วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

คาสเซ็ทท์รีวิว “ร็อคมือขวา” วงไมโคร

คาสเซ็ทท์รีวิว “ร็อคมือขวา” วงไมโคร

จำได้ว่าพอหมดยุควงสตริงคอมโบ้ในบ้านเราแล้ว ก้าวเข้าสู่ยุคค่ายเพลง วงไมโครเป็นวงแรกที่ผู้เขียนชื่นชอบในผลงานมากที่สุดวงหนึ่ง นับจากความสำเร็จจากภาพยนต์ของอาเปี๊ยก โปสเตอร์ เรื่องวัยระเริง การเป็นวงเปิดให้กับวงรอยัลสไปร์ท และวงคาราบาว เสมอๆ ในคอนเสิร์ตใหญ่ๆ การได้ก้าวเข้ามาสู่ชายคาของแกรมมี่ โดยมีพี่เต๋อและพี่ป้อม อัสนี และพี่กฤช ดูแลการผลิตอัลบั้ม นับตั้งแต่อัลบั้มแรกจนอัลบั้มสุดท้ายก่อนที่อำพล ลำพูน นักร้องนำจะแยกตัวออกไปเป็นศิลปินเดี่ยว ทั้งตัววงไมโครและหนุ่ยอำพล ล้วนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น กลายเป็นวงในตำนานเพลงร็อกของวงการเพลงบ้านเราวงหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเทียบกับต่างประเทศ ผู้เขียนคิดว่าไมโครก็คือบองโจวี่ เมืองไทย ส่วนตัวผู้เขียนติดตามงานของวงไมโครแค่อัลบั้มแรกจนถึงอัลบั้มเอี่ยมอ่องอรทัยเท่านั้น ส่วนพี่หนุ่ยก็ตามงานแกแค่อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกเท่านั้น ผลงานเดี่ยวแกไม่ค่อยโดดเด่นเท่าตอนอยู่วงไมโคร แต่ก็ถือเป็นศิลปินในดวงใจคนหนึ่งด้วยเช่นกัน จึงขอวิจารณ์ติชมแค่ 4 อัลบั้มแรกเท่านั้น ดังนี้


อัลบั้มแรก ร็อกเล็กๆ (ปี 2529) เพลงเปิดตัว อย่าดีกว่า,อยากจะบอกใครซักคน,รักปอนปอน

เพลงอย่าดีกว่า เพลงเปิดตัวที่ทำให้เราทุกคนรู้จักวงไมโคร เสียงกลองแน่นๆและลี๊ดกีตาร์แปลกหู ผนวกกับเสียงร้องเท่ห์ๆ ของหนุ่ย มันช่างลงตัวและเนื้อหาดี บ่งบอกคาแรกเตอร์ของทั้งวงได้เป็นอย่างดี อธิบายคอนเซ็ปต์อัลบั้มได้อย่าง cover ทั้งหมด คือเจียมเนื้อเจียมตัว เราเป็นเพียงร็อกตัวเล็กๆ วงหนึ่งเท่านั้น ผมว่าเป็นเพลงที่แนะนำตัวพวกเขาให้แฟนเพลงเปิดใจยอมรับ และรักพวกเขาได้ง่าย ตามด้วยเพลงรักปอนปอน ก็ตอกย้ำความเป็นคนธรรมดาติดดิน เพลงนี้มีคำร้องที่ติดหู ฟังทีแรกก็ร้องตามได้เลย คำร้องโดยพี่ดี้ นิติพงษ์ เป็นเพลงอมตะในใจใครหลายคนไปแล้ว “ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ คนสวยคนที่ดีพร้อม เค้าก็มองข้ามไป เพราะฉันมันเป็นคนแบบปอนๆ ทั่วไป ไม่เห็นจะมีดีที่ใด ชีวิตไปวันๆ ได้แต่ฝันจะมีใคร อยู่ข้างเคียง” ส่วนอู๊ดกับแอ๊ด เป็นเพลงสนุกๆ ดนตรีร็อกหนักขึ้น กระแสเกย์ เลสเบี้ยนมีมากขึ้น เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อแซวเล่นสนุกๆ แต่ก็ทันสมัยดี

เพลงอยากจะบอกใครซักคน ทำนองเรียบเรียงโดย จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร คำร้องโดยพี่ดี้ นิติพงษ์ เพลงนี้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไปก็อปปี้ทำนองมาจากเพลงของต่างประเทศ รวมถึงเพลงรักปอนปอน จำฝังใจ ด้วย แต่หากมองข้ามในส่วนของทำนองก็อปปี้ไปแล้ว ต้องบอกว่าคำร้องของเพลงนี้โดนใจสุด ๆ ในยุคนั้นเลย เสียงกีต้าร์บาดใจ และเสียงพี่หนุ่ยเท่ห์ๆ แทบจะทำเอาแฟนเพลงคลั่งในตัวพี่หนุ่ยเลย รวมถึงเพลงจำฝังใจด้วย ผู้เขียนคิดว่า ถ้าไม่มีเพลงนี้ในอัลบั้มนี้ อัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จเท่านี้หรือไม่ ทุกครั้งที่ผู้เขียนนึกถึงภาพจำของพี่หนุ่ยในอัลบั้มแรกนั้น จะนึกถึงเพลงนี้ก่อนเสมอเลย มันแทบขาดใจ ลองฟังเนื้อร้อง คำร้องดู “หนใดที่ใจเหงา ทุกคราวที่เราท้อ ขอเพียงแต่มีแค่ ใครคนหนึ่ง ทุกข์จนสุดทนไหว ร้อนรนขึ้นยามใด อยากจะบอกใครซักคน ถึงใครต่อใครเขา เห็นเราหมดความหมาย ขอเพียงแต่มีแค่ ใครคนหนึ่ง ถึงวันที่สับสน ทุกข์ทนอยู่ในใจ อยากจะบอกใครซักคน สักคน ที่จะรู้ สักคน จะได้ไหม สักคน ....ถึงคราวที่สดใส ครั้งใดที่สุขสม ขอคนชื่นชมแค่เพียงคนหนึ่ง ถึงวันที่มองฟ้า คว้าดาวได้ดังใจ อยากจะบอกใครซักคน ใจเรามันเป็นเพียงแต่เนื้อเพียงก้อนหนึ่ง มันจึงมีเวลาจะอ่อนแอ เพียงตัวเรารำพันอ้างว้างไร้ทางแก้ จึงจำใจยอมทนเก็บไว้ อยากจะบอกใครซักคน เพียงคนเดียวจริงๆ ที่ขอไว้เป็นเพื่อน เพียงคนเดียว คอยเตือนและเข้าใจ มีคนเป็นพันๆ หมื่นแสนล้านอยู่บนโลก เพียงคนเดียวจะมีบางไหม อยากจะบอกใครซักคน” เพลงเรามันก็เป็นอย่างนี้ และเพลงสมน้ำหน้า ซ่าส์นัก มีจังหวะดนตรีสนุกๆ คำร้องกวนๆ สื่อความหมายความเป็นวัยรุ่น ดิบ ใจร้อน ก็ตรงกับคาแรกเตอร์ของสมาชิกวงไมโครได้ดี

เพลงฝันที่อยู่ไกล ทำนองเรียบเรียงโดย วิชัย อึ้งอัมพร คำร้องโดย เขตอรัญ เลิศพิพัฒน์ เพลงนี้เป็นเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุดในอัลบั้ม เพลงนี้เป็นเพลงที่เป็นคำตอบของความสำเร็จ และแรงบันดาลใจที่ทำให้วงไมโครประสบความสำเร็จในอัลบั้มแรก เนื้อหาดี มีท่อนประโยคจำคือ “ ฝันนั้นยังไกล ทำให้ใจมีพลัง แม้ล้มลงไป ทำให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ถ้าหากตั้งใจให้รีบก้าวไป เวลายังมีอยู่ หนทางนั้นยังรออยู่ รีบเร่งไปสู่ จุดมุ่งหมายที่อยู่ไม่ไกล...ให้ดี” เพลงอยากได้ดี ต้องฟังต่อจากเพลงเรามันก็เป็นอย่างนี้ เนื้อหาเป็นการพร่ำสอนวัยรุ่นให้เดินไปให้ถูกทาง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ผลงานพี่ดี้เขา ส่วนเพลงจำฝังใจ ก็มีประโยคจำ ที่โดนใจเช่นกัน “จดจำให้มันฝังใจ ว่าเวลาช่วงหนึ่งหายไป จำว่าไม่เคยพบใคร ไม่เคยมีใครเคยอยู่ เคยทิ้งเราไป”


อัลบั้มที่ 2 หมื่นฟาเรนไฮต์ (ปี 2531) เพลงเปิดตัว เอาไปเลย, ใจโทรมๆ, บอกมาคำเดียว (อัลบั้มนี้มีการเปลี่ยนตัวผู้ดูแลอัลบั้มหรือโปรดิวเซอร์จากพี่ป้อม อัสนีโชติกุล มาเป็นพี่กฤช โชคทิพย์พัฒนา แทน รายละเอียดทางดนตรี ความหนักหน่วงของดนตรีดูแน่นขึ้นมาก)

เพลงเอาไปเลย เพลงนี้แรงตั้งแต่เปิดตัว ทุกครั้งที่มีคอนเสิร์ตจะเป็นเพลงที่ถูกขอมากที่สุดของไมโครเลย ทั้งดนตรีและคำร้องมีเสน่ห์สุด ๆ (ทำนองเรียบเรียงโดย ชาตรี คงสุวรรณ คำร้องโดยอรรณพ จันสุตะ) ทุกครั้งที่ผู้เขียนนึกถึงภาพจำของพี่หนุ่ยในอัลบั้ม 2 ก็เป็นเพลงนี้แหละที่ผุดขึ้นมาก่อนเสมอ ฟังเพลงนี้แล้วต่อด้วยเพลงจริงใจซะอย่าง ร้องโดยพี่กบ ไมโคร มันช่างได้ฟีลสุด ๆ เพราะทั้ง 2 เพลง มันมีความหมายที่ให้ใจกับคนฟังแฟนเพลงอย่างเต็มที่แล้วเกินคำบรรยาย ยังนึกไม่ออกว่าจะมีใครที่จะไม่ชอบวงนี้กันบ้าง (ไม่นับพวกนักวิจารณ์,คอลัมนิสต์นิตยสารดนตรีทั้งหลายที่เป็นเกจิ ผู้รู้ที่มักวิจารณ์ไปตามเนื้อผ้าจริงๆ ) ผู้เขียนบอกได้เลยว่าชอบอัลบั้มนี้มากกว่าชุดแรกเสียอีก เพราะมันมีหลายเพลงที่ชอบมาก เดี๋ยวจะบอกว่าชอบเพลงไหนกันบ้าง เพลงหมื่นฟาเรนไฮต์ เป็นเพลงธีมของอัลบั้ม ดนตรีและเนื้อหาคำร้อง ผ่านมาตรฐานของวงไมโครอย่างสบาย เพลงพายุ ชอบตรงเนื้อหาคำร้องที่ให้ความหมายปรัชญาชีวิตดี (ทำนองเรียบเรียงโดย ปรมาจารย์ จิรพรรณ อังศวานนท์ คำร้องโดยเขตอรัญ เลิศพิพัฒน์ มีท่อนประโยคจำที่ว่า “ไปต่อไป แต่เคยคิดว่าชีวิตเป็นอย่างต้นไทร ไม่เคยโค้งไม่เคยโน้มให้กับสิ่งใด เพิ่งจะรู้ว่าชีวิตต้องอ่อนเอนตาม....พายุ”

เพลงใจโทรมๆ เพลงนี้เนื้อหาโดนใจสุด ๆ (ทำนองเรียบเรียงโดย โสฬส ปุณกะบุตร คำร้องโดยพี่ดี้ นิติพงษ์) เป็นเพลงช้าของพี่หนุ่ยที่ชอบมากที่สุดเพลงนึง จำได้ว่าฟังและดูมิวสิควีดีโอครั้งแรกในพาราไดซ์ มิวสิคฮอลล์ (ดิสโก้เธ็คชื่อดังในอดีต) แล้วขนลุก ยังมีภาพจำมาจนถึงทุกวันนี้ ท่อนฮุคประโยคโดนใจคือ”ให้โอกาสเธอ ได้เดินจากไป จากไปเสียก่อน ก่อนจะเห็นน้ำตาผู้ชาย โปรดจงอย่าหันมองกลับมา เดินไปให้ไกล ให้สุดสายตา แล้วเธอคงได้พบทางเดินใหม่”

เพลงบอกมาคำเดียว เป็นอีกเพลงที่ชอบมาก ชอบตรงเมโลดี้ และคำร้องที่ซื่อๆ ตรงๆ บวกกับเสียงร้องพี่หนุ่ยอีกแล้ว มันอินได้ใจจริงๆ (ทำนองเรียบเรียงโดย จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร คำร้องโดยพี่ดี้ นิติพงษ์) เพลงนี้เป็นต้นตอที่ทำให้พี่ๆ วงเฉลียง (คุณประภาส ชลศรานนท์) เอามาเขียนแซวล้อเลียน เป็นเพลงใจเย็นน้องชาย แสดงถึงความฮ็อตของวงไมโครและศิลปินท่านอื่นๆ ในแกรมมี่(แหวน,อัสนี,นูโว) ที่ทำให้คู่แข่งอย่างคีตาเอามาเขียนแซวได้ ช่วงนั้นสงครามระหว่างแกรมมี่คีตา สนุกมาก เพราะคีตาออกพงษ์พัฒน์มาชนกับไมโคร และออกเอ็มสุรศักดิ์ มาชนกับบิลลี่ และยังมีอีกหลายคู่ศิลปิน มาเข้าเรื่องกันต่อ เพลงลองบ้างไหม จังหวะดนตรีแน่นๆ สนุกๆ ในอัลบั้มนี้คือเพลงนี้ ส่วนเพลงรักคุณเข้าแล้ว น่าจะเป็นเพลงที่โดดที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ เพราะเสียงร้องของพี่อ้วน ไมโคร บวกกับสำเนียงการร้องที่ซื่อๆ ส่วนเนื้อหาคำร้องก็ดูเชยๆ แต่ก็น่ารักดี ลดโทนเข้มๆ ลง

เพลงคิดไปเองว่าดี ชอบตรงเนื้อหาของเพลง (ทำนองเรียบเรียงโดย สมชาย กฤษณะเศรณี คำร้องโดยอรรณพ จันสุตะ) เสียงร้องของพี่หนุ่ยดูเศร้าๆ

เป็นการบิลต์ เพื่อจะไปพีคสุดในเพลงสุดท้ายของอัลบั้มนี้นั่นคือเพลง โชคดีนะเพื่อน ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ เพราะมีความหลังฝังใจกับเพลงนี้เป็นอย่างมาก เป็นเพลงเรียกน้ำตาทุกครั้งที่คิดถึงวันจบการศึกษาตอนที่ยังนึกถึงภาพความทรงจำของเพื่อนๆ ในวัยเรียนที่เคยร่วมเรียน ร่วมสนุก และร่วมประสบการณ์ในชีวตทุกรูปแบบมาด้วยกัน เพลงนี้ผู้เขียนได้ยินไม่ได้เลย จะนึกถึงเพื่อนรักคนหนึ่งของผู้เขียนที่ได้เสียชีวิตไปแล้วทุกครั้ง และก็ภาพความทรงจำสมัยเรียนผุดขึ้นมาอีกทุกครั้ง ทำเอาเสียน้ำตาทุกที เรียกว่าเป็นเพลงจี๊ดโดนใจ ประจำตัวผู้เขียน


อัลบั้มชุดที่ 3 เต็มถัง (ปี 2532) เพลงเปิดตัว ส้มหล่น ,เรามันก็คน ,เติมน้ำมัน

อัลบั้มนี้จัดว่าเป็นอัลบั้มที่ทำให้วงไมโครประสบความสำเร็จมากที่สุด เพลงฮิตเกือบจะทั้งอัลบั้ม อัลบั้มขายได้เกินล้านตลับ คอนเสิร์ตมีคนดูเรือนแสน จนเป็นที่มาของคอนเสิร์ตในตำนาน “ร็อคมือขวา”

เพลงแรก เพลงส้มหล่น เรียกว่าถ้าใครเป็นแฟนเพลงของไมโครย่อมไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้ ทั้งดนตรีและคำร้อง(ทำนองเรียบเรียงโดยชาตรี คงสุวรรณ คำร้องโดยอรรณพ จันสุตะ) นั้นติดหูตั้งแต่แรกฟัง ท่อนฮุคประโยคจำ คือ “อยู่ดีๆ เธอก็ให้มา ให้ความรักเรา ให้มาทั้งตัวและหมดหัวใจ เจอะเข้าแล้วเต็มเปา เจอะคราวนี้เต็มใบ เป็นไปได้ไง ไม่อยากเชื่อเลย” เพลงต่อมา เรามันก็คน เพลงนี้ชอบตรงเนื้อหาโดนใจสุดๆ (ทำนองเรียบเรียงโดย อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ คำร้องโดย อรรณพ จันสุตะ อีกแล้ว) ฟังต่อกันระหว่างส้มหล่นกับเรามันก็คน ต่อด้วยมันก็ยังงงงง เหมือนแต่งมาเพื่อแก้ต่างให้พี่หนุ่ยยังไงไม่รู้ ในช่วงนั้นมีข่าวคราวว่าพี่หนุ่ยมาคบหาดูใจกับคุณมาช่าแล้ว แล้วเหมือนกับว่ากำลังจะมีน้อง(กาย) ด้วยกัน ทำให้พี่หนุ่ยดังและขึ้นแท่นนักร้องเบอร์ 1 ของค่ายไปเลยเวลานั้น ส่วนภายหลังคุณมาช่าก็กลายมาเป็นนักร้องมีอัลบั้มเดี่ยวด้วยในสังกัดเดียวกันตามมา

เพลงคนไม่มีสิทธิ์ เป็นเพลงช้าที่มีสำเนียงซื่อๆ โดนใจ คล้ายๆ เพลงบอกมาคำเดียวจากอัลบั้มชุดที่แล้ว เพลงดับเครื่องชน เป็นเพลงร็อคจังหวะดนตรีแน่นๆ ของอัลบั้มนี้ เพลงรู้ไปทำไม จังหวะดนตรีเศร้าๆ ได้เสียงร้องพี่หนุ่ยเข้าไป เลยออกมาในโทนเศร้าแต่เข้ม ช่วงท้ายมีกระชับดนตรีให้หนักแน่นขึ้นด้วย เพลงมันก็ยังงงงง สนุกๆ มันๆ ดูคล้ายร็อคแอนด์โรล สำหรับเพลงนี้

เพลงเติมน้ำมัน เป็นเพลงที่ชอบมากที่สุดในอัลบั้มนี้ (ทำนองเรียบเรียงโดย คณิต พฤกษ์พระกานต์ คำร้องโดย เขตอรัญ เลิศพิพัฒน์) มีท่อนฮุคประโยคจำ ก็คือ “หากวันนี้ ได้รักเติมอีกที คงเริ่มมีกำลังเคลื่อนไหว หากเติมรักครั้งนั้นให้กับใจฉันไว้ ฉันนี้คงไม่ตาย” เพลงรุนแรงเหลือเกิน ก็เป็นเพลงช้าอีกเพลงที่โดนใจ ช่วงอินโทรก่อนจะขึ้นเพลงนั้นไพเราะมาก จนคิดว่าเพลงนี้น่าจะทำเป็นเพลงบรรเลงอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องมีคำร้องเพราะเมโลดี้ของเพลงไพเราะดีอยู่แล้ว (ทำนองเรียบเรียงโดย อภิไชย เย็นพูนสุข) ส่วนเพลงถึงเพื่อนเรา เป็นภาคต่อของเพลงโชคดีนะเพื่อนในอัลบั้มชุดที่แล้ว แต่เนื้อหาและทำนองไม่กินใจเท่าเพลงโชคดีนะเพื่อน และปิดท้ายด้วยเพลงเปิดฟ้า น่าจะเป็นภาคต่อของเพลงพายุ ทั้งเนื้อหาและทำนองก็ไม่กินใจเท่าเพลงพายุอีกเช่นกัน


อัลบั้มที่ 4 เอี่ยมอ่องอรทัย (ปี 2534) เพลงเปิดตัว รักซะให้เข็ด, เลือดเย็น, ไม่มีอะไรจะเสีย (อัลบั้มชุดนี้มีการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์เป็นคุณจาตุรนซ์ เอมซ์บุตร )

อัลบั้มนี้นับว่าเผยตัวตนความเป็นไมโครได้อย่างชัดแจ้งที่สุด แม้ว่าจะไม่มีเสียงพี่หนุ่ยอำพลแบบอัลบั้มก่อนๆ แล้ว แต่กลายเป็นว่าดีกว่า และพี่กบก็ทำหน้าที่ร้องนำได้ดี รวมถึงสมาชิกที่เหลือ เพราะวงร็อคสำคัญที่สุดคือภาคของดนตรี บางทีไม่ต้องอาศัยเสียงร้องที่โดดเด่นเลยด้วยซ้ำ ขอเพียงต้องมีเสียงสูงที่ถึง เนื่องจากคีย์เพลงร็อคจะเป็นคีย์สูงเสียส่วนใหญ่ และจะว่าไปถ้านับแค่ 4 อัลบั้มแรกนี้ ผู้เขียนก็มองว่าอัลบั้มที่ 4 นี้ดีที่สุด แล้วในส่วนของภาคดนตรี หนักแน่น และดูเป็นร็อคมากกว่าทุกอัลบั้ม ระยะหลังพอหยิบอัลบั้มนี้มาฟัง ส่วนตัวเลยชอบอัลบั้มนี้มากที่สุดไปแล้ว

เพลงรักซะให้เข็ด เพลงนี้ทั้งท่วงทำนองและน้ำเสียงของพี่กบมันยังไม่ค่อยลงตัว และเนื้อหาก็ไม่โดน คล้ายๆ จะเป็นเรามันก็คนภาค 2 แต่เนื้อหามันไม่ใช่ (ทำนองเรียบเรียงโดยอนุวัฒน์ สืบสุวรรณ คำร้องโดย ประชา พงศ์สุพัฒน์) จึงเสียดาย ไม่น่าเอามาเป็นเพลงโปรโมตเลย ทำให้ภาพรวมดูดร็อปไปกว่าอัลบั้มก่อนๆ มาแก้ตัวได้จากเพลงเลือดเย็น เพลงนี้ทั้งเนื้อหาและทำนองพอรับได้รวมทั้งเสียงของพี่กบด้วยครับ (ทำนองเรียบเรียงโดย โสฬส ปุณกะบุตร คำร้องโดยจาตุรนซ์ เอมซ์บุตร ไม่คิดว่าพี่เขาจะแต่งคำร้องได้ด้วย นึกว่าแกทำดนตรีเพียงอย่างเดียว)

เพลงไม่มีอะไรจะเสีย (ทำนองเรียบเรียงโดยสันธาน เลาหวัฒนาวิทย์ (พี่บอย) คำร้องโดยจักราวุธ แสวงผล) ดนตรีมันส์ พะยะค่ะ คุณพี่บอย ชอบครับ ชอบ ได้คำร้องของพี่จักราวุธ เข้าไปก็เลยออกมาดีมาก ไอ้ 2 เพลงแรกเล่นเอาไม่อยากจะฟังอัลบั้มนี้เลย พอมาเพลงนี้ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย ผมว่าแกคงทุ่มกู้หน้าสุดตัว สมกับชื่อเพลงมั๊ง ไม่มีอะไรจะเสีย อีกแล้วใช่มั๊ย แต่ขอบอกว่าโดยรวมชอบเพลงนี้นะ ครับ

เพลงสะใจแล้วซิเธอ (ทำนองเรียบเรียงโดยสันธาน เลาหวัฒนาวิทย์ (พี่บอย) คำร้องโดยจาตุรนซ์ เอมซ์บุตร) เพลงนี้โดยเนื้อหาและเสียงร้องของพี่กบ ถือว่าดีและโดนที่สุดในอัลบั้มนี้แล้วครับ พี่กบจำไว้นะครับร้องแบบนี้แหละได้ใจที่สุด นี่เป็นเพลงช้าที่พี่กบร้องดีที่สุดเลยนะครับ

เพลงเฮกันหน่อย (ทำนองเรียบเรียงโดย อภิไชย เย็นพูนสุข คำร้องโดย จักราวุธ แสวงผล) เพลงนี้ถือว่าโดดสุดในอัลบั้ม จังหวะเป็นร็อคแบบโจ๊ะๆ สามารถดิ้นได้ ชอบครับ ทั้งเนื้อร้อง และทำนอง ไม่น่าเชื่อว่าเพลงนี้จะมันส์กว่าไลน์ร็อคแท้ๆ ทุกเพลงในอัลบั้มเลย ถ้าเอาเพลงนี้โปรโมต รับรองว่าอัลบั้มนี้จะดังกว่านี้

เพลงคิดถึง (บรรเลง) เพลงนี้โดดเด่นตรงโซโล่กีตาร์ ยาวหลายนาที มีท่วงทำนองโหยหวน และก็เป็นเพลงที่ได้รางวัลสีสันอวอร์ดในสาขาเพลงในการบันทึกเสียงยอดเยี่ยมด้วย ก็ต้องถือว่าเหมาะสม ชอบมากครับ

เพลงร็อครักร็อค ตอบโจทย์ทุกอย่างที่เราอยากเห็นจากไมโครได้หมดจด รวมถึงเป็นเพลงธีมของอัลบั้มด้วย (ทำนองเรียบเรียงโดยสมชาย กฤษณะเศรณี คำร้องโดยจาตุรนซ์ เอมซ์บุตร) ดนตรีหนักแน่น ชอบเสียงกลองหนักๆ ของเพลงนี้จัง นี่แหละที่เรียกว่าเอี่ยมอ่องอรทัย ชอบเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้มแล้วครับ

เพลงรู้ตัวอยู่แล้ว ลดโทนลงมาจากเพลงแรกมากเลย แต่ยังคงเป็นเสียงพี่กบร้องนำอยู่ เพลงนี้ได้สร้างคาแรกเตอร์ของเสียงให้กับพี่กบได้อย่างมีเอกลักษณ์ ทำให้ลืมพี่หนุ่ยไปเลย จึงทำให้คิดไปว่าไม่จำเป็นต้องมีเสียงเท่ห์ๆ แบบพี่หนุ่ยก็ไพเราะได้เหมือนกัน

เพลงอีรุงตุงนัง เพลงนี้ดนตรีหนักแน่นอีกเหมือนกัน แต่เสียงร้องกลายเป็นพี่บอย มือคีย์บอร์ดร้อง เสียงดีใช้ได้ระดับนึง น่าจะมีเพลงร้องบ้างตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว นอกจากนี้พี่บอยยังร้องในเพลงอึดอัดออก ด้วย

เพลงตัวเราก็เท่านี้ เสียงร้องนำโดยพี่อ้วน (เสียงไม่ให้กับเพลงร็อคเลย) ร้องในสไตล์เดิมๆ ของแก เหมือนอัลบั้มชุด 2 เนื้อหาเชยๆ เหมือนเดิม

เพลงสงครามสันติภาพ เป็นเพลงบรรเลง ท่วงทำนองเร้าใจ สนุกครับ ผมไม่ได้จินตนาการไปถึงสงครามสันติภาพเหมือนชื่อเพลงเขาหรอก คิดไปอีกรูปแบบนึง แต่ยังไงก็เป็นเพลงบรรเลงที่ดีเพลงนึง

เสียดายที่อัลบั้มสุริยคราส ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดต่อมาของวงไมโคร ทำการตลาดไม่ดีหรือยังไงไม่ทราบ แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับอัลบั้มนี้แล้ว แต่เป็นอัลบั้มที่เป็นผลงานดีที่สุดของวงไมโคร มีผู้ร่วมงานที่อยู่เบื้องหลังระดับเทพมากมาย และก็พี่บอยลงมาควบคุมการผลิตด้วยตนเอง ยังไงต้องหามาฟังให้ได้ ถือว่าพลาดไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ และนี่เป็นบางส่วนของนักวิจารณ์ที่พูดถึงอัลบั้มต่างๆ ของวงไมโครไว้ในหนังสือรำลึกถึงวงไมโคร ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ชื่อหนังสือ micro in a day ของนิตยสาร a day ไว้ดังนี้



อัลบั้ม ร็อคเล็กเล็ก (2529) วิรัตน์ โตอารีย์มิตร คอลัมนิสต์อิสระ ให้ความเห็นไว้ว่า “ร็อคเล็กเล็ก คือการนำ อัสนี โชติกุล มาถ่ายเอกสาร แต่ย่อขนาดให้เล็กลงและเป็นการนำกระดูกดนตรีของบัตเตอร์ฟลาย มาย่อยเพื่อแบ่งให้กับวงร็อคหน้าใหม่ จากนั้นก็ใส่อิมเมจลงไป”

อัลบั้ม หมื่นฟาเรนไฮต์ (2531) อนุสรณ์ สถิรรัตน์ จากนิตยสาร Sound Magazine วิจารณ์ไว้ว่า “หมื่นฟาเรนไฮต์ก็เป็นผลงานชุดหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ว่าประเทศไทยมีวงที่ทำงานตลาดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของทางวงและนายทุนได้ดีเยี่ยมวงหนึ่ง แต่เรื่องของความคิดสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเองนั้น คนละเรื่องกันเลย เสียดายที่โปรดิวเซอร์เก่งมาก แต่ไม่ค่อยยอมเสียสละความคิดความอ่านกับเด็กๆวงนี้มากเท่าไร”

อัลบั้ม เต็มถัง (2532) พอล เฮง คอลัมนิสต์หนังสือมติชน มีคำชมให้กับผลงานชุดนี้ไว้ว่า “ สิบเพลงอัลบั้มเต็มถัง ถือว่า เป็นงานป๊อบร็อคที่อยู่ในเกณฑ์ดี มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง เรียกว่า ไม่ถึงกับเป็นงานดีเลิศ แต่เป็นงานที่วางตำแหน่งของมันได้เหมาะเจาะทุกอย่าง และทุกเพลงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ มีมาตรฐานที่อยู่ในระดับของเพลงป๊อบร็อคแบบไทยที่โดดเด่นเกินใครในยุคนั้น”

อัลบั้ม เอี่ยมอ่องอรทัย (2534) ปรารถนา รัตนะสิทธิ์ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร Core ให้นิยามชุดนี้ว่า “ขอเสนอให้เปลี่ยนชื่อเป็น อ่วมอรทัยจะดีไหม?”

อัลบั้ม สุริยคราส (2538) ทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการบริหารนิตยสารสีสัน พูดในแง่มุมมองของเขาว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าผลักประเด็นความสำเร็จทางการตลาดออกไปเสียทางหนึ่ง เป็นไปได้ว่า สุริยคราส คือผลงานที่ดีที่สุดของไมโคร”

อัลบั้ม ทางไกล (2540) อารี แท่นคำ คอลัมนิสต์ คมชัดลึก วิจารณ์ไว้ว่า “ชุดนี้ไม่มีเพลงฮิตติดหูมากนัก แต่โดยภาพรวมแล้วพลังดนตรียังอยู่ครบ อันที่จริงผลงานที่มีเพลงฮิตกลับไม่ยากที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผลงานที่ไม่มีเพลงฮิตผมว่าน่าศึกษา เพราะบางครั้งการยึดสูตรสำเร็จเดิมๆก็ทำให้เกิดอาการตีบตันทางปัญญาดนตรีเหมือนกัน”

หมายเหตุ   สมาชิกของวงไมโคร  ประกอบด้วย


อำพล ลำพูน (หนุ่ย) ร้องนำ

ไกรภพ จันทร์ดี (กบ) กีต้าร์ / ร้องนำ

มานะ ประเสริฐวงศ์ (อ้วน) กีต้าร์

สันธาน เลาหวัฒนาวิทย์ (บอย) คีย์บอร์ด

อดินันท์ นกเทศ (อ๊อด) เบส

อดิสัย นกเทศ (ปู) กลอง

สมาชิก 4 คน คือ อำพล ลำพูน , มานะ ประเสริฐวงศ์ , อดินันท์ - อดิสัย นกเทศ เกิดที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

ไกรภพ จันทร์ดี และ สันธาน เลาหวัฒนวิทย์ เป็นชาวกรุงเทพมหานคร

 
หากคุณคือของจริง ท้ายที่สุดคุณก็จะกลายไปเป็นตำนาน ผลงานจะได้รับการยอมรับในวันนึง แต่หากคุณเป็นของเทียม ท้ายที่สุดคุณจะเป็นเพียงเรื่องเล่าขำๆ ผลงานจะถูกโลกลืมไปกับกาลเวลา

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

งานวิวาห์ลั่นโลก "พระราชพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลี่ยมกับเคท มิดเดิลตัน

เส้นทางความรักของทั้ง 2 พระองค์

พระราชพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือเป็นความสัมพันธ์ที่เบ่งบานเต็มที่หลังจากความสัมพันธ์ของทั้งสองที่มีมานานเกือบทศวรรษ ความรักของเจ้าชายวิลเลียมและเคทเริ่มที่มหาวิทยาลัยเซนท์ แอนดรูส์ สถาบันที่ทั้งสองเป็นนักศึกษาน้องใหม่ในเดือนกันยายน 2001


เจ้าชายวิลเลียมทรงใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเป็นส่วนตัว และเมื่อรอดพ้นจากสายตาของสื่อมวลชน มิตรภาพระหว่างเจ้าชายและเคทก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้น เมื่อเริ่มเป็นนักศึกษาปีที่ 2 เจ้าชายวิลเลียมและเคทพักอยู่ในแฟลตแห่งเดียวกันพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เริ่มที่จะมากกว่ามิตรภาพความเป็นเพื่อน แต่ทั้งสองก็พยายามเก็บเรื่องราวความรักไว้เป็นความลับ

ช่วงที่ทั้งคู่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซนท์ แอนดรูส์ เจ้าชายวิลเลียมและเคทก็กลายเป็นคู่รักกันเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้เองที่สื่อมวลชนเริ่มให้ความสนใจเป็นพิเศษในความสัมพันธ์ของทั้งสอง

เดือนธันวาคม ปี 2006 เคทได้เปิดตัวสู่สายตาประชาชนครั้งสำคัญ ในการเดินขบวนพาเหรดของเจ้าชายวิลเลียมที่ Sandhurst

เดือนเมษายน 2007 เกิดความกดดันขึ้นระหว่างเจ้าชายวิลเลียมและเคท เมื่อเจ้าชายวิลเลียมทรงเริ่มปฏิบัติภารกิจในกองทัพ ทั้งคู่ก็แยกทางกัน ทว่าการเลิกรากันนั้นก็เป็นไปได้ไม่นาน เพราะเจ้าชายวิลเลียมและเคทก็กลับมาคืนดีกันในเดือนมิถุนายนของปีนั้นเอง

เจ้าชายวิลเลียมทรงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักบินเฮลิคอปเตอร์ค้นหาและช่วยชีวิตทำให้พระองค์ต้องประทับที่เกาะแองเกิลซีย์ หกเดือนต่อมา ในเดือนมิถุนายน 2010 เคทก็ตามเจ้าชายของเธอมาที่เกาะและทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

ที่มา http://www.telegraph.co.uk/news/uknews/royal-wedding/royal-wedding-video/8478680/Royal-wedding-video-The-history-of-Prince-William-and-Kate-Middletons-royal-romance.html

ประวัติของว่าที่เจ้าหญิงองค์ใหม่แห่งราชวงศ์อังกฤษ

เคเทอรีน เอลิซาเบ็ธ มิดเดิลตัน (เคท) เป็นบุตรสาวของไมเคิลและแครอล มิดเดิลตัน เคเทอรีนเกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1982 ที่โรงพยาบาลรอยัล เบิร์กเชอร์ ในเมืองรีดดิง เคเทอรีนเป็นพี่สาวคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน


เคเธอรีนได้ทำพิธีล้างบาปที่โบสถ์เซนท์ แอนดรูส์ แบรดฟิลด์ ในเบิร์กเชอร์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1982

ในเดือนพฤษภาคม 1984 ขณะที่มีอายุได้ 2 ขวบ เคเทอรีนได้ย้ายไปอยู่ที่อัมมาน ประเทศจอร์แดน กับครอบครัว บิดาของเคเทอรีนได้ไปทำงานอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง เคเทอรีนได้เข้าโรงเรียนอนุบาลที่อัมมานในขณะที่มีอายุได้ 3 ขวบ

เดือนกันยายน 1986 ครอบครัวมิดเดิลตันได้ย้ายกลับมายังอังกฤษและอาศัยอยู่ที่เวสต์ เบิร์กเชอร์ และเคเทอรีนได้เริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์ แอนดรูส์ ใน Pangbourne เธอได้ศึกษาอยู่ที่นี่จนถึงเดือนกรกฎาคม 1995 จากนั้น เคเทอรีนได้เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยมาร์ลโบโร ในเมืองวิลท์เชอร์ โดยเธอศึกษาวิชาเคมี ชีววิทยา และศิลปะ ได้เป็นอย่างดี เคเทอรีนมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาในนามของโรงเรียนด้วย โดยเธอเล่นเทนนิส ฮอกกี้ และเนทบอล และยังเล่นกระโดดสูงด้วย เคเทอรีนเรียนจบจากมาร์ลโบโรโดยได้รับรางวัล Duke of Edinburgh Gold Award*** ด้วย

หลังจบจากวิทยาลัยมาร์ลโบโรในเดือนกรกฎาคม ปี 2000 ระหว่างที่มีเวลาว่างหลังจากเรียนจบนั้น เคเทอรีนได้เริ่มเข้าเรียนที่ British Institute ในเมืองฟลอเรนซ์ และ Raleigh International programme ในชิลี และยังมีกิจกรรมการพายเรืออีกด้วย

ในปี 2002 เคเทอรีนได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนท์แอนดรูส์ เธอจบออกมาในปี 2005 ในสาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ เคเทอรีนยังคงเล่นกีฬาเมื่ออยู่ในมหาวิทยาลัย โดยเธอเล่นฮอกกี้ให้กับทีมของมหาวิทยาลัย เคเทอรีนพบกับเจ้าชายวิลเลียมครั้งแรกเมื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนท์แอนดรูส์นี่เอง

หลังจบการศึกษาแล้ว เคเทอรีนได้ทำงานให้กับบริษัท ปาร์ตี้ พีซเซส (Party Pieces) ซึ่งเป็นกิจการของบิดา-มารดาของเธอเอง นอกจากทำงานให้กับบริษัทของครอบครัวแล้ว เคเทอรีนยังทำงานพาร์ท ไทม์ ในฐานะผู้จัดซื้อให้กับบริษัทเสื้อผ้าจิกซอว์ จูเนียร์ (Jigsaw Junior) ด้วย

ในปี 2008 เคเทอรีน ได้ออกแบรนด์ย่อยที่เรียกว่า เฟิร์ส เบิร์ธเดย์ (First Birthdays) ให้กับบริษัท ปาร์ตี้ พีซเซส โดยบทบาทของเธอในธุรกิจของครอบครัว คือ การออกแบบแคตาลอก, ขั้นตอนการผลิต, การตลาด และการถ่ายรูป

งานอดิเรกของเคเทอรีน คือ การเดินเขา, เทนนิส, ว่ายน้ำ, พายเรือ และงานศิลปะ เช่น การถ่ายภาพและการวาดภาพ

.....................................................................................................................................................

***Duke of Edinburgh Award (DofE) เป็นโปรแกรมทำกิจกรรมสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 14-24 ปี ในสหราชอาณาจักร คอนเซปท์ของ DofE ก็คือ บุคคลใดก็ได้ที่มีอายุระหว่าง 14-24 ปีที่สามารถทำกิจกรรมตามโปรแกรมจากหนึ่งในสามระดับ เมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็จะได้รับรางวัล Duke of Edinburgh’s Award ซึ่งมีระดับรางวัลเป็นเหรียญทองแดง, เงิน, และทอง

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

สูตรสำเร็จ Starbucks แบรนด์กาแฟในฝันของคนทั่วโลก

สูตรสำเร็จ Starbucks  แบรนด์กาแฟในฝันของคนทั่วโลก
ว่าจะเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับกาแฟสตาร์บัคส์มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังยึกๆ ยักๆ แต่ช่วงหลังเรื่องราวเกี่ยวกับสตาร์บัคส์ถูกกล่าวขวัญถึงในหลายแง่มุมมากๆ  จึงอยากนำมานำเสนอดูบ้าง ดังนี้

ข้อมูลร้านกาแฟสตาร์บัคส์ : มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา


สตาร์บัคส์ (Starbucks) เป็นร้านจำหน่ายกาแฟอันดับ 1 ของสหรัฐฯ มีสาขากว่า 16,706 ร้านทั้งในสหรัฐฯ และนอกสหรัฐ รวมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูลสำรวจถึง 27 ธ.ค.2009) แบ่งเป็นร้านที่สตาร์บัคส์ดำเนินการเอง 8,850 ร้าน และร้านที่ซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 7,856 ร้าน โดยจะพบร้าน และซุ้มจำหน่ายของ สตาร์บัคส์ ทั้งในอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า สนามบิน และร้านหนังสือ สินค้าในร้านมีทั้งกาแฟ ถั่วชนิดต่างๆ ขนมอบ อาหาร และเครื่องดื่ม รวมทั้งอุปกรณ์ ที่เกี่ยวกับกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยกาแฟหรือเครื่องบดกาแฟ นอกจากนั้น สตาร์บัคส์ยังซัป พลายถั่วชนิดต่างๆ ให้กับร้านอาหาร บริษัทธุรกิจ สายการบิน และโรงแรม อีกทั้งมีสินค้า ที่สั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์ และแค็ตตาล็อกระบบออนไลน์ด้วย

โฮวาร์ด ชูลทส์ (Howard Schultz) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ สตาร ์บัคส์ มีแผนการเทกโอเวอร์ครั้งใหญ่ ซึ่งจะนำกิจการแห่งซีแอตเติลให้มีร้านจำหน่ายให้ได้ถึง 20,000 แห่งทั่วโลก

กลยุทธ์ของสตาร์บัคส์นั้น เรียบง่าย กล่าวคือ สร้างชื่อสินค้า ไปทั่วทุกหนแห่ง สตาร์บั คส์จึงร่วมมือกับคราฟต์ ฟูดส์ (Kraft Foods) จำหน่ายกาแฟตามร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ และร่วมมือกับอัลเบิร์ตสัน (Albertson) เปิดบาร์จำหน่ายกาแฟภายในซูเปอร์มาร์เก็ต กว่าร้อยแห่ง สตาร์บัคส์ยัง จำหน่ายเครื่อ งดื่มเย็น "Frappuccino" ร่วมกับเป๊ปซี่ โค. และไอศกรีมกาแฟราคา แพงร่วมกับเดรเยอร์ (Dreyer) นอกจากนั้น สตาร์บัคส์ยังอาศัยทักษะความชำนาญด้านค้าปลีก ที่มีอยู่ จำหน่ายเกมส์ ซีดี และสินค้าอื่นภายในร้าน และ ได้เริ่มทดลองตลาดอาหารเช้า อาหารกลางวัน และ อาหารเย็นราคาแพงในบางเมืองของสหรัฐฯ ด้วย

ประวัติการก่อตั้ง Starbucks

สตาร์บัคส์ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1971 ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งที่ตลาดไพค์ เพลส (Pike Place Market) เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคอกาแฟสามคนคือ กอร์ดอน โบเคอร์ (Gordon Bowke r) เจอรี บัลด์วิน (Jerry Baldwin) และซิฟ ซีเกิล (Ziv Siegle) และใช้โลโกเป็นรูปไซเรนสองปลาย ที่โดดเด่น ทั้งสามตั้งเป้าหมายว่าจะจำหน่ายกาแฟชั้นเลิศ และถั่วอย่างดี ต่อมาในปี 1982 สตาร์บัคส์ก็มีสาขาห้าแห่ง และจำหน่ายกาแฟให้ร้านอาหาร และซุ้มเอส เปรสโซในซีแอตเติล และปีนั้น เอง ที่โฮเวิร์ด ชูลทส์เข้ามาร่วมงานกับสตาร์บัคส์ โดยบริหารงานด้านการตลาด และค้าปลีก

เมื่อชูลทส์เดินทางไปอิตาลีใน ปีถัดมา และ พบว่าบาร์กาแฟนั้น เป็นที่นิยมอย่างมาก เขาจึงเสนอให้ สตาร์บัคส์เปิดบาร์กาแฟในเมืองซีแอตเติลในปี 1984 ผลปรากฏว่าประสบความสำเร็จ ชูลทส์ตัดสินใจ ลาออกจากบริษัทในปี 1985 เพื่อไปเปิดบาร์กาแฟของตนเอง ใช้ชื่อว่า "อิล จิออร์เนล" (Il Giornale) และจำหน่ายกาแฟของสตาร์บัคส์

ต่อมา สตาร์บัคส์พบปัญหายุ่งยากเนื่องจากไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ จึงต้องขายกิจการขายส่งไปในปี 1987 อีกหนึ่งปีให้หลัง อิล จิออร์เนลก็ซื้อกิจการค้าปลีกของ สตาร์บัคส์ไว้เป็นมูลค่า 4 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อกิจการเป็น "สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชัน" เตรียมขยายกิจการทั่วทั้งสหรัฐฯ และได้เปิดร้านในชิคาโก และแวนคูเวอร์ สตาร์บัคส์ยังได้เริ่มจัดพิมพ์แค็ตตาล็อก สั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์ครั้งแรกใน ค.ศ.1988 ด้วย ส่วนเจ้าของกิจการ สตาร์บัคส์เดิมก็ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกาแฟ ที่เหลืออยู่ ในชื่อ "พีท" สคอฟฟี แอนด์ ที"

ในช่วงทศวรรษ 1980 สตาร์บัคส์ ประสบขาดทุน เนื่องจากไปมุ่งเน้นอยู่แต่เรื่องการขยายกิจการ กล่าวคือ ขยายจำนวนร้านสาขาถึงสามเท่าตัวเป็น 55 แห่งในช่วงระหว่างปี 1987- 1989 ชูลทส์แก้ปัญหาด้วยการจ้างนักบริหารมืออาชีพเข้ามาดูแลร้านของสตาร์บัคส์ จนในปี 1991 บริษัทก็เป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกของสหรัฐฯ ที่จัดสรรหุ้นให้กับพนักงาน

สตาร์บัคส์นำกิจการเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า "นอร์ดสตรอม" (Nordstrom"s) ในปี 1992 หลังจากนั้น ก็ทะยอยให้บริการตามร้านหนังสือบาร์นส์ แอนด์ โนเบิล (Barnes & Noble) จนกระทั่งมีร้านจำหน่ายกาแฟอยู่ถึงราว 275 แห่งในปลายปี 1993

ปีถัดมา สตาร์บัคส์ลง นามตกลงเป็นผู้จำหน่ายกาแฟในโรงแรมเครือ ไอทีที/เชอราตัน ( ซึ่งต่อมาสตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต ซื้อกิจการไป) หลังจากนั้น สตาร์บัคส์ก็ทำเงินได้อีกจากการจำหน่ายคอมแพ็ค ดิสก์ ซึ่งรวบรวมจากเพลง ที่ลูกค้าร้านสตาร์บัคส์นิยมฟังนั่นเอง ในปี 1995 สตาร์บัคส์ก็ ร่วมมือกับเป๊ปซี่โค. พัฒนากาแฟบรรจุขวด และตกลงผลิตไอศกรีมราคาแพงร่วมกับดรีเยอร์

สตาร์บัคส์ขยายกิจการเข้าไปในญี่ปุ่น และสิงคโปร์ใน ค.ศ.1996 ในปีนั้น เองบริษัทได้ริเริ่ม "Caffe Starbucks" ซึ่งเป็นบริการระบบ ออนไลน์ โดย อาศัยเครือข่ายของ เอโอแอล หลังจากนั้น สตาร์บัคส์ก็เริ่มทดสอบตลาด กาแฟคั่วบด และถั่วชนิดต่างๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ตในชิคาโก

เมื่อสองปีที่แล้ว สตาร์บัคส์ซื้อกิจการ "ซีแอตเติล คอฟฟี" ซึ่งมีสำนักงาน ใหญ่ในสหราชอาณาจักร เป็นมูลค่า 86 ล้านดอลลาร์ และได้ประกาศแผนที่จะจำหน่ายกาแฟใน ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วสหรัฐฯ โดยร่วมมือกับคราฟต์ ฟูดส์

ปีที่แล้ว สตาร์บัคส์ซื้อบริษัทจำหน่ายชา "ทาโซ" (Tazo) แห่งโอเรกอน อีกทั้งยังซื้อกิจการ "เฮียร์ มิวสิค" (Hear Music) ซึ่งเป็นกิจการค้าปลีกเกี่ยวกับดนตรี และได้เปิดร้านสาขาแห่งแรกในจีน ขณะเดียวกัน ชูลทส์ก็ ได้ปรับลดแผนดำเนินการธุรกิจทางอินเตอร์เน็ตลง หลังจาก ที่นักลงทุน และนักวิเคราะห์เริ่มตั้งข้อสงสัยถึงความเหมาะสม

ในปีนี้ สตาร์บัคส์ได้ร่วมมือกับ Kozmo.co m ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน โดยให้ลูกค้าของ Kozmo.com ส่งคืนวิดีโอ ที่เช่าไว้ได้ในกล่องรับคืน ภายในร้านสตาร์บัคส์ ส่วน Kozmo.com ก็จะเพิ่มรายชื่อ สินค้าของสตาร์บัคส์ในบริการจัดส่งสินค้าของตน ซึ่งมีทั้งขนมขบเคี้ยว ซีดี และนิตยสาร

จนถึงวันนี้ ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ได้เปิดสาขาเพื่อมอบความสุขแห่งการดื่มกาแฟ เคล้าบรรยากาศอันอุ่น อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปกว่า 5,900 สาขาทั่วโลก ทั้งในประเทศแถบภูมิภาคอเมริกาเหนือ เอเซีย-แปซิฟิค ตะวันออกกลาง รวมทั้งประเทศในแถบยุโรปด้วย

สตาร์บัคส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำทางด้านการดำเนินธุรกิจกาแฟ การคั่วกาแฟ และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟของโลก โดยใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักเป็นร้านที่ให้บริการขายกาแฟ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกาแฟ ภายใต้ชื่อ “ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่” ให้บริการ “one cup at a time, one customer at a time” เพื่อให้บริการแบบพิเศษเป็นรายบุคคลแก่ลูกค้าทุกคนในการทำกาแฟทุกแก้ว เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด และเพื่อความพอใจสูงสุดของลูกค้าทุกคน

ประวัติความเป็นมาของสตาร์บัคส์ในประเทศไทย

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2541 บริษัทสตาร์บัคส์ ซึ่งเป็นร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ที่มีสาขาถึง 4,000 แห่งทั่วโลกและขายกาแฟวันละ15 ล้านถ้วย ได้มาเปิดดำเนินกิจการร้าน กาแฟในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยใช้เซ็นทรัล ชิดลม เป็นสาขาแรก โดยบริษัท คอฟฟี่ พาร์ทเนอร์ส จำกัด อันเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ จำกัด และ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา

ในเดือนกรกฎาคม ปีค.ศ. 2000 บริษัทสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ จำกัด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาถือสิทธิ์ กิจการทั้งหมดของบริษัทคอฟฟี่ พาร์ทเนอร์ส จำกัด โดยได้มอบหมายให้ Mr.Andrew Nathan มาดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของ บริษัท บริษัทสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย และดำรงตำแหน่งสืบมา

เพียงแค่ 3 ปีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ใน เมืองไทยมีถึง 22 สาขาและภายใน 5 ปีข้าง หน้าจะมีถึง 60 สาขา ปรากฏการณ์ของร้านกาแฟสตาร์ บัคส์ในช่วงที่ผ่านมา คือ มีผู้นิยมรักการดื่ม กาแฟเพิ่มขึ้นมากพอสมควรและหากเปรียบ เทียบกับฮ่องกงและไต้หวันโอกาสการเติบโต ยังมีอีกมาก เนื่องจากวัฒนธรรมของผู้บริโภค ยังจำกัดเฉพาะวัยหนุ่มสาวเท่านั้น

กลยุทธ์ที่สตาร์บัคส์นำมาใช้ทางด้าน การตลาดถือว่าเป็นกรณีศึกษาได้ทีเดียวที่ สามารถสร้างกระแสความต้องการของ ผู้บริโภคได้ที่ไม่เพียงแต่ดื่มกาแฟอย่างเดียว แต่สิ่งที่ดื่ม คือ ดื่มประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และกระบวนการ หมายความว่าสตาร์บัคส์พยายามที่ ใช้ยี่ห้อเป็นเพื่อนกับผู้บริโภค สร้างสัมพันธ์ที่ดี ที่เรียกว่า experiential marketing ส่งผลให้ การอธิบายโจทย์ที่บอกว่าทำไมผู้บริโภคถึง ยอมจ่ายเงินแพงๆ สำหรับกาแฟสตาร์บัคส์ คำตอบคือ ต้องการประสบการณ์ เสียงดนตรี และศิลปะการตกแต่ง ผู้บริโภคกำลังได้สัมผัส บรรยากาศที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ประสบมา ในอดีต

สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้สตาร์บัคส์ใน ประเทศไทยเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้ ความกดดันทางเศรษฐกิจ


สู่ความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ Global Rebranding

คอลัมน์ แยบยลกลยุทธ์ โดย ผศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3791 (2991)

ถึงนาทีนี้คงไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของ แบรนดิ้งว่ามีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากเพียงใด แม้กระทั่งกิจการข้ามชาติที่เรียกว่า เป็นตำนานแห่งประสบการณ์ความสำเร็จมาจวบจนเป็นทศวรรษ ก็ยังต้องอาศัยการใช้กลยุทธ์เกี่ยวกับการสร้าง แบรนด์กันอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มล่าสุดของโลกที่พรมแดนหดหายไปเรื่อยๆ นั้น ก่อให้เกิดกระแสของการสร้างแบรนด์ ที่แตกต่างออกไปมากขึ้น โดยจะมีการเน้นที่การพัฒนาภาพลักษณ์ ในลักษณะของการเป็นแบรนด์ระดับโลก หรือ global brand มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับกิจการข้ามชาติยักษ์ใหญ่ต่างๆ

โดยเฉพาะกรณีของสินค้าแบรนด์จากอเมริกัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นิยมชมชื่นกันอย่างมากของคนทั่วโลก ว่าสินค้าที่มีกลิ่นอายและสปิริตของการเป็นอเมริกานั้น เป็นสินค้าที่อยู่ในระดับพรีเมี่ยมและมีความน่าสนใจต่อตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ มองสินค้าแบรนด์ อเมริกาสูงส่งกว่าแบรนด์ในภูมิภาคของตนมาก

แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวกำลังเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปครับ เนื่องจากความขลังของการเป็นแบรนด์จากอเมริกา ลดน้อยลงมากจนในบางภูมิภาค หรือบางประเทศกลับกลายเป็นว่าแบรนด์อเมริกาให้ความรู้สึกในทางลบต่อผู้บริโภคด้วยซ้ำไป โดยเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจนี้เกิดขึ้นเนื่องจากกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ของประเทศต่างๆ ที่มองว่าชาติตะวันตกยักษ์ใหญ่ ซึ่งก็หนีไม่พ้นพี่เบิ้มอย่างอเมริกา กำลังเข้ามาครอบงำ และตักตวงผลประโยชน์ จากประเทศที่มีกำลังน้อยกว่า และที่กระพือกระแสทัศนคติทางลบที่มีต่อ

แบรนด์อเมริกาให้มากขึ้นก็น่าจะมาจากสถาน การณ์ระหว่างประเทศ คือ อเมริกากับชาติอื่นๆ ที่มีการรุกราน และสร้างความขัดแย้ง จนกลายเป็นสงคราม ทำให้ผู้คนเริ่มไม่แฮปปี้กับภาพลักษณ์ของความเป็นอเมริกันฮีโร่สักเท่าไรแล้ว

ดังนั้น หลายกิจการข้ามชาติจึงต้องมีการรีแบรน ดิ้งเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนให้กลายเป็น

แบรนด์ระดับโลก ใกล้ชิดกับชุมชนที่ตนเข้า ไปทำตลาดมากขึ้น แทนที่จะคงภาพของความเป็นแบรนด์จากประเทศแม่อย่างสมบูรณ์

ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแบบนี้ค่อนข้างจะเปลี่ยนยากพอสมควร โดยเฉพาะภาพของประเทศแม่ซึ่งยังฉายชัดอยู่ในโลโก้แบรนด์ เช่น ดิสนีย์กับอเมริกา โซนี่กับญี่ปุ่น หรือเวอร์ซาเช่จากอิตาลี เบนซ์กับเยอรมนี ฯลฯ แต่หนึ่งในกิจการข้ามชาติที่สามารถรีแบรนด์สำเร็จได้ในระดับที่น่าพอใจก็คือ สตาร์บัคส์ ที่พยายามรีแบรนด์ให้ตนเองกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก แทนที่จะเป็นแบรนด์ของอเมริกาล้วนๆ ซึ่งก็มีหลายเทคนิคของการรีแบรนด์ดังกล่าวที่น่าสนใจ เพราะสตาร์บัคส์เองก็ได้ขยายขอบเขตตลาดของตนเข้าไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ตะวันออกกลาง หรือยุโรป ที่ไม่ค่อยจะนิยมบูชาความเป็นอเมริกันสักเท่าไรนัก อาจทำให้เกิดการต่อต้านได้มาก โดยเฉพาะในอังกฤษได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูมากทีเดียว สตาร์บัคส์จึงต้องมีการดำเนินการเพื่อรับมือกับกระแสดังกล่าวครับ

โดยเทคนิคประการแรกที่ดำเนินการนั้น ต้องนับว่าเป็นโชคดีประการหนึ่งของสตาร์บัคส์ด้วยว่า ปรัชญาเบื้องหลังของแบรนด์สตาร์บัคส์ มิได้มาจากวัฒนธรรมหรือความเชื่อของอเมริกันชน แต่มาจากวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบมีสไตล์ของอิตาลี ที่

โฮเวิร์ด ชูส์ ผู้ก่อตั้งได้เดินทางไปพบและนำแนวคิดดังกล่าวเข้ามาปรับใช้ในอเมริกา ทำให้ แบรนด์ สตาร์บัคส์เอง มีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปอยู่ด้วย นอกจากนี้เบื้องหลังของสตาร์บัคส์เอง ก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นแบรนด์ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมตั้งแต่เริ่มต้น

โดยหากมองย้อนกลับไปที่สาขาแรกของสตาร์บัคส์ที่ซีแอตเติล จะเห็นว่ามีการตกแต่งในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน มีการโชว์เมล็ดกาแฟที่มาจากแหล่งต่างๆ เช่น สุมาตรา เคนยา กัวเตมาลา คอสตาริกา เอธิโอเปีย ฯลฯ ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มของการสื่อสารความเป็น "multi-culture brand" ไปโดยอัตโนมัติด้วย

ประการถัดมาคือ การปรับรูปแบบและคุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการของสตาร์บัคส์ ให้เข้ากับความต้องการของท้องถิ่นอย่างลงตัว มิได้ยัดเยียดความเป็นอเมริกันลงไปในสตาร์บัคส์ด้วย โดยในที่นี้จะมีการแบ่งอย่างชัดเจนถึง "คุณค่าหลัก" และ "คุณค่าเสริม" โดยคุณค่าหลัก ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกคนจะเข้ามาในร้านไม่ว่าที่ใดก็จะได้รับเหมือนๆ กันก็คือ รสชาติและกลิ่นของกาแฟ ไม่ว่าเอสเปรสโซ่ของสตาร์บัคส์ที่ไหนก็จะเป็นเอสเปรสโซ่ที่เหมือนกันทั้งสิ้น ทั้งในและนอกอเมริกา หรือการคงนโยบายห้ามสูบบุหรี่ในร้านสตาร์บัคส์ทั่วโลก แม้ในประเทศที่สูบบุหรี่มาก หรือการมีแนวคิดเป็น "ที่พักพิงแห่งที่ 3 (third place)" ก็ยังคงแนวคิดในการนำเสนอบริการเหล่านี้กับสตาร์บัคส์ทุกสาขา แม้ว่าบางโลเกชั่นพื้นที่จะแพงมากอย่างโตเกียวก็ตาม

แต่สิ่งที่สตาร์บัคส์จะปรับให้เข้ากับแต่ละโลเกชั่นนั้น คือ คุณค่าที่เสริมขึ้นมานั่นเอง เช่น อาหารหรือของว่างในแต่ละสาขาที่แตกต่างกันตามความชอบของตลาด รสชาติของเครื่องดื่มสูตรใหม่ในที่ต่างๆ ไปตามความชอบของแต่ละที่ หรือพื้นที่เฉพาะเพศชายหรือเฉพาะครอบครัวในประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งทำให้คนในท้องถิ่นเกิดความใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น

อีกเทคนิคหนึ่งก็คือ การสื่อคุณค่าของความเป็นแบรนด์ผ่านทางบุคลากรคุณภาพ และแน่นอนว่าควรเป็นคนที่มาจากท้องถิ่นด้วย จึงจะสามารถสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นแบรนด์ที่ใกล้ชิดกับตลาดในแต่ละโลเกชั่นได้ เน้นการสร้างคุณค่าสู่ท้องถิ่นในแต่ละประเทศที่ตนเองไปดำเนินงานด้วย เช่น มีแคมเปญการจัดซื้อวัตถุดิบจากท้องถิ่น ส่งเสริมการเพาะปลูกกาแฟในประเทศต่างๆ ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในแต่ละท้องถิ่น ในด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ รวมถึงมีการจัดตั้งโครงการร่วมมือกับท้องถิ่นต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นอเมริกา ที่เข้าตักตวงผลประโยชน์จากประเทศโลกที่สามเริ่มลดลงไปด้วย

ดังที่ได้เห็นจากสิ่งที่สตาร์บัคส์ได้ดำเนินการเพื่อลดภาพการเป็นอเมริกันแบรนด์ และเข้าสู่ "โกล บอลแบรนด์" ที่จะลดกระแสการต่อต้านอเมริกาลงได้ โดยต้องมุ่งเน้นกับการปรับภาพลักษณ์ที่ให้ความสำคัญ กับการสื่อสาร คุณค่าในแบรนด์ผ่านตัวบุคคล มากกว่าแค่รูปลักษณ์ภายนอก หรือเพียงแค่การใช้กลไกทางการตลาดเท่านั้น ซึ่งอาจยังไม่เพียงพอเนื่องจากแบรนด์เป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกที่สามารถจับได้ด้วยการทุ่มเทอย่างจริงใจเท่านั้น

เทคนิคต่างๆ ที่เรียนรู้จากการทำโกลบอล

แบรนดิ้งของสตาร์บัคส์ น่าจะสามารถนำไปประยุกต์กับอีกหลายกิจการที่เริ่มเผชิญสถาน การณ์เดียวกัน เช่น แบรนด์ลีโนโวจากจีน ที่กำลังรุกตลาดในอเมริกาและทั่วโลก หรืออีกหลากหลายกิจการของเกาหลี ที่ก็กำลังจะรีแบรนด์ให้เป็นโกล บอลแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก น่าจะเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกัน สำหรับธุรกิจในบ้านเราครับ

บทความ นศ.เศรษฐศาสตร์ มธ. Starbucks เพียงแค่เติมน้ำร้อน

ที่มา:จากบล็อกAll Along the Watchtower http://learners.in.th/blog/watchtower/293882?locale=en

ในกลางดึกคืนหนึ่ง ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความหิว ผมคว้านาฬิกาที่อยู่ตรงหัวเตียงมาดูเวลาตามประสาความอยากรู้เวลาของคนเพิ่ง ตื่น เข็มนาฬิกาชี้บอกว่าขณะนั้นเวลา 1:24 น. ผมมองไปทั่วห้องเพื่อหาสิ่งที่จะพอประทังความหิวได้ ซึ่งมันไม่มี ผมไม่ได้ซื้อของกินมาเก็บไว้เลย ทำให้ความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาในหัวของผมทันที ผมไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่มาอยู่ที่หอพักนอก เพราะถ้าผมยังอยู่ที่หอพักใน ผมต้องรออีกสามชั่วโมงครึ่งเพื่อจะออกนอกหอไปซื้ออาหารมาใส่ท้อง

ทุกวันนี้เราสามารถพบเห็น สัญลักษณ์แห่งความอยู่รอดของมนุษยชาติ หรือ เซเว่นอีเลเวนได้ทั่วไปทุกแห่งหน ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน แน่นอนว่าข้างหน้าหอพักของผมก็มีเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

ระหว่างที่เดินเลือกสินค้าตามความต้องการอยู่นั้น ผมมองเห็นบรรดากาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อต่างๆที่เรียงรายอยู่บนชั้นวาง ต่างก็ถูกออกแบบซองบรรจุให้ดูน่าสนใจชวนดึงดูดให้บรรดาผู้ที่หลงใหลในการ ดื่มกาแฟหยิบมันขึ้นมา แต่มันกลับใช้กับตัวผมไม่ได้ผล อาจเป็นด้วยเหตุว่ารสนิยมการดื่มกาแฟของผมค่อนข้างสูงล่ะมั้ง ผมเริ่มนึกถึงกาแฟของ Starbucks ที่เดินผ่านหน้าร้านทีไรต้องหยุดแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนสักครั้งนึงเพื่อ รับเอาความหอมหวนของกลิ่นกาแฟเข้ามาให้เต็มปอด และเดินผ่านมันไปซื้อกาแฟสดราคาแก้วละ 30 บาทที่ร้านในมหา'ลัยแทน (สูงตรงไหนมิทราบ) ผมจึงคิดว่า ถ้าStarbucks เปลี่ยนเกมของตัวเองจากการเล่นตลาด Premium ลงมาสู่ตลาดของ Instant ด้วย กาแฟยี่ห้อต่างๆที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นอย่างไรหนอ

ขณะ ที่กำลังมองหาบทความจาก The Economist ที่จะนำมาใช้ประกอบการเขียนบทความ ผมก็พบว่าผมกำลังตกเทรนด์อย่างแรงที่นึกว่า Starbucks ขายเฉพาะกาแฟสด เมื่อCEOของStarbucks Mr. Howard Schultz ออกมากล่าวเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ของเขา นั่นคือInstant Coffee (กาแฟสำเร็จรูป) ของStarbucksเองในนาม "Via" (แต่โดยมากเรียกกันว่าJaws หรือJust Add Water, stir) ซึ่งทางSchultz บอกเองว่า Viaมีรสชาติที่เยี่ยมยอดประหนึ่งมีบาริสต้าจากStarbucksมาปรุงให้ถึงที่ โดยทางStarbucksหวังให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดจากผลิตภัณฑ์นี้ถึง 17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯจากการขายกาแฟทั่วโลก โดยผลิตภัณฑ์นี้จะวางขายเป็นแพ็คเก็ต บรรจุทั้งหมดประมาณ12ซองเล็กต่อแพ็คเก็ต ราคาตกซองละประมาณ 90 เซนต์ หรือประมาณ 31 บาทต่อซอง (แพงอยู่ดี)

ฟังแล้วอาจดูเกินจริง แต่หากดูจากแค่สถิติการจำหน่ายกาแฟสำเร็จรูปที่ทางStarbucksอ้าง เอาแค่ในประเทศที่มีขนาดใหญ่ทั้งในทางภูมิศาสตร์และประชากร เช่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนการบริโภคกาแฟสำเร็จรูปต่อการบริโภคกาแฟทั้งหมดสูงถึง 80% และ 90% ตามลำดับ นั่น หมายความว่า หากStarbucks สามารถครองตลาดกาแฟสำเร็จรูปได้สำเร็จ Starbucksก็จะเป็นผู้ครอบครองMarket shareทั้งหมดในตลาดกาแฟของโลก

กลับมายังประเทศไทย

หลังจากที่ผมได้อ่านบทความดังกล่าว ผมจึงให้นายภาณุ คู่หูดูโอ้ของผม ไปตรวจสอบยังร้านStarbucksสาขาที่ใกล้ที่สุด ได้ความมาว่า "ทางStarbucksประเทศไทยยังไม่มีนโยบายการจำหน่ายกาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ Starbucks" แต่ก็คาดได้ว่า อีกไม่นานหรอก

"หาก Starbucks ประเทศไทยเริ่มจำหน่าย Via โดยวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไปด้วย เหล่าผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปทั้งหลายในไทยจะเป็นอย่างไร" คำกล่าวนี้ทำให้ผมนึกถึง การปะทะกันระหว่างTesco Lotusกับโชว์ห่วยผิดกันแค่สำหรับกรณีนี้เป็นการปะทะของกลุ่มทุนใหญ่ทั้งสองฝ่าย

ผมไม่แน่ใจว่า ตัดสินใจก่อนได้เปรียบ จริงหรือไม่ แต่จากคำกล่าวดังกล่าว หากลองคิดแบบไม่ซับซ้อนที่สุดดู และลองแบ่งเป็นประเด็นง่ายๆที่พอจะเห็นได้ชัด

1. ด้านการตลาด น่า จะเป็นการปรับตัวของเหล่าผู้ผลิตเดิมที่เราๆท่านๆสามารถเห็นได้ชัดที่สุด อย่างแรกที่จะเกิดขึ้นเมื่อทางStarbucksปล่อยข่าวจะเปิดตัวVia เมื่อนำทฤษฎีเกมของเบอร์ทรองมาจับเล่นๆ ก็จะพบทางเลือกของผู้ผลิตรายเก่าดังต่อไปนี้

ก. สู้ - ทุ่มเงินในการโปรโมทสินค้าของตัวเอง

ข. ถอย - ยอมเป็นซองน้อยคอยรักบนชั้นต่อไป

สำหรับกลุ่มทุนที่ใหญ่เพียงพอย่อมเลือกข้อแรกเป็นแน่ โดยมีความเป็นไปได้ว่าผู้ผลิตกลุ่มนี้จะเริ่มเดินเกมรุกก่อนเพื่อแย่งชิง พื้นที่ส่วนแบ่งการตลาดมาครองครองไว้ก่อนที่ทางStarbucksจะเริ่มลงตลาดจริง

2. ด้าน Research & Development หากผู้ผลิตที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลย่อมมองเห็นจุดนี้เป็นเรื่องสำคัญ เราก็จะได้เห็นการผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ผู้ผลิตพัฒนาขึ้นออกมาวางจำหน่ายกันตาม ท้องตลาดเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์กาแฟของตนเองให้ขึ้นมาทัดเทียมและสามารถแข่ง กับ Via ของทางStarbucks ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลประโยชน์สุดท้ายจากการแข่งขันของผู้ผลิตในตลาดแข่งขันก็จะตกอยู่ที่ผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกในการบริโภคที่เพิ่มขึ้น

หากเมื่อใดที่ทางStarbucksประเทศไทยมีนโยบายการจำหน่ายViaเราๆท่านๆก็จะได้ เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการกาแฟในบ้านเราอย่างแน่นอน และคนไทยก็อาจจะสามารถดื่มด่ำกาแฟของStarbucksได้ในราคา 30 บาท (โอ้! พระเจ้าจอร์จ มันถูกจริงๆ เมื่อเทียบกับที่ขายในร้าน ซึ่งงานนี้ คอกาแฟตัวจริงไม่ควรพลาดเด็ดขาด และผมก็คงจะเป็นโรคเสพติดคาเฟอีนอีกรอบแน่ๆ


ตัวอย่างความคิดเห็นของเว็บบล็อกต่างประเทศที่มีต่อการเปลี่ยนโลโก้ และรีแบรนด์ดิ้งสตาร์บัคส์ใหม่
Starbucks Rebrands, Changes Its Logo


By Ketan Deshpande on Jan 15, 2011

Leave a comment Go to comme
For years Starbucks has held a special place in the hearts and minds of Americans. A symbol for high-quality premium coffee, Starbucks just announced its changing future before its upcoming 40th anniversary in March. The iconic ring and the words “Starbucks Coffee” were dropped from the logo, signifying a diversified future for the coffee giant, and according to an AdAge article, is a move to think beyond coffee.


Starbucks was always meant to be the “third place” in our lives that takes us away from the frantic pace of the day-to-day. For some people, Starbucks became a place for a little alone time, a quaint afternoon spent in the comfort of the coffee shop with a caramel macchiato and a book. For some, it was a great hangout destination, and others just rushed in every morning to get their morning dose of caffeine.

A change in a symbol so beloved to consumers needs to be handled carefully, as evidenced by the recent GAP logo debacle. A brand’s logo complements what the brand stands for to the consumer. It’s not just about the brand it’s about my brand for each and every customer. Every brand carries a special meaning that it wants the consumer to remember when they see the logo or hear the brand name. A look at Apple’s logo today signifies “cutting edge technology” or even “cool design” to consumers.

A post on Harvard Business Review’s blog highlighted an interesting comparison between the logo changing strategies. Nike and Apple are two leading brands that dropped their names from their logos. When Apple dropped the word “computers” from its logo, it had already established to its consumers that Apple stood for more than computers with iPod, Apple TV and the iPhone in their arsenal of product offerings. Today, Apple stands for innovation, leading-edge technology, and creativity, rather than just products. In Starbucks’ situation, the company hasn’t made it obvious how it wants to diversify. Though, as the blog post points out, it’s a smart idea to lead with the logo if a company like Starbucks wants to do this. This rebranding effort is an important step for Starbucks future, as it wants to communicate more than just “coffee.”

But of course, Rome wasn’t built in one day and as founder and CEO Howard Schultz said, “What is really important here is an evolutionary refinement of the logo, which is a mirror image of the strategy. This is not just, let’s wake up one day and change our logo.”

The new logo will be brought to the stores in March. Yahoo Finance also reported Starbucks’ keen interest in the food industry and is also looking to serve alcohol in their cafes in the evenings. They are reportedly testing a new payment system through which consumers can pay for their purchases with their mobile phones.

As expected, Starbucks has been receiving a little flack from the social media world for the new logo, including a parody by AdFreak! Some people believe it is “cheap,” “tacky” and “unprofessional,” while others seem to prefer the new design. It will be interesting to see if Starbucks does give in to the voices of their consumers, or if it decides to branch off into a new direction, one that could have serious consequences for the company or could bring new innovation to an already iconic brand.

What do you think? Do you love the new logo or hate it?

สำหรับตัวผู้เขียนเองคิดว่าสูตรสำเร็จที่ทำให้กาแฟของ starbucks ครองใจคนทั่วโลกได้ก็คือ โฮวาร์ด ชูลทส์  ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาพยายามและพิถีพิถันเพียงใดที่จะทำกาแฟของเขาออกมาเป็นกาแฟที่ดีที่สุด ทั้งคุณภาพของการผลิต รสชาด คุณค่าที่ได้จากการดื่มกาแฟที่บ่มและกลั่นออกมาจากสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพึงจะหาได้ในโลกนี้ เขาทำมันเสมือนทำให้ตัวเองดื่ม แต่ลูกค้าที่เป็นคอกาแฟทั่วโลกก็ได้รับในสิ่งที่เขาได้รับด้วยเช่นกัน แม้ว่าราคาจะสูงมากเพียงใด แต่ราคาที่ตั้งก็มาจากต้นทุนที่สมเหตุสมผลระดับนึงลูกค้าจึงยินดีที่จะจ่ายสำหรับคุณค่าที่ได้รับ ที่มิใช่เพียงแต่รสชาดเท่านั้น แต่หมายรวมถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการดื่มกาแฟพันธุ์ดี ผลิตด้วยความพิถีพิถันจากเครื่องไม้เครื่องมือที่มีคุณภาพ และจากใจของบาริสต้าที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี เหมือนกันทุกแก้ว จึงเป็นคุณค่าที่ประเมินเป็นตัวเงินได้ยากยิ่ง กาแฟคุณภาพต่ำ หากได้ดื่มฟรียังรู้สึกว่าแพง แต่กับกาแฟคุณภาพดี แก้วละ 100 กว่าบาทคงมีคนจำนวนมากยินดีจะจ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

คาสเซ็ทท์รีวิว-ศิลปินแด๊นซ์หญิง เบอร์ 1 ของเมืองไทย คริสติน่า อากีล่าร์


จำได้ว่าตอนที่พี่ติ๊นา ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า นินจา ออกมานั้น ถือเป็นความแปลกใหม่ของวงการเพลงไทยเลยทีเดียว ประมาณปลายปี 2533

ทั้งๆ ที่ยังเป็นศิลปินใหม่ ที่ยังไม่มีใครรู้จักเลย แต่ปรากฏว่าอัลบั้มนั้น ถือเป็นอัลบั้มล้านตลับ เป็นอัลบั้มแรกของศิลปินหญิงในเมืองไทย และน่าจะถือเป็นศิลปินหน้าใหม่เคยทำได้เป็นคนแรกๆ ด้วย จำได้ว่าผู้เขียนก็เป็นคนนึงที่อุดหนุนอัลบั้มนี้ตอนเปลี่ยนปกเทปใหม่ ตอนฉลองล้านตลับไปแล้ว

ต้องถือว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มเพลงแด๊นซ์ที่ดีที่สุดอัลบั้มนึงที่เคยมีมา ผมยกให้พี่ติ๊นาเป็นมาดอนน่าเมืองไทย หรือ ไครี่ มิน็อกเมืองไทยเลยทีเดียว ในยุคนั้นต้องถือว่าอัลบั้มนั้นเพอร์เฟ็คท์ ไพเราะทั้งอัลบั้ม ดีทั้งเพลงช้า เพลงเร็ว ทีมงานแข็งปึ้ก พี่เต๋อลงมาดูแลการผลิตด้วยตนเอง และต้องถือว่าเป็นความน่าเสียดายอย่างมากที่พี่ติ๊นาควรจะต้องดังนานกว่านี้ และดังมาจนถึงยุคปัจจุบันเทียบเท่าพี่เบิร์ดเลย หากแต่การจากไปของพี่เต๋อ ทำให้ผลงานนับตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 4 จนถึง 7 ความนิยมเริ่มลดลง ผลงานดร็อปลงอย่างเห็นได้ชัด มีการเปลี่ยนผู้ดูแลอัลบั้มไปเป็นพี่โอม ชาตรี และอัลบั้มท้ายๆ ไม่ทราบไปอยู่ที่ใครเป็นผู้ดูแลแล้วก็ไม่ทราบ เนื่องจากผู้เขียนตามงานของพี่ติ๊นาตั้งแต่อัลบั้ม 1-3 ในยุคพี่เต๋อยังดูแลอยู่ และจะขอวิจารณ์ติชมเฉพาะอัลบั้ม 1-3 เท่านั้น ขอเริ่มเป็นรายเพลงเลยดีกว่า ดังนี้


อัลบั้มแรก นินจา เพลงเปิดตัว พลิกล็อค กับนินจา

เพลงพลิคล็อค เป็นเพลงป็อปแด๊นซ์ ที่มีจังหวะลีลาน่าฟัง มีลูกเล่นกริมมิคที่ถือเป็นท่อนจำของคนฟัง และเป็นคาแร็กเตอร์หรือไอเด็นติตี้ ติดตัวพี่ติ๊นามาตั้งแต่ครั้งนั้น ก็ประโยค ที่ร้องว่า อ๋า................ เพลงนี้ถ้าได้ยินขึ้นเมื่อไร ก็ชวนให้ขยับโยกได้ทุกครั้ง

เพลงร้อน เพลงนินจา และเพลงเปล่าหรอกนะ ผู้เขียนมีความรู้สึกหรือคิดไปเองว่ามีกลิ่นไอ หรือบรรยากาศหรือท่วงทำนองแบบญี่ปุ่นผสมเข้ามามันได้ฟีลเหมือนฟังเพลงญี่ปุ่น ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยพี่โปรดิวเซอร์และพี่ติ๊นาด้วยนะครับ แต่เพลงร้อนพอฟังแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศเย็นๆ ยังไงไม่ทราบ ส่วนเพลงนินจา ฟังแล้วรู้สึกว่ามีนินจามาผลุบโผล่อยู่ข้างตัว แล้วพี่ติ๊นาก็เอามีดไปไล่ฟันกับมัน โดยตอนหลังพี่ติ๊นาแปลงร่างเป็นมนุษย์ไฟฟ้าสีชมพูอ่ะ ดูน่ารักดี (เลอะเทอะไปใหญ่แล้ว) ส่วนเพลงช้าสุดเจ็บจี๊ด ซึ่งพี่ติ๊นาร้องไว้ดีมากก็คือ เพลงเปล่าหรอกนะ ภาษาเพลงก็สวย มีความหมายดีด้วย เป็นผลงานเขียนโดยพี่นิ่มสีฟ้า โอ้โห ชอบประโยคที่ว่า เปล่าหรอกนะ น้ำตาที่รินไหล ให้กับฟ้ากับใบไม้ แต่ไม่ใช่เธอ เป็นการเขียนเพลงกระทบกระเทียบระหว่างความเสียใจในรัก กับความอ่อนไหวในจิตใจ เมื่อมองเห็นท้องฟ้า ต้นไม้ ใบไม้ที่ร่วงโรย เจ็บโดนใจ และก็ชอบเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้ม

ส่วนเพลงช้าอีกเพลงนึงที่พี่ติ๊นาร้องได้ดีมากก็คือเพลง อย่าไปเสียน้ำตา ฝีมือการเขียนเพลงของพี่ดี้ นิติพงษ์ มีท่อนจำหรือประโยคโดนใจก็คือ ถ้าหากคุณเคยช้ำใจกับคนใจร้ายสักคน เขาปล่อยคุณไว้ให้หมองหม่น ให้ทนกับความเฉยชา ทุกสิ่งที่คุณให้ไปไม่มีความหมายกลับมา ที่สุดก็เสียน้ำตา ที่คุณไม่เคยให้ใคร อย่าไปเสียน้ำตาให้เขาเลย จงปล่อยให้นองหัวใจ อย่าไปเสียน้ำตาและร้องไห้ ให้คนที่ใจไม่จริง ไม่มีหวังที่มันจะเหมือนเก่า เหมือนวันที่เคยแอบอิง อย่าไปเสียน้ำตาให้บางสิ่ง ที่มันไม่กลับคืนมา ต้องบอกว่าภาษาเพลงของพี่ดี้คมมากในสมัยนั้น เพลงนี้มีภาคต่อด้วย เดี๋ยวจะบอกว่าเพลงใดเป็นภาคต่อของเพลงนี้ อยู่อีกอัลบั้มนึง

เพลงประวัติศาสตร์ แต่งขึ้นมาเพื่อที่จะอวยพี่ติ๊นาหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ก็เป็นอีกเพลงนึงที่ดังมากในอัลบั้มนี้ มีจังหวะสนุก ๆ และคำร้องที่ลงตัวร้องตามได้ง่าย ติดหูง่าย และเพลงนี้ก็มีภาคต่อไปอีกอัลบั้มนึง ไม่รู้คนแต่งตั้งใจวางโครงเนื้อหาไว้แต่แรกหรือไม่รู้จะแต่งอะไรก็เลยต่อยอดไปเป็นอีกเพลงนึง ต้องถือว่าทีมแต่งเพลงเขาเก่งจริงๆ ครับ เดี๋ยวจะบอกว่าเพลงภาคต่อเพลงนั้นคือเพลงอะไร

เพลงหัวใจขอมา เพลงนี้ต้องถือว่าทั้งคำร้องและดนตรีลงตัวที่สุดในอัลบั้ม และเป็นเพลงช้าอีกเพลงนึงแล้ว ที่พี่ติ๊นาร้องได้ดีกว่าเพลงเร็ว ผลงานเขียนคำร้องโดยคุณสุรักษ์ สุขเสวี มีท่อนฮุคหรือประโยคจำ ที่โดนใจ ก็คือ กลับมาคราวนี้ เพื่อมาทวงความฝันคืน สูดความฝันให้ชื่นใจ ยาวนานเหลือเกินที่ฝันจางหายไป ในหัวใจยังทวงถาม กลับมาคราวนี้ เพราะหัวใจมันขอมา ให้ตามหาความทรงจำ ปล่อยใจตัวเองให้มันชื่นฉ่ำ กับความทรงจำที่เคยมี ต้องบอกว่าอัลบั้มนี้มีเพลงช้าที่ภาษาดี ไพเราะถึง 3 เพลง จะไม่ให้ดังได้อย่างไร และทีมแต่งเพลงเขาเก่งมาก ปัจจุบันเอากลับมาฟังทีไรก็ยังไพเราะอยู่เลย

เพลงเรื่องเก่าเล่าใหม่ ชอบครับ เป็นเพลงเปรี้ยว จี๊ดจ๊าดโดนใจ จังหวะเร็วขึ้น ไม่เนิบนาบ เหมือนหลายเพลงอย่างพลิคล็อคหรือประวัติศาสตร์ ที่ฟังเอียนได้ง่าย แล้วก็จบด้วยเพลงคำถามที่ต้องตอบ เป็นเพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สมัยนั้นทุกอัลบั้มของศิลปินแกรมมี่ ต้องมีเพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพ่วงท้ายทุกอัลบั้ม คำถามก็คือ ทำไมต้องมีเพลงนี้ด้วยครับ มันช่างแปลกแยกจากโทนอัลบั้มโดยรวมจัง โปรดิวเซอร์ครับคำถามที่คุณต้องตอบ


อัลบั้มที่ 2 อาวุธลับ เป็นภาคต่อความสำเร็จจากอัลบั้มแรก นินจา เพลงเปิดตัว จริงไม่กลัว ไม่อยากจะเชื่อเลย

เพลงจริงไม่กลัว จังหวะกระชับหนักแน่น ท่าเต้นแข็งแรงขึ้น มิวสิควีดีโอเพลงนี้ไปได้รางวัล เอ็มทีวีอวอร์ดด้วย จึงทำให้เพลงนี้โดดเด่นขึ้นมา

เพลงไม่อยากจะเชื่อเลย เป็นเพลงช้าแบบมีจังหวะโยก หรือสโลว์แด๊นซ์ เพลงนี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเพลง It must have been love ของ Roxette หรือเปล่า แต่ฟังดูมีกลิ่นคล้าย และดังอยู่ในช่วงเวลานั้นพอดี ไม่ได้บอกว่า copy มา แต่มีกลิ่นคล้ายเป็นอย่างมาก

เพลงปัญหาโลกแตก เพลงจังหวะสนุก คำร้องติดหูง่าย แต่ไม่มีอะไรให้จดจำ

เพลงเวลาไม่ช่วยอะไร เพลงคำร้องสวยๆ อีกแล้วจากพี่นิ่ม สีฟ้า มีท่อนฮุคให้ติดหูโดนใจอีกแล้ว โดยเฉพาะท่อนที่ว่า เวลาจะช่วยอะไร หากใจมันยังฝังจำ ยังเตือนยังย้ำ ยังจำทุกคำที่ร่ำลา ยังคงมองเห็น ภาพเธอจากไปจนลับตา เวลาไม่เคยลบความทรงจำ ชอบอีกแล้วเพลงนี้

เพลงรักต้องมีอนาคต เพลงนี้แหละทั้งดนตรีและคำร้อง เป็นภาคต่อของเพลงประวัติศาสตร์ในอัลบั้มแรก ทั้งๆ ที่คนแต่งคำร้องและดนตรีของ 2 เพลงนี้ คนละคนกันเลย แต่ต้องถือว่าเขาทำการบ้านมา เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ต่อยอดเนื้อหากันมา

เพลงขอบคุณ เป็นเพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในอัลบั้ม สาเหตุที่ต้องมี ได้กล่าวไว้แล้วในอัลบั้มแรก

เพลงเสียใจเสียฟอร์ม ชอบบีทของดนตรี แต่ไม่ชอบคำร้อง เช่นเดียวกับเพลงทำไม่ลง ก็ชอบบีทของดนตรี แต่ไม่ชอบคำร้อง ดูว่าอัลบั้มนี้ บีทของดนตรีหนักแน่นขึ้น มีบีทของดนตรีที่เป็นร็อคแด๊นซ์ ที่ฉีกจากอัลบั้มแรกไปเลย แต่เพลงช้าในอัลบั้มนี้ ไม่ค่อยโดนใจ แทบไม่มีเพลงช้าที่โดนใจ หรือมีท่อนจำ ในอัลบั้มนี้ อย่างเพลง สักวันหนึ่ง หรือเพลงอย่าให้ถึงวันนั้นเลย มันแทบจะเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อให้ครบ 10 เพลงเท่านั้น มันแทบจะแตกต่างหรือแปลกแยกจากเพลงอื่นในอัลบั้มเลย หรือเป็นเพราะภาษาที่คมมากในเพลงไม่อยากจะเชื่อเลย กับเพลงเวลาไม่ช่วยอะไร มันกลบเพลงช้าอื่นๆ ในอัลบั้มเสียสนิท


เพลงขอให้โชคดี เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มนี้ คำร้องโดยจักราวุธ แสวงผล ทำนองโดยพี่สมชาย กฤษณะเศรณี กลายเป็นอัลบั้มนี้กู้หน้าไว้ได้โดยจักราวุธ แสวงผล แต่งเพลงโดนๆ ไว้ทั้งขอให้โชคดีและรักต้องมีอนาคต ขอให้โชคดีมีบีทที่สนุกมาก แล้วเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มที่โซโล่ยาวถึง 4.20 นาที ทั้งที่เนื้อหาเพลงเศร้า แต่ดนตรีสนุก และได้เพลงนี้กู้หน้าไว้จริง ๆ ในอัลบั้มนี้ โดยรวมต้องถือว่าแป้กจากอัลบั้มแรกค่อนข้างเยอะ และยอดขายไม่ถึง 1 ล้านตลับ


อัลบั้มชุดที่ 3 รหัสร้อน เพลงเปิดตัว ไม่ยากหรอก ไม่มีใครขอร้อง

เพลงไม่ยากหรอก เพลงนี้ต้องถือว่าเปิดตัวแรงคล้ายเพลงพลิกล็อคในอัลบั้มแรก มีลูกเล่นลีลา ที่ร้อนแรง และน่าจะเป็นภาคต่อของพลิกล็อค อัลบั้มนี้ยอดขายจึงทะลุหลักล้านเร็วมาก และปิดไปด้วย 2 ล้านตลับซึ่งถือว่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมาของศิลปินหญิง คำร้องและทำนองเพลงนี้เป็นผลงานของจักราวุธ แสวงผล ที่เขียนเพลงได้ดีมาก และกู้หน้าในชุดที่แล้วไว้ได้

เพลงไม่มีใครขอร้อง เพลงนี้ผู้เขียนเองลืมไปเลยว่ามีอยู่ในอัลบั้ม เพราะไม่ติดหูเลย แม้ว่าเป็นเพลงเปิดตัวและโปรโมตด้วย ขอข้ามไปแล้วกัน

เพลงเลิกเหอะ มีบีทที่กระชับ ทะมัดทะแมงดี ดูจะเป็นดิสโก้นิดๆ ด้วย ฝีมือทำดนตรีโดย ธนา ลวสุต อัลบั้มนี้มีธนา ลวสุตเข้ามาอยู่ในอัลบั้มเป็นครั้งแรก ทำให้ดนตรีมีสีสันขึ้น แม้ว่าในส่วนของภาพรวมยังเป็นพี่โอม ชาตรี คงสุวรรณดูแลอยู่ แต่ธนา ก็ฉายแววกับการทำดนตรีแด๊นซ์จากอัลบั้มนี้ ภายหลังไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับทาทายัง และอีกหลายศิลปินในแกรมมี่

เพลงลำบากหัวใจ ในภาคของดนตรี มีความเป็นบีทแด๊นซ์ที่สนุกทำนองดนตรีโดย โสฬส ปุณกะบุตร ชอบในส่วนดนตรีแต่ไม่ชอบคำร้องเลย

เพลงนาทีที่ยิ่งใหญ่ เป็นเพลงช้า ความหมายดีที่สุดในอัลบั้ม คำร้องโดยสุรักษ์ สุขเสวี และทำนองโดย ธนา ลวสุต มักเป็นเพลงที่นำมาประกวดขับร้องเพลงกันด้วย มีท่อนฮุค ประโยคจำอีกแล้ว ที่ว่า เพราะฉันนั้นต้องการมี เสี้ยวนาทีที่ยิ่งใหญ่ ให้ใจจดไว้ นานเท่านาน อยากจะได้ภูมิใจ ที่มือฉันเคยได้เอื้อมผ่าน ได้เก็บดาวที่แสนไกล ด้วยตัวฉันเอง

เพลงไปด้วยกันนะ จำได้ว่าเพลงนี้มีมิวสิควีดีโอที่น่ารักด้วย ดูส่งให้พี่ติ๊นาเป็นศิลปินอินเตอร์ได้ และน่าจะโกอินเตอร์ได้จากเพลงนี้แหละ ตอนนั้นมีข่าวว่าพี่ติ๊นาจะโกอินเตอร์ มีการทำอัลบั้มเพลงเป็นเพลงสากล โดยอาจนำเพลงฮิตๆ จาก 3 อัลบั้มมาแปลงเป็นภาษาอังกฤษ แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป เพลงนี้แทบจะเป็นลายเซ็นต์ของพี่ติ๊นาเลย จะต้องร้องในทุกคอนเสิร์ตที่ไปโชว์ และต้องถูกขอให้ร้องด้วย คำร้องโดยคุณวรัชยา พรหมสถิต ทำนองดนตรีก็โดยพี่โอม ชาตรี คงสุวรรณ เพลงแด๊นซ์สนุกๆ แบบนี้ เรียกว่าเป็นท้ายๆ ที่ไม่เห็นจังหวะ บีทสนุกๆ แบบนี้ในอัลบั้มต่อมาของพี่ติ๊นาอีกเลย เพราะเปลี่ยนทีมงานผู้ดูแลอัลบั้มใหม่ และหลังจากชุดนี้แล้วพี่เต๋อก็มาเสียชีวิตลง ขาดผู้ดูแลในภาคดนตรีที่จะพัฒนาต่อไปให้กับพี่ติ๊นาอย่างจริงจัง จึงน่าเสียดายอย่างที่บอกไว้ตอนต้น

เพลงยอมแพ้ เพลงนี้เป็นเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุดในอัลบั้ม ในฐานะศิลปินแด๊นซ์ และอัลบั้มชื่อว่ารหัสร้อน หรือ red beat เพลงนี้จึงมีจังหวะดนตรีที่สอดคล้องและตรงที่สุดอีกเพลงนึง นอกจากไม่ยากหรอก และไปด้วยกันนะ คำร้องโดยสุรักษ์ สุขเสวี และทำนองดนตรีโดยจาตุรนซ์ เอมซ์บุตร ช่วงท้ายท่อนฮุค มีแร็ป หรือกลิ่นไอของฮิปฮ็อปด้วย ซึ่งสมัยนั้นต้องถือว่าฮิปฮ็อปยังเป็นของใหม่ในบ้านเรา ทันสมัยมาก (ธันวา ปี 2536)

เพลงอยากให้รู้เหลือเกิน..ว่าฉันเสียใจ เป็นเพลงภาคต่อของเพลง อย่าไปเสียน้ำตา หรือมันมีเนื้อหาที่เป็นซีรี่ย์เดียวกัน คนแต่งคำร้องและทำนองของ 2 เพลงนี้เป็นคนละคนกันเลย คนแต่งเขาเก่งอีกแล้ว ตีความและทำการบ้านต่อๆ กันมา

เพลงรักเธอที่สุด เพลงช้าโดนใจในอัลบั้มนี้ เขียนคำร้องโดยพี่นิ่ม สีฟ้าอีกแล้ว ภาษาโดนใจทุกที มีท่อนฮุค ประโยคเด็ดโดนใจ เหมือนเดิม

เพลงขายเท่าไหร่ ทุกอัลบั้มของติ๊นาจะมีเพลงแปลกแยกอยู่อย่างน้อย 1 เพลง อัลบั้มนี้ก็มีเพลงนี้แหละ ดูไม่ใช่ติ๊นาที่สุดเลย ขอข้ามไป อีกเพลงนึง

ขอจบการวิจารณ์ ติชมอัลบั้มผลงานเพลงของพี่ติ๊นาทั้ง 3 อัลบั้มแรกนะครับ ยังรักและชอบพี่ติ๊นามาก และในโอกาสที่พี่ติ๊นาจะมีคอนเสิร์ตรำลึกครบรอบ 20 ปี ก็ขอให้เป็นคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ แสดงได้อย่างประทับใจแฟนเพลง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นผลงานของพี่ติ๊นาอีกในโอกาสต่อไป อยู่เป็นราชินีเพลงแด๊นซ์ของบ้านเราตลอดไป ตราบนานเท่านาน

หมายเหตุ ปกอัลบั้มเทปในชุดต่อๆ มา ความนิยมเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ดังนี้





One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

เงินมากอาจไม่ได้เปรียบเสมอไป


เงินที่ตามกลิ่นไว จะเป็นผู้ชนะ


ในช่วง 1-2 ปีมานี้ ตลาดหุ้นไทยเรากลับมาพีคหรือขึ้นสูงสุดอีกครั้งในรอบ 14 ปี ไม่ใช่เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานเราดีกว่าประเทศอื่นแต่เป็นเพราะกระแสเงินสดไหลเข้าจากต่างประเทศที่หลั่งไหลกันเข้ามาหาผลตอบแทนในฝั่งเอเซีย และประเทศไทยเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางนั้น




จำได้ว่าซัก 2-3 ปีที่แล้ว แผงหนังสือตามร้านหนังสือใหญ่ๆ ชั้นนำ แทบไม่มีหนังสือเกี่ยวกับหุ้น หรือกราฟเทคนิคต่างๆ ให้เห็นกันเลย จะมีก็แต่หนังสือประเภท How to ทำยังไงให้รวย การสร้างธุรกิจ ทำธุรกิจอย่างไรให้รวย และหนังสือประเภท against ความรวยด้วยซ้ำออกมา เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤติค่าเงิน หายนะจากปี 2012 หรือหายนะจากภัยโลกร้อน หายนะจากวิกฤติการเงินโลกหรือซับไพร์ม แต่ผ่านมาไม่ถึง 2 ปี กระแสตีกลับมาเทให้กับการลงทุนทุกรูปแบบอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทอง น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ตราสารอนุพันธ์ประเภทฟิวเจอร์ กำลังจะบอกว่าคนไทยหรือแม้แต่คนทั้งโลกยังไม่เข็ดอีกเหรอ ทั้งๆ ที่ผลพวงจากวิกฤติการเงินโลกทั้งซับไพร์ม ซีดีโอ ยังลุกลามอยู่เลย ตัวอย่างหลายประเทศในยุโรปก็ยังเผชิญปัญหาอยู่ แล้วเหตุไฉนคนไทยและคนทั่วโลกทำเป็นไม่สนใจ และยังทำตัวแบบเดิมๆ คือไล่ลงทุนมันดะ ปั่นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกตัว สินค้าด้านการลงทุนทุกตัวล้วนปรับราคาสูงกันขึ้นมา เพื่อหลอกล่อแมงเม่าฝูงใหญ่ เพื่อรอที่จะเขมือบเป็นการใหญ่ แท้ที่จริงแล้วคงเป็นความโลภ ต้องการเกาะกระแสเงินไหลบ่ารอบใหญ่นี้ โดยไม่คิดว่าตนเองจะเป็นแมงเม่าฝูงสุดท้ายที่บินเข้ากองไฟ คงมีฝูงอื่นละอ่อนกว่าบินตามหลังเรามา แล้วเราคงบินหนีออกไปได้ทัน ซึ่งสมมติฐานนี้ตั้งอยู่บนความเสี่ยงล้วนๆ คงไม่มีคำเตือนใดๆ จะเหมาะสมกว่าคำว่า เงินเมื่อมันอยู่ในกระเป๋าเรา มันยังคงเป็นของเรา แต่หากมันโบยบินออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว จะไปดึงกลับมา จะมีมือคนอื่นยุบยับเลย มาแย่งชิงเอาไป เราพร้อมจะไปสู้รบตบมือหรือแย่งยื้อกับเขามั๊ย

กระแสเงินที่ไหลบ่าท่วมตลาดเงินตลาดทุนรอบนี้ คล้ายๆ น้ำไหลบ่าท่วมภาคใต้นั่นแหละ คือมันมาเร็ว มาแรง และมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเรามีการเตรียมตัวพร้อมรับสถานการณ์ไว้ดีแล้ว เช่น สร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ยามแห้งแล้ง หรือนำไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรหรือปั่นเป็นกระแสไฟ ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาล แต่หากไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหายนะอย่างที่เห็นในภาพข่าวคือความเสียหายมากมายทิ้งไว้แต่ซากปรักหักพัง และความสูญเสียทั้งด้านทรัพย์สินและชีวิตทีเดียว กระแสเงินไหลบ่าในตลาดเงินตลาดทุนก็เช่นเดียวกันไม่มีทางที่เราจะไปต้านทานมันไว้ได้ เพราะเราเป็นประเทศทุนนิยมในยุคโลกาภิวัฒน์ มีทางเดียวคือรู้เท่าทันและเล่นไปตามเกมส์ ตามกระแส และฉกฉวยโอกาส หาผลประโยชน์ ทำกำไรไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ใช่ว่ามีเงินเยอะ แล้วจะเอาชนะในเกมส์นี้ได้ง่ายๆ มันต้องมีวิชา มีความรู้ และตามกลิ่นเงินให้ได้ไวกว่าคนอื่นหรือเท่าทันคนอื่น จึงจะเอาตัวรอดในดงเสือ สิงห์ กระทิง แรดนี้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจกลายเป็น ม้าลาย กวาง หรือสมันน้อยให้เขาขย้ำได้อย่างง่ายๆ ฟังดูแล้วการหากำไรในตลาดเงิน ตลาดทุน หรือการลงทุนทุกประเภทจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแน่นอน หากคุณไม่มี money ไม่มี knowledge และไม่มี know how คือ เงิน ความรู้ และเทคนิควิธีการ



ผมขอจัดกลุ่มนักลงทุนที่กำชัยชนะหรือคุมชะตากรรมของตลาดหุ้น ไว้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้ เพื่อง่ายต่อการวางแผนสู้ ได้ทุกทิศ ทุกแนวรบ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย หรือหากตกเป็นเหยื่อแล้วไม่เพลี่ยงพล้ำถึงขั้นเสียชีวิต จะมีวิธีเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร


กลุ่มแรกนี้ขอเรียกว่า กลุ่มรายย่อยพันธุ์แท้ หมายรวมทั้งพวกมือใหม่หัดเล่น และแมงเม่ามืออาชีพไว้ด้วย กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่ 0- 1 ล้านบาท บางคนเริ่มลงทุนตั้งแต่หลักพัน หลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน สามารถทำกำไร หรือขาดทุนได้ทั้งนั้น ในตลาดหุ้นขาขึ้น แต่หากเป็นตลาดหุ้นขาลง พบว่านักลงทุนกลุ่มนี้มักขาดทุนสบักสบอมกันไปตามๆ กัน และพอร์ตหุ้นไม่ค่อยโตไปตามภาวะตลาดเท่าที่ควร เพราะขาดการวางแผนการลงทุน และไม่มีวินัยในการลงทุน ความมั่งคั่งในพอร์ตต่ำกว่าอัตราการเติบโตของตลาดโดยรวม กลุ่มนี้จะกลายเป็นเหยื่อของนักลงทุนทุกกลุ่มที่เหลือนั่นเอง (ตัวผู้เขียนเองก็น่าจัดอยู่ในกลุ่มนี้เหมือนกัน)

กลุ่มที่ 2 ขอเรียกว่ากลุ่มรายย่อยพันธุ์เขี้ยวลากหรือหนังเหนียว เป็นแมว 9 ชีวิต สามารถตายแล้วฟื้นใหม่ เอาตัวรอดมาได้เสมอเหมือนผีลืมหลุม กลุ่มนี้ขอหมายรวมเอาพวก VI (Value Investor) แบบทุนไม่ใหญ่เอาไว้ด้วย กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาทจนถึง 99 ล้านบาท กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาบ้าง มีความรู้ และวิธีการระดับนึงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จกับตลาดเท่าที่ควร และมีบทเรียนกับความเจ็บปวดในตลาดหุ้นมาทุกรูปแบบหมดแล้ว จึงรู้ลูกล่อลูกชน รู้จังหวะการลงทุนพอสมควร รู้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคอลเป็นอย่างดี พวกนี้ยังตามกลิ่นเงินได้ไวเป็นกลุ่มแรกด้วย บางคนยังมีพฤติกรรมเป็นแมงเม่ามืออาชีพ ชอบเล่นหุ้นปั่นตัวเล็ก ๆ จึงยังมีโอกาสเจ็บตัวได้อีก และอาจได้รับบทเรียนซ้ำซากเหมือนเดิม ไม่สามารถพัฒนาตนเองไปเป็นนักลงทุนที่พัฒนาแล้วได้ นักลงทุนกลุ่มนี้จึงยังแพ้ให้กับนักลงทุนรายใหญ่ (เซียนหุ้น) และนักลงทุนประเภทสถาบัน โบรกเกอร์ กองทุนจากต่างประเทศ และนักการเมือง หรือบรรดานอมินีของ VIP หรือ somebody ทั้งหลายได้

กลุ่มที่ 3 ขอเรียกว่าขาใหญ่หรือเซียนหุ้น ในวงการบ้านเรา ผมไม่รู้จำนวนแน่นอน แต่ที่ได้ยินชื่อเสียงอยู่บ้างมีนับ 10 คนขึ้นไป มีทั้งกลุ่ม high profile (อาทิเสี่ยปู่ หมอยง เจ๊ศรีฟ้า เสี่ยป๋อง หมอบุญ เสี่ยกมล คุณพายัพ ดร.นิเวศน์ เอกยุทธ) และกลุ่ม low profile รวมถึงบรรดาเจ้าสัวใหญ่ๆ ระดับประเทศทั้งหลายก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย กลุ่มนี้ต้องมีเงินแน่ๆ แต่จะมีความรู้หรือวิธีการด้วยหรือไม่ อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะบางคนใช้มืออาชีพบริหารพอร์ตให้ที่เรียกว่า นอมินี บางคนก็ทั้งลงทุนและตัดสินใจเอง ไม่มีตัวแทน บางคนใช้มืออาชีพ คือธนาคารบริหารกองทุนส่วนบุคคลให้ กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่หลักร้อยล้าน จนถึงระดับ หมื่นล้านบาท เทียบเท่ากองทุนของสถาบัน หรือกองทุนรวมใหญ่ๆ ก็มี ขึ้นอยู่กับระดับความมั่งคั่งที่มี อาทิ เจ้าสัวเจริญ เจ้าสัวเฉลียว เจ้าสัวธนินทร์ รวมถึงคุณทักษิณและเครือญาติ พวกนี้คุณผู้อ่านคิดว่าเขามีกองทุนมากเทียบเท่าหรือใหญ่กว่าพวกบรรดากองทุนบางแห่งมั๊ยหล่ะครับ แต่นักลงทุนกลุ่มนี้เราขอ scope ลงมาที่พอร์ตระดับร้อยล้านถึงพันล้านก็พอ พวกนี้ก็ผ่านการไต่เต้ามาจากนักลงทุนกลุ่มที่ 2 มาก่อนทั้งสิ้น แต่ใครจะก้าวมาถึงระดับนี้ได้คงต้องมีมากกว่าความรู้ ประสบการณ์ และวิธีการ นั่นคือจิตใจ และวินัยในการลงทุนที่เคร่งครัด แต่นักลงทุนกลุ่มนี้ใช่ว่าจะชนะตลาดเสมอไป บางครั้งก็พลาดท่าให้กับภาวะตลาดที่ไม่คาดคิด พลาดให้กับภาวะเศรษฐกิจ การเมือง หรือภาวะสงครามได้เช่นกัน เพียงแต่พวกนี้พลาดแล้วปรับตัวทัน เพลี่ยงพล้ำแล้วถอยเป็น เหมือนกบที่จำศีลเป็น เหมือนราชสีห์ที่คอยเหยื่อได้ เหมือนจระเข้ที่นอนนิ่งรอเหยื่อ เหมือนนกอินทรีย์ที่บินสูงมองไกลเพื่อหาโอกาสมาโฉบเหยื่อไปกิน กลุ่มนี้คุณไม่มีทางที่จะไปเอาชนะเขาได้ง่ายๆ และถ้าเป็นไปได้ทำตัวเป็นเห็บเหาคอยเกาะไปกับเขาก็จะดีมาก เมื่อไรเขาขยับ เราขยับด้วย

กลุ่มที่ 4 ขอเรียกว่าพวกกองทุน สถาบัน หรือพอร์ตโบรกเกอร์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นกองทุนหรือองค์กรในประเทศทั้งหมด จะอยู่ในกลุ่มนี้ บริหารพอร์ตโดยมืออาชีพด้านการบริหารกองทุน กลุ่มนี้จึงมีทั้งทุน ความรู้ และวิธีการ มีระบบระเบียบการลงทุนสูง แต่จุดอ่อนก็อยู่ที่ขาดความคล่องตัวในการตัดสินใจ หากไปเจอสถานการณ์ตลาดที่ไม่คาดฝัน การปรับพอร์ตจะไม่ทันนักลงทุนรายย่อยหรือขาใหญ่อยู่ดี แต่ได้เปรียบเรื่องข้อมูล ข่าวสารหรือ inside ข้อมูลแบบเจาะลึก ซึ่งยากที่รายย่อยหรือขาใหญ่จะรู้ทัน กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่ระดับ 1 พันล้านจนถึง ระดับหมื่นล้านบาท และมักลงทุนในหุ้นกลุ่ม set 50 หรือไม่เกิน set 100 เพราะขนาดของเม็ดเงินจำนวนมาก และปัจจัยพื้นฐานการลงทุนที่กำหนดกรอบการลงทุนอยู่

กลุ่มที่ 5 ขอเรียกว่าพวกกองทุนต่างประเทศตาน้ำข้าว ไม่ว่าจะเป็นกองทุนอีแร้งอย่างเฮดจ์ฟันด์หรือกองทุนขนาดใหญ่ลงทุนยาวหรือไม่ คล้ายๆ กลุ่มที่ 4 แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก และเป็นต่างชาติล้วนๆ มีบทวิเคราะห์ ฐานข้อมูลเป็นของตนเอง มีมุมมองเป็นของตนเอง เพราะกำหนดทิศทางการขึ้นลงของตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่แล้ว แม้กระทั่ง msci moody’s หรือ s&p ก็มาจากพวกนิวยอร์คคอนเนคชั่นกลุ่มนี้ (ยิวเจ้าโลก) ภายหลังมีกองทุนจากพวกแขกตะวันออกกลาง และกองทุนจากฝั่งเอเซีย เช่น จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ พวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด ไม่นับพวกนอมินีนักการเมืองทั้งหลายที่ไปเปิดพอร์ตที่สิงคโปร์ หรือฮ่องกงทำคำสั่งซื้อมาที่ไทย พวกนี้ผมจัดเป็นกลุ่มที่ 3 อยู่แล้ว แต่ทำเนียนหวังหลอกคนไทย สันดานและใจมันบาปยิ่งนัก คือมันจะหลอกประชาชนคนไทยทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่จะลงทุนมันยังหลอกเลย กลุ่มนี้คงไม่ต้องบอกถึงฐานเงินทุน มีตั้งแต่ระดับหลักหมื่นล้านเป็นอย่างน้อยไปจนถึงระดับแสนล้าน ล้านล้านบาท พวกนี้บางครั้งอยากมาลงทุนในไทย แต่มาร์เก็ตแค็ปของตลาดไทยมันเล็กกว่าเงินลงทุนของเขา บางครั้งเขาเลี่ยงไปลงทุนที่อื่น หรือลงทุนเฉพาะตลาดเงินคือตลาดพันธบัตรหรือตลาดตราสารหนี้เท่านั้นก็มี ในอนาคตถ้าตลาดหุ้นไทยใหญ่มากพอ พวกนี้เข้ามาเมื่อไหร่ กองทุนสถาบันในไทยหรือบรรดาขาใหญ่ในประเทศอาจเน่าสนิทไปเลยก็ได้ เพราะของจริงมา คงเป็นสงครามสู้กันของกระแสเงินที่ต่างก็ไม่ยอมกันแน่ๆ แต่เงินใหญ่ของฝรั่งช่วง 2-3 ปีมานี้ ไม่ค่อยได้เปรียบคนไทยมากนัก เนื่องจากเข้ามาตอนต้นทุนสูง และคนไทยฉลาดขึ้น เพราะกลุ่ม 2 ของเรา รวมกับกลุ่ม 3 มีจำนวนมากขึ้น และรู้เท่าทันทั้งกองทุน สถาบันในประเทศและต่างประเทศ การลงทุนเป็นรอบจึงเอาชนะนักลงทุนไทยได้ยากขึ้น (ไม่ได้บอกว่าต่างชาติไม่ได้กำไรจากตลาดหุ้นไทยนะ แต่ไม่ง่าย) เว้นแต่บรรดากองทุนที่มาลงทุนยาว และลงในตลาดไทยมาตั้งแต่ยุควิกฤติต้มยำกุ้งจะได้เปรียบเรื่องต้นทุน เพราะนักลงทุนไทยเดี๋ยวนี้รู้จักจังหวะการลงทุน ผ่อนสั้นผ่อนยาว เล่นสั้นเป็นรอบเป็น ไม่เหมือนแต่ก่อน เป็นหมูให้ฝรั่งเชือดง่ายๆ

กลยุทธุ์เล่นหุ้นสู้ศึก 10 ทิศ สู้ทุกแนวรบ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

1.ตีหัวเข้าบ้าน เล่นสั้น เข้าไว ออกไว ตามกลิ่นเงินของกองทุนต่างประเทศ สถาบัน หรือนักลงทุนขาใหญ่ให้ทัน เข้าไปดักซื้อก่อนหรือพร้อมๆ กับพวกเขา แต่ต้องออกให้ทัน หรืออาจจะออกก่อน ไม่งั้นอาจเสียชีวิตได้

2.เล่นตามแนวโน้มขาขึ้น ระยะกลาง ถึงยาว โดยดูกระแสเงิน (เช่นรอบนี้) ดูวอลุ่มตลาด , p/e ของหุ้น กลุ่ม และตลาด ,ดูกราฟทางเทคนิคช่วย ซื้อหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิค break up แล้วขายเมื่อพอใจ ได้กำไรพอสมควรหรือ ดูสัญญาณเป็นขาลง หรือ break down

3.ใช้ความรู้มาช่วย เช่น ดูงบการเงินเป็น ดูพื้นฐานบริษัท กลุ่มอุตสาหกรรม การเติบโต การทำกำไร ภาวะเศรษฐิจ ปัจจัยตัวแปรเศรษฐกิจระดับโลก (เช่น ค่าเงิน ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น การประท้วงสู้รบในmiddle east ,ตะวันออกกลาง) เศรษฐกิจจุลภาค มหภาค ภาวะการเมือง ภัยธรรมชาติ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี เป็นต้น

4. อันนี้คงไม่ได้หาง่ายๆ ข่าววงใน insider และผิดกฏหมาย แต่หากคุณบังเอิญไปอยู่ในแวดวงของข่าววงใน ไม่ใช่ข่าวรั่วข่าวปล่อยที่จงใจปล่อยออกมาเพื่อลากหุ้น หรือปั่นหุ้น นะครับ คุณก็จะมีสิทธิได้เปรียบจากจังหวะการเข้าซื้อหรือทำกำไรได้อย่างมาก

5.นอกจากคุณจะต้องมีเงิน มีความรู้ มีเทคนิควิธีการแล้ว พรสวรรค์และจิตวิทยาการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมากในตลาดหุ้น เพราะเป็นการสู้กันระหว่างความโลภกับความกลัว และวินัยในการลงทุนที่ยืดหยุ่น ช่วยได้ในทุกสถานการณ์ จงคิดเสมอเหมือนว่าเราเป็นหมาป่าที่หนีสิงโต และเสือได้ทุกเมื่อ บางครั้งก็รุมทึ้งเสือให้ล่าถอยไปได้ด้วย เพราะสัญชาตญาณของหมาป่าก็คือกูไม่กลัวมึง เนื้อก้อนนี้กูเจอก่อน มันต้องเป็นของกูเท่านั้น เสือและสิงโต ถ้ามึงแน่จริงก็มาชิงเอาไป



เพราะโลกของทุนนิยม ไม่มีคำว่าเกรงใจ หรือปราณีใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งคำว่า เสียใจ หรือขอโทษ ด้วย

ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดี



หมายเหตุ ความคิดเห็นในบทความชิ้นนี้ เป็นของผู้เขียนเอง ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อถือในข้อมูลของบทความชิ้นนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและสังเคราะห์ด้วยตัวท่านเอง เนื่องจากการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ท่านต้องลงไปศึกษาโดยถ่องแท้ด้วยตัวของท่านเอง

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

A Few Good Men เกียรติศักดิ์ทหารเสือ ชีพนี้พลีเพื่อแผ่นดิน

ไปอ่านเจอกระทู้นี้เข้า http://www.baanpud.net/forum/viewtopic.php?f=33&t=1386  (ขออภัยหน้าเพจนี้หายไปแล้ว)
รู้สึกประทับใจ และจะจดจำพวกเขาเหล่านั้นไว้ตลอดไป จึงอยากจารึกชื่อพวกท่านไว้ในบทความนี้ และอยากมอบบทเพลงนี้ เป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของทหารกล้าผู้เป็นที่รักของคนไทยดังนี้


พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม



พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา


ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ ( หมวดตี้ )



ร.ต.อ. ธรณิศ ศรีสุข ( ผู้กองแคน )



ขอมอบบทเพลงนี้เพื่อไว้อาลัยแก่ทหารกล้า ความฝันอันสูงสุด
เพลงพระราชนิพนธ์ ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช
ขับร้องโดย สันติ ลุนเผ่ 

ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ

ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว

ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ

ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง

จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด

จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง

จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง

จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา

ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร

ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา

ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา

ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป

นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง

หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส

ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด

ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน

โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่

เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน

ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ

ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม Nationalism Economics (Attitude Review Series)

ตอนที่ 4 ของฟรีก็มี (ต้นทุน) ในโลก

สิ่งที่เราได้พบเห็นหรือรับรู้อยู่แล้วสำหรับประชาชนอย่างเราก็คือโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ตอนต้นรัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนอันเนื่องมาจากสถานการณ์เศรษฐกิตตกต่ำ ก็อย่างเช่นแจกเงินฟรีหรือเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทให้กับประชาชนที่อยู่ในระบบ ที่เป็นลูกจ้างเอกชนที่มีรายชื่ออยู่ในระบบประกันสังคม  ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และภายหลังมาเพิ่มคนที่อยู่นอกระบบประกันสังคม  หรือโครงการทั่วไปอย่างเช่น รถเมล์ฟรี เรียนฟรีตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย โครงการหลักประกันสุขภาพ หรือโครงการใช้น้ำใช้ไฟฟรี ซึ่งส่วนใหญ่ต่อยอดมาจากโครงการของรัฐบาลทักษิณและนอมินีคุณทักษิณ (สมัคร-สมชาย)  แต่ของฟรีเหล่านั้น ถามว่ามันมีต้นทุนมั๊ย ตอบว่ามี และมีราคาที่จะต้องจ่ายด้วย ถามว่าจ่ายโดยใคร ก็จ่ายโดยรัฐบาลไง แล้วถามต่อว่าเงินที่รัฐนำมาจ่าย มาจากไหน ก็มาจากภาษีของประชาชนนั่นเอง นั่นก็แสดงว่า บริการต่างๆ หรือตัวเงินที่เราได้รับจากรัฐบาลนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือเงินของเรา ที่รัฐบาลทำหน้าที่เป็นคนกลางนำเงินของพวกเราทั้งหมดมาเกลี่ยและจ่ายคืนให้กับพวกเรานั่นเอง มันจึงไม่ใช่ของฟรีในความหมาย หรือนัยยะทางเศรษฐศาสตร์  ที่หมายถึงสิ่งที่ต้องไม่มีต้นทุน อย่างเช่น อากาศที่คนเราหายใจ ก๊าซออกซิเจนที่เราสูดเข้าไปในร่างกาย ถือเป็นของฟรีได้  อากาศ โอโซนที่เราสูดเข้าไปในปอด เป็นของฟรี หรือแม้กระทั่งแรงลมที่มาปะทะกับร่างกายถือเป็นของฟรี  สายน้ำที่ไหลไปตามลำธาร ทะเล แม่น้ำ เหล่านี้ แม้ว่ามันจะเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีเจ้าของแต่หากเราจะดื่มกินลงไปซักอึก 2 อึก  มันก็คงจะไม่มีต้นทุนมากเท่าไหร แม้กระทั่งลงไปอาบน้ำ หรือว่ายน้ำได้อย่างฟรี คลื่นแม่เหล็ก คลื่นสัญญาณทางวิทยุ โทรศัพท์ หรือดาวเทียมที่หากเรามีเครื่องรับก็จะสามารถรับคลื่นนั้นได้ฟรีเช่นเดียวกัน  นี่คือตัวอย่างของฟรีที่มาตามธรรมชาติ ยังมีของฟรีอีกรูปแบบนึงที่มาในรูปของเชิงการค้า การตลาด และธุรกิจ เช่น  เราเข้าไปใช้บริการศูนย์ซ๋อมรถ หรือศูนย์จำหน่ายรถยนต์ หรือโรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง  เคาน์เตอร์ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันชีวิต บางที่อาจจะมีบริการเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ไว้บริการแก่ลูกค้าฟรีทุกราย แบบไม่อั้น   หรืออย่างโรงแรม ศูนย์ประชุม ห้องสมุดบริษัทเอกชน มหาวิทยาลัย ร้านกาแฟ บางแห่งมีบริการอินเตอร์เน็ทให้เล่นฟรี แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีกฏเกณฑ์ เงื่อนไขที่เป็นข้อผูกมัดด้านผลประโยขน์ทางธุรกิจที่คนเป็นเจ้าภาพ(คนจ่าย) เขาจะต้องได้ประโยชน์ด้วย เขาจึงมีของฟรีเหล่านั้นไว้เป็นสิ่งจูงใจ หรือไว้สร้างความประทับใจให้ลูกค้าของเขามาใช้บริการ 

ของฟรีจะมีจริงหรือไม่จริงในโลก จึงไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะสนใจ แต่มีแล้วใครได้ประโยชน์ ประโยชน์ตกอยู่ที่ใครต่างหาก และสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดแก่คนส่วนใหญ๋ได้หรือไม่ อันนั้นแหละคือสารัตถะ ของคำว่า ของฟรี ที่คนมักนำไปพูดอยู่เรื่อยเปื่อย แต่ไม่เข้าใจมัน

สรวงสุดา ชอบที่จะซื้อของใช้ส่วนตัวหรือของบริโภคที่มักมีของแถมพ่วงมาด้วย หรือของลดราคา บางอย่างที่เธอซื้อมา ยังอยู่เต็มตู้เสื้อผ้า เป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้หรือแกะออกจากห่อ ไม่ว่าจะเป็น รองเท้า เสื้อผ้า กระเป่า หมวก เข็มขัด สร้อย ต่างหู น้ำหอม ฯลฯ หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็มีหลายเครื่อง ที่บางเครื่องยังใหม่อยู่เลย แต่เธอก็มักจะซื้อใหม่ที่เป็นรุ่นยอดนิยม ล่าสุดคือ BB  ความชอบที่จะนัดกิน ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงทุกวันศุกร์ เสาร์ และการกินอาหารนอกบ้าน เป็นเรื่องปกติวิสัยที่ สรวงสุดาจะชอบทำ บางครั้งไปทานข้าว 2 คน กับเพื่อนแฟน(อนาคิน) หรือส่วนใหญ่ไปทานกับเพื่อนฝูง ลูกน้องและหัวหน้า เธอไม่นิยมทำครัวที่บ้าน หรือการทานอาหารมื้อเย็นข้างนอกบ้านหรือซื้อเข้าบ้าน ค่าใช้จ่ายด้านอาหารกับค่าใช้จ่ายด้านการแต่งตัว ของฟุ่มเฟือย จึงเป็นรายจ่ายส่วนใหญ่ของเธอ  และค่าใช้จ่ายที่เธอเห็นว่าตัดหรือลดลงได้ง่ายที่สุดคือค่าอาหาร เธอจึงหันมานิยมทานอาหารบุฟเฟ่ต์ เช่น โออิชิบุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ แทนร้านอาหารทั่วไป แต่ผลปรากฏว่ามันไม่ได้ประหยัดได้จริงอย่างที่เธอคิดไว้ เพราะเธอทานได้จำนวนน้อย ไม่เท่าเพื่อนผู้ชายหรือแฟน แต่ต้องหารเท่ากัน อีกทั้งเป็นคนดูแลสุขภาพ กลัวอ้วน และอายที่จะนำอาหารที่ทานเหลือจากร้าน ห่อกลับบ้านไปทาน เธอจึงคิดวิธีใหม่คือฝึกทำอาหาร เพื่อจะได้กลับไปทำอาหารมื้อเย็นทานเองที่บ้าน และชักชวนสามี (อนาคิน) ให้รีบกลับมาทานอาหารฝีมือภรรยา และเพื่อสร้างสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึน เป็นการยิงนกทีเดียวได้ 2-3 ตัว เธอพบว่าวิธีนี้ได้ผล แม้ในช่วงแรกอาจทำให้ต้องเหนื่อยมาก และต้องบริหารเวลาระหว่างงานกับเวลาที่ให้กับครอบครัวได้มากขึ้น  เธอพบว่าอนาคินกลับบ้านเร็วขึ้น มีเวลาพูดคุยฉันท์สามีภรรยามากขึ้น มีเวลาปรับทุกข์พูดคุยเรื่องงาน การเอาอกเอาใจ เอาใจใส่ซึ่งกันและกันดีขึ้น อันมีผลไปถึงทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ลดอาการตึงเครียด ทะเลาะเบาะแว้ง ยังมีผลไปถึงเพศสัมพันธ์ดีขึ้น และทั้งคู่กำลังมีทายาทตัวน้อย ซึ่งก็จะกลายไปเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว และปัญหาที่กำลังจะตามมาก็คือ ทั้งคู่ยังไม่ได้มีการวางแผนทางการเงินของทั้งตัวเอง และค่าใช้จ่ายที่กำลังจะตามมาเพิ่มขึ้นในส่วนของสมาชิกใหม่ตัวน้อย รวมถึงการวางแผนในอนาคตให้กับลูกด้วย 

สรวงสุดาจึงเริ่มมองหามืออาชีพด้านการวางแผนการเงินให้เข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษา และข่วยแนะนำจัดสรรวิธีการบริหารเงิน การลงทุนให้กับครอบครัวของเธอ ซึ่งเธอเองเพิ่งจะมาให้ความสำคัญกับเงินออมเมื่อไม่นานมานี้เอง ส่วนตัวสามีของเธอเอง (อนาคิน) ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่ตกลงที่จะจัดสรรรายได้ของตัวเองตามแผนการออมและลงทุนเสียใหม่ ตามคำแนะนำของที่ปรึกษา โดยจัดสรรส่วนการบริหารเงินและลงทุน การออม ไว้ดังนี้

20 เปอร์เซ้นต์ ฝากไว้ในรูปเงินฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยสูงของธนาคารขนาดเล็ก
15                   ลงทุนไว้ในรูปของกองทุนรวมประเภท LTF,กองทุนรับประกันเงินต้น
10                   ลงทุนในทองคำแท่ง,หุ้นสามัญบางตัวกลุ่มธนาคารหรือพลังงาน
5                     ลงทุนในสลากออมสินหรือสลาก ธกส.           
10                   ฝากไว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจที่อนาคินทำงาน
40                   ไว้ลงขันร่วมกันทำธุรกิจ (ซึ่งยังไม่ได้ตกลงกัน)

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่ อ่ะ, จริงดิ

โฉมหน้ากรุงเทพฯ ที่เราเห็นกำลังจะเปลี่ยนไป ในอีก 5 ปีข้างหน้า โครงการใหญ่ยักษ์หรือที่เรียกว่า Mega Project ไม่ว่าจะเป็นโครงการในระดับประเทศของภาครัฐ อย่างเช่น รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่เชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมต่างๆ ของ สนข. ที่กำลังประมูลก่อสร้างหรือกำลังก่อสร้างไปแล้ว ซึ่งไม่นับรวมโครงการส่วนต่อขยายของรถไฟลอยฟ้า (BTS) ซึ่งก็จะทำควบคู่กันไปบรรจบกับโครงการรถไฟฟ้าทั้งระบบแบบใยแมงมุม จะเริ่มแล้วเสร็จ ,โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงหรือ ไฮสปีดเทรนที่เชื่อมต่อจากภาคอีสานมาสู่กรุงเทพฯ หรือภาคเหนือลงมากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลจีนให้เงินกู้สนับสนุน หรือโครงการศูนย์การยักษ์ใหญ่แถบบางนา ศูนย์การค้าขนาดใหญ่บริเวณชิดลม ที่กำลังจะมาเปิด ส่วนต่อขยายของสนามบินสุวรรณภูมิ ,โครงการของกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นรัฐบาลท้องถิ่นก็ริเริ่มทำโครงการที่คนกรุงเทพยังมีข้อกังขาอย่าง ซุปเปอร์สกายวอล์ค โครงการอุโมงค์ยักษ์ป้องกันน้ำท่วม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวโยงกับชุมชนและคนกรุงเทพ รวมถึงการจราจรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไม่นับรวมการวางโครงข่ายทางด้านโทรคมนาคมที่เรียกว่า 3G หรืออาจต้องเลยไปถึง 4G กันแล้ว ถามว่าโครงการก่อสร้างต่างๆ ที่เป็นทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานเหล่านี้ หรือบางอย่างก็เป็นการต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐาน จะมีส่วนช่วยให้กรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรแห่งนี้กลายเป็นสลัมไฮเทคไปหรือไม่ เพราะลองนึกภาพดูแล้ว ทัศนียภาพมันคงดูเกะกะ เทอะทะ อุจาดตา อย่างบอกไม่ถูก อย่ากระนั้นเลยเราลองมาดูโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง และมันจะมีผลดีหรือผลเสีย หรือนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงจุดบกพร่องด้านทัศนียภาพ และทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองน่าอยู่จริงหรือไม่อย่างไร

โครงการกรุงเทพฯ เดินสบาย

ถ้าถามคนกรุงเทพว่าอะไรจะทำให้ กทม. นั้นน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม พื้นที่สัญจรทางเท้าน่าจะเป็นหนึ่งในคำตอบอย่างแน่นอน

ทุกวันนี้ทางเดินที่คับแคบ ภูมิทัศน์ที่แออัดทำให้กรุงเทพ มัวหมอง หมดความสดใสน่าอยู่ลงไปอย่างมาก

กลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่ากรุงเทพเดินสบาย อันประกอบไปด้วย นักออกแบบผังเมือง ภูมิสถาปนิก สถาปนิก วิศวกร นักออกแบบและศิลปิน จึงจัดโครงการหนึ่งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ นั่นก็คือการประกวดแบบในการปรับปรุงพื้นที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าทีเอสสยาม เชิญชวนนักศึกษา ศิลปิน นักออกแบบ สถาปนิก และประชาชนทั่วไปมารวมตัวกันเป็นทีม ทีมละไม่เกิน 10 คน เพื่อออกแบบเพื่อปรับปรุงทางเท้า และภูมิทัศน์ย่านสยามแควร์เพื่อคนกรุงเทพบน ถนนพระราม 1จากแยกอังรีดูนังต์ถึงแยกพญาไท แบบที่ชนะการประกวดจะนำมาใช้จริงในการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าว ให้มีทัศนีภาพที่สวยงามขึ้นและมีมลภาวะน้อยลง อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ความสร้างสรรค์ในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เชื่อว่าคนกรุงเทพจะต้องใจจดใจจ่อที่จะเห็นพื้นที่สยามแสควร์ในรูปแบบใหม่นี้อย่างมาก และหวังว่าจะมีการดำเนินโครงการแบบนี้กับพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพต่อไปด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่กรุงเทพจะกลายเป็นเมืองสร้างสรรค์จะต้องไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

และตามมาติดๆ ด้วยการเปิดตัวโครงการซุปเปอร์สกายวอล๋ค โครงการที่ถูกตั้งข้อกังขาและถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในโลกอินเตอร์เน็ต ผู้เกี่ยวข้องหลายภาคส่วนถึงกับให้มีการทบทวนหรือทำประชาพิจารณ์จากคนกรุงเทพว่าเห็นด้วยหรือไม่เสียก่อน เราลองไปฟังการให้คำสัมภาษณ์ของ มรว.สุขุมพันธ์ ผวจ.กรุงเทพฯ ถึงโครงการนี้กันก่อน ดังนี้


ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศเปิดตัวแผนแม่บทสำหรับการก่อสร้าง ‘โครงข่ายทางเดินลอยฟ้า หรือ ซูเปอร์สกายวอล์ค (SuperSkywalk System)’ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีทางเดินลอยฟ้าที่ปราศจากสิ่งกีดขวางการเดินเป็นระยะทางรวม 50 กิโลเมตร โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ “กรุงเทพฯ ก้าวหน้า” ซึ่งมุ่งแก้ปัญหาใหญ่ของกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คดังกล่าวจะแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 เฟส โดยการก่อสร้างในเฟสแรกระยะทางรวม 16 กิโลเมตร จะเริ่มในเดือนมีนาคม 2554 ส่วนเฟสที่สอง ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร มีแผนจะก่อสร้างในปี 2555-2557 ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ให้คำมั่นว่า โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค 16 กิโลเมตรแรก จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งหลังจากเปิดใช้จะทำให้ กรุงเทพฯ มีทางเดินลอยฟ้ายาวขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ทั้งนี้ โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค ส่วนแรกจะสร้างครอบถนนสุขุมวิทเกือบทั้งสาย โดยเริ่มจากซอยนานาไปถึงซอยแบริ่ง และอีก 3 สายบนถนนพญาไท ถนนรามคำแหง และใกล้กับวงเวียนใหญ่ในย่านธนบุรี “นี่ถือเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ จะมีโครงข่ายทางเดินลอยฟ้าสำหรับประชาชนที่เชื่อมโยงกันอย่างบูรณาการ ทั่วถึง และเป็นประโยชน์ในวงกว้างอย่างยั่งยืน โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คนี้จะช่วยให้คนกรุงเทพฯ สามารถเชื่อมต่อจุดต่างๆ ในย่านที่คนพลุกพล่านหลายส่วนของกรุงเทพฯ ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น” ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าว ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า “โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค จะช่วยให้คนกรุงเทพฯ มีพื้นที่ในการเดิน-เท้ามากขึ้น ทำให้สามารถเดินไปยังจุดหมายปลายทางใกล้ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อให้การเดินเท้าเป็นทางเลือกแทนการขับรถ สำหรับการเดินทางระยะสั้นๆ” นอกจากนั้น โครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คทั้งหมดยังได้รับการออกแบบเพื่อให้คนอยากจะใช้บริการระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น“ในส่วนของการเดินทางระยะไกลๆ ก็เช่นเดียวกัน ซูเปอร์สกายวอล์คจะช่วยให้คนตัดสินใจจอดรถไว้ที่บ้าน เพราะโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คถูกออกแบบให้สอดรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ กล่าวคือคนสามารถจะใช้บริการระบบขนส่งรถไฟฟ้าได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องกลัวว่าเมื่อออกจากระบบรถไฟฟ้าแล้วจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางลำบาก เพราะสามารถเดินเท้าต่อไปได้สะดวกรวดเร็วกว่าเดิมมาก ทั้งยังไม่ต้องกลัวแดด และฝนอีกด้วย” ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าว “ภารกิจกรุงเทพฯ ก้าวหน้า เป็นความตั้งใจของผมมาตั้งแต่ต้น ที่จะไม่ออกแบบโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานแบบครึ่งๆ กลางๆ ในอดีตที่ผ่านมาบ่อยครั้งมีการทำโครงการแบบครึ่งๆ กลางๆ ทำให้เกิดการสูญเปล่า และเป็นการใช้เงินภาษีอากรของประชาชนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แต่ในส่วนของโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คนี้ ผมไม่สร้างสกายวอล์คแบบแยกส่วน แต่จะทำเป็นแผนบูรณาการครอบคลุมรอบพื้นที่อย่างทั่วถึง” ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าว นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินเท้าในเวลากลางคืน ตลอดแนวเส้นทางโครงข่ายซูเปอร์-สกายวอล์คจะมีไฟฟ้าส่องสว่าง พร้อมกับกล้องวงจรปิดที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหว ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ตั้งข้อสังเกตว่า “ทางเดินเท้า ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐาน หรือสาธารณูปโภคสำคัญเพียงอย่างเดียวในกรุงเทพฯ ที่เกือบจะไม่เคยมีการขยายเลยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้คนเดินเท้าต้องเสียสิทธิที่พึงมีพึงได้ไปเรื่อยๆ” “การขยายตัวของเมืองที่มาพร้อมกับความหนาแน่นของประชากร ทำให้เราเพิ่มพื้นที่ในส่วนของที่พักอาศัยและสำนักงาน ด้วยการก่อสร้างอาคารสูงมากขึ้น ขยายถนนให้มากขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า เพิ่มขีดความสามารถในการระบายน้ำ และขยายศักยภาพของระบบโทรคมนาคม แต่ทั้งหมดทั้งปวง เราแทบจะไม่ได้เพิ่มพื้นที่ทางเดินเท้าเพื่อรองรับกับความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มขึ้นเลย โครงข่ายซูเปอร์-สกายวอล์คจะเข้ามาเสริมให้คนใน กรุงเทพฯ มีพื้นที่เดินเท้าที่สะดวกสบายเพิ่มขึ้น และผมมั่นใจว่า เมื่อเปิดใช้บริการจะมีคนกรุงเทพฯ ใช้ซูเปอร์สกายวอล์คเป็นทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น” ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าว ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ได้ยกตัวอย่างถนนอโศก ซึ่งเป็นย่านที่มีการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการขยายถนนและก่อสร้างตึกสูงไว้ว่า ราวปี พ.ศ. 2520 มีผู้พักอาศัย หรือทำมาหากินอยู่ในย่านอโศกประมาณ 50,000 คน ช่วงนั้นยังไม่มีการสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงานสูงๆ เลย แต่ทุกวันนี้ ย่านอโศกมีผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่ประมาณ 1,000,000 คนต่อวัน เรียกว่าเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า มีการขยายถนนให้ใหญ่ขึ้นมาก ระบบระบายน้ำและสาธารณูปโภคอื่นๆ ก็ได้รับการพัฒนาขยับขยายขึ้นรองรับการใช้งาน เช่นเดียวกับอาคารสำนักงานและโครงการคอนโดมิเนียมใหญ่ๆ ก็เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เพิ่มขึ้นเลยคือ พื้นที่ทางเดินเท้ายังมีอยู่เท่าเดิม” ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าว สำหรับงบประมาณการก่อสร้างโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์คในเฟสแรกประมาณ 5,200 ล้านบาทส่วนเฟสที่สองของโครงข่ายซูเปอร์สกายวอล์ค จะก่อสร้างในปี 2555 - 2557 และคาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างราว 10,000 ล้านบาท

อะไรที่ทำให้ ผวจ.กรุงเทพ ท่านนี้ถึงได้มีแนวความคิดทำโครงการใหญ่ๆ สิ้นเปลืองงบประมาณได้มากมายถึงเพียงนี้ คิดว่ากรุงเทพเป็นเมืองหลวงและมีงบประมาณเหลือเฟือเป็นของตนเองนั้น คิดว่าท่านคงคิดผิดอย่างแน่นอน เพราะกรุงเทพมีระบบการบริหารงานเป็นองค์กรพิเศษที่เรียกว่าสภากรุงเทพมหานครและมีสมาชิกสภากรุงเทพฯ (สก.) เป็นผู้ดูแลและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานและการใช้งบ บังเอิญโชคร้ายของคนกรุงเทพฯ วันนี้ก็คือ ทั้ง สก.สข.และผุ้ว่าฯ ในยุคนี้มาจากพรรคเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ระบบการตรวจสอบจึงอาจไม่ทำงาน คือเห็นไปในทิศทางเดียวกันหมด แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่หรือมีเหตุผลเคลือบแฝงใดๆ ก็ตาม ประชาชนคนกรุงเทพฯ ย่อมต้องมีส่วนร่วมในโครงการที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด อะไรที่ใช่ และเป็นประโยชน์ต่อคนกรุงเทพฯจริงๆ เราไม่ต่อต้านอยู่แล้ว แต่หากไม่ใช่ คนกรุงเทพฯจะให้คำตอบแก่ผู้ว่าและทีมงานของท่านเอง เราเคยมีบทเรียนจากรถดับเพลิงสมัยผู้ว่าคนก่อน (อภิรักษ์ โกษะโยธิน) จากพรรคเดียวกัน และอีกหลายโครงการก็ถูกตั้งคำถามถึงว่าเป็นประโยชน์คุ้มค่ามากน้อยเพียงใดกับงบประมาณที่เสียไป ไม่ว่าจะเป็นป้ายอัจฉริยะทั่วกรุง ระบบรถรางBRT ทุกวันนี้สร้างมาแล้วมีคนใช้หรือได้ประโยชน์กับโครงการนี้ซักกี่คน คำถามที่ยังไม่มีใครให้คำตอบเราเลย แต่คิดแต่จะสร้างโน่นสร้างนี่ ใช้เงินงบประมาณกันท่าเดียว พอเราได้รับฟังมาว่าท่านคิดจะทำโครงการใหญ่ ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเราชาวกรุงเทพฯ โดยที่ท่านมิได้มาถามคนกรุงเทพฯอย่างเราๆ เลย หรือตอนหาเสียงก็ไม่เคยเห็นท่านจะมีวิสัยทัศน์ในเรื่องพวกนี้ให้เห็นเลย แต่จู่ๆ พอมาเป็นผู้ว่าฯ แล้วท่านก็ค่อยคิดจะมาทำ ผมคนกรุงเทพฯคนนึงที่มีบ้านอยู่ชานเมือง แทบจะไม่เคยได้ใช้บริการ BTS หรือ Sky Walk อะไรของท่านเลย ก็เลยรู้สึกเศร้าใจและเสียใจเป็นอย่างมากครับ ที่เลือกท่านมาเป็นผู้ว่าฯ