วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สถานการณ์สหรัฐอเมริกา ภายหลังพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ถล่ม เร่งฟื้นฟู ดูความเสียหาย





 
รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-เหยื่อเฮอริเคนแซนดีพุ่งเฉียด120 ศพใน 7 ประเทศ ทั้งสหรัฐฯ แคนาดา บาฮามาส จาเมกา คิวบา เฮติและโดมินิกัน โดยจำนวนดังกล่าวเป็นผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯถึง 50 รายและพื้นที่ 14 มลรัฐทางตะวันออกของสหรัฐฯ ตั้งแต่ฟลอริดาขึ้นไปถึงแถบนิวอิงแลนด์ ต่างได้รับผลกระทบทั่วหน้า ขณะที่กระทรวงพลังงานสหรัฐฯเผยมากกว่า 8 ล้านครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ ข้อมูลระบุชัด เป็นเฮอริเคนแรงสุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ตามหลัง แคทรินาเมื่อปี 2005 และ แอนดรูว์ในปี 1992
เอเจนซีส์ - ผู้คนหลายสิบล้านคนตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันออกของอเมริกาพยายามกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเมื่อวันพุธ (31 ต.ค.) หลังถูกพายุแซนดี้ถล่มรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 คนใน 9 มลรัฐ ทั้งนี้ ตลาดหุ้น, สนามบินหลายแห่ง และธุรกิจจำนวนมากกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ถึงแม้คาดหมายกันว่ายังจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะสามารถแก้ไขระบบส่งกระแสไฟฟ้า และระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะให้กลับมาใช้งานได้

พายุไซโคลนทรงพลังซึ่งมาพร้อมกำลังลมระดับเฮอร์ริเคนและคลื่นยกสูงกระหน่ำชายฝั่งตะวันออกของอเมริกา (อีสต์โคสต์) ยังทำให้เกิดพายุหิมะในแถบเทือกเขาแอปปาลาเชียน รวมถึงบางส่วนของโอไฮโอ เพนซิลเวเนีย และเวสต์เวอร์จิเนีย ผู้คนหลายล้านไม่มีไฟฟ้าใช้ และระบบขนส่งเป็นอัมพาต


ขณะที่เหลือเวลาไม่ถึงสัปดาห์ก่อนที่ชาวอเมริกันจะไปหย่อนบัตรเลือกผู้นำประเทศ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีแผนตรวจเยี่ยมพื้นที่ริมชายฝั่งของนิวเจอร์ซีย์พร้อมกับผู้ว่าการมลรัฐ คริส คริสตี้ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของ มิตต์ รอมนีย์ แคนดิเดตชิงทำเนียบขาวจากพรรครีพับลิกัน

รอมนีย์นั้นเตรียมกลับไปหาเสียงอีกครั้งที่ฟลอริดาในวันพุธ (31 ต.ค.) หลังยกเลิกกิจกรรมในวันจันทร์และอังคาร เพื่อติดตามการปฏิบัติการกู้ภัยและการฟื้นฟู ส่วนโอบามาคาดว่าจะออกเดินสายปราศรัยใหม่ในวันพฤหัสบดี (1 พ.ย.) โดยที่โพลหลายสำนักระบุว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันและผู้ท้าชิงมีคะแนนคู่คี่จี้ติดชนิดหายใจรดต้นคอ

แซนดี้ซึ่งถือเป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดลูกหนึ่งที่พัดถล่มสหรัฐฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิตในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 45 คน นับตั้งแต่เข้าฝั่งที่นิวเจอร์ซีย์เมื่อคืนวันจันทร์ (29 ต.ค.) หลังจากที่คร่าชีวิตผู้คนไป 69 คนขณะพัดผ่านพื้นที่แถบทะเลแคริบเบียนในสัปดาห์ที่แล้ว

เจ้าหน้าที่และพลเมืองของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของอเมริกา พยายามฟื้นบริการสำคัญๆ และเก็บกวาดซากปรักหักพัง หลังพายุใหญ่ลูกนี้ทำให้เกิดคลื่นสูงกว่า 4 เมตรซัดน้ำเข้าท่วมอุโมงค์รถไฟใต้ดิน และทำให้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในหลายๆ จุด

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก เผยว่า การฟื้นฟูระบบไฟฟ้าและขนส่งมวลชนเป็นความท้าทายใหญ่สุดในช่วงอีกหลายวันนับจากนี้

ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดแนสแดคปิดทำการเนื่องจากสภาพอากาศเป็นครั้งแรกนับจากปี 1985 แต่เปิดทำการอีกครั้งแล้วในวันพุธ

สนามบินหลัก 2 แห่ง คือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนิวยอร์ก และนวร์ก ลิเบอร์ตี ในนิวเจอร์ซีย์ เปิดให้บริการแบบจำกัดในวันพุธ ส่วนลาการ์เดียในนิวยอร์กยังมีน้ำท่วมขังและต้องปิดให้บริการต่อไป

ในย่านบรีซี พอยต์ของเขตควีนส์ บ้านเรือนกว่า 80 หลังถูกเผาวอดหลังจากพายุและน้ำท่วมทำให้เกิดไฟไหม้ ขณะที่ย่านโลเวอร์แมนฮัตตัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ศูนย์กลางการเงินของนิวยอร์ก ไม่มีไฟฟ้าใช้

ความเสียหายไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะนครนิวยอร์กเท่านั้น แต่ครอบคลุมชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐฯ ตั้งแต่บอสตันจนถึงฟิลาเดลเฟียและกรุงวอชิงตัน ซึ่งเผชิญลมกรรโชกแรงและชุมชนริมฝั่งต้องจมอยู่ในน้ำเป็นบริเวณกว้างขวาง

นักพยากรณ์อากาศเตือนว่า น้ำจะยังคงท่วมขังพื้นที่ชายฝั่งบริเวณมิดแอตแลนติกที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และกองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติจัดส่งกำลังสำรอง 7,400 นายออกปฏิบัติภารกิจบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินใน 11 มลรัฐ

โอบามาที่กำลังกรำศึกเลือกตั้งมหาโหดในวันที่ 6 เดือนหน้า และต้องหลีกเลี่ยงความผิดพลาดซ้ำรอยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กรณีเฮอร์ริเคนแคทรีนาเมื่อปี 2005 แถลงให้กำลังใจผู้ประสบภัย

กระทรวงพลังงานแถลงเมื่อวันอังคาร (30 ต.ค.) ว่า ครัวเรือนและสถานธุรกิจกว่า 8 ล้านแห่งตั้งแต่แคโรไลนาจนถึงเมนไม่มีไฟฟ้าใช้ นอกจากนี้ยังมีไฟฟ้าดับในอาณาบริเวณกว้างขึ้นขณะที่แซนดี้เคลื่อนไปทางตะวันตกสู่บริเวณเกรทเลคส์

โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 3 แห่งหยุดทำงาน และแห่งที่ 4 แจ้งเตือนภัย หลังจากพายุทำให้เครือข่ายสายส่งและระบบหล่อเย็นขัดข้อง อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ปัญหานี้ไม่มีความเสี่ยงรุนแรงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ตัวเลขเบื้องต้นในอุตสาหกรรมยังระบุว่า แซนดี้อาจทำให้ธุรกิจประกันภัยต่อขาดทุน 7,000-15,000 ล้านดอลลาร์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชสาส์นไปยังประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แสดงความเสียพระราชหฤทัย เรื่องพายุ แซนดี้ขณะที่พิษซุปเปอร์สตอร์ม แซนดี้เล่นงานชาวอเมริกันงอมพระรามใน 11 รัฐ นิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์กเสียหายหนักสุด เขตเศรษฐกิจและการเงินโลกในย่านแมนฮัตตันยังจมน้ำ ไฟฟ้าดับ เมืองทั้งเมืองยังเป็นอัมพาต ระบบขนส่งมวลชนยังใช้การไม่ได้ ส่วนยอดผู้เสียชีวิตพุ่งกว่า 50 ศพ ประเมินค่าเสียหายนับหมื่นล้านดอลลาร์ บารัค โอบามา พักหาเสียงเป็นวันที่ 3 ลงพื้นที่ประสบภัยรัฐนิวเจอร์ซีย์ ด้านพายุแซนดี้พัดมุ่งหน้าขึ้นเหนือเข้าแคนาดาแล้ว

ความคืบหน้าพายุหมุน แซนดี้ที่ถล่มพื้นที่หลายรัฐแถบชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ สร้างความเสียหายวายป่วงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำนักข่าวต่างประเทศเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์ รายงานเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ว่า ชาวอเมริกันหลายรัฐแถบชายฝั่งตะวันออก รวมทั้งรัฐนิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์ก ต่างพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้วิถีชีวิตคืนกลับมา เมื่อพายุแซนดี้ซึ่งพัดขึ้นฝั่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่นหรือตรงกับ 07.00 น.
วันที่ 30 ต.ค.ตามเวลาในไทย กลายเป็นพายุหมุนเขตร้อน ที่คงกำลังแรงลมตาพายุเทียบเท่าเฮอริเคนที่ระดับ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้สร้างความเสียหายตามมาอย่างหนัก ทั้งภาวะคลื่นทะเลยกตัวสูง หรือสตอร์มเซิร์จ น้ำท่วม ไฟไหม้ ไฟฟ้าดับ การสัญจรทางบกและอากาศเป็นอัมพาต ผลพวงพายุแซนดี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นกว่า 50 คน รวมทั้งในแคนาดา 1 คน ทั้งนี้ เฉพาะรัฐนิวยอร์กมีผู้เสียชีวิตมากถึง 27 คน โดย 22 คนอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ที่เหลืออยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์และรัฐอื่นๆ

สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานด้วยว่า ความเสียหายที่รัฐนิวยอร์ก โดยเฉพาะมหานครนิวยอร์ก เมืองศูนย์กลางการค้าและการเงินโลก ชาวบ้านยังคงหวาดผวากับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เนื่องจากต้องเจอทั้งน้ำท่วมและไฟไหม้พร้อมๆกัน นางแคโรล แอนเดอร์สัน วัย 53 ปี หนึ่งในผู้ประสบภัย ที่รอดพ้นจากบ้านถูกไฟไหม้ที่เขตบริสซี พอยท์ ย่านควีนส์ บนเกาะแมนฮัตตัน แต่ต้องมาเผชิญเหตุน้ำท่วมต่อ กล่าวว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากการเกิดสงคราม โดยสถานการณ์ทั่วไปของเขตบริสซี พอยท์ ไม่ต่างจากย่านอื่นๆบนเกาะแมนฮัตตันที่ถนนหลายสายยังจมใต้น้ำ ส่วนบนพื้นที่แห้งพบเศษข้าวของและเฟอร์นิเจอร์กระจัดกระจาย รวมทั้งรถยนต์หลายคันถูกแรงพายุและน้ำซัดมาจอดกลิ้งโค่โล่อยู่กลางถนนโดยมีเศษซากปรักหักพังของวัตถุต่างๆทับถมอยู่

หลังเกิดเหตุ นายไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก และ ส.ว.ชัค ชูเมอร์ ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและเยี่ยมผู้ประสบภัย พร้อมเผยว่า ระบบรถไฟใต้ดินจะยังใช้การไม่ได้ไปอีก 4-5 วัน ขณะที่เจ้าหน้าที่รับผิดชอบงานส่วนนี้ กำลังตรวจสอบความเสียหายทั้งระบบที่ถูกน้ำเค็มกัดเซาะทำลาย ส่วนอุโมงค์รถไฟใต้ดินทั้ง 7 แห่งบนเกาะแมนฮัตตัน รวมทั้งอุโมงค์บรูคลิน-แบตเตอรีและควีนส์ มิดทาวน์ ยังถูกน้ำท่วม ส่วนบริการรถบัสโดยสารน่าจะเปิดใช้ได้ในวันพุธ ตลาดหุ้นวอลสตรีท ของสหรัฐฯที่ปิดตัวหลังถูกน้ำท่วม คาดว่ากลับมาเปิดการซื้อขายได้วันพุธเช่นเดียวกัน พายุแซนดี้ยังทำให้มหานครนิวยอร์กต้องเลื่อนจัดงานพาเหรดฮัลโลวีนในคืนวันพุธออกไป

ขณะที่สถานการณ์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ นายคริส คริสตี้ ผู้ว่าการรัฐ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินตรวจสอบความเสียหายในหลายพื้นที่ของรัฐ ก่อนแถลงว่าจะใช้เวลา 7-10 วัน ฟื้นระบบไฟฟ้าคืนเป็นปกติทั่วรัฐ พร้อมกล่าวชมนายโอบามาและส่วนกลาง ที่เตรียมแผนรับมือพายุได้ดีพอสมควร และยังมีรายงานชาวบ้านติดค้างอยู่ในบ้านรอความช่วยเหลืออยู่ประมาณ 20,000 คน ในเมืองโฮโบเคน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ต่อมาโอบามาซึ่งหยุดหาเสียงเป็นวันที่ 3 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่นิวเจอร์ซีย์ด้วยเช่นกัน ส่วนนายรอมนีย์คู่แข่งของนายโอบามา ลงพื้นที่ตั้งศูนย์รับบริจาคข้าวของช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่รัฐโอไฮโอ โดยหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงประเด็นการเมือง และไม่วิจารณ์คู่แข่งชั่วคราว ขณะที่ก่อนหน้านี้ โอบามาแถลงระหว่างตรวจเยี่ยมสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ว่า วิกฤติจากพายุแซนดี้ยังไม่ยุติ พร้อมเตือนบางรัฐทางภาคเหนือยังต้องเผชิญเหตุน้ำท่วมและลมกระโชกแรง

ส่วนการสัญจรทางอากาศ ซึ่งมีเที่ยวบินภายในสหรัฐฯและจากทั่วโลกถูกยกเลิกมากกว่า 18,000 เที่ยวและเจ้าหน้าที่สั่งปิดสนามบินใหญ่ทั้ง 3 แห่ง ในนิวยอร์กนั้น ข่าวระบุว่า สนามบินเจเอฟเคน่าจะเปิดดำเนินการได้ในวันพุธ 31 ต.ค. ตามวันและเวลาท้องถิ่น แต่เปิดบริการอยู่ในวงจำกัด อีกทั้งยังไม่แน่ชัดว่าอีก 2 สนามบินคือลาการ์เดียและนวร์ก รวมทั้งสนามบินรัฐนิวเจอร์ซีย์จะเปิดได้เมื่อไหร่ ขณะเดียวกัน พายุแซนดี้ยังพัดเอื่อยๆด้วยความเร็วลม 13 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหนือพื้นที่รัฐเพนซิลเวเนีย คาดพัดมุ่งหน้าขึ้นทางเหนือรัฐนิวยอร์กและเข้าแคนาดาเป็นด่านต่อไป ซึ่งการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆยังทำให้พายุแซนดี้ผสมผสานกับแนวอากาศหนาวเย็นจากแคนาดา ก่อให้เกิดหิมะตกหนักแถบหุบเขาแอพพาลาเชน เมาเทนส์และพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนพื้นที่หิมะตกหนักสุดอยู่ที่เมืองเรด เฮาส์ รัฐแมรีแลนด์ วัดได้สูงเกือบ 30 นิ้ว ส่วนบางพื้นที่ในรัฐโอไฮโอและเวสต์เวอร์จิเนีย มีรายงานว่าเกิดหิมะตกหนักและสูงถึง 1 เมตร สร้างความคึกคักด้านการท่องเที่ยว สำหรับสกี รีสอร์ตในพื้นที่ได้พอสมควร

สำหรับความเสียหายที่แคนาดาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 ต.ค. ตามวันเวลาท้องถิ่น แม้พายุแซนดี้ยังพัดไม่ถึง แต่แรงลมทำให้ต้นไม้และเสาไฟฟ้าหักโค่นหลายจุด บ้านเรือนและบริษัทห้างร้านไม่มีไฟฟ้าใช้มากกว่า 130,000 หลัง มีผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงถูกป้ายโฆษณาตกทับ 1 คน สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของแคนาดาเผย ตาพายุแซนดี้ได้พัดขึ้นฝั่งภูมิภาคเกรต เลคส์ ในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น จากนั้นมุ่งหน้าตะวันออกเฉียงเหนือข้ามรัฐออนตาริโอและควิเบก ก่อนพัดลงทะเลในที่สุด

สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานด้วยว่า การที่พายุแซนดี้พัดถล่มสหรัฐฯที่กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 6 พ.ย. ยังนำมาซึ่งคำถามว่าบางคูหาเลือกตั้งอาจไม่พร้อมเปิดทันกำหนดวันเลือกตั้งก็เป็นได้ ขณะที่บริษัทคาดการณ์และวิจัยด้านธุรกิจ “IHS Global Insight” เผยว่า พายุแซนดี้จะก่อความเสียหายแก่ทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 620,000 ล้านบาท) และจะก่อความเสียหายด้านธุรกิจและเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 10,000-30,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 310,000-930,000 ล้านบาท) ด้านบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งระบุว่า แซนดี้อาจก่อความเสียหายด้านเงินประกันมากถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 465,000 ล้านบาท)

นายไพโรจน์ ปักษาษิณ ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำนิวยอร์ก รายงานว่า จากการสอบถามเจ้าของธุรกิจและร้านอาหารไทยในรัฐนิวยอร์กทราบว่าได้ปิดกิจการตั้งแต่คืนวันที่ 28 ต.ค. ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 31 ต.ค. หลังจากได้รับการประกาศเตือนภัย จึงได้รับความเสียหายกันไม่มากนัก บางจุดยังเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ ส่วนผู้ที่มีบ้านอยู่ริมชายฝั่งในเขตฉุกเฉินฟาร์ร็อกเวย์ ควีนส์ ทุกคนปลอดภัย ความเสียหายอื่นๆ ยังไม่ได้ตรวจสอบ เช่นเดียวกับชาวไทยส่วนใหญ่ที่มีบ้านอยู่ในเขตประกาศเตือนภัย ก็ปิดบ้านอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย คาดว่าในวันที่ 1 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น คงจะทยอยเข้าไปสำรวจบ้านเรือนกันว่าได้รับความเสียหายหรือไม่ นอกจากนี้ ระหว่างพายุพัดถล่ม ปรากฏว่ามีต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าบ้านพักของกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก ถูกพายุพัดโค่นล้มลงไปทับรั้วบ้านเสียหายเล็กน้อย แต่นายรัศมี จิตต์ธรรม กงสุลใหญ่ และทุกคนในบ้านปลอดภัย พร้อมกันนี้นายรัศมีได้สอบถามไปยังชุมชนไทยต่างๆ สำรวจว่ามีคนไทยได้รับอันตรายและเสียหายอย่างไรบ้าง แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าชาวไทยได้รับอันตรายจากเหตุการณ์พายุถล่มครั้งนี้

วันเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กรณีเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแซนดี้เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ความว่า ข้าพเจ้าและพระราชินี เศร้าสลดใจยิ่งนักที่ได้ทราบข่าวเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแซนดี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและก่อความเสียหายอย่างหนักต่อทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศของท่าน ข้าพเจ้าและพระราชินีขอแสดงความเสียใจด้วยใจจริงมายังท่านและผู้ประสบความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้

นายดำรง ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า สถานกงสุลใหญ่ไทย นครนิวยอร์ก รายงานเมื่อเช้าวันที่ 31 ต.ค.ว่าสถานการณ์ในนิวยอร์กขณะนี้ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ แม้ว่ารถสาธารณะ แท็กซี่เริ่มเปิดให้บริการแล้ว แต่รถไฟใต้ดินยังไม่เปิดให้บริการ เนื่องจากมีน้ำท่วมขัง คาดว่าจะให้บริการได้ในอีก 4-5 วัน เช่นเดียวกับท่าอากาศยานก็ยังไม่เปิดให้บริการ คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงเที่ยงของวันที่ 31 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเที่ยงคืนวันที่ 31 ต.ค. สำหรับคนไทยในนิวยอร์ก ไม่มีรายงานว่ามีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต สถานกงสุลใหญ่ได้ติดต่อกับวัด องค์กรต่างๆอย่างใกล้ชิด ทราบว่าคนไทยประมาณ 20-30 คน ที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณชายฝั่ง ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย นอกจากนี้ กงสุลใหญ่ได้เดินทางไปเยี่ยมคนไทยที่อาศัยชั่วคราว ที่วัดพุทธไทยถาวรวนาราม ในเขตควีนส์ พบว่าทุกคนปลอดภัย และยังได้ให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวไทยในนิวยอร์กจำนวน 14 คน ซึ่งประสบปัญหาเรื่องที่พัก ส่วนคณะทัวร์ของคนไทย 2 คณะ ประมาณ 30 คน ที่ยังเดินทางกลับประเทศไทยไม่ได้ สถานกงสุลใหญ่ได้ประมาณให้ทั้งหมดเข้าพักในฝั่งนิวเจอร์ซีย์ เพื่อรอเดินทางกลับ

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯว่า จะเป็นเรื่องการชะลอตัวด้านโลจิสติกส์ เช่น ระยะเวลาการขนส่งของสินค้าไปสหรัฐฯ และพิธีศุลกากรในการออกสินค้าที่ใช้เวลามากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งมอบสินค้าที่ผู้นำเข้าจะต้องส่งมอบให้ลูกค้า/ร้านค้าปลีก หากท่าเรือในแถบชายฝั่งตะวันออกยังไม่สามารถเปิดทำการได้ ผู้ส่งออกไทยอาจต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 20-25% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯประเมินว่า พายุแซนดี้จะทำให้ร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าในสหรัฐฯต้องปิดตัว หรือร้านค้าบางรายได้รับความเสียหายในด้านตัวอาคาร สูญเสียรายได้ ส่งผลให้ยอดค้าปลีกรวมของเดือน ต.ค.55 ลดลง 2.3% เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน และจะมีผลฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาส 4 ลดลง 0.1-0.2% เพราะกิจกรรมเศรษฐกิจและการค้าในหลายสาขาได้รับผลกระทบ ทั้งการค้าปลีก การประมง ธุรกิจร้านอาหาร การเดินทาง ตลาดการเงิน การขนส่ง เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยังคาดว่าความเสียหายในชั้นต้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรืออาจจะสูงถึง 45,000 ล้านเหรียญฯ และการฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองจะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านเหรียญฯ ซึ่งเศรษฐกิจของพื้นที่ดังกล่าวคิดเป็น 25% ของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ช่วงเย็นวันเดียวกัน ตามเวลาในไทย สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานสรุปความเสียหายและองค์ประกอบต่างๆของพายุแซนดี้ อาทิ ก่อให้เกิดสตอร์มเซิร์จสูงสุดวัดได้ 4.23 เมตร ที่รัฐนิวยอร์ก พื้นที่ฝนตกหนักสุด วัดได้ 31.88 เซนติเมตร ที่เมืองอีสตัน รัฐแมรีแลนด์ ลมพัดกระโชกแรงสุดเมื่ออยู่บนภาคพื้น วัดได้ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เมืองเมาธ์ วอชิงตัน รัฐนิวแฮมพ์เชียร์ ขนาดพายุแซนดี้โดยรวมทั้งลูก วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้ 1,600 กิโลเมตร ยอดคนไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ที่มากกว่า 8.5 ล้านครัวเรือน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตกว่า 50 ศพไปแล้ว แต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ

พายุแซนดี้ที่เคลื่อนตัวไปพัดปกคลุมในบริเวณทางใต้ของรัฐเพลซิลเวเนีย คร่าชีวิตชาวอเมริกันในหลายรัฐแถบชายฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 48 รายแล้ว และบ้านเรือนและธุรกิจ 8 ล้าน 2 แสนรายไม่มีไฟฟ้าใช้ ลมพายุและน้ำท่วมได้สร้างความเสียหายครั้งใหญ่แก่มหานครนิวยอร์กที่มีผู้คนอาศัยแออัดที่สุดในสหรัฐ

ซูเปอร์สตอร์มแซนดี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 48 รายในอย่างน้อย 8 รัฐ โดยเฉพาะที่นครนิวยอร์ก มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 18 ราย และไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีของนครนิวยอร์ก บอกว่า พายุลูกนี้อาจเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดเท่าที่นิวยอร์กเคยประสบมาและคาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งตามรายงานข่าวคาดว่าเป็นภัยพายุที่พัดถล่มนครนิวยอร์กครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 75 ปี

พายุครั้งนี้ ยังทำให้เกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ครอบคลุม 15 รัฐและวอชิงตันดีซี ทำให้บ้านเรือนและธุรกิจราว 8 ล้าน 2 แสนรายไม่มีไฟฟ้าใช้ ประชาชนกว่า 1 ล้านคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน

นครนิวยอร์ก ศูนย์กลางการเงิน ได้รับผลกระทบจากทั้งน้ำท่วมและไฟฟ้าดับมากที่สุด ตลาดหุ้นต้องปิดตลาดติดต่อกันสองวัน แต่คาดว่าจะเปิดทำการได้วันพุธนี้ ตามเวลาท้องถิ่น และน้ำท่วมสถานีรถไฟใต้ดินอย่างน้อย 7 แห่ง ซึ่งเป็นความเสียหายครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ 108 ปีของระบบรถไฟใต้ดินของเมืองนี้

นายบลูมเบิร์ก บอกว่า ยังไม่อาจกำหนดได้ว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถไฟใต้ดินได้เมื่อไหร่ แต่คาดว่ารถโดยสารจะวิ่งให้บริการได้วันนี้ ส่วนสนามบินใหญ่ทั้งหมดในนิวยอร์กยังคงปิดอยู่เพราะรันเวย์มีน้ำท่วมขัง และคาดว่าอาจใช้เวลาอีก 2-3 วันกว่าไฟฟ้าจะใช้การได้พื้นที่ส่วนใหญ๋ของเมือง หรืออาจจะนานกว่านั้น

นอกจากนี้ นครนิวยอร์กยังเผชิญไฟไหม้เผาบ้านเรือนวอดวายกว่า 80 หลังในย่านควีนส์สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆของเมืองเริ่มเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านเรือน และสูบน้ำที่ท่วมขังภายในบ้าน


 
ส่วนรัฐนิวเจอร์ซี เป็นอีกแห่งที่ได้รับความเสียหายหนักจากพายุเพราะเป็นจุดที่พายุพัดขึ้นฝั่ง และนายคริส คริสตี้ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซี ซึ่งได้นั่งเฮลิคอปเตอร์สำรวจความเสียหายบริเวณชายฝั่งของรัฐบอกว่า เป็นภาพความเสียหายร้ายแรงอย่างที่คาดไม่ถึงบ้านเรือนจำนวนมาก และสวนสนุกซีไซด์ พาร์ค จมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต นอกจากนี้มีรายงานว่า เรือจำนวนมากในบริเวณชายฝั่งได้รับความเสียหายจากคลื่นซัด
และหน่วยกู้ภัยของรัฐกำลังออกค้นหาประชาชนที่อาจติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วม เนื่องจากบางส่วนอาจไม่อยากอพยพออกไปหรือบางส่วนอพยพไม่ทันเพราะอยู่ในจุดที่คลื่นสูงซัดกระทันหันโดยไม่ทันรู้ตัว

ขณะนี้ พายุได้อ่อนกำลังลงแล้วขณะเคลื่อนตัวช้าๆไปทั่วทางใต้ของรัฐเพนซิลเวเนีย อยู่ระหว่างเมืองพิตส์เบิร์กและเพนซิลเวเนีย โดยมีความเร็วลม 72 กม/ชม ทำให้รัฐนี้เผชิญกับลมแรงและฝนตกหนักแต่ไม่มีน้ำท่วมใหญ่

ซุปเปอร์พายุ Hurricane Sandy พัดเข้าชายฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว นิวเจอร์ซี่-นครนิวยอร์กอ่วม ตายแล้ว 1 ยกเลิกเที่ยวบินกว่าหมื่นเที่ยว ขณะทำเนียบขาวออกประกาศหากสั่งอพยพต้องออกโดยทันที สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์พายุเฮอริเคนแซนดี้ (Hurricane Sandy) ที่คืบคลานขึ้นชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว โดยล่าสุด มีรายงานจากเมืองแอตแลนติก ซิตี้ (Atlantic City) รัฐนิวเจอร์ซีย์ (New Jersey) ระบุว่าความเร็วลมของพายุที่พัดกระหน่ำขณะนี้อยู่ที่ 65-85 ไมล์ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีลมกระโชกแรงเช่นนี้ไปตลอดทั้งคืน โดยความเร็วลมที่พัดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มพัดแรงตั้งแต่ 40 ไมล์ บางช่วงเวลากระโชกขึ้นไปถึง 85 ไมล์ ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่อันตราย ขณะที่พายุดังกล่าวส่งผลให้ต้นไม้หลายต้นหักโค่น และพาดทับสายไฟฟ้าจนขาด ทำให้บางพื้นที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลานาน กว่าการซ่อมแซมจะเสร็จสิ้นจนมีไฟฟ้าใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง ขณะที่มีการถ่ายทอดภาพสดผ่านทางอินเทอร์เน็ต

นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมจากนครนิวยอร์กด้วยว่า พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ศพ จากเหตุถูกต้นไม้ล้มทับ โดยสถานการณ์ที่นิวยอร์ก ถือว่าอยู่ในขั้นรุนแรงเช่นเดียวกัน ส่วนสถานการณ์ทั่วไปในนครนิวยอร์กนั้น มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้สั่งตัดไฟฟ้าแล้วในเขตแมนฮัตตันและบรูคลิน ส่วนทางด้านการบินนั้น มีรายงานเช่นกันว่าทางการสหรัฐอเมริกา สั่งระงับเที่ยวบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศอีกกว่า 10,000 เที่ยวบินแล้ว ด้านทำเนียบขาวออกประกาศเตือนประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับพายุดังกล่าว ให้คอยรับฟังคำประกาศจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งหากว่ามีคำสั่งอพยพ ขอให้ประชาชนรีบอพยพออกจากพื้นที่ในทันที


มีรายงานเพิ่มเติมว่านครนิวยอร์ก มีคำสั่งให้ประชาชนที่อยู่บนอาคารสูงใกล้กับจุดก่อสร้างอพยพออกจากพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ปั้่นจั่นขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนยอดตึกสูง 90 ชั้น ซึ่งถูกลมพายุพัดเข้าใส่จนเอียง และเสี่ยงต่อการหักโค่นลงมาในทุกขณะ โดยที่ก่อนหน้านี้ มีชิ้นส่วนบางชิ้นหลุดร่วมลงมาบ้างแล้ว โดยอาคารสูงดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะเซ็นทรัลปาร์ค ล่าสุดมีรายงานว่า อิทธิพลจากพายุแซนดี้ ได้ทำให้โรงไฟฟ้า ConEd บนถนนสาย 14th ในแมนฮัตตัน ระเบิดรุนแรง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย ขณะที่ทางการนิวยอร์ก ประกาศตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดจากพายุแซนดี้ อยู่ที่ 5 ราย

พายุไต้ฝุ่นเซินตินห์ที่ขณะนี้พัดอยู่บริเวณแนวชายฝั่งภาคเหนือของเวียดนาม ยังคงส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่พาดผ่าน ทำให้เกิดฝนตกหนัก และลมพัดแรง หลังพัดถึงฝั่งเวียดนามช่วงค่ำวานนี้ ด้วยความเร็วลมสูงถึง 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สำนักข่าวของทางการเวียดนาม รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากพายุแล้วอย่างน้อย 3 คน บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ทางการส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยและทหาร รวม 1,300 คน ช่วยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการช่วยเหลือ และค้นหาผู้ได้รับผลกระทบ และเตรียมความพร้อมเฮลิคอปเตอร์อีกหลายลำ เพื่อขึ้นบินค้นหาคนงานแท่นขุดเจาะน้ำมัน 35 คน ที่สูญหาย หลังจากแท่นน้ำมันหลุดออกจากเรือลากโยงกลางทะเล ในช่วงที่คลื่นลมแรงจัด และยังไม่ทราบชะตากรรมของผู้สูญหาย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า พายุส่งอิทธิพลถึงเกาะไหหลำ ทางตอนใต้ของจีน ทำให้เรือขนส่งวิศวกรล่ม มีผู้สูญหายอีก 5 คน
ไต้ฝุ่นเซินตินห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 30 คน นับตั้งแต่เริ่มก่อตัว และพัดผ่านฟิลิปปินส์ ก่อนเคลื่อนตัวถึงเวียดนาม และคาดจะอ่อนกำลังเป็นพายุโซนร้อน และดีเปรสชั่นต่อไป

 

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กสทช.ย่อมาจาก คณะกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อทรูคอร์ปและชินคอร์ป


อาการหางโผล่จากการประเคน 3G ของ กสทช. แบบง่ายๆ ให้กับ 3 บริษัทยักษ์โทรคมนาคม

ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารเรื่องการประมูล 3G ของประเทศไทยในรอบ 2 ปีกว่า ซึ่งเป็นการประมูล3G โดยองค์กรอิสระที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่และเพิ่งจะได้คณะกรรมการชุดใหม่นี้มาเป็นผู้ดำเนินการการเป็นเจ้าภาพ ภายหลังการแต่งตั้งมาได้หมาดๆ ไม่ถึง 1ปี โดยที่คณะกรรมการชุดนี้มีทั้งหมด 11 ท่าน มาจากการสรรหาและแต่งตั้งโดย สว. โดยมีรายชื่อคณะกรรมการ กสทช.ดังนี้
1. พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กิจการโทรคมนาคม
2. สุทธิพล ทวีชัยการ ด้านนิติศาสตร์
3. พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า ด้านนิติศาสตร์
4. พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ กิจการโทรคมนาคม
5. พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ภาคกิจการกระจายเสียงโทรทัศน์
6. พีระพงษ์ มานะกิจ กิจการกระจายเสียงโทรทัศน์
7. ประเสริฐ ศลีพิพัฒน์ ด้านเศรษฐศาสตร์
8. ธวัชชัย จิตรภาษนันท์ ด้านเศรษฐศาสตร์
9. สุภิญญา กลางณรงค์ ด้านคุ้มครองผู้บริโภค กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
10.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ด้านคุ้มครองผู้บริโภค กิจการโทรคมนาคม
11.พ.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ด้านการศึกษา วัฒนธรรม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย
 
งานแรกๆ ที่ กสทช.เข้ามาดูแลก็คือเรื่องกำหนดกฎระเบียบ การตั้งกติกา กำหนดโครงสร้างการทำงาน การกำหนดกรอบการกำกับดูแล โดยมีการแบ่งแยกโครงสร้างหลักออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ก็คือ แบ่งเป็นโครงข่ายด้านสื่อสารโทรคมนาคม ได้แก่ ดาวเทียมสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง  อีกกลุ่มนึงก็คือโครงข่ายด้านวิทยุกระจายเสียงและโทรคมนาคม ได้แก่ ทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี ฟรีทีวี วิทยุกระจายเสียง เป็นต้น ในช่วงที่ กสทช.เพิ่งเข้ามาทำงานมีกรณีปัญหาของโครงข่ายโทรศัพท์มือถือของดีแทคล่มบ่อยๆ  ทำให้ กสทช.มีบทลงโทษแก่ บ.ดีแทค ด้วยการปรับเงินและให้ดีแทคชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค และมีกรณีปัญหาช่วงการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร ที่ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งที่ดูทีวีผ่านจานรับสัญญาณดาวเทียมบางระบบดูไม่ได้  ซึ่งในตอนนั้น กสทช.ไม่สามารถเข้าไปจัดการปัญหาได้อย่างเต็มที่หรือเด็ดขาดได้ เนื่องจากอ้างว่ายังอยู่ในระหว่างการร่างหลักเกณฑ์ กฏเกณฑ์ต่างๆ ยังไม่แล้วเสร็จ จึงยกประโยชน์ให้จำเลยไป แต่ภายหลังก็นำเอาประเด็นปัญหานั้นมาพิจารณาประกอบในการร่างกฏเกณฑ์เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต และเมื่อเร็วๆ นี้ผลงานชิ้นโบว์แดง(โบว์ดำ) งานแรกของการเริ่มทำงานก็คือเปิดประมูล 3G ในย่านคลื่นความถี่ 2.1 GHz  เป็นครั้งแรกสำหรับคณะกรรมการชุดนี้ แต่เคยมีการประมูลมาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน คราวนั้นถูกล้มประมูลโดยการถูกฟ้องจาก ทศท และแม้ว่าคราวนี้ก็มีกลุ่มบุคคล หรือบุคคลที่เป็นนักวิชาการอิสระ คือ ดร.อนุภาพ ถิรลาภ    และกลุ่มของคุณสุริยะใส กตะศิลา ในฐานะแกนนำกลุ่มกรีน ได้ทำหนังสือประท้วงคัดค้าน และขอให้มีการทบทวนการประมูล หรือชะลอออกไปก่อน และให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว แต่ศาลก็ได้รับฟ้อง แต่พิจารณาตัดสินให้ยกฟ้องในกรณีของ ดร.อนุภาพ แต่รับเรื่องไว้พิจารณาในกรณีของคุณสุริยะใส แต่ยังไม่ไต่สวน

พอวันประมูลมาถึง สิ่งที่ประชาชนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อผลการประมูลที่ออกมาเป็นไปตามคำท้วงติงของนักวิชาการอิสระ นักวิชาการจาก TDRI (อ.ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์) หรือแม้กระทั่ง NGO ที่เคยท้วงติงเรื่องจุดอ่อนการประมูลที่ได้ถูกออกแบบมาไว้เพื่อการให้รายใหญ่ 3 เจ้าได้กินรวบตลาดไป  ซึ่งผลก็เป็นไปตามนั้น คือ 3 เจ้าได้ไป และแถมราคาที่ประมูลได้สูงกว่าขั้นต่ำที่ กสทช.ตั้งไว้เพียง 2 % กว่าเท่านั้น ในบาง slot ของย่านความถี่อีกด้วย ทำให้เกิดข้อกังขามากมายของผู้ที่ติดตามการประมูล จนมีการเปรียบเปรยถึงความโปร่งใสของการประมูลว่านี่ไม่ใช่การประมูลแต่เป็นการประเคนมากกว่า ให้กับ 3 เจ้า เพราะไม่มีการไล่ราคาแข่งขันกันเลย มีการยอมแพ้กันง่ายๆ ที่ราคาต่ำ บาง slot ก็ไม่มีผู้ประมูล เสมือนการฮั้วกันมาก่อน  อยากจะใช้คำของ ดร.สมเกียรติ ที่บอกว่าการประมูลนี้เปรียบเสมือนการเล่นเก้าอี้ดนตรีที่มีผู้เล่น 3 ราย แต่ดันให้มีเก้าอี้ 3 ตัว แล้วอย่างนี้จะมีใครแย่งเก้าอี้กันนั่งเหรอ ในเมื่อมันมีเก้าอี้นั่งเท่ากับจำนวนผู้เล่นอยู่แล้ว ก็เสมือนการประเคนใบอนุญาตให้ไปเลยฟรีๆ แถมจ่ายในอัตราถูกมากๆ คือโดยรวม 40,000 กว่าล้านบาท ในสัญญาสัมปทานอายุยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งหารแล้วก็ตกปีละ 2,000 กว่าล้านบาทเท่านั้นที่รัฐหรือประชาชนจะได้ ซึ่งน้อยกว่าส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่รัฐได้ในยุค 2G หรือค่าสัมปทานในยุคปัจจุบัน อีกทั้งการประมูลครั้งนี้ยังได้มีการว่าจ้างบริษัทเอกชนจากต่างประเทศมาเป็นผู้วางระบบการประมูลเสียค่าจ้างไปราว 20 ล้านบาท แต่ผลที่ได้ราวกับเด็กเล่นขายของกัน ยังไม่นับรวมเงินเดือนของคณะกรรมการกสทช.แต่ละคน ปาเข้าไปหลักแสน แต่ประสิทธิภาพการทำงาน และวิสัยทัศน์ในการเข้ามาบริหารงานถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานและเงินเดือนค่าจ้างมาก (วุฒิการศึกษาและเครดิตการทำงานในอดีตไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวการันตีได้เลย) ราวกับคณะกรรมการ อบต.ตามต่างจังหวัด ถ้ารูปการณ์ออกมาเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้เขียนคิดว่าจะให้ประชาชนไว้วางใจคณะกรรมการ กสทช.ชุดนี้ให้จัดประมูลคลื่นความถี่ในด้านอื่นอย่าง โทรทัศน์ วิทยุ ได้อย่างไร แล้วเราจะหวังความโปร่งใสไม่ออกมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนมากเกินไปแบบนี้ได้อย่างไร ผู้เขียนจึงอยากจะตั้งสมญานามของ กสทช.ชุดนี้เสียใหม่ว่าเป็น คณะกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อทรูคอร์ป และชินคอร์ป เสียมากกว่า  ภายหลังการประมูลเสร็จสิ้นมาลองดูฟีดแบ็คของผู้คนในโลกไซเบอร์ดูสิครับว่าเขาคิดเห็นกันอย่างไร ขอยกมาเป็นกรณีตัวอย่างดังนี้ครับ
ปฏิกิริยาหลังการประมูลใบอนุญาตเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ในทางลบและข้อสงสัยจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นแรงกดดันรอบด้านของธุรกิจแห่งอนาคตนี้ได้ชัดเจน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ชนะที่ได้รับใบอนุญาตทั้ง 3 รายในค่ายมือถือทั้ง ทรูคอร์ปอเรชั่น (TRUE) แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) แล้ว ต่างถือว่า ต้องคำสาปของผู้ชนะกันเข้าไปเต็มเปาชนิดไม่มีทางดิ้นหลุดนับจากนี้ไป
คำสาปของผู้ชนะ เป็นปรากฏการณ์ที่นำตัวอย่างของสงครามในครั้งโรมันโบราณ เมื่อการรบครั้งหนึ่ง กษัตริย์พีร์รุส แห่งเมืองเอพีรุสในทะเลเอเดรียติก ได้รับชัยชนะใหญ่หลวงต่อกองทัพโรมัน โจมตีจนแตกพ่ายไป แต่ผลลัพธ์ตามมาคือ กำลังทหารในกองทัพของเมืองเอพีรุสตายเกือบหมดกองทัพ ดังนั้นเมื่อกองทัพหนุนของโรมันเดินทางมาโจมตีครั้งใหม่ กองทัพของเมือเอพีรุสก็ไม่อยู่ในฐานะจะสู้รบต่อไปได้
ตัวอย่างดังกล่าวถูกนำมาใช้การแข่งขันทางธุรกิจสำคัญ 3 ประการคือ 1) การประมูลขอรับใบอนุญาตจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อประกอบธุรกิจโทรคมนาคม 2) การยื่นไฟลิ่งขออนุญาตเพิ่มทุนขายหุ้น IPOs 3) การทำสัญญาซื้อขายโฆษณาบนเว็บที่เรียกว่า Pay per click 4) การประมูลยื่นขอสัมปทานขุดเจาะสำรวจน้ำมันและพลังงานนอกฝั่งทะเลชาติต่างๆ ทั่วโลก
กรณีของการประมูลจัดสรรคลื่นความถี่ 2.1GHz Spectrum Allocation ที่กระทำโดย กสทช. เมื่อวันอังคารที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา เข้าข่ายนี้โดยตรง
การประมูลเพื่อได้ใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ เป็นเพียงต้นทุนแรกเข้าสู่การแข่งขันทางธุรกิจเท่านั้น สิ่งที่เป็นความท้าทายมากกว่าหลังจากนั้นคือ ความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดและทางการเงิน
ทำนองเดียวกันกับ การอนุมัติของ ก.ล.ต.ให้อนุญาตซื้อขายหุ้น IPOs ได้ ไม่ได้บอกว่า ราคาหุ้นที่ขายจะถูกหรือแพง เพราะนั่นเป็นปัญหาของบริษัทกับนักลงทุนที่จะต้องไปดำเนินการเอาเองภายใต้หลักอุปสงค์และอุปทานของตลาด
เงื่อนไขของการประมูลใบอนุญาต 3G อายุ 15 ปี ที่กำหนดให้มีใบอนุญาตทั้งหมด 9 ใบ ใบละ 5 MHz โดยใช้ราคาขั้นต่ำ 4.5 พันล้านบาทเป็นจุดเริ่มต้นประมูล แล้วมีผู้เข้าร่วมการประมูลเพียงแค่ 3 ราย จาก 3 ค่ายโทรคมนาคม แม้จะเป็นไปตามกติกาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็ทำให้ปฏิกิริยาต่อผลการประมูลสร้างปัญหาให้กับผู้จัดทำการประมูลมากทีเดียว
ว่าไปแล้ว เงื่อนไขที่ กสทช.กำหนดเอาไว้ ระบุหลักการชัดเจนว่า การกำหนดราคาดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นจะต้องมุ่งแต่เรื่องหารายได้เข้าสู่รัฐจากการประมูลใบอนุญาต 3G เพียงอย่างเดียว เพราะมีการถ่วงน้ำหนักพบว่า ระหว่างการแข่งขันในการประมูลเพื่อให้ได้ใบอนุญาต หรือ Competition For The Market กับ การแข่งขันในตลาดภายหลังการประมูลได้ใบอนุญาตไปแล้ว หรือ Competition In The Market นั้น อย่างหลังมีความสำคัญมากกว่า
เหตุผลก็เพราะว่า ไม่มีใครรู้อนาคตว่าการแข่งขันหลังจากได้รับใบอนุญาตไปแล้ว จะประสบความสำเร็จตามคาดหรือไม่ เพราะขึ้นกับกลไกและรสนิยมของผู้บริโภค
ที่สำคัญ กสทช.ยังมีโครงการที่จะออกใบอนุญาตคลื่นความถี่ย่านอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายได้ให้รัฐได้อีกในปีต่อๆ ไป และมุ่งสร้างความสมดุลระหว่างรายได้เข้ารัฐกับผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ประชาชน และประเทศชาติโดยรวม
หากพิจารณาเทียบ สูตรการประมูลแบบ N-1 ของ กทช.เดิมถูกที่ทักท้วงจนต้องล้มเลิกไปเมื่อ 2 ปีก่อน กับวิธีการประมูลของ กสทช.ล่าสุด จะพบว่า วิธีการประมูลแบบ Simultaneous Ascending Bid Auction (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Simultaneous Multiple Round Auction (SMRA)) ที่จะเป็นการประมูลแบบทุก Slot พร้อมกันและผู้ประมูลสามารถเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตามต้องการ เป็นวิธีการที่ดีกว่า และหลายประเทศเช่น สวีเดน สหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ อินเดีย เยอรมนี และอังกฤษ ก็เลือกใช้วิธีการนี้
จุดเด่นของวิธีการดังกล่าวอยู่ที่ว่า เป็นการจัดสรรโดยอาศัยกลไกตลาดมากกว่าอีก 3 วิธีคือ การจัดสรรแบบมาก่อนได้ก่อน การคัดเลือกแบบสุ่ม และการคัดเลือกแบบเปรียบเทียบ ซึ่งอาศัยกลไกทางการบริหารที่เลือกปฏิบัติได้ง่าย
เมื่อผลการประมูลปรากฏออกมาว่าผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 ราย ต่างได้รับชัยชนะในการประมูลเท่าเทียมกัน และราคาที่เสนอประมูลรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท หรือ 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีการแข่งขันกันรุนแรง หากเต็มไปด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งผิดคาดอย่างมาก (ดูรายละเอียดในตารางประกอบ) เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เคยดังไม่มากนัก จึงโผล่หน้ามากล่าวหากสทช.ในฐานะผู้ออกแบบการประมูลใบอนุญาตอย่างเปิดเผย
รวมทั้งกรรมการ กสทช.ส่วนน้อยที่เปิดตัวออกมาว่าไม่เห็นด้วยและต้องการให้ยกเลิกการประมูล โดยข้อกล่าวหาว่า ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ประมาณ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท
ความจริงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าต้นทุนที่แท้จริงของใบอนุญาตดังกล่าวอยู่ที่เท่าใดกันแน่ เพราะต้นทุนที่แท้จริงของคลื่นนั้น ขึ้นกับการตีความเชิงคุณค่าเป็นสำคัญ แต่หากเทียบตามมาตรฐานหลายประเทศทั่วโลกแล้ว ไม่ถือว่าถูก
หากเทียบค่าใบอนุญาตที่บริษัท 3 รายต้องจ่ายให้กับ กสทช. เข้ากับการออกใบอนุญาต 3G อายุ 20 ปี ที่รัฐบาลอังกฤษให้กับผู้ประกอบการโทรคมนาคมในอังกฤษ 4 ราย ได้แก่ TIW UMTS, Orange, Crescent, Epsilon ใน ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2544) คิดเป็นมูลค่ารวมแค่ 1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 50,000ล้านบาทเท่านั้นเอง และในการออกใบอนุญาตดังกล่าวในปีนั้น ก็ไม่มีข้อกล่าวหาตามมาว่า เป็นมูลค่าต่ำเกินสมควร แม้จะมีสื่อพากันคาดเดาว่าจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หนึ่งในผู้ที่ถอนตัวจากการประมูลในขณะนั้น ให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่า ราคาใบอนุญาตที่ได้ไปนั้นสูงเกินจริงมาก
ส่วนที่เอสโตเนีย ประเทศในยุโรปเหนือ ปรากฏว่าในปี 2551 ( ค.ศ. 2006) คณะกรรมการสื่อสารแห่งชาติ (Estonian National Communications Board) ให้ใบอนุญาต 3G แก่บริษัท Grosson Capital ใบเดียวในราคาประมูลสูงสุดเพียงแค่ 8.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 245 ล้านบาท) เท่านั้น
ที่ประเทศลิธัวเนีย ออกใบอนุญาต 3G ขนาด 26 GHz จำนวน 3 ใบ ในปี 2550 ในราคาประมูลใบละ 1 ล้านยูโร (42 ล้านบาท) โดยเปรียบเทียบว่า ราคาประมูลต่ำเพราะคนที่ได้ใบอนุญาตนั้น เหมือนกับหญิงสาวที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเวทีประกวด ไม่ได้หมายความจะได้รับรางวัลชนะเลิศกันทุกคน
ส่วนผลการศึกษาของชาติในยุโรปนั้น ได้มีงานวิจัยจำนวนมากยืนยันประสบการณ์ว่า ราคาที่เหมาะสมของใบอนุญาตนั้น จะต้องคำนวณจากค่าเฉลี่ยขนาดของตลาดโดยรวมของอายุใบอนุญาต หารเฉลี่ยแล้ว ต้องไม่เกิน 1 ใน 15 เท่าของขนาดตลาด หากมากเกินไป จะกระทบต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการอย่างรุนแรง และอาจจะส่งผลให้บริการที่ประชาชนผู้บริโภคได้รับ ไม่มีคุณภาพได้ง่าย
ข้อสังเกตในการประมูลซึ่งแหล่งข่าวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหลายรายยืนยันว่า การประมูลใบอนุญาต 3G ที่มีคนเข้าแข่งขันน้อยรายในไทยนั้น เกิดจากเงื่อนไขการประมูลมีลักษณะคับแคบและกีดกันไม่ให้มีคนประมูลเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเงื่อนไขเกี่ยวกับการกีดกันบริษัทต่างชาติไม่เข้ามาดำเนินกิจการ อันเป็นข้อกฎหมายที่เข้มงวดอย่างมาก ไม่จูงใจให้เข้าแข่งขัน
ข้อเท็จจริงนี้ เห็นได้จากกรณีของอังกฤษ ที่เปิดการประมูลจากทั่วโลกเข้ามาแข่งขัน และผู้ที่ได้ใบอนุญาตหลายราย ก็ประกาศตัวเปิดเผยว่าได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพันธมิตรต่างประเทศ เช่น TIW UMTS เป็นบริษัทจากแคนาดา ส่วน Orange เป็นบริษัทอังกฤษที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นฝรั่งเศส Crescent มีผู้ถือหุ้นใหญ่จากสหรัฐฯ และ Epsilon มีผู้ถือหุ้นใหญ่จากญี่ปุ่น
ข้อกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าประมูลขอใบอนุญาตของกสทช.ในเรื่อง บริษัทไทยอันเข้มงวด คือสาเหตุหนึ่งที่เป็นปัญหาของการประมูลที่มีบริษัทครบคุณสมบัติน้อยเกินไป ดังที่ปรากฏ
นอกจากนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่า สถาบันการเงินที่จะสนับสนุนการแข่งขันของผู้ที่เข้าประมูลใบอนุญาตนั้น ก็มีปัญหาตรงที่ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น มีจำนวนน้อย และหลายรายก็ได้ประกาศสนับสนุน 3 บริษัทใหญ่ดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นจึงทำให้เงื่อนไขสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้เข้าประมูลรายอื่นๆ มีข้อจำกัดเพิ่มเติมไปด้วย
สิ่งที่เป็นความชัดเจนก็คือ จากนี้ไป ต้นทุนของบริษัทในธุรกิจโทรคมนาคมที่เคยต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) รวมแล้วปีละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านจะหายไป กลายเป็นการเสียภาษีสรรพสามิตให้กับกระทรวงการคลังแทน ซึ่งจะต้องลดลงฮวบฮาบอย่างชัดเจน
ทางอ้อมคือ รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มจากการที่ผู้บริโภคต้องจ่ายในการใช้บริการโทรคมนาคม 3G ที่นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์หลายราย คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 35% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ส่วนผู้ที่เสียหายโดยตรงย่อมเป็น สองรัฐวิสาหกิจที่เคยเป็นเสือนอนกินกับการให้สัมปทานบริษัทเอกชนโดยไม่ต้องทำอะไรมายาวนานหลายทศวรรษนั่นเอง รัฐไม่ได้เสียหายอะไรเลย (หากไม่นับค่าเสียโอกาสจากเงินรายได้จากใบอนุญาต) เพราะไม่ได้เป็นผู้ลงทุนด้วยตัวเอง
แม้ว่า บริษัทผู้ชนะการประมูลทั้ง 3 ราย จะมีโอกาสสูงสุด (หากไม่มีการยกเลิกการประมูลเสียก่อน) ก็ยังมีความท้ายทายในอนาคตตามมาอีก 2 ประเด็นสำคัญคือ
- ความสามารถในการลงทุนสร้างระบบเครือข่าย และนำเสนอบริการเพื่อแย่งลูกค้ามาสู่มือให้มากที่สุดเป็นสำคัญว่าใครจะสามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่ากัน ซึ่งจะต้องลงทุนมากกว่าค่าใบอนุญาตอีกหลายเท่าตัว โดยมีข้อดีอยู่ที่การเริ่มต้นแข่งขันเท่าเทียมกัน ไม่เสียเปรียบได้เปรียบเหมือนในอดีต
- เงินค่าใบอนุญาตทั้งหมดกว่าสี่หมื่นล้านบาท แต่ใช้งานได้ถึง 15 ปี เทียบกับเงินค่าสัมปทานที่ทั้งสามค่ายเคยจ่ายผ่านรัฐวิสาหกิจก่อนหน้านี้ถือว่าลดลงไปมาก แต่ค่าสัมปทานจะหายไป เปลี่ยนเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเรียกเก็บเท่าใด จากอัตราส่วนเดิม 0% แต่มีเพดานภาษีอยู่ที่ 50% (ตัวกรมสรรพสามิตเองก็ออกมาแสดงท่าทีก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเก็บเงินภาษีในส่วนนี้)
ความท้าทายดังกล่าว อาจจะกลายเป็นคำสาปของบริษัทโทรคมนาคมทั้งสามรายที่ได้ชัยชนะในการประมูล 3G ได้ไม่ยาก
คำแนะนำของนักวิเคราะห์ที่ให้ขายหุ้น ADVANC DTAC และ TRUE ที่มีเหตุผล แต่นักลงทุนไม่ไยดียามนี้ จึงเป็นมายาคติอย่างหนึ่งในยามที่ตลาดหุ้นเป็นภาวะกระทิงชัดเจน


(บทวิเคราะห์ใน สำนักข่าว InfoQuest)

ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการประมูล 3G

รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ (15 ต.ค.) สำนักงานศาลปกครองฯ ได้ส่งคำสั่งศาลไปยัง นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาอิสระ ผู้คัดค้านการประมูล 3G โดยแจ้งว่า ศาลได้ยกคำร้องของนายอนุภาพ ส่วนกรณี นายสุริยใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ยื่นคำร้องคัดค้านประมูล 3G ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ศาลปกครองรับคำร้องแต่ไม่รับไต่สวนฉุกเฉิน

ทั้งนี้ จึงทำให้ การประมูล 3จี ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) กำหนดไว้ในวันที่ 16 ตุลาคม ยังเดินหน้าต่อไปได้ตามเดิม

กสทช. พร้อมเดินหน้าประมูล 3 จี ในวันพรุ่งนี้(16 ต.ค.55) หลังศาลปกครองกลาง ยกคำร้องคดีที่นายอนุภาพ ฟ้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราวการประมูล 3จี โดยศาลเห็นว่า การประมูลยังไม่เกิด นายอนุภาพยังไม่ได้รับความเสียโดยตรง

เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระ ด้านโทรคมนาคม เดินทางมายังศาลปกครองกลาง เพื่อคัดสำเนาคำสั่งศาลปกครองกลาง หลังยื่นขอให้คุ้มครองชั่วคราว ระงับการประมูลใบอนุญาต 3จี ของ กสทช. ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (16 ต.ค.55) ซึ่งศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของนายอนุภาพ ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ซึ่งเมื่อศาลไม่รับคำฟ้องนี้ไว้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาและมีคำสั่งกำหนดมาตรการ หรือคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ก่อนการพิพากษาอีก

ทั้งนี้ ศาลเห็นว่า ความเสียหายที่นายอนุภาพ ระบุไว้ เป็นการคาดคะเนล่วงหน้า และความเสียหายยังไม่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นนายอนุภาพซึ่งเป็นผู้ฟ้องยังไม่ถูกละเมิด ศาลปกครองกลางจึงไม่จำเป็นต้องรับเรื่องนี้เพื่อคุ้มครองชั่วคราวแต่อย่างใด แต่ศาลปกครอง ชี้ช่องให้นายอนุภาพยื่นเรื่องนี้ ไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินได้หลังการประมูลแล้ว เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนในภาพรวม ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถตรวจสอบความเสียหาย และยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้

ด้านนายอนุภาพ กล่าวว่า ได้ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว โดยมีเจตนาที่ต้องการให้ประชาชนได้ประโยชน์จากการประมูล 3จี อย่างแท้จริง เพราะเข้าใจว่า กสทช. ยังทำหลักเกณฑ์ไม่ครอบคลุมถึงประชาชนทุกกลุ่ม และในวันพรุ่งนี้ (16 ต.ค.55) ที่จะมีการประมูล 3จี นายอนุภาพยืนยันว่า จะไม่ไปดูการประมูล แต่จะเฝ้าติดตามผลการประมูล 3จีต่อไป

ทั้งนี้ หลังจากศาลปกครองกลาง ไม่รับคำร้องของนายอนุภาพแล้ว จะมีผลต่อคำร้องของนายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำกลุ่มกรีน แม้ศาลจะไม่รับคำร้องให้ไต่สวนฉุกเฉินเพราะศาลเห็นว่ามีผู้ฟ้องร้องในเรื่องเดียวกันก่อนหน้านี้แล้ว แต่คำร้องของนายสุริยะใส ยังอยู่ คำสั่งศาลในกรณีของนายอนุภาพจะมีผลต่อคำร้องของนายสุริยะใสทันที

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า กสทช. ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ แต่เมื่อไม่มีคำสั่งระงับการประมูล 3 จี จากศาลปกครอง กสทช. ก็จะเดินหน้าประมูล 3 จี ในวันพรุ่งนี้ตามกำหนดการเดิม ซึ่งมีความพร้อมในทุกด้านเรียบร้อยแล้ว

สำหรับการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ เพื่อให้บริการ 3จี จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ (16 ต.ค.55) ตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. ที่สำนักงาน กสทช. โดยมี 3 บริษัทที่เข้าร่วมประมูล ได้แก่

- บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัดหรือเอไอเอส

- บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด หรือดีแทค

- บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด บริษัทลูกของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

บอร์ดกทค.มีมติ 4 ต่อ1 รับรองผลประมูล 3G หลังเถียงกันหนัก จนต้องมีการวอล์กเอาท์ พร้อมแจ้งผู้ชนะ 19 ต.ค. และออกใบอนุญาตภายใน 90 วัน โดยไม่ต้องผ่านบอร์ดกสทช.ชุดใหญ่

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ประกอบด้วยพ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกทค.และกรรมการอีก 4 คนคือ นายสุทธิพล ทวีชัยการ,พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ,นายประเสิรฐ ศีลพิพัฒน์ และนพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ในเวลา 11.00 น. โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเพื่อลงมติรับรองผลการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ย่าน 2.1GHz เพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 3Gซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการประมูล 4 ต่อ1โดย นพ.ประวิทย์ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมไม่เห็นชอบเพียงคนเดียว เนื่องจากเห็นว่าผู้ประกอบการบางรายใช้ยุทธศาสตร์การดึงราคาภายหลังจากได้ดูข้อมูลรายละเอียดการประมูล(ล็อกไฟล์)

ทั้งนี้ระหว่างการประชุมเพื่อลงมติผลการประมูล 3Gได้มีการถกเถียงกันอย่างหนัก ระหว่างนายสุทธิพลกับนพ.ประวิทย์ เป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นจึงมีการลงมติรับรองผลการประมูลในเวลา 14.50 น.ซึ่งในระหว่างที่มีการถกเถียงนายประเสริฐ และพล.อ.สุกิจ ได้เดินออกจากห้องประชุม (วอล์กเอาท์) เพราะอยากให้ประธานที่ประชุมลงมติให้มีการโหวตเสียที ไม่อยากให้มีการถกเถียงในเรื่องเดิมที่มีการเคยลงมติไปแล้ว คือเรื่องราคาตั้งต้นการประมูลที่ 4,500 ล้านบาทต่อ 1 ใบอนุญาต (สล็อต)หรือ 5MHz ซึ่งหลังจากวอล์กเอาท์ผ่านไป 5 นาที ที่ประชุมได้เชิญกสทช.ทั้ง 2 คนกลับเข้าห้องประชุมอีกครั้งเพื่อลงมติ

โดยพล.อ.สุกิจ ได้เป็นผู้ลงมติรับรองผลการประมูลเป็นคนแรก ต่อมาคือนายประเสริฐ และนายสุทธิพล ส่วนนพ.ประวิทย์ ไม่ขอลงมติรับรองผลการประมูล เพราะเห็นว่าการลงมติต้องมีดุลยพินิจ และข้อเท็จจริงที่เพียงพอ ถึงแม้กรรมการ กสทช.จะยืนยันว่าไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) แต่กรรมการควรจะมีสิทธิได้เห็นพฤติกรรมการเคาะราคาในแต่ละรอบของผู้เข้าประมูล เพราะมียุทธศาสตร์การดึงราคาของผู้เข้าประมูลบางราย ส่อไปในทางทุจริต และเมื่อได้เห็นรายละเอียดการประมูล (ล็อกไฟล์) ยิ่งทำให้ไม่สามารถรับรองผลการประมูลได้ ส่วนพ.อ.เศรษฐพงค์ เป็นผู้ลงมติเห็นชอบการประมูลเป็นคนสุดท้าย

หลังจากนั้น นายพิทยาพล จันทนะสาโร รองเลขาธิการกสทช.ได้สรุปผลการประชุมว่าบอร์ดกทค.ได้ลงมติรับรองผลการประมูล 3G โดยมีคะแนน 4 ต่อ 1 สรุปคือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ตเวิร์ก (AWN) ในเครือเอไอเอส เป็นผู้ชนะการประมูลในราคา 14,625 ล้านบาท ได้ครอบครองคลื่นความถี่ในชุด 7-9 บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ ในเครือกลุ่มทรู ชนะการประมูลในราคา 13,500 ล้านบาท ได้ครอบครองชุดความถี่ 4-6 และบริษัท ดีแทค เนควอร์ค ในเครือดีแทค ชนะการประมูลในราคา 13,500 ล้านบาท ได้ครอบครองชุดความถี่ 1-3

สำหรับขั้นตอนต่อไปหลังจากลงมติรับรองผลการประมูลแล้ว กสทช.จะต้องแจ้งผู้ชนะประมูลภายใน 7 วัน แต่กสทช.จะส่งหนังสือแจ้งไปในวันที่ 19 ต.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดระยะเวลาไซเรนต์ พีเรียดด้วย หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการให้ใบอนุญาต ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 90 วัน โดยผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องชำระเงินค่าใบอนุญาตงวดแรกจำนวน 50% ของราคาใบอนุญาต และยื่นหนังสือรับรองทางการเงิน (แบงการันตี) สำหรับงวดที่เหลือ ซึ่งต้องชำระในปีที่ 2 และ 3 โดยกสทช.จะออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการในวันที่มาจ่ายงวดแรก

ด้านนายประเสริฐ กรรมการกสทช. กล่าวว่า การลงมติในครั้งนี้ของบอร์ดกทค.ถือเป็นอำนาจและสิทธิ์ของกทค.ตามมาตรา 27 วรรค 4 ของพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมพ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) จึงไม่จำเป็นต้องนำเข้าบอร์ดกสทช.ชุดใหญ่เพื่อพิจารณาแต่อย่างใด เพียงแต่ให้รับทราบเท่านั้น

ขณะที่การส่งเงินค่าใบอนุญาตที่ได้จากการประมูลในครั้งนี้ให้กับรัฐบาลนั้นกสทช. จะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุดทันทีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตทั้ง 3 รายชำระเงินในงวดแรก และหักค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการจัดการประมูลแล้วราว 20 ล้านบาท

ส่วนการชำระค่าใบอนุญาตของผู้เข้าประมูล มีดังนี้ AWNประมูลในราคา 14,625 ล้านบาท ชำระ 50% อยู่ที่ 7,312 ล้านบาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เรียล ฟิวเจอร์ และดีแทค เนควอร์ค ชำระงวดแรกเท่ากันที่ 6,750 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

นอกจากนี้ กสทช.ยืนยันว่ายังไม่ได้รับหนังสือจากกระทรวงการคลัง ในประเด็นเกี่ยวกับการประมูลว่าอาจผิดพ.ร.บ.ฮั้วแต่อย่างใดซึ่งหากกระทรวงการคลัง ส่งหนังสือสอบถามมา ฝ่ายกฎหมายก็พร้อมจะชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่าการประมูลไม่ได้มีการกระทำหรือมีพฤติกรรมที่ส่อไปในการผิดพ.ร.บ.ฮั้วแต่อย่างใดเนื่องจากต้องมีการคัดค้านหรือกีดกันไม่ให้มีการแข่งขัน หรือไม่มีผู้เข้าร่วมประมูล แต่ในการประมูลดังกล่าว มีผู้ประมูลด้วยความสมัครใจ ไม่มีการกีดกั้นแต่อย่างใด ซึ่งใน พ.ร.บ.ฮั้วไม่ได้มีถ้อยคำกำหนดว่าจะต้องมีการเคาะราคากี่ครั้ง และราคาประมูลที่ได้ต้องเพิ่มขึ้นจากราคาตั้งต้นเท่าไร ดังนั้นจึงไม่เข้าข่าย

นายสุรศักดิ์ ศิริพรอดุลศิลป์ กลุ่มภาคประชาชนผู้ริเริ่มถอดถอนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.นำรายชื่อประชาชน 57,904 คน ยื่นต่อนายนิคม ไวรัชยพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง กสทช. ทั้ง 11 คน เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่

กรณีจัดประมูลใบอนุญาตให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G 2.1 กิกะเฮิรตซ์ ที่อาจขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พุทธศักราช 2552 อีกทั้ง ส่อฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ใช้จ่ายงบประมาณฟุ่มเฟือย ไม่คำนึงถึงเงินภาษีและประโยชน์สูงสุดของประชาชน อีกทั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา เช่น มาตรา 30, 37 และ 47

ด้านประธานวุฒิสภา กล่าวว่า จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมด จากสำนักทะเบียนกลาง ส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ตรวจสอบการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ก่อนที่จะส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป ถ้ามีมูลจะส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอนต่อไป ซึ่งระยะเวลาในการดำเนินการ ต้องทำให้เสร็จภายใน 30 วัน แต่เนื่องจาก มีรายชื่อจำนวนมาก คงต้องขอขยายเวลาออกไป

 

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โลกเหงาๆ ของเขาและเธอ 2


วงจรชีวิตรักระหว่างเขากับเธอ

เหตุการณ์  รักแรกพบ การเจอกันครั้งแรก


เหตุการณ์ ปิ๊งรัก รู้สึกดีๆ  เป็นปาฏิหาริย์ มหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในใจ การเดินทางมาเจอกัน


เหตุการณ์ เมื่อโลกกลม พรหมลิขิต แม่น้ำร้อยสายก็สามารถไหลมาบรรจบกันได้

เหตุการณ์ คนเราเมื่อมองตาก็รู้ว่ารักกันแล้ว เหตุผลจะตามมาเอง หรืออาจจะไม่สำคัญเลยก็เป็นได้ จะไม่ถามอดีตของกันและกัน ไม่แคร์ว่าอดีตของเขาจะเป็นยังไง


เหตุการณ์ย่อย  เจอคนที่ชอบแล้ว แต่ไลฟ์สไตล์ต่างกัน ทัศนคติต่างกันบ้าง ทำให้เราต้องปรับตัวเข้าหา หรือเปลี่ยนตัวเราเองไปเพื่อจะพิชิตใจเธอคนนั้นให้ได้ 
 


เหตุการณ์ ช่วงที่ยังลังเลใจ ไม่แน่ใจ ศึกษาดูใจกันอยู่ ต้องหลบลี้หนีหน้า ยังไม่อยากให้ใครได้รับรู้ กลัวคนอื่นจะรู้ว่าเราเป็นแฟนกับเขา


เหตุการณ์  ช่วงที่เรามั่นใจ ตกลงปลงใจ ตกล่องปล่องชิ้นกันแล้ว ก็เลยอยากประกาศให้โลกได้รับรู้ (ยิ่งรู้มากยิ่งดี)


เหตุการณ์  ช่วงที่ไม่เข้าใจกับคู่ครอง หรือมีมือที่ 3 แทรกเข้ามาในความสัมพันธ์ ใครก็ช่วยคุณ 2 คนไม่ได้

เหตุการณ์  ช่วงที่หมดเรี่ยวหมดแรง ย่อท้อต่อการปรับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขา ตามง้อขอคืนดี
 


เหตุการณ์ ช่วงที่เตียงหักรักร้าว ยากจะประสานรอยร้าวได้อีกแล้ว หลบลี้หนีหน้า กลัวคนอื่นจะรู้ว่าเราเลิกกับแฟนแล้ว

เหตุการณ์ ช่วงที่แยกทางกันเดินแล้ว เราทั้ง 2 คนต่างหมางเมินใส่กัน อยากประกาศให้โลกรู้ ว่ากูเลิกกับมันแล้ว

เหตุการณ์ย่อย   แต่บางครั้งเลิกกันแล้วในสถานภาพ แต่หน้าที่การงานยังทำให้ต้องเจอกันอยู่ อันนี้แหละปวดใจ  
 

เหตุการณ์ย่อย  เลิกกันไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ยังคงเป็นเพื่อนกันได้อยู่ ยังคงคิดถึง และห่วงใยกัน
 

เหตุการณ์ คนเราเมื่อไม่มีเยื่อใยให้กันแล้ว สาเหตุ 108 ของการเลิกรากันก็จะตามมาเอง


เหตุการณ์ กลับมาเป็นคนโสดอีกครั้ง (โลกสดใสของคนโสด อิสรภาพ โหยหาเพื่อน กินเที่ยวอย่างบ้าคลั่ง)

เหตุการณ์ เจอคนใหม่ที่น่าประทับใจ (อีกแล้ว)  แต่ยังเข็ดขยาดกับความรักครั้งใหม่นี้ ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี



เหตุการณ์  เพื่อนใหม่คนนี้จะเป็นคนที่ใช่ มั๊ยหนอ คือคนที่จะเป็นคำตอบของหัวใจ
 

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แอนิเมชั่นไทย ได้เวลาออกไปตีตลาดโลกได้หรือยัง

อุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่นในบ้านเรานั้น เริ่มมีแนวคิดและบุกเบิกกันมาตั้งนานแล้วกว่า 30 ปี จำได้ว่าเรื่องแรกที่ถือเป็นแอนิเมชั่นแบบไทยๆ เรื่องแรกๆ ก็คือ สุดสาคร (เวอร์ชั่นปี 2522 ของปยุต เงากระจ่าง) ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มี CG หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟฟิคมาช่วย สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ เทคนิคที่เขาใช้ผลิตหรือสร้างจึงใช้การวาดรูปด้วยมือและซ้อนภาพเคลื่อนไหวเป็นเฟรมๆ ต่อเนื่องกัน และอาจอาศัยเทคนิคสต็อปโมชั่นมาใช้กับฉากการ์ตูนบางเรื่อง หรือแม้แต่การผลิตภาพยนตร์ไทยแนวซุปเปอร์ฮีโร่ในอดีตอย่าง หนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์ก็อาศัยเทคนิคสต็อปโมชั่นมาใช้ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์มาช่วย แต่แค่นั้นก็ต้องถือว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการในการสร้างของคนยุคสมัยก่อนที่ต้องบอกว่าน่าทึ่งทีเดียว  จนมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ในช่วง 10 ปีมานี้ อุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นของไทยก็เข้าสู่ยุคพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างมาก  มีการพัฒนาไปในทุกด้าน ทั้ง 5 ด้านดังนี้

1.ด้านไอเดียและความคิดสร้างสรรค์   มีการกำหนดรายละเอียดที่ลงลึก detail กันมากขึ้นในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นเค้าโครงเรื่องใช้บทประพันธ์ที่เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้ว เช่น วรรณกรรม ตำนาน นวนิยาย อัตชีวประวัติ บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์มาสร้างเป็นเค้าโครงเรื่องของตัวละคร หรือเป็นเรื่องแต่งใหม่ทั้งหมด เทคนิคงานสร้าง ว่าจะใช้เทคนิคการผลิตรูปแบบใด เขียน วาด โดยศิลปิน หรือใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิคทั้งเรื่อง หรือผสมผสานกัน ประเด็นของเนื้อหาที่ต้องการสื่อหรือให้ข้อคิด  เนื้อหาต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ชมในวงกว้างหรือวงจำกัด (โดยมากการ์ตูนไทยทุกเรื่องสร้างเพื่อครอบครัวและเยาวชน ยังไม่เห็นว่ามีเป็นเรื่องใดผลิตขึ้นเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่)  คาแร็กเตอร์ตัวละคร เป็นการดีไซน์ขึ้นมาใหม่ หรือสร้างจากเค้าโครงที่เป็นมนุษย์หรือบุคคลสำคัญต่างๆ  ที่เห็นเด่นชัดสำหรับด้านไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ในงาน รวมทั้งการตีความใหม่ของเนื้อหา ได้แก่ เรื่องยักษ์ของ คุณประภาส ค่ายเวิร์คพ้อยท์

2.ด้านเทคนิคงานสร้าง  มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เข้ามาใช้สำหรับสร้างภาพเสมือนจริง ภาพตัดต่อ ฉากงานสร้างที่อลังการ ใช้ตัวแสดงจำนวนมาก หรือจินตนาการลึกล้ำ ทั้งปรับแต่ง แสง สี เสียง ปัจจุบันก็เริ่มผลิตเป็นแบบ 3D และในเมืองนอกก็เริ่มมีการผลิตแบบ 4D กันแล้ว  ที่ผู้เขียนชื่นชมในด้านนี้ก็คือ เรื่อง พระมหาชนก และ ก้านกล้วย

3.ด้านพล็อตเรื่องและบทภาพยนตร์  ใช่ว่าการ์ตูนจะไม่มีพล็อตหรือบท เพราะถ้าเรื่องใดบทไม่แข็งแรง เนื้อหาที่ดำเนินไปก็จะไม่สนุก ชวนให้น่าติดตาม และถ้าเป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว หรือเป็นเรื่องราวที่เป็นสากล ก็จะทำให้เข้าใจง่าย ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ถ้าเป็นการผลิตเพื่อขายต่างประเทศเป็นหลัก เนื้อหาต้องเป็นสากลที่คนทุกเพศทุกวัยทุกศาสนาทุกชนชาติจะเข้าใจได้ และไม่สลับซับซ้อนมากนัก มีที่มาที่ไปของตัวละครชัดเจน ถ้าเป็นภาพยนตร์ผู้เขียนก็ชืนชอบเรื่องพระพุทธเจ้า ,รามเกียรติ์  แต่ถ้าเป็นแอนิเมชั่นที่เป็นซีรี่ย์ (ฉายเป็นตอนทางทีวี) ก็จะชอบ ปังปอนด์ เชลล์ด้อน และเบิร์ดแลนด์  เป็นต้น

4.ด้านประเด็นเนื้อหา อันนี้ก็ต่อเนื่องมาจากข้อที่ 3 คือมีบทที่ดีแล้ว จะต้องโฟกัสลงไปที่ประเด็นเนื้อหา ต้องการจะสื่ออะไร หรือให้น้ำหนักข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องใด ในเรื่องนั้นๆ  แล้วบทกับตัวละครก็ต้องนำพาไปสู่ประเด็นเนื้อหานั้น ไม่ใช่สร้างปมขึ้นมาแล้วก็ทิ้งไป และเจ้าประเด็นเนื้อหานี้แหละมีความสำคัญต่อเรื่อง ถ้าประเด็นเนื้อหาที่กำหนดมาเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจหรือคลื่คลายปมออกมาได้ไม่ดีหรือจบไม่สวย หนังเรื่องนั้นก็จะตกม้าตายตอนจบ และอาจทำให้กระแสตอบรับหรือบอกต่อไม่ดี ลุกลามไปถึงหนังไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เลยก็เป็นได้  ยกตัวอย่างเรื่อง เอ็คโค่ จิ๋วก้องโลก และเรื่อง นาค  ไม่ได้บอกว่าทั้ง 2 เรื่องนี้ไม่มีประเด็นเนื้อหาที่ดีนะ แต่การคลื่คลายปม ประเด็นเนื้อหาอาจยังไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ไม่เกิดความประทับใจ ไม่เกิดกระแสบอกต่อ จนตัวหนังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

5.ด้านคาแร็กเตอร์ตัวละคร  ถือเป็นหัวใจของหนังแอนิเมชั่น หรือเป็นจุดขายเลยก็ว่าได้ ถ้าการกำหนดคาแร็กเตอร์ไม่ชัด ไม่โดดเด่น ไม่เป็นที่น่าจดจำ ตัวอย่างของการสร้างคาแร็กเตอร์ตัวละครได้โดดเด่น น่าจดจำ ก็เช่น เรื่อง  ปังปอนด์  ก้านกล้วย และก็เรื่องยักษ์  แต่คาแร็กเตอร์ตัวละครที่ยังไม่โดดเด่นหรือสร้างการจดจำก็อาทิ เรื่อง นาค และก็ เอ็คโค่ จิ๋วก้องโลก

และเมื่อผู้เขียนลองนำเอา 5 ด้านนี้มาวิเคราะห์โดยภาพรวมโดยการให้คะแนนเต็ม 5 ในแต่ละด้าน ก็ขอจัดอันดับภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นของไทยได้เป็น 10 อันดับดังนี้ (อันนี้เป็นความคิดเห็นหรือความชอบส่วนตัวของผู้เขียนเอง)

อันดับ 10 นาค

รูปแบบ
การ์ตูนเอนิเมชั่น 3D
แนวภาพยนตร์
ครอบครัว-ผจญภัย
บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย
สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
ดำเนินงานสร้าง
บริษัทบีบอยซีจี
อำนวยการสร้าง
สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง
บอย โกสิยพงษ์, ปรัชญา ปิ่นแก้ว,
กำกับภาพยนตร์
ณัฐทพงศ์ รัตนโชคสิริกูล
กำกับเสียงเสียง
นันทนา บุญหลง
บทภาพยนตร์
เสนีย์ จิตสุวรรณวัฒนะ
ดนตรีประกอบ
บอย โกสิยพงษ์
พากย์
นาค (เอ๊ะ ศศิกานต์ อภิชาตวรศิลป์)
เขียว (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา)
ทอง (น้าติ่ง สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล)
อืด (นุ้ย เชิญยิ้ม)
ธี (น้องเก็ต อัญญาฤทธิ์ พิทักษ์ติกุล)
แก้ม (น้องเกรซ นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ)
นันทนา บุญหลง,สมชาย ศักดิกุล
เบิ้ล สินเจริญ บราเธอร์

นาค มีต้นแบบและไอเดียมาจากแม่นาคพระโขนง ตำนานผีสาวที่โด่งดังที่สุดของเมืองไทย แต่นาคในเรื่องนี้ เป็นนาคที่หน้าตาสดใส น่ารัก ตากลมโต หน้าทันสมัย หุ่นดี ไม่น่ากลัวเหมือนอย่างในหนังเวอร์ชั่นอื่น นาคในภาคการ์ตูนเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำสูง รักเพื่อนพ้อง รักเด็ก (โดยเฉพาะเด็กดี) และความยุติธรรม เกลียดที่สุดคือคนที่ชอบรังแกคนอื่น นาคพร้อมจะปกป้องคุ้มครองคนที่ถูกรังแกเสมอ ท่าไม้ตายของนาคคือการยืดมือได้ยาวไกล และมีความว่องไวมากตามที่ใจต้องการ
นาคเป็นคาแรกเตอร์โจทย์แรกเลยที่ต้องคิดออกมาให้แตกก่อน แล้วถึงจะคิดตัวอื่นๆ ตามมา ที่ยากคือเราจะลบภาพเก่าๆ ที่มีต่อนาคได้ยังไง จะทำยังไงให้นาคคนนี้เป็นที่รักของทุกคนได้ ดูยังไงไม่ให้น่ากลัว ดูแล้วต้องสดใส เราก็นึกถึงรูปลักษณ์และความสามารถก่อน นาคต้องเก่ง เป็นผู้นำที่จะพาเราไปผจญภัยในโลกวิญญานที่สนุกสนานได้ ถ้านึกถึงการ์ตูนฮีโร่สักเรื่องนึงที่มียอดมนุษย์หลายๆ สี แดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ชมพู นาคต้องเป็นสีแดง คือเก่งสุด เท่ห์สุด สวยที่สุด แต่นาคเป็นผู้หญิงเราเลยใช้สีโทนแดงแต่ไม่ถึงกับแดงเว่อร์ ถึงนาคจะเป็นผีในอดีต แต่เรื่องนี้ต้องมีความทันสมัย จะทำคาแรกเตอร์การ์ตูนให้เชยๆ คงจะไม่ได้ เพราะหนังเรื่องนี้มีความร่วมสมัยอยู่ในเรื่องด้วย

อันดับ 9 รามเกียรติ์
ชื่อหนัง : Ramayana The Epic,รามเกียรติ์
แนวหนัง : แอนิเมชั่น
เรื่องย่อ Ramayana The Epic รามเกียรติ์


รามเกียรติ์จากมหากาพย์วรรณคดีสู่มหากาพย์ภาพยนตร์ นฤมิตกรรม 3D Animation เปิดฉายในไทยเริ่ม 21 เม.ย.54
รามเกียรติ์เป็นวรรณคดีประเภทมหากาพย์แห่งชมพูทวีปที่เล่าสืบต่อกันมายาวนาน ผู้รวบรวมครั้งแรกคือฤๅษีวาลมีกิ เรื่องและตัวละครในรามเกียรติ์มีความสัมพันธ์กับอารยธรรมของเอเซียอย่างลึกล้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบถิ่น อินเดียและในดินแดนสุวรรณภูมิรวมถึงไทย

รามเกียรติ์เรื่องราวแห่งสงครามระหว่างความดีกับความชั่ว ตำนานการต่อสู้ระหว่างพระรามเจ้าชายแห่งอโยธยา (ผู้เป็นอวตารแห่งพระนารายณ์ที่มีหนุมานเป็นทหารเอก) กับทศกัณฑ์เจ้าแห่งกรุง ลงกา

มายา ดิจิตอล มีเดีย ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์และอนิเมชั่นชั้นแนวหน้าที่มีผลงานการผลิตงาน ภาพยนตร์และโฆษณารวมทั้งเกมส์คอมพิวเตอร์ระดับอินเตอร์ ได้นำรามเกียรติ์จากมหากาพย์วรรณคดีมาจัดสร้างเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ โดยใช้เวลา 2 ปีในการวางแผนงานการสร้าง โปรดั๊กชั่นดีไซน์ และใช้เวลา 3 ปีด้วยทุนสร้างมหาศาลในนฤมิตกรรม 3D อนิเมชั่นที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง

อันดับ 8 พระพุทธเจ้า

ดร.วัลลภา พิมพ์ทอง ประธานบริษัท มีเดียสแตนดาร์ด จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการสร้างการ์ตูน "พระพุทธเจ้า" กล่าวว่า แอนิเมชั่นเรื่องนี้ถือได้ว่าเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติได้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ใช้เวลาดำเนินการทั้งหมด 4 ปี ตั้งแต่กระบวนการหาข้อมูล การลงมือผลิต ด้วยทุนสร้าง 108 ล้านบาท บวกกับงบประชาสัมพันธ์ รวมเป็น 120 ล้านบาท โดยได้ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องอีกด้วย และจะเริ่มฉายหนังตัวอย่างในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นมา

ทั้งนี้การ์ตูนแอนิเมชั่น "พระพุทธเจ้า" ได้รับคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 และโครงการทำดีเพื่อพ่อ และมีกำหนดการเข้าฉายวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ตามความตั้งใจแรกเริ่มของ ดร.วัลลภา ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา


"ปัญหาหนักที่สุดสำหรับโครงการนี้ จริงๆ แล้วก็คือเรื่องเงิน และถ้าหากภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างที่ต่างประเทศคงใช้ทุนไม่ต่ำกว่า 300 ล้าน แต่ที่เราใช้ทีมงานคนไทย ก็เพราะต้องการโชว์ศาสตร์และศิลป์ฝีมือคนไทย คิดว่าคนไทยไม่แพ้ใคร" ดร.วัลลภา แจง

พร้อมกันนี้โครงการยังได้รับความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลากหลาย โดยสมาคมยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์รับหน้าที่นำภาพยนตร์แอนิเมชั่นไปฉายให้ประเทศสมาชิกได้รับชมเพื่อนำไปสู่การเผยแพร่ในระดับโลก โดยการ์ตูน "พระพุทธเจ้า" ได้รับการแปลเป็นภาษานานาชาติ 5 ภาษาเป็นอย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น และภาษาเยอรมัน

รศ.ดร.กฤษมันต์วัฒนาณรงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาครุศาสตร์เทคโนโลยีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บรรดาแอนิเมเตอร์ชื่อดังของเมืองไทยมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน ถ้าใครว่างก็เข้ามาช่วย พร้อมยังได้ทีมงานหลายสิบชีวิตร่วมคลุกคลีจนงานสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งโปรแกรมที่ใช้ทำแอนิเมชั่นก็เป็นโปรแกรมง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะยุคนี้การจะเป็นแอนิเมเตอร์นั้นอยู่ที่ความคิดเป็นหลัก ดังนั้นจึงขอยืนยันว่านี่เป็นฝีมือคนไทยทำล้วนๆ

"ทุกขั้นทุกตอนนอกจากจะได้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยเป็นผู้ตรวจสอบให้ตรงตามพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีกระทรวงวัฒนธรรมเข้ามาท้วงติงบางช่วงบางตอน เช่น ตอนลูกสาวพญามารทั้ง 3 คน คือ ราคา อรดี และ ตัณหา เข้ามาทำลายตบะพระพุทธองค์ ก็มีการติติงว่านุ่งน้อยห่มน้อยไปหรือเปล่า เราก็ต้องอธิบายให้เข้าใจไปว่าต้องเป็นเช่นนี้เพราะว่านั่นเป็นการยั่วกิเลส ซึ่งเขารับฟังแล้วก็รับได้" ผู้กำกับ กล่าว พร้อมบอกด้วยว่า ได้เทสต์ เฟ้นหาเสียงดาราและคนดังมาให้เสียงการ์ตูนเรื่องนี้อย่างเหมาะสมที่สุดอีกด้วย

อันดับ 7 ปังปอนด์

ปังปอนด์ เป็นชื่อชุดการ์ตูนไทยซึ่งเป็นผลงานของ ภักดี แสนทวีสุข (ต่าย ขายหัวเราะ) เดิมใช้ชื่อการ์ตูนชุดนี้ว่า ไอ้ตัวเล็ก เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารมหาสนุกในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2533 ต่อมาจึงได้พิมพ์รวมเล่มในชื่อ "ไอ้ตัวเล็ก" โดยทยอยออกเป็นรายเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อหัวหนังสือใหม่เป็น "ปังปอนด์" และมีคำว่า "ไอ้ตัวเล็ก" อยู่ข้างบน ตามชื่อตัวละครเอกของการ์ตูนชุดนี้ และยังคงตีพิมพ์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมา การ์ตูนเรื่องปังปอนด์ได้รับการดัดแปลงไปเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่น 2 มิติ และ 3 มิติ การ์ตูนชุดปังปอนด์ได้มีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2545 โดยบริษัท วิธิตา แอนิเมชัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบันลือกรุ๊ป (เครือเดียวกับสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น) ในชื่อ "ปังปอนด์ ดิ แอนิเมชัน ตอน ตะลุยโลกอนาคต" ออกฉายครั้งแรกเป็นตอน ๆ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 ได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างท้วมท้น จากสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในดาราการ์ตูนชั้นนำของไทย และได้มีการตัดต่อใหม่สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปี การ์ตูนชุดปังปอนด์ ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่สร้างด้วยภาพคอมพิวเตอร์กราฟิก 3 มิติตลอดทั้งเรื่อง เนื่องจากที่ผ่านมาภาพยนตร์แอนิเมชันในประเทศไทยล้วนแต่เป็นภาพแบบ 2 มิติทั้งสิ้น และยังเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยเรื่องแรก ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ Imax Theater หลังจากนั้นบริษัท วิธิตายังได้สร้างการ์ตูนแอนิเมชันชุด ปังปอนด์ ต่อเนื่องออกมาหลายชุดจนถึงปัจจุบัน โดยการ์ตูนแอนิเมชันชุดล่าสุดคือ "ปังปอนด์ ตัวจิ๋ว หัวใจฮีโร่"
อันดับ 6 เชลล์ด้อน

เชลล์ดอน (อังกฤษ: Shelldon) เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชัน 3 มิติ จากประเทศไทย ผลิตโดย บริษัท เชลล์ฮัทเอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ออกอากาศครั้งแรกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551 และได้รับการจัดฉายใน NBC ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งกว่า 100 ประเทศทั่วโลก   เมืองเชลล์แลนด์ เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ ณ ใต้ท้องทะเลอันดามัน เป็นเมืองที่พวก หอย ปู ปลา ต่างมาอาศัยกันอยู่ในเมืองแห่งนี้ เชลล์ดอน หอยพระอาทิตย์ผู้สงบเสงี่ยม ได้ย้ายตามครอบครัวจากถิ่นเดิม มาอาศัยอยู่ในเมืองเชลล์แลนด์แห่งนี้ ซึ่งเชลล์ดอน ก็ได้พบกับ คอนนี่ หอยเบี้ยที่ฉาญฉลาดและรวยล้นฟ้าซึ่งได้แยกตัวจากครอบครัวของตนเองและมาอาศัยทำงานอยู่ที่โรงแรมชาร์มมิ่งแคลม เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพตัวเอง กับ เฮอร์แมน ปูเสฉวนที่มีนิสัย ติงต๊องและมีความคิดนอกกรอบและสร้างปัญหาที่สุด เชลล์ดอน มักจะต้องพบกับประสบการณ์มากมายกับเพื่อนฝูงและการผจญภัยกับเพื่อนมาเป็นอย่างมาก อย่างไม่มีสิ้นสุด

อันดับ 5 พระมหาชนก
ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น ๓ มิติ เฉลิมพระเกียรติเรื่องแรกของประเทศไทย เรื่อง "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่" ที่สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ความเสียสละ ความมุ่งมั่นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงต้องการให้ปวงชนชาวไทยของพระองค์อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขในผืนแผ่นดินไทย  เรื่องย่อ เปิดเทอมใหม่ โมนและพ้องเพื่อนตั้งตารอคอยว่าคุณครูประจำชั้นคนใหม่จะเป็นใคร "คุณครูชัย" คือคุณครูมาดหนุ่มที่จะมาดูแลพวกเขาตลอดภาคการศึกษาในชั้นเรียนปีนี้ และแล้วก็เกิดเรื่องให้คุณครูชัยต้องหนักใจเมื่อโมนและเพื่อน ๆ อยากฟังนิทานเรื่อง ใหม่ ๆ ที่พวกเขาไม่เคยฟังมาก่อน  เรื่องราวการผจญภัยของพระราชาแห่งดินแดนขวานทองจึงเริ่มต้นขึ้น ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ที่จะช่วยเหลือไพร่ฟ้าประชาชนให้พ้นภัยจากความแห้งแล้ง อุทกภัย เหล่าปิศาจร้ายและความทุกข์ยากต่าง ๆ มาร่วมกันติดตามเรื่องราวของพระราชาองค์นี้ได้ในภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นสามมิติ เรื่อง "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อสร้างสรรค์เฉลิมพระเกียรติเทิดไท้องค์ราชันจอมทัพไท­ย ๘๔ พระชนมพรรษา ที่ท่านสามารถรับชมได้ทั้งระบบสองมิติ และระบบสามมิติ

อันดับ 4 เอ็คโค่ จิ๋วก้องโลก

เอคโค่ จิ๋วก้องโลก (อังกฤษ: Echo Planet) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสามมิติ สร้างโดย กันตนา ผลงานกำกับโดย คมภิญญ์ เข็มกำเนิด จากบทภาพยนตร์ของ วรัญญู อุดมกาญจนานนท์ และ คงเดช จาตุรันต์รัศมี เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเด็ก 3 คนจาก 2 มุมโลก คือ มหานครนิวซีตี้ แคปิตัลสเตท และจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงทางภาคเหนือของประเทศไทย ที่ช่วยกันกอบกู้โลกจากหายนภัยเนื่องจากภาวะโลกร้อน  ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชันเรื่องแรกของประเทศไทย ที่สร้างในระบบสามมิติ สเตอริโอสโคปิก (Stereoscopic 3D)  เรื่องราวการผจญภัยบนมิตรภาพของเด็กจากสองฟากโลก ระหว่างพี่น้องชาวกะเหรี่ยง หน่อวา เด็กสาวผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร และศิลปะการต่อสู้ จ่อเป เด็กชายที่สามารถสื่อสารกับธรรมชาติได้ด้วยการโขกหัว กับ แซม เด็กที่คลั่งใคล้ในอุปกรณ์ไฮเทค บุตรชายคนเดียวของประธานาธิบดีแห่งแคปิตัลสเตท แซมเดินทางมาเข้าร่วมค่ายลูกเสือโลกที่ประเทศไทย แต่ด้วยความหยิ่งและหลงตัวเองทำให้เขาหลงทางไปในป่าหมอกและตกอยู่ในอันตราย โชคดีที่กะเหรี่ยงสองพี่น้องมาพบเข้าแล้วช่วยเหลือไว้ ทั้งสามคนก็เริ่มสนิทและกลายเป็นเพื่อนกัน ในขณะนั้นเองมีสัญญาณเตือนภัยจากท้องฟ้า แม่หมอ ผู้ทำหน้าที่พยากรณ์ประจำหมู่บ้าน เสี่ยงทายและบอกกับทุกคนให้รู้ว่า มหันตภัยร้ายกำลังจะมาถ้าไม่มีใครยับยั้งมันได้โลกจะต้องถึงกาลวิบัติ เมื่อจ่อเป และ หน่อวา เดินทางมาส่งแซม ออกจากป่าลึก สัญญาณเตือนภัยกลับดังขึ้นอีก จ่อเป และ หน่อวา รบเร้า แซม ให้พาไปที่ แคปิตัลสเตท ด้วย และที่นั่นเด็กๆทั้งสามร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อหยุดยั้งวิกฤติร้ายของโลกครั้งนี้ให้ได้โดยแก่นแท้ของเรื่องราว จะมุ่งเน้นด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน

 อันดับ 3 เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์
เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ (อังกฤษ: Bird : Flying With Byrd) เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชัน 3 มิติ จากประเทศไทย ผลิตโดย บริษัท เชลล์ฮัทเอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ซึ่งได้ประสบความสำเร็จจากการ์ตูนเชลล์ดอน ที่ได้ทำการออกอากาศไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 19.30 - 19.45 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์ เป็นแอนิเมชันแฝงความรู้แก่ผู้ชมทุกวัย ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งในและต่างประเทศ และมีความเป็นไปได้ ถึงการจัดทำของที่ระลึกที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการติดต่อด้านลิขสิทธิ์เพื่อเผยแพร่ไปต่างประเทศในโอกาสต่อมา

ในขณะที่เด็กๆจากทวีปต่างๆ นั้น กำลังเรียนดนตรีอยู่ในห้องดนตรีที่น่าเบื่อ พวกเขาได้มองเห็นเบิร์ดแลนด์ และพี่เบิร์ดผู้ที่เป็นเสมือนไอดอล ของพวกเขาผ่านทาง Blooberry พวกเขาจึงเกิดจินตนาการและนำพวกเขาไปสู่เบิร์ดแลนด์ และการผจญภัยของพวกเขากับพี่เบิร์ดก็ได้เริ่มขึ้น แต่ละตอนพี่เบิร์ดและพวกเขาจะเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อจะเก็บรวบรวมตัวโน้ตดนตรีที่หายไปมาให้ครบ เพื่อทำให้โลกเกิดสันติภาพขึ้น ซึ่งการผจญภัยของพวกเขานั้นต้องผ่านอุปสรรคต่างๆนานา โดยเฉพาะเจ้าพวกเบลตันซาวด์โน้ตที่จะแย่งชิงเอาตัวโน้ตมาให้ได้ เพราะเขาเกลียดในเสียงดนตรีหรือโน้ตดนตรีที่ถูกต้อง

อันดับ 2 ก้านกล้วย ภาค 1,2

ก้านกล้วย (พ.ศ. 2549) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสามมิติ สร้างโดย กันตนาแอนิเมชัน เป็นเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจจากบางส่วนของพงศาวดาร ว่าลักษณะคชลักษณ์ของช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น จะมีหลังโค้งลาด คล้ายก้านกล้วย ชื่อตามพงศาวดารนั้นคือ เจ้าพระยาปราบหงสาวดีหรือเดิมชื่อ เจ้าพระยาไชยานุภาพ หรือ พลายภูเขาทอง โดยในเรื่องใช้ชื่อว่า ก้านกล้วย เป็นตัวเอก ก้านกล้วยเป็นแอนิเมชันที่ได้ คมภิญญ์ เข็มกำเนิด คนไทยที่ได้ไปศึกษาทางฟิล์มและวิดีโอที่เน้นด้านการทำแอนิเมชันที่สหรัฐอเมริกา และได้เคยร่วมงานสร้างตัวละครและทำภาพเคลื่อนไหวที่เคยร่วมงานกับบริษัทวอลท์ดิสนีย์ และ บลูสกายสตูดิโออย่าง ทาร์ซาน (Tarzan) , ไอซ์เอจ (Ice Age) และ แอตแลนติส (Atlantis: The Lost Empire) มาเป็นผู้กำกับ พร้อมกลุ่มนักแอนิเมชันทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 100 คน

ก้านกล้วยเป็นแอนิเมชันที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นฉากที่เป็นภูมิทัศน์แบบไทย ต้นไม้ ไม้ดอก สภาพป่า และประเพณีไทย เช่น การคล้องช้าง การนำฉากหมู่บ้านทรงไทย แสดงพืชพรรณไม้ไทย เช่น ต้นราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติ ในฤดูกาลต่างๆ รวมทั้งการออกดอกเหลืองอร่ามในหน้าแล้ง แสดงฉากประเพณีลอยกระทง เป็นต้น

ก้านกล้วย เป็นแอนิเมชันที่สร้างด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์อีกเรื่องหนึ่งของไทย ซึ่งก่อนหน้านี้มีภาพยนตร์แอนิเมชันที่ใช้เทคนิคดังกล่าว คือ ปังปอนด์ และ แอนิเมชันซึ่งถือเป็นเรื่องแรกของไทยคือ สุดสาคร ซึ่งเป็นแอนิเมชันสองมิติ

ก้านกล้วย ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็น ภาพยนตร์การ์ตูนทางโทรทัศน์ ทางช่อง 7 โดยใช้ชื่อว่า "ก้านกล้วย ผจญภัย" จัดฉายทุกวันอาทิตย์ เวลา 17.00-17.30 น. โดยมีเนื้อหารายละเอียดมากขึ้น และใช้ตัวละครที่มีอยู่เดิม

ในป่าใหญ่ สัตว์ทั้งหลายต่างเข้ามาดูแสงดา (นันทนา บุญหลง) ที่ให้กำเนิดลูกช้างน้อยที่ชื่อว่าก้านกล้วย (อัญญาฤทธิ์ พิทักษ์ติกุล) ซึ่งย่าของเขา พังนวล (จุรี โอศิริ) ได้ให้คำทำนายไว้ว่า เขาจะเติบใหญ่และกล้าหาญ แต่แม่ของเขาไม่เห็นด้วย เพราะเธอเกลียดมนุษย์ ที่จับพ่อของก้านกล้วย ที่ชื่อ ภูผา ไปเป็นทหาร

วันหนึ่งขณะขณะที่ก้านกล้วยกำลังเล่นกับฝูงกบ มะโรง (ฤทธิเดช ฤทธิชุ) และพวกของเขาเห็นกบ จึงเอากบมาเล่นเป็นลูกบอล ก้านกล้วยเห็นจึงห้ามไว้ แต่มะโรงกลับพูดจาส่อเสียดว่าขี้ขลาดเหมือนพ่อ ก้านกล้วยได้ยินก็โกรธมาก จึงชนช้างเข้าใส่มะโรง พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของจิ๊ดริด (พงษ์สุข หิรัญพฤกษ์) นกพิราบสื่อสารแห่งอาณาจักรอยุธยา

ตกเย็น แสงดาถามก้านกล้วยว่าไปเล่นซนมาหรือเปล่า ก้านกล้วยพยายามปกปิดความลับ แต่จิ๊ดริดก็พูดโพร่งความลับออกไปหมด ในตอนนั้น พลทหารแห่งหงสาวดียกทัพผ่านมา กะว่าคืนนี้จะตั้งแรม ทำให้โขวงช้างต้องอพยพสู่จุดหมายต่อไป ในคืนนั้น ก้านกล้วยและแสงดาต่างพูดคุยเรื่องพ่อของตน แม่พยายามไม่ให้ลูกไปตามหาพ่อ แต่ก้านกล้วยก็หนีได้

ก้านกล้วยไปถึงค่ายพม่า ได้เจอกับงวงแดง (เอกชัย พงศ์สมัย) ผู้ที่ทำให้พ่อของเขาถึงแก่ชีวิต ก็ถามว่าพ่อของเขาอยู่ไหน งวงแดงก็ส่งเสียงดัง ทำให้ยามทหารรู้ตัว พากันมาจับช้างก้านกล้วย และได้หนีเข้าไปในค่ายของเชลยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (บุญชลิด โชคดีภูษิต) ซึ่งถูกนำตัวไปยังกรุงหงสาวดี และก็ช่วยให้ก้านกล้วยหลบหนีไปได้

เช้าวันรุ่งขึ้น ก้านกล้วยได้พบกับชบาแก้ว (นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ) ช้างสีชมพูสดใสน่ารัก ก้านกล้วยพาชบาแก้วไปหาแม่ของเขา แต่ก็ไม่เจอ ชบาแก้วจึงพาก้านกล้วยไปที่หมู่บ้านหินขาว (เพิ่งมีการถูกกล่าวชื่อขึ้นในก้านกล้วย 2) ก้านก้วยอาศัยอยู่ที่นั้นจนร่างกายเติบโตมากขึ้น มีงางอก กำลังมากขึ้น (ตอนโต ภูริ หิรัญพฤกษ์)

คืนหนึ่ง ก้านกล้วยกับชบาแก้ว (ตอนโต วรัทยา นิลคูหา) กำลังลอยกระทงอย่างสนุกสนาน พร้อมๆ กับการแต่งงานไปในตัวอย่างลับๆ เช้ารุ่งขึ้น พวกทหารหงสาวดีจะมารีดไถ่เสีบยง แต่ก็ถูกเหล่าช้างผู้คนขับไล่ออกไป พระมหาอุปราชาทราบเหตุ จึงตัดสินพระทัยยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ก้านกล้วยจึงต้องแยกทางกับชบาแก้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นช้างศึก

 อันดับ 1 ยักษ์ 
ยักษ์ (อังกฤษ: YAK : The Giant King) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสัญชาติไทย กำกับโดยประภาส ชลศรานนท์ เนื้อเรื่องดัดแปลงจากรามเกียรติ์ วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคเอเชีย ใช้เวลาสร้าง 6 ปี และใช้ทุนสร้างกว่า 100 ล้านบาท ออกฉายในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555    ยักษ์ เป็นเรื่องราวอวตารของทศกัณฐ์ออกมาในรูปแบบหุ่นยนต์ หลังจากสงครามระหว่างหุ่นฝ่ายยักษ์และหุ่นฝ่ายรามสิ้นสุดลงด้วยการล้างเผ่าพันธุ์ ทำให้น้าเขียว (ซึ่งเป็นทศกัณฐ์ในอดีต) กับเจ้าเผือก (ซึ่งเป็นหนุมานในอดีต) ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตต้องหลับใหลอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเขาทั้งสองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา แต่ก็พบกับสภาวะความจำเสื่อม นอกจากนี้ยังมีโซ่ที่ไม่ว่าจะหาทางตัดอย่างไรก็ตัดไม่ขาดล่ามทั้งคู่เข้าด้วยกัน ด้วยความที่เข้ากันไม่ได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องหาทางตัดโซ่นี้ และร่วมผจญภัยด้วยกัน จนกระทั่งทั้งคู่เกิดเป็นเพื่อนกันจริงๆ แต่แล้วความจำของทั้งคู่ก็กลับมาทำให้ทั้งคู่จำกันได้ว่าเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน เขาทั้งสองจึงต้องตัดสินใจเลือกระหว่างมิตรภาพและหน้าที่  ทั้งนี้ภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทย ใน ปัจจุบัน ปีหนึ่งๆ มีมูลค่าตลาดสูงมากกว่า 10,000 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ผู้ ประกอบการไทยจะเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตเท่านั้น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ หรือสตูดิโอแอนิเมชั่นของไทย สามารถผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่นเต็มรูปแบบ ได้ จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้วงการแอนิเมชั่นเมืองไทยสามารถพัฒนาจนแข่งขันกับต่างชาติได้ เพราะ นั่นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนมากมายมหาศาล ที่จะไหลเข้าประเทศไทยในอนาคต ซึ่ง สิ่งที่ยืนยันถึงฝีมือคนไทยด้านแอนิเมชั่นได้เป็นอย่างดี และคนไทยหลายๆ คน ยังไม่รู้ก็คือ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นรวมถึงภาพยนตร์ของฮอลลีวูดที่ต้องอาศัย งานคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ก็มีฝีมือคนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตอยู่ หลายๆ เรื่อง ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการประกาศผลรางวัล Academe Award หรือ รางวัลออสการ์ ครั้งที่ 82 ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Rango คว้ารางวัลยอดเยี่ยมในสาขาแอนิเมชั่นไปครอง เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ น้อยคนจะทราบว่า บริษัทจากประเทศไทยมีเครดิตอยู่ตอนท้ายเรื่องด้วย ในนาม The Monk Studios, Thailand  และเมื่อไม่นานมานี้ ได้เกิดการรวมตัวกันของคนแวดวงอุตสาหกรรมคนผลิตหนังแอนิเมชั่นขึ้น ซึ่งเป็นครั้งสำคัญ เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นไทยยกระดับสู่สากล ทาง สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า จึง ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) จัด ทำโครงการจัดทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นแห่ง ชาติ (National Animation Pilot Project : NAPP) โดยนำสัญลักษณ์ของ ไหม หรือ SILK มาใช้เป็นแนวคิดของโครงการ เพื่อสื่อถึงการร่วมถักทอ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของ 4 สตูดิโอชั้นนำของเมือง ไทย ได้แก่ บริษัท กันตนา แอนนิเมชั่น สตูดิโอ จำกัด บริษัท อิเมจิ แมกซ์ จำกัด บริษัท อัญญา อนิเมชั่น จำกัด และบริษัท อิเมจิน ดี ไซน์ จำกัด ในการผลิตงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นถ่ายทอดออกมาเป็นความรัก 4 แบบ

ดร.จีรศักดิ์ พงษ์พิษณุพิจิตร์ ประธานกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริม อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า กล่าวว่า อุตสาหกรรม ดิจิทัลคอนเทนท์เป็นสาขาหนึ่งในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศ ทางซิป้ามี หน้าที่ในการส่งเสริมทั้งทางด้านการบริหารจัดการ ด้านการผลิต และด้านการ ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโครงการจัดทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นแห่งชาติจะมี ส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่ออุตสาหกรรมแอนิเมชั่นไทย และแสดงถึง ศักยภาพผู้พัฒนางานแอนิเมชั่นของไทย

ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นในโครงการนี้เป็นการนำผู้ที่มีฝีมือในบริษัท ต่างๆ มาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลงานที่ดีที่สุดในประเทศ เพื่อเป็นการ สร้างภาพลักษณ์และมาตรฐานให้อุตสาหกรรมแอนิเมชั่นไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การยอมรับคุณภาพผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยในตลาดโลก นอกจากนี้ยังจัดให้มี กิจกรรมสัมมนา และฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่ สาธารณะ จึงหวังว่าโครงการนี้จะช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการด้านดิจิ ทัลคอนเทนท์ของไทย มีศักยภาพในการแข่งขันและประสบความสำเร็จในตลาดต่าง ประเทศต่อไป

ด้านนายลักษณ์ เตชะวันชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์ กราฟฟิกส์ไทย กล่าวว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการของไทยส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่อง เงินทุนและความถนัดเฉพาะทาง เนื่องจากการผลิตผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นหนึ่ง เรื่อง ต้องใช้เวลานานและงบประมาณก็สูง อย่างเช่น ภาพยนตร์แอนิเมชั่นระดับ โลกเรื่องหนึ่งจะต้องใช้เวลาในการสร้างประมาณ 3-5 ปี และใช้งบประมาณ ตั้งแต่ 800-3,000 ล้านบาท ทางสมาคมฯ จึงได้ร่วมกับซิป้าเพื่อทำโครงการนี้ ขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่ ขั้นตอนการเตรียมงาน ไปจนถึงการทำผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ จะช่วยให้สามารถร่น ระยะเวลาได้มากกว่า 1-2 เท่า และประหยัดงบประมาณในการผลิตผลงานไปได้มาก

โครงการนี้ใช้คนทำงานจาก 4 บริษัท ประมาณ 200 คน ผลิตงานภาพยนตร์แอนิเม ชั่น 4 เรื่อง ความยาวเรื่องละประมาณ 20-25 นาที คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้ง หมดประมาณ 100 ล้านบาท เบื้องต้นได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 20 ล้านบาท โดยทางซิ ป้าสนับสนุน 10 ล้านบาท อีกครึ่งเป็นงบประมาณของ 4 บริษัท ผลิตภาพยนตร์แอนิ เมชั่นตัวอย่าง 4 เรื่อง ความยาวรวมประมาณ 10 นาที เพื่อที่จะนำไปเผยแพร่ใน งานเอ็มไอพี ทีวี ที่เมืองคานส์ช่วงวันที่ 12-16 เม.ย. นี้ เป็นงานเกี่ยว กับการซื้อขายรายการทีวี ซีรีส์ และงานแอนิเมชั่น ระดับโลก เพื่อหานักลงทุน ที่สนใจร่วมลงทุนในการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นแห่งชาติสมบูรณ์ ความยาว ประมาณ 90 นาที ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการผลิตประมาณ 1 ปีครึ่ง เมื่อระดมทุน ได้ครบ 80 ล้านบาทแล้ว

สำหรับผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นแห่งชาติ หรือ SILK แบ่งเป็น 4 เรื่อง สั้น สร้างโดย 4 สตูดิโอชั้นนำ ควบคุมการผลิตโดย นนทรีย์ นิมิบุตร ซึ่ง เรื่องที่ 1 ชื่อ ต้วมเตี้ยม” (My Brother Turtle) โดย บริษัท กันตนา แอ นนิเมชั่น สตูดิโอ จำกัด เรื่อง ที่ 2 ชื่อ อู๊ดแมน” (Aood Man) ผลงาน ของ บริษัท อิเมจิแมกซ์ จำกัด เรื่องที่ 3 ชื่อ นางใน บาดาล” (The Lady of Badal) ผลงานของ บริษัท อัญญา อนิเมชั่น จำกัด และ เรื่องที่ 4 ชื่อ ลูกแก้ว” (The Crystal Orb) ผลงานของ บริษัท อิเมจิน ดี ไซน์ จำกัด

นายลักษณ์ เตชะวันชัย กล่าวต่อว่า หากโครงการนี้สำเร็จไปด้วยดีทางสมาคมฯ มี เป้าหมายที่จะพยายามดำเนินโครงการลักษณะนี้ต่อเนื่อง เพื่อให้สมาชิกของ สมาคมฯ ที่มีอยู่ประมาณ 50 บริษัท ได้รวมกลุ่มเพื่อให้สามารถผลิตผลงานได้ อย่างเต็มรูปแบบ หรือรับงานจากต่างประเทศให้ได้มากขึ้น เพราะฝีมือและความ คิดสร้างสรรค์ของคนไทยไม่แพ้ต่างชาติ ขาดแต่เพียงเงินลงทุนและการหาตลาดเท่า นั้น ซึ่งทางซิป้าและสมาคมฯ จะช่วยสนับสนุนด้านการหาแหล่งเงินทุน อาจเป็นไป ในลักษณะการตั้งกองทุนขึ้นมา รวมถึงหาผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดมาให้คำปรึกษา ในการพัฒนาแอนิเมชั่นเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศอีกด้วย

ผู้เขียนคิดว่าการ์ตูนแอนิเมชั่นของไทยได้พัฒนาไปได้ในระดับสากลแล้ว ทั้งในด้านไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ เทคนิคการสร้าง พล็อตหรือบทภาพยนตร์ แต่ที่ยังขาดอยู่หรือต้องเสริมให้มากก็คือประเด็นเนื้อหาให้มีความแหลมคมมากกว่านี้ และก็การสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวละคร ให้มีความหลากหลาย รวมถึงบทภาพยนตร์ ที่ต้องไปเสริมในส่วนประเด็นเนื้อหาและคาแร็กเตอร์ตัวละคร ให้มีความหลากหลายให้มากขึ้น ในขณะที่่การพัฒนาด้านเทคนิคการสร้างและไอเดียก็ต้องไม่หยุดอยู่กับที่ ก็จะสามารถก้าวไปสู่ระดับโลกหรือตลาดต่างประเทศได้อย่างมีศักยภาพและประสบความสำเร็จในอนาคตอันใกล้นี้