วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์(รัฐบาลซานต้า) ต่อวิกฤติการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ทันทีที่รัฐบาลคุณปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแถลงนโนบายต่อรัฐสภาเสร็จก็ไม่มีเวลาได้หายใจหายคอ หรือมีช่วงเวลาสำหรับการฮันนีมูนใดๆ เหมือนรัฐบาลอื่นๆ ต้องทำงานแก้ปัญหาให้กับประชาชนทันที ซึ่งก็ไม่เป็นสิ่งที่เกินจากความคาดหมายเอาไว้ เพราะรัฐบาลนี้ได้หาเสียงหรือไปสัญญากับประชาชนไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะกับฐานเสียงคนรากหญ้าหรือคนชนบทเอาไว้เยอะ และพอเมื่อได้เข้ามาเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลและมีการฟอร์มทีมพรรคร่วมรัฐบาล แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ตลอดจนแถลงนโยบายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงต้องรีบเร่งทำงานทันที ทั้งนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้ก่อนหน้าเลือกตั้ง หรือที่ไม่เคยหาเสียงเอาไว้ก็ถูกนำมาร่างเป็นนโยบาย ทั้งที่เป็นนโยบายเร่งด่วนต้องทำทันที และนโยบายประเภทค่อยศึกษาและค่อยทำกันไปก็มี หรือนโยบายที่ทำให้เสร็จในช่วงรัฐบาล 4 ปี แต่มี schedule หรือกรอบระยะเวลาชัดเจนที่จะทำตามแผนงานที่วางเอาไว้

แรกเริ่มเดิมทีนั้น ในช่วง 1 เดือนแรกของการเริ่มปฏิบัติงานหรือหลังจากแถลงนโนบายต่อรัฐสภาผ่านพ้นไปนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและที่ไม่ใช่ฐานเสียงหรือบรรดาคนที่ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย ต่างก็ให้กำลังใจรัฐบาลของคุณปู ยิ่งลักษณ์ ในการทำงาน เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นปฏิบัติงาน ยังไม่เข้าที่เข้าทางและมีรัฐมนตรีส่วนใหญ่ยังใหม่ต่อการเข้ามาทำงานการเมืองมากในตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเฉพาะสำหรับคุณปู ยิ่งลักษณ์ เป็น ส.ส.สมัยแรก และเป็นนายกที่อายุน้อยที่สุด เป็นนายกหญิงคนแรกของประเทศ อีกทั้งยังเป็นนักการเมืองที่มีอายุการทำงานน้อยที่สุด คือเข้าสู่แวดวงการเมืองในช่วง 40 กว่าวันในช่วงหาเสียงเลือกตั้งและก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีเลย ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชนิดนึงเลยทีเดียว ยิ่งกว่ากินเนสส์ บุ้คเวิล์ดเรคคอร์ด ยิ่งกว่าไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์ ซึ่งก็ทำให้คุณปู ยิ่งลักษณ์หน้าบานมากเวลาให้สัมภาษณ์ออกสื่อทีวีในช่วงแรกๆ พอต่อมาเมื่อรัฐบาลมีการล้อนช์มาตรการ นโยบายเร่งด่วนบ้าง ไม่เร่งด่วนบ้าง ออกมา เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง คัดค้านบ้าง จากสื่อมวลชน นักวิชาการ นักธุรกิจต่างๆ ทำให้ความเครียดเริ่มมาเยือนคุณปู ยิ่งลักษณ์ ถึงกับทำให้คุณปู ยิ่งลักษณ์ หน้าถอดสีไปบ้าง เมื่อเจอกับคำถามรุกไล่ ของบรรดาสื่อมวลชนต่างๆ ที่คอยตามเกาะติดการทำงานของท่าน โดยเฉพาะนักข่าวสายทำเนียบ และสายการเมืองจากสำนักข่าวต่างๆ จนทำให้กุนซือของคุณปู ยิ่งลักษณ์ต้องกำหนดระเบียบ กฎเกณฑ์การให้สัมภาษณ์ชองคุณปู ยิ่งลักษณ์เสียใหม่ และเมื่อใดถ้าคำถามที่ทำให้คุณปูไม่สามารถตอบได้ก็จะเลี่ยงไปให้รัฐมนตรีผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ มาตอบแทน หรือคำถามใดที่ทำให้คุณปู ยิ่งลักษณ์ถึงขนาดให้ความเห็นได้หรือไปไม่เป็นแล้วหล่ะก็ จะใช้วิธียิ้ม นิ่งเงียบและเดินหนีไปอย่างหน้าตาเฉย นี่คือวิธีเอาตัวรอดของนายกหญิงผู้น่ารักของไทย

นโยบายที่ถูกโยนออกมาในช่วงแรกนั้น ล้วนเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ใช้หาเสียงไว้ตอนช่วงเลือกตั้ง อาทิ ปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ,ปรับฐานเงินเดือนเป็น 15,000 บาทต่อเดือน ,โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ,ลดเงินอุดหนุนกองทุนน้ำมัน บัตรเครดิตชาวนา แจกแท็บเล็ตพีซี ตลอดมาจนถึงล่าสุดก็คือโครงการลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก และลดหย่อนภาษีรถยนต์คันแรก ฯลฯ ยังคงมีตามมาอีกเพียบ แต่นโยบายที่ไม่เคยหาเสียงเอาไว้ก็มี แต่ถูกโยนออกมาหยั่งกระแส อาทิ กองทุนความมั่งคั่ง เพื่อลงทุนด้านพลังงาน การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2550 ใหม่หมด และนำส่วนที่ดีของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 กลับมาใช้ โดยอาจใช้วิธีตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่ยกร่างแทนหรือ สสร.3 โดยใช้วิธีแก้ไขมาตรา 291 และรวมไปถึงดำเนินการควบคู่กันไปในส่วนของการเข้าชื่อเพื่อขอประทานอภัยโทษให้กับคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี/นักโทษหนีคดี ต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมไปถึงความต้องการของฝ่ายการเมืองที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในมาตรา 8 ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้พระราชอำนาจ ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการก้าวล่วงพระราชอำนาจและอาจต้องเผชิญแรงต้านจากประชาชนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอีกมาก

แรกเริ่มเดิมที คุณปู ยิ่งลักษณ์เคยกล่าวไว้ว่า “รัฐบาลนี้จะเข้ามาแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น” คือจะเข้ามาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และต้องการให้เกิดกระบวนการปรองดองเกิดขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ และองค์กรอิสระอยาง กกต. กรมดีเอสไอ ต่างก็ช่วยกันให้มีการประกันตัวแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงให้ออกมาหาเสียง และลงเลือกตั้งได้ และอาจใช้คณะกรรมการที่ตั้งโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งมีอาจารย์ ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานคณะกรรมการค้นหาความจริงและสมานฉันท์ปรองดอง โดยเป็นบุคคลที่ทุกฝ่ายและเสื้อแดงพอจะยอมรับได้ มาช่วยประสานงานเป็นกาวใจ เดินสายปรองดองกับทุกฝาย

แต่ยังไม่ทันที่กระบวนการปรองดองจะเดินหน้าคืบหน้าไปได้ไกลแค่ไหน เค้าลางของการขัดแย้งก็เริ่มก่อตัวขึ้น เริ่มจากการโยกย้ายข้าราชการต่างๆ ในกระทรวงหลักๆ ที่ไม่ใช่คนของรัฐบาลชุดนี้ หรือไม่ตอบสนองต่อการทำงานของพรรคเพื่อไทย หรือเป็นคนที่ถูกแต่งตั้งโยกย้ายมาในช่วงรัฐบาล(อภิสิทธิ์)ชุดที่แล้ว ที่สำคัญก็อย่างตำแหน่งอย่าง ผบ.สนง.ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องการดัน พตอ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ มานั่งเป็น ผบ.สนง.ตำรวจแห่งชาติ เพราะความอาวุโสสูงสุดและเคยเป็นแคนดิเดทมาตลอด แต่ถูกเด้งออกจากวงโคจร ในทุกรัฐบาลที่ไม่ใช่เพื่อไทย มาครั้งนี้จึงเป็นวาระแห่งชาติของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องผลักดันให้ได้ ซึ่ง พตอ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.แห่งชาติคนปัจจุบันก็ไม่ขัดข้อง ขอถอยตัวเองไปนั่งเป็นเลขา สมช.แทน แต่ก็ติดที่ตรงเลขา.สมช.คนปัจจุบันคือคุณถวิล เปลี่ยนศรี แกไม่ยอม และก็ถึงขึ้นไปฟ้องศาลปกครอง ถึงความไม่เป็นธรรมที่ถูกกลั่นแกล้งโยกย้าย ซึ่งก็ทำให้กระแสการต่อต้านการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมนี้สั่นคลอนภาพลักษณ์รัฐบาลคุณปู ยิงลักษณ์อยู่ช่วงนึง ไม่แค่นั้นการขัดแย้งได้ลุกลามไปถึงองค์กรอื่นๆ อาทิ สื่อมวลชนด้วย โดยเฉพาะกรณีการถูกคุกคามสิทธิ เสรีภาพของสื่อมวลชนหญิง สังกัดช่อง 7 ถึงขนาดกลุ่มคนเสื้อแดงจะบุกไปถึงช่อง 7 เพื่อกดดันให้ไล่นักข่าวช่อง 7 นั้นออกจากงาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนและใช้หลักกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ยังไม่รวมกรณีผลสอบของสภาการนักหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ที่มีต่อกรณีของสื่อค่ายมติชน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับสินบนจากนักการเมือง (วิม รุ่งวัฒนจินดา ซึ่งปัจจุบันมาเป็นทีมงานโฆษกรัฐบาลและดูแลสื่อประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าข่ายการขัดกันของผลประโยชน์หรือ conflict of interest ด้วย) อีกทั้งการที่รัฐบาลโดยรัฐมนตรีผู้ดูแลสื่อของรัฐ สั่งให้มีการถอดถอนรายการวิเคราะห์ข่าว ที่ไม่ฝักใฝ่รัฐบาล ให้ออกจากผังรายการของทางช่อง 11 NBT เช่น รายการคลายปม ของ ดร.เจิมศักดิ์ รายการข่าวเด่นประเด็นร้อน ของคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หรือสำนักข่าว T-news ซึ่งก็นำสัญญาเช่าและเรื่องไปฟ้องศาล จนได้รับการคุ้มครองรายการ ยังไม่ถูกถอดออกจากผังช่อง 11) กรณีการโยกย้าย โผทหารและโดยเฉพาะ ผอ.กอ.รมน.และผู้ที่จะมาเป็นที่ปรึกษา รมต.กลาโหม ดูแลงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งแต่งตั้งท่าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มานั่งดูแล 3 จว.ภาคใต้ ซึ่งทำให้เกิดคำถามตัวโตๆ ถึงความเหมาะสมด้วย ซึ่งบาดแผลและภาพลักษณ์ของท่านมีส่วนที่จะทำให้สถานการณ์ภาคใต้คลี่คลายขึ้นได้หรือไม่

เค้าลางความขัดแย้งประการต่อมา ในกรณีการตั้งกองทุนความมั่งคั่งของท่าน รมต.พลังงาน คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ริ่เริ่มอยากจะตั้งกองทุนความมั่งคั่งขึ้นมาเพื่อนำไปลงทุนในด้านพลังงานโดยเฉพาะบริเวณอ่าวไทย ซึ่งยังเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีการลากเส้น 4.6 ตร.กม.จากประสาทเขาพระวิหารยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งกล่มคนไทยหัวใจรักชาติ กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นนี้มาแล้ว แต่การจะนำเงินจากทุนสำรองในส่วนที่กันไว้ในแบ็งค์ชาติมาเพื่อนำไปลงทุนนั้นได้ทำให้บรรดาสานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ดาหน้ากันออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่มศิษย์ใกล้ชิดของหลวงตา มีความเป็นห่วงถึงวัตถุประสงค์ในการนำเงินส่วนนี้ไปลงทุน และจะได้ไม่คุ้มเสีย หากเกิดมีความเสียงเสียหายขึ้นมา ซึ่งเงินส่วนนี้ได้รับมาจากการบริจาคของประชาชนจำนวนมาก ตอนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40  ทำให้สานุศิษย์ได้พากันไปสอบถามผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯแบ็งค์ชาติ ว่าจะเห็นสมควรด้วยหรือไม่ ซึ่งก็ทำให้ท่าทีของทั้ง รมต.คลัง คุณธีระชัย ภูวนารถนรานุบาลกับ รมต.พลังงาน คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ต้องออกมาชี้แจงอยู่หลายครา และสุดท้ายเริ่มเปลี่ยนท่าทีหรือแนวคิดเสียใหม่ เมื่อรู้ว่ากลุ่มต่อต้านมีอยู่อักโข โดยเฉพาะนอกจากกลุ่มลูกศิษย์หลวงตาแล้วยังมีกลุ่มพันธมิตรอีกด้วย

เรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นถูกต่อต้านจากฝ่ายนายจ้างแทบจะทุกวงการ โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม และนักวิชาการ นักธุรกิจ sme ขนาดกลางและเล็ก รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้แรงงาน ถึงสภาพความไม่พร้อมและควรจะให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และให้เป็นบางพื้นที่ ไม่ใช่ทั่วประเทศพร้อมกัน อีกทั้งควรมีการพัฒนาในส่วนทักษะผีมือควบคู่กันไป หรือผ่านเกณฑ์การทดสอบฝีมือก่อน และบางอุตสาหกรรมก็ร้องโอดครวญหากต้องมีการบังคับให้ปรับทันที เพราะเป็นต้นทุนหลัก อาทิ ในอุตสาหกรรมเซรามิก เป็นต้น

เรื่องการปรับลดเงินอุดหนุนกองทุนน้ำมัน ถูกคัดค้านโดยบริษัท ปตท. นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากจะทำให้เป็นภาระกองทุนที่จะต้องแบกรับภาระหนี้สิน เพราะทุกวันนี้กองทุนถูกนำไปอุ้มต้นทุนแก๊สหุงต้มอยู่ ซึ่งก็กระทบภาระต้นทุนของบริษัท ปตท.และอาจทำให้ต้องมีการปรับราคาลอยตัวแก๊สหุงต้ม และ LPG ขึ้นไปในอีกไม่ช้า

เรื่องโครงการรับจำนำข้าว ถูกต่อต้านโดยสมาคมโรงสีข้าว นักเศรษฐศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการ ตลอดจนบริษัทผู้ส่งออกข้าว เพราะการใช้กลไกแทรกแซงราคาผ่านการรับจำนำข้าวนั้น รังแต่จะทำให้เป็นภาระการเงินการคลังของรัฐบาลในระยะยาว การไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดโลกได้ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ทำให้เกิดการพัฒนา สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวต่อเกษตรกรชาวนา และเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้า ข้าวไทยอาจสู้เวียดนาม พม่าไมได้ และคอยเป็นภาระให้รัฐบาลไทยตามแก้ตลอดทุกชาติไป เป็นนโยบายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีกโครงการนึงของรัฐบาล

เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกต่อต้านโดยพรรคประชาธิปัตย์ สว.สายสรรหากลุ่ม 40 สว. กลุ่มพันธมิตร อดีต สสร.ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นักวิชาการสายรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์จากหลายสถาบัน นักกฎหมาย กลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น เสื้อหลากสี เพราะที่มาที่ไปของการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น เป็นเพราะไปขัดผลประโยชน์นักการเมืองซีกรัฐบาลปัจจุบัน หรือมีวาระแอบแฝงที่ต้องการจะฟอกความผิดให้กับนักการเมืองบางคน การออกมาพูดว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ การจะจัดตั้ง สสร. การลงชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษต่อผู้ต้องหาทางการเมืองในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การออกแถลงการณ์โดยกลุ่มคณาจารย์ธรรมศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่า “นิติราษฏร์” เพื่อเรียกร้องให้มีการลบล้างผลการกระทำที่เกิดจากการรัฐประหารในปี 2549 การแต่งตั้ง ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน มาเป็นประธานสภาที่ปรึกษาดูแลด้านหลักนิติธรรม และกระบวนการยุติธรรมของไทย ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดขึ้นเป็นกระบวนการที่จะทำให้เกิดการตั้งสภา สสร.และนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ในหลายๆ มาตรา หรืออาจจะทั้งฉบับ ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป ในส่วนของนิติราษฏร์ นั้นผู้เขียนคิดเห็นว่าท่านมาในจังหวะที่ไม่เนียน การกล่าวอ้างว่าต่อต้านการปฏิวัติ รัฐประหาร และเผด็จการทหารนั้น ถ้าท่านเป็นนักวิชาการที่บริสุทธิ์ จริงใจต่อประเทศจริงๆ ท่านต้องแถลงท่าทีนี้ตั้งแต่สมัยการรัฐประหารใหม่ๆ ในช่วงแรกแล้ว ไม่ใช่มารอจนเปลี่ยนผ่านรัฐบาลมาถึง 4-5 รัฐบาลแล้วค่อยมาพูด หรือ คมช.หมดอำนาจไปแล้วจึงมาพูด อีกทั้งการต่อต้านการรัฐประหารก็ควรจะเป็นทุกรัฐประหาร ไม่ใช่แค่ปี 2549 แล้วเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2534 ยุค รสช.ทำไมไม่พูดถึง อีกทั้งเหตุการณ์ก่อนหน้ารัฐประหารปี 2549 ประเทศไทยก็อยู่ในยุคเผด็จการรัฐสภา โดยการบริหารประเทศของคุณทักษิณ ชินวัตร ได้มีการควบรวมพรรคต่างๆ เข้ามาอยู่ในพรรคไทยรักไทย ทำการแทรกแซงองค์กรอิสระมากมาย อาทิ ประธานสว.มาจากคนของตนอย่าง สุชน ชาลีเครือ การซื้อตัว 5 เสือ กกต.มาเป็นพวกที่เรียกว่า 3 หนา 5 ห่วง การซื้อตัวหรือจ่ายสินบนศาลในยุคทักษิณก็มีมาแล้ว ในกรุณีคดีซุกหุ้นภาค 1  หรือการแทรกแซงสื่อ อย่างการสั่งปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางช่อง 9 อย่างไม่มีเหตุผล การตอบกระทู้ในรัฐสภา ทักษิณไม่เคยมาตอบกระทู้หรือเข้าประชุมรับฟังการอภิปรายในรัฐสภาเลย เหล่านี้รวมๆ เรียกว่าเผด็จการรัฐสภาและเมื่อมีการโจมตีจากสื่อในข้อหาการคอรัปชั่น การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การบริหารงานไม่โปร่งใส มีผลประโยชน์ทับซ้อนในหลายๆ เรื่อง คุณทักษิณก็ไม่เคยชี้แจงต่อสื่อ จนเป็นที่มาของการยุบสภาหนีปัญหา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ตอนต้นปี 2549 และมีการบอยคอตจากทุกพรรคการเมือง ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง จนเป็นที่มาของการตัดสินให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ การเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง จนทหารต้องออกมารัฐประหาร นี่คือที่มาของการรัฐประหาร ซึ่งข้ออ้างก็ฟังขึ้น ไม่งั้นช่วงแรกประชาชนจะตอบรับหรือ มีการนำดอกไม้ไปยื่นให้ทหารที่ขับรถถังเข้ามาหน้ารัฐสภา และทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น กลุ่มนิติราษฏร์ หากคุณจะเกลียดเผด็จการทหารที่ทำรัฐประหารแล้ว คุณไม่เกลียดเผด็จการรัฐสภา และไม่กล่าวถึงความชั่วช้าของระบอบทักษิณ ได้อย่างไร ไม่กล่าวถึงเลย ทั้งๆที่การบริหารงานของคุณทักษิณนั่นแหละเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับประเทศตลอดมา ไม่วาจะเป็นการลุแก่อำนาจ การไม่มีธรรมาภิบาล การชอบแทรกแซงทั้งสื่อและองค์กรอิสระ ใช้ทุนของตัวเองเข้าไปเทคโอเวอร์นักการเมือง พรรคการเมือง ความโลภโมโทสันต์อยากจะได้ธุรกิจพลังงาน พลอยทำให้ฉ้อฉลในกิจการพลังงาน ผ่านการนำ ปตท.ไปแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน แล้วนำคนของตัวเองเข้าไปบริหาร และเข้าไปถือหุ้นของกิจการผ่านนอมินี (ซึ่งในกรณีนี้ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทำเรื่องฟ้องต่อศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อทวงคืน ปตท.กลับมาเป็นของประชาชน) การทุจริตมากมายในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ การขายหุ้นสัมปทานในเครือของตนเองชินคอร์ป ออกไปให้เทมาเส็ก (ซึ่งก็เป็นนิติกรรมอำพรางด้วย) โดยไม่ยอมจ่ายเสียภาษี เอาแค่เบาะๆ แค่นี้ก็มากมายพอที่จะบอกว่า รัฐบาลอย่างทักษิณเลวกว่ารัฐบาลทหารที่รัฐประหารมาเสียอีก เพราะสร้างความชิบหาย ทำลายประเทศต่างกันมากมาย นักวิชาการนิติราษฏร์กลุ่มนี้คงไม่อินโนเซ้นท์หรอก แต่อย่ามามือถือสากปากถือศีล สร้างภาพว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่กลับบูชาเผด็จการรัฐสภา และทุนนิยมสามานย์เช่นนี้ ฟังไม่ขึ้นและไม่เนียน จะอ้วกเอา ทีหลังอย่ามาใช้ฉากหลังคือสถาบันอันเป็นที่รักของผู้เขียนอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเป็นแบ็คในการออกมาเป็นทัพหน้าให้กับคุณทักษิณเลย ดูยังไงก็ไม่มีเครดิตทางวิชาการหลงเหลืออยู่แล้ว ไม่ทราบว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปล่อยคนกลุ่มนี้เอาไว้ได้อย่างไร น่าเศร้าใจมากๆ ช่อง voice tv ใช้คำว่าเป็นหน่วยกล้าตายทางวิชาการ ผู้เขียนอยากจะบอกว่าเป็นหน่วยน่าอายทางวิชาการมากกว่า เป็นกลุ่มอาจารย์ที่มีอคติและใจแคบทางวิชาการมากๆ ผู้เขียนเคยคิดว่าการเรียนกฎหมายสามารถช่วยแก้ปัญหาให้ผู้คนและแก้ปัญหาให้กับประเทศมิใช่หรือ แล้วทำไมนักวิชาการกลุ่มนี้ดูมีเจตนาจะทำร้ายทำลายประเทศมากกว่า เพราะจ้องทำลายสถาบันทหารซึ่งก็คือสถาบันหลักที่ค้ำจุนประเทศเอาไว้ เป็นข้ารับใช้พระมหากษัตริย์ทุกยุคสมัยมิใช่หรือ ใครก็ยังคิดได้ แม้แต่หลานผมซึ่งเรียนชั้น ม.4 ยังรู้อะไรถูกผิด รู้กาลเทศะ และรู้เจตนาที่ดีต่อบ้านเมืองเลย การรัฐประหารเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงการปกครองรูปแบบนึงเท่านั้น โดยมากรัฐบาลไหนในโลกนี้ถ้าเข้าไปยึดกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จและมีการคอรัปชั่น โกงกิน ไม่มีความโปร่งใส แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ ไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบหรือฝ่ายค้านอ่อนแอไม่สามารถจะตรวจสอบได้แล้ว ประชาชนจะหวังพึ่งใครได้ ถ้าไม่ใช่กองทัพ และวิธีการที่จะล้มอำนาจรัฐของรัฐบาลฉ้อฉลนั้นได้ก็มีเพียงวิธีเดียวคือการทำรัฐประหาร ที่ไหนประเทศไหนในโลกเขาก็ทำกัน ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป ต้องดูที่เจตนาของผู้นำที่ทำการรัฐประหารว่าหวังดีต่อประเทศชาติหรือไม่ และเมื่อทำรัฐประหารแล้ว เขาเหล่านั้นไม่ได้มาสืบทอดอำนาจต่อ สะสางปัญหาได้ และจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่และคืนอำนาจไปสู่ประชาชนได้ ก็ย่อมเป็นการรัฐประหารที่ดีและทำเพื่อประเทศชาติ อย่างในกรณีของรัฐประหารปี 2549 นั้นก็อยู่ในข่ายนี้คือผู้ทำการรัฐประหารมีเจตนาที่ดีต่อประเทศชาติ และถ้ามันจะมีความชั่วช้าอยู่บ้างก็ตรงรัฐบาลที่เขาแต่งตั้งมารักษาการนั้น ไม่ได้เข้ามาเพื่อสะสางปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เลี้ยงไข้เอาไว้ ทำท่าว่าจะมาเสวยสุข และไม่จัดการกับระบอบอำนาจชั่วร้ายของรัฐบาลที่ตนเองรัฐประหารมากับมือ จนวันนี้มันเติบใหญ่และกลับมามีอำนาจอีกครั้งนึง จึงถูกย้อนศรกลับมาเล่นงานในวันนี้นี่ไง

ถ้าจะจัดลำดับความสำคัญของนโยบายก่อนหลังของรัฐบาลชุดนี้ สิ่งที่ต้องทำก่อนก็คือการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นวิกฤติอยู่ในขณะนี้ และควรจะแก้ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ควรสร้างฝาย บ่อพักน้ำให้มีทุกตำบล ทุกอำเภอ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้งได้อีกด้วย ส่วนระยะยาว น่าจะคิดถึงการสร้างบ้านบนเรือนแพ เพราะมีการคาดการณ์กันว่าในอนาคต ที่ดินบริเวณประเทศไทยเกือบทั้งหมดจะจมหายไปกับทะเล ดังนั้นเราจึงควรปรับวิถีชีวิต ชินกับการอยู่อาศัยในน้ำเอาไว้ให้ได้ อาจไปศึกษาดูงานที่เนเธอร์แลนด์ก็ได้ เพราะประเทศไทยคงไม่เก่งพอที่จะถมทะเลทำเป็นเกาะเหมือนอย่างบางประเทศหรอก ต้องใช้งบประมาณมหาศาล อีกทั้งต้องเผื่องบกินตามน้ำไปอีกตั้งเท่าไหร่ แม้จะถมเทาไหร่ก็คงไม่พอเป็นแน่

นโยบายประชานิยมที่รัฐบาลคุณปู ยิ่งลักษณ์นำมาใช้ไม่ต่างจากคุณทักษิณ เพราะเป็นรัฐบาลโคลนนิ่งคุณทักษิณมา ใน พ.ศ.นี้อาจทำแล้วไม่เวิร์คก็เป็นได้ เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ของประเทศกับตอนปี 2544 ต่างกันมากนัก ตอนปี 2544 ประเทศอยู่ในภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวภายหลังติดลบซบเซาหลายปีจากวิกฤติต้มยำกุ้ง และก็เป็นช่วงที่ได้รัฐบาลที่บริหารชาติไปเป็นทาสไอเอ็มเอฟ พอเมื่อคุณทักษิณมาเล่นการเมือง ตั้งพรรคใหม่ นโยบายใหม่ จึงทำให้คนคาดหวัง อยากลองของใหม่ และก็ภาพลักษณ์ดูเป็นมืออาชีพ ก็เลยเลือก นโยบายประชานิยมมาตอนนั้น กลายเป็นสินค้าใหม่ที่น่าลอง และก็ได้ผลเพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวพอดี อีกอย่างก็คือมันเป็นตัวเร่ง GDP ที่ดีด้วย เพราะต้องใช้จ่ายเงินภาครัฐเยอะ แล้วไอ้เจ้าตัว GDP เนี่ยนะ เป็นตัววัดที่สำคัญของประเทศที่อยู่ในระบบทุนนิยมโลกที่ยากจะปฏิเสธ เพราะเขาใช้ตัวนี้วัดผลงานของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย คล้ายๆ KPI’s รัฐบาลไหนบริหารประเทศแล้ว GDP ลดลงทุกปี หรือไม่โตขึ้น ก็เตรียมตัวพับเสื้อผ้า จัดกระเป๋ากลับบ้านไปได้เลย ก็คงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของนักลงทุน นักวิชาการ นักธุรกิจ ตลอดจนประชาชนได้หรอก นี่คือที่มาว่าทำไมเขาถึงเอาประชานิยมมาใช้กัน

รัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์นี้ใช้กลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอยู่ 2 ตัวคือการบริโภคภายในประเทศ โดยการเร่งอุปสงค์ภายในผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น ปรับค่าแรง กระตุ้นให้ซื้อรถคันแรก,บ้านหลังแรก ลดอุดหนุนกองทุนน้ำมัน บัตรเครดิตชาวนา จำนำข้าว ลดภาษีนิติบุคคล บ.จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น อีกตัวก็คือการลงทุนใช้จ่ายภาครัฐ ผ่านโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ๋ เช่น รถไฟฟ้า โครงการจะถมทะเลบริเวณสมุทรปราการ เพื่อสร้าง City Complex แห่งใหม่ ฯลฯ เพราะเศรษฐกิจโลกปีนี้คงย่ำแย่ ทั้งสหรัฐและยุโรป ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศ และการ่ส่งออกกับการท่องเที่ยวคงลดลงไปมาก และเมื่อเจอกับภัยธรรมชาติใหญ่ๆ ในปีนี้ เช่น น้ำท่วม ทำให้ต้องมีงบฟื้นฟู ซ่อมแซม สร้างโครงสร้างสาธาณูปโภค กลับมาใหม่ ให้สามารถใช้งานได้ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล จะหาแหล่งเงินมาจากไหน ในเมื่อเรามีนโยบายลดภาษี ลดรายได้ของภาครัฐตั้งมากมาย คงต้องกู้ยืมมามากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้นตาม แต่ไม่รู้ว่าชั่วโมงนี้ที่เศรษฐกิจโลกกำลังดิ่งเหว อยู่นี้ นโยบายเศรษฐกิจที่เร่งการสร้างอุปสงค์ภายในประเทศ ให้เกิดการใช้จ่ายมากๆ ในตอนนี้ จะสอดคล้องกับภาวการณ์เศรษฐกิจโลกหรือไม่ และจะทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากภัยเศรษฐกิจนี้ได้หรือไม่ เพราะความเชื่อมั่น ความกลัว ของนักลงทุน,นักธุรกิจทั่วโลก สนองตอบผ่านการผันผวนในแทบจะทุก sector ทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งเสี่ยงและไม่เสี่ยง ทำให้เกิดความหวาดกลัวที่จะชะลอการลงทุน การใช้จ่าย ในตลาดต่างประเทศ ชั่วโมงนี้ผู้เขียนจึงห่วงว่าทั้งปัจจัยภายในประเทศ ปัญหาเรื่องน้ำท่วม ข้าวยากหมากแพง ค่าครองชีพสูง เงินเฟ้อ ปัญหาการเมือง ภัยธรรมชาติอื่นๆ ปัญหา 3 จว.ชายแดนใต้ มาผสมโรงกับปัจจัยภายนอกประเทศ คือ ปัญหาการว่างงานทั่วโลก วิกฤติหนี้สินในยุโรป หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา จะทำให้รัฐบาลคุณปู ยิ่งลักษณ์ เผชิญความท้าทายหลายด้าน และการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา การแก้ไขปัญหาเร่งด่วน อะไรที่ไม่ใช่นโยบายแต่อยากทำ จะเผชิญแรงต้านมากน้อยขนาดไหน ดูๆ แล้วก็อยากเอาใจช่วย ให้ไปรอดถึงตลอดรอดฝั่ง อยู่จนครบเทอม และนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ ประเทศไม่กลับมาวิกฤติเหมือนครั้งปี 40 อีก

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

Brand Supremacy - Case Study Louis Vuitton

กรณีศึกษา กลยุทธ์สร้างความสำเร็จของแบรนด์ หลุยส์ วิตตอง

The Magic Touch of Louis Vuitton

สูตรสำเร็จอย่างง่ายๆที่ Arnault บอกเอาไว้คือ “การบ่งบอกคุณลักษณะและเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัวของแบรนด์ หรือ DNA ด้วยการเจาะลึกลงไปถึงเรื่องราวประสบการณ์ของแบรนด์ ให้ผู้บริโภครู้สึกถึงคุณค่าของความเป็นแบรนด์นั้นๆ”

Bernard Arnault ซีอีโอวัย 62 ปี เริ่มต้นเส้นทางการวางรากฐานแบรนด์หรูเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว Arnault รวบรวมแบรนด์เครือ Dior ให้อยู่ภายใต้ชายธงของหลุยส์ วิตตอง ก่อนจะควบรวมกิจการกับ Moet Hennessy กลายเป็นกลุ่มเครือ LVMH ในปี 1987 เขาเริ่มขยายอาณาจักรแบรนด์ให้กว้างขวางออกไปพร้อมๆ กับจัดจ้างบุคลากรเข้ามานั่งบริหารงาน และเร่งเครื่องเต็มกำลังในช่วงทศวรรษที่ 90 ให้กลุ่มกลายเป็นตัวแทนของแบรนด์เกรดหรูระดับโลก


กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าคู่กับการเดินทางเรือในสมัยก่อนตั้งแต่ปี ค.ศ.1854 แต่พอถึงยุคหนึ่งจากความยาวนานของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ก็เคยกลายเป็นกระเป๋าเชยๆ สำหรับคนรุ่นแม่ไปในช่วงปี ค.ศ.1980 จากความเก่าแก่ของแบรนด์ กระทั่งในปี 1990 Arnault ได้ชักนำให้ Yves Carcelle มานั่งแท่นแบรนด์เมเนเจอร์ของหลุยส์ วิตตอง และอีกไม่กี่ปีถัดมา Arnault ได้จ้าง Marc Jacobs ดีไซเนอร์ไฟแรงจากนิวยอร์ก มาเป็นหัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟของแบรนด์

Marc Jacobs ศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง แล้วจัดแจงดีไซน์รูปแบบกระเป๋าออกมาเป็นซีรี่ส์ต่างๆ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างถล่มทลาย จากคนมีอันจะกินทั่วโลก “Marc นำเอาความร่วมสมัยมาใส่ในสินค้าที่มีอายุราวศตวรรษอย่างหลุยส์ วิตตอง แล้วดูคลาสสิกมากที่สุด” Arnault กล่าว ซึ่งเขาย้ำว่า ดีไซน์เพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่คำตอบ หากแต่กระเป๋าทุกใบของ หลุยส์ วิตตอง จะต้องมีคุณภาพไดมาตรฐานด้วยเช่นกัน

ทางด้าน Yves Carcelle แบรนด์เมเนเจอร์ เองก็สำทับกลยุทธ์สินค้าเกรดหรูด้วยนโยบายทางการตลาดด้วยการสร้างกระแสปากต่อปากให้แบรนด์ฮิตติดลมบน ใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นตัวกระตุ้นการใช้สินค้าของหลุยส์ วิตตอง กลยุทธ์ปากต่อปากของหลุยส์ วิตตอง อยู่ที่การวางตำแหน่งแบรนด์ให้หรูหราราคาแพง และการผลิตสินค้ารุ่นลิมิเตด อิดิชั่น ออกมาขายเป็นฤดูกาล เช่น กระเป๋ารุ่น Theda Bag ราคากว่า 5,500 ดอลล่าร์สหรัฐ มีวางจำหน่ายเฉพาะที่ร้านบนถนน Fifth Avenue เท่านั้น

อีกส่วนหนึ่งของห้องทดลอง มีกระเป๋าหนังที่ถูกทดสอบโดยการผ่านรังสีอัลตราไวโอเลต เพื่อดูความคงทนของสี อีกส่วนงานหนึ่งกำลังทดสอบการเปิดและปิดซิป ซึ่งจะทำต่อเนื่องกันถึง 5,000 ครั้ง นอกจากนี้ ห่วงที่ยึดติดกับกระเป๋ายังถูกเหวี่ยงขึ้นลง เพื่อดูความคงทนของการติดห่วงดังกล่าวอีกด้วย แสดงให้เห็นถึงส่วนหนึ่งของปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จของแบรนด์หรูระดับโลกอย่างหลุยส์ วิตตอง

หากจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของแบรนด์หรูดังระดับโลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกุชชี่ ปราด้า แอร์เมส และหลุยส์ วิตตองเองนั้น ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานของหลุยส์นั้นมีความน่าประทับใจมากกว่าคู่แข่งมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของยอดขายและการทำกำไร ที่แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงอยู่มาก แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับการวิจารณ์จากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ มอร์แกนสแตนเล่ย์ ที่บอกว่าธุรกิจของวิตตองนั้น เริ่มที่จะเข้าสู่ยุคอิ่มตัว แต่จากผลประกอบการที่แสดงออกมานั้น นับว่าตรงกันข้ามกับบทวิจารณ์โดยสิ้นเชิง และสามารถลบล้างคำวิจารณ์ได้ชะงัดทีเดียว

จากการวิเคราะห์ พบว่าสิ่งที่เป็นความแข็งแกร่งอย่างมากของวิตตอง คือภาพลักษณ์และความจงรักภักดีอย่างยิ่งยวดในแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ที่เรียกว่าจับใจลูกค้าระดับสูงได้อยู่หมัด ขนาดที่ว่าภาพที่เคยเห็นคือลูกค้าจากชาติต่างๆ ต้องเข้าคิวยาวเหยียดรอหน้าร้านหลุยส์วิตตอง บนถนนบอนด์สตรีทที่กรุงลอนดอน ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บจับใจ เพื่อที่จะรอเรียกให้เข้าไปในร้าน เนื่องจากทางร้านมีนโยบายว่าต้องมีการบริการแบบหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น (คือท่านต้องมีบริกรหรือพนักงานขายหนึ่งคน ที่ว่างมาดูแลท่าน หากเต็มก็ต้องรอจนลูกค้ารายเก่าออกมาก่อนครับ)

ปัจจัยความสำเร็จของแบรนด์ หลุยส์ วิตตอง

ประการแรกมาจากการควบคุมคุณภาพอย่างยิ่งยวด เพื่อให้สินค้าออกมามีรูปแบบและการใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์ นับตั้งแต่กระบวนการผลิตที่มีการใช้แรงงานที่มีคุณภาพและทักษะสูง เท่านั้น โดยหลุยส์วิตตอง ยอมที่จะตั้งโรงงานเกือบทั้งหมดอยู่ในฝรั่งเศส ที่ซึ่งแรงงานมีราคาแพงมาก แถมกฏหมายด้านแรงงานยังเคร่งครัดมากอีกต่างหาก แต่ก็จำเป็น เนื่องจากต้องการดำรงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ความเป็นสินค้าจากแดนดีไซน์เลื่องชื่อและมีคุณภาพที่ควบคุมได้เองอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามหลุยส์ วิตตอง ก็ยังเน้นการควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ด้วยการใช้ระบบหุ่นยนต์สมองกลเข้ามาผสมผสานกับการใช้แรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดสัดส่วนของค่าแรงในการผลิตได้อย่างมาก

การควบคุมต้นทุน เมื่อเปรียบเทียบกับแอร์เมสที่แม้มีราคาที่สูงกว่า แต่การผลิตนั้นยังพึ่งพิงแรงงานคนเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้มีส่วนต่างกำไรน้อยกว่ามาก อีกทั้งระบบการผลิตและดำเนินงาน ยังได้นำเทคนิคทีมเวิร์ค และการมีส่วนร่วมของพนักงานเข้ามาผสมผสานด้วย โดยจะมีการจัดแบ่งพนักงานเป็นทีมๆ ละ 20-30 คน แต่ละทีมดูแลสินค้าหนึ่งชนิด และพนักงานจะได้รับการอบรมเกี่ยวกับข้อมูลของสินค้าชนิดนั้นอย่างละเอียด

ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการตลาด การกระจายสินค้า รวมถึงฟีดแบ็คจากลูกค้า เพื่อให้เข้าใจในสินค้าดีขึ้นและดำเนินการผลิตได้ดีขึ้น มีทักษะดีขึ้น และยังสามารถให้ความคิดเห็นต่างๆ ในการปรับปรุงทั้งการผลิตดีไซน์และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วย ซึ่งช่วยทั้งทางด้านการเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้วย


การดีไซน์นับเป็นหัวใจที่ลืมไม่ได้ สไตล์ของหลุยส์ วิตตอง ที่เด่นชัดนั้นจะเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิคซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหลุยส์กับความทันสมัยรุ่นใหม่ที่สร้างความตื่นตา ในอดีตจะมุ่งเน้นที่ความคลาสสิก และขรึมมากจนกระทั่งความสดใสในแบรนด์ลดลง และลูกค้าก็เป็นกลุ่มที่มีอายุแล้วด้วย แต่ในปัจจุบันนี้มีการเพิ่มเติมความแปลกใหม่ ผสมผสานเข้าไป มีการใช้สีสันสดใสผสมกับดีไซน์เดิมที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นลูกค้ามากขึ้น และกลุ่มนี้จะกลายเป็นสาวกชั้นดีของการซื้อสินค้าในไลน์อื่นๆ ที่เพิ่มเติมมากขึ้น เพื่อเป็นการขยายตลาดต่อไปได้

รวมถึงการที่หลุยส์นั้น มุ่งเน้นที่ภาพลักษณ์อย่างมาก จะเห็นว่าจะไม่มีการใช้การลดราคา ไม่ว่าจะเป็นในซีซั่นหรือวาระโอกาสใดทั้งสิ้น ไม่เหมือนกับสินค้าแบรนด์ดังยี่ห้ออื่น ไม่ว่าจะเป็นวินเทอร์ ซัมเมอร์ ก็ไม่มีการลดราคากระหน่ำทั้งสิ้น เนื่องจากต้องการปลูกฝังแบรนด์นี้ให้กลายเป็นลักษณะของ “สัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม” การทุ่มเทเรื่องงบโฆษณาในแต่ละปี การใช้พรีเซ็นเตอร์จะต้องเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำให้เด่นชัดขึ้น นอกจากนียังมีการให้การการันตีการซ่อมฟรีตลอดชีพกับสินค้าทุกชิ้น เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกด้วย

แต่สิ่งที่หลุยส์ วิตตอง กำลังเผชิญกับความท้าทายอยู่ทุกวันนี้ก็คือ สินค้าถูกลอกเลียนอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในตลาดใหญ่อย่างจีน ประเทศในแถบอาเซี่ยน เป็นต้น ประการต่อมาก็คือ ดีไซเนอร์ มือดีอย่าง Marc Jacobs ผู้ซึ่งเป็นคีย์แมน หัวเรือใหญ่ในการปลุกปั้นแบรนด์ ได้ลาออกจากกิจการไป

(ถอดความบางส่วนจาก LVMH : The Magic Touch นิตยสาร Fortune sep 2004 แปลโดยดวงกมล วงศ์วรจรรย์ ,คอลัมน์จับเข่าชนคนกลยุทธ์ โดย ผศ.ดร.ธีรยุศ วัฒนาศุภโชค,Bizweek)

ปัจจุบัน LVMH ครอบครองแบรนด์เกรดหรูกว่า 50 แบรนด์ สร้างรายได้ราว 20.32 พันล้านเหรียญยูโร เมื่อปีที่ผ่านมา (2010) กลุ่มของ LVMH ผู้สร้างแบรนด์หรูอย่างหลุยส์ วิตตอง,รายงานเมื่อวันศูกร์ที่ผ่านมาว่า กำไรของทั้งปีเติบโตขึ้น โดยไตรมาสที่ 3 มีปริมาณความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์กระเป๋าหนังสูงขึ้นมาก

ในงบการเงินนั้น, ประธานบริหารของกลุ่ม LVMH และซีอีโอคุณเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ กล่าวว่า บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นทั้งปี ถึง 73 % ในปี 2010 โดยกำไรของปีนี้ 4.13 พันล้านยูโร เมื่อเทียบกับกำไร 3.03 พันล้านยูโรในปี 2009 และรายรับรวมเพิ่มขึ้น 19 % ในปี 2010 เช่นกัน คือราว 20.32 พันล้านยูโร ในปีนี้ 2010 เมื่อเทียบกับรายรับรวม 17.05 พันล้านยูโรในปี 2009

(ที่มาของข้อมูลตัวเลขจาก http://www.startupbizhub.com/luxury-brand-lvmh-group-hits-record-profit-sales-in-2010.htm)

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

คำตอบของแบรนด์ที่สำเร็จ และจุดจบของแบรนด์ที่ล้มเหลว

นวัตกรรมคือคำตอบแห่งความสำเร็จของธุรกิจในยุคนี้หรือไม่


ก่อนอื่นอยากให้ทราบสมการนี้กันก่อนก็คือ นวัตกรรม + ความคิดสร้างสรรค์ = สุดยอดแบรนด์

เราคงกล่าวโดยไม่ยกตัวอย่างสินค้าที่อยู่ในสูตรสมการนี้ไม่ได้ อันได้แก่ แบรนด์อย่าง Apple Google Microsoft Dell IKEA Samsung Virgin Airline Disney Pixar Hermes Luise Vitton Harley Davidson Ferrari BMW Mini Cooper Rolex Tag Heuer Roll Royce เป็นต้น

แม้ว่าในโลกนี้ไม่มีสูตรสำเร็จใดจะเป็นสูตรสำเร็จอย่างถาวรหรือเป็นคัมภีร์ให้แบรนด์ทุกแบรนด์สามารถเดินตามกันได้ แต่เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ ความคิด ตลอดจนรวบรวมเอาเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะที่พิเศษของแต่ละแบรนด์มาเพื่อศึกษาเรียนรู้และทำตามกันได้ อันนี้เป็นรูปแบบของแบรนด์สมัยก่อนที่กว่าจะสร้างคุณค่า ความเป็นตัวตน และการยอมรับศรัทธามาได้ ต้องใช้เวลากว่าชั่วชีวิต ครึ่งค่อนชีวิต หรือร่วมศตวรรษ แต่สำหรับแบรนด์สมัยใหม่ เมื่อเปิดตัวเข้าสู่ตลาดแล้ว สามารถแจ้งเกิดได้เพียงชั่วข้ามคืนก็มี แต่ปัจจัยที่ทำให้แบรนด์ยุคนี้แจ้งเกิดได้เร็ว ก็คือ การตกผลึกความคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งในแง่คุณค่าของตัวผลิตภัณฑ์ ประสบการณ์ของผู้บริโภคที่จะได้รับ (ผ่านการศึกษาวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคหรือทำ Focus Group จนได้ผลสรุปมาเป็นอย่างดีแล้ว) การสร้างการรับรู้โดยใช้การตลาดแบบบูรณาการครบทุกสื่อทุกช่องทาง และสามารถสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตัวและชัดเจน ทั้งในแง่ message และสิ่งเร้า สิ่งเหล่านี้เป็นการลดขั้นตอนการเข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว สร้างการรับรู้ความสนใจอย่างรวดเร็ว ผ่านโฆษณาแบบจู่โจมและแรง เพื่อสร้างกระแสการพูดแบบปากต่อปาก ใช้พรีเซ็นเตอร์หรือแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่เป็นไอค่อนของกลุ่มเป้าหมาย สอดแทรกเข้าไปผ่านกิจกรรม CSR หรืองาน Event ใหญ่ๆ ที่ผู้คนสนใจ ตลอดจนการทำ test ทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนออกสู่ตลาด การสร้างสตอรี่ให้กับตัวสินค้าเป็นเหมือนสารคดีเปิดตัวสินค้า ฯลฯ ทั้งหลายทั่งปวงอยู่บนพื้นฐานของการสร้างแบรนด์ ซึ่งองค์ประกอบของมันอยู่ที่นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ซึ่งจะกำหนด นำเสนอ ผลักดัน ต่อยอด และรักษาไว้ได้อย่างไร นั่นคือโจทย์ของธุรกิจในยุคนี้

ในอดีตนั้นโกดัก เคยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถือกำเนิดจากนวัตกรรมมาก่อน ซึ่งก่อตั้งและดำเนินการมากว่า 100 ปี ในธุรกิจผลิตฟิมล์ถ่ายรูป กระบวนการจัดการต่างๆที่เกี่ยวกับฟิมล์ รวมถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับการถ่ายภาพในระดับ mass market แต่เมื่อพอมาวันนึงเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอีกขั้น การถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องใช้ฟิมล์อีกต่อไป เข้าสู่ยุคกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ทำให้โฉมหน้าของอุตสาหกรรมนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้โกดักต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปจากการทำ consumer product ไปสู่ business product แทน จึงจะสามารถมีที่ยืนและอยู่รอดได้ แต่นับว่ายังโชคดีที่โกดักยังสามารถค้นหาอาณาเขตใหม่ของตนเองจนเจอ มิให้ต้องเป็นแบรนด์ที่ถูกลบชื่อไป เสมือนบริษัท IBM เมื่อครั้งที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ใหม่ การถือกำเนิดของบริษัท Hardware อย่าง Compaq Dell Apple บริษัทด้าน Software อย่าง Sun Microsoft Oracle หรือบริษัทชิ้นส่วนอะไหล่อย่าง Intel ทำให้ IBM ต้องหาที่ยืนให้กับธุรกิจของตนเอง และจำต้องปรับองค์กรขนานใหญ่ และ position ตัวเองใหม่ (จากหนังสือ ใครว่าช้างเต้นระบำไม่ได้)



บริษัทโนเกีย ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่เดิมเมื่อเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ๆ นั้นดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเยื่อไม้มาก่อน ได้มีการพัฒนาต่อเนื่อง จากการผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจการผลิตกระดาษ พัฒนาเข้าสู่ยุคสำนักงานไร้กระดาษ “Paperless Office.” ในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ จนปัจจุบันนี้โนเกียเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รายสำคัญของโลก โนเกียถือกำเนิดจากการสร้างนวัตกรรมบวกรวมกับความคิดสร้างสรรค์จนก้าวขึ้นไปสู่บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงยุคดิจิตตอล (ส่วนในยุคอนาล็อคเป็นโมโตโรล่ากับโซนี่อิริคสันครองตลาดอยู่) และครองส่วนแบ่งตลาดความเป็นผู้นำอยู่หลายปี จนเมื่อไม่นานมานี้ โลกก้าวเข้าสู่ยุค 3G ผลิตภัณฑ์ด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือมือถือได้ถูกพัฒนาปรับปรุงไปเป็น smart phone ซึ่งผู้ที่ริเริ่มพัฒนาจนออกสู่ตลาดเป็นรายแรกๆ ก็คือ blackberry และก็ I-phone ของค่าย Apple ทำให้กลายเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจสำหรับตลาดมือถือในยุคปัจจุบัน และมีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดรายใหม่ๆ อีกมาก อาทิ Samsung HTC etc. ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นรวดเร็วจนแม้แต่ Nokia เองก็ปรับตัวไม่ทัน และยังไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ทัน นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้โนเกีย ไม่สามารถขึ้นขบวนรถไฟของเทคโนโลยีมือถือในยุค 3G ได้ทัน กลายเป็นตกขบวนรถไฟอีกทั้งยังหลุดจากวงโคจรของผู้นำด้านเทคโนโลยีสื่อสารไปเสียแล้ว ซึ่งคงต้องรอดูว่า Nokia จะสามารถปรับทิศทาง พัฒนาความก้าวหน้าด้านนวัตกรรม และแย่งชิงฐานที่มั่นทางด้านการตลาดกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมได้หรือไม่ ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค 4G กันแล้ว

กรณีศึกษาของแบรนด์ที่ผิดพลาดล้มเหลวยังมีอีกมาก อาทิ รถยนต์ Ford Edsel (ในอเมริกา),รถยนต์ Toyota Avanza (ในเมืองไทย) ,กล้องยี่ห้อ Polaroid กรณีการแตกแบรนด์ซึ่งข้ามไลน์การผลิต อาทิ Harley Davidson Perfume , Wine Cooler , ปากกา Big , เครื่องดื่มโคล่าของยี่ห้อ Virgin Cola กรณีศึกษาของไทยอาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ TANIN , เครื่องดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อ ซาสี่, กาแฟคอฟฟิโอ้ ,น้ำผลไม้เซกิ , บะหมี่สำเร็จรูปโฟร์มี , ผงซักฟอกแฟ้บ ,เคเบิลทีวีไทยสกายทีวี , เป็นต้น

อ.สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล นักการตลาดชื่อดังและผู้บริหารบริษัท AIS ได้เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับประเด็นความล้มเหลวของธุรกิจหรือแบรนด์ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

สิ่งที่ต้องนำมาวิเคราะห์ก่อนส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดก็คือ สถานะและคุณสมบัติของสินค้านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่มีอยู่เดิมในตลาด ระดับราคาเชิงเปรียบเทียบ ความยากง่ายในการใช้สอย และช่องทางการเข้าถึงของผู้บริโภค ทั้งหมดเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่ขาดไม่ได้ หากยังเหมือนและขาดความแตกต่าง กับตัวสินค้าที่มีวางขายอยู่เดิมในตลาด โอกาสที่จะเดินไปสู่ความล้มเหลวก็อาจเกิดขึ้นได้ ประการต่อมา เมื่อส่งสินค้าลงสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว อาการที่เกิดขึ้นบ่งชี้ได้หลายสถานะ ดังนี้

กรณีแรก สินค้านั้น “เกิดขึ้น” และตายอย่างรวดเร็ว อาทิ โทรศัพท์อิริเดียม ที่ใช้ดาวเทียมเป็นหัวใจในการสื่อสาร ปัจจัยแวดล้อมมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานค่อนข้างสูง และความต้องการใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมมีอยู่จำกัด กรณีของเครื่องเล่นวอล์คแมน และมินิดิสก์ ก็อยู่ในข่ายนี้ เช่นกัน

กรณี 2 “ตายช้า” ใช้เวลาระยะหนี่งก่อนจะถอนตัวเองออกไปจากตลาด เช่น ธุรกิจเทปคาสเซ็ทท์ ,วีดีโอคาสเซ็ทท์ ,โทรทัศน์จอตู้ , วิทยุติดตามตัว เพจเจอร์ ฯลฯ

กรณี 3 “โคม่า” สินค้านั้นยังคงวางขายในตลาด แต่อยู่ในสภาพโคม่า ไม่สามารถดันยอดขายให้เติบโตได้อีก อาทิ เครื่องเล่นวีซ๊ดี/ดีวีดี , เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีตั้งโต๊ะ , คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ค/แล็ปท็อป ,เครื่องรับโทรทัศน์พลาสม่า จอแบน ฯลฯ

กรณี 4 “สร้างกำไรแต่ไม่เติบโต” กรณีนี้เกิดขึ้นจำนวนมากในปัจจุบัน สินค้านั้นทำกำไรได้บ้าง แต่ไม่เติบโตทางธุรกิจ เช่น หนังสือพ็อคเก็ตบุ้คต่างๆ เกมส์พีซี แม็กกาซีน หนังสือพิมพ์ แผ่นหนัง DVD,VCD.MP3 ฯลฯ


กรณี 5 “ทำกำไร และคุ้มค่าการลงทุน” และโตเร็วมาก แต่มีบิสสิเนสโมเดลที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงโตเร็วมาก เพื่อมาฆ่าตัวเองในที่สุด” เนื่องจากขาดการควบคุมคุณภาพที่ถูกต้อง สุดท้าย ”โตเร็ว ปัญหาน้อย และกำไรดีมาก” อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ตพีซี แก็ดเก็ตต่างๆ จานดาวเทียม กล่องรับสัญญาณเคเบิลทีวี วิทยุชุมชน เป็นต้น

สาเหตุหลักๆ 8 ประการ ที่ทำให้แบรนด์ล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ บางครั้งก็คือสูญหายไปจากตลาดเลย ได้แก่

1 ล้มเหลว เพราะสินค้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ (Classic Failures) หรือเกิดจากการใช้กลยุทธ์ที่ผิดพลาด อาทิ รถยนต์โตโยต้า อแวนซ่า

2 เกิดจาก product concept ไม่ชัดเจน ผู้บริโภครู้สึกยอมรับการใช้งานของสินค้านั้นไม่ได้ ( Ideas Failures)

3 เอาแบรนด์ที่สำเร็จทางการตลาดนึงไปใช้กับสินค้าชนิดอื่น (Brand Extension) เช่น กรณีของสินค้าของกลุ่ม Harley Davidson , Virgin Group 

4 ความผิดพลาดที่เกิดจากการประชาสัมพันธ์ (PR Failures) มีผลต่อภาพลักษณ์องค์กร และการตลาดของแบรนด์นั้น

5 สินค้าที่ไม่ตรงตามวัฒนธรรมของตลาด (Culture Failures) ทำให้สินค้านั้นยากต่อการเข้าถึงผู้บริโภค

6 แบรนด์ที่ล้มเหลวจากตัวบุคคล (People Failures) ซึ่งเป็นเจ้าของ หรือผู้บริหารสูงสุด อาทิ เอนรอน การบริหารของคนมีผลต่อภาพลักษณ์องค์กร

7 การใช้เทคโนโลยีที่ผิดพลาด (Technology Failures)

8 แบรนด์ที่หยุดจากกระแส (Trend & Outstand Brand Failures)

ต้นตอความล้มเหลวของแบรนด์ที่กล่าวมานั้น อ.สรรค์ชัย กล่าวว่า เป็นเพียงกรณีศึกษาตามที่ตนเองค้นพบ แต่ที่วัดได้ในเชิงสถิติแล้ว พบว่า 5% ของแบรนด์เกิดใหม่จะมีอายุได้ราว 5 ปี และ 67% ของความล้มเหลว มาจากความพยายามของการสร้างตลาดใหม่ จุดจบของแบรนด์ต่างๆ เป็นเพียงปลายทางของปัญหาที่ยังไม่เกิด แต่หากถูกค้นพบและสกัดกั้น ตั้งแต่เริ่มจะช่วยให้แบรนด์นั้นคงสถานะอยู่ได้ในตลาด หากมีวิธีจัดการอย่างมีชั้นเชิง

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

พันธกิจลับ บทเรียนความผิดพลาด ที่ไม่เคยจดจำของอเมริกา

Memorial 9/11 Event


สืบเนื่องจากพิธีรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ครบรอบ 10 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา ณ บริเวณ ground zero บริเวณเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ทีผ่านมานี้ ทำให้ผู้เขียนอยากจะนึกทบทวน ย้อนความทรงจำกลับไปว่า อะไรคือที่มาที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม การก่อการร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติในครั้งนั้น แท้ที่จริงแล้วสาเหตุมันเกิดมาจากอะไร อะไรคือต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้เราสามารถทำความเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาของชาติมหาอำนาจแห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้น ก็คือการย้อนไปทบทวนและตามดูบทบาทของอเมริกาในวาระต่างๆ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญๆ พันธกิจลับต่างๆ บทเรียนความผิดพลาดในอดีตของอเมริกา ที่ประชาคมโลกยังจดจำได้ แต่อเมริกาไม่เคยจดจำ แม้ว่าจะทบทวนบทเรียนไปแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อเมริกายังคงทำผิดซ้ำซากในหลายกรณีหลายเหตุการณ์ อันนี้กระมังที่เป็นมูลเหตุให้เกิดข้อขัดแย้ง ความเข้าใจผิด ความรู้สึกที่ไม่ดีต่ออเมริกาเป็นการสะสมเชื้อร้ายแห่งความโกรธเคือง เคียดแค้นที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ต่อๆ กันมาหลายยุคหลายสมัยของผู้นำหรือรัฐบาล จากศํตรูที่เป็นศัตรูทั้งทางตรงและโดยอ้อม ทั้งศัตรูที่เปิดเผยอย่างประเทศบางประเทศที่ต่อต้านอเมริกาอย่างชัดเจน หรือประเทศที่ไม่ต่อต้านอย่างชัดเจนแต่ก็ให้การสนับสนุนอย่างลับๆ มีทั้งที่เป็นองค์กร ขบวนการ กลุ่มก้อน กองกำลังที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ไปจนถึงประเทศมหาอำนาจใหญบางประเทศ ที่มีนโยบายขัดแย้งกับอเมริกาโดยตรง การมีศัตรูหรือโจทย์มากของอเมริกานี่เอง ที่ทำให้ไม่สามารถทำลายหรือกำจัดศัตรูเหล่านั้นไปได้อย่างหมดสิ้น จนมาถึงเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งแม้ว่าจะทราบตัวผู้บงการวางแผนปฏิบัติการเหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่กว่าที่จะตามเช็คบิล นายอุสมะห์ บิล ลาเด็น จนเสียชีวิตไปได้ ก็ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี แต่สหรัฐก็ต้องลงทุน ลงแรงทำสงครามทั้งในอิรัก และอัฟกานิสถาน สูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน เงินทองไปมากมาย เรียกว่าไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ตามมา จนทุกวันนี้ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก็พังพินาศจากวิกฤติการเงิน มีหนี้สินสาธารณะจำนวนมากอันสืบเนื่องจากงบประมาณทางทหารที่ใช้ไปในการทำสงคราม งบประมาณที่เสียไปกับการป้องกันการก่อการร้าย หรือระบบการรักษาความปลอดภัยของทั้งประเทศรวมถึงเดือดร้อนไปถึงมิตรประเทศอื่นๆ ก็ต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามด้วย จนทุกวันนี้ภัยจากการก่อการร้ายก็ไม่ลดลง ขบวนการก่อการร้ายก็ไม่ได้ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นซาก แม้ว่าผู้นำกลุ่มอัลกอฮิดะห์จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้นำตัวแทนคนอื่นมาสืบทอดตำแหน่ง อำนาจและภารกิจ่ต่อไป เกมสงครามการก่อการร้ายที่อเมริกาคิดขึ้นมานั้นจึงดูเหมือนจะยิ่งเล่นยิ่งเข้าตาจน ไม่มีทางชนะ มีแต่แพ้กับแพ้ และความสูญเสียที่เสี่ยงรออยู่ข้างหน้าอีกไม่รู้จะเท่าไหร่ และอย่างไรด้วย จึงได้แต่ภาวนาว่า ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐจะคิดได้และหาทางทบทวนบทบาทของประเทศตนเองเสียใหม่ รวมถึงสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ และต้องยอมเสียสละ ลดบทบาทของตนเองลง ไม่เช่นนั้นหายนะที่จะตามมาอีกมากมายอาจเกิดขึ้นได้ในอีกไม่ช้านี้

ประวัติศาสตร์การเมือง และบทบาทของสหรัฐอเมริกาในอดีตก่อนการเป็นมหาอำนาจโลก

-สงครามกลางเมืองในอเมริกา (American Civil War, 1861-1865) จุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างรัฐทางใต้ที่จำต้องพึ่งแรงงานทาสผิวดำกับรัฐทางเหนือที่ต่อต้านการมีทาสนั้น เป็นประเด็นร้อนในอเมริกามานับตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 1850 และเมื่ออับราฮัม ลินคอร์น แห่งพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีนโยบายคัดค้านการขยายทาส ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1860 ก็ยิ่งกระตุ้นให้รัฐฝ่ายใต้รวมตัวกันในนาม สหพันธรัฐ (Confederacy) นำโดย เจฟเฟอร์สัน เดวิส ประกาศแยกตัวจากรัฐบาลหรือฝ่ายเหนือ(Union)ที่นำโดยลินคอร์น จนเกิดการสู้รบเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 1861 เมื่อกองกำลังฝ่ายใต้เข้าโจมตีกองทหารฝ่ายเหนือที่ป้อมซัมเทอร์ในรัฐเซาท์แคโรไลน่า ทำให้ลินคอร์นต้องรวบรวมกองทัพเพื่อตอบโต้ และจนเมื่อฝ่ายลินคอร์นชนะ จึงได้รวบรวมใจเป็นหนึ่ง ปรองดองสมานฉันท์ ร่วมกันสร้างชาติ ประกาศเสรีภาพให้กับชนชาวอเมริกาทุกคน

-ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (World War 1, 1914-1918) จุดเริ่มต้น จากการที่อาร์คดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ถูกปลงพระชนม์ที่กรุงซาราเจโว เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 โดยการิวโล พรินซิพ นักศึกษาชาวบอสเนีย (เซิร์บ) ซึ่งถูกใช้เป็นข้ออ้างให้ประเทศมหาอำนาจในยุโรปที่แบ่งเป็น 2 ขั้วใหญ่ ๆ คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร (Entente Powers) นำโดยรัสเซีย,อังกฤษ, และฝรังเศส (อเมริกาในตอนนั้นเข้ามาร่วมทีหลังในปี 1917) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) นำโดย ออสเตรีย ฮังการี เยอรมัน และออตโตมัน (ตุรกี) ซึ่งมีความขัดแย้งกันอยู่ก่อนแล้วมาอย่างยาวนาน เปิดศึกเข้าห่ำหั่นกัน กลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 คร่าชีวิตทหารไปร่วมๆ สิบล้านคน ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปมีส่วนร่วม


-ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War 2, 1939-1945) จุดเรี่มต้น ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้หลายประเทศเปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ ส่วนการปฏิวัติในรัสเซียในปี 1917 ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แผ่ขยายไปทั่วยุโรป มันทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมและเผด็จการฟาสซิสม์ขึ้นตอบโต้ เช่น นาซี ในเยอรมันที่นำโดยฮิตเลอร์ และฟาสซิสม์ในอิตาลี นำโดยมุสโสลินี เมื่อความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และยังถูกบีบจากสนธิสัญยาแวร์ซายในปี 1919 ให้จ่ายคาชดเชยแก่ประเทศผู้ชนะจำนวนมหาศาล พรรคนาซีจึงฉวยโอกาสขยายอิทธิพลในเยอรมัน แถมด้วยความล้มเหลวของสันนิบาติชาติที่ขาดแรงหนุนจากอเมริกา พอเยอรมันบุกโปแลนด์ในปี 1939 สงครามโลกก็ระเบิดขึ้น เมือ่ฝ่ายสัมพันธมิตร (Allies Powers) นำโดย อังกฤษ ฝรั่งเศส ตอบโต้ด้วยการประกาศสงครามกับ ฝ่ายอักษะ (Axis Powers) ที่นำโดยเยอรมันและอิตาลี ส่วนในเอเชีย สงครามครั้งนี้ดูจะเริ่มต้นตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นบุกยึดแมนจูเรียในปี 1931 แล้ว ก่อนที่จะหาเรื่องลากอเมริกาเข้าร่วมสงครามด้วยการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ในปี 1941 จนเป็นที่มาที่ทำให้สหรัฐอเมริกา (ต้องการทดลองขีปนาวุธ) ใช้ขีปนาวุธนิวเคลียร์หย่อนลงใจกลางเมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิ เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงคราม ซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งนี้ของสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นตราบาปที่ติดอยู่ในใจคนญี่ปุ่นตราบเท่าทุกวันนี้ และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่เองที่ทำให้สหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลกในยุคปัจจุบัน(สงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นสมรภูมิทางสงครามที่กินพื้นที่ทุกทวีปทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 70 ล้านคน และ 2 ใน 3 ของจำนวนนี้ เป็นเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยจักรวรรดินาซี)

-ช่วงสงครามเย็น (Cold War, 1947-1991) จุดเริ่มต้น ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเยอรมันและญี่ปุ่นบอบช้ำจากการแพ้สงคราม โซเวียตและอเมริกา ก็เลยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจ ต่อสู้ห้ำหั่นกันในทุกเรื่อง สร้างความตึงเครียดแผ่ขยายไปทั่วโลก จากการแข่งขันกันในด้านการเผยแพร่แนวความคิดการปกครองซึ่งอยู่กันคนละขั้ว การจารกรรมข้อมูลความลับ, การสะสมอาวุธนิวเคลียร์, การพัฒนาเทคโนโลยี (เช่น เทคโนโลยีด้านอวกาศ) การทำสงครามตัวแทน ในหลายๆ ภูมิภาค สำหรับสงครามตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “สงครามเกาหลี” (Korean War, 1950-1953) จุดเริ่มต้น ของสงครามในครั้งนี้ เริ่มต้นจากการที่ประเทศเกาหลีโดนยึดครองโดยประเทศญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้และกลายเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ประเทศเกาหลีได้รับอิสระจากการตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ในขณะนั้นสหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่นในการฟื้นฟูดินแดน เนื่องด้วยที่ตั้งของเกาหลีนั้นอยู่ติดกับประเทศอื่นๆรอบด้าน โดยด้านเหนือของเกาหลีติดกับประเทศจีน และทางใต้ติดกับญี่ปุ่นซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของอเมริกานั้น การปกครองที่แตกต่างของประเทศรอบด้านจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อประเทศเล็กๆที่ อยู่ตรงกลางระหว่างมหาอำนาจอย่างเกาหลี จีนและสหภาพโซเวียดที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ญี่ปุ่นและอเมริกาที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ทำให้เกาหลีซึ่งได้รับอิสรภาพ จำเป็นต้องมีผู้นำ แต่หากว่าประชากรที่มีในขณะนั้นมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป ส่วนที่ติดกับจีนก็เห็นว่าการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ดี แต่อีกด้านที่อยู่ติดกับญี่ปุ่นและอเมริกาก็เห็นด้วยกับการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกการปกครองออกเป็นสองแบบ คือแบบคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย เมื่อเกาหลีทั้งสองชาติมีความเห็นที่ต่างกันแล้ว เกาหลีที่รับการปกครองแบบคอมมิวนิสต์มานั้น มีความต้องการอยากที่จะให้เกาหลีที่มีการปกครองที่ต่างกันมีการรวมชาติให้ เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงส่งกำลังทหารเข้ายึดเกาหลีส่วนที่รับการปกครองแบบประชาธิปไตย ด้วยวิธีการรวมชาติแบบที่ผิดไป จึงทำให้เกิดสงครามเกาหลีขึ้น จึงเป็นเหตุให้เกาหลีแบ่งออกเป็นสองส่วน คือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยมีเส้นแบ่งอยู่ที่เส้นขนานที่ 38 โดยวันที่ 25 มิถุนายน 1950 ทหารฝ่ายเกาหลีเหนืออาศัยอาวุธยุทโธปกรณ์ของโซเวียตบุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ลงมา ในที่สุดวันที่ 28 มิถุนายน ก็สามารถยึดกรุงโซลได้ สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ได้สั่งการให้นายพลดักลาส แมกอาร์เธ่อร์ ผู้บัญชาการภาคพื้นแปซิฟิกในขณะนั้น ให้ทำการตอบโต้ เกาหลีเหนือ ด้วยการส่งกองทัพมาช่วยเหลือ โดยในวันที่ 5 กรกฎาคม ปีเดียวกัน กองทัพสหรัฐได้บุกเข้าสู่เกาหลีเหนือ สหประชาชาติได้ลงมติให้ยกกองกำลังเข้าช่วยเหลือเกาหลีใต้ กองกำลังสหรัฐอเมริกาจึงเข้าร่วมกับกองกำลังของสหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วยกองกำลังของอีก 15 ชาติ รวมถึงประเทศไทย ในตอนแรกนั้นดูเหมือนว่าฝ่ายสหประชาชาตินั้นจะเป็นฝ่ายที่ถอยร่นมาโดยตลอด เป็นเพราะทางสหรัฐมีการดำเนินนโยบายยุโรปก่อนจึงให้กำลังพลกับนายพลแมคอาเธ่อร์ไม่ เต็มที่ ซึ่งทำให้แมคอาเธ่อร์โกรธมากจึงเต็มที่เกาหลีเหนือก็ได้แต่ถอย ร่นจนไปถึงเส้นขนานที่ 38 และเมื่อไม่มีใครจะสามารถมีอำนาจเหนือหรือครอบครองเบ็ดเสร็จได้ จึงมีการเจรจาประกาศทำข้อตกลงยุติศึกหรือเจรจาหยุดยิงชั่วคราว และเป็นที่มาแบ่งเกาหลีออกเป็นประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้แยกเป็น 2 ประเทศเช่นในปัจจุบัน

-ช่วงสงครามเวียดนาม (Vietnam War, 1959-1975) จุดเริ่มต้น สงครามเวียดนามเกิดขึ้นหลังจากมีการทำอนุสัญญาเจนิวา ในปี 2497 ซึ่งได้กำหนดให้แบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วนโดยใช้เส้นรุ้งที่ 17 เหนือ ก่อนที่เวียดนามเหนือเริ่มรุกรานเวียดนามใต้ในปี 2502 นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่ยาวนานกว่า 10 ปี สงครามเวียดนามเป็นสงครามระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งสหภาพโซเวียตและจีนให้การสนับสนุน คือเวียดนามเหนือ กับเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตร (รวมทั้งประเทศไทย) สนับสนุน สหรัฐฯ ต้องทุ่มเทงบประมาณและสูญเสียชีวิตของทหารไปจำนวนมาก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่และการต่อสู้แบบกองโจรของทหารเวียดกง นักศึกษาและประชาชนชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาเดินขบวนประท้วงสงครามนี้ ในที่สุดก็มีการลงนามใน ข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2516 หลังจากอเมริกาถอนกำลังทหารออกไป กองทัพเวียดนามเหนือก็บุกยึดไซ่ง่อนได้สำเร็จ เวียดนามทั้งสองรวมเข้าด้วยกันเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2518 แล้วประกาศใช้ชื่อประเทศใหม่ว่า สาธารณรัฐเวียดนาม ในเวียดนามเรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามปกป้องชาติจากอเมริกา" หรือ "สงครามอเมริกัน" ในสงครามครั้งนั้นมีทหารอเมริกันเสียชีวิตจำนวน 58,226 นาย และบาทเจ็บอีกจำนวน 153,303 นาย คาดว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสงครามครั้งนี้ประมาณ 900,000 – 4,000,000 คน

-กรณีการลอบสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ เคเนดี้ แม้ว่า ลี ฮาร์วี่ย์ ออสวอล์ค ผู้ถูกจับกุมและถูกระบุว่าเป็นมือสังหารจะได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่การคาดเดาถึงมูลเหตุแห่งการลอบสังหารและผู้บงการนั้นยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการพูดถึงทฤษฏีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ที่ลือกันให้แซดว่าเกี่ยวโยงไปถึงบุคคลหรือองค์กรระดับบิ๊กๆ อาทิ ซีไอเอ, เคจีบี, พวกมาเฟีย, ผู้อำนวยการเอฟบีไอ, เจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ,ลินดอน บี.จอห์นสัน ,ริชาร์ด นิกสัน , ฟิเดล คาสโตร,จอร์จ เอช.ดับเบิลยู บุช และกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ เหล่านี้คือรายชื่อของผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการบงการสังหาร ปธน.จอห์น เอฟ เคเนดี้ อันสืบเนื่องมาจากการที่ท่านคงไปล่วงรู้ความลับดำมืด หรือสิ่งชั่วร้ายของใครเข้า หรือที่เรียกว่าขุดไปเจอตอนั่นแหละ รวมถึงประเด็นทางการเมืองทั้งความล้มเหลวในการบุกเบย์ออฟฟิกส์ และการยุติวิกฤติขีปนาวุธคิวบาด้วยสันติ (ที่ไปขัดใจคนใหญ่คนโตในกองทัพบางคนที่เห็นต่างโดยมองว่านั่นเป็นการพ่ายแพ้ เสียศักดิ์ศรีให้กับโซเวียตรัสเซีย) ซึ่งอาจเป็นชนวนสาเหตุหนึ่งของการลอบสังหารท่านผู้นำท่านนี้ อีกประเด็นนึง ทฤษฏีสมคบคิดยังคงเป็นเรื่องที่มีการวิเคราะห์ ถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้

-กรณีคดีวอเตอร์เกต (Watergate Scandal, 1972-1974) จุดเริ่มต้น เหตุการณ์ในวันที่ 17 มิถุนายน 1972 มีชาย 5 คน ถูกจับในข้อหาบุกรุกและพยายามติดเครื่องดักฟังในสำนักงานใหญ่พรรคเดโมแครต ที่อาคารวอเตอร์เกต กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ระดับชาติ เมื่อการสอบสวนนำไปสู่ความฉ้อฉลทางการเมือง ซึ่งมีคนของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (ที่สังกัดพรรครีพับลิกัน) อยู่เบื้องหลัง จนนำไปสู่การลาออกของนิกสันในวันที่ 9 สิงหาคม 1974 นี่จึงเป็นกรณีตัวอย่างของจุดด่างพร้อยของตัวผู้นำอเมริกันครั้งแรก

-กรณีอิหร่านคอนทรา (Iran-Contra Affair, 1986-1987) จุดเริ่มต้น ช่วงต้นยุค 80’s สมัย ปธน.โรนัลด์ เรแกน ความตึงเครียดของสงครามเย็นปะทุขึ้น จากบทเรียนของสงครามเวียดนาม ทำให้อเมริกาหันมาใช้ยุทธวิธีการต่อต้านการรบแบบกองโจรที่รวดเร็วและประหยัดกว่า แต่ที่อื้อฉาวก็คือการที่คนในรัฐบาลบางคนขายอาวุธให้กับประเทศศัตรูอย่างอิหร่าน และใช้เงินนั้นอย่างผิดกฎหมาย เพื่อสนับสนุนกลุ่มกบฏคอนทราในนิการากัว ที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาลซานดินิสตา ที่หนุนหลังโดยโซเวียต แถมเงินที่คอนทราได้รับส่วนหนึ่งยังมาจากเงินค้ายาเสพติดด้วย เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จำนวนมากถูกทำลาย หรือไม่ก็ถูกยับยั้งโดยทีมผู้บริหารของเรแกน และเมื่อเรื่องการขายอาวุธปูดขึ้นมาในปี 1986 โดยสื่อเลบานอนที่ระบุว่าอเมริกาขายอาวุธให้อิหร่านก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวประกันชาวอเมริกันที่ถูกกลุ่ม เฮซบอลเลาะห์ จับตัวไป ตอนแรก เรแกนออกมาแถลงข่าวปฏิเสธทุกอย่าง แต่สัปดาห์ต่อมา เขาก็กลับแถลงข่าวอีกครั้ง โดยยอมรับว่าได้มีการส่งอาวุธไปอิหร่านจริง แถมยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนตัวประกันแต่อย่างใด

-กรณีสงครามอ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf War, 1990-1991) จุดเริ่มต้น เหตุผลหลักๆ 2 ข้อที่ทำให้อิรักต้องหาเรื่องยกทัพบุกคูเวต คือ 1 เหตุผลทางเศรษฐกิจ หลังจากสงครามอิรัก อิหร่าน (1980-1988) อิรักเป็นหนี้ซาอุดิอาระเบียและคูเวตมหาศาล 2. อิรักอ้างว่าคูเวตเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน จนทำให้กองทัพสัมพันธมิตรจาก 35 ชาติ (นำโดยอเมริกา) ไฟเขียวโดยสหประชาชาติ บุกถล่มอิรักถึงถิ่นภายใต้“ปฏิบัติการพายุทะเลทราย” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นช่วงปี 1973-1990 คนอเมริกาเองเคยให้ความช่วยเหลืออิรักโดยขายอาวุธให้เป็นมูลค่าถึง 200 ล้านเหรียญ กรณีสงครามอ่าวเปอร์เวียเกิดในสมัย ปธน.จอร์จ บุช ผู้พ่อ ซึ่งในตอนนั้นยังมีความชอบธรรม เพราะชาตินาโต้เห็นด้วยและเข้าร่วมในการปฏิบัติการ เพื่อช่วยคูเวต และสั่งสอนอิรัก อีกทั้งเป็นการป้องปรามมิให้อิรักได้ใจบุกไปยึดต่อถึงซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นมิตรประเทศของสหรัฐ และยังเป็นชาติที่ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลกด้วย

-กรณีอื้อฉาวไวท์วอเตอร์ & นศ.ฝึกงานลูวินสกี้ (Whitewater Controversy,1992-1993 & Lewinsky Scandal, 1998) จุดเริ่มต้น ก่อนหน้าคดีฉาวของ ปธน.บิลล์ คลินตันกับนศ.สาวลูวินสกี้ จะเกิดขึ้นนั้น คลินตันยังมีคดีฉาวโฉ่อยู่ก่อนแล้ว นั่นคือ กรณีไวท์วอเตอร์ ชื่อเต็มคือ Whitewater Development Corporation เรื่องนี้ปูดขึ้นมาในปี 1993 เมื่อคลินตันถูกกล่าวหาว่าในสมัยที่ยังเป็นผู้ว่าการรัฐอาคันซัส ได้บังคับให้มีการปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมายจำนวน 3 แสนเหรียญดอลล่าร์ ให้กับ ซูซาน แม็คคูกัล หุ้นส่วนในกิจการไวท์วอเตอร์ ของคลินตัน แต่ข้อกล่าวหาดังกล่าวมีช่องโหว่ ทำให้ตัว ปธน.บิลล์ คลินตัน และภรรยา คือนางฮิลลารี่ คลินตัน จึงรอด ไม่ถูกฟ้องร้องในคดีดังกล่าว เพราะหลักฐานอ่อน ไม่เพียงพอ แต่ในกรณีของ นศ.ฝึกงานในทำเนียบขาวที่ชื่อ นส.โมนิก้า ลูวินสกี้ นั้นกลายเป็นจุดตายที่ทำให้คลินตันคะแนนเสียงตก และถึงขั้นต้องเข้าสู่กระบวนการถอดถอน ปธน.ออกจากตำแหน่ง เป็นคนแรกและครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำต้องเข้าสู่กระบวนการถอดถอน และแม้ว่าเขาจะรอดตายจากการถูกถอดถอนมาได้โดยศาลยกประโยชน์ให้จำเลยก็คือ ปธน.ไปได้ แต่เขาก็ต้องมาพ่ายเกมเลือกตั้ง ปธน.โดยเลือกตั้งแพ้ให้กับ ปธน.จอร์จ ดับเบิลยู บุช สิ่งที่เราได้เห็นตลอดเวลาของการต่อสู้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในอำนาจนั้น คือการเล่นเกมทำลายความน่าเชื่อถือของโจทย์อย่างลูวินสกี้ การจ้างมืออาชีพในการสร้างภาพพจน์ให้กับตัว ปธน.การเล่นเกมสกปรก คือเกมสร้างภาพ โฆษณาชวนเชื่อ โกหก ตบตาประชาชนชาวอเมริกันด้วยกันเอง

-กรณีเหตุการณ์ 9/11 และสงครามต่อต้านการก่อการร้าย จุดเริ่มต้นก็คือโศกนาฏกรรมช็อคโลก เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 เครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนตึกอาคารเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นตึกแฝด ใจกลางกรุงนิวยอร์ค ทำให้ตึกพังพินาศ มีผู้เสียชีวิตทันที 3 พันกว่าคน และผู้สูญหายอีกเป็นจำนวนมาก ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว นายอุซมะห์ บิน ลาเด็น ผู้นำกลุ่มอัลไกด้า ได้ออกมายอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบงการให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง และ ปธน.จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ก็เปิดปฏิบัติการตอบโต้เอาคืนทันที ด้วยการส่งกองกำลังไปถล่มอัฟกานิสถาน ซึ่งมีรัฐบาลเป็นกลุ่มตาลีบันที่ให้แหล่งที่พักพิงแก่นายบินลาเด็นกับพวก และตามมาด้วยการบุกอิรักต่อในปี 2003 โดยอ้างว่าซัดดัม ฮุสเซ็นเป็นภัยก่อการร้าย มีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์จำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นมิตรกับกลุ่มอัลกอฮิดะห์ (กลุ่มอัลเคด้า) ของนายบิน ลาเด็นอีกด้วย การตัดสินใจบุกอิรักในครั้งนั้นทำให้สามารถล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซ็นลงได้ มีการจับตัวและใช้กลไกทางศาลเล่นงาน ถึงขั้นประหารชีวิตนายซัดดัม ฮุสเซ็นสำเร็จ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ สูญเสียชีวิตทหารอเมริกัน และพันธมิตรไปจำนวนมาก สูญเสียงบประมาณทางการทหาร อาวุธไปเป็นจำนวนเงินมหาศาล จนเป็นต้นตอที่ทำให้หนี้สาธารณะของอเมริกาพุ่งสูงขึ้น และกลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจมาถึงปัจจุบัน ต้องถือว่าการบุกอิรักในครั้งนี้ขาดความชอบธรรมในหมู่ชาติสมาชิกในสหประชาชาติ เพราะหลายประเทศไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะจีนกับรัสเซีย เนื่องจ่ากสิ่งที่อเมริกาอ้างว่าเรื่องการมีขีปนาวุธนิวเคลียร์นั้นไม่มีหลักฐานชัดเจน และภายหลังก็มีการพิสูจน์ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วอิรักไม่มีอาวุธนิวเคลียร์จริงอย่างที่สหรัฐอ้าง ดังนั้นข้ออ้างเรื่องการมีอาวุธนิวเคลียร์ของบุช จึงเป็นแผนตบตาประชาชนเพราะแท้ที่จริงแล้ววาระซ่อนเร้นจริงๆ ก็คือผลประโยชน์ด้านน้ำมันมหาศาล เพราะอย่าลืมว่าตระกูลบุช เป็นตระกูลที่ทำธุรกิจน้ำมันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ อีกทั้งอิรักเป็นชาติที่มีผลิตน้ำมันขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก กุศโลบายการบุกยึดอิรักจึงเป็นเพียงข้ออ้างในการจะเข้าไปยึดสัมปทานขุดเจาะน้ำมันหรือหาแหล่งพลังงานของจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชนั่นเอง

-กรณีเลห์แมนบราเธ่อร์ วานิชธนกิจใหญ่ 1 ใน 5 ของอเมริกาล้ม ตามมาด้วยบรรษัทขนาดใหญ่ วิกฤติซับไพร์ม ซีดีโอ ที่เรียกว่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 จนรัฐบาลของปธน.โอบาม่า เข้ามาบริหารประเทศต่อจากบุช และคลอดมาตรการ QE1 QE2 ตามมาเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐไว้ไม่ให้ล้ม ปธน.โอบาม่า จึงอยู่ในช่วงห้วเลี้ยวหัวต่อ หรือรอยต่อที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นภารกิจใหญ่คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่สุดกลับคืนมาให้ได้ และการต้องจัดสมดุลทางทหารเพื่อจะปกป้องและรักษาฐานอำนาจที่สำคัญ และยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยังต้องต่อสู้กับสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่อาจมาในรูปแบบแปลกใหม่ และจะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอยุ่เสมอ

ใช่ว่าผู้เขียนจะไม่ให้ความสำคัญกับการไว้อาลัยต่อการสูญเสียชีวิตของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์ 9/11 การรำลึกเหตุการณ์และไว้อาลัยย่อมกลายเป็นประเพณีปฏิบัติไปเสียแล้วสำหรับวันที่ 11 เดือน 9 ของทุกๆ ปี แต่สิ่งที่จะต้องจดจำ และมีสติทบทวนยิ่งกว่าก็คือผลแห่งการกระทำต่างๆ ที่อเมริกาไปสร้างเรื่องราวเอาไว้มากมาย ซึ่งก็กลายเป็นบทเรียนทั้งต่อตัวประเทศสหรัฐอเมริกาเอง และเป็นบทเรียนกรณีศึกษาให้กับประเทศอื่นๆ ได้ดูไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เพราะประวัติศาสตร์เป็นสิ่งทีเราสามารถศึกษาไว้เป็นบทเรียนสอนใจได้ แต่กลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นเป็นผลพวงจากการกระทำของเราในปัจจุบัน หากเราอยากให้เหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้าออกมาดี เราก็ต้องทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด เพราะผลแห่งการกระทำไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต มันมีที่มาจากเหตุปัจจัยที่กระทำลงไปก่อนหน้านั้นทั้งสิ้น ดังนั้นพิธีกรรมในการรำลึกเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมต่างๆ จะไม่มีค่าอะไรเลย หากผู้ทีเกี่ยวข้องจะไม่นำเอาบทเรียนต่างๆ ไปขบคิดแก้ไขเรื่องราวความผิดพลาดเหล่านั้นไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยของเดิมอีกในอนาคต

ความเป็นมา และการก่อเกิดของกลุ่มอัลกออิดะห์ (หรือกลุ่มก่อการร้ายอัลไกด้า)

คำว่าอัลกออิดะห์เป็นภาษาอาหรับหมายถึงมูลนิธิ ที่มั่น บิน ลาดินให้สัมภาษณ์แก่วารสาร al Jazeera ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 ว่าคำว่าอัลกออิดะห์นี้ใช้ตั้งแต่สมัยที่กลุ่มมุญาฮิดีนต่อสู้กับสหภาพโซเวียตโดยเรียกค่ายฝึกว่าอัลกออิดะห์ คำว่าอัลกออิดะห์นำมาใช้เป็นครั้งแรกโดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 ในการสอบสวนผู้ต้องหาสี่คนที่นิวยอร์กจากคดีการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในแอฟริกาตะวันออกเมื่อ พ.ศ. 2541 ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 กลุ่มนี้ปรากฏในชื่อกออิดะห์ อัล ญิฮาด (ที่มั่นแห่งญิฮาด)

จุดกำเนิดของกลุ่มเริ่มขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังโซเวียตรุกรานอัฟกานิสถานใน พ.ศ. 2522 โดยการบริหารของชาวอาหรับจากต่างประเทศในชื่อมุญาฮิดีน สนับสนุนทางการเงินโดยบิน ลาดินและการบริจาคของชาวมุสลิม สหรัฐมองว่าการรุกรานอัฟกานิสถานของโซเวียตเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น หน่วยสืบราชการลับได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวผ่านทางปากีสถาน  อัลกออิดะห์พัฒนาจากกลุ่ม Maktab al-Khadamat ที่เป็นส่วนหนึ่งของมุญาฮิดีน สมาชิกส่วนใหญ่เป็นทหารชาวปาเลสไตน์ และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐเช่นเดียวกับมุญาฮิดีนกลุ่มอื่นๆ การสู้รบดำเนินไป 9 ปี จนสหภาพโซเวียตถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานใน พ.ศ. 2532 รัฐบาลสังคมนิยมของ โมฮัมเหม็ด นาจิบุลลอห์ ถูกมุญาฮิดีนล้มล้าง แต่เนื่องจากผู้นำกลุ่มมุญาฮิดีนไม่สามารถตกลงกันได้ ความวุ่นวายจากการแย่งชิงอำนาจจึงตามมา


การขยายตัวหลังจากสงครามต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลงนักรบมุญาฮิดีนบางกลุ่มต้องการขยายการต่อสู้ออกไปทั่วโลกในนามนักรบอิสลามเช่นความขัดแย้งในอิสราเอลและแคชเมียร์ หนึ่งในความพยายามนี้คือการตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์โดยบิน ลาดินใน พ.ศ. 2531

สงครามอ่าวเปอร์เซียและเริ่มต้นต่อต้านสหรัฐ

เมื่อสงครามในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลง บิน ลาดินเดินทางกลับสู่ซาอุดีอาระเบีย เมื่อเกิดการรุกรานคูเวตของอิรักใน พ.ศ. 2533 บิน ลาดินได้เสนอให้ใช้นักรบมุญาฮิดีนของเขาร่วมมือกับกษัตริย์ฟาฮัด เพื่อปกป้องซาอุดีอาระเบียจากการรุกรานของอิรักที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียปฏิเสธและหันไปอนุญาตให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในซาอุดีอาระเบีย ทำให่บิน ลาดินไม่พอใจ เพราะเขาไม่ต้องการให้มีกองทหารต่างชาติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม (คือเมกกะและเมดีนา) การที่เขาออกมาต่อต้านทำให้เขาถูกบีบให้ไปซูดานและถูกถอนสัญชาติซาอุดีอาระเบีย

ในซูดานใน พ.ศ. 2534 แนวร่วมอิสลามแห่งชาติซูดานขึ้นมามีอำนาจและเชื้อเชิญกลุ่มอัลกออิดะห์ให้ย้ายเข้ามาภายในประเทศ อัลกออิดะห์เข้าไปประกอบธุรกิจในซูดานเป็นเวลาหลายปี และสนับสนุนเงินในการสร้างทางหลวงจากเมืองหลวงไปยังท่าเรือซูดาน พ.ศ. 2539 บิน ลาดินถูกบีบให้ออกจากซูดานเนื่องจากแรงกดดันของสหรัฐ เขาจึงย้ายกลุ่มอัลกออิดะห์ไปตั้งมั่นในเมืองจะลาลาบาด อัฟกานิสถาน

บอสเนียการประกาศเอกราชของบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาออกจากยูโกสลาเวียในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 ทำให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาแห่งใหม่ในยุโรปในบอสเนีย ชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมแต่ก็มีชาวเซิร์บที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์ทอดอกซ์และชาวโครแอตนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทำให้เกิดความขัดแย้งที่เป็นสามเส้าขึ้น โดยเซอร์เบียและโครเอเชียหนุนหลังชาวเซิร์บและชาวโครแอตที่มีเชื้อชาติเดียวกันตามลำดับ เหล่านักรบอาหรับในอัฟกานิสถานเห็นว่าสงครามในบอสเนียเป็นโอกาสอันดีที่จะปกป้องศาสนาอิสลาม ทำให้กลุ่มต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งอัลกออิดะห์เข้าร่วมในสงคราม ตั้งเป็นกลุ่มมุญาฮิดีนบอสเนีย โดยนักรบส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับไม่ใช่ชาวบอสเนีย

การลงนามในข้อตกลงวอชิงตันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 ทำให้สงครามระหว่างบอสเนีย-โครแอตสิ้นสุดลง กลุ่มมุญาฮิดีนยังสู้รบกับชาวเซิร์บต่อไป จนกระทั่งบันทึกสันติภาพเดย์ตันในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ทำให้สงครามสิ้นสุดลง และเหล่านักรบต่างชาติถูกบีบให้ออกนอกประเทศ ส่วนผู้ที่แต่งงานกับชาวบอสเนียหรือไม่มีที่กลับได้รับสัญชาติบอสเนียและอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้

ผู้ลี้ภัยในอัฟกานิสถานหลังจากการถอนตัวของสหภาพโซเวียต อัฟกานิสถานอยู่ในสภาพวุ่นวายถึง 7 ปี จากการสู้รบของกลุ่มที่เคยเป็นพันธมิตรกัน ในช่วง พ.ศ. 2533 มีกลุ่มใหม่เกิดขึ้นคือกลุ่มตาลีบันหรือตอลิบาน (แปลตามตัว = นักเรียน) เป็นกลุ่มเยาวชนที่เกิดในอัฟกานิสถานยุคสงครามได้รับการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (มัดรอซะ; madrassas) ในเมืองกันดาฮาร์ หรือค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนปากีสถาน-อัฟกานิสถาน

ผู้นำของตอลิบาน 5 คนจบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม Darul Uloom Haqqania ใกล้กับเมืองเปศวาร์ในปากีสถาน แต่ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากปากีสถาน โรงเรียนนี้สอนศาสนาตามลัทธิซาลาฟีย์ และได้รับการสนับสนุนจากชาวอาหรับโดยเฉพาะบิน ลาดิน ชาวอาหรับในอัฟกานิสถานและตอลิบานมีความเกี่ยวพันกันมาก หลังจากโซเวียตถอนตัวออกไป ตอลิบานมีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถก่อตั้งรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ใน พ.ศ. 2537 ตอลิบานเข้ายึดครองพื้นที่ในเมืองกันดาฮาร์และเข้ายึดกรุงคาบูลได้เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2539

หลังจากซูดานได้บีบให้บิน ลาดินและกลุ่มของเขาออกนอกประเทศ เป็นเวลาเดียวกับที่ตอลิบานมีอำนาจในอัฟกานิสถาน บิน ลาดินจึงเข้าไปตั้งมั่นในเขตจะลาลาบาด ในเวลานั้นมีเพียงปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้นที่ยอมรับว่าตอลิบานเป็นรัฐบาลของอัฟกานิสถาน บิน ลาดินพำนักในอัฟกานิสถาน จัดตั้งค่ายฝึกนักรบมุสลิมจากทั่วโลก จนกระทั่งรัฐบาลตอลิบานถูกขับไล่โดยกองกำลังผสมภายในประเทศร่วมกับกองทหารสหรัฐใน พ.ศ. 2544 หลังจากนั้นเชื่อกันว่า บิน ลาดินยังคงพำนักกับกลุ่มตอลิบานในบริเวณชายแดนปากีสถาน

เริ่มโจมตีพลเรือนพ.ศ. 2536 Ramzi Yousef ผู้นำคนหนึ่งของอัลกออิดะห์ ใช้การวางระเบิดในรถยนต์ โจมตีตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก แต่ไม่สำเร็จ และ Yousef ถูกจับในปากีสถาน แต่ก็เป็นแรงดลใจให้กลุ่มของบิน ลาดิน ทำสำเร็จเมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2544

อัลกออิดะห์เริ่มสงครามครูเสดใน พ.ศ. 2539 เพื่อขับไล่กองทหารต่างชาติออกไปจากดินแดนอิสลามโดยต่อต้านสหรัฐและพันธมิตร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 บิน ลาดินและ Ayman al-Zawahiri ผู้นำของกลุ่มญิฮาดอียิปต์และผู้นำศาสนาอิสลามอีกสามคน ร่วมลงนามใน “ฟัตวาห์”, หรือคำตัดสินภายใต้ชื่อแนวร่วมอิสลามโลกเพื่อญิฮาดต่อต้านยิวและครูเสด (World Islamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders; ภาษาอาหรับ: al-Jabhah al-Islamiyya al-'Alamiyya li-Qital al-Yahud wal-Salibiyyin)โดยประกาศว่าเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกประเทศในการสังหารชาวสหรัฐและพันธมิตรทั้งทหารและพลเรือนเพื่อปลดปล่อยมัสยิดอัลอักซาในเยรูซาเลมและมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ในเมกกหลังจากนั้นได้เกิดการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในแอฟริกาตะวันออกภายในปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิต 300 คน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 เกิดระเบิดพลีชีพในกองทัพเรือสหรัฐในเยเมน

วินาศกรรม 11 กันยายน และปฏิกิริยาของสหรัฐดูบทความหลักที่ วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544

ความสูญเสียจากการก่อวินาศกรรม 11 กันยายนการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน ทำให้สหรัฐและนาโตออกมาต่อต้านอัลกออิดะห์ และฟัตวาห์ พ.ศ. 2541 การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นวินาศภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน รวมทั้งความเสียหายจากการพังทลายของตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์และตึกเพนตากอนถูกทำลายลงไปบางส่วน หลังจากนั้น สหรัฐได้มีปฏิบัติการทางทหารโต้ตอบเรียกร้องให้ มุลลาห์ โอมาร์ ผู้นำตอลิบานส่งตัวบิน ลาดินมาให้ แต่ตอลิบานเลือกที่จะส่งตัวบิน ลาดินให้ประเทศที่เป็นกลาง สหรัฐจึงส่งกองทัพอากาศทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกบดานของอัลกออิดะห์ และส่งปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินร่วมกับพันธมิตรฝ่ายเหนือเพื่อล้มล้างรัฐบาลตอลิบาน

หลังจากถูกกวาดล้าง กลุ่มอัลกออิดะห์พยายามรวมตัวอีกครั้งในเขต Gardez แต่ยังคงถูกโจมตีจากฝ่ายสหรัฐ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2545 กองทัพอัลกออิดะห์ถูกทำลายจนลดประสิทธิภาพลงมาก ซึ่งเป็นความสำเร็จในขั้นต้นของการรุกรานอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม ตอลิบานยังมีอิทธิพลอยู่ในอัฟกานิสถาน และผู้นำคนสำคัญของอัลกออิดะห์ยังไม่ถูกจับ ใน พ.ศ. 2547 สหรัฐกล่าวอ้างว่าจับตัวผู้นำของอัลกออิดะห์ได้ 2 – 3 คน แต่อัลกออิดะห์ก็ยังดำเนินกิจกรรมต่อไปได้


กิจกรรมในอิรักบิน ลาดิน เริ่มให้ความสนใจอิรักตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2533 อัลกออิดะห์ติดต่อกับกลุ่มมุสลิมชาวเคิร์ด Ansar al-islam ใน พ.ศ. 2542 ระหว่างการรุกรานอิรักใน พ.ศ. 2546 อัลกออิดะห์ให้ความสนใจเป็นพิเศษ หน่วยทหารของอัลกออิดะห์เริ่มวางระเบิดกองบัญชาการของสหประชาชาติและกาชาดสากล พ.ศ. 2547 ฐานที่มั่นของอัลกออิดะห์ในเมืองฟาลูยะห์ ถูกโจมตีและปิดล้อมด้วยกองทหารสหรัฐ แต่อัลกออิดะห์ยังคงโจมตีทั่วอิรัก แม้จะสูญเสียกำลังคนไปมาก ในระหว่างการเลือกตั้งในอิรัก พ.ศ. 2548 กลุ่มอัลกออิดะห์ออกมาประกาศความรับผิดชอบระเบิดพลีชีพ 9 ครั้งในแบกแดด

Abu Musab al-Zarqawi ทหารชาวจอร์แดนเป็นผู้จัดตั้งองค์กร "Jama'at al-Tawhid wal-Jihad" เมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และประกาศเป็นตัวแทนของอัลกออิดะห์ในอิรัก หลังจากเขาถูกฆ่าจากการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ Baqubah เชื่อกันว่า Abu Ayyub al-Masri ขึ้นเป็นผู้นำอัลกออิดะห์ในอิรักแทน แม้ว่าการต่อสู้ของอัลกออิดะห์ในอิรักยังไม่ประสบผลในการขับไล่กองทหารอังกฤษและสหรัฐ รวมทั้งล้มล้างรัฐบาลของผู้นับถือนิกายชีอะห์ แต่ก็ได้สร้างความรุนแรงกระจายไปทั่วประเทศ

อัลกออิดะห์ในแคชเมียร์เมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ชายลึกลับอ้างตัวเป็นสมาชิกอัลกออิดะห์โทรศัพท์ไปที่นักข่าวท้องถิ่นในศรีนคร ประกาศว่าขณะนี้อัลกออิดะห์เข้ามาในแคชเมียร์แล้ว เพื่อปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่ถูกรัฐบาลอินเดียกดขี่ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กลุ่มอัลกออิดะห์แทรกซึมเข้ามาในบริเวณนี้ตั้งแต่ก่อนการรุกรานอัฟกานิสถานของสหรัฐ และน่าจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถาน

ที่มา : เว็บไซต์วิถีพีเดีย,สารานุกรมไทย

สถานการณ์ปัจจุบันของกลุ่มอัลกออิดะห์

เครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ยืนยันเมื่อวันศุกร์(6) อุซามะห์ บินลาดิน เสียชีวิตแล้ว และสาบานจะแก้แค้นให้แกนนำหมายเลข 1 ของพวกเขาที่ถูกหน่วยคอมมานโดบุกสังหารถึงที่พักสุดสัปดาห์ที่แล้ว

ศูนย์จับตาความเคลื่อนไหวกลุ่มก่อการร้าย(เอสไอทีอี) ตรวจพบว่าในถ้อยแถลงที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์หัวรุนแรง กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีสหรัฐฯ 9/11 ระบุว่าด้วยเตรียมเผยแพร่เทปเสียงของผู้ก่อตั้งเชื้อสายซาอุดีอาระเบียรายนี้ที่บันทึกไว้หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่เขาเสียชีวิต  "เลือดของบิน ลาเดน จะยังคงอยู่ ด้วยการอนุญาตของอัลเลาะห์ ผู้ทรงอำนาจเหลือคณา คำสาปแช่งจะติดตามคุกคามชาวอเมริกันและผู้ใช้อำนาจแทนพวกเขา ทั้งที่อยู่ในและนอกประเทศสหรัฐฯ" คำแถลงของกลุ่มอัลกออิดะห์ แจ้งเตือนและบอกว่า "ความสุขสันต์จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเศร้าโศก หยดเลือดของพวกเขาจะหลั่งหลอมรวมเข้ากับหยาดน้ำตา เราขอเรียกร้องให้ชาวมุสลิมในปากีสถาน ซึ่งเป็นดินแดนที่ชีคอุซามะห์ถูกสังหาร จงออกมาลุกฮือและก่อการปฏิวัติ"

คำแถลงฉบับดังกล่าวระบุว่า บินลาดิน จะไม่สูญเสียเลือดเนื้อไปอย่างไร้ค่า เพราะกลุ่มอัลกออิดะห์จะเดินหน้าโจมตีสหรัฐฯและชาติพันธมิตรต่อไป และความตายของบินลาเดน จะกลายเป็น "คำสาป" คุกคามสหรัฐฯ ตลอดจนจะนำไปสู่การลุกฮือในปากีสถาน

อัลกออิดะห์เผยแพร่วิดีโอทางอินเทอร์เน็ตในโอกาสครบรอบ 10 ปีการก่อวินาศกรรมสหรัฐฯเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 โดย อัยมาน อัล-ซอวาฮิรี ผู้นำคนใหม่ของกลุ่มก่อการร้ายนี้บอกว่า เขาสนับสนุนการลุกฮือขึ้นต่อต้านระบอบปกครองของประชาชนในตะวันออกกลาง และกล่าวด้วยว่า เวลานี้ชาวอาหรับไม่กลัวเกรงสหรัฐฯอีกต่อไปแล้ว


“สิบปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่การโจมตีอันศักดิ์สิทธิ์ต่อนิวยอร์กและวอชิงตัน และเพนซิลเวเนีย นับเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ทรงพลังที่ได้โยกคลอน และยังคงสั่นคลอนประดาเสาหลักของนักรบไม้กางเขนในทั่วโลก” ซอวาฮิรี กล่าวในวิดีโอความยาว 62 นาที ที่ใช้ชื่อวิดีโอว่า “รุ่งอรุณแห่งชัยชนะที่กำลังจะมาถึง” (The Dawn of Imminent Victory) วิดีโอนี้ยังประกอบด้วยคำปราศรัยของ อุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้นำอัลกออิดะห์คนก่อน ที่ถูกทหารหน่วยซีลส์ของสหรัฐฯบุกสังหารในปากีสถานเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เอสไอทีอี (SITE) หน่วยงานเฝ้าติดตามวิดีโอเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตของสหรัฐฯ ระบุว่า คลิปภาพบิน ลาดินในวิดีโอนี้ ดูเหมือนจะเป็นคลิปเดียวกันกับที่หน่วยซีลส์ค้นพบ เมื่อตอนบุกสังหารเขาในที่ซ่อนตัวในปากีสถาน และวอชิงตันได้เคยนำออกเผยแพร่แล้วทว่าไม่มีเสียงประกอบ  ในวิดีโอนี้ บิน ลาดิน ได้กล่าวเตือนชาวอเมริกันว่า อย่าได้ “ตกเป็นทาส” อยู่ในความควบคุมของพวกบริษัทใหญ่ๆ และ “ทุนการเงินชาวยิว”



วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

ตอน ตลาดกระทิงที่หมีเป็นผู้ล่าเหยื่อ


เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสรับชมสารคดีชีวิตสัตว์ ซึ่งฉายอยู่ทางสถานีโทรทัศน์ชNHK ของญี่ปุ่น ผ่านระบบเคเบิลทีวี ด้วยความบังเอิญเปลี่ยนช่องไปเจอเข้าพอดี ทีแรกก็นึกว่าเป็นสารคดีสัตว์ใต้ทะเล เพราะเป็นคนชอบดูสารคดีของสัตว์ใต้ทะเล ประเภท ปลาชนิดต่างๆ ปะการัง ปลาฉลาม ฯลฯ อะไรประเภทนี้อยู่แล้ว ภาพสวย และยิ่งถ่ายทำเกี่ยวกับปลาหลากหลายสี ยังดีใจว่าคงได้ดูปลาสวยๆ ชนิดหาดูยากแน่ๆ ปรากฏว่าภาพก็ถ่ายฝูงปลาว่ายไปมาเป็นฝูงอยู่บนผิวน้ำ เห็นตัวปลาชัดเจน มันว่ายอยู่บนผิวน้ำ ลำธาร ตื้นๆ และก็มีน้ำตกซึ่งเป็นเนินชั้นเตี้ยๆ ไหลลงมาสู่ลำธารอีกที น้ำใสมากจนเห็นว่าเป็นปลาแซลม่อนบ้าง และก็ปลาชนิดอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนอาจจะเรียกชื่อไม่ถูก เพราะไม่ทราบว่าปลาชนิดใด อีกด้านนึงของลำธารก็มีฝูงหมีป่าตัวใหญ่กำลังเล่นน้ำ กันอยู่ 3-4 ตัว ทันทีที่ฝูงปลาเหล่านั้นว่ายมาถึงใกล้ตัวพวกมัน มันก็คว้าหมับตะปบปลาเหล่านั้นขึ้นมากิน เป็นภาพที่ผู้เขียนเองก็ช็อกไปเลย ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กำลังดูปลาแหวกว่ายในสายน้ำเพลินๆ อยู่ จากนั้นเจ้าหมีป่าทั้ง 3-4 ตัว ก็พยายามจะตะปบเหยื่อนั่นก็คือฝูงปลาแซลม่อน จับขึ้นมากินเป็นอาหาร บางตัวก็ว่ายหลบหนีไปได้ทัน เนื่องจากหมีป่า ทำอะไรดูเชื่องช้า แม้แต่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าแล้ว มันยังต้องใช้ความสามารถในการจับเหยื่อที่ว่ายเร็ว ไม่สามารถจับได้ทุกตัว และหมีป่ามันก็เริ่มเรียนรู้ที่จะจับเหยื่อให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น บางทีมันใช้ 2 มือของมันโอบจับเหยื่อพร้อมกัน ปลาจึงหลุดรอดไปได้ยาก บางทีมันก็จ้องมองดูปลาตัวที่ว่ายช้าและหาจังหวะจับโดยใช้มือหนึ่งตบไปที่เหยื่อก่อนให้ได้รับบาดเจ็บ แล้วจึงใช้อีกมือจับให้มั่น มีอยู่ตัวนึงมันฉลาดมาก ไปดักรอตรงสายน้ำตกที่น้ำจะตกจากเนินชั้นบนสู่ลำธาร ซึ่งจะมีปลาที่ว่ายมาติดกับเจ้าหมีพอดี ก็คือมันจะว่ายมาและตกลงยังลำธาร ในจังหวะนั้นหมีป่าก็จะตะปบเจ้าปลาที่เป็นเหยื่อไว้อย่างง่ายดาย และเมื่อหมีตัวอื่นเห็นก็จะทำตาม คือมาดักรอตรงบริเวณต้นทางของสายน้ำตก ไม่รู้ว่า 1 มื้อของเจ้าหมีป่าตัวใหญ่ มันรับประทานเหยื่อหรืออาหาร ซึ่งก็คือปลาแซลม่อนตัวใหญ่ แต่ละตัวอ้วนพีทุกตัว น้ำหนักน่าจะเกิน 5 กิโลกรัมทุกตัว ความยาวที่กะด้วยสายตาอยู่ราวๆ 1 ฟุตเป็นอย่างน้อย เราคิดว่าน้ำหนักตัวของหมีที่จะต้องรับประทานอาหารให้ได้ 1 มื้อ มันก็น่าจะจับเหยื่อกินได้ ต่อหมี1ตัวจะกินเหยื่อไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัว ต่อ 1 มื้อ ได้อย่างสบายๆ แต่จะอิ่มหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เท่าที่ดูในสารคดีนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าหมีป่าที่มันฉลาดที่จะเรียนรู้วิธีการล่าเหยื่อเท่านั้น เหยื่อของมันอย่างปลาก็ฉลาดที่จะเรียนรู้การถูกล่าเช่นกัน คื่อมันจะเรียนรู้วิธีหลบหลีก คือ เมื่อมันว่ายมาเป็นฝูง พอพบผู้ล่าเหยื่อ มันจะว่ายแตกแยกเป็นหลายๆ ทาง และมีบางตัวว่ายลงต่ำไปกว่าผิวน้ำ หรือว่ายให้ต่ำที่สุดให้ติดพื้น่ เพื่อหลบหลีกหนีจากการถูกล่า เราจึงเห็นว่าหมีป่าตัวใหญ๋ สามารถจับปลากินได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับฝูงปลาจำนวนมากที่แหวกว่ายหลุดเข้ามาในลำธารแห่งนี้ หมีป่า 2 ตัวถึงขนาดแย่งชิงเหยื่อตัวเดียวกัน และใครที่แข็งแรงกว่าก็ได้เหยื่อไป ซึ่งมีปลาอยู่ตัวนึงซึ่งเป็นเหยื่อตัวใหญ่ว่ายตกลงมาจากน้ำตก และมีหมี 2 ตัวยืนอยู่ใกล้กัน เห็นเหยื่อพร้อมกันจึงแก่งแย่งกัน เมื่อมีตัวนึงตะปบเหยื่อได้ อีกตัวนึงเข้ามาแย่งกับมือ มันจึงฉีกร่างของปลาตัวนั้นออกเป็น 2 เสี่ยง หมีตัวใหญ๋กว่าได้ปลาตั้งแต่ส่วนหัวจนถึงกลางลำตัวไปได้ อีกตัวนึงได้ส่วนหางและลำตัวปลาค่อนไปทางหางเอาไว้ได้ ไมเพียงเท่านั้นในลำธารแห่งนี้ยังมีผู้ล่าอีกกลุ่มนึงยืนเฝ้ามองผู้ล่าขนาดใหญ่ โดยได้แต่ยืนน้ำลายไหล แต่ยังไม่สามารถเข้าไปยื้อแย่งเหยื่อได้ เพราะมันถือว่ามีพละกำลังที่น้อยกว่าและยำเกรงเจ้าหมีป่าอยู่บ้าง นั่นก็คือเจ้าหมาป่า ฝูงหมาป่ามันจะรอจนกว่าหมีป่ากินอิ่มจนหนำใจและค่อยๆ ผละจากลำธารไปแล้ว มันจึงจะชิงลงมือล่าเหยื่อต่อจากหมีป่า ดูจากลำธารแห่งนี้น่าจะเป็นแหล่งอาหารที่ชุกชุม ตามระบบนิเวศวิทยาทางธรรมชาติของชีวิตสัตว์ เพราะผู้ล่าไม่ใช่มีเพียงเจ้าหมีป่า ยังมีหมาป่า และนกแร้งที่บางครั้งก็บินมาโฉบเหยื่อไปอย่างรวดเร็ว และก็แม่นยำมาก เจ้าหมาป่ามันคงคาดผิดไป เพราะทันทีที่ฝูงหมีป่าล่าถ่อยไปแล้ว เจ้าฝูงหมาป่าเมื่อลงมาในลำธารนั้นก็ไม่พบฝูงปลาที่เป็นเหยื่อหลงเหลืออยู่เลย หรือว่ามันจะว่ายผ่านออกจากลำธารแห่งนั้นไปหมดแล้ว หรืออาจเป็นความบังเอิญที่เจ้าหมีป่ามันรู้ว่าฝูงปลาว่ายผ่านทางน้ำมาในลำธารเวลาใดจึงมาดักรอ แต่เจ้าฝูงหมาป่ามันไม่ทราบ และคงต้องศึกษาเรียนรู้อีกต่อไป ในเมื่อไม่มีเหยื่อให้มันล่าแล้ว มันก็เลยจำต้องกินเศษเนื้อของเหยื่อที่เจ้าหมีป่ากินทิ้ง กินขว้างตกหล่นอยู่ในลำธารเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ จากการบริโภคของหมีป่า และบางส่วนเสี้ยวของอวัยวะร่างกายของเหยื่อที่โดนเจ้าหมีป่าตะปบไว้มากมาย เกลื่อนกลาด ซึ่งหมีป่ามันก็เลือกที่จะกินตัวสดๆ ในมือของพวกมันมากกว่าชิ้นเนื้อที่ตกจากมือของมันลงไปในลำธารแล้ว ผมดูสารคดีชุดนี้ด้วยความตื่นเต้นและสนใจในวงจรชีวิตสัตว์เหล่านี้ เหมือนๆ กับที่เราดูสารคดีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่เคยดูมา แต่มีบางห้วงอารมณ์นึงรู้สึกหดหู่และสงสารเจ้าปลาที่เป็นเหยื่อเหมือนกัน และยิ่งเป็นปลาแซลม่อนที่มนุษย์อย่างพวกเราก็นิยมชมชอบที่จะกินมันด้วยก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ แต่บางอารมณ์ก็รู้สึกอิจฉาเจ้าหมีป่าที่มันโชคดีได้กินอาหารอันโอชะ และเป็นอาหารชั้นดีที่แม้แต่มนุษย์ก็ยังชอบ เป็นอาหารที่มีราคาแพงเสียด้วย เจ้าหมีพวกนี้มันจะรู้มั๊ยว่ามันโชคดีที่ได้รับประทานอาหารแบบเดียวกับมนุษย์ แต่มันกินฟรีไม่ต้องเสียเงิน และเลือกกินแบบบุฟเฟ่ต์เสียด้วย เข้ามาสู่โหมดเศร้าของผู้เขียนต่อดีกว่า สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนฉุกคิดขึ้นมาได้ก็คือธรรมชาตินั่นแหละที่งดงามและก็ฉลาดที่สุด เพราะธรรรมชาติได้รังสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิตเอาไว้อย่างดีแล้ว สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยย่อมเป็นเหยื่อของสัตว์ที่ใหญ่กว่าเสมอ เป็นลำดับชั้นของมันไป และมันมีวิธีที่จะรักษาและแพร่พันธุ์ของมันไปโดยสามารถอยู่รอดในธรรมชาติได้โดยไม่สูญพันธุ์ มีแต่มนุษย์นั่นแหละที่อย่าได้เข้าไปยุ่งกับระบบนิเวศน์ของมันเลย เพราะเมื่อใดมนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการล่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้วยแล้ว มันอาจจะสูญพันธุ์ได้ง่ายกว่า เร็วกว่า จริงอยู่ว่ามีสัตว์หลากหลายชนิด หลายพันธุ์ที่มนุษย์เป็นผู้รักษาและช่วยมันในการสืบพันธุ์ต่อไปได้ ไม่ให้ต้องสูญพันธุ์ แต่กลุ่มที่จ้องจะทำลายมีมากกว่า ดังนั้น ทางที่ดีก็คือหากเราไม่มีส่วนร่วมในการที่จะอนุรักษ์รักษาเจ้าสิ่งมีชิวตเหล่านั้น เราก็อย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำลายสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเลย ที่กล่าวมาไม่ได้หมายความว่าจะห้ามไม่ให้ผู้อ่านเลิกทานปลาหรือสัตว์ที่เรานำมารับประทานอยู่เป็นประจำนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่าเราควรทานมันในปริมาณที่น้อยลง เท่าที่จำเป็นต่อร่างกาย และถ้ามีทางเลือกหรือโอกาสที่จะละ เลิก ทานอาหารสัตว์ไปได้อย่างถาวรก็จะเป็นการดีต่อทั้งสุขภาพร่างกายและเป็นการทำบุญไถ่บาปให้กับตนเองได้อีกด้วย


ผมได้รับข้อคิดดีๆ สัจจธรรมบางอย่างจากการได้ชมสารคดีชุดนี้ นอกเหนือจากเรื่องการละ ลด เลิกทานอาหารสัตว์แล้ว ยังมีเรื่องของวงจรชีวิตของผู้ล่าและผู้ถูกล่าอีกด้วย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับตลาดทุนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นได้อีกด้วย ผมรู้สึกถึงว่า ไม่ว่าจะตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาวะใด จะเป็นตลาดกระทิง หรือตลาดหมีก็ตาม แมงเม่าอย่างพวกนักลงทุนทั่วไป ก็คือผู้ถูกล่าอยู่ดี เพราะไม่ว่าเราจะลงทุนในสภาวะตลาดหุ้นกระทิง(ขาขึ้น) ตลาดหุ้นหมี(ขาลง) ตลาดหุ้นแมว (ไซด์เวย์ กรอบแคบๆ) นักลงทุนรายย่อยก็ต้องตกอยู่ในสถานภาพเป็นผู้ถูกล่าอยู่ดี เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเรามีพละกำลังที่อ่อนด้อยกว่าผู้ล่า (ซึ่งผู้ล่าก็ได้แก่ พวกนักลงทุนสถาบัน/กองทุนในประเทศ,สถาบัน/กองทุนต่างประเทศ,นักลงทุนรายใหญ่หรือพวกเจ้ามือ,พวก prop.trader หรือพวก mkt.maker) เพราะทรัพยากรที่เรามีสู้เขาไม่ได้ ไม่วาจะเป็นเงินทุนในหน้าตัก,การเข้าถึงข้อมูลความรู้บางอย่าง,ข่าววงใน,สิทธิพิเศษบางอย่าง เป็นต้น อีกทั้งการลับลวงพราง ในวงการนี้ยังมีอยู่สูงในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยข่าวลือ ข่าวร้ายทำลายหุ้น การทุบหุ้น การยืมหุ้นมาขาย(short sales) การสร้างข่าวสร้างสตอรี่ การเก็บหุ้นดันราคา การควบรวมกิจการ การเทคโอเวอร์ การเพิ่มทุน การลดทุน การออกวอร์แร้นต์ การแตกพาร์ ลดพาร์ การขายธุรกิจ การเข้าไปร่วมธุรกิจเป็นพาร์ตเนอร์ การก้าวข้ามcross ธุรกิจไปยังอีกธุรกิจหนึ่ง การล้มละลายปิดกิจการ การไซฟ่อนเงินอำพรางบัญชี การตกแต่งบัญชี เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้ทำให้นักลงทุนรายย่อยตกเป็นเหยื่อตามไม่ทันกลโกงหรือปัจจัยสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในส่วนของข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับหุ้น(บริษัท)ที่ลงทุน ยังไม่นับรวมปัจจัยภายนอกที่มากระทบกับบรรยากาศการลงทุน หรือ sentiment ปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยภายนอกประเทศ เฉพาะปัจจัยภายในประเทศก็มีหลากหลายตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ ค่าเงิน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ นโยบายของรัฐ กฎระเบียบของ กลต. หรือกฎระเบียบของตลาด ฯลฯ ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศ ก็ควรจะต้องพิจารณาหลักๆ ได้แก่ ราคาน้ำมัน ราคาทอง ราคาโภคภัณฑ์ทุกตัว ค่าระวางเรือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลักๆ โดยเฉพาะดอลล่าร์ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะดาวน์โจนส์กับฮั่งเส็ง มาตรการทางการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา (หัวหอกทุนนิยม) มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เป็นต้น

ที่กล่าวมาเพียงเพื่อจะบอกว่าภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้และเกือบทั้งโลก อยู่ในสภาวะเดียวกัน คือ 3 วันดี 4 วันไข้ คือขึ้นๆ ลงๆ เป็น side way และมีแนวโน้มจะเป็นขาลง สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป เพราะเราอ้างอิงเขาอยู่ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะสวนทางกับตลาดโลกบ้าง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานบ้านเรายังดีอยู่ บริษัทจดทะเบียนของไทยยังคงเติบโตอยู่ มีกำไรมีเงินปันผลที่สูงอยู่ น่าลงทุน ตลาดหุ้นไทยจึงควรอยู่ในภาวะขาขึ้นหรือตลาดกระทิงในระยะยาว แต่ภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นโลกอันเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของทั้งอเมริกาและยุโรป เป็นตัวกดดันซึ่งทำให้ตลาดหุ้นของไทยไม่ไปไหน คาดคะเนตลาดได้ยากในแต่ละวัน การลงทุนจึงมีความเสี่ยงสูงมากในสภาวะตลาดแบบนี้ ทางออกของนักลงทุนจึงควรถือเงินสดให้มากที่สุด หรือหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยหรือเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งไม่ใช่ทองเพียงอย่างเดียว อาจมีตราสารหนี้อย่างอื่น พันธบัตร กองทุนรวมบางประเภท อสังหาริมทรัพย์บางชนิด หรือแม้แต่เงินฝากดอกเบี้ยสูงก็ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นสภาวะตลาดแบบนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีความพร้อม ไม่เสี่ยง อดทนได้ที่จะเป็นผู้ล่าเหยื่อ ไม่ตกไปเป็นผู้ถูกล่าโดยไม่จำเป็น จึงจะเป็นการรักษาชีวิตรอดได้ในนิเวศวิทยาของการลงทุน หรือตลาดทุนโลกได้

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

ละครบู๊ซัดกันนัว บู๊ระห่ำ ยิงกันพรุน กระสุนหรือกระแส ใครแรงกว่ากัน

                                                                                                                          คงไม่ใช่เรื่องที่จะได้รับชมกันได้บ่อยๆ กับปรากฎการณ์ที่สถานีโทรทัศน์ทั้ง 3,5,7 นำเสนอละครบู๊มาชนกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่ผู้ชมจะได้รับก็คือความบันเทิงในระดับคุณภาพ ที่ทั้ง 3 ช่องต่างต้องมาประชันขันแข่งกัน นำเสนอแย่งชิงเรตติ้งกันจากฐานผู้ชมกลุ่มเดียวกัน ซึ่งก็ไม่บ่อยนักที่ผู้ชมทางบ้านจะได้รับชมละครบู๊พร้อมกันถึง 3 ช่อง บ่อยครั้งที่เราจะได้รับชมในละครแนวพีเรียดทั้ง 3 ช่องบ้าง หรือแนวรักตบจูบทั้ง 3 ช่องบ้าง หรือแนวละครผีทั้ง 3 ช่อง แต่มางวดนี้ถึงคิวกระแสละครบู๊มาแรง มีการพร้อมใจกันสร้างและออนแอร์ในเวลาใกล้เคียงกัน อาจเป็นเพราะแนวละครบู๊ถูกนำเสนอน้อยเกินไป อีกทั้งการจัดสร้างต้องใช้งบลงทุนจำนวนมาก ทางค่ายละครต่างๆ จึงไม่ค่อยได้นำเสนอมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับแนวละครอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด อยากจะบอกว่าค่ายละครครับ คุณมาถูกทางแล้วหล่ะ เพราะผู้ชมต้องการทางเลือก แนวละครอื่นๆ บ้าง นอกจากแนวดราม่ารักใคร่ ตบจูบ ละครพีเรียด แนวผี หรือแนวตลกขำขัน อารมณ์ดี แต่แนวละครบู๊ถูกสร้างน้อยเกินไป แม้ว่าต้องลงทุนเยอะแต่ถือเป็นการคืนกำไรให้กับผู้ชมทางบ้าน ปีนึงควรมีละครแนวนี้ซัก 2-3 เรื่องต่อช่องก็ดี ตอนนี้เราไม่ค่อยห่วงเรื่องโปรดักชั่นกันแล้ว เพราะละครไทยพัฒนาไปไกลในระดับนึงแล้ว แต่ที่ขอให้ช่วยประณีตพิถีพิถันก็คือเรื่องบท และการแสดงให้มากๆ เพราะเรายังเห็นข้อบกพร่องอยู่มากใน 2 ส่วนนี้ แต่ยังไงก็ยังให้กำลังใจและก็ตามดูละครไทยแน่ๆ เพราะปัจจุบันละครไทยได้ไปตีตลาดในต่างประเทศแล้วหลายประเทศ อาทิ ในประเทศรอบบ้านเรา ประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และไปไกลถึงยุโรป อเมริกาโน่น ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น

ผู้เขียนเอง แม้ว่าจะไม่ใช่แฟนละครชนิดตามดูละคร ทุกเรื่อง หรือทุกช่องแล้ว แต่ละครดังๆ ก็มีโอกาสได้ผ่านตาอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้ติดตามทุกตอนก็ตาม จึงพอจะทราบกระแสบ้าง หลักๆ จะดูซิทคอมเป็นหลัก และละครหลังข่าวช่อง 5 ของเอ็กซ์แซ็กท์เกือบทุกเรื่อง แต่มางวดนี้รีโมทของผู้เขียนต้องทำงานอย่างหนัก เพราะต้องคอยเปลี่ยนโหมดเปลี่ยนช่องไปมา เพราะละครบู๊เป็นของชอบนั้น ดันมาฉายชนกัน และเป็นละครฟอร์มยักษ์ของทั้ง 3 ช่องเสียด้วย จึงไม่อยากพลาดเลยซักเรื่อง แต่หากจะต้องนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันก็คงอาจทำให้รักพี่เสียดายน้องไปหน่อย ส่วนที่ดีแล้วก็ขอชื่นชมปรบมือให้ แต่ส่วนด้อยขอเป็นการติเพื่อก่อก็แล้วกัน

เสือสั่งฟ้า ดูจากหน้าหนังแล้วเป็นละครบู๊ฟอร์มใหญ่ และมาในทางเดียวกับละครของอาหลอง (ฉลอง ภักดีวิจิตร) แต่เรื่องนี้มีทีมนักแสดงเกือบจะชุดเดียวกับของอาหลองเลย แม้ว่าจะสร้างโดยกันตนาก็ตาม แต่ส่วนที่ดีก็คือการเดินเรื่องกระชับฉับไว โดดเด่นด้านการกำกับภาพ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยระบบ HD แล้วหรือยัง แต่ภาพคมชัดมากและก็โดดเด่นด้านมุมกล้อง มีมุมกล้องที่แปลกตาดี ชอบมาก เป็นเทคนิคแบบเดียวกับภาพยนตร์ ดูละครเรื่องนี้จึงเหมือนดูภาพยนตร์ไม่ใช่ละคร ส่วนนักแสดงนี่เล่นดีเกือบทุกตัว เรียกว่าทีมนักแสดงนี่ลงตัว อีกทั้งบทประพันธ์และบทโทรทัศน์ก็เยี่ยม พล็อตเรื่องก็ดีน่าสนใจ มีประเด็นให้วิเคราะห์ได้หลายมุม ชอบจังเลย และชอบกว่าละครบู๊ของอาหลองเสียอีก และถ้าเทียบกับละครบู๊ของช่องเดียวกันก็ยังชอบเรื่องนี้พอๆ กับคมแฝก แต่อาจดีกว่าเสาร์ 5 ตรงเดินเรื่องได้เร็วกว่า และบทดีกว่า

ตะวันเดือด ดูจากหน้าหนังแล้วเป็นเหมือนละครคาวบอยเมืองไทย ซึ่งบอกตามตรงว่าขัดหูขัดตาเหมือนกัน ซึ่งมันขัดกับขนบและจริตของสังคมไทย และนักแสดงนำเล่นได้ไม่ถึงด้วย เพราะทั้งเรื่องทั้งพระเอกและตัวโกงจะคอยทำเท่ห์อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ฉากแอ็คชั่นยังทำเท่ห์ ซึ่งไปทำให้ลดดีกรีในส่วนของความเข้มข้นจริงจังในฉากบู๊ลง อีกทั้งนักแสดงนำเกือบทั้งเรื่องเป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบหมด การแสดงทั้งสีหน้า ท่าทาง คำพูด จึงยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ จึงน่าเสียดาย แม้ว่าบทประพันธ์จะค่อนข้างดี เราจะเห็นข้อเปรียบเทียบการแสดงของละครเรื่องนี้นั้นอ่อนด้อยกว่าทั้ง 2 เรื่อง ยกเว้นเรื่องโปรดักชั่นการถ่ายทำ เทคนิคการถ่ายทำ การกำกับภาพที่ดี มีส่วนช่วย และบทโทรทัศน์ก็ดี จึงทำให้ละครเรื่องนี้ยังมีจุดน่าสนใจอยู่มาก พระเอกหล่อ นางเอกสวย เหลือเกินสำหรับเรื่องนี้ โดยเฉพาะนางเอก ขอบอกว่า "น่ารักอ่ะ" ซึ่งแน่นอนว่าชนะอีก 2 เรื่องที่เหลือในส่วนนี้ แต่การแคสติ้งตัวแสดงของเรื่องนี้หลายคนไม่เหมาะกับบทเลย ผู้เขียนเองไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ยกเว้นตัวแสดงที่ชื่อจอนนี่ แอนโฟเน่เล่น อันนี้พี่จอนนี่ห่างหายละครไปนาน กลับมายังคงเก๋าคับแก้วอยู่เหมือนเดิม และก็แบกละครเรื่องนี้เอาไว้อยู่ทั้งเรื่อง หากมีการแคสติ้งตัวแสดงที่เหมาะสมกว่านี้ ละครเรื่องนี้คงสมบูรณ์แบบและน่าสนใจมากกว่านี้แน่นอน แต่ถือว่าละครของพี่นก (ฉัตรชัย) เรื่องนี้ก็มีพัฒนาการที่ดีกว่าเรื่องก่อนคือ ดินน้ำ ลม ไฟ ซึ่งเรื่องนั้น ผู้เขียนไม่ชอบทั้งส่วนของการแสดงและคิวบู๊ ซึ่งควรจะทำได้ดีกว่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงผิดหวังกับเรื่องนั้นมาก ทั้งที่มีนักแสดงเก่งๆ หลายคน อาจเป็นเพราะบทหนังที่มีปัญหา ทั้งๆ ที่ได้พี่อุ๋ย นนทรีย์มากำกับให้ด้วย  

ส่วนละครเรื่องคนเถื่อน ดูจากหน้าหนัง ผู้เขียนมองว่าธรรมดาไม่ได้มีอะไรใหม่สำหรับพล็อตเรื่องแบบนี้ในละครบู๊มีเกือบทุกเรื่อง แต่จุดเด่นของละครเรื่องนี้อยู่ตรงทีมนักแสดงที่มาแบบฟูลทีม คับแก้วจริงๆ และก็เล่นได้ดีหมดเกือบทุกตัว เรียกว่าแท็คทีมกันเล่นได้ดีมาก ไม่แพ้เรื่องเสือสั่งฟ้า ทำให้เนื้อเรื่องที่ดูว่าธรรมดา กลายเป็นดูสนุก เดินเรื่องได้น่าติดตามไปได้ แม้ว่านักแสดงนำส่วนใหญ่จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบจะทั้งทีม แต่ก็เล่นได้เข้าขา ส่งบทกันได้ดี เคมีของคู่พระนางก็เข้ากันได้ดี ตัวรองก็เล่นได้อย่างน่าสนใจ มีขโมยซีนด้วยบางตัว กล่าวโดยสรุปก็คือเรื่องนี้ได้ความสามารถของทีมนักแสดงทั้งทีมพาให้ละครเรื่องนี้ดูสนุกชวนติดตามดี แม้ว่าโปรดักชั่น และเทคนิคการถ่ายทำไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย ดูจะอ่อนที่สุดใน 3 เรื่องด้วย

กล่าวโดยสรุปแล้ว ผู้เขียนก็ชื่นชอบละครเรื่องเสือสั่งฟ้าที่สุด แต่จะเป็นละครบู๊ที่ดีที่สุดของปีนี้หรือเปล่า ผู้เขียนขอไปตามดูต่อให้จบเสียก่อน ว่าตอนจบหากไม่ออกทะเล เป๋ไปเสียก่อน ก็น่าจะอยู่ในข่ายละครบู๊ยอดเยี่ยม แต่ละครอีก 2 เรื่องก็ยังติดตามอยู่ แต่ไม่ค่อยคาดหวังเท่าไหร่ และยังหวังว่าค่ายละครจะพิจารณาผลิตละครบู๊ให้มีปริมาณและคุณภาพมากขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ เพราะเชื่อว่าฐานแฟนละครทั่วประเทศยังน่าจะชอบดูละครบู๊มาก เพราะดูง่าย สนุก และก็ให้คุณค่าข้อคิดที่น่าเอาไปปรับใช้ได้อีกด้วย

เรื่องย่อละครเรื่อง  เสือสั่งฟ้า

                                        
บทประพันธ์โดย : เพชรน้ำหนึ่ง
บทโทรทัศน์โดย : ดาวเหนือ
กำกับการแสดงโดย : อนุวัฒน์ ถนอมรอด
ผลิตโดย : บริษัทกันตนาวีดีโอ จำกัด
ออกอากาศ ทุกวันพุธ-พฤหัส เวลา 20.30น. ทางช่อง 7


"เมื่อโจรครองเมือง กฎหมายพ่ายแพ้ต่ออำนาจแห่งไสยเวทย์ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลับมีผู้บังเกิดเกล้าเป็นเสือร้ายที่ทางการหมายหัว จึงมีเพียงลิขิตแห่งฟ้าที่จะชี้ชะตาชีวิต"

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพขาดแคลน อดอยาก ข้าวยาก หมากแพง ผู้คนปล้นชิงกันเอง คนดีกลายเป็นคนร้าย เกิดชุมโจรขึ้นทั่วไป แม้ทางการจะพยายามส่งกำลังออกกวาดล้าง ก็สามารถปราบได้แค่ชุมโจรเล็ก ๆ ที่มีกำลังไม่มากเท่านั้น ในบรรดาชุมโจรภาคกลาง ชุมโจรของเสือเมฆ แห่ง บ้านพญาไฟ นับเป็นชุมโจรที่ใหญ่ที่สุด เข้มแข็งที่สุด เพราะนอกจากจะมีกำลังคนมาก ยังรวบรวมเอาบรรดายอดฝีมือทางไสยเวทย์เอาไว้มากมาย โดยเฉพาะตัวเสือเมฆ เชี่ยวชาญวิชาอาคม ยิง ฟัน ไม่เข้า ที่สำคัญ เสือเมฆเป็นเสือที่มีคุณธรรม จะปล้นก็แต่คนรวยที่คดโกง ไม่ทำร้าย ผู้หญิงและเด็ก หากใครมีบุญคุณเคยให้ข้าวน้ำ ก็จะให้ความคุ้มครอง จึงเป็นโจรมากบารมี ที่ตำรวจต่อกรได้ยาก

เสือเมฆ ส่งเสือหาญกับเสือทับสมุนซ้าย ขวา เข้าปล้นตลาดแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าทางการได้เบาะแสการปล้น และได้ส่ง ร้อยตำรวจตรี เพชร ไพรีพ่าย นายร้อยใหม่ไฟแรงจากกองปราบปรามพิเศษ นำกำลังมาดักจับ ระหว่างการต่อสู้ เพชรต้องตะลึงกับฤทธิ์เดช ของขุนโจรทั้งหลาย ที่สามารถแอ่นอกรับกระสุนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน (คงกระพัน) เป่ามนต์ให้คู่ต่อสู้หยุดชะงัก (นะจังงัง) ใช้คาถาบังคับให้ปืนด้าน (มหาอุตย์) หายตัว(กำบังกาย) จนทำให้ตำรวจเพลี่ยงพล้ำถุกฆ่าตายเกือบหมด เพชรบาดเจ็บถูกจับไปเป็นตัวประกัน และเกือบถูกเสือทับฆ่าทิ้งระหว่างทาง แต่ระหว่างที่เพชรถุกถอดเสื้อ ลอกคราบ จนเห็นตะกรุดเงินที่เพชรห้อยคอไว้ เสือหาญรีบเข้าขวางเสือทับและขอให้ไว้ชีวิตเพชร เพื่อไว้เรียกค่าไถ่ คืนนั้นเมื่อทั้งหมดพักนอนกลางทาง หาญเข้ามาคาดคั้นเพชรเรื่องที่มาของตะกรุดแล้วแอบปล่อยเพชรไป สร้างความประหลาดใจให้เพชรอย่างมาก

เกศินี แม่ของเพชร ดีใจมากที่เพชรรอดชีวิตกลับมา ขณะที่พลตำรวจตรียิ่งยศ ไพรีพ่าย พ่อของเพชร แค้นพวกเสือเมฆมากสั่งให้จับตาย เพชรเล่าเรื่องที่เสือหาญช่วยตนให้แม่ฟัง เกศินีถามถึงลักษณะหน้าตา รูปร่างของหาญ แล้วก็ถึงกับหน้าถอดสี ยิ่งเพชรบอกเรื่องรอยสักรูปเสือที่หน้าอกของหาญยิ่งทำให้เกศินีแน่ใจว่า เสือหาญนั้นเป็นคนคนเดียวกับ หมวดหาญที่เธอเคยรู้จักเมื่อ 20 กว่าปีก่อน

เกศินี เป็นลูกสาวคหบดีใหญ่ รักใคร่อยู่กับ ร้อยตำรวจตรีหาญ พันธุ์สิงห์.....นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลแต่ยากจน หาญเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับหลวงตาคง ซึ่งเป็นเกจิที่มีวิชาอาคม จึงได้รับถ่ายทอดวิชามาตั้งแต่เด็ก หาญเป็นคนมีสมาธิ และตั้งมั่นในศีล 5 จึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ยิ่ง เด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงด้วยกัน ไม่ค่อยตั้งใจฝึกฝน แต่จะหนักไปทางเจ้าสำอางค์ พูดเพราะ หาญสักเสือที่หน้าอก ในขณะที่ยิ่งสักหนุมาน ทั้งคู่จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจและเข้ารับราชการพร้อมกัน

แต่แล้ววันหนึ่ง หมวดหาญบุกจับคนร้าย แล้วพลาดพลั้งยิงตัวประกันตาย จึงต้องโทษจำคุก เกศินีเคยลอบได้เสียกับหาญ จึงตั้งท้อง (เมื่อหาญรู้ว่าเกศินีตั้งท้องจึงให้ตะกรุดเงินที่ได้จากหลวงตาไว้ป้องกันภัย) แล้วในที่สุดก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับหมวดยิ่งเพื่อแก้หน้าโดยที่พ่อกับแม่ของเกศินีปกปิดเรื่องที่เกศินีท้องก่อนแต่งเอาไว้ หมวดยิ่งดีใจมากที่ได้เป็นเจ้าบ่าวเพราะแอบรักเกศินีมานาน เมื่อหาญที่อยู่ในคุกได้ข่าวการแต่งงานก็โกรธมาก เพราะเพิ่งตระหนักว่าถูกยิ่งเพื่อนรักหักหลัง (ยิ่งให้การปรักปรำหาญในฐานะพยานจนหาญ ต้องติดคุก) หาญตัดสินใจสะเดาะกลอน แหกคุก ประจวบเหมาะกับที่ เม่นน้องชายเสือเมฆในวัยหนุ่มถุกจับมาที่โรงพัก ทำให้เสือเมฆต้องบุกมาชิงตัว เม่นถูกตำรวจยิงตาย หาญติดร่างแหต้องหนีตำรวจไปอยู่กับเสือเมฆ และกลายเป็นเสือหาญไปในที่สุด ส่วนยิ่งก็เปลี่ยนชื่อเป็นยิ่งยศ รับราชการจนเป็นใหญ่เป็นโต โดยไม่รู้ว่าเลยว่าลุกชายที่รักเหมือนแก้วตาดวงใจคือลุกของหาญ

เสือทับฟ้องเสือเมฆว่า เสือหาญใจอ่อนให้ตำรวจ แต่เสือหาญอ้างกฎของชุมโจรว่าจะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ เสือเมฆจึงไม่เอาเรื่อง สร้างความไม่พอใจให้เสือทับอย่างมาก ส่วนอีกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้คือ พลับพลึง ลูกของเม่น หลานเสือเมฆที่เกลียดตำรวจเป็นชีวิตจิตใจเพราะตำรวจทำให้พลับพลึงกำพร้าพ่อตั้งแต่ 7 ขวบ ส่วนแม่ก็ตรอมใจตายตาม ความแค้นทำให้พลับพลึงเป็นคนจิตใจแข็งกระด้าง ไม่มีความเมตตา แม้มีพรสวรรค์ทางด้านการใช้สมุนไพรรักษาคน ก็กลับมุ่งมั่นเรียนแต่การใช้สมุนไพรพิษ ซึ่งทำให้หาญที่รักพลับพลึงเหมือนลุกสาว เป็นห่วงพลับพลึงมาก แต่ก็ไม่เท่ากับการที่หาญได้พบกับลูกชายที่พลัดพรากจากกันไป หาญแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับสร้างความสงสัยให้พลับพลึงและลูกสมุนเป็นอย่างยิ่ง

ฝ่ายเพชร นับจากได้เห็นอำนาจไสยเวทย์ต่าง ๆ กับตา จากที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ก็เริ่มต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจ เขาขอให้จ่าเฉย นำทัวร์บรรดาตำหนักทรงเจ้าเข้าผี จนได้พบกับ กระเต็น สาวรุ่นจอมแก่นที่คลั่งไคล้เรื่องลี้ลับจนเข้ากระดูก วัน วัน ก็ตระเวณหาเกจิสำนักต่าง ๆ เพื่อลองของ โดยมี เจ้าจุก ลูกสมุนติดตามไปด้วย

ที่ตำหนักเจ้าแม่สาริกา ขณะที่กระเต็นกำลังแลบลิ้นรอคอยการลงสาริกาลิ้นทองอย่างใจจดใจจ่อ เพชรก็ทำลายบรรยากาศด้วยการแสดงตัวเป็นตำรวจ ประกาศข้อหาหลอกลวงต้มตุ๋น เล่นเอาบรรดาสาวก เปิดหนีกันกระเจิง รวมทั้งเจ้าแม่ก็ถูกรวบด้ว กระเต็นแค้นเพชรมาก ที่มาขัดขวางพิธี แต่เพชรกลับเทศนากระเต็นเป็นการใหญ่ที่งมงายกับเรื่องไร้สาระ กระเต็นจี๊ดมากที่เรื่องที่ตนศรัทธาถูกลบหลู่ เกือบวางมวยกันบนโรงพัก ร้อนถึงดาบแหวนพ่อของกระเต็น ที่ออกจากราชการไปนานแล้ว ต้องตามมาระงับเหตุ ทำให้เพชรได้รู้ว่า ดาบแหวนนั้นเป็น ผู้รอบรู้ในเรื่อง เครื่องราง ของขลังรวมทั้งยังเป็นเซียนพระอีกด้วย เพชรจึงตามไปที่บ้านดาบแหวนเพื่อขอความรู้ แต่แหวนกลับไม่พาเข้าบ้าน สาเหตุก็เพราะ บานเย็น เมียบังเกิดเกล้ารังเกียจเรื่องคุณไสยที่สุด ยิ่งกระเต็นลูกสาวมาเจริญรอยตามพ่อยิ่งทำให้บานเย็นอารมณ์เสีย เพราะอยากให้ลูกสาว สนใจเรื่องความสวยความงามเหมือนหญิงทั่วไป

ต่อมาเพชรได้ไปงานเลี้ยงต้อนรับดาลิน ลูกสาวอธิบดีตำรวจ ที่เพิ่งจบการศึกษาจาก สิงคโปร์ ดาลินหลงรักเพชรแต่แรกเห็น เพชรเองก็พอใจดาลินอยู่ไม่น้อย ทั้งคู่เต้นรำกันทั้งคืน นายพลยิ่งยศพอใจมากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะเขาต้องการจะใช้ดาลินเป็นสะพานเพือ่สนิทสนมกับอธิบดีที่เป็นตำรวจตงฉิน จะได้สามารถเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนสงสัยเบื้องหลังที่เขากำลังทำธุรกิจเถื่อนอยู่กับ เสี่ยไพบูลย์ ซึ่งเป็นนายหน้าค้าวัตถุโบราณตัวยง โดยเสี่ยไพบูลย์จะว่าจ้างคนในพื้นที่ให้ลอบตัดเศียรพระ ขโมยขุดกรุของโบราณ ตามวัดและโบราณสถานเพื่อส่งขายต่างประเทศ

ในการติดต่อกัน นายพลยิ่งยศจะใช้ ร้อยตำรวจเอกดามพ์ ตำรวจหนุ่มคนสนิทเป็นตัวกลาง ดามพ์เป็นคนทะเยอทะยาน เจ้าเล่ห์ หวังไต่เต้าอย่างรวดเร็ว จึงรับใช้ยิ่งยศอย่างถวายหัว นิสัยเจ้าชู้ คบสาวมากหน้าหลายตา ในจำนวนนี้ก็มี ชิดใจ นักร้องสาวเจ้าเสน่ห์ ดาราดังของกินรีไนท์คลับรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ดามพ์ได้แต่แอบเล็งดาลินไว้ในใจ เพราะต้องหลีกทางให้ลูกนาย คือเพชร

ฝ่ายเพชรก็จำใจต้องอาศัยกระเต็นพาไปพิสูจน์ความขลังของเกจิต่าง ๆ เพชรเริ่มเชื่อ ดาลินสงสัยที่เพชรผิดนัดบ่อยและจับได้ว่า เพชรไปกับกระเต็น ดาลินงอนเพชร ยิ่งยศให้เพชรหมั้นกับดาลินเพื่อความมั่นใจ กระเต็นเริ่มหลงรักเพชรอกหัก จุกแนะนำให้ทำเสน่ห์ยาแฝด กระเต็นสองจิตสองใจแต่ก็ลองไปลนเอาน้ำมันพรายจากผีตายท้องกลม ยังไม่ทันจะเริ่มพิธี กระเต็นก็เจอกับแก็งค์ของเสี่ยไพบูลย์ที่แอบมาตัดเศียรพระ กระเต็นเข้าขัดขวางเลยถูกทำร้ายบาดเจ็บ ลูกน้องเสี่ยไพบูลย์คิดว่า กระเต็นจำหน้าพวกตนได้ จึงตามมาฆ่าปิดปากกระเต็น เจอกับดาบแหวนที่มีคาถาคงกระพันจึงต้องล่าถอยไป

นายพลยิ่งยศรู้เรื่องจึงส่งดามพ์กับลูกน้องไปเก็บครอบครัวดาบแหวนอีกครั้งคราวนี้ใช้แผนล่อให้ดาบแหวนกินเหล้า เพื่อให้ขาดสติก่อนลงมือฆ่าดาบแล้วปล่อยควันยาสลบเข้าไปในบ้าน กระเต็นกับบานเย็นสลบไป ดามพ์จุดไปเผาบ้าน เพชรมีลางสังหรณ์มาที่บ้านกระเต็นหลังจากพิธีหมั้นและช่วยกระเต็นออกมาจากกองไฟได้ แต่บานเย็นตายในกองไฟ เพชรกลับไปฉลองงานหมั้นไม่ทัน ดาลินโกรธมาก เพชรขอเอากระเต็นมาอยู่ที่บ้าน ให้เกศินีดูแล ยิ่งยศอนุญาตแต่มีข้อแม้ว่า ต้องให้กระเต็นอยู่ในฐานะคนใช้เพื่อไม่ให้ดาลินระแวง (ยิ่งยศไม่รู้ว่ากระเต็นเป็นคนที่ตนเองสั่งเก็บ) กระเต็นจำต้องอยู่อย่างขมขื่น แต่ความอบอุ่น เมตตาของเกศินี ทำให้กระเต็นรู้สึกดีขึ้น

เสือเมฆกับหาญเริ่มปฎิบัติการล้างแค้น ด้วยการตามมาฆ่าเสือทับและเมียสาวตายทั้งคู่ ต่อมาตำรวจที่บุกชุมโจร เริ่มถูกฆ่าตายทีละคน สมุนของชุมเสือเมฆที่ถูกจับต่างถูกทรมานให้เปิดปากบอกที่ซ่อนของเสือเมฆ แต่สมุนกลับบอกว่า เสือเมฆจะมาหาพวกดามพ์เอง ดามพ์ยิ่งโมโหทุบสมุนปางตาย เพชรเห็นว่าทารุณเกินไปจึงทะเลาะ ขัดใจกับดามพ์ ดาลินแวะมาหาเพชรที่โรงพักเพือ่จะชวนไปเที่ยว เสือเมฆกับเสือหาญบุกมาชิงตัวผู้ต้องหาพอดี เมฆฆ่าจ่าเฉยตาย ทั้งหมดประจันหน้ากัน ดามพ์กับเพชรและดาลินถูกเสือเมฆและสมุนที่แหกคุกล้อมกรอบ เมื่อรู้ว่าดาลินเป็นลูกสาวอธิบดี เสือเมฆสะใจประกาศจะฆ่าทั้งสามทิ้ง แต่เสือหาญกลับขอให้จับทั้งสามเอาไว้เพื่อล่อตัวอธิบดีและยิ่งยศออกมา

พลับพลึงรู้ข่าวเสือเมฆยึดโรงพักจึงรีบไปหา ส่วนเกศินีเมือ่รุ้เรื่องจากยิ่งยศก็ช็อคไป ขอให้กระเต็นพาตัวเองไปที่โรงพัก เมื่อเกศินีได้เจอเสือหาญก็ขอร้องให้ปล่อยเพชรเพือ่เห็นแก่ความสัมพันธ์ เสือเมฆงงที่เกศินีเคยรู้จักหาญ แต่หาญแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ พร้อมเสนอให้เมฆแลกตัวเพชรกับพลับพลึง ส่วนดาลินเอาตัวไปด้วย เมฆตกลงพาสมุน รวมทั้งดาลินกลับที่ซ่อนแห่งใหม่ เพชรเป็นห่วงดาลินมาก ตัดสินใจแอบหนีจากบ้านไปตามพร้อมกระเต็นซึ่งพบจดหมายของดาบแหวนที่เขียนไว้ให้เพชรก่อนตาย แนะนำให้ไปตามยอดฝีมือมาช่วยปราบเสือเมฆ ได้แก่ เซียนช้าง อดีตดาบตำรวจเพื่อนรักของดาบแหวน จ่าอาง(จงอาง) นายทหารที่คร่ำหวดการรบในป่า ครูทิง (กระทิง) ครูมวยที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยมือเปล่า

ทั้งหมดออกเดินทางเข้าป่าเพื่อล่าตัวเสือเมฆ เมื่อเกศินีรู้ว่าเพชรหนีไปก็เดือดร้อนใจมาก อ้อนวอนขอให้ยิ่งยศไปขัดขวางเพราะกลัว พ่อลูกจะฆ่ากัน ความร้อนรนเกินเหตุของเกศินีทำให้ยิ่งยศคาดคั้นจนได้ความจริงว่า เพชรเป็นลูกของหาญ โดยไม่รู้ว่าดามพ์เข้ามาแอบได้ยินเข้าพอดี ยิ่งยศถึงกับช็อคทั้งโกรธทั้งผิดหวัง

ยิ่งยศเตรียมขนวัตถุมงคลล็อตใหญ่ส่งให้ต่างประเทศ พร้อมยัดใส้ฝิ่นดิบไปด้วย ดาลินเสียใจเมามาย และได้เสียกับดามพ์ที่เฝ้าดูแลไม่ห่าง ดาลินตัดสินใจแต่งงานกับดามพ์ เพชร หาญและกระเต็น ได้รับมอบสมุดข่อยโบราณจากหลวงตาที่มีคาถาชนะมารซึ่งสาบสูญไปนานพร้อมกับได้รับเครื่องรางประจำตัวที่หลวงตาปลุกเสกให้ โดยหลวงตากำชับว่าให้ไว้ใช้ป้องกันตัวและปราบคนชั่วเท่านั้น แล้วหลวงตาก็ละสังขาร เพชร กระเต็น หาญมาที่บ้านยิ่งยศ พบว่าเกศินีถูกยิ่งยศขังไว้ เพราะเกศินีรู้เรื่องที่ยิ่งยศจะขนของผิดกฎหมาย เพชรช่วยเกศินีออกมา

ที่โกดังไม้ ท่าเรือริมแม่น้ำ เพชร กระเต็น เกศินีและหาญบุกมาขัดขวางการขนส่งวัตถุโบราณของยิ่งยศ แต่ความใจอ่อน ลังเลของเพชรที่ไม่สามารถสู้กับผู้มีพระคุณทำให้เพชรเสียที ยิ่งยศจะฆ่าเพชรแต่เกศินีเข้าขวางจึงถูกยิงตาย เพชรเข้าสู้กับดามพ์ ดามพ์แพ้ หาญสู้กับยิ่งยศ แต่การตายของเกศินีทำหาญสมาธิอ่อน ตกเป็นเบี้ยล่าง จนวินาทีสุดท้ายหาญนึกถึงคำของหลวงตาคงที่พูดว่า การทำความดีคือการว่ายทวนกระแสน้ำ หาญจึงท่องอาคมกลับหลัง และสามารถปราบยิ่งยศได้ในที่สุด

ดามพ์และหาญต้องติดคุกตลอดชีวิต ส่วนดาลินขออุ้มท้องไปอยู่เมืองนอกเพื่อลืมเรื่องทั้งหมด เพชรตระหนักว่าคนที่ตนควรรักคือกระเต็น ทั้งคู่แต่งงานกัน เพชรนำตำรวจออกปราบโจรตามชุมต่าง ๆ ด้วยวิชาอาคมที่ฝึกฝน ดามพ์ป่วยตายในคุกและเมื่อหาญได้รับอภัยโทษ ก็ตัดสินใจบวชศึกษาพระธรรมเพื่อล้างบาปที่เคยทำมา ติดตามชม ละครเสือสั่งฟ้า ได้ทุกวันพุธ - พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7 สี ละครเสือสั่งฟ้า เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2554

รายชื่อนักแสดงนำในละครเรื่อง เสือสั่งฟ้า

เคลลี่ ธนะพัฒน์ รับบท เสือหาญ พันธุ์สิงห์ ในละคร เสือสั่งฟ้า
ชนะพล สัตยา รับบท ร้อยตำรวจตรี เพชร ไพรีพ่าย ในละคร เสือสั่งฟ้า
พลอยปภัส ธนันต์ชัยกานต์ รับบท กระเต็น ในละคร เสือสั่งฟ้า
ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร รับบท ดาลิน ในละคร เสือสั่งฟ้า
รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง รับบท เสือเมฆ บ้านพญาไฟ ในละคร เสือสั่งฟ้า
อรวรรษา ฐานวิเศษ รับบท ชิดใจ ในละคร เสือสั่งฟ้า
นนทพันธ์ ใจกันทา รับบท ร้อยตำรวจเอกดามพ์ ในละคร เสือสั่งฟ้า
สินิทรา บุญยศักดิ์ รับบท เกศินี ในละคร เสือสั่งฟ้า
ชาติชาย งามสรรพ์ รับบท พลตำรวจตรียิ่งยศ ไพรีพ่าย ในละคร เสือสั่งฟ้า
ณธิดา ภัทรชาญไชย รับบท พลับพลึง ในละคร เสือสั่งฟ้า
อรุชา โตสวัสดิ์ รับบท เสือทับ ในละคร เสือสั่งฟ้า
ธราธิป สีหเดชรุ่งชัย รับบท เสือแต้ม ในละคร เสือสั่งฟ้า
จอนห์ บราโว่ รับบท เสือแหลม ในละคร เสือสั่งฟ้า
ศรุต สุวรรณภักดี รับบท เสือชัด ในละคร เสือสั่งฟ้า
ตูมตาม เชิญยิ้ม รับบท จ่าเฉย ในละคร เสือสั่งฟ้า
รุ่งระวี บริจินดากุล รับบท รื่น ในละคร เสือสั่งฟ้า
โย่ง เชิญยิ้ม รับบท ดาบแหวน ในละคร เสือสั่งฟ้า
วิยะดา อุมารินทร์ รับบท บานเย็น ในละคร เสือสั่งฟ้า


เรื่องย่อละครเรื่อง ตะวันเดือด

บทประพันธ์โดย สิริวัฒโน
บทโทรทัศน์โดย สิริวัฒโน
กำกับการแสดงโดย อรรถพร ธีมากร
ผู้จัดละคร ฉัตรชัย เปล่งพานิช
ผลิตในนามบริษัท เมตตามหานิยม จำกัด
ออกอากาศ ทุกวัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30น. ทางช่อง 3

ในค่ำคืนนั้นไร่ฟ้ารุ่งที่แสนมั่งคั่ง แทบจะกลายเป็นนรกบนดิน…

มันคือการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในเมืองภูพระกาฬ เมื่อมีโจรกลุ่มหนึ่งบุกปล้นฆ่าคนงานในไร่อย่างโหดเหี้ยม แม้แต่ นายภูผา กับ อุษา เมียรักผู้เป็นเจ้าของไร่ก็ต้องจบชีวิตลง มีเพียงตะวัน บุตรชายของภูผาเท่านั้น ที่หลบหนีไปได้ด้วยการช่วยเหลือของ สาโรจน์ เพื่อนรักของภูผาซึ่งเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจ สาโรจน์เชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกโจรก็คือ “ศักดา” หุ้นส่วนของภูผาที่ต้องการครอบครองไร่ฟ้ารุ่งนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงพาตะวันหลบหนีไปยังต่างแดน และชุบเลี้ยงเด็กน้อยจนกลายเป็นชายหนุ่มผู้กล้าแกร่ง ก่อนจะส่งเขากลับมายังไร่ฟ้ารุ่งอีกครั้งเพื่อสืบหาเงื่อนงำการตายของคนในครอบครัว โดยได้ฝากฝังให้ รานี สาวงามเจ้าของร้านเหล้าวิไลบาร์เป็นผู้ประสานงานให้

ระหว่างทางตะวันก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่ที่เป็นหนุ่มชาวไร่ใจนักเลงชื่อ “นายสิงห์” ตะวันจึงตัดสินใจพรางชื่อตัวเองเป็น “นายเสือ” บ้างเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปทำงานในไร่ฟ้ารุ่ง ในเวลานั้นศักดาได้มีเรื่องขัดแย้งกับ พ่อเลี้ยงจรัญ ผู้มีอิทธิพลในเมืองภูพระกาฬ จนต้องหลบลี้ไปกบดานยังต่างถิ่น และทิ้งไร่ฟ้ารุ่งให้บุตรสาวทั้งสองคือ “เพชรรุ้ง”กับ“พลอยขวัญ” ดูแลกันตามลำพัง

เพชรรุ้งกล้าหาญชาญฉลาดจึงเป็นที่เคารพของคนงาน ผิดกับพลอยขวัญน้องสาวที่เป็นคนเจ้าอารมณ์ชอบใช้กำลัง ทั้งคู่ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่เมื่อพ่อเลี้ยงจรัญได้ให้สมุนของตนปลอมตัวเป็นพวกโจรมาปล้นไร่ฟ้ารุ่งอยู่เนืองๆ เพื่อกดดันให้ศักดาปรากฏตัว

การมาอย่างฉุกละหุกของนายสิงห์กับตะวัน ทำให้ทุกคนในไร่เข้าใจผิดว่าทั้งคู่เป็นสายของพวกโจร แต่ในขณะที่ทั้งคู่ถูกคุมตัวอยู่นั้น พวกโจรตัวจริงก็ได้ยกพลมาบุกปล้นอีกครั้ง ทำให้เพชรรุ้งกับพลอยขวัญต้องพาคนงานเข้ารับมืออย่างดุเดือด และขณะที่กำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่นั้นเอง ตะวันกับนายสิงห์ก็ได้เข้าช่วยสองสาวกำหราบพวกโจรจนสำเร็จ ทำให้เพชรรุ้งยอมจ้างทั้งคู่มาเป็นการ์ตเฝ้าไร่ในเวลาต่อมา และสร้างความขัดใจให้แก่ เดชา ผู้เป็นหัวหน้าการ์ตเป็นอันมาก พลอยขวัญรู้สึกชื่นชมในตัวของตะวันจึงพยายามตีสนิทด้วยทำให้เพชรรุ้งรู้สึกไม่พอใจมาก แม้ว่าลึกๆแล้วเธอเองจะรู้สึกถูกชะตากับตะวันเช่นกัน

“นายพร”คนงานในไร่ซึ่งเคยเป็นเพื่อนในวัยเด็กของตะวัน จำเขาได้เมื่อเห็นรอยแผลเป็นประจำตัว นายพรจึงเล่าความจริงว่า พลอยขวัญก็คือน้องสาวของตะวันนั่นเอง เนื่องจากขณะที่สาโรจน์พาตะวันหลบหนีไปนั้น อุษาก็ได้ให้กำเนิดพลอยขวัญก่อนที่ตัวเองจะจบชีวิตลง ศักดาได้เลี้ยงดูพลอยขวัญมาโดยไม่ได้บอกเล่าเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงให้ฟังเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญก็คือเงื่อนปมการตายของภูผา ไม่ได้เกิดจากการขัดผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวแต่มีข่าวลือว่าภายในไร่ฟ้ารุ่งนั้นมีสายแร่พลอยซ่อนอยู่ ซึ่งอาจเป็นชนวนเหตุให้ศักดาและภูผาต้องฆ่าฟันกันเอง โดยมีพ่อเลี้ยงจรัญเป็นตัวแปรสำคัญ เนื่องจากในอดีตนั้นศักดาเป็นคนว่าจ้างให้มันและสมุนปลอมตัวเป็นโจรปล้นไร่ฟ้ารุ่ง

ตะวันตัดสินใจว่าจะอยู่ไร่ฟ้ารุ่งต่อไป จนกว่าศักดาจะยอมปรากฏกาย ต่อมาพวกโจรที่เคยบุกปล้นไร่ฟ้ารุ่งก็ได้ลักพาตัวพลอยขวัญไปเรียกค่าไถ่ เพชรรุ้งจึงตัดสินใจนำคนงานบุกป่าไปช่วยน้องสาว ทว่าเดชากลับฉวยโอกาสนั้นคิดเก็บทุกคนเพื่อยึดครองไร่เสียเอง การกระทำอันเห็นแก่ตัวของเดชาส่งผลให้แผนชิงตัวพลอยขวัญต้องผิดพลาด เมื่อนายสิงห์กับตะวันทราบเรื่องเข้าก็ได้ผนึกกำลังกันช่วยเพชรรุ้งกับพลอยขวัญมาได้สำเร็จ ส่งผลให้เดชาและสมุนต้องถูกขับออกจากไร่ฟ้ารุ่งในเวลามา

ตะวันได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าการ์ตคนใหม่ และยังได้ “สมใจ” อดีตผู้ช่วยนายอำเภอที่ลาออกจากราชการมาเสริมทัพอีกแรง ในเวลานั้นอำนาจของพ่อเลี้ยงจรัญก็เริ่มอับเฉาลง เมื่อ ณรงค์นายอำเภอคนใหม่บุตรชายของท่านนายพลเรืองฤทธิ์แห่งค่ายเสมาณรงค์ ได้เดินทางมาถึงเมืองภูพระกาฬพร้อมด้วย เรียว ผู้ช่วยเชื้อสายซามูไร เพื่อมาปราบพ่อเลี้ยงจรัญ เพราะเกิดจากข้อตกลงที่ศักดาทำไว้กับนายพลเรืองฤทธิ์ว่าจะยกเพชรรุ้งและผลประโยชน์ในไร่ฟ้ารุ่งให้แก่ณรงค์หากกำจัดพ่อเลี้ยงจรัญไปได้ ซึ่งนายพลเรืองฤทธิ์นั้นระแคะระคายเรื่องสายแร่พลอยในไร่ฟ้ารุ่งอยู่ก่อน จึงมีแผนที่จะยึดครองขุมทรัพย์เหล่านั้น โดยอาศัยการแต่งงานของบุตรชายเป็นเครื่องปูทาง

เพชรรุ้งเห็นแก่ความปลอดภัยของบิดาจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธณรงค์ แต่พลอยขวัญกลับไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าณรงค์ต้องการแต่งงานกับพี่สาวตนก็เพื่อครอบครองไร่ฟ้ารุ่ง ดังนั้นเธอจึงคอยหาเรื่องแกล้งณรงค์อยู่เสมอ

เดชาคิดฆ่าเพชรรุ้งเพื่อล้มเลิกงานแต่งระหว่างเธอกับณรงค์ มันจึงออกอุบายทำเป็นถูกพ่อเลี้ยงจรัญจับตัวไป แล้วล่อให้เพชรรุ้งมาไถ่ตัว ตะวันสังหรณ์ใจว่างานนี้จะต้องมีแผนร้ายแอบแฝงอยู่ จึงเตือนเพชรรุ้งไม่ให้ไปตามนัด แต่เพชรรุ้งเห็นแก่เดชาที่เป็นลูกบุญธรรมของนายยศคนสนิทของศักดา จึงยอมเสี่ยงไปพบพ่อเลี้ยงจรัญ และแล้วสิ่งที่ตะวันคาดไว้ก็เป็นจริง เมื่อพ่อเลี้ยงจรัญได้สั่งให้สมุนรุมทำร้ายพวกของเพชรรุ้ง แต่ตะวันก็ตามมาช่วยพาเธอหนีฝ่าวงล้อมไปได้ ทั้งสองพลัดหลงเข้าไปในป่าจนต้องค้างแรมด้วยกัน ในยามคับขันนี้เองที่ตะวันกับเพชรรุ้งได้ยอมสารภาพความรักในใจของตนให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้ แม้ตะวันจะรู้สึกสับสนอยู่ลึกๆที่หลงรักลูกสาวของศัตรูก็ตาม………

เรื่องราวความรักและความแค้นของตะวันกับเพชรรุ้งจะเป็นเช่นไร และทั้งสองจะหนีรอดจากศัตรูได้รึไม่ เพชรรุ้งจะต้องแต่งงานกับณรงค์หรือไม่

รายชื่อนักแสดงนำในเรื่องตะวันเดือด

ปริญ สุภารัตน์ รับบท ภูตะวัน
อุรัสยา เสปอร์บันด์ รับบท เพชรรุ้ง
ธนวรรธ์ วรรธนภูติ รับบท สิงห์
ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง รับบท พลอยขวัญ
จอห์นนี่ แอนโฟเน่ รับบท จรัญ
อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์ รับบท ศักดา
สมชาย เข็มกลัด รับบท สาโรจน์
ดอม เหตระกูล รับบท ณรงค์
เอก โอรี รับบท ภูผา
ศรันยู ประชากริช รับบท เดชา
ณฐกร ไตรกิศยเวช รับบท เรียว

เรื่องย่อละครเรื่อง คนเถื่อน

บทประพันธ์โดย : บุษยมาส
บทโทรทัศน์โดย : เบญจมาศ ดาลหิรัญรัตน์
กำกับการแสดงโดย : ฉัตรชัย สุรสิทธิ์
ผลิตโดย : บริษัท เอ็กแซ็กท์ และบริษัท ซีเนริโอ จำกัด
ออกอากาศทุกวัน จันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 5

หลายปีที่ อัคนี (รัชชานนท์ สุประกอบ) ตำรวจสอบสวนนอกเครื่องแบบตามหา คิมห์ น้องชายฝาแฝด ที่หนีออกจากบ้าน และแล้ว ผู้กองเผด็จ (นาวิน เยาวพลกุล) เพื่อนสนิทของอัคนีก็พบศพคิมห์ถูกยิงตายในไร่แห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด คิมห์ทำงานให้กับ นายแนบ จิตรุ่ง (ธีระพงศ์ เหลียวรักวงศ์) นักธุรกิจที่มีฉากหลังเป็นพ่อค้ายา นายแนบไม่พอใจที่คิมห์คบหากับ นุชกานดา (พรรณวรท ด้วยเศียรเกล้า) ลูกสาว แต่ก็ขัดใจนุชกานดาไม่ได้ เขาสั่งให้คิมห์นำเงิน 20 ล้านไปรับยาบ้ากับ บาง บรเพ็ด (อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์) เจ้าของไร่บรเพ็ดที่เป็นผู้ผลิตยาบ้ารายใหญ่ คิมห์แอบนำเงินไปเล่นพนันจนเสียไป 5 ล้าน จึงเอากระดาษยัดไส้เงิน แต่บางจับได้เลยสั่ง วง (พงศ์สิรี บรรลือวงศ์) ลูกน้องให้จัดการเก็บคิมห์ และทิ้งศพไว้ที่ท้ายไร่สมันดงของ ปู่เสือ (สรพงษ์ ชาตรี) คู่อริของตน โดย สมัน หรือ หมัน (วรรณรท สนธิไชย) หลานสาวของปู่เสือเป็นคนพบศพคิมห์

อัคนีแฝงตัวเข้าไปในไร่สมันดง สืบหาคนฆ่าคิมห์และได้เจอกับสมัน สมันช็อคที่หน้าของอัคนีเหมือนกับศพที่พบท้ายไร่ แต่อัคนียืนยันว่าไม่รู้จักคิมห์ สมันสงสัยในตัวอัคนีจึงจ้องจับผิด กลับถูกอัคนีกวนประสาททุกครั้ง จนทั้งคู่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่อัคนีกลับถูกใจในความกล้าไม่ยอมใครของสมัน อัคนีได้เข้าทำงานในไร่ของบาง ทำให้สมันโกรธไม่ยอมญาติดีกับอัคนี เพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกับ บาง บานชื่น (แอริน ยุกตะทัต) ลูกสาวของบางเห็นอัคนีก็หลงรัก ทำให้วงแค้นอัคนี เพราะวงแอบหลงรักบานชื่น ฟากเผด็จตามสืบเรื่องคิมห์จากนุชกานดาทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันจนเริ่มมีใจให้กัน

นายแนบคิดลงเล่นการเมืองจึงชักนำ สรวิทย์ (วาโย อัศวรุ่งเรือง) ลูกชายนักการเมืองเข้าสู่วงการค้ายา แล้วยังหวังให้สรวิทย์ขัดขวางเผด็จ ไม่ให้มายุ่งกับนุชกานดาด้วย อัคนียอมคบหากับบานชื่นจนบางไว้ใจ มอบหมายให้เอายาบ้าล็อตใหญ่ไปส่งที่กรุงเทพฯ อัคนีนำยาไปส่งให้สรวิทย์ แต่สรวิทย์แอบเจรจาให้อัคนีพาไปพบบาง เพราะอยากค้ายากับบางโดยไม่ต้องผ่านนายใหญ่ อัคนีรับปากจะจัดการให้ อัคนีแวะไปหาเผด็จที่บ้านและได้เจอกับ ผดา (ดารัณ บุญยศักดิ์) พี่สาวเผด็จ ผดาเห็นรูปสมันในมือถืออัคนี และคิดว่าสมันอาจเป็นลูกสาวที่ถูกสามีพาหนีไป อัคนีรับปากจะช่วยสืบให้

อัคนีกลับมาที่ไร่ และจัดการนัดสรวิทย์มาเจอกับบางเพื่อเจรจาเรื่องค้ายา แต่นายแนบตามมาขัดขวาง พร้อมเปิดเผยตัวว่าเขาคือนายใหญ่ และสั่งให้บางเก็บสรวิทย์เหมือนกับที่เก็บคิมห์ อัคนีจึงได้รู้ความจริงทั้งหมด หลังความจริงเปิดเผย อัคนีและเผด็จจะจัดการขบวนการค้ายาของนายแนบอย่างไร? และความรักของ อัคนีกับสมัน และ เผด็จกับนุชกานดา จะลงเอยอย่างไร? ติดตามชมและร่วมลุ้นได้ใน ละครคนเถื่อน ได้ทุกวัน จันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 5 ละครคนเถื่อน เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 10 ส.ค. นี้

รายชื่อนักแสดงนำใน ละคร คนเถื่อน

รัชชานนท์ สุประกอบ รับบท อัคนี/คิมห์ ในละคร คนเถื่อน
วรรณรท สนธิไชย รับบท สมัน(หมัน) ในละคร คนเถื่อน
นาวิน เยาวพลกุล รับบท เผด็จ ในละคร คนเถื่อน
พรรณวรท ด้วยเศียรเกล้า รับบท นุชกานดา ในละคร คนเถื่อน
แอริน ยุกตะทัต รับบท บานชื่น ในละคร คนเถื่อน
ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ รับบท ชบา ในละคร คนเถื่อน
ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์ รับบท ผ่อง ในละคร คนเถื่อน
พงศ์สิรี บรรลือวงศ์ รับบท วง ในละคร คนเถื่อน
วิทวัส สิงห์ลำพอง รับบท ทิว ในละคร คนเถื่อน
ชัยพล พูพาร์ต รับบท บรรเจิด ในละคร คนเถื่อน
สรพงษ์ ชาตรี รับบท ปู่เสือ ในละคร คนเถื่อน
อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์ รับบท บาง บรเพ็ด ในละคร คนเถื่อน
ธีระพงศ์ เหลียวรักวงศ์ รับบท นายแนบ จิตรุ่ง ในละคร คนเถื่อน
ดารัณ บุญยศักดิ์ รับบท ผดา ในละคร คนเถื่อน
วาโย อัศวรุ่งเรือง รับบท สรวิทย์ ในละคร คนเถื่อน
จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม รับบท ก้อน ในละคร คนเถื่อน

นักแสดงรับเชิญใน ละคร คนเถื่อน
จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี รับบทเป็น ผู้การสิงห์ ในละคร คนเถื่อน