วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

20 เรื่องที่เราควรรู้ (18) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 18

เรื่องที่ 18  อเมริกาคืออาชญากร ผู้ก่อสงครามทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก โดยเฉพาะกับจีน

คุณผู้อ่านเคยสงสัยมั๊ยว่า เหตุใดค่าเงินทุกสกุลบนโลกนี้ ที่ไม่ใช่เงินสกุลหลักของโลก (ดอลล่าร์ ปอนด์ เยน ยูโร หยวน) มันถึงได้คงที่ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือมากนัก แต่กับเงินสกุลหลัก โดยเฉพาะเงินดอลล่าร์ มันถึงได้สวิงเปลี่ยนแปลงค่าได้บ่อย (เงินสกุลอื่นที่ไปอิงค่ากับเงินสกุลหลักก็จะผันผวนตาม) และรวดเร็ว มันต้องมีสาเหตุปัจจัย รวมถึงราคาของสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ต่างๆ ด้วย (น้ำมัน ทอง เหล็ก เงิน ฯลฯ) แล้ววันดีคืนดี เหตุใดหุ้นตกกันระเนระนาดทั่วโลก โดยอ้างค่าเงินบ้างหล่ะ เศรษฐกิจโลกบ้างหล่ะ น้ำมันขึ้นลงบ้างหล่ะ การขึ้นหรือลงของดอกเบี้ย Fed ,หนี้สาธารณะเพิ่มบ้างหล่ะ ไม่สามารถใช้หนี้ได้ทันตามกำหนด ต่างๆ เหล่านี้ แล้วทำไมจึงเกิดวิกฤติค่าเงินในหลายประเทศ เหตุใดเงินดอลล่าร์จึงท่วมโลก ราคาน้ำมันทำไมจึงลดฮวบฮาบดิ่งเหว ทั้งหมดเกิดจากกลไกธรรมชาติงั้นหรือ หรือมีใครกำลังควบคุมระบบทุกอย่างให้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ (คำโบราณที่อธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ ก็คือ เล่นแร่แปรธาตุนั่นเอง) ก่อนอื่นอยากให้ไปลองอ่านบทความที่คุณทนง ขันทอง นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าวเนชั่น ได้เขียนวิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าสนใจก่อน เกี่ยวกับสงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐ กับจีน แล้วจะเข้าใจภาพกว้างของมูลเหตุ ต้นตอว่ามันมาจากอะไร แล้วท่านผู้อ่านก็จะพอจะเข้าใจได้บ้างว่า กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ ถามว่าแล้วเมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกอย่างประเทศเราจะแหลกราญมั๊ย คำตอบอยู่ในใจของปุถุชนโดยทั่วไปแล้ว
 
หุ้นจีนที่ดิ่งเหวในเวลานี้ และระบบคอมฯของของตลาดหุ้นนิวยอร์ค สายการบินยูไนเต็ทและสื่อWall Street Journalที่ทำงานไม่ได้หลายชั่วโมง ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ชี้ให้เห็นว่าสงครามการเงินและไซเบอร์ระหว่างสหรัฐและจีนได้เกิดขึ้นแล้ว ตลาดหุ้นจีนที่เป็นฟองสบู่และกำลังถูกทุบให้แตกเวลานี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของกลไกตลาด แต่เป็นฝีมือของแก๊งค์Wall Streetที่ใช้ดอลล่าร์เป็นม้าไม้เข้าไปลงทุนในหุ้นจีน ปั่นให้เป็นฟองสบู่ เชียร์หุ้นจีน แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งจะเลี้ยวกลับหลังหันสั่งขายหุ้น ทำให้เกิดแพนิก เพื่อทุบหุ้นทำให้ฟองสบู่แตก  เป็นความจริงว่าจีนมีมาตรการคุมกองทุนฝรั่งไม่ให้ลงทุนในตลาดจีนได้สะดวก เพื่อป้องกันการเก็งกำไรหรือการปั่นที่ทางการคุมไม่ได้ ไม่เหมือนตลาดไทยที่ซ่าสุดฤทธิ์ เปิดเสรีเพื่อยอมเป็นลูกไก่ให้แก๊งค์Wall Street โยกย้ายซ้ายขวาได้ตามใจชอบ กองทุนฝรั่งมีโนมินีมากในจีน สามารถซิกแซกผ่านมาตรการเพื่อลงทุนในหุ้นจีนได้ แก๊งค์Wall Street ถนัดมากในการสร้างฟองสบู่การเงินแล้วทุบ เพราะว่าคุมธนาคารกลาง มีกระสุนดอลล่าร์ในมือไม่จำกัด ทำลายรัสเซียไปแล้วในปีที่แล้วด้วยการให้กู้$600,000 ได้เวลาจะล่อให้โอบามาประกาศแซงชั่น แล้วเรียกเงินคืนทันที ผลก็คือเศรษฐกิจรัสเซียล่ม ค่าเงินรูเบิ้ลพัง เหมือนที่ไทยโดนต่างชาติเรียกดอลล่าร์คืนในปี1997 ทำให้เงินบาทพัง ประเทศต้องเข้าโปรแกรมไอเอ็มเอฟ ยังดีที่มีจีนคอยอุ้มหมีขาวเอาไว้ มิเช่นนั้นเจ๊งไปนานแล้ว ไม่สามารถยืนหยัดได้ในตอนนี้ ตลาดจีนโดนแก๊งค์Wall Streetปั่นให้เป็นฟองสบู่ พวกอาหมวย อาตี๋ อาแป๊ะ อาม่าก็เข้าร่วมผสมโรงด้วย กับกองทุนจีน เฮฮาปาร์ตี้กันยกใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าหุ้นจีนขึ้นตั้ง 80%ตั้งแต่ต้นปี ก่อนจะโดนถล่มช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานำโดยMorgan Stanleyและกองทุนฝรั่งอื่นๆ ทำให้ตลาดหุ้นจีนเหมือนถูกไฟไหม้ป่า อาหมวยอาตี๋หนีออกไม่ทัน ถามว่าทางการจีนรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือรู้ แต่ก็ปล่อยให้พวกไอ้กันมันทำกัน ถ้าไม่มีบทเรียนก็จะไม่ซาบซึ้งกัน ได้มีมาตรการต่างๆในการพยุงหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการหยุดการเอาบริษัทใหม่เข้าตลาด ให้โบรกเกอร์จีนลงขันซื้อหุ้น กองทุนจีนลงขันซื้อหุ้น ธนาคารกลางจีนปล่อยสภาพคล่องซื้อหุ้น แต่บริษัทจีนเกือบ2ใน3ได้หยุดเทรดหุ้นแล้วจากมาตรการcircuit breaker หรือระบบตัดไฟช๊อตเพื่อป้องกันหุ้นร่วงต่อ แต่เอาเข้าจริง ทางการจีนไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากกับตลาดหุ้น เหมือนภาพที่สร้างออกมาให้ปรากฎ คงจะปล่อยให้ตลาดที่เป็นฟองสบู่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับพื้นฐานที่แท้จริง ทางการจีนมีมาตรการที่สำคัญคือการห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน5%ขายหุ้นเป็นเวลา6เดือน เพื่อป้องกันการเทขาย แล้วเตรียมเงินก้อนใหญ่ ประมาณ$500,000ล้านเพื่อเข้าไปช๊อปปิ้งของถูก ตอนที่เลห์แมน บราเธอรส์ล้มปี 2008 รัฐบาลสหรัฐใช้เงิน$750,000ล้าน อุ้มธุรกิจและบริษัทสหรัฐ ก็ดีเสียอีกที่จะได้ลดไขมันในตลาดหุ้น แม้ว่าจะต้องเลือดตกยางออก แต่ก็เป็นบทเรียนสำหรับทุกคนให้รู้ว่าสงครามการเงิน ม้าไม้ดอลล่าร์พิษสงมันเป็นอย่างไร จีนจะใช้เงินรัฐซื้อหุ้นทั้งหมด เอากลับมาเป็นของรัฐต่อไป ดีเสียอีกจะได้ไล่ฝรั่งออกไปให้หมด เสร็จแล้วจีนก็ถือโอกาสเล่นสหรัฐกลับด้วยสงครามไซเบอร์เพื่อล้างแค้นที่ปั่นหุ้นจีนและทุบหุ้นจีนในวันพุธที่ผ่านมา (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางปี 2015) ด้วยการถล่มระบบคอมฯหรือเครือข่ายคอมฯของตลาดหุ้นนิวยอร์ค สายการบินยูไนเต็ด และสื่อWall Street Journal ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญทางการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐทั้งนั้น ทำให้ระบบล่มหลายชั่วโมง เทรดหุ้นไม่ได้ เครื่องบินขึ้นไม่ได้ สื่อเจอจอดำ เอฟบีไอหรือทำเนียบขาวออกข่าวว่าเป็นความขัดข้องทางเทคนิค ถ้ายอมรับว่าจีนโจมตีจะเสียหน้า ที่สำคัญที่สุดมันจะสะท้อนให้เห็นว่าระบบความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐไม่มั่นคงเสียแล้ว จากกองโจรแฮ๊กเกอร์ของจีนที่มีหลายหมื่นหลายแสนคน เราทราบกันดีจากประวัติศาสตร์ว่าสงครามการเงินและเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นก่อนสงครามด้วยอาวุธร้ายเสมอ ตอนนี้ฝรั่งกับจีนและรัสเซียกำลังล่อกันไปล่อกันมาใต้ดินและบนดินกันเละเทะแล้ว แต่เมืองไทยยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่ตื่น เพราะว่าโลกสวย ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานไป ต้องเปิดเสรีการเงินเพิ่ม ให้บาทอ่อนๆจะได้ค้าขายคล่อง อยากได้ประชาธิปไตยเร็วๆ ต้องการความมั่นใจจากต่างชาติ ฝรั่งเป็นพ่อเป็นพระเจ้า ต้องทำตามคำสั่งมัน เดี๋ยวมันไม่ค้าขายด้วย (อ้างอิงบทความของคุณทนง ขันทอง , 9 กรกฏาคม 2015 ,facebook : Thanong Fanclub)

จีนโต้กลับในสงครามการเงินที่ร้อนระอุ

ภาพที่คนทั่วไปเข้าใจจากนักวิเคราะห์หรือสื่อของฝรั่งคือ จีนกำลังย่ำแย่ทางเศรษฐกิจและการเงิน ไหนจะตลาดหุ้นแครช (ล้มระเนระนาด) ไหนจะส่งออกทรุด ไหนจะอสังหาริมทรัพย์ย่ำแย่ ไหนจะจีดีพีร่วง จึงจำเป็นต้องลดค่าเงินหยวนอย่างรุนแรงเพื่อที่จะหวังพึ่งพาการส่งออกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ?ต้องเข้าใจว่าจีนและสหรัฐกำลังซัดกันอยู่ในสงครามการเงิน เป็นการต่อสู้ระหว่างเจ้าหนี้จีนและลูกหนี้สหรัฐ โดยที่จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกถึงเกือบ$4ล้านล้าน และสหรัฐแทบจะไม่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพราะว่ามีแต่หนี้เงินหยวน แต่มีทองคำมหาศาลหนุน ในขณะที่ดอลล่าร์มีแต่instrumentsหรือตราสารการเงินที่เป็นกระดาษหนุน จีนมีภาคการผลิต ในขณะที่สหรัฐอยู่ได้ด้วยการก่อหนี้เพื่อที่จะบริโภค ปัจจัยพื้นฐานต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่สหรัฐได้เปรียบอยู่เรื่องเดียวคือมีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก และสามารถก่อหนี้ได้โดยไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สหรัฐก่อสงครามการเงินก่อน โดยใช้ลูกไม้เดิมๆ คืออัดฉีดดอลล่าร์เข้าไปในเศรษฐกิจจีน เพื่อสร้างฟองสบู่การเงิน โดยมีนักลงทุนจีนเล่นตามน้ำ ทำให้หุ้นจีนพุ่ง 150%ในช่วงหนึ่งปีกว่าๆที่ผ่านมาก่อนที่ถอนการลงทุนดอลล่าร์กลับอย่างกระทันหัน เพื่อทำให้หุ้นจีนแครชในกลางเดือนมิถุนายน โดยตกไปแล้วประมาณ30% จีนตอบโต้ด้วยการถล่มไซเบอร์ระบบคอมฯของลาดหุ้นนิวยอร์ค สายการบินUnitedและสื่อ Wall Street Journalตามด้วยการห้ามนักลงทุนที่ถือหุ้นเกิน5%ขายหุ้นออกมาในระยะ6เดือนข้างหน้า เพื่อดัดหลังกองทุนฝรั่งที่เข้ามาถล่มตลาดหุ้นจีน ทำให้กองทุนฝรั่งติดหุ้นบนดอยตลาดหุ้นจีนอย่างน้อย$1ล้านล้าน จากมูลค่าตลาดรวมของจีน$7ล้านล้านเวลานี้  เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงแน่นอน แต่มันก็หมายความว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของทุกประเทศต้องชะลอลงไปด้วย แต่จีนชะลอตัวจากฐานที่สูงคือจีดีพีที่โตระดับ6-7% เทียบกับเศรษฐกิจของสหรัฐที่น่าจะไม่โตเลยแต่มีการปั่นตัวเลขเพื่อสร้างภาพเศรษฐกิจฟื้น เพื่อหนุนดอลล่าร์ให้แข็ง และเพื่อให้เฟดอ้างเหตุในการขึ้นดอกเบี้ยให้ดอลล่าร์ยิ่งจะแข็งขึ้นเพื่อทำลายหยวนและค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ๆ ทั้งๆที่รู้กันอยู่ว่า ธนาคารกลางของสหรัฐมีพอร์ตพันธบัตรอยู่$4.5ล้านล้าน ขึ้นดอกเบี้ยมีแต่จะเจ๊งอย่างเดียว ในทางตรงกันข้ามเฟดมีอยู่ทางเดียวคือต้องทำ QEเพิ่มเพื่อรักษาฟองสบู่ตลาดการเงินสหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมา จีนเริ่มตอบโต้ในสงครามการเงินหนักมือยิ่งขึ้นด้วยการลดค่าเงินหยวน 4%กว่า โดยมีเป้าหมายหลายประการ:
1. ลดค่าเงินเพื่อหนุนการส่งออกจีน ทำให้ส่งออกสหรัฐมีปัญหา
2. กดหยวนให้อ่อนค่า เพื่อดันราคาทองให้สูงขึ้น เพราะว่าจีนมีทองคำสำรองมหาศาล
3. นักลงทุนตกใจวิ่งเข้าหาทอง เห็นได้ว่าทองวิ่งขึ้น5-6วันทำการแล้ว
4. สหรัฐต้องกดราคาทอง หรือสกัดไม่ให้ระบบมาตรฐานทองคำเกิดเพราะว่าทองคำเป็นศัตรูหมายเลข 1ของดอลล่าร์
5. เงินหยวนที่อ่อนลงจะทำให้กองทุนฝรั่งที่ติดหุ้นจีน ยิ่งขาดทุนเพิ่มไปอีก

ที่เทียนจิน ท่าเรือทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนโดนถล่มในคืนที่ผ่านมา โดยเกิดเหตุระเบิดรุนแรงมีผู้เสียชีวิต17คน บาดเจ็บนับร้อย ยังไม่แน่ชัดว่าจีนโดนก่อการร้ายหรือไม่ ตุรกีเพิ่งจะโดนก่อการร้ายเป็นชุดๆ หลังจากที่ยื้อไม่ยอมให้สหรัฐใช้เป็นฐานในการปิดล้อมรัสเซีย และเพื่อการถล่มซีเรีย ดูเกมแล้ว คาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยว่า จีนจะถล่มสงครามไซเบอร์สหรัฐกลับอย่างรุนแรง ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีนมีสมรรถภาพสูงกว่าสหรัฐหลายเท่าตัว ระบบการเงินของสหรัฐมีโอกาสล่มสูง  เมื่อยักษ์รบกัน เราเป็นมดก็ได้แต่เฝ้าดูด้วยความมันส์ (อ้างอิงบทความของคุณทนง ขันทอง , 13 สิงหาคม 2015 ,facebook : Thanong Fanclub)

ล่าสุดจีนออกมาจวกจอร์จ โซรอส ผู้อยู่เบื้องหลังถล่มตลาดเงินของจีน
เอเจนซีส์ - สื่อรัฐบาลจีนรุมจวก พ่อมดนักปั่นเงินจอร์จ โซรอส และเทรดเดอร์ตลาดเงินอื่น ๆ ว่า กำลัง ประกาศสงครามกับสกุลเงินแดนมังกร ขณะที่เงินหยวนถูกกดดันอย่างหนัก โดยที่มีการอ้างกันว่าตลาดกำลังเชื่อว่าหากเงินทุนยังไหลทะลักออกจากแดนมังกรภายหลังเทศกาลวันหยุดตรุษจีนแล้ว ก็มีแนวโน้มสูงว่าเงินหยวนจะอ่อนยวบลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ เฮดจ์ฟันหลายรายเดิมพันว่า ค่าเงินจีนจะอ่อนลงถึง 20 - 50% ระหว่างการประชุมประจำปี เวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัมที่เมืองดาวอส, สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โซรอส พ่อมดการเงินวัย 85 ปี ให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์ก ทีวี ว่า จีนกำลังจะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจอีกมากมาย และการชะลอตัวรุนแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โซรอสที่ถูกกล่าวหาว่า มีบทบาทสำคัญทั้งในการปั่นเงินจนทำให้เงินปอนด์ต้องลดค่าเมื่อทศวรรษ 1990 และในวิกฤตการเงินเอเชีย ต้มยำกุ้งปี 1997 บอกว่า ภาวะเงินฝืดและปริมาณหนี้ที่มีมากเกินไป คือ ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจแดนมังกรชะลอตัว เขาวิจารณ์ด้วยว่า จีนรอนานเกินไปกว่าที่จะเปลี่ยนโมเดลการเติบโต โดยยกเลิกการพึ่งพิงการส่งออกและหันมาส่งเสริมการเติบโตที่หนุนนำโดยการบริโภคแทน ถึงแม้ปักกิ่งมีความสามารถเหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ในการจัดการการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว เนื่องจากมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมหาศาลกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ก็ตาม  ช่วงหลายเดือนมานี้ เงินหยวนที่ปกติแล้วมีเสถียรภาพดี และอยู่ภายใต้การควบคุมใกล้ชิดของปักกิ่ง กลับถูกกดดันอย่างหนักในตลาดต่างประเทศและจากการไหลออกของเงินทุน กระทั่งทางการต้องทุ่มเงินหลายแสนล้านดอลลาร์เข้าปกป้อง ในวันพุธ (27) สำนักข่าวซินหวาของทางการจีน ระบุว่า ในอดีตที่ผ่านมา โซรอสทำนายทายทักมาหลายครั้ง ว่า จีนจะเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าพวกที่ขายชอร์ตไม่ได้ทำการบ้านมา หรือว่าคนเหล่านั้นกำลังพยายามทำให้ตลาดแตกตื่นเพื่อฟันกำไรก็ตามซินหวากล่าว ขณะที่บทความภาษาอังกฤษของโกลบัล ไทมส์ หนังสือพิมพ์แนวชาตินิยมในเครือของเหรินหมินรึเป้า กล่าวหาว่า ตะวันตกไม่รับผิดชอบในการก่อปัญหาให้กับเศรษฐกิจโลก  การแสดงความคิดเห็นเหล่านี้มีขึ้นหลังจากที่เหรินหมินรึเป้า หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระบอกเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ลงบทความหน้าหนึ่งฉบับวันอังคาร (26) โดยระบุว่า โซรอสกำลังประกาศสงครามอย่างเปิดเผยกับจีน ด้วยการออกมาพูดว่าเขากำลังเดิมพันว่า ค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในเอเชียจะอ่อนลง ในอีกด้านหนึ่ง ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์เสนอรายงานข่าวว่า กองทุนแมคโครเฮดจ์ฟันด์จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานอยู่ในอเมริกา กำลังเดิมพันตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า เงินหยวนจะอ่อนลง 20 - 50% ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากซิตี้แสดงให้เห็นว่า กองทุนที่ลงทุนด้วยเงินที่กู้ยืมมา (leveraged funds) เริ่มถอนเงินออกตั้งแต่ที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนในตลาดนอกประเทศลดเหลือ 6.76 หยวนต่อดอลลาร์ เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว รายงานของรอยเตอร์อ้างว่า ผู้เล่นจำนวนมากมองว่าหากหลังวันหยุดตรุษจีนในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนหน้า เงินทุนยังคงไหลทะลักออกจากตลาดจีน ก็จะส่อแสดงว่ากองทุนต่าง ๆ วางเดิมพันได้อย่างถูกต้องแล้วว่าหยวนจะอ่อนค่าลงอีก มาร์ก ฮาร์ต ประธานกองทุนแมคโครเฮดจ์ฟันด์ คอร์เรียนต์ออกมาพูดทางทีวีในเดือนนี้ ว่า จีนควรปล่อยให้เงินหยวนอ่อนลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วตั้งแต่ตอนนี้ แทนที่จะรออ่านเกมไปเรื่อย ๆ และปล่อยให้เงินทุนไหลออก ซึ่งเท่ากับเป็นการเชิญชวนนักเก็งกำไรเข้าไปโจมตีเงินหยวน ขณะที่เทรดเดอร์ตราสารอนุพันธ์สำทับว่า กำลังมีการเดิมพันกันอย่างกว้างขวางว่า อัตราแลกเปลี่ยนของจีนจะอ่อนยวบถึง 8 หยวนต่อดอลลาร์ และข้อมูลบ่งชี้ว่า จะมีการเข้าโจมตีครั้งใหญ่เมื่อเงินหยวนอยู่ที่ 7.20 - 7.60 หยวนต่อดอลลาร์ ทั้ง คอร์เรียนต์ และ ออมนิ แมคโคร ฟันด์ จากลอนดอน ต่างมองว่า หากจีนยังคงขัดขืนต่อสู้ ทุนสำรองก็จะร่อยหรอลงอย่างฮวบฮาบ และอาจถูกบีบให้ต้องลดค่าเงินหยวนครั้งใหญ่ในปีนี้จนได้ โดยผู้บริหารของทั้ง 2 กองทุน คาดว่า เดือนนี้ปักกิ่งอาจต้องถอนทุนสำรองออกมาแทรกแซงตลาดอีก 200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากยังมีการถอนออกมาใช้ในอัตรานี้ต่อไป ทุนสำรองของจีนจะเหือดแห้งภายในปีนี้ และเงินหยวนก็จะอ่อนลงอีก 18 - 20% กระนั้น มีผู้จัดการสินทรัพย์ระยะยาวน้อยคนนักที่คาดว่า เงินหยวนจะอ่อนลงเกิน 10% ในปีนี้ ตัวอย่างเช่น แกร์รี กรีนเบิร์ก หัวหน้าทีมตลาดเกิดใหม่ของแอร์เมส อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ ที่บอกว่า แม้มีเหตุผลที่จะกล่าวอ้างได้ว่า เงินหยวนขณะนี้มีมูลค่าสูงเกินจริงถึง 20% แต่คงต้องใช้เวลาเกินสองปีกว่าที่อัตราแลกเปลี่ยนจีนจะอ่อนลงถึง 20% และเขาคิดว่า การลดค่าเงินครั้งใหญ่รวดเดียวกลับจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม (เครดิตอ้างอิง ข่าวแปล คอลัมน์ต่างประเทศ,MGR online, 27 มกราคม 2559)
หมายเหตุ เพิ่มเติมบทความของคุณทนง ขันทอง “จอร์จ โซรอส นำทัพถล่มเมืองจีน”  ซีงมีหลายตอนเขียนอยู่ในเฟสบุ้คส่วนตัว ซึ่งมีเป็นตอนๆ ได้ที่  https://th-th.facebook.com/ThanongFanclub/และบทความเก่าๆ “มือที่มองไม่เห็น” มี 14 ตอน ซึ่งอธิบายเหตปัจจัยต่างๆ และกลวิธีในการควบคุมกลไกระบบเศรษฐกิจ และเล่นงานคนที่เป็นศัตรูของอเมริกาอย่างไร

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

โลก 360 องศา - (เมื่อพายุหิมะถล่ม - ภัยหนาวมาเยือนทั่วโลก อย่างรุนแรง)


เกิดอะไรขึ้นกับอุณหภูมิทั่วโลกในขณะนี้ ที่อากาศแปรปรวนจนถึงขั้นอากาศหนาวรุนแรงเช่นนี้

 

 
มันคือผลทางอ้อมจากภาวะเรือนกระจก Green House effect  หลายคนอาจจะคิดว่ามันจะทำให้โลกร้อนเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้ว มันทำให้โลกหนาวได้ด้วย เพราะภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมืสูงขึ้นโดยเฉพาะทวีปอาร์ตติกขั้วโลกใต้   ทำให้น้ำแข็งละลาย ทำให้ปริมาณน้ำจืดเยอะขึ้น (รวมถึงการละลายของน้ำแข็ง)  ซึ่งจะทำให้โลกมีพื้นผิวทะเลมากขึ้น  ความชื้นมากขึ้น  ฝนตกมากขึ้น  กระแสน้ำเปลี่ยน (และจะเกิดการไหลเวียนของกระแสน้ำเย็นจำนวนมาก) จนสุดท้ายแล้วอุณหภูมิโลกจะค่อยๆหนาวขึ้น เหตุการณ์ในลักษณะนี้มีลักษณะคล้ายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20,000 ปีก่อน คือช่วงยุคน้ำแข็ง  จึงอนุมานได้ว่า มีความเป็นไปได้ที่โลกของเรากำลังจะกลับไปสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้งหรือไม่

อเมริกาอ่วมหนัก เจอพายุหิมะถล่มหนักสุดเป็นประวัติการณ์

วอชิงตัน/นิวยอร์ก/โซล (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - ภาคตะวันออก ของสหรัฐยังคงเผชิญกับหิมะที่ตกหนักสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คนตามรัฐต่างๆ ส่วนที่เกาหลีใต้เผชิญหิมะตกหนักมากที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ และลมกระโชกแรง ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยว  พื้นที่แถบชายฝั่งภาคตะวันออกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐส่วนใหญ่กลายเป็นอัมพาต หลังจากพายุหิมะ ซึ่งมีความรุนแรง และมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า สโนว์ซิลล่า เข้าพัดถล่มตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และขณะนี้พายุได้เพิ่มกำลังแรงยิ่งขึ้น ทำให้กรุงวอชิงตัน ดีซี ต้องปิดการคมนาคมตลอดช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่ระบบการขนส่งมวลชนและรถไฟฟ้าใต้ดินปิดให้บริการเป็นส่วนใหญ่ ในเมืองฟิลาเดลเฟีย และในรัฐนิวเจอร์ซี ส่วนนครนิวยอร์กปิดให้บริการทั้งหมดในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ และพายุหิมะอาจส่งผลกระทบต่อการเปิดทำการของตลาดหุ้นวอลล์สตรีตในวันจันทร์  สำนักอุตุนิยมแห่งชาติของสหรัฐ รายงานว่า ที่กรุงวอชิงตันดีซี หิมะตกสูงถึง 24 นิ้ว ขณะที่ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งมีประชากรอาศัย ราว 20 ล้านคน มีหิมะสูง 26.8 นิ้วในช่วงเที่ยงคืนวันเสาร์ จากสถิติครั้งก่อน 26.9 นิ้วเมื่อปี 2549 นับเป็นหิมะตกหนักที่สุดครั้งที่ 3 ในรอบ 177 ปี ในมหานครแห่งนี้ ขณะที่มีรายงาน ผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 19 คนในหลายรัฐ โดย 13 คน เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย ในรัฐอาร์คันซอว์ นอร์ทแคโรไลนา เคนตักกี้ โอไฮโอ เทนเนสซี่ และเวอร์จิเนีย ส่วนอีก 1 คนเสียชีวิตในรัฐแมรีแลนด์ และ 3 คนเสียชีวิตในนครนิวยอร์ก ขณะกำลังโกยหิมะ ขณะที่อีก 2 คนเสียชีวิตจากอุณหภูมิร่างกายลดต่ำเฉียบพลันในรัฐเวอร์จิเนีย พายุหิมะครั้งนี้ทำให้มีการประกาศภาวะฉุกเฉินใน 21 รัฐ และส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยในภูมิภาคแถบนี้กว่า 85 ล้านคน โดยประชาชนกว่า 2 แสนคนไม่มีไฟฟ้าใช้ ขณะที่ต้องระงับ เที่ยวบินกว่า 4,400 เที่ยวที่สนามบินในนครนิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย กรุงวอชิงตัน ดีซี และบัลติมอร์ นอกจากนี้ ยังเกิดน้ำท่วมหนักในเมืองชายฝั่งของรัฐ "นิวเจอร์ซี่" และ "เดอลาแวร์" เนื่องจากอิทธิลพของพายุหิมะ ที่มีกำลังมหาศาลลูกนี้ ได้ทำให้เกิดคลื่นสูงในทะเล โถมเข้าใส่ชายฝั่ง ขณะที่มีการประเมินกันว่า พายุหิมะถล่มสหรัฐครั้งนี้อาจสร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (36,000 ล้านบาท) ส่วนที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเกิดคลื่นความเย็นพาดผ่าน เมื่อวานนี้ ทำให้อากาศในกรุงโซลหนาวจัดอย่างฉับพลัน วัดได้ ถึงลบ 16 องศาเซลเซียส และวันนี้วัดได้ถึง ลบ 18 องศาเซลเซียส ทำให้สำนักอุตุนิยมวิทยาของเกาหลีใต้ ต้องประกาศเตือนภัยสภาพอากาศหนาวในเมืองหลวง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี เที่ยวบินที่สนามบินบนเกาะเชจูสถานตากอากาศชื่อดังในเกาหลีใต้ต้องระงับบริการต่อเนื่องเป็นวันที่สองแล้วหลังหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 30 ปี ด้านเจ้าหน้าที่ศูนย์พยากรณ์อากาศฮ่องกงออกประกาศเตือนสภาพอากาศเย็นจัดและคลื่นความเย็นแผ่ปกคลุมอย่างรุนแรง ประกอบกับลมมรสุมฤดูหนาว อากาศที่ฮ่องกงในเช้าวานนี้ อุณหภูมิลดต่ำลงมาถึง 3.3 องศาเซลซียส ในขณะที่อาคารส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องทำความอบอุ่น ส่วนอุณหภูมิแถบภูเขาดิ่งลงถึงติดลบ นับเป็นสภาพอากาศเย็นจัดที่สุดในรอบ 59 ปีนับตั้งแต่สถิติเดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2500 ที่อุณหภูมิลดลงเหลือ 2.4 องศาเซลเซียส  ถนนสายหลักในย่านไทม์สแควร์ของนครนิวยอร์กในสหรัฐแทบจะร้างราผู้คนและนักท่องเที่ยว หลังจากนครนิวยอ์กและหลายพื้นที่ทางชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐกลายเป็นอัมพาต เนื่องจากเผชิญพายุหิมะลูกใหญ่ที่ตกหนักสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คนตามรัฐต่างๆ  ประชาชนชาวอเมริกันมากกว่า 50 ล้านคน ในหลายสิบรัฐ กำลังเผชิญกับพายุหิมะครั้งรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี โดยคาดว่าในกรุง"วอชิงตัน ดีซี" จะมีหิมะสูงมากกว่า 70 เซนติเมตร ซึ่งขณะนี้ บริการขนส่งมวลชนทั้งหมดในเมืองหลวงปิดให้บริการแล้วตลอดช่วงสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่ทางการสหรัฐฯ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วใน 6 รัฐ อาทิ เทนเนสซี, นอร์ท แคโรไลนา, เวอร์จิเนีย, แมริแลนด์, และเพนซิลเวเนีย ทั้งนี้  มีรายงานเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในหลายรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 8 คน เที่ยวบินต้องถูกยกเลิกกว่า 6,000 เที่ยว ขณะที่ การแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ 2 รายการ ต้องประกาศเลื่อนออกไปเช่นกัน นอกจากนี้ ประชาชนยังเร่งกักตุนสินค้าตามซุปเปอร์ต่างๆจนขาดตลาด เนื่องจากทางการได้ประกาศเตือนให้ประชาชน หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้านเรือน โดยล่าสุด พายุหิมะกำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศเหนือของประเทศ

 
พายุหิมะถล่มยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วงปลายหน้าหนาว ส่งผลให้การเดินทางเป็นอัมพาต ไฟฟ้าดับประเทศแถบตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปเผชิญพายุหิมะตกหนักในช่วงปลายฤดูหนาว โดยฝรั่งเศสได้รับผลกระทบมากที่สุด พื้นที่เกือบ 1 ใน 3 ของประเทศอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง รัฐบาลตั้งกลุ่มรับมือวิกฤติเพื่อรับมือเหตุขัดข้องต่างๆ  ประชาชนกว่า 2,000 คนติดค้างอยู่ในรถยนต์เพราะหิมะที่ตกหนักทำให้ถนนหลายสายในเมืองนอร์มังดีและบริตทานีเป็นอัมพาต บ้านเรือนอย่างน้อย 66,000 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ หลังจากหิมะตกหนา 20-60 เซนติเมตร ประชาชนจำนวนมากเข้าไปอาศัยตามที่พักฉุกเฉิน สนามบินชาร์ลส์เดอโกลและออร์ลีในกรุงปารีสต้องยกเลิกเที่ยวบิน 1 ใน 4 อุบัติเหตุด้านจราจรใกล้เมืองลิลทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 14 คน ส่วนชายเร่ร่อนคนหนึ่งเสียชีวิต คาดว่าสาเหตุมาจากหนาวตาย บริษัทรถไฟแห่งชาติเตือนประชาชนย่านชานเมืองว่าไม่ควรเดินทางเข้าเมืองเพราะรถไฟต้องฝ่าหิมะ โดยในแต่ละวันชาวปารีสร่วม 3 ล้านคนใช้บริการรถไฟในการเดินทาง การรถไฟแนะนำด้วยว่าผู้วางแผนเดินทางไปภาคเหนือหรือตะวันตกควรเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน โดยยวดยานไม่สามารถวิ่งผ่านถนนในทั้งสองภาคได้ ส่วนในอังกฤษ ประชาชนหลายร้อยคนต้องติดค้างอยู่ในรถเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมง ในช่วงที่หิมะและสายลมหนาวเหน็บพัดผ่านภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ตำรวจและหน่วยกู้ภัยต้องช่วยประชาชนออกจากรถท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ 3 องศาเซลเซียส กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าอุณหภูมิจะต่ำกว่าระดับเฉลี่ยไปจนถึงสัปดาห์หน้า  ด้านรถไฟยูโรสตาร์แนะนำผู้โดยสารให้งดเดินทาง พร้อมระบุว่าบริการรถไฟระหว่างลอนดอน-ปารีสเผชิญอุปสรรคจากสภาพอากาศที่เลวร้าย  หิมะที่ตกหนักในหลายส่วนของเยอรมนีเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางเช่นกัน มีการยกเลิกเที่ยวบิน 161 เที่ยวที่สนามบินแฟรงเฟิร์ต ซึ่งเป็นสนามบินที่คับคั่งอันดับ 3 ของยุโรป ขณะที่บริการขนส่งมวลชนในเมืองเบอร์ลินได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องยกเลิกรถไฟไปหลายเที่ยว คาดว่าสภาพอากาศที่หนาวจัดจะดำเนินไปต่อเนื่อง กรมอุตุนิยมวิทยาทำนายว่าอุณหภูมิอาจติดลบถึง 10 องศาเซลเซียสและจะมีหิมะตกหนักขึ้น มีการยกเลิกรถโดยสารและรถไฟในกรุงบรัสเซลส์ และหลายเมืองของประเทศเบลเยียมเช่นกัน รวมถึงรถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงปารีส-บรัสเซลส์


พายุหิมะถล่มเอเซียทำลายสถิติที่เคยมีมา
เอเอฟพี ลมหนาวที่มาพร้อมความเย็นสุดขั้ว หิมะและฝนลูกเห็บ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 รายในประเทศแถบเอเชีย เที่ยวบินนับร้อยเที่ยวต้องยกเลิก รวมทั้งยังเกิดความวุ่นวายนานัปการตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศแถบนี้คุ้นเคยกับอากาศปลอดโปร่งและแดดจัด แต่ต้องมาเผชิญกับอุณหภูมิลดต่ำเป็นประวัติการณ์แบบกะทันหัน ที่ญี่ปุ่นและไต้หวันมีรายงานผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น เที่ยวบินนับร้อยเที่ยวทั่วภูมิภาคถูกยกเลิก นักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนติดค้างอยู่ในเกาหลีใต้ สภาพอากาศหนาวยะเยือกในบริเวณกึ่งเขตร้อนอย่างฮ่องกงทำให้เกิดความโกลาหลอย่างหนักบนยอดเขาสูงที่สุดของเกาะ  แม้อากาศที่หนาวเหน็บอย่างฉับพลันเทียบไม่ได้กับสภาพอากาศทางภาคตะวันออกของอเมริกาที่กำลังเผชิญพายุหิมะ แต่อุณหภูมิลดต่ำขนาดนี้ก็ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้คนมากมายในเอเชีย  จุดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือที่ไทเป อุณหภูมิลดเหลือ 4 องศาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสภาพอากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบ 44 ปี สื่อท้องถิ่นรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตถึง 90 คนจากอากาศที่หนาวเย็น อย่างไรก็ตาม การที่มีหิมะตกซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อย ทำให้คนแห่ไปรับอากาศหนาวที่อุทยานแห่งชาติหยางหมินซัน ที่กรุงเทพฯ ที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นอุณหภูมิลดต่ำกว่า 20-25 องศาเซลเซียส แต่ขณะนี้กลับปรากฏว่า อุณหภูมิลดเหลือ 16 องศาเซลเซียสโดยประมาณ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24) ส่งผลให้คนกรุงเทพฯ ที่ชินกับการสวมกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ต้องเปิดตู้เสื้อผ้ารื้อแจ็คเก็ตและจัมเปอร์ออกมาใส่กันทั่วเมือง  ที่ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิต 5 คน และอีกกว่า 100 คนได้รับบาดเจ็บเมื่อวันอาทิตย์ จากหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักและอุณหภูมิลดต่ำทำสถิติทางภาคตะวันตกและตอนกลางของประเทศ นอกจากนั้นยังมีหิมะตกในบริเวณกึ่งเขตร้อนซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก อาทิ ที่เกาะอามามิซึ่งมีหิมะตกครั้งแรกนับจากปี 1901 ส่วนที่จีน สถานีตรวจสอบสภาพอากาศ 24 แห่งทั่วประเทศบันทึกอุณหภูมิลดต่ำทำสถิติได้ระหว่างวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (22-24) ที่เออร์กูนา ในมองโกเลีย อุณหภูมิเมื่อวันเสาร์ (23) ทำสถิติต่ำสุดที่ -46.8 องศาเซลเซียส ขณะที่ในตัวเมืองกวางตุ้งพบฝนลูกเห็บเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ทางด้านฮ่องกง โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมศึกษาปิดทำการในวันจันทร์ หลังจากอุณหภูมิลดต่ำสุดในรอบ 60 ปี งานวิ่งอัลตรามาราธอนระยะทาง 100 กม. เพื่อข้าม "ไตโหมวซาน" ยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะฮ่องกงต้องถูกยกเลิก หลังจากนักวิ่งลื่นล้มบนทางลาดชันที่กลายเป็นน้ำแข็ง ท่ามกลางลมเย็นยะเยือก นอกจากนั้น ยังมีนักวิ่งอีกนับร้อยที่ ไล่ล่าแม่คะนิ้งติดอยู่บนยอดเขาดังกล่าว ในจำนวนนี้หลายสิบคนมีสภาวะร่างกายมีอุณหภูมิต่ำเกินไป นักดับเพลิงโชคร้ายคนหนึ่งลื่นล้มบนถนนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ขณะขึ้นไปช่วยผู้คนที่ติดค้างอยู่บนนั้น  ส่วนที่เกาหลีใต้ นักท่องเที่ยวเกือบ 90,000 คนติดอยู่บนเกาะเจจู ซึ่งเป็นสถานที่ตากอากาศยอดนิยมของแดนกิมจิ เมื่อวันจันทร์ (25) โดยมีหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษทำให้ต้องปิดสนามบิน ที่เวียดนาม อุณหภูมิในฮานอยลดเหลือ 6 องศาเซลเซียสในช่วงกลางคืนของสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และสื่อของทางการรายงานว่า เป็นสภาพอากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบสองทศวรรษ

เกิดเหตุหิมะตกหนักสุดในรอบ 30 ปีที่เกาหลีใต้ ส่งผลให้ต้องปิดสนามบินเป็นวันที่ 3 ทำให้ประชาชนเกือบ 9 หมื่นคนตกค้าง ประชาชนเกือบ 90,000 คนตกค้างอยู่ที่เกาะเชจูสถานตากอากาศในเกาหลีใต้ ภายหลังหิมะตกหนักมากที่สุดในรอบ 30 ปี ทำให้ต้องปิดสนามบินติดต่อกันเป็นวันที่สามแล้ว  เกาะเชจูซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฮาวายแห่งเกาหลีใต้จากการที่มีชายหาดหลายแห่งและสภาพอากาศอบอุ่นโดยทั่วไป ต้องเผชิญกับอากาศหนาวจัดมาตลอดสัปดาห์ ทำให้อุณหภูมิดิ่งลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่เกาะเชจูมีหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษนับตั้งแต่วันเสาร์ อุณหภูมิดิ่งลงมาติดลบ 6.1 องศาเซลเซียส กระทรวงขนส่งแถลงว่า ท่าอากาศยานระหว่างประเทศเชจูจะต้องปิดบริการต่อไปจนถึงเวลา 20.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 18.00 น.วันนี้ในไทย เนื่องจากหิมะตกหนักและลมแรง รวมทั้งเลื่อนเที่ยวบินเกือบ 1,100 เที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์และวันจันทร์นี้ นักเดินทางตกค้างราว 86,000 คนที่เกาะเชจู หลายพันคนต้องอาศัยนอนที่สนามบิน โดยวางกระดาษปูนอนและขดตัวในผ้าห่มเพราะพื้นเย็นมาก ก่อนหน้านี้สถานีอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนคลื่นลมหนาวปกคลุมเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี  ส่วนที่ประเทศลาว หิมะตกในซำเหนือที่เคยเป็นเรื่องเล่าขานกันมาแต่สมัยปู่ย่าตายาย ได้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาในตอนเช้าวันอาทิตย์ 24 ม.ค. ภาพเหตุการณ์ที่หิมะตกโปรยปราย ปุยสีขาวเกาะบนพื้น บนหลังคาบ้านเรือนราษฎร กำลังแพร่สะพัดในประชาคมออนไลน์ของชาวลาวในช่วงข้ามวันมานี้เช่นเดียวกับการเกิดเหมยขาบ หรือ น้ำค้างแข็งเกาะตามกิ่งไม้ใบไม้ และยอดหญ้าในพื้นที่ห่างไกลออกไป  ชาวลาวนับร้อยๆ คนพูดกันว่า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นหิมะตกในดินแดนบ้านเกิด ผู้ใช่้นาม "ออนนะพา พนมีไซ" (Aonenapha Phonmeexay) ได้นำภาพกว่า 10 ภาพขึ้นเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยระบุว่า ถ่ายจากแขวงหัวพันตอนเช้าวันที่ 24 ม.ค. แสดงให้เห็นปุยหิมะที่ปกคลุมบนพื้น และบนหลังคาบ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ได้ระบุที่ตั้ง ขณะที่อุณหภูมิในแขวงหัวพัน ลดลงจนถึง -3 องศาในยามเช้า ในเวลาต่อมา ชาวหัวพันอีกผู้หนึ่งได้นำภาพอีกจำนวนหนึ่ง ขึ้นเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ຄິດຮອດຊຳເໜືອ (คิดถึงซำเหนือ) แสดงให้เห็นละอองหิมะที่กำลังโปรยปราย บางส่วนยังติดค้างบนศรีษะและตามลำตัวของผู้ที่ไปเฝ้าดูชม ทั้งอธิบายว่า เหตุเกิดที่บ้านหนองค่าง ในดินแดนที่เคยเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวเมื่อก่อน  ควายนับสิบตัวนอนตายขึ้นอืดอยู่บนเนิน ราษฎรออนไลน์บอกว่าสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ สิ้นชีวิตลงเพราะความหนาวเย็น เหตุเกิดที่บริเวณบ้านหนองค่างเช่นเดียวกัน ชาวเน็ตลาวหลายคนแลกเปลี่ยนความรู้กัน ระบุว่าเคยมีหิมะตกทั้งในในแขวงหัวพันและแขวงเชียงขวาง แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องเล่าขานมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย คนรุ่นใหม่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น ในซำเหนือเองเมื่อ 2 ปีที่แล้วอากาศในฤดูนี้หนาวเย็นจัด อุณหหภูมิลดลงถึง 0 องศา จนกระทั่งน้ำที่ตักใส่ภาชนะไว้ กลายเป็นน้ำแข็ง แต่ก็ไม่มีหิมะตก ปรากฎการณ์ที่หาดูได้ยากในดินแดนลาวนี้ เกิดในวันเดียวกันกับที่มีหิมะตกโปรยปรายลง ในหลายท้องถิ่นทางตอนเหนือของเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขต อ.ซาปา (Sa Pa) จ.หล่าวกาย (Lao Cai) เมืองท่องเที่ยวตากอากาศบนเขา ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร รวมทั้งในบางท้องถิ่นของ จ.เซินลา (Son La) กับ จ.เดียนเบียน (Dien Bien) ที่อยู่ในเส้นรุ้งเดียวกัน และ มีสภาพพื้นที่เป็นป่าเขา คล้ายคลึงกับแขวงหัวพันของลาว  กรมอุตุนิยมวิทยาในนครเวียงจันทน์ ได้ออกคำเตือนปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ประชาชนทั่วประเทศเตรียมพร้อมรับมืออากาศที่จะเย็นลงตั้งแต่ 3-5 องศา ระหว่างวันที่ 23-25 ม.ค.นี้ ในขณะที่หลายท้องถิ่นจะเกิดมีฝนตก คลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง สร้างความยกลำบากในชีวิตประจำวัน ซ้ำเติมผู้คนที่กำลังตกอยู่ใต้อากาศหนาวจัด

นหวา/ซีซีทีวี - คลื่นอากาศหนาวเย็นยังคงแผ่ปกคลุมหลายพื้นที่ทั่วประเทศจีน บางแห่งอุณหภูมิติดลบนับสิบองศาเซลเซียส ทำให้ทางการสั่งคงสัญญาณเตือนภัยสูงสุดระดับสอง ส่วนโลกออนไลน์เป็นกังวลผลกระทบต่อการเดินทางช่วงเทศกาลตรุษจีน  ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ (เอ็นเอ็มซี) รายงาน (24 ม.ค.) ว่าระดับอุณหภูมิในบางพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และบริเวณระหว่างแม่น้ำฮวงโห-แม่น้ำไหวเหอ ได้ปรับลดลง 10-13 °C ในช่วงเช้าวันนี้ ขณะเดียวกันพื้นที่ทางตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำแยงซีเกียง อุณหภูมิก็อาจลดต่ำลงถึง -12 °C ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันจันทร์ (25 ม.ค.) โดยบางพื้นที่ของมณฑลเจ้อเจียง ฝูเจี้ยน และก่วงตง (กวางตุ้ง) อุณหภูมิอาจดิ่งลงเท่ากับหรือมากกว่าสถิติต่ำสุดที่เคยมีการบันทึกไว้  ทั้งนี้ ระบบการเตือนภัยสภาพอากาศของจีน แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ สีแดงคือระดับรุนแรงสูงสุด ตามด้วยสีส้ม สีเหลือง และสีน้ำเงิน ซึ่งความรุนแรงลดลหลั่นลงมาตามลำดับ โดยเอ็นเอ็มซีประกาศคงสัญญาณเตือนสีส้มในวันนี้ หลังจากการประกาศครั้งแรกในเช้าวันนเสาร์ที่ผ่านมา  สภาพอากาศวานนี้ในกรุงปักกิ่งได้ลดฮวบทำสถิติต่ำสุดในรอบ 30 ปี ด้วยตัวเลขราว -13 °C โดยสถิติก่อนหน้านี้คือ -8.5 °C เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2553 ด้านนครเทียนจินและเมืองสือจยาจวง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนครหลวง ก็ได้พบฤดูหนาวสุดขั้วเช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ  มหานครฉงชิ่งทางจีนตะวันตกเฉียงใต้ เกิดหิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี รวมถึงมหานครเซี่ยงไฮ้ทางชายฝั่งตะวันออกของจีน ก็มีหิมะตกเช่นกันหลังอุณหภูมิลดลงที่ -2 °C  ต่อมาในเช้าวันนี้ อุณหภูมิยังคงตกลงในพื้นที่ภาคเหนือ และภูมิภาคหวงไหว (Huanghuai) ซึ่งหมายถึงมณฑลเหอหนันทางตอนกลางและมณฑลอันฮุยทางตอนเหนือ โดยอากาศหนาวเย็นจัดด้วยตัวเลข -20 °C หรือที่นครหนันจิง (นานกิง) เมืองเอกของมณฑลเจียงซูทางจีนตะวันออก อุณหภูมิก็ลดลงอยู่ที่ -10 °C  นักอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า คลื่นอากาศหนาวเย็นจะเคลื่อนลงสู่ภาคใต้ของจีนในวันนี้ โดยเฉพาะมณฑลฝูเจี้ยน ก่วงตง และเขตปกครองตนเองก่วงซี ชนชาติจ้วง อาจผจญอากาศหนาวจัดในสถิติใหม่  นายจัง เถา หัวหน้านักวิจัยของเอ็นเอ็มซี เผยว่าแนวปะทะอากาศเย็น (cold front) ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากกระแสลมวน (vortex) ขนาดมหึมา ที่พัดจากไซบีเรียตะวันออกตรงมายังตะวันออกไกล และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางใต้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า แนวปะทะอากาศเย็นจะอ่อนกำลังลงตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. เป็นต้นไป และทำให้สภาพอากาศทั่วประเทศจีนกลับคืนสู่สถานะปกติอีกครั้ง  อย่างไรก็ดี ประชาชนเริ่มวิตกกังวลว่าสภาพอากาศเลวร้ายอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะช่วง ชุนอวิ้น” (chunyun) ระยะเวลา 40 วัน ที่ชาวจีนหลายร้อยล้านคนทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนา จนกลายเป็นปรากฏการณ์มนุษย์อพยพขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  กระทรวงคมนาคมของจีนระบุว่า ชุนอวิ้นประจำปี 2559 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ (24 ม.ค.) โดยประเมินยอดการเดินทางตลอดเทศกาลจนถึงวันที่ 3 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดช่วงชุนอวิ้น ไว้ทั้งสิ้น 2,910 ล้านเที่ยว เพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบปีต่อปี

ย้อนไปดูข่าวเก่าเมื่อปี 2553 พูดถึงเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันไว้ดังนี้ เพื่อเทียบเคียงกับของปีนี้ ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่ของปีนี้นั้นหนักหน่วง รุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


อุณหภูมิน้ำทะเลพุ่ง 2 องศาเซลเซียส ทั่วโลกระส่ำ เจอพายุความร้อน "เอลนีโญ่" ถล่ม ไทยร้อนจัดอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วประเทศสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เตือนปี 54 เผาจริง เขื่อนและแหล่งน้ำทั่วประเทศแห้ง  ตั้งแต่ปี 2552 นักวิจัยจากศูนย์พยากรณ์อากาศทั่วโลกต่างจับจ้องไปยังกระแสน้ำทะเลแปซิฟิก เนื่องจากมีความแปรปรวนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบ 10 ปี ปกติลมจะพัดจากฝั่งทะเลตะวันออก หรือแถวประเทศเปรู ชิลี เอกวาดอร์ ไปยังฝั่งตะวันตกใกล้อินโดนีเซียและออสเตรเลีย แต่เมื่อปีที่แล้วเกิดคลื่นใต้ผิวน้ำพัดพาน้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำอุ่นธรรมดา แต่เป็นน้ำทะเลที่อุ่นมากจากฝั่งตะวันตกไปแทนที่น้ำเย็นฝั่งตะวันออก นั่นคือปรากฏการณ์ "เอลนีโญ่" ขั้นรุนแรง ?!!  เช้าตรู่วันที่ 24 สิงหาคม 2552 ชาวประมงชิลีตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า สิงโตทะเลเกือบ 200 ตัว นอนตายเกลื่อนชายหาด นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า เกิดจาก "เอลนีโญ่" ส่วนนักอนุรักษ์ธรรมชาติเชื่อว่า เป็นเพราะการปล่อยน้ำเสียลงทะเล ทำให้ลูกสิงโตฝืนมีชีวิตในน้ำทะเลเน่าต่อไปไม่ไหว
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ อากาศหนาวเย็นจัดในหลายทวีป บางประเทศหิมะตกหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ที่กรุงปักกิ่ง หิมะสะสมหนาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เทศกาลปีใหม่ ผสมกับพายุหิมะที่พัดมาเป็นระลอก ทำให้กรมอุตุนิยมวิทยาของจีนเตือนว่า นี่คือวิกฤติอากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบ 40 ปี อีกไม่นานภาคใต้ของจีนอาจไม่ได้เจอแค่พายุหิมะ แต่เป็นพายุน้ำแข็ง ล่าสุดผู้นำประเทศเวเนซุเอลาประกาศว่า น้ำในเขื่อนใหญ่ๆ แทบไม่เหลือแล้ว เชื่อว่า "เอลนีโญ่" ครั้งนี้ทำให้เวเนซุเอลาเผชิญกับภัยแล้งที่สุดในรอบ 100 ปี อาจจำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน  ในประเทศไทย มีนักวิชาการจากหลายสำนักออกมาเตือนว่า "เอลนีโญ่" จะส่งผลให้เกิดภัยแล้งทั่วประเทศ อุณหภูมิหน้าร้อนปีนี้จะสูงทะลุเกิน 40 องศาเซลเซียส อย่างแน่นอน  ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่า ปรากฏการณ์ "เอลนีโญ่" เริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั่วโลกเจอทั้งภัยหนาว น้ำท่วม หรือภัยแล้ง ข้อมูลจากศูนย์โนอา หรือองค์การมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งสหรัฐ (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) ตรวจพบกระแสน้ำอุ่นในทะเลแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ช่วงต้นปีนี้ลดลงมาเหลือ 1.5 จากปกติน้ำทะเลบริเวณนั้นจะมีอุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส ถ้าสูงขึ้นเกิน 0.5 องศาเซลเซียส ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ "เอลนีโญ่" แล้ว แต่ช่วงนี้สูงขึ้นไปมากถึง 1.5-2 องศาเซลเซียส  สำหรับประเทศไทยวิเคราะห์ได้ว่า หน้าร้อนปีนี้จะเริ่มร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ โดยจะร้อนที่สุดในเดือนเมษายน จนถึงเดือนกรกฎาคม ฝนก็จะไม่ตกมากนัก และ "เอลนีโญ่" จะยาวนานจนถึงเดือนตุลาคม 2554  "วิเคราะห์จากข้อมูลตอนนี้เห็นชัดว่า หน้าร้อนปีนี้เป็นสภาพเผาหลอก แต่ช่วงฤดูร้อนของปีหน้า หรือปี 2554 จะเจอหน้าแล้งแบบเผาจริง เพราะปีนี้ยังมีน้ำเหลือในเขื่อนหรือแหล่งน้ำธรรมชาติจากปี 2552 ที่ยังพอมีฝนตก แต่เริ่มปี 2553 ฝนจะตกน้อย น้ำถูกดึงมาใช้อุปโภคบริโภคแทบหมด เมื่อไม่มีน้ำธรรมชาติมาเติมลงไป แหล่งน้ำทั่วประเทศก็จะแห้งจนถึงหน้าร้อนปี 2554 จะเผชิญทั้งอากาศร้อนและสภาพขาดแคลนน้ำ เหมือนในปี 2541 ไทยเจอ 'เอลนีโญ่' ขั้นรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากหมดฤดูร้อนของปี 2554 ก็จะเข้าสู่ฤดูฝนที่ฝนจะตกหนัก คาดว่าต้องเจอพายุกระหน่ำหลายลูก เพราะเมื่อเกิดกระแสน้ำอุ่นจัดก็จะเกิดความชื้นมาก แล้วก่อตัวเป็นพายุฝน หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องสนใจการคาดการณ์ปัญหานี้อย่างจริงจัง และเริ่มวางแผนใช้ทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะปีหน้าจะเจอทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม"  กรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมายลักษณะอากาศช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2553 ว่า ฤดูร้อนปีนี้คาดว่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยจะสูงกว่าค่าปกติและสูงกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ฤดูร้อนปีนี้แห้งแล้งมากพอสมควร ปริมาณฝนที่ตกจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ หลายพื้นที่จะประสบกับการขาดแคลนน้ำ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่แล้งซ้ำซาก  อุณหภูมิสูงสุดของประเทศไทยในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ปี 2514-2543 วัดได้ 35-36 องศาเซลเซียส แต่คำพยากรณ์ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 อากาศจะร้อนจนทะลุ 40 องศาเซลเซียส เกือบทั่วประเทศ โดยภาคเหนือและภาคอีสานจะสูงที่สุด 41-43 องศาเซลเซียส ภาคกลางและภาคตะวันออกอุณหภูมิเฉลี่ย 40-42 องศาเซลเซียส ส่วนภาคใต้กับกรุงเทพฯ จะดีกว่าเล็กน้อย คือ 37-39 องศาเซลเซียส  "สงกรานต์ อักษร" ผอ.สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า จากข้อมูลการวัดทุ่นในน้ำทะเลกลางมหาสมุทรแปซิฟิกที่ถูกนำมาวิเคราะห์ รวมกับข้อมูลการวัดอุณหภูมิผิวน้ำทะเลจากดาวเทียมสำรวจภูมิอากาศ ยืนยันได้ว่า น้ำอุ่นขึ้นจากค่าเฉลี่ยประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส ส่งผลกระทบไปยังแต่ละประเทศทั่วโลกไม่เท่ากัน เช่น อินโดนีเซีย ตอนนี้เจออากาศร้อนจัด ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แต่ในไทยยังมีโอกาสที่ฝนจะตกมากกว่า เพราะสภาพอากาศของไทยขึ้นอยู่กับลมมรสุมมากกว่ากระแสน้ำทะเล  (ที่มา : นสพ.คมชัดลึก 11 กุมภาพันธ์ 2553)

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

Coming Soon 2



 
 
ภาคต่อ ของนวนิยายชุด รหัสสังหาร
 
ตอน ปฏิบัติการหักเหลี่ยมทรชน
 
 
เร็ว ๆ นี้
 
โปรดติดตาม
 

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

โลก 360 องศา - (กลุ่มไอเอสออกมายอมรับอยู่เบื้องหลังเหตุนองเลือดที่จาการ์ตา,คาร์บอมบ์กราดยิงจับตัวประกันในแบกแดด,รัสเซียปฏิเสธทิ้งระเบิดพลาดถูกเด็กนักเรียน,กลุ่มอัลกออิดะห์เตือนซาอุฯต้องชดใช้เหตสั่งฆ่าพวกของตน,เครื่องบินอเมริกา B-52 บินขู่เกาหลีเหนือ)


เอเอฟพี - กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุกราดยิงนองเลือด และโจมตีด้วยมือระเบิดฆ่าตัวตายที่สั่นสะเทือนเมืองหลวงของอินโดนีเซีย ขณะที่สหรัฐฯรุดออกมาประณาม และชี้ว่า เป็นการกระทำที่เชิญชวนให้ถูกทำลายล้าง  ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ ทางพวกญิฮัดกลุ่มนี้บอกว่าระเบิดจำนวนหนึ่งถูกจุดชนวนขึ้นในระหว่างการโจมตีของนักรบของกาหลิบ 4 คน ด้วยอาวุธขนาดเล็กและเข็มขัดระเบิดถ้อยแถลงบอกต่อว่า มือโจมตีมีเป้าหมาย คือ จุดรวมตัวของพลเมืองจากพันธมิตรครูเสด อ้างถึงพันธมิตรนานาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งกำลังปฏิบัติการทางอากาศถล่มไอเอสในอิรัก และซีเรีย พวกหัวรุนแรง 5 คน ลงมือโจมตีย่านใจกลางกรุงจาการ์ตาในวันพฤหัสบดี (14 ม.ค.) ปฏิบัติการที่เชื่อว่าเป็นการลอกเลียนแบบเหตุโจมตีกรุงปารีส โดยพวกเขาจุดชนวนระเบิดและกราดยิงผู้คนในย่านแห่งหนึ่งซึ่งแออัดไปด้วยห้างสรรพสินค้า สถานทูต และสำนักงานสหประชาชาติ  ตำรวจประกาศว่า การโจมตีสิ้นสุดลงหลังเหตุระทึกขวัญผ่านไปหลายชั่วโมง โดยมีคนร้ายเสียชีวิต 5 คน เช่นเดียวกับพลเมือง 2 คน โดยในนั้น 1 รายเป็นชาวตะวันตก พร้อมบอกว่าไม่มีมือจู่โจมที่ยังเล็ดลอดเหลืออยู่แล้ว ในเวลาต่อมาทางการออตตาวา เปิดเผยว่า พวกเขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย ว่า มีชาวแคนาดา 1 คน เสียชีวิตในเหตุโจมตีดังกล่าว โดยทางโฆษกของกระทรวงการต่างประเทศแคนาดา ระบุด้วยว่า สถานกงสุลอยู่ระหว่างประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว แต่ตอนนี้ยังไม่ขอยืนยันใด ๆ ด้าน นายจอห์น เคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาประณามเหตุโจมตีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสในกรุงจาการ์ตา โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นคำเชื้อเชิญให้ไปทำลายล้างพวกเขา  การก่อการร้ายนี้ไม่ได้ให้อะไรนอกจากความตายเคร์รี บอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงลอนดอน ตามหลังพบปะกับนายอาเดล อัล-ญูเบอีร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย  นายเคร์รี ย้ำว่า การโจมตีก่อการร้ายจะไม่สามารถข่มขู่ประเทศต่าง ๆ จากการปกป้องพลเรือน และเดินหน้ามอบโอกาสที่แท้จริงทั้งทางด้านการศึกษา หน้าที่การงาน และอนาคต ซึ่งทางออกเดียว คือ การกำราบนักรบกลุ่มนี้ ไอเอสพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้มอบอะไร ไม่มีทางเลือกอื่นยกเว้นแต่ทำลายล้างตนเอง หากพวกเขาเหลือเพียงทางเลือกนั้นไว้ให้เรา เราก็จำดำเนินการในสิ่งที่จำเป็น

รอยเตอร์ - เกิดเหตุระเบิดหลายระลอกและเกิดการยิงปะทะในใจกลางเมืองหลวงอินโดนีเซียในวันนี้ (14) และตำรวจระบุว่า
พวกเขาสงสัยว่าการระเบิดอย่างน้อย 1 ครั้งเป็นฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตาย สื่อรายงานว่า มีการระเบิดเกิดขึ้น 6 จุด และพยานของรอยเตอร์เห็นคนตาย 3 รายและกำลังมีการยิงต่อสู้กันอยู่ การระเบิดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในร้านสตาร์บัคส์ และต่อมากองกำลังความมั่นคงถูกเห็นว่าได้เข้าไปยังร้านดังกล่าว  ตำรวจระบุว่าพวกเขาสงสัยว่าการะเบิดอย่างน้อย 1 ครั้งเป็นฝีมือของมือระเบิดฆ่าตัวตาย และการโจมตีครั้งนี้มีมือปืนจากกลุ่มติดอาวุธมีส่วนร่วม 14 ราย เมโทร ทีวี รายงาน หน้าต่างร้านสตาร์บัคส์แตกออก ผมเห็นคนตาย 3 รายบนถนน มีช่วงหนึ่งที่การยิงปะทะหยุดลง แต่มีใครบางคนอยู่บนดาดฟ้าของร้าน และตำรวจเล็งปืนของพวกเขาไปที่คนคนนั้นช่างภาพของรอยเตอร์กล่าว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาอินโดนีเซียตกอยู่ในความเสี่ยงจากกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ และตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายได้เปิดฉากกวาดล้างผู้ที่ต้องสงสัยเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) บัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของตำรวจาการ์ตาระบุว่า การระเบิดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นด้านหน้าศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าซารินาห์มอลล์บริเวณถนนสายหลักของเมือง สำนักงานขององค์การสหประชาชาติที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุถูกปิดไม่ให้ใครเข้าและออก พยานรายหนึ่งกล่าว ขณะที่อาคารอื่นๆ บางแห่งในพื้นที่นั้นมีการสั่งอพยพ ธนาคารกลางของแดนอิเหนาตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน และโฆษกธนาคารระบุว่า การประชุมนโยบายจะถูกจัดขึ้นในวันนี้ตามแผนเดิม การระเบิดอีกจุดหนึ่งถูกได้ยินในเขตชานเมืองพัลเมราห์ทางตะวันตก ทั้งนี้อ้างจากทวีตของสื่อภายในประเทศ แต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ ออกมาในตอนนี้ อินโดนีเซียมีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก พวกเขาส่วนใหญ่ยึดหลักแนวทางสายกลางของศาสนานี้ ประเทศนี้ได้พบเห็นการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธหลายต่อหลายครั้งในช่วงทศวรรษที่ 2000 เหตุการณ์ที่มีคนตายมากที่สุดคือการระเบิดที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งบนเกาะตากอากาศบาหลีที่คร่าชีวิตคนไป 202 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ตำรวจประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำลายบรรดากลุ่มติดอาวุธหลังจากนั้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าหน้าที่หลายนายมีความกังวลเกี่ยวกับการลุกฮือขึ้นใหม่ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากกลุ่มต่างๆ อย่างกลุ่มรัฐอิสลามและชาวอินโดนีเซียซึ่งกลับมาจากการสู้รบร่วมกับกลุ่มนี้

เอเจนซีส์ - ตำรวจอินโดนีเซียเผยกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) เคยเผยข้อความเตือนที่เป็นปริศนา ก่อนจะเกิดเหตุยิงปะทะและระเบิดหลายจุดที่กรุงจาการ์ตาเช้าวันนี้ (14 ม.ค.) ขณะที่ล่าสุดร้านกาแฟชื่อดัง สตาร์บัคส์ได้สั่งปิดสาขาทั่วกรุงจาการ์ตาเป็นการชั่วคราว ทางการอิเหนาสรุปยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้รวมทั้งสิ้น 7 ราย โดยเป็นคนร้าย 5 ราย และประชาชนผู้บริสุทธิ์อีก 2 ราย มีผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 5 ราย ลูฮุต ปันไจตัน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงอิเหนา ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนขณะเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุใกล้ห้างซารีนาห์ (Sarinah) บนถนน เอ็ม.เอช. ธัมริน เหยื่อที่เสียชีวิต 2 รายเป็นชาวอินโดนีเซีย 1 ราย และพลเมืองเนเธอร์แลนด์อีก 1 ราย มูฮัมหมัด อิกบัล โฆษกตำรวจจาการ์ตา ออกมายืนยันล่าสุดว่า เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวง สิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีผู้ก่อการร้ายหลบหนีลอยนวลไปได้  ขณะนี้ตำรวจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้หมดแล้ว เขากล่าว และเมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ายังมีผู้ร่วมก่อเหตุหลบหนีไปได้หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า เรายืนยันว่าไม่มีแน่นอน ก่อนหน้านี้ อันตัน ชาร์ลิยัน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย ระบุว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถฟันธงว่าคนร้ายที่ลงมือเป็นกลุ่มใด ขณะที่ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ได้ประกาศว่าเหตุการณ์นี้เป็นการก่อการร้าย  อย่างไรก็ตาม ชาร์ลิยันเปิดเผยว่า ไอเอสเคยแถลงเตือนเป็นนัยๆ ล่วงหน้า ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมในวันนี้ขึ้น  พวกเขาบอกว่าอีกไม่นานจะมีคอนเสิร์ตในอินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นข่าวดังทั่วโลก โฆษกตำรวจให้สัมภาษณ์ต่อสถานีวิทยุท้องถิ่น โดยไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม และไม่ระบุว่าคำเตือนนี้ถูกประกาศออกมาตั้งแต่เมื่อใด  เดือนที่แล้วตำรวจอินโดนีเซียสามารถสกัดแผนก่อการร้ายได้หลายจุด ซึ่งบางแผนเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอส  ทางการอินโดนีเซียคาดว่ามีชาวอิเหนาหลายร้อยคนเดินทางไปเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรีย ล่าสุด เครือร้านกาแฟชื่อดัง สตาร์บัคส์ได้ประกาศปิดสาขาในกรุงจาการ์ตาทั้งหมด จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติมหลังมีร้านสตาร์บัคส์สาขาหนึ่งตกเป็นเป้าหมายโจมตีในวันนี้  สตาร์บัคส์สาขานี้และสาขาอื่นๆ ทั่วกรุงจาการ์ตาจะปิดทำการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม ซึ่งทางบริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป คำแถลงจากทางร้านระบุ
เอเอฟพี/รอยเตอร์ - กลุ่มมือปืนจุดชนวนคาร์บอมบ์ กราดยิงเข้าใส่พื้นที่ชุมนุมชนและบุกจับตัวประกันในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งทางตะวันออกของกรุงแบกแดดเมื่อวันจันทร์ (11 ม.ค.) เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 8 ราย จากการเปิดเผยของตำรวจ  ตำรวจยศนายพันรายหนึ่งเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า กลุ่มมือปืนยังคงหลบซ่อนตัวในห้างสรรพสินค้าดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ในเขตอัล-จาดิดาของกรุงแบกแดด พร้อมระบุกังวลว่าพวกมือโจมตีอาจสวมเข็มขัดระเบิดฆ่าตัวตายด้วย  เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตข้างต้น และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 14 คนในเหตุโจมตีดังกล่าว ด้านตำรวจอีกรายระบุว่า พวกเขาอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าซาห์รัต แบกแดด เมื่อกองกำลังด้านความมั่นคงกระชับพื้นที่เข้าไปใกล้ พวกเขาก็ลงมือสังหารตัวประกัน 3 คน ตอนนี้เราต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เราต้องการให้เหตุโจมตีนี้จบลงด้วยจำนวนผู้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นอาคารสูงราว 4 หรือ 5 ชั้น ตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเขตอัล-จาดิดา พื้นที่ที่มีชาวมุสลิมชีอะห์เป็นชนกลุ่มใหญ่ บริเวณริมขอบตะวันออกของเมืองหลวงอิรัก  แหล่งข่าวกระทรวงมหาดไทยเผยว่า กลุ่มมือปืนไม่ทราบจำนวนเปิดฉากยิงบนท้องถนน หลังจุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์ จากนั้นก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสั้นๆ ก่อนบุกเข้าไปยังห้างสรรพสินค้า ตอนนี้พวกเขายึดครองห้างสรรพสินค้าอย่างสมบูรณ์ พวกเขาประจำการกำลังพลบนหลังคาด้วย  สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐรายงานอ้างโฆษกกระทรวงมหาดไทยระบุว่า กองกำลังด้านความมั่นคงปิดล้อมพื้นที่ ก่อการร้ายโจมตีในจาดิดา เบื้องต้นยังไม่มีกลุ่มใดออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบ แต่แหล่งข่าวของตำรวจระบุว่าพวกมือปืนแต่งกายเหมือนพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่ยึดครองพื้นที่อันกว้างขวางทางเหนือและทางตะวันตกของอิรัก และมักโจมตีเขตพื้นที่ของชาวชีอะห์และกองกำลังความมั่นคงในเมืองหลวงและที่อื่นๆ  อิรักตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างนิกายระหว่างชาวชีอะห์กับสุหนี่มานาน และสถานการณ์ความตึงเครียดยังมาถูกซ้ำเติมจากการปรากฏตัวขึ้นมาของพวกไอเอส กบฏสุหนี่หัวรุนแรง ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน เพิ่งมีประชาชนเสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 8 คน จากนักรบไอเอสจุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์ใกล้ร้านอาหารแห่งหนึ่งในบากูบา ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 65 กิโลเมตร

เอเอฟพี - รัสเซียเมื่อวันจันทร์ (11 ม.ค.) มีรายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรียของพวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายที่พลเรือน หลังจากถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวหาว่าเหตุทิ้งบอมบ์ระลอกใหม่ของมอสโกเข่นฆ่าชีวิตเด็กนักเรียนอย่างน้อย 12 ศพ  รัสเซียไม่ได้ดำเนินปฏิบัติการต่อพลเรือนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกกับเอเอฟพีสั้น ๆ หลังจากถูกกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย กล่าวอ้างว่า มีเด็กอย่างน้อย 12 คน และผู้ใหญ่อีก 3 คน เสียชีวิตในปฏิบัติการทิ้งระเบิดของรัสเซียที่ไปตกใส่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอเลปโปเมื่อวันจันทร์ (11 ม.ค.)  กลุ่มสิทธิมนุษยชนแห่งนี้ซึ่งมีสำนักงานในอังกฤษ ระบุว่า ในบรรดาผู้ใหญ่ที่สุดชีวิตนั้นเป็นครู 1 คน ขณะที่เหตุโจมตีในเมืองอันจารา ยังทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 20 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นครูและนักเรียน  ทั้งนี้ กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย ระบุต่อว่า มีการทิ้งบอมบ์ทางอากาศและเหตุปะทะกันอย่างหนักหน่วงระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกบฏมาตั้งแต่วันอาทิตย์ (10 ม.ค.) ในจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศแห่งนี้ ซึ่งบางส่วนอยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏสายกลาง แต่บางส่วนยึดครองโดยพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส)  ภาพที่แจกจ่ายโดยนักเคลื่อนไหวสื่อมวลชนในจังหวัดอเลปโป เป็นภาพห้องเรียนที่กลายสภาพเหลือแต่ซากหักพังของปูน โต๊ะเก้าอี้ได้รับความเสียหายยับเยิน  นายโลรองต์ ฟาบิอุส รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ระบุในวันจันทร์ (11 ม.ค.) ว่า มันจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับซีเรีย ที่รัสเซียต้องยุติปฏิบัติการทางทหารต่อพลเรือน  รัสเซียถูกชาติตะวันตก กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ และกบฏซีเรีย วิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงขึ้นต่อกรณีมีพลเรือนต้องมาสังเวยชีวิตจำนวนมากจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของพวกเขาที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน ตามคำขอของพันธมิตรเก่าแก่อย่างประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด  อย่างไรก็ตาม มอสโกตอบโต้ว่าพวกเขามีเป้าหมายคือกลุ่มไอเอสและเครือข่ายก่อการร้ายอื่น ๆ และระบุรายงานที่ว่าการทิ้งระเบิดของพวกเขาเข่นฆ่าชีวิตพลเรือนหลายร้อยคนนั้น ไร้สาระสิ้นดี  ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม องค์การนิรโทษกรรมสากลเผยแพร่รายงานชิ้นหนึ่งอ้างว่ารัสเซียโจมตีทางอากาศสังหารพลเรือนหลายร้อยคน โดยหลายเป้าหมายนั้นอาจเข้าองค์ประกอบของการก่ออาชญากรรมสงคราม  ส่วนทางกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย ระบุในเดือนธันวาคมว่าตลอดระยะเวลา 3 ดือนของปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย สังหารชีวิตผู้คนมากกว่า 2,300 ศพ และหนึ่งใน 3 นั้นเป็นพลเมือง  อนึ่ง กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยในวันจันทร์ (11 ม.ค.) ว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นปี กองกำลังของพวกเขาในซีเรีย ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 311 เที่ยว ถล่มเป้าหมายต่าง ๆ 1,097 เป้าหมาย

รอยเตอร์ - กลุ่มอัลกออิดะห์เตือนซาอุดีอาระเบียว่า ซาอุฯ จะต้องชดใช้ที่ประหารชีวิตสมาชิกของพวกเขาหลายสิบคน และระบุว่า ริยาดตั้งใจที่จะใช้คนเหล่านี้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับเหล่าพันธมิตรตะวันตกของตน โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้อำนาจการปกครองของราชวงศ์ซาอูดมั่นคงยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการสังหารนักการศาสนานิกายชีอะห์รายหนึ่งในการประหารชีวิตหมู่เมื่อวันที่ 2 มกราคม ซึ่งจุดชนวนวิกฤตระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอริในภูมิภาคอย่างอิหร่าน แต่นักโทษส่วนใหญ่จากทั้ง 47 คนที่ถูกประหารก็เป็นกลุ่มติดอาวุธอัลกออิดะห์ที่มีความผิดฐานวางระเบิดและกราดยิงในราชอาณาจักรแห่งนี้  ในถ้อยแถลงลงวันที่ 10 มกราคม เครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์ในเยเมน และในแอฟริกาเหนือระบุว่า ริยาดเดินหน้าทำการประหารชีวิตทั้งๆ ที่ได้รับคำเตือนไม่ให้ทำเช่นนั้นแล้ว  แต่พวกเขา (ริยาด) กลับยืนกรานที่จะใช้เลือดของเหล่ามูจาฮีดีนที่ดีเป็นเครื่องสังเวยให้กับพวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ในวันเทศกาลของพวกเขาในช่วงปีใหม่ทั้งสองกลุ่มระบุในถ้อยแถลงที่ถูกโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์  ในเดือนธันวาคมเครือข่ายอัลกออิดะห์ในเยเมนเคยขู่ว่าจะ ทำให้ทหารของอัลซาอูดต้องหลั่งเลือดหากสมาชิกของพวกเขาถูกประหารชีวิต  เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) คู่ขัดแย้งของกลุ่มอัลกออิดะห์ในนิกายสุหนี่ขู่ว่าจะทำลายเรือนจำของซาอุดีอาระเบียที่กักขังนักรบญิฮัดหลังจากการประหารดังกล่าว ทั้งสององค์กรกำลังต่อสู้กับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งประกาศให้พวกเขาเป็นกลุ่มก่อการร้ายและกักขังผู้สนับสนุนของพวกเขาหลายพันคน  แม้ว่าจะมีการประหารชีวิต นิมร์ อัล-นิมร์ นักการศาสนาชื่อดังของนิกายชีอะห์ และชาวมุสลิมชีอะห์อีก 3 คน ซึ่งยิ่งทวีความตึงเครียดระหว่างนิกายกับมหาอำนาจชีอะห์อย่างอิหร่าน แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า การประหารชีวิตครั้งนั้นมีจุดประสงค์หลักๆ เพื่อส่งสัญญาณถึงกลุ่มติดอาวุธนิกายสุหนี่  นักวิเคราะห์เหล่านี้ชี้ว่าซาอุดีอาระเบียกำลังพุ่งเป้าทำลายแรงสนับสนุนที่มีให้กับพวกนักรบญิฮัดนิกายสุหนี่ที่เคลื่อนไหวอยู่ในราชอาณาจักรแห่งนี้ โดยไม่ให้ทำให้ชาวสุหนี่สายกลางที่มีมากกว่าแตกแยกแต่อย่างใด  กลุ่มไอเอสอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดและกราดยิงหลายครั้งในซาอุดีอาระเบียนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2014 ที่คร่าชีวิตคนไปมากกว่า 50 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวชีอะห์ แต่ก็เป็นสมาชิกของกองกำลังความมั่นคงมากกว่า 15 ราย
         

เอเจนซีส์ ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึนยกย่องนักวิทยาศาสตร์ในประเทศ ว่า เป็นกำลังสำคัญในชัยชนะของโสมแดง สำหรับการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมประกาศจะทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เพิ่ม โดยไม่สนใจการข่มขู่ของอเมริกา ที่ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโชว์แสนยานุภาพเหนือน่านฟ้าโสมขาว  การเผชิญหน้าระหว่างสองเกาหลีตึงเครียดหนักนับจากที่เปียงยางทดสอบสิ่งที่อวดอ้างว่าเป็นระเบิดไฮโดรเจนหรือเอชบอมบ์เมื่อวันพุธที่แล้ว (6) ด้านเกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยการกระจายเสียงโจมตีตลอดแนวพรมแดนตั้งแต่วันศุกร์ (8) จนถึงขณะนี้ พร้อมประกาศจำกัดจำนวนพลเมืองเกาหลีใต้ ที่จะเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมร่วมในเกาหลีเหนือ  แม้ภายนอก คิมถูกประณามจากทั่วโลก รวมทั้งถูกขู่เพิ่มมาตรการลงโทษสถานหนักจากการทดสอบอาวุธเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ในประเทศ คิมยังคงอยู่ดีมีสุขและเดินหน้าโครงการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ที่เชื่อมโยงการทดสอบนิวเคลียร์กับความเป็นผู้นำของตนเอง และสร้างภาพว่า การทดสอบดังกล่าวมีความจำเป็นในการต่อสู้กับความพยายามของอเมริกาในการโค่นล้มระบอบเผด็จการของเกาหลีเหนือ  ในวันจันทร์ คิมถ่ายภาพร่วมกับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบนิวเคลียร์ โดยยกย่องคนเหล่านั้นสำหรับ การสรรเสริญคิม จอง-อิล พ่อของเขา รวมถึง คิม อิล-ซุงที่เป็นทั้งปู่และผู้ก่อตั้งประเทศ  สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเปียงยาง ยังรายงานว่า คิมแสดงความคาดหวังและความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่า นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นจะสร้างความคืบหน้าและสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกระตือรือร้นและพลังในระดับเดียวกับที่ทำให้การทดสอบเอชบอมบ์ประสบความสำเร็จ บนหลักการของการให้ความสำคัญอันดับแรกในการพัฒนาตนเอง และการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมการป้องกันประเทศโดยการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้ คิมเรียกการทดสอบเอชบอมบ์ว่า เป็น ขั้นตอนในการป้องกันตัวซึ่งหมายถึงการปกป้องภูมิภาคจากอันตรายจากนิวเคลียร์ของลัทธิจักรวรรดินิยมที่นำโดยอเมริกา ความคิดเห็นนี้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกในข้อโต้แย้งยาวนานของเปียงยางที่ว่า การที่อเมริกามีกำลังทหารนับหมื่นนายประจำอยู่ในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และนโยบาย ปรปักษ์ของวอชิงตัน เป็นเหตุผลที่เกาหลีเหนือจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์และจรวดพิสัยไกล  วันอาทิตย์ อเมริกาส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 จากฐานทัพในกวมบินต่ำใกล้โซล โดยมีเครื่องบินขับไล่ เอฟ-15 ของเกาหลีใต้ และเอฟ-16 ของอเมริกาเอง บินคุ้มกัน ซึ่งแน่นอนว่า เกาหลีเหนือตีความว่า เป็นการคุกคาม  เดนิส แมคโดนัฟ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว กล่าวว่า การเยือนของบี-52 มีเป้าหมายเพื่อตอกย้ำกับเกาหลีใต้ถึง "การเป็นพันธมิตรที่ลึกซึ้งและยั่งยืนระหว่างสองประเทศ หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวยังกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีซีเอ็นเอ็น ว่า อเมริกากำลังร่วมมือกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และรัสเซีย เพื่อโดดเดี่ยวและบีบเค้นจนกว่าเกาหลีเหนือจะรักษาคำมั่นที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์  อนึ่ง ขณะนี้ มหาอำนาจทั่วโลกกำลังหาวิธีลงโทษเกาหลีเหนือจากการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดที่ถือเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งแม้ไม่ใช่ระเบิดไฮโดรเจนอย่างที่อวดอ้าง แต่ก็มีแนวโน้มปูทางให้เปียงยางเข้าใกล้เป้าหมายในการสร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ยิงได้ไกลถึงอเมริกา  ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้เผยในวันจันทร์ว่าได้มีการหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเสริม อาวุธทางยุทธวิธีเพื่อป้องกันคาบสมุทรเกาหลี  สื่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่วอชิงตันจะส่งมาเสริมเขี้ยวเล็บบนคาบสมุทรเกาหลี อาจรวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ ยูเอสเอส โรนัลด์ รีแกน ซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ในญี่ปุ่น, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน บี-2 และฝูงบินขับไล่ เอฟ-22

เอเอฟพี - คลินิกแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ในเยเมนถูกยิงถล่มด้วยขีปนาวุธลูกหนึ่งเมื่อวันอาทิตย์ (10 ม.ค.) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย บาดเจ็บอีกนับสิบ ขณะที่องค์กรแพทย์ได้ออกมาประณาม และแสดงความเป็นห่วงการพุ่งเป้าโจมตีภารกิจด้านมนุษยธรรมในเยเมน หน่วยงานด้านการแพทย์เพื่อมนุษยธรรมซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงปารีสระบุว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นการโจมตีครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในรอบ 4 เดือนผู้บาดเจ็บทั้ง 10 รายมีเจ้าหน้าที่ MSF รวมอยู่ด้วย 3 คน ซึ่ง 2 รายอาการยังอยู่ในขั้นวิกฤต MSF แถลงว่า ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นอีก เพราะยังมีคนติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังหลังสถานพยาบาลของ MSF ในเขตราเซห์ จังหวัดซาดาของเยเมน ถูกขีปนาวุธลูกหนึ่งตกใส่ ทางองค์กรได้สั่งอพยพเจ้าหน้าที่และคนไข้ทั้งหมด โดยส่งคนไข้ไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดซาดาซึ่ง MSF ให้การสนับสนุนอยู่  MSF ยังไม่สามารถระบุได้ว่าคลินิกแห่งนี้ตกเป็นเป้าหมายของปฏิบัติการโจมตีทางอากาศโดยกลุ่มพันธมิตรซาอุดีอาระเบีย หรือถูกโจมตีด้วยจรวดที่ยิงมาจากพื้นดิน ราเกวล อาโยรา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของ MSF กล่าวประณามการโจมตีครั้งนี้ พร้อมยืนยันอีกครั้งว่า ทางองค์กรได้แจ้งพิกัดของสถานพยาบาลทุกแห่งให้คู่สงครามทั้งสองฝ่ายทราบตลอดเวลาอยู่แล้ว ทุกฝ่ายที่สู้รบกันอยู่ได้รับแจ้งพิกัดของสถานพยาบาล MSF อย่างสม่ำเสมอ... จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ตามซึ่งมีศักยภาพที่จะโจมตีทางอากาศหรือยิงจรวด จะไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้  เราขอประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งกำลังตกเป็นเป้าโจมตีอย่างน่าวิตก และขอแสดงความไม่พอใจอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พลเรือนชาวเยเมนต้องขาดแคลนบริการสาธารณสุขไปอีกหลายสัปดาห์  สหภาพยุโรปก็ได้แถลงตำหนิการโจมตีสถานพยาบาล MSF ว่าเป็นสิ่งที่ ไม่อาจรับได้  การโจมตีภารกิจด้านมนุษยธรรมและพลเรือน ถูกห้ามอย่างชัดเจนโดยกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศถ้อยแถลงจากอียูระบุ  จังหวัดซาดาถือเป็นเขตอิทธิพลหลักของกบฏฮูตีนิกายชีอะห์ ซึ่งเชื่อกันว่ามีอิหร่านหนุนหลังอยู่ ขณะที่เหล่าชาติพันธมิตรซาอุฯ ได้ส่งเครื่องบินเข้าไปทิ้งบอมบ์ตั้งแต่เดือน มี.ค. โดยหวังจะกอบกู้อำนาจปกครองคืนให้แก่รัฐบาลอันชอบธรรมของเยเมน  เดือนที่แล้ว MSF กล่าวหาว่าพันธมิตรซาอุฯ ทิ้งระเบิดใส่คลินิกในเมืองตาอิซ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยเมน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 9 ราย และก่อนหน้านั้นในเดือน ต.ค. ก็มีโรงพยาบาลของ MSF ในจังหวัดซาดาอีกแห่งถูกโจมตี ทว่าโชคดีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ  ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า มีชาวเยเมนถูกสังหารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5,800 ราย บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 27,000 คน นับตั้งแต่ริยาดเริ่มโจมตีทางอากาศต่อพวกกบฏฮูตีในเดือน มี.ค. ปี 2015 นอกจากนี้ ประชากรเยเมนร้อยละ 80 ก็กำลังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน
เอเอฟพี - กองกำลังพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียปฏิเสธข้อกล่าวหาใช้ระเบิดพวงในการปราบปรามกลุ่มกบฏในเยเมนในวันนี้ (10) หลังจากที่ บัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า การใช้อาวุธดังกล่าวอาจเป็น อาชญากรรมสงคราม  กลุ่มพันธมิตร ปฏิเสธการใช้ระเบิดพวงในกรุงซานาเมืองหลวงของเยเมน พลจัตวา อาห์เหม็ด อัล-อัสซีรี บอกกับเอเอฟพี  เขากำลังตอบสนองโดยเฉพาะต่อรายงานชิ้นหนึ่งที่ออกเมื่อวันพฤหัสบดี (7) โดยกลุ่มฮิวแมนไรต์วอตช์ ซึ่งรายงานโดยอ้างจากชาวบ้านที่อธิบายการโจมตีเมื่อวันที่ 6 มกราคมสอดคล้องกับการใช้ระเบิดพวงโดยทิ้งจากทางอากาศ ในวันต่อมา บันกล่าวว่า เขาได้รับ รายงานที่น่ากังวลเรื่องการโจมตีด้วยระเบิดพวงในกรุงซานาที่ฝ่ายกบฏยึดครองอยู่ ผมคิดว่านั่นเป็นรายงานที่อ่อนมาก พวกเขาไม่ได้แสดงหลักฐานอะไรเลยอัสซีรีพูดถึงรายงานของฮิวแมนไรต์วอตช์  เขากล่าวว่า ฮิวแมนไรต์วอตช์พูดถึงระเบิดพวงประเภทหนึ่งที่ ไม่มีอยู่ในคลังของเราและเสริมว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของปฏิบัติการของกลุ่มพันธมิตรในกรุงซานาพุ่งเป้าที่เครื่องยิงขีปนาวุธ สกั๊ด  คุณไม่สามารถใช้ระเบิดพวงทำลายเครื่องยิงสกั๊ดได้อัสซีรีกล่าว  นานาชาติมีความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับพลเรือนที่บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในเยเมน  กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียให้การสนับสนุนกองทัพเยเมนมาตั้งแต่เดือนมีนาคมในการปราบปรามกลุ่มกบฏและเหล่าแนวร่วม ซึ่งยึดดินแดนจากรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

(เครดิตอ้างอิง  คัดลอกจากคอลัมน์ข่าวแปล ข่าวต่างประเทศ MGR online 11-14 มกราคม 2016 )