี้ แต่สำหรับ "ณกรณ์" เขาบอกเราว่า… นี่คือ "โอกาส"

"เราอยากเข้าไปบุกเบิก ประเทศที่คนอื่นไม่ไปกัน ประเทศเหล่านี้ก็เหมือนเมืองไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน คู่แข่งไม่เยอะมีแต่ร้านท้องถิ่น และคนมีกำลังซื้อ ประเทศที่กำลังพัฒนา คนจนก็จนมาก แต่ถ้ารวยก็รวยสุดขั้ว ซึ่งกลุ่มคนรวยมีจำนวนมากพอสมควร และนั่นเป็นโอกาสให้กับเรา เพียงแต่คีย์สำคัญคือเราต้องหาพาร์ทเนอร์ที่ดีให้ได้เท่านั้น "

"บริษัท สยามอินเตอร์ เนชั่นแนล " ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไทยหลายแบรนด์ในลาว คือผู้เชี่ยวชาญที่จะสอนพวกเขาเรื่องกฎเกณฑ์ เงื่อนไข และความสลับซับซ้อนของการทำธุรกิจในลาว

พาร์ทเนอร์ที่ดี ก็คือคำตอบที่ทำให้ "วุฒิศักดิ์" ที่เพิ่งเปิดสาขาในเวียงจันทน์ ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีกระแสตอบรับจากแม่หญิงลาวที่เข้ามาใช้บริการล้นหลามเกือบ 200 คนต่อวัน จนผู้บริหารวุฒิศักดิ์บอกเราว่า เล็งจะขยายต่ออีก 2 สาขาภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะเปิดให้ครบ 5 สาขาภายในปีนี้ให้ได้

คิดเร็ว ทำไว ตามแบบฉบับคนรุ่นใหม่

"หลักการของผม ถ้ามันมีจังหวะ เวลา เราต้องจัดการทันที อย่ามัวแต่รอ ว่าต้องอีก 3 ปี 5 ปี ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ทำไปหมดแล้ว"

การรีบขยายสาขาเมื่อเห็นโอกาส ก็เหมือนเกมธุรกิจในไทย ที่วุฒิศักดิ์ มีสาขาอยู่เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว และมองที่จะขยายในต่างจังหวัดเติมเพิ่มอีก ตามความตั้งใจของเขาคือ อย่างน้อยจังหวัดละแห่ง บนความพร้อมที่พวกเขาพิสูจน์มาแล้วกว่าทศวรรษ

กลายเป็น "สูตรธุรกิจ" ที่สามารถยกโมเดลนี้ไปงอกงาม ณ ที่ใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นในไทยหรือต่างประเทศ

หลายคนอาจเห็นว่าวุฒิศักดิ์ ประสบความสำเร็จ ก็อยากกระโดดเข้ามาธุรกิจนี้บ้าง แต่ "ณกรณ์" บอกไว้ว่า ผู้เล่นที่เข้ามาทีหลัง มีข้อเสียเปรียบแทบทุกประตู ไม่ว่าจะเป็นทีมแพทย์ ที่ต้องค่อยๆ สร้างและพัฒนา คุณภาพยาที่ดีและพิสูจน์ได้ ขณะที่ทำเลสำคัญๆ แบรนด์ใหญ่ก็ยึดหัวหาดไว้หมดแล้ว ยิ่งถ้าไม่มีโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ธุรกิจก็ยิ่งไปไม่รอด

"ผมอยากให้ คุณทำอะไรก็ได้ที่ใจชอบ และทำให้ดีที่สุด อย่าพยายามทำตามคนอื่น ผมเห็นมาเยอะมาก ตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่มีอะไรเลย อย่างคนทำกาแฟสำเร็จ ก็วิ่งมาขายกาแฟกันหมด สุดท้ายก็ไปไม่รอด ที่รอดก็แค่พออยู่ได้

ผมมองว่าเราไม่จำเป็นต้องไปตามใคร ถ้าจะทำต่างก็ต้องหาสิ่งที่เหนือกว่าและจุดต่างให้ได้ อย่างถ้าจะเปิดร้านสุกี้ตอนนี้ก็ต้องคิดแล้วว่าเราจะเหนือกว่าและแตกต่างจากเอ็มเค สุกี้ได้อย่างไร ถ้าหาได้ นั่นแหละคุณจึงจะประสบความสำเร็จ"

ลองให้คะแนนตัวเองนับจากวันเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ณกรณ์ บอกว่า เขาให้แค่ 7 เต็ม 10 เพราะยังอยากทำงานหนักเหมือนอย่างวันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ

"ผมมองว่าเราควรทำงานทุกอย่างให้เหมือนวันแรก เหมือนเราเคยขายของในตลาดนัด วันนี้เรามีเงินขึ้นมา คิดถึงแต่เอ็มโพเรียม จุดนี้แหละที่จะทำให้คนเปลี่ยน และผู้ประกอบการก็จะไปไม่รอด ฉะนั้นเราต้องไม่หลงตัวเอง และต้องเป็นเราคนเดิมให้ได้ อันนี้สำคัญ "

นี่คือคมคิดของคนหนุ่ม ที่เข็นธุรกิจมาถึงวันนี้ ด้วยความอดทน เพียรพยายามและมุ่งมั่น จนก้าวเป็นผู้นำตลาดได้อย่างเต็มภาคภูมิ

Key to success ก้าวแบบ "วุฒิศักดิ์"

๐ กล้าทำ อย่าคิดว่า ทำไม่ได้

๐ เข้าไปนั่งในใจลูกค้า ทำในสิ่งที่เราเองก็อยากได้รับ

๐ ประชาสัมพันธ์ตัวเอง ต้องมั่นใจว่าธุรกิจดีจริง

๐ ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ดี ลูกค้าต้องเห็นผล

๐ แตกต่าง เป็นผู้นำ ไม่ทำตามคนอื่น

๐ เรียนรู้จากหลากธุรกิจ นำจุดดีมาปรับใช้

๐ เป็นคนเดิมให้ได้อย่าหลงตัวเอง


กรณีศึกษาจากเรื่องจริงของ ร้านอาหาร 13 เหรียญ



จากศูนย์เป็น 1,000 ล้าน
คอลัมน์ คมคนคมคิด โดย จรัญ ยั่งยืน


ทุกวันนี้หากจะเหลียวหาร้านอาหารน่ารับประทานสักร้านหนึ่ง ชื่อของร้านอาหารร้านหนึ่งผ่านเข้ามาในสายตา นั่นคือ "13 เหรียญ" ร้านนี้ยืนยงมาแล้ว 28 ปี ด้วยสองมือของ "สมชาย นิติวนะกุล"

"...การที่ชีวิตคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องฝ่าฟันอุปสรรค และปัญหามามากขนาดไหน ฉะนั้นมุมมอง วิธีคิด ในชีวิตของคนเราจึงเป็นเรื่องสำคัญ"

ความจริง "สมชาย" ไม่ชอบเรียนหนังสือ และเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เขาก็กระหายการเรียนรู้ เขาเลยไปตายเอาดาบหน้าที่อเมริกา และที่นั่น ทำให้เกิดจุดพลิกผันในชีวิตครั้งสำคัญของคนชื่อ "สมชาย"

งานแรกที่เขาทำ คืองานล้างจานในภัตตาคารจีน ต่อด้วยผู้ช่วยพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม และภัตตาคารชื่อ "13 เหรียญ" ที่เขาประทับใจจนเอามาตั้งชื่อร้านของเขาในเมืองไทย แล้วเขาก็กลับเมืองไทยด้วยเงินก้อนหนึ่ง และความมั่นใจว่าจะทำร้านอาหารสไตล์ยุโรปเป็นของตัวเอง

"สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดร้านอาหาร หรือกำลังคิดจะขยายสาขาต่อไป การกู้แบงก์นั้นเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่คุณต้องใช้อย่างระมัดระวัง อย่าได้เฉไฉนำเงินไปใช้ผิดทางเด็ดขาด เพราะการทำร้านอาหารมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ใครๆ มักคิดว่าได้กำไร 50% แต่แท้จริงแล้วร้านอาหารทำกำไรแค่ 10%"

เพราะนอกจากมีลูกค้าไม่แน่นอน แล้วยังมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ ทั้งเงินลงทุน ดอกเบี้ยแบงก์ ค่าพนักงาน ค่าของเสียหาย ภาษี ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ สมชายยังบอกด้วยว่า "13 เหรียญคือโรงเรียน นี่คือโรงเรียนการทำอาหารที่เรียนฟรี และทำให้ฟรี ใครอยากรู้มา มาขอดูได้เลย ผมเปิด คุณอยากได้อะไร เรียนรู้อะไร เอาไป ผมไม่เคยหวง" เช่นเดียวกับลูกค้าที่มากินนั้น "สมชาย" ยินดีรับฟังคำแนะนำเสมอ

"คนเราจะต้องยอมรับความจริง และแก้ไขปรับปรุงเมื่อลูกค้าติ ตัวนี้ คือหัวใจ ลูกค้าติก็ต้องยิ้ม ไม่ใช่หน้าบึ้ง ถ้าทำอย่างนี้เจ๊งทันที เขาติเพื่อก่อก็ต้องฟัง แล้วนำคำติไปปรับปรุง" แต่สิ่งหนึ่งที่หนุนส่งให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ เป็นวิถีพุทธ ศีล สมาธิ ปัญญา

"ศีล ชีวิตผมไม่เคยทำความชั่ว
สมาธิ เมื่อผมไม่มีความชั่ว จิตใจผมก็ไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญา เมื่อผมไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญาผมก็เกิด"

หากใครอยากจะเอาเยี่ยงอย่างเขา เชื่อว่า "สมชาย นิติวนะกุล" ก็คงยินดี

(อ้างอิง ประชาชาติฉบับวันที่ 05 พฤษภาคม 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3685 (2885)
เครดิต จากคุณ : OnceInTheBlueMoon สมาชิกพันทิป ห้องสีลม)

บทความจากนิตยสาร  ช่องทางสร้างอาชีพ
สมชาย นิติวนะกุล สร้าง 13 เหรียญ ด้วยสองมือ สู่ธุรกิจร้านอาหารนับสิบล้าน 31 สาขา

คุณสมชาย นิติวนะกุล เจ้าของร้านอาหารชื่อดังของเมืองไทย "13 เหรียญ" ใครเป็นนักชิมแล้วน้อยคนนักที่จะปฏิเสธว่าไม่เคยสัมผัสกับร้านอาหารสไตล์อเมริกันแห่งนี้ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติอาหารประเภทสเต๊ก ที่ถูกปากถูกลิ้นคนไทยจนเป็นที่เลื่องลือ ชีวิตการต่อสู้ของคุณสมชายน่าสนใจ และคลาสสิคไม่แพ้รสชาติอาหารที่ร้านของเขาเลยสักนิด

ย้อนอดีตกลับไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2491 เป็นวันที่ชาวจีนในยุคนั้นถือเป็นวันดีอีกวันหนึ่งของพวกเขา เป็นคืนที่พระจันทร์สวยที่สุด เพราะตรงกับวันไหว้พระจันทร์พอดี เด็กชายคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น

"วันที่ผมเกิดตรงกับวันไหว้พระจันทร์พอดี พ่อผมเล่าว่า วันนั้นพระจันทร์สวยมากทีเดียว" คุณสมชายลืมตาดูโลกที่ย่านวัดแขก สีลม เป็นบุตรชายคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน ของครอบครัวชาวจีนไหหลำ "พ่อผมเป็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ พ่อผมเขาเป็นกุ๊ก ส่วนแม่ก็เป็นช่างเย็บผ้า" คุณสมชาย ย้อนอดีตให้ฟัง

แม้จะมีพี่สาวอีกหนึ่งคน แต่ตัวเขาก็มีศักดิ์เป็นลูกชายคนโตของบ้าน จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับการสนับสนุนด้านการเรียนจากครอบครัวอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเรื่องการเรียนกับเขาจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาไปเสียแล้ว เขาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ก่อนจะย้ายมาเรียนสายพาณิชย์ ที่โรงเรียนสหพาณิชย์ ย่านศาลาแดง ใกล้บ้าน ด้วยความเป็นคนมีอัธยาศัย ใจกว้าง มีเพื่อนฝูงมากมาย พอเริ่มเข้าสู่วัยแตกหนุ่มอายุได้เพียง 19 ปี ขณะที่เรียนเกือบจะจบพาณิชย์อยู่แล้ว เขาก็พบกับจุดหักเหในชีวิตครั้งใหญ่เข้าจนได้ วินาทีแห่งการเริ่มตำนานชีวิตอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในครั้งนั้น

บุกถิ่นลุงแซม

ด้วยความที่เป็นคนมีเพื่อนฝูงมากมาย เมื่อเพื่อนกลุ่มหนึ่งไปหากินอยู่ที่อเมริกาในยุคที่คนไทยนิยมบินไปขุดทองที่เมืองลุงแซมกัน จนเป็นแฟชั่นเมื่อเกือบ 30 กว่าปีก่อน คุณสมชายก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ตัดสินใจบินตามเพื่อนฝูงไปแสวงโชค ยังดินแดนเสรีแห่งนั้นด้วย

"ตอนนั้น ผมเพิ่งอายุ 19 ปีเท่านั้น เรียนก็ยังไม่ทันจบ แต่ว่าเพื่อนฝูงมันชวนให้ไปทำงานที่อเมริกาด้วยกัน เพราะว่ามีเพื่อนอยู่ที่โน่นแล้ว 4-5 คน ผมก็ตัดสินใจไปทันทีเหมือนกัน"

หนุ่มน้อยจากเมืองไทยเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องบินไปถึงเมืองลุงแซมแบบบินเดี่ยว มีจุดหมายปลายทางคือ เพื่อนพ้องที่รออยู่ที่อเมริกาเพียง 4-5 คน กับความหวังที่จะมีงานมีเงินเดือนดีๆ เป็นสิ่งตอบแทน

เขาจำต้องทิ้งครอบครัวและแผ่นดินแม่ ออกไปเผชิญโชคบนแผ่นดินใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน สวมวิญญาณของนักเสี่ยงโชคที่พกเอาหัวใจสู้มาด้วยแบบเต็มร้อย เป็นเสมือนทุนรอนเพียงอย่างเดียวที่เขาพกติดตัวไปจากเมืองไทย

"ผมนั่งเครื่องบินไปลงที่เมืองซีแอตเติ้ล รัฐวอชิงตัน ไปถึงโน่นก็พอดีเพื่อนเขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น ผมก็เลยได้โอกาสเสียบเข้าทำงานที่เพื่อนเคยทำอยู่ทันทีเหมือนกัน"

งานแรกในต่างแดนของเขาคือ ตำแหน่งพนักงานล้างจาน ได้ค่าแรงชั่วโมงละ 1.25 เหรียญ เวลาทำงานคือ 19.00-01.00 น. ทุกวัน แต่น่าเสียดายที่เขาทำอยู่ได้แค่ 7 วัน ก็ถูกเชิญออกเสียก่อน

"ผมไปทำงานครั้งแรกภาษาก็ยังไม่ดี โดนไอ้มืดมันด่าเสียๆ หายๆ ดีแต่ว่าผมฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ดีไปอย่าง ไม่งั้นคงมีเรื่องมีราวแน่ "

ในที่สุด คุณสมชายก็ต้องออกจากงานชิ้นแรกด้วยข้อหาล้างจานไม่สะอาด

"โอ้โฮ! คุณ สมัยนั้นน่ะมันเซฟค่าใช้จ่าย จ้างคนล้างจานคือผมคนเดียว แล้วที่นั่นมันเป็นร้านอาหารจีน เปิดขายตั้งแต่กลางวัน มันก็หมักถ้วยจานเอาไว้ตั้งแต่กลางวัน กว่าผมจะเข้าไปทำงานก็เป็นช่วงหนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว เศษอาหารมันก็เกาะติดจนแห้งกรัง ผมเอาเข้าเครื่องล้าง ล้างยังไงมันก็ไม่หมด"

ได้เงินค่าแรงมาเป็นทุนรอนก้อนหนึ่ง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษา พร้อมๆ กับเริ่มมองหางานใหม่ไปด้วย

ในที่สุด โชคก็เข้าข้างจนได้ เขาได้งานชิ้นใหม่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง คราวนี้ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยพนักงานเสิร์ฟ ทำอยู่ได้ 6 เดือน ลู่ทางงานใหม่ที่ให้รายได้ดีกว่าเริ่มปรากฏ

"ผมย้ายมาทำงานที่ใหม่เป็นภัตตาคารสเต๊กเฮ้าส์ รายได้ดีกว่าที่เก่าเยอะ ผมทำอยู่ที่นี่นาน 4 ปีครึ่งทีเดียว"

ระหว่างที่ทำงานอยู่ที่นี่รายได้ของเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าพอใจทีเดียว เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็กลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย

"อยู่เมืองนอกนานๆ มันทั้งเบื่อทั้งเหงาทีเดียว พอผมเก็บเงินได้ก็กลับมาบ้านเสียทีหนึ่ง พอเงินหมดหายคิดถึงบ้าน ก็กลับไปทำงานใหม่"

หลังจากชาร์จพลังใจจากบ้านเกิดพักหนึ่ง เขาก็กลับไปลุยเมืองลุงแซมต่ออีกครั้ง คราวนี้ได้งานใหม่เป็นกัปตันอยู่ที่เมืองดีมอย เมืองนี้อยู่ห่างจากซีแอตเติ้ลไปราว 30 กิโลเมตร ที่นี่เขาเข้าทำงานตำแหน่งกัปตันในภัตตาคารซีฟู้ด ชื่อ "วินจาเมอร์" ทำอยู่ได้ 6 เดือน ก็ขอเปลี่ยนหน้าที่ใหม่คือ ทำตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟด้วยเหตุผลหลักคือ รายได้ที่สูงกว่านั่นเอง

"พอดีผมไปเจอนายเก่า ก็เลยขอเขาเปลี่ยนไปทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟ เพราะมันได้ทิปมีรายได้มากกว่ากัปตันเยอะ เขาก็โอเค"

เขาใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์อยู่ที่ภัตตาคารแห่งนี้นานถึง 5 ปี ก่อนจะย้ายมาเสิร์ฟอยู่ที่ร้าน 13 เหรียญ ในอเมริกาอีก 2 ปี จนมาสิ้นสุดการขุดทองที่รัฐอลาสก้าเป็นแห่งสุดท้าย

"ผมไปอยู่อลาสก้า อยู่ที่เมือง ANCHORAGE เป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ที่ภัตตาคารในเมืองนั้นอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกลับเมืองไทย"

เปิด 13 เหรียญ แห่งแรกในดินแดนสยาม

ตลอดระยะเวลาที่ไปขุดทองที่เมืองลุงแซม คุณสมชายส่งเงินกลับมาให้ที่บ้านไม่เคยขาด กระทั่งสามารถนำเงินมาเซ้งตึกแถวละแวกหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงได้หนึ่งห้อง

"ผมกลับเมืองไทยปี 2519 ตอนนั้นก็เก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่งแล้วพอทำทุนได้ อาศัยว่าผมมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำอาหาร แล้วก็พอมีประสบการณ์จากการทำงานร้านอาหารมาตลอดในอเมริกาเป็นทุน ผมก็เลยตัดสินใจกลับเมืองไทยมาเปิดร้านอาหาร "13 เหรียญ" ขึ้นแห่งแรกที่หน้ารามฯ ด้วยเงินทุนที่ต้องเรียกว่าเทหมดกระเป๋าในขณะนั้น บวกกับความตั้งใจเต็มร้อยที่จะต้องทำร้านอาหารให้เป็นผลสำเร็จให้ได้

ร้านอาหาร 13 เหรียญ จึงถือกำเนิดขึ้นนับแต่นั้น ส่วนเหตุผลที่เลือกชื่อร้านอาหาร 13 เหรียญ มาใช้นั้น ก็เพราะความประทับใจในร้านอาหารแห่งนี้ เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสไปทำงานคลุกคลีใกล้ชิดเมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกานั่นเอง

ช่วงแรกที่เปิดดำเนินการ ปรากฏว่าไม่ราบรื่นอย่างที่หวังเอาไว้นัก รายได้ของร้านในระยะแรกๆ อยู่ในราววันละไม่ถึง 1,000 บาท น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่คุณสมชายเคยได้รับขณะทำงานอยู่ในอเมริกา

"เปิดร้านแรกๆ ผมขายได้อย่างมากก็ 700-800 บาท เคยท้อเหมือนกัน เกือบจะถอดใจจนคิดจะกลับไปหากินอเมริกาอยู่แล้ว"

แต่ในที่สุด คุณสมชายก็ฮึดสู้จนสร้างชื่อให้ร้าน 13 เหรียญ ติดอันดับร้านยอดนิยมสำเร็จจนได้

"ผมต้องใช้เวลานาน 7-8 ปี ทีเดียว กว่าจะทำให้ชื่อ 13 เหรียญ เป็นร้านอาหารที่คนทั่วไปนิยมและยอมรับได้"

ช่วงแรกของการเปิดร้าน คุณสมชายลงมือทำอาหารเอง มีคุณพ่อซึ่งเป็นกุ๊กเก่ามาคอยช่วยอีกแรง พร้อมๆ กับพี่น้องทุกคนที่ลงมือลงแรงมาช่วยด้วยความเต็มใจ

"เรื่องเรียนผมอาจด้อยกว่าคนอื่น แต่สำหรับเรื่องทำอาหารแล้วผมไม่เป็นรองใครเหมือนกัน มันเป็นพรสวรรค์ที่ส่วนหนึ่งอาจได้มาจากการที่มีพ่อเป็นกุ๊กมือหนึ่งด้วยมั้ง"

ในที่สุด รสชาติของคุณสมชายก็เป็นที่ถูกปากถูกใจของบรรดาลูกค้าที่เข้ามาลิ้มลอง กระทั่งชื่อเสียงของร้านเริ่มกระจายไปในหมู่ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วลูกค้ากลุ่มแรก ๆ ก็มักจะเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั่นเอง

เมื่อรสชาติอาหารเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้า เสียงร่ำลือจากปากต่อปากก็เป็นเสมือนแรงโฆษณาที่ไม่ต้องลงทุน กระทั่งในที่สุด ชื่อเสียงของร้าน 13 เหรียญ เริ่มติดหูคนกระจายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ การเพิ่มสาขาของร้านจึงเกิดขึ้นตามมา จากหนึ่งเป็นสองและอีกหลายๆ สาขาที่เริ่มทยอยตามมา "ร้าน 13 เหรียญ ของผมมาบูมสุดๆ ก็ตอนที่ผมไปเปิดสาขาที่มาบุญครองนั่นแหละครับ"

มังกรผงาดฟ้า

ปัจจุบันนี้ มีทั้งหมด 31 สาขา ครอบคลุมทุกซอกทุกมุมของกรุงเทพมหานคร 30 แห่ง และที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 แห่ง

ในที่สุด วินาทีแห่งความสำเร็จก็เดินทางมาถึง กิจการร้านอาหาร 13 เหรียญ ของคุณสมชายดีวันดีคืนอย่างน่าชื่นใจ จากรายการอาหารที่มีบรรจุอยู่ในเมนู เมื่อครั้งแรกเปิดร้านเพียง 10 กว่ารายการ ปัจจุบัน เพิ่มขึ้นมากมายกว่า 30 ชนิด บุคลากรในร้านเมื่อเริ่มแรกที่ใช้แรงงานในครอบครัวและจ้างแรงงานเพิ่มอีกเพียง 5-6 คน ปัจจุบัน เฉพาะกุ๊กและผู้ช่วยยังไม่นับรวมถึงพนักงานเสิร์ฟและพนักงานแผนกอื่นๆ ก็ปาเข้าไป 300 กว่าคนแล้ว ร้านอาหาร 13 เหรียญ ของคุณสมชายเพิ่งจะเปิดสาขาที่ 31 ไปหมาดๆ ริมถนนพระราม 9 และที่น่าปลาบปลื้มเข้าไปอีกเมื่อชื่อของ 13 เหรียญ มีโอกาสแพร่กระจายไปไกลถึงบังกลาเทศด้วยการขายแฟรนไชส์ให้ เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นเหนือไปถึงเชียงใหม่ ก็สามารถหาอาหารอร่อยๆ ในร้าน 13 เหรียญ รับประทานได้รสชาติไม่ผิดเพี้ยนไปจากกรุงเทพฯ "ผมยังคงเทรนพ่อครัวเองอยู่ แต่ถ้าเป็นพวกซอสต่างๆ แล้ว เราจะมีศูนย์ใหญ่คือ ที่สาขารามคำแหง เป็นที่ซึ่งเราใช้ปรุงซอสเพื่อส่งไปยังสาขาต่างๆ เพื่อให้รสชาติอาหารออกมาไม่ผิดเพี้ยนไปมากนัก"

และด้วยเหตุนี้เองที่ปัจจุบันคุณสมชายได้คิดทำซอสต่างๆ บรรจุขวดออกขาย เพื่อเอาใจคนชอบรับประทานสเต๊กเสียเลย

"ผมเริ่มทำมาได้ 2-3 ปีแล้ว แต่วางขายเฉพาะในร้าน 13 เหรียญ ไปก่อน ซอสของผมได้ อย. มาเรียบร้อย แต่ที่ผมยังไม่โฆษณาและออกวางตลาดก็เพราะยังติดเรื่องโรงงานผลิตอยู่" ด้วยเหตุนี้หากใครที่อยากจะลิ้มรสชาติซอสสูตรเด็ดของคุณสมชาย ก็คงต้องลงทุนตามไปซื้อที่ร้านกันเอาเองก่อน แต่คุณสมชายบอกว่าในเวลาอีกไม่นานนักเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ซอสที่ติดยี่ห้อ 13 เหรียญจะต้องถูกนำออกจำหน่ายตามท้องตลาดอย่างแน่นอน "ซอสของผมนี่เป็นสูตรเดียวกับที่เมืองนอกเขาใช้ แต่ของนอกจะแพงกว่าของผมมาก ส่วนรสชาตินั้นผมการันตีได้ว่าไม่ผิดเพี้ยนไปจากของฝรั่งทั้งรสและกลิ่น" ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คงจะเป็นซอสพริกที่ถูกปากถูกลิ้นคนไทยจริงๆ นอกจากนี้ ยังมีน้ำตาลสดที่บรรจุกระป๋องไว้ให้ลองสั่งมาลิ้มรสกันอีก ส่วนรสชาติจะหวานหอมขนาดไหน เรื่องนี้ก็คงต้องติดตามไปชิมลิ้มรสกันเองเสียแล้วครับ

ครอบครัวที่อบอุ่น

แม้จะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนเสียนาน ถูกความเหงารุมเร้าอยู่ก็หลายปี แต่น่าแปลกที่คุณสมชายกลับครองตัวเป็นโสดได้ยาวนานร่วม 10 ปี แม้จะเป็นคนหนุ่มที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเสรีอย่างอเมริกาก็ตาม

"หน้าตาผมคงไม่ค่อยหล่อสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง ถึงไม่ค่อยมีสาวๆ มายุ่งสักเท่าไร" คุณสมชายเล่าอย่างติดตลก

แต่เมื่อกลับมาเมืองไทย กามเทพก็แผลงศรรักปักอกเข้าอย่างจัง เมื่อเขาได้มีโอกาสพบกับคุณพัชรี จิวชัยศักดิ์ สาวน้อยแห่งเมืองสยาม "ผมกลับมาเมืองไทยได้ปีเดียวก็แต่งงานเลย แต่งเมื่อปี 2520" คุณสมชายย้อนอดีตให้ฟัง

แต่งงานอยู่กินกันจนมีพยานรักรวม 3 คน เป็นหญิง 2 ชาย 1 ปัจจุบันโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเกือบหมดแล้ว

"ลูกๆ ไม่มีใครเข้ามาช่วยงานหรอก มีแต่แฟนผมที่เขาช่วยดูแลเรื่องบัญชีการเงินมาตั้งแต่แรก ส่วนพี่ๆ น้องๆ ของผมก็มาช่วยงานในร้านกันทุกคน"

ชีวิตในปัจจุบันของคุณสมชายจึงนับว่าเป็นชีวิตที่มั่นคงสงบสุขแบบน่าอิจฉาทีเดียว "ทุกวันนี้ ผมก็ยึดหลักในการปกครองลูกน้องแบบพี่ปกครองน้อง พ่อปกครองลูก เพราะผมเองเคยเป็นลูกน้องเขามาก่อนย่อมเข้าใจจิตใจของพวกเขาดี ผมเคยลำบากมา ผมรู้รสชาติของความลำบากว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน"

ด้วยหลักในการทำงานที่ถึงลูกถึงคนของคุณสมชายนี่เอง ถึงแม้ว่าสาขาของ 13 เหรียญ จะเพิ่มทวีมากขึ้นพร้อมกับปัญหาที่เพิ่มเป็นเงาตามตัวสักเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าปัญหาทุกเรื่องนั้นจะมีทางแก้ไขได้เสมอ

"ผมก็อาศัยประสบการณ์จากการที่ได้เคยทำงานมาหลายแห่งหลายที่นั่นแหละ มาปรับประยุกต์ใช้แก้ไขเป็นหลักในการบริหารงานไป"

ปัจจุบัน ร้านอาหาร 13 เหรียญทุกสาขาจะต้องมีการประชุมกันเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อชี้แจงแนวนโยบายในการทำงาน ทุกสาขาจะมีผู้จัดการสาขาคอยดูแล และยังต้องมีผู้จัดการคุมสาขาอีกทอดหนึ่งดูแล เพื่อให้งานดำเนินไปสำเร็จตามเป้าหมายอีกด้วย

"ผมคิดเสมอว่า ลูกน้องของผมก็เหมือนพี่น้องกัน ครอบครัวของผมก็เลยกลายเป็นครอบครัวที่ใหญ่มากทีเดียว"

นี่คือ อีกหนึ่งตัวอย่างของคนสู้ชีวิต ที่ไม่เคยก้มหัวให้กับโชคชะตา ไม่ยอมให้ใครมาเป็นผู้ลิขิตชีวิตนอกจากตัวของตัวเอง ลูกผู้ชายเลือดมังกรผู้สร้างตำนานชีวิตอันยิ่งใหญ่เพื่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ร่วมศึกษาชีวิตที่ยิ่งกว่านิยายของเขา คุณสมชาย นิติวนะกุล เจ้าของกิจการร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความสำเร็จอยู่เพียงแค่ปลายมือเอื้อมคว้าเท่านั้น แต่จะคว้าได้หรือไม่ มันอยู่ที่ว่าคุณได้พยายามเอื้อมมือออกไปไขว่คว้าความสำเร็จนั้นหรือยังเท่านั้น