วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โลกมายาฮอลลีวู้ด ตอนที่ 2 หก เหมือนในความต่าง


โลกมายาฮอลลีวู้ด  ตอนที่ 2   หก เหมือนในความต่าง






นักแสดงหญิง 6 คนนี้ของฮอลลีวู้ด คงไม่มีใครไม่รู้จักพวกเธอ คือ

-Jennifer Connelly  เกิด 12 Dec. 1970  อายุ 44 ปี สัญชาติอเมริกัน  เข้าวงการปี 1982
-Jennifer Lopez  เกิด 24 Jul. 1969  อายุ 49 ปี สัญชาติอเมริกัน  เข้าวงการปี 1986
-Jennifer Love Hewitt  เกิด 21 Feb.1979  อายุ 39 ปี สัญชาติอเมริกัน เข้าวงการปี 1989
-Jennifer Aniston  เกิด 11 Feb.1969  อายุ 49 ปี  สัญชาติอเมริกัน  เข้าวงการปี  1990
-Jennifer Garner  เกิด 17 Apr.1972  อายุ 46 ปี สัญชาติอเมริกัน  เข้าวงการปี 1995
-Jennifer Lawrence  เกิด 15 Aug.1990  อายุ 28 ปี สัญชาติอเมริกัน  เข้าวงการปี 2006






สิ่งที่นักแสดงทั้ง 6 มีเหมือนกันก็คือ

-ชื่อหน้าเหมือนกันคือ Jennifer
-เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทของฮอลลีวู้ด ในระดับตัวแม่แทบทั้งสิ้น  
-เป็นผู้หญิงรูปลักษณ์สวย หน้าตาดี รูปร่างดี มีเสน่ห์ เซ็กซี่  เรียกว่าทั้ง 5 คนเป็นเซ็กส์ซิมโบลในหมู่ชายหนุ่ม และเคยถ่ายแบบ หรือมีงานแสดงประเภท ขายเนื้อหนังมังสา หรือติดเรท ถอดเสื้อกันทุกคน หรือเป็นขวัญใจของบรรดาหนุ่มๆ (หื่น) ตาเฒ่า (หัวงู) และเป็นคุณแม่ของบรรดาเก้งกวางบ่างชะนี






-ในจำนวนนี้ เกือบทุกคนผ่านการมีครอบครัวแล้ว ได้แก่  Jennifer Connelly (3), Jennifer Lopez (2), Jennifer Love Hewitt (2) , Jennifer Aniston (0) , Jennifer Garner (3)  ในกรณีของ Jennifer Aniston เธอผ่านการแต่งงานมาแล้ว 2 หน กับ Brad Pitt กับ Justin Theroux ที่เพิ่งเลิกรากัน และ Anistion ไม่ได้มีบุตรกับทั้ง 2 อดีตสามี ส่วน Jennifer Lawrence เป็นคนเดียวที่ยังครองสถานะโสด  หมายเหตุ จำนวนตัวเลขในวงเล็บก็คือจำนวนบุตร  






-ทั้ง 6 คน ผ่านงานแสดงมาแทบจะทุกแนว เป็นนักแสดงมีฝีมือทั้ง 6 คน และใครที่เคยได้รับรางวัลทางการแสดงมาแล้วบ้าง ดังนี้

-Jennifer Love Hewitt  เคยได้รับรางวัลดังนี้ Young Artist Awards จากเรื่อง Kids Incorporated, Blockbuster Entertainment Awards จาก I know what you did last summer,Teen Choice Awards จาก I still know what you did last summer,People’s Choice Awards จาก Time of Your Life,Saturn Awards 2007-2008 จากซีรีส์เรื่อง Ghost Whisperer



-Jennifer Aniston เคยได้รางวัลทางการแสดงจากเวที Golden Globe Award นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากซีรีส์เรื่อง Friends ปี 2003, รางวัลเดียวกันนี้จากเวที Primetime Emmy Awards, และรางวัลเดียวกันนี้จาก Teen Choice Awards, รางวัลทางการแสดงจาก The Good Girl, The Break-Up



-Jennifer Garner เคยได้รับรางวัลทางการแสดงดังนี้  MTV Movie Awards จาก Daredevil, เฉพาะซีรีส์เรื่อง Alias ได้รางวัลจากหลายเวที อาทิ People’s Choice Awards, Screen Actors Guild Awards,Teen Choice Awards, Saturn Awards,Golden Globe Awards  เป็นต้น

-Jennifer Lawrence  เคยได้รับรางวัลทางการแสดงดังนี้ เวที Academy Award จาก Sliver Lining Playbook ,Britsih Academy Film Awards จาก American Hustle, Critic’s Movie Choice Awards จาก Silver Lining Playbook, The Hunger Games, American Hustle  ,เวที Golden Globe Awards จาก Silver Lining Playbook, American Hustle และ Joy ,เฉพาะภ.ชุด The Hunger Games ทั้ง 3 ภาค ได้รางวัลจากเวที MTV Movie Awards, Teen Choice Awards และ People’s Choice Awards  และเวที Critic’s Association จาก ภ.เรื่อง Winter’s Bone เป็นต้น







  นอกจากนี้ สิ่งที่แตกต่างกันของนักแสดงหญิงทั้ง 6 คน ก็คือ แนวทางของการแสดง หรือแนวหนัง,ซีรีส์ ที่เธอรับงานแสดง

-Jennifer Love Hewitt แจ้งเกิดจากแนวทริลเลอร์ I know what you did last summer ภาค 1,2 และหนังแนววัยรุ่น และโด่งดังสุดขีดในซีรีส์เรื่อง The Client List และ Ghost Whisperor  แต่ภายหลังเธอไปเอาดีกับงานกำกับ หรืออยู่เบื้องหลังมากกว่า



-Jennifer Connelly เข้าวงการตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ถือว่าเธออยู่ในวงการนานกว่าใครเพื่อน และเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอีกคนหนึ่งของวงการ แม้รางวัลทางด้านการแสดงจะมีไม่มากเท่าคนอื่น แต่เธอเคยได้รับรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์จาก ภ.เรื่อง A Beautiful Mind แต่เรื่องที่ทำให้คนรู้จักเธอมากที่สุดกับเป็นเรื่อง Hulk กับ Requim for a Dream



-Jennifer Lopez เธอโดดเด่นด้านการเป็นศิลปินนักร้องมากกว่า แม้ว่าจะเคยผ่านงานด้านการแสดงมาบ้าง และในบรรดาผลงานทางด้านการแสดง เรื่องที่ทำให้คนจดจำเธอได้ ได้แก่ Anaconda, Out of Sight, Maid in Manhattan, The Cell และ Shall We Dance? แม้ไม่มีเรื่องใดที่เธอประสบความสำเร็จด้านการแสดงโดดเด่นเหมือนคนอื่น แต่เธอได้รับบทบาทที่หลากหลายแนว และทำได้ค่อนข้างดี อีกทั้งเธอมีพลังอะไรบางอย่างที่ฉายแวว หากจะเอาดีด้านการแสดงอย่างจริงจังมากกว่านี้ เชื่อว่าเธอสามารถเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทในระดับหัวแถวของฮอลลีวู้ดได้ไม่ยาก


ใน 6 คนนี้ คนที่ประสบความสำเร็จด้านการแสดงและรายได้ด้วย ก็น่าจะเป็น Jennifer Lawrence  เพราะเธอเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าของฮอลลีวู้ดในปัจจุบัน ได้รางวัลทั้งในสายนักแสดงเจ้าบทบาทชิงรางวัลทั้งสายดราม่า และคอเมดี้ (Winter’s Bone ,Silver Lining Playbook, American Hustle) และยังเป็นนักแสดงในสายทำเงิน Box Ofiice ในตัว (The Hunger Games Trilogy,The X-Men Universe)  และจัดเป็นนักแสดงดาวรุ่ง วัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จทั้งเงินและกล่องมากที่สุดคนหนึ่ง หรืออันดับต้นของฮอลลีวู้ดอยู่ในเวลานี้ หลังจากนี้เราคงได้เห็นความท้าทายใหม่ๆ ของเธอกับบทบาทการแสดงที่ยากมากยิ่งขึ้น หรือบทหินยิ่งขึ้นไปอีก ในฐานะนักแสดงชั้นนำฝ่ายหญิงของฮอลลีวู้ด นอกเหนือจากบทบาทในแนวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ หรือมาทางสายดราม่าเข้มข้น เพื่อก้าวตามรอยเท้าของนักแสดงหญิงชั้นนำของฮอลลีวู้ดรุ่นป้าๆ อาๆ อาทิ Meryl Streep,Cate Blanchett, Julianne Moore,Natalie Portman,Kate Winslet,Judi Dench, Nicole Kidman,Emma Thompson, Amy Adam ,Jodie Foster, Chalize Theron,Susan Sarandom etc.  



-Jennifer Garner อดีตภรรยาของ Ben Affeck (ก่อนจะเลิกรากันไปแล้ว) เธอคือราชินีของหนังอินดี้ หรือมักรับงานภาพยนตร์ฟอร์มเล็กเป็นส่วนใหญ่ จึงแทบไม่มีใครจำเธอได้จากบทบาทการแสดงภาพยนตร์ เรื่องที่คนพอจะจำหน้าเธอได้บ้างก็ อาทิ Daredevil (เรื่องนี้ที่ทำให้เธอพบรักกับ Ben Affeck) ,Elektra,The Kingdom, Juno เป็นต้น และบทบาททางการแสดงกลับไปโดดเด่นในซีรีส์ อาทิ Spin City, Felicity, Alias เป็นต้น



แต่ส่วนตัวผู้เขียนชอบ Jennifer Love Hewitt ที่สุด เป็นนักแสดงที่ขายฝีมือ และขายหน้าตาได้ด้วยไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าระยะหลัง เธอจะไปเอาดีทางด้านทีวีซีรีส์ซะเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าได้รับงานอย่างต่อเนื่อง และได้รับบทที่ดี รอวันกลับมาแจ้งเกิดกับหนังฟอร์มใหญ่อีกหน หรือไม่เธอก็คงไปเอาดีทางด้านเป็นผู้กำกับแทน ซึ่งถึงเวลานั้น ผู้เขียนก็จะติดตามผลงานของเธอต่อไป

ส่วนรายของ Jennifer Lawrence ผู้เขียนยังคิดว่าเร็วไป ที่จะบอกว่าเธอคือนักแสดงเจ้าบทบาทในระดับแถวหน้าของฮอลลีวู้ด แม้เธอจะมีรางวัลการันตีทางด้านผลงานจำนวนมากมาย แต่ขอรอดูบทบาทที่ยากขึ้นและใช้ฝีมือมากกว่านี้ ซึ่งต้องอาศัยช่วงเวลา และการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากกว่านี้ เธอน่าจะไปถึงจุดๆ นั้นได้ ส่วนผลงานด้านการแสดงแนวซุปเปอร์ฮีโร่ หรือหนังแนวแฟรนส์ไชส์ที่เธอแสดง ผู้เขียนกลับไม่รู้สึกว่าเธอเล่นแล้วทำให้เราอินหรือเชื่อได้สักเรื่องนึง ผู้เขียนชอบเธอจากบททางด้านดราม่ามากกว่า อาทิ Winter’s Bone, American Hustle 

ที่เหลือคือ Lopez ชอบผลงานการเป็นศิลปินนักร้องของเธอ แต่ก็รอว่าเธอจะชิมลางการแสดงอย่างจริงจัง จะรอดูผลงานหากมีวันนั้นจริง, Aniston มีเสน่ห์ในการเล่น Comedy ซะเป็นส่วนใหญ่ อยากเห็นด้านดราม่าหนักๆ บ้าง หากมีใครยื่นบทดีๆ ให้เธอแสดง, ส่วน Garner กับ Connelly สวยทั้งคู่ แต่ผู้เขียนว่าเธอจะมีเสน่ห์เมื่อเล่นบทผู้หญิงสวย ที่มีไหวพริบ เฉลียวฉลาด เพราะพลังทางด้านการแสดงของทั้งคู่ยังน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ในลิสต์ที่กล่าวมา  

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โลกมายาฮอลลีวู้ด ตอนที่ 1 สี่ เหมือนในความต่าง







นักแสดงชาย 4 คนนี้ของฮอลลีวู้ด คงไม่มีใครไม่รู้จักพวกเขา คือ

-Ryan Phillippe  เกิด 10 Sep.1974  อายุ 44 ปี  สัญชาติอเมริกา  เข้าวงการปี 1992
-Ryan Reynolds  เกิด 23 Oct.1976  อายุ 42 ปี สัญชาติแคนาดา เข้าวงการปี 1991
-Ryan Kwanten เกิด 28 Nov.1976  อายุ 42 ปี  สัญชาติออสเตรเลีย เข้าวงการปี 1991
-Ryan Gosling  เกิด 12 Nov.1980  อายุ 38 ปี สัญชาติแคนาดา เข้าวงการปี 1993

สิ่งที่นักแสดงทั้ง 4 มีเหมือนกันก็คือ

-ชื่อหน้าเหมือนกันคือ Ryan
-เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทของฮอลลีวู้ด เข้าวงการมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
-เป็นหนุ่มหล่อ หน้าตาดี รูปร่างดี มีเสน่ห์ เซ็กซี่  เรียกว่าทั้ง 4 คนเป็นเซ็กส์ซิมโบลในหมู่สาวๆ  และเคยถ่ายแบบ หรือมีงานแสดงประเภท ขายเนื้อหนังมังสา หรือแก้ผ้า ถอดเสื้อทุกคน หรือเป็นขวัญใจของบรรดาเพศตรงข้าม และเพศที่ 3





-ทั้ง 4 คน มี 3 คนที่มีครอบครัวแล้ว (คือ Phillippe (3),Reynolds (2) และ Gosling (2) ) ส่วน Kwanten ไม่ยอมเปิดเผยสถานะด้านครอบครัว แต่คนในวงการ คาดการณ์กันว่า เขามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รักๆ เลิกๆ แบบไม่จริงจัง และยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน จึงยังครองสถานะความเป็นโสดอยู่ ตัวเลขในวงเล็บคือจำนวนบุตรของนักแสดง






-ทั้ง 4 คน ยังผ่านงานแสดงมาแทบจะทุกแนว เป็นนักแสดงมีฝีมือทั้ง 4 คน และเคยได้รับรางวัลทางการแสดงมาแล้วทุกคน ดังนี้


-Ryan Phillippe  ได้รางวัลทางการแสดงจาก เวที Critic Choice ,Florida Film, Online Films,Sattlelite Award, Screen Actor Guild Awards ปี 2002 จากเรื่อง Gosford Park, และปี 2006 จากเวที Black Reel และ Screen Actors Guild Awards จากเรื่อง Crash






-Ryan Reynold  ได้รับรางวัล Teen Choice Award 2005 จากเรื่อง The Amityville Horror, 2016 จากเรื่อง Dead pool,  People’s Choice Award 2012 จากเรื่อง Green Lantern, Critic’s Choice Movie Awards  จากเรื่อง Dead pool








-Ryan Kwanten ได้รับรางวัลทีมนักแสดงยอดเยี่ยม จากซีรีส์ชุดชื่อดังทาง HBO เรื่อง True Blood จากบทเจสัน เพลย์บอยหนุ่มมีพฤติกรรมมั่วเซ็กส์  ที่ทำให้เขาแจ้งเกิดจากซีรีส์เรื่องนี้







-Ryan Gosling เขาได้รับรางวัลทางการแสดงมากที่สุดในบรรดาหนุ่มทั้ง 4 คน มีทั้งรางวัลทางด้านภาพยนตร์ และรางวัลทางด้านทีวี อาทิ  Teen Choice Awards 2004 จากเรื่อง The Notebook , MTV movie & TV Awards  จากเรื่อง The Notebook, Irish Films & TV Award จากเรื่อง Drive , และ Golden Globe Awards จากเรื่อง La La Land etc.





  นอกจากนี้ สิ่งที่แตกต่างกันของนักแสดงชายทั้ง 4 คน ก็คือ แนวทางของการแสดง หรือแนวหนัง,ซีรีส์ ที่เขารับงานแสดง
-Ryan Phillippe  แจ้งเกิดจากแนวทริลเลอร์ I know what you did last summer และหนังแนววัยรุ่น และโด่งดังสุดขีดในฐานะคู่สมรสของดาราวัยรุ่นหญิงชื่อดัง Reese Witherspoon ภายหลังมีข่าวรักร้างและเลิกรากัน  แต่ภายหลังเขาไปเอาดีกับแนวดราม่า ขายฝีมือ และลองชิมลางกับงานเบื้องหลัง

-Ryan Reynolds  เคยลองชิมลางกับหนังโรแมนติกคอมเมดี้ (The Proposal) และหนังทริลเลอร์ (Blade,The Amityville Horror,Smokin Aces) ภายหลังมาเอาดีกับหนังประเภทซุปเปอร์ฮีโร่ (Green Lantern, Dead pool) จนประสบความสำเร็จด้านรายได้สูงสุดคนหนึ่งของวงการ จากเรื่อง Dead pool

-Ryan Kwanten  เล่นหนังมาหลากหลายแนวทาง คล้ายๆ ยังไม่มีบทเด่นที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเสียที แต่ที่คนจำได้คือบทหนุ่มเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์ จากซีรีส์ True Blood, Summerland

-Ryan Gosling ทางถนัดของ Gosling คือบทดราม่า หรือโรแมนติกคอมเมดี้ แต่เขามักได้รับการยื่นบทให้หลากหลาย และทำได้ดีทุกแนว จึงเป็นนักแสดงที่เล่นได้ทุกบทบาท ทั้ง แอ็คชั่น,ดราม่า,คอมเมดี้,โรแมนติกคอมเมดี้, ทริลเลอร์ ดูได้จากบทบาทในเรื่อง  The Notebook, Driver, La La Land, Murder by Numbers, GooseBumbs, The Ides of March, The Big Short  etc.


ใน 4 คนนี้ คนที่ประสบความสำเร็จด้านการแสดงจริงๆ ก็น่าจะเป็น Ryan Gosling  เพราะได้เล่นหนังหลากหลายแนว และเป็นหนังที่ได้รับกระแสชื่นชมจากผู้ชมและนักวิจารณ์  อีกทั้งยังได้รับรางวัลทางการแสดงมากมาย ขึ้นกับจังหวะโอกาสในการได้รับบทที่ดี และรอเวลาขายฝีมือในบทขึ้นหิ้งแบบเดียวกับนักแสดงขายฝีมือรุ่นพี่ๆ อาทิ  Robert De Niro,Robert Redford,Anthony Holfkin,Al Pacino,Morgan Freeman,Richard Gere, Tom Hank,Daniel Day Lewis,Denzel Washington,Harrison Ford,Kevin Spacey เป็นต้น  


ส่วน Ryan Reynolds น่าจะประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นหลัก เพราะนับจากนี้ เขาคงได้รับบทแต่หนังแนวแอ็คชั่น ซุปเปอร์ฮีโร่เป็นหลัก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนังระดับ Box Ofiice ถล่มรายได้ หนังซัมเมอร์ฟอร์มใหญ่ 


แต่ส่วนตัวผู้เขียนชอบ Ryan Phillippe ที่สุด เป็นนักแสดงที่ขายฝีมือ และขายหน้าตาได้ด้วยไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าระยะหลัง เขาไม่มีผลงานทางภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ แต่ผลงานทางทีวีซีรีส์นั้น ถือว่าได้รับงานอย่างต่อเนื่อง และได้รับบทที่ดี รอวันกลับมาแจ้งเกิดกับหนังฟอร์มใหญ่อีกหน หรือไม่เขาก็คงถอยหลังไปเป็นผู้กำกับแทน ซึ่งถึงเวลานั้น ผู้เขียนก็จะติดตามผลงานเขาต่อไป


ส่วนรายของ Ryan Kwanten ผู้เขียนยังเอาใจช่วยเขา ให้มีผลงานในระดับ Box Office ที่เป็นหนังฟอร์มใหญ่บ้าง และผลงานทางทีวีซีรีส์ที่ทำให้เขาได้แสดงฝีมือ และสร้างชื่อเหมือนกับคนอื่นบ้าง

บ่อยครั้งที่เวลาเราดูนักแสดงเล่นหนังแล้วรู้สึกว่า เขาเล่นเป็นตัวเองเกือบทุกเรื่อง แทบไม่เปลี่ยนคาแร็กเตอร์เลย แต่กับนักแสดงทั้ง 4 คนนี้ คุณต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะเขาทั้ง 4 เล่นหรือสวมบทบาทเป็นตัวแสดง แต่ละตัวไปเรื่อย ๆ ถ้าจะมีใครใน 4 คนนี้ ที่เล่นแล้วเป็นตัวเองมากที่สุด ไม่ค่อยเปลี่ยนคาแร็กเตอร์เท่าไหร่ ผู้เขียนคงยกให้ Ryan Reynolds เพราะเป็นคนเดียวที่ผู้เขียนรู้สึกว่า เสน่ห์ในทางการแสดงเขาน้อยที่สุดใน 4 คน 


บทความโดย นิติชัช/เพจหยิกแกมหยอก

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ความจริงที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเล่นการพนัน


ความจริงที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการเล่นการพนัน การพนันไม่ทำให้ใครร่ำรวย ยกเว้นเจ้าของบ่อน (บทความนี้ไม่ได้เจตนาส่งเสริมการเล่นพนัน)

บทความนี้เขียนขึ้น เพื่อต้องการจะเตือนให้คุณระแวดระวัง คิดให้ดีก่อน อย่าหวังรวยทางลัด รายละเอียดของบทความนี้ มีดังนี้

ทฤษฏีการพนัน คิดและเขียนขึ้นโดยฝรั่งมังค่า ชนชาติเดียวกับฝรั่งที่คิดค้นทฤษฏีคำนวณ เลข คณิตศาสตร์ สูตรคำนวณ สมการ หรือแม้แต่ทฤษฏีการเงิน การลงทุน ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกนี้ ถามว่าคนเหล่านี้เขาฉลาดหรือโง่กว่าคุณหล่ะ เขาคิดมาเป็นร้อยเป็นพันปี คิดมาเป็นหลายตลบแล้ว เพื่อที่จะล้วงเงินในกระเป๋าคุณทั้งหลาย มาเป็นเงินของเขาเอง นัยยะก็คือ มันเป็นทฤษฏีของคนฉลาด และหรือคนรวย ที่ต้องการล้วงเอาเงินในกระเป๋าของคนโง่ทั้งสถานะรวยหรือจน ใครก็ตามที่ตกเป็นเหยื่อ จะต้องสูญเสียเงินให้กับเจ้าของบ่อนอย่างแน่นอน ไม่ว่าเร็วหรือช้า ไม่ว่ามากหรือน้อย จนกว่าคุณจะยอมถอยหรือหยุด (ยอมแพ้) เพราะมันถูกคิดมาอย่างดีแล้ว ให้เจ้าของบ่อนคือผู้ชนะในที่สุด


นาย John Larry Kelly,Jr หมอนี่เป็นยิว สัญชาติอเมริกัน คือคนที่คิดค้นทฤษฏีการพนันโดยเขาคือผู้ที่พัฒนาสูตรการลงทุนและการพนันขึ้น โดยใช้หลักทางสถิติ การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิธีการคำนวณแบบลอการิธึ่ม เพื่อหาค่าเฉลี่ย หรือค่ามาตรฐาน มากำหนดเป็นทฤษฏีที่ใช้ในการลงทุนทั่วโลก จนในโลกของนักลงทุน จะมีการเรียกว่า Kelly Formula หรือที่เรียกว่า สูตรการลงทุนของ Kelly เป็นต้น

-ทฤษฏีการพนัน อิงกับกฏ zero sum game หมายความว่า ทุกเกมต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ ไม่มีเท่าทุนหรือเสมอตัว (ไม่ได้หมายถึง การหักลบกลบกันของกระเป๋าเงินคุณ ได้กับเสีย พอๆ กัน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงเงินลงขันบนหน้าตักของทุกคน จะไปตกอยู่ที่คนได้(ชนะ) กี่คน เท่าไหร่ก็ตาม จะเท่ากับ เงินที่เสียบนหน้าตักของผู้แพ้ทุกคนรวมกัน
-ทฤษฏีการพนัน อิงกับกฏการยอมเสียส่วนน้อย เพื่อได้กินส่วนที่เหลือทั้งหมด ที่มากกว่า หมายถึง เจ้ามือหรือบ่อน อาจมีเสียในบางเกม บางตาให้กับผู้เล่นบ้าง แต่โดยรวมเขาได้กิน เงินคนส่วนใหญ่ หักลบกลบกันแล้ว เจ้ามือหรือเจ้าของบ่อน คือผู้ได้ (ชนะ) มากที่สุด ไม่งั้นเขาจะเปิดบ่อน หรือยอมเป็นเจ้ามือไปเพื่อ ?

ถามว่า แล้วเราคือใคร เราคือเจ้ามือหรือเจ้าของบ่อนหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ คุณก็คือเหยื่อ หรือผู้แพ้ในเกมของผู้ชนะหรือเจ้ามือนั่นแหละ


หลักๆ แล้วทฤษฏีการพนัน คือต้องการล้วงเอาเงินในกระเป๋าของคนรวยเป็นหลัก เช่น บ่อนคาสิโนใหญ่ๆ ในโลก เขาต้องการลูกค้าที่เป็นเศรษฐี กระเป๋าหนัก เวลาได้ก็จะได้ในปริมาณที่เยอะ เขาไม่อยากได้เงินจากคนจน หรือยาจกหรอก ไม่คุ้มค่า (ขี้เกียจมาคอยตามหนี้ เช็คบิลคนเล่นเสีย แต่ไม่มีจ่าย ลามไปถึงเอาชีวิต) แต่กลายเป็นว่าคนรวยมักฉลาด ไม่ตกเป็นเหยื่อของธุรกิจการพนัน กลายเป็นพวกคนจนนี่แหละที่มักตกเป็นเหยื่อของธุรกิจการพนัน เพราะหวังรวยทางลัด แต่เงินในกระเป๋าของคนจนมันน้อย เจ้ามือไม่อยากได้กินแบบเบี้ยหัวแตก จึงต้องหันมาปรับสูตรการพนันที่สามารถกินคนยากคนจนได้ในปริมาณมากๆ หรือกินเงินจากกระเป๋าคนจนตัวเล็กตัวน้อย แต่กินในปริมาณเยอะ จึงคุ้ม จึงเป็นที่มาของธุรกิจการพนันประเภท ล็อตโต้ สลากกินแบ่ง ล็อตเตอรี่ ที่มีอยู่กันเกือบทุกประเทศในโลก ฯลฯ

ยกตัวอย่าง มีการเล่นไพ่ในวงกัน 10 คน เงินลงขันในหน้าตักของทุกคนคือคนละ 50 บาท รวมเงินทั้งวงหรือเกมนั้นคือ 500 บาท เจ้ามืออาจกินรวบทั้งวง ได้เงินไปทั้ง 500 บาท หรือมีเสียให้กับใครบางคนในวงไป 2 คน แต่เจ้ามือได้กินจากอีก 8 คนที่เหลือ เท่ากับว่าอย่างไรเสีย เจ้ามือก็ยังได้ส่วนแบ่งโดยรวมมากที่สุด ถามว่าจะมีโอกาสมั๊ยที่เจ้ามือเสียรอบวง คือเสียให้กับทุกคน รอบวง ตอบว่ามี แต่ความน่าจะเป็นจะน้อย และเจ้ามือหรือเจ้าของบ่อน มีช่องทางหรือเล่ห์เพทุบายหลากหลายที่จะไม่ยอมตกเป็นผู้แพ้หรือถูกกินรอบวงอย่างเด็ดขาด โดยจะตั้งเงื่อนไขอย่างไรก็ได้ ที่ทำให้ตนเองได้เปรียบ เนื่องจากเป็นผู้กำหนดกติกา หรือเป็นผู้กำหนดเกมนั่นเอง

ยกตัวอย่าง การเล่นพนันฟุตบอล สมมติว่ามี 50 คู่ (เอาแค่ผลแพ้ชนะ ยังไม่ลงลึกถึงราคาต่อรอง เจ้ามือจะพยายามหาคนเล่นมาให้มากที่สุด และกำหนดราคาต่อรอง ตลอดจน เงินรางวัลที่จะจ่ายในแต่ละคู่หรือเกมเอาไว้ ตามอัตราที่กำหนดไม่เท่ากัน)

จำนวนคนแทงหรือเล่นนี่แหละที่สำคัญ เพราะเขาไม่สามารถกำหนดผลแพ้ชนะของแต่ละเกมได้ เขาจะใช้วิธีถัวเฉลี่ยจำนวนเงินได้เสียของผลแพ้ชนะแต่ละคู่ คู่ที่เจ้ามือได้กับเสีย หักกลบลบกันแล้ว เขายังมีกำไร หรือมีการคำนวนจำนวนเงินผู้แทงขั้นต่ำหรือจำนวนคนที่เล่นขั้นต่ำ ที่จะไม่ทำให้เขามีผลขาดทุน หากผลแพ้ชนะออกมา เสียจากคนที่แทงถูก vs ได้จากคนที่แทงผิด หักกลบลบกันแล้ว เจ้ามือยังเหลือกำไร ปั๊วหรือเด็กส่งโพย ยังเหลือค่าน้ำ


คิดสะระตะแล้ว เขาคำนวณมาแล้ว ว่าอย่างไรเสีย เจ้ามือไม่มีทางขาดทุน มีแต่กำไร ส่วนเราซึ่งเป็นได้แค่คนแทงหรือเล่น ก็จะเป็นผู้ที่มีโอกาสเสียมากกว่าได้ จากผลหลายๆ คู่ ที่มีทั้งที่แทงผลถูก กับแทงผลผิด สมัยก่อนผู้แทงหรือผู้เล่น สามารถเลือกแทงได้เพียงบางคู่หรือคู่เดียว ผลได้เสียจะเป็น 50/50 แต่ปัจจุบันมิใช่แล้ว ต้องแทงเป็นชุด ซึ่งจะเข้าในสูตรถัวเฉลี่ยของเจ้ามือ ซึ่งโอกาสที่ผู้เล่นจะเล่นเสียมากกว่าได้ ขณะเดียวกัน กลับมีเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เล่นหรือผู้แทงเพิ่มขึ้นด้วย นี่ยังไม่นับว่าเอาอัตราต่อรอง/เล่นในเวลา,นอกเวลา มาคิดคำนวณ ความน่าจะเป็นของผลแพ้ชนะ ก็ยังเสียเปรียบเจ้ามืออยู่ดี ดังนั้นการยิ่งเล่นมาก ก็มีความน่าจะเป็นที่จะเสียเงินมากตามไปด้วย ตามสูตรการถัวเฉลี่ยนี้ ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกนึกคิดของผู้เล่น/ผู้แทง ที่คิดว่า ยิ่งแทงมาก เราควรมีโอกาสที่จะได้ หรือผลชนะมากกว่าแพ้ ซึ่งคิดแบบคนโง่ เพราะคุณกำลังเล่นอยู่ในเกมของผู้ชนะ ซึ่งเขาวางหมากที่จะมากินเงินคุณ ดักหน้าดักหลังไว้หมดแล้ว ดังนั้นอย่าไปตาโตกับเงินรางวัล หรืออัตราต่อรองที่เขาตั้งให้คุณ รู้สึกว่ามันหอมหวานเหลือเกิน ฉันน่าจะเป็นผู้โชคดีได้เงินก้อนนั้น เข้าหลักสินค้าทำโปรโมต เขาก็ต้องเอาด้านดี สิ่งดีๆ ที่สุด มาโปรโมตเพื่อจูงใจคุณ ให้อยากเป็นลูกค้าเขาแน่นอน



ยกตัวอย่างของ สลากกินแบ่งรัฐบาล ก็เป็นรูปแบบการพนันชนิดหนึ่ง เพียงแต่ถูกกฏหมาย เพราะเจ้ามือ กลายเป็นกองสลาก ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเอง ถามว่าสลากกินแบ่ง คนถูกหวยกับเสียหวย ปริมาณของคนได้ กับคนเสีย มันมากน้อย แตกต่างกันอย่างไร บอกเลย คนได้ทำหยิบมือ คนเสียเกือบทั้งประเทศ หรือเปรียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็คือคนได้มีเพียง 1% แต่คนเล่นเสีย 99% ของคนเล่นทั้งหมด แล้วเวลาออกข่าวโปรโมต จะเห็นว่า เขาจะเสนอข่าวแต่คนได้รางวัลใหญ่ๆ 30 ล้าน ได้หวยชุด 5-6 ล้าน เพื่อกระตุ้นให้คนตาโต อยากได้รางวัลใหญ่ๆ บ้าง แต่ในความเป็นจริง คนเสียเงินค่าหวยงวดๆ หนึ่งเป็นหลักล้าน หลักแสน ที่มีจำนวนมากกว่า รวมๆ กันมากกว่ารางวัลที่เขาตั้งไว้ ในแต่ละงวด เคยมีข่าวไปสัมภาษณ์ หรือแพมออกมาบ้างเปล่า แทบไม่มี การไม่มีเสนอข่าวคนเสียหวย ไม่ได้แสดงว่า งวดๆ หนึ่ง ไม่มีคนเสียหวยในปริมาณที่มากๆ นะ เพียงแต่เรามักเห็นข่าวแต่คนที่ถูกหวย หรือได้เงินรางวัล นี่ก็เป็นวิธีการทำโปรโมตสินค้าอีกรูปแบบหนึ่ง ทำแบบเนียนๆ ถ้าไม่มีข่าวคนถูกหวยเลยในแต่ละงวด เชื่อขนมกินได้เลยว่า งวดถัดไป สลากจะขายหมดมั๊ย ปริมาณคนเล่นหวยก็จะลดลง เพราะธุรกิจการพนันมันเล่นกับกิเลสมนุษย์ หรือก็คือกระตุ้นที่ความโลภของคนนั่นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เรายังจะยอมตกเป็นเหยื่อของพวกเจ้ามือ อยู่อีกเหรอ เพราะมีงานวิจัยตั้งมากมายก็บ่งบอกแล้วว่า เหยื่อของการพนันมักเป็นคนจน คนรายได้น้อย ที่หวังรวยทางลัด แต่สุดท้ายต้องตกเป็นเหยื่อของความโลภนั้น โดยคนที่ฉลาดกว่า คิดอุบายหลอกเอาเงินในกระเป๋าของคุณ ไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะยอมหยุด หรือเลิกมันได้ นั่นแหละ แล้วเรายังจะยอมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดอยู่ทำไม ?


บทความโดย เพจหยิกแกมหยอก

บทความที่เกี่ยวข้อง  

ว่าด้วยทฤษฎีการพนัน (ตอนที่ 1):เข้าคาสิโน-เล่นม้า-แทงหวย-ซื้อลอตเตอรี่-ซื้อประกัน เล่นการพนันอย่างไหนโง่กว่ากัน  

https://thaipublica.org/2017/04/banyong-pongpanich-81/

ว่าด้วยการพนัน…(ตอนที่ 2) เล่นหวย – ซื้อลอตเตอรี่ – ซื้อประกัน การพนันอย่างไหนผู้เล่นเสียเปรียบมากกว่ากัน

https://thaipublica.org/2017/04/banyong-pongpanich-82/


ว่าด้วยการพนัน….ตอนที่ 3 ประกันภัย ประกันชีวิต เป็นการพนันไหม? …เจ้ามือ (บริษัทประกัน) เอาเปรียบมากไหม?

https://thaipublica.org/2017/04/banyong-pongpanich-83/

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 8


กาเหว่าอึกทึก


EP.8   คดีของพ.ต.ท. น้ำฝน (หรือหลวงพี่น้ำฝน) อดีต จนท.สันติบาลเก่า


ที่กุฏิหลวงตาน้ำฝน ขณะหลวงตาน้ำฝนกับสารวัตรเดช หมวดกบี่กำลังวิเคราะห์ความหมายของกลโคลง คำปริศนา บนรอยสักของเหยื่อ ฆาตกรต่อเนื่อง 5 ศพ อยู่นั้น พะนอนิจเดินทางมายังกุฏิ เพื่อที่จะมาช่วยในการวิเคราะห์กลโคลง

“เอิ่ม....โยมสารวัตร อาตมาขอไปเข้าห้องน้ำก่อน เชิญรับฟังการวิเคราะห์จากสีกาพะนอนิจไปพลางก่อน”

“ครับหลวงตา.....”

พะนอนิจเดินเข้ามายังกุฏิ พบเห็นสารวัตรเดช หมวดกบี่ กับพวก กำลังยืนพูดคุยกันอยู่

“เอ้า....นิจ เหตุใดคุณมาทีนี่ได้”

“พอดีว่าวันนี้นิจ ไม่มีคาบสอนตอนบ่าย แล้วนิจโทร.ไปหาคุณที่ทำงาน พอดี ร.ต.ต.สุริยน บอกว่าคุณกับหมวดกบี่ จะมาที่วัดโพธิ์ พอดีนิจ ก็มีกิจธุระจะมาคุยกับหลวงตาอยู่ด้วย ก็เลยแวะมา เผื่อจะช่วยคุณวิเคราะห์กลโคลงให้กระจ่างขึ้น

“แสดงว่านิจรู้เรื่องกลโคลงด้วยเหรอ”

“นิจลองเอาคำปริศนาที่พี่เดช ให้นิจดูไปลองวิเคราะห์อยู่หลายคืน ก็พอจะรู้ความหมายบ้างแล้ว”

 -ฝน ตก ขี้ หมู ไหล
-ไก่ จิก เด็ก ตาย (บนปาก) โอ่ง
-watch ได้ แต่ ใด มา”
-เพื่อน ไม่ เคย ทิ้ง กัน
-ไว้ใจ ทาง วาง ใจ คน” 

“จะแก้กลโคลงนี้ ต้องอ่านจากล่างขึ้นบน และอ่านเป็นแถวจากซ้ายไปขวาค่ะ ดังนี้

แถวแรก   ไว้ใจเพื่อนที่เฝ้าดู
แถวสอง   ทางที่ไม่เป็นไปตามที่ใจคิด
แถวสาม  เคยวางใจแต่แรก
แถวสี่  ใจที่ทิ้งให้ตายอย่างเดียวดาย
แถวห้า  คนกันเองมาทำให้ (ลงโลง) ตาย

เมื่อจับเอาห้าประโยคนี้มาตีความ ก็จะได้ความหมายโดยรวมว่า เพื่อนที่เคยไว้ใจ กลับมาทำร้าย ทิ้งให้เขาต้องอยู่เดียวดาย และตายในที่สุด”

“นิจ ตอนนี้ เรารู้ความหมายที่ตรงกับนิจวิเคราะห์แล้ว เพียงแต่ เรายังไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงตัวผู้บงการได้ว่า ใครคือเพื่อนที่ทรยศหักหลัง และใครคือคนที่ถูกทิ้งให้ตาย เรายังตีความตรงนี้ไม่ออกเท่านั้นเอง”

“นิจว่า หลวงตาน้ำฝน น่าจะรู้ค่ะ ลองถามแกดู”

“สารวัตรครับ ตอนนี้ หลวงตาน้ำฝน ไม่อยู่แล้วครับ ไม่รู้ไปไหน”

“เอ้า.....เมื่อสักครู่ หลวงตาบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำนี่ ยังไม่ออกมาเหรอ”

“เปล่าครับ ไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่อยู่ครับ”

“ถ้าหลวงตาไม่อยู่แล้ว งั้นนิจคงต้องกลับแล้วค่ะ”


พะนอนิจ เดินทางไปเยี่ยมหมอปรีด์เปรม ภายหลังหมอปรีด์เปรมย้ายกลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้านแล้ว เธอเดินทางโดยนัดหมายใครบางคนมาพบกันที่นี่ ซึ่งคนๆ นั้นก็คือนายกล้า ซึ่งแต่งกายปลอมแปลงตนเป็นผู้หญิงเพื่ออำพรางตน ไม่ให้คนแถบนั้นสงสัยว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกสาว เนื่องจากใบประกาศ หมายจับ รูปนายกล้า เป็นบุคคลต้องการตัวของทางราชการ กระจายไปทั่วพระนคร ในขณะที่หมวดแชนซึ่งเป็นายสืบ ทีได้รับมอบหมายจากสารวัตรเดช ให้คอยติดตามสืบส่องดูพฤติกรรมของพะนอนิจกับนายกล้า โดยให้ไปปักหลักสังเกตการณ์อยู่ที่บ้านหมอปรีด์เปรม ซึ่งหมวดแชนต้องอำพรางตนเองเป็นคนจรจัด สกปรก เพื่ออำพรางตนเองไม่ให้ใครสังเกตเช่นกัน หมวดแชนพบเห็นพะนอนิจเดินเข้าไปยังรั้วบ้านของหมอปรีด์เปรม ภายหลังจากมีสตรีใส่กระโปรงสีแดง เข้าไปในบ้านของหมอปรีด์เปรมก่อนหน้านี้แล้ว ห่างกันไม่ถึง 20 นาที

“เอ้า....ผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่คุณพะนอนิจ แล้วเป็นใครกันนะ ในเมื่อพะนอนิจเพิ่งมาถึง.....หรือว่าจะเป็นพยาบาลรับจ้าง ที่หมอปรีด์เปรมจ้างมาดูแล”


พะนอนิจเดินเข้าไปสมทบกับนายกล้า ในบ้าน ข้างเตียงนอนของหมอปรีด์เปรม ที่กำลังนอนหลับอยู่
“พี่กล้า เราต้องรีบลงมือจัดการ ไอ้น้ำฝน ได้แล้ว เพราะตอนนี้สารวัตรเดช เริ่มจะรู้ความหมายของคำปริศนาทั้งหมดแล้ว อีกไม่นาน เขาต้องรู้ว่า ไอ้เฟื้องคือคนในคำปริศนา  เราต้องชิงลงมือฆ่ามันก่อน ไม่เช่นนั้น ไอ้เฟื้องมันอาจช่วยตำรวจคลี่คลายคดีจนรู้ว่า เป็นฝีมือของนิจแน่ๆ”

“แล้วจะให้ลงมือกับหลวงตาเฟื้องยังไง ในเมื่อสารเคมี (ยาพิษ) เราใช้จนเกือบหมดแล้ว และต้องเอาไว้ใช้กับหมอปรีด์เปรมอีก”

“เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีไง นิจมีวิธีจัดการมัน โดยไม่ใช่สารเคมี แต่ได้ผลเหมือนกัน”

“ทำยังไง?


หลังจากพูดคุยกับนายกล้าจนรู้แผนการหมดแล้ว พะนอนิจ ปลอมลายมือของหมอปรีด์เปรม เขียนจดหมายขึ้นมา 1 ฉบับ ที่มีใจความสำคัญ บงการให้นายกล้า ไปฆ่าเหยื่อ และสักคำปริศนาบนศพเหยื่อทั้ง 5 คน รวมถึงบงการให้นายกล้า ไปฆ่าพระน้ำฝน ซึ่งเป็นการโบ้ยความผิดไปให้หมอปรีด์เปรม ว่าเป็นผู้บงการคดีฆาตกรต่อเนื่อง และคดีเหยื่อรอยสักทั้งหมด  จากนั้นพับจดหมายนั้นวางซ่อนอยู่ในโต๊ะลิ้นชักของหมดปรีด์เปรม จากนั้นจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ


พะนอนิจกลับออกไปก่อนเป็นคนแรก ในขณะที่นายกล้า รอจนกว่าหมอปรีด์เปรมตื่น แล้วเป็นคนป้อนอาหารให้หมอปรีด์เปรมกินจนเสร็จก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางกลับ  เขาสังเกตเห็นแสงสะท้อนที่มากระทบกับเครื่องทอง วัตถุโบราณในบ้านของหมอปรีด์เปรม จึงแอบไปยืนข้างหน้าต่างชั้นบนสุดของบ้าน แล้วมองลงมาพบเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่โคนต้นไม้ ถือไฟฉายคอยส่องดูคนในบ้าน จากระยะไกล กล้ารู้แล้วว่ามีคนคอยเฝ้าสังเกตตนเองหรือหมอปรีด์เปรมอยู่ภายนอก ซึ่งกว่าจะเสร็จการป้อนข้าวหมอปรีด์เปรมก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ขณะนายกล้ากำลังเดินทางกลับออกจากรั้วบ้านของหมอปรีด์เปรม เขาเดินลัดเลาะไปตามทาง พบเห็นใครกำลังสะกดรอยตามเขา จึงแสร้งเดินหลบฉากไปยังสวน เพื่อให้คนสะกดรอยตามไม่พบเจอตัวเขาอีก

“มันหายไปไหนแล้ววะ”

“แกเป็นใคร ทำไมถึงสะกดรอยตามฉัน”  นายกล้าใช้มีดจ่อไปยังลำตัวด้านหลังของหมวดแชน

“เอ่อ...ฉันไม่ได้สะกดรอยตามคุณนะ ฉันเห็นคุณแต่งตัวดี คงมีเงิน ฉันหิวข้าว ไม่มีเงินทานข้าวเลย”

“ไม่จริง.....แกไม่ใช่ขอทาน และก็ไม่ใช่คนจรจัดด้วย”

“ผมเป็นคนบ้า.....ดูสภาพเนื้อตัวผมสิ”

“แกไม่ต้องมาโกหก แกเป็นสายของตำรวจใช่มั๊ย บอกมาตรงๆ ใครใช้ให้แกมาติดตามฉัน....บอกมา ไม่เช่นนั้น ฉันยิงแกแน่”


สักพัก หมวดแชนฉวยโอกาสหลบฉากและกดมือของนายกล้าเพื่อบีบให้มีดในมือของนายกล้าหลุดมือ ทั้ง 2 คนต่างยื้อยุดแย่งปืนที่อยู่ข้างเอวของหมวดแชน และชิงการครอบครองปืนไว้ในมือตน หมวดแชนใช้ศีรษะโขกใส่ลำตัวของนายกล้า จนนายกล้าร้องตะโกนและคลายมือออก จนหมวดแชนสามารถทำให้ปืนในมือนายกล้าหลุดมือ ร่วงหล่นลงสู่พื้น หมวดแชนผลักนายกล้าล้มลงหงายลงสู่พื้น หมวดแชนตามล้มลงทับตัวนายกล้าไว้ และรีบนำที่ล็อกกุญแจมือ หมายจะคล้องข้อมือของนายกล้าเอาไว้ แต่นายกล้าใช้มือที่ฉวยเอาท่อนไม้สั้น หวดที่ศีรษะของหมวดแชนจนได้รับบาดเจ็บ และกลายเป็นนายกล้าผลักเอาร่างของหมวดแชนล้มลงนอนหงายและนายกล้านั่งทับอยู่บนร่าง จากนั้นใช้มือบีบคอหมวดแชนไว้ เพื่อให้หายใจไม่ออก หมวดแชนดิ้นสู้ ไม่ยินยอมให้ตนเองต้องพลาดท่าเสียทีนายกล้า แม้ว่านายกล้าจะแต่งกายเป็นหญิง แต่หมวดแชนก็ยังจำได้ว่า เป็นนายกล้า ฆาตกรฆ่าหั่นศพ น.ส.หวา ได้ มันเป็นฆาตกรที่จิตใจโหดเหี้ยมและจิตวิปริต ไม่มีทางที่จะปล่อยตัวไปได้ ครั้งนี้ต่อให้หมวดแชนต้องบาดเจ็บขนาดไหน ก็จะต้องนำตัวนายกล้าไปดำเนินคดีให้ได้ ถ้าแม้นพลาดท่าเสียที ปล่อยมันไปได้ มันจะไปฆ่าคนอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ระหว่างที่ออกแรงต่อสู้ หมวดแชนก็คิดทบทวนถึงพฤติกรรมของนายกล้า และรูปแบบการสังหารเหยื่อของมันแต่ละรายไปด้วย หมวดแชนใช้มือซ้ายดิ้นสู้แรงกับนายกล้า ส่วนมือขวาพยายามควานหาปืนที่หลุดมือไปเมื่อสักครู่ และนิ้วมือสัมผัสด้ามปืนได้แล้ว แต่ยังจับไม่ถนัดถนี่ จึงดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อดันตัวไปหยิบปืนได้ถนัดถนี่ เขาใกล้ที่จะกดไกลปืนบนร่างของมันได้สำเร็จ แต่นายกล้าใช้มือซ้ายปัดป้องและดันมือขวาของหมวดแชนไว้ ทันใดนั้น เสียงปืนดังลั่นขึ้น เลือดทะลักเข้าเต็มหน้าของนายกล้า ร่างนายกล้าล้มลงหงายทับร่างของหมวดแชนไปยังช่วงปลายเท้าของหมวดแชน นายกล้าพยายามชันตัวดิ้นตะเกียกตะกายออกจากร่างของหมวดแชน ในขณะที่ร่างของนายแชนล้มลงดิ้นผงาบๆ เลือดทะลักเป็นลิ่มออกจากช่วงคอของเขา ก่อนที่นายกล้าจะหยิบปืนจากมือของหมวดแชน จากนั้นยิงใส่ร่างของหมวดแชน ทำให้ร่างของหมวดแชนนิ่งสงบลงได้ เป็นการจบชีวิตของมือสายสืบอันดับ 1 ของกรมสอบสวนกลาง สันติบาล กรมตำรวจ นายกล้าเอามือลูบเปลือกตาให้หมวดแชนหลับตาสนิท และดึงมีดออกจากคอของหมวดแชน เลือดยังคงไหลทะลักออกมาไม่หยุด และจากนั้นจึงนำร่างของหมวดแชนฝังเอาไว้ในร่องสวน โดยการขุดหน้าดินขึ้นมากองเอาไว้ก่อนจะผลักร่างของหมวดแชนลงไป จากนั้นจึงเอาดินกลบอำพรางศพเอาไว้ จึงค่อยเดินทางจากมา


ที่บ้านของสารวัตรเดช กลางดึก สารวัตรเดชกลับมาที่บ้าน เห็นไฟปิดหมดในห้องนอนแล้ว เขาค่อยๆ ย่องเข้าบ้าน โดยไม่ส่งเสียงทำให้คนในบ้านตื่น เขาถอดรองเท้าวางตรงชั้นวางรองเท้า พบเห็นรองเท้าของพะนอนิจที่วางอยู่ใกล้กัน จึงหยิบมาดู เป็นรองเท้าคู่ที่พะนอนิจใส่เป็นประจำเวลาไปสอนหนังสือ เขาลองพลิกดูพื้นรองเท้าก็พบว่ามีคราบดินโคลนติดอยู่ ซี่งยังไม่ได้ล้างออก แต่มันแห้งสนิทแล้ว มันน่าจะถูกทิ้งเอาไว้หลายวันแล้ว คราบดินโคลนถึงยังไม่หลุดออกจากพื้นรองเท้า แสดงว่า หลังจากนั้น พะนอนิจไม่ได้สวมใส่รองเท้าคู่นี้อีกเลย เธอเปลี่ยนไปใส่รองเท้าคู่อื่น สารวัตรเดชลองค้นหารองเท้าคู่อื่นที่พะนอนิจใส่ ก็พบว่าพื้นรองเท้าคู่อื่นๆ ไม่มีรอยคราบเปื้อนใดๆ แม้แต่เศษดิน หรือสิ่งสกปรก มันแน่อยู่หล่ะ ถ้าเพียงพะนอนิจใส่รองเท้าไปเพียงแค่สอนหนังสือที่วัดระฆัง หรือไป รพ.ศิริราช หรือไปที่คลินิกหมอปรีด์เปรม แม้กระทั่งที่บ้านของคุณพ่อ(หมอปรีด์เปรม) ระหว่างทางไม่น่าจะต้องผ่านทางที่เป็นถนนลูกรัง หรือเดินผ่านสวน ไร่นาใดๆ ก็จะไม่มีทางที่จะเปื้อนดินโคลนได้ นี่แสดงว่าพะนอนิจมีโอกาสเดินทางไปยังบางสถานที่ที่เป็นเรือกสวนไร่น่า และมีบางช่วงไม่ได้นั่งรถยนต์หรือรถประจำทางหรือแม้แต่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ซึ่งตรงกับวันที่พะนอนิจอ้างว่าจะไปเยี่ยมหมอปรีด์เปรม บิดาของตน แต่ก็เป็นวันเดียวกับที่ได้ยินข่าวว่าพลทหารธรรมเสียชีวิต เป็นไปได้ว่า พะนอนิจอาจแวะไปที่บ้านสวนของป้าอร หรือบ้านของพลทหารธรรม เธอไปเพื่อเหตุผลใด?  ถ้าไม่ไป เพื่อไปพบนายกล้า แล้วบงการให้นายกล้าลงมือสังหารนายธรรม เพียงแต่นายกล้าไม่ได้ลงมือเอง ไหว้วานให้นายคล้าย ซึ่งเป็นครูฝึกทหารเกณฑ์อยู่ในค่ายทหารเป็นผู้ลงมือแทน ข้อสันนิษฐานของสารวัตรเดช เกี่ยวกับดินโคลนที่เปื้อนรองเท้าของพะนอนิจมีส่วนเป็นไปได้ และใกล้เคียงความเป็นจริงขึนมาแล้ว บวกกับคำเตือนของวิญญาณเกศสุรางค์ที่มาสิงในร่างพะนอนิจ ก็มาเตือนว่า ผู้บงการคือคนใกล้ชิดของเขา เขาเริ่มหวั่นใจว่ามันจะเป็นความจริง สารวัตรเดช วางรองเท้าบนชั้นวาง แล้วรีบเดินลัดเลาะไปเปลี่ยนชุดออก เพื่อเตรียมไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับขึ้นไปที่ห้องนอน ก่อนที่พะนอนิจจะไหวตัวทัน คืนนั้นเขานอนอยู่ข้างเคียงพะนอนิจ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาระแวดระวังภรรยาสาวของตน และคิดใคร่ครวญเหตุการณ์ ลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตาไม่อาจจะหลับได้สนิท ระแวงว่าคนร้ายที่เป็นผู้บงการ ฆาตกรรอยสัก ฆาตกรต่อเนื่องจะร่วมเรียงเคียงนอนอยู่ข้างกายของตนเองนี่เอง


เช้าวันใหม่ พะนอนิจ ทำเพียงข้าวต้มเอาไว้ให้สามีสุดที่รัก ที่นอนยังไม่ตื่น แต่ตนเองต้องรีบไปโรงเรียน จึงทิ้งโน้ตข้อความสั้นเอาไว้   “วันนี้รีบ หนอจึงทำแต่ข้าวต้มปลา ง่ายๆ ทิ้งไว้ พี่เดช ทานก่อนไปทำงานนะคะ”


สารวัตรเดชเดินทางไปยังกองบังคับการสันติบาล หน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง พระนคร และเรียกประชุมทีมสอบสวนทุกคน พยายามทบทวนผลวิเคราะห์กลโคลง คำปริศนารอยสัก พร้อมๆ กับหมวดกบี่ และ ร.ต.ต.สันติ ช่วยกันสรุปผลคืบหน้าของการติดตามข้อมูลบางอย่าง

“สารวัตรครับ เราได้ข้อมูลสำคัญ ที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแล้วครับ”

“ข้อมูลอะไร หมวดกบี่”

“ที่แท้เมื่อปี พ.ศ.2549 เกิดการปฏิวัติรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และได้มีการจับกุมแกนนำ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคง หลายคน 1 ในนั้น ก็คือนายโกตี๋ โดยคนที่จับกุมตัวนายโกตี๋ก็คือ พ.ต.ท.น้ำฝน  หรือปัจจุบันก็คือหลวงตาน้ำฝน แห่งวัดโพธิ์นั่นเอง ซึ่งทั้ง 2 คนนี้เป็นเพื่อนสนิทของหมอปรีด์เปรมด้วย โดยมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายของคน 3 คน ที่เคยถ่ายไว้ข้างเวที นปช. เมื่อปีพ.ศ. 2551  ดังนั้น ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการตีความของกลโคลง และคำปริศนา ที่พระน้ำฝน และคุณพะนอนิจเคยตีความเอาไว้คร้บผม”

“สอดคล้องยังไง หมวดกบี่ ผมไม่เข้าใจ”

“เราตามสืบต่อไปอีกว่า นายโกตี๋ เป็นใคร ก็พบว่าเดิมเป็นพ่อค้าขายส่งเสื้อผ้าอยู่ที่สวนจตุจักร และยังมีบุตรสาวคนเดียว กับนางสร้อยทองที่ตรอมใจเสียชีวิตไปหลังจากรู้ข่าวว่านายโกตี๋เสียชีวิต และ ด.ญ.คนนี้ได้ถูกส่งมอบให้กับหมอปรีด์เปรมรับเลี้ยงดูไว้เป็นธิดา เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกจับกุมของทางการ และเด็กหญิงคนนี้ก็คือ ด.ญ.พะนอนิจ ภรรยาของสารวัตรเองครับ”

“ฮะ....หมอปรีด์เปรมไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของพะนอนิจงั้นเหรอ”

“ใช่แล้วครับ เราให้ จนท.สืบค้นไปถึงข้อมูลทะเบียนราษฏร์ ที่กระทรวงหมาดไทย ก็พบว่าคุณพะนอนิจ เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับคุณหมอปรีด์เปรม ในช่วงปี 2550 ตอนนั้นคุณพะนอนิจอายุได้เพียง 14 ปีเท่านั้น”

“แสดงว่า เพื่อนที่ถูกทิ้งให้เสียชีวิตก็คือ นายโกตี๋ บิดาของพะนอนิจงั้นเหรอ”

“ดูจากแฟ้มประวัติอาชญากรรมและคดีการเมือง ก็ได้แทงคดีนี้เป็นคดีดำ มีหลายกระแสบอกว่า นายโกตี๋เสียชีวิตลงแล้ว จากการถูกอุ้มไปสังหาร บางกระแสก็บอกว่านายโกตี๋หนีเข้าประเทศลาว โดยหนีจากเกาะกง ของฝั่งกัมพูชาไป และข่าวที่เชื่อถือได้จากทางการลาว ก็อ้างว่านายโกตี๋ ถูกกลุ่มเพื่อนด้วยกันเอง ลวงไปสังหาร เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว และศพได้มีการถูกลำเลียงกลับมาที่ไทยแล้ว และมีการทำฌาปนกิจศพโดยญาติผู้ใกล้ชิดแบบลับๆ ไปแล้ว”

“แสดงว่าพะนอนิจ รู้เรื่องทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว ต้องการชี้เบาะแสให้ทางการทราบว่า ใครคือเพื่อนผู้ทรยศ ระหว่างคุณพ่อ(หมอปรีด์เปรม) หรือว่า พ.ต.ท.น้ำฝน (พระน้ำฝน) คนที่ไปจับกุมนายโกตี๋”

“ดูเหมือนหลักฐานจะชี้ไปที่หมอปรีด์เปรมครับ เพราะผมได้ไปค้นหลักฐาน เจอจดหมายฉบับนี้ที่บ้านของหมอปรีด์เปรมครับ สารวัตรลองอ่านดู”

“คุณพ่อ (หมอปรีด์เปรม) คือผู้ที่บงการเรื่องทั้งหมดเหรอ แล้วเหตุใดเขาจะต้องเขียนบอกทุกอย่างเอาไว้ในจดหมายฉบับนี้ แล้วทิ้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน เพื่อให้เราตามไปค้นจนเจอ ทั้งๆ ที่เขายังนอนเป็นผัก ขยับเขยื้อนตัว หรือพูดจาไม่ได้ จะเขียนจดหมายฉบับนี้ได้ยังไง ลายมือเป็นตัวบรรจงด้วย”

“นั่นสิครับ สารวัตร ผมก็ว่ามันแปลกๆ ดูเหมือนมีการจัดฉาก ให้เราเข้าใจผิด....หรือว่าหมอปรีด์เปรมเป็นตัวหลอก ไม่ใช่เพื่อนทรยศที่แท้จริง”

“หลวงตาน้ำฝน ....หมวดไปเชิญหลวงตามาสอบสวนด่วนเลย”

“ไม่ทันแล้วครับ .....ผมได้ส่งคนไปนมัสการเรียนเชิญพระน้ำฝนมาที่วัดแต่เช้า แต่ปรากฏว่าลูกวัดบอกว่า หลวงตาได้ออกธุดงค์ ไม่ได้จำพรรษาที่วัดโพธิ์แล้วครับ”

“หลวงตาไปไหนรู้มั๊ย”

“ไม่มีใครรู้ หรือตอบได้เลยครับ”

“เขาคือผู้บงการแน่ๆ ความแตก เขาคิดหนีแล้ว ......หมวดกบี่ ออกประกาศและหมายจับพระน้ำฝน คือฆาตกรผู้บงการคดีเหยื่อรอยสัก ต้องเอาตัวหลวงตาน้ำฝน มาดำเนินคดีให้ได้”

“ร.ต.ต.สันติ หมวดแชนหายไปไหน ผมให้ไปสืบคดี และติดตามแกะรอยนายกล้า ที่บ้านหมอปรีด์เปรม แล้วเหตุไฉนยังไม่กลับมาอีก”

“ผมติดต่อ โทร.เข้าไปที่มือถือเป็นร้อยครั้งแล้วครับ แต่ไม่เห็นโทร.กลับมาเลย”

“แย่แล้ว หรือว่าหมวดแชน ทำงานพลาด ตกอยู่ในอันตราย แล้วพิกัดล่าสุดของหมวดแชนอยู่ที่ไหน”

“ที่หน้าบ้านของหมอปรีด์เปรมครับ”

“ระดมคนออกติดตามหา หมวดแชนเดี๋ยวนี้”

สารวัตรเดช เดินทางมาถึงหน้าบ้านของหมอปรีด์เปรม ปูพรมออกตามสืบหาเบาะแส สอบถามเอาจากคนแถวนั้น จึงพบว่า พบเห็นชายจรจัดมาแอบนอนอยู่แถวโคนต้นไม้ และพอเช้ามาก็ไม่เจอแล้ว แต่มีคนไปพบศพของชายจรจัด ถูกฝังไว้ในร่องสวนของนางลิ้นจี่ โดยคนงานสวนมาเจอเข้าเมื่อเช้าวานนี้ พบว่าศพเริ่มขึ้นอืดแล้ว สภาพศพนอนเสียชีวิตจมกองเลือด มีร่องรอยถูกของมีคมแทงที่คอเป็นแผลฉกรรจ์ และถูกยิงที่ราวนมจนเสียชีวิต ที่เกิดเหตุยังพบปืน ปลอกกระสุนปืน หล่นอยู่ข้างศพของหมวดแชนเอง

“หมวดแชน ไม่น่าเลย ใครมันทำคุณเช่นนี้”  สารวัตรเดช น้ำตาคลอเมื่อเห็นศพลูกน้องคนสนิทเสียชีวิต
ในสภาพเช่นนี้ ขณะที่หมวดกบี่ ร่ำไห้น้ำตาเป็นคลองเป็นวรรคเป็นเวร แบบไม่เหลือฟอร์มตำรวจ กลายเป็นลูกแหง่ร้องไห้ระงมเหมือนเสียของรักไป และพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นสภาพศพของเพื่อนรักคนสนิทต้องเสียชีวิตด้วยลูกปืนของตนเอง อีกทั้งยังมีรอยสัก 5 แห่ง เหมือนศพเหยื่ออื่นๆ ก่อนหน้านี้

“ยุติ ธรรม มืด(บอด) ขวัญ ผวา นี่มันชื่อเหยื่อฆาตกรรอยสักทั้ง 5 คนนี่”

“มันต้องการบอกเราว่า ความยุติธรรมที่มืดบอด ทำให้ประชาชนขวัญผวา แสดงว่าเป็นฝีมือนายกล้า อย่างแน่นอน”

“ไอ้กล้า ไอ้ชั่วชาติ ผมจะลากคอมันกลับมาดำเนินคดีให้ได้”

นายกล้า ภายหลังสังหารหมวดแชนจนเสียชีวิตแล้ว ก็หนีไปกบดานอยู่แถวบ้านเช่า ในแถบบ้านเดิมของพะนอนิจ บ้านหลังเดิมของนายโกตี๋ ซึ่งปล่อยร้างและโดนทางการอายัดเอาไว้ ภายหลังตอนถูกจับกุมไปดำเนินคดี  นายกล้ากลับมาที่บ้านร้างในสภาพที่เหนื่อยหอบ อิดโรย ไม่ได้นอนทั้งคืน และยังไม่ได้กินอะไรลงท้องตนเองตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ต้องใช้พละกำลังต่อสู้กับหมวดแชนอยู่นาน จนเสียพละกำลังไปมาก ระหว่างทางเขาแอบขโมยขนมปังข้างทางของแม่ค้าที่มาตั้งขาย โดยที่อาศัยแม่ค้ากำลังคุยอยู่กับลูกค้าคนอื่น ก็รีบฉวยแล้ววิ่งหนีมา ไม่ทันที่แม่ค้าจะวิ่งตามจับทัน เขาไม่มีเงินทองติดตัวมาเลย เนื่องจากระหว่างต่อสู้กับหมวดแชนทำกระเป๋าสตางค์ตกไว้ที่เกิดเหตุ ตอนนี้ที่มีติดตัว มีแต่ชุดเสื้อผ้าผู้หญิง (ที่แต่งกายแปลงเป็นหญิงเพื่ออำพรางตนไม่ให้คนแถบบ้านหมอปรีด์เปรมรู้ว่าเป็นเขา) วิกผมผู้หญิง และยาพิษอีก 1 ซอง ที่เตรียมไว้ใส่ในอาหารมื้อเที่ยงอีกวันให้หมอปรีด์เปรมได้ทาน เพื่อสังหารหมอปรีด์เปรมตามแผนการที่พะนอนิจได้สั่งการเอาไว้ แต่เผอิญมาเจอหมวดแชนเสียก่อน จึงต้องเปลี่ยนแผนมาจัดการหมวดแชนก่อนแล้วจึงจะวกกลับไปเล่นงานหมอปรีด์เปรม แต่แผนนี้ทำไม่ได้แล้ว เขาไม่อาจอยู่ที่บ้านหมอปรีด์เปรมให้เป็นเป้านิ่งได้ หากว่าตำรวจตามสืบจนเจอหมวดแชน ก็จะต้องบุกเข้ามาจัดการตนเองที่บ้านหมอปรีด์เปรมจนได้

เขาจึงเลือกที่จะวกกลับมากบดานที่บ้านร้างของนายเก่า (นายโกตี๋) ดีกว่า เพื่อความปลอดภัย เขาจัดการถอดชุดเครื่องแต่งกายหญิงและถอดวิกผมออกจนหมด และเข้าไปหลังบ้าน เพื่อเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าและชำระร่างกายให้สดชื่นก่อน ระหว่างที่กำลังจ้วงขันอาบน้ำอยู่นั้น มีเสียงฝีเท้าคนดังในระยะไกล เหมือนหูแว่วได้ยินเสียง ทำให้นายกล้าต้องรีบผลัดผ้าขาวม้า และเดินออกจากห้องน้ำมา เพื่อมองหาเสียงที่ได้ยินว่าเป็นเสียงของอะไร หรือมีใครอยู่ในบ้าน เขาชักปืนออกจากกระเป๋าผ้า ค่อยๆ ย่องเดินไปตามราวบันได ขึ้นไปบนชั้นสอง และค่อยๆ ย่อง และระแวดระวังดูว่า มีใครอยู่บนบ้านหรือไม่

“ใครหน่ะ แกเป็นใคร แอบอยู่ในบ้านนี้ ออกมานะ ไม่งั้นฉันยิงแกแน่ๆ ฉันจะนับ 1 ถึง 10 ถ้าแกไม่ออกมา ฉันยิงแน่ๆ  ......1....2........3..........4


ทันใดนั้น ระหว่างที่นายกล้ากำลังก้าวขึ้นบันไดวนที่อยู่ที่ชั้น 3 เหมือนมีแรงผลักจากกลางหลังของเขา ผลักดันเขาให้ร่างหล่นลงสู่พื้นล่าง นั่นคือแรงถีบของใครบางคนที่ถีบนายกล้าจากกลางหลัง ร่วงหล่นมานอนสู่พื้น หลังแทบหัก เขาแทบกระดิกกระเดี้ยวตัวเองไม่ได้ ด้วยแรงถีบ และหล่นจากที่สูง ชายคนที่ถีบเขาลงมา ดูเป็นชายวัยกลางคนแล้ว สวมชุดเสื้อผ้าสีขาว หัวเกรียน  นายกล้ามองด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดใจ และหวาดกลัว อีกทั้งไม่คุ้นหน้าชายผู้นี้มากนัก แต่เหตุใดจึงมาแอบทำร้ายเขาจากทางข้างหลังทีเผลอเช่นนี้”

“แกเป็นโจรงั้นเหรอ เข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง”

“ถ้าฉันเป็นโจร ก็คงเป็นโจรที่โง่เสียเต็มประดา เพราะบ้านนี้ ไม่เหลือทรัพย์สินมีค่าอะไรให้ฉันขโมยแล้ว”

“แล้วแกเข้ามาในบ้านของนายฉันทำไม”

“แล้วแกหล่ะ เข้ามาทำไม อ้อ...แกบอกว่าเป็นบ้านนายของแกงั้นเหรอ งั้นแกก็ต้องเป็นคนรับใช้ของไอ้โกตี๋ เพื่อนฉันหน่ะสิ”

“เพื่อนของนายงั้นเหรอ.....คุณคือใครกันแน่”

“แกไม่รู้จักฉันงั้นเหรอ พ.ต.ท.น้ำฝน ทนทายาท อดีตสันติบาลมือ 1 แห่งพระนครหน่ะ”

“ท่านคือ พ.ต.ท.น้ำฝน แต่ก่อนหน้านี้ท่านเป็นพระไม่ใช่เหรอ หรือว่า...ท่านสึกออกมาแล้ว”

“ไอ้กล้า ฉันรู้ว่าแก จะต้องกลับมาที่นี่ ฉันก็เลยมารอแกอยู่นี่ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แกไปก่อคดีอะไรมาอีก ฉันเห็นคราบเลือดแก ติดอยู่กับชุดเสื้อผ้าเปรอะเปรื้อนมาเชียว แกก่อคดีมากี่คดีแล้ว เหตุใดยังไม่ยอมหยุด ยังจะทำเวรกรรมไปอีกเพื่ออะไร หรือว่าที่แท้ แกก่อคดีต่างๆ นาๆ นั้น ทำไปเพียงเพราะว่ามีคนบงการแกอยู่ ใครคนนั้น เขามีบุญคุณล้นเหลือกับแกมากนัก จนไม่อาจจะทดแทนบุญคุณได้หมด จนแกต้องไปก่อกรรม ฆ่าคนราวกับเป็นผักเป็นปลาเช่นนี้”

“มันไม่ใช่เรื่องของท่าน ที่จะมาเตือนสติอะไรคนอื่น เตือนตัวท่านเองเถอะ แล้วตอนนี้ท่านก็ไม่ใช่พระแล้วด้วย อย่ามาเสือกเรื่องของคนอื่น หาไม่แล้ว อย่าหาว่าไม่เตือน”

“จะไม่ให้ฉันยุ่งได้ยังไงหล่ะ ก็อีหนูพะนอนิจ นายของแก หรือลูกสาวของไอ้โกตี๋ มันกำลังพยายามจะมาใส่ความฉัน  พยายามชี้เบาะแสมาที่ฉัน ให้ตำรวจเข้าใจว่า ฉันคือผู้บงการฆาตกรรอยสักเหยื่อ 5 ศพ ซึ่งคนทำก็คือแกนั่นแหละ และอีหนูพะนอนิจ เป็นผู้บงการอีกที ฉันจึงจำเป็นต้องจับแกส่งทางการเสีย เพื่อให้เรื่องมันง่ายขึ้นเสียที”

“ต่อให้จับฉันส่งทางการได้ ฉันก็จะไม่พูดให้การว่าคุณหนู เป็นผู้บงการหรอก ฉันจะบอกกับตำรวจว่า แกนั่นแหละที่คือผู้บงการฉันให้สักรอยสักคำปริศนาในศพเหยื่อทั้ง 5 ศพนั่น คุณหนูไม่เกี่ยวข้อง”

“แล้วตำรวจเขาจะเชื่อแกเหรอ เพราะถ้าฉันเป็นผู้บงการให้แกไปฆ่าหรือสักคำปริศนาบนศพเหยื่อ ฉันจะทำไปเพื่ออะไร มูลเหตุจูงใจคืออะไร ในเมื่อฉันไม่ใช่คนที่เสียประโยชน์อะไรในคดีเหล่านี้ ฉันจะทำไปเพื่ออะไร ตรงกันข้าม เหตุมาเกิดจากไอ้โกตี๋มันตาย ลูกสาวมันแค้น หาว่าฉันคือต้นเหตุทำให้พ่อมันตาย มันก็เลยแค้นฉัน จึงบงการให้แกไปสร้างเรื่องฆ่าคน และสักคำปริศนาต่างๆ เพื่อสื่อสารกับทางการให้รู้ว่า ฉันคือต้นเหตุที่ทำให้พ่อของอีหนูพะนอนิจตาย แกสำคัญตัวเองผิดว่าแกคือพยานปากเอกในคดีนี้งั้นเหรอ ที่แท้แกคือ 1 ในผู้ร่วมขบวนการก่อคดีฆาตกรรมนี้ต่างหาก”

“ไม่...ฉันไม่ให้แกจับฉันไปส่งตำรวจเด็ดขาด”

“แกต้องไป ฉันจะเป็นคนเอาตัวแกส่งให้ทางการเอง มานี่”
นายกล้าลุกลี้ลุกลน พยายามจะขยับเขยื้อนเคลื่อนตัว เขยิบก้น ไถลหนีไปกับพื้น แต่นายน้ำฝน กำลังเดินตรงเข้ามาเพื่อที่จะกระชากเขาลุกขึ้นยืน ระหว่างที่ถูกกระชากตัวขึ้นยืนและกำลังจะถูกจับมัดมือด้วยเชือกนั้น เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้า เพื่อหยิบอะไรบางอย่างเข้าในปาก แล้วรีบกลืนลงคอไปต่อหน้าต่อตา นายน้ำฝน

“ฮะ...แกเอาอะไรเข้าปากไป”  นายน้ำฝนรีบยื้อยุดเอาซองกระดาษจากมือของนายกล้ามาดู ที่แท้มันคือผงสารเคมีอะไรบางอย่าง นายกล้าเริ่มมีอาการตาเหลือก ตาโปน ร่างกายสั่นกระตุก น้ำลายฟูมปาก และดิ้นล้มลงนอนกับพื้น

“แกเป็นอะไรนายกล้า....หรือว่านี่คือยาพิษ ไอ้กล้า....แกกินยาพิษเข้าไปเหรอ” สักครู่ไม่นานนายกล้าดิ้นชัก ตัวดิ้นตัวงอ ปากเบี้ยว น้ำลายฟูมปาก แต่ปากไม่มีสุ้มเสียงอะไรอีก จนนิ่งสงบขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตานายน้ำฝน  ทิดน้ำฝน จับชีพจร และตรวจสอบลมหายใจของนายกล้า จึงรู้ว่าเสียชีวิตแล้ว จากยาพิษที่ทานลงไป โดยยอมปลิดชีพตนเองเสีย ไม่ยอมถูกจับไปดำเนินคดี


วันรุ่งขึ้น พะนอนิจได้รับจดหมายจากคนถือสาส์น ที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร นำจดหมายมาส่งให้ถึงห้องพักคุณครูที่โรงเรียนสตรีวัดระฆัง เธอเปิดออกอ่านทันที

“อยากได้ตัวนายกล้า ให้มาหาฉันที่นี่ เรามีเรื่องต้องพูดคุยกัน......ลงชื่อ นายน้ำฝน”

“ฮะ....พี่กล้าโดนมันจับตัวไปงั้นเหรอ ไอ้น้ำฝน ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ชำระหนี้แค้นแกเสียที”
ในขณะที่สารวัตรเดชเองก็ได้รับจดหมายจากผู้ถือสาส์นเช่นกัน ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นที่ไขความกระจ่างของคดี และยุติคดีฆาตกรรอยสัก คำปริศนา และฆาตกรต่อเนื่อง ที่นี่คือศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย ที่ตลิ่งชัน ที่นี่จะมีรูปปั้นลิงปิดตา สัญลักษณ์ของปริศนา นัยว่าแม้แต่ลิงบริวารยังต้องปิดหูปิดตา ไม่อยากรับรู้ความจริง สารวัตรเดชไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่ส่งสาห์นให้เขา และเหตุใดต้องเป็นสถานที่แห่งนี้ เขาไม่รู้จัก และไม่เคยไปสถานที่แห่งนี้มาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะปฏิเสธเบาะแสของผู้ที่ต้องการไขปริศนาในคดีฆาตกรรมนี้ได้ จึงลักลอบเดินทางไปด้วยตนเอง ไม่ได้บอกใคร แต่หมวดกบี่มาแอบเห็นจดหมายนี้เข้า ภายหลังจากที่สารวัตรเดชลุกจากเก้าอี้ไปแบบฉุกละหุก แบบมีพิรุธ


การเสาะแสวงหาที่อันเงียบสงบแห่งนี้ เป็นความยากลำบากแล้ว แต่เมื่อมาพบเจอตัวสถานที่แห่งนี้จริงๆ ก็รู้สึกคุ้มค่า มันทั้งเงียบสงบ โปร่งโล่งสบาย และเย็นระเยือก ภายในโถงกว้างของศาลเจ้าภายใน ในวันธรรมดาที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล พบว่ามีผู้คนเข้าสักการะศาลเจ้าแห่งนี้บางตามาก แทบไม่มีผู้คนอื่นปะปน หรือจอแจ เหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วไป

พะนอนิจแต่งกายสุภาพ เดินทางเข้าไปยังโถงกลางของศาลเจ้า ก้มลงกราบพระพุทธรูปภายในศาลเจ้า และรูปหล่อเทพเจ้าเห้งเจีย จากนั้นจึงนั่งสมาธิหลับตาลง เพื่อให้จิตใจสงบ สักครู่ประตูศาลเจ้ากลับปิดประตูลง เสียงรอยเท้าของคนเดินเข้ามา

“ไอ้น้ำฝน ในที่สุดแกก็ยอมเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของแกออกมา แล้วไหนหล่ะพี่กล้า แกจับตัวเขาไปไว้ที่ไหน”

“นายกล้าตายแล้ว นี่เป็นใบหน้าของเขาตอนตาย เอ้าไปดูสิ”  นายน้ำฝนสไลด์มือถือของตนให้ไหลไปตามพื้น พะนอนิจหยิบโทรศัพท์ของน้ำฝน เพื่อเปิดดูรูปที่เขาถ่ายเอาไว้ พบเห็นสภาพศพของนายกล้า ที่เสียชีวิตในสภาพอุจาดตา

“นี่แกฆ่าพี่กล้าตายงั้นเหรอ ไอ้ชั่ว แกทำกับเขาทำไม”

“ฉันไม่ได้ฆ่าเขา ที่จริงฉันตั้งใจจะจับเขาส่งสันติบาล แต่ว่ากล้ามันไม่ยอม และควักยาพิษมากรอกปากตนเอง จนเสียชีวิต ฉันก็ช่วยไว้ไม่ทัน ไม่คิดว่าเขาจะคิดสั้นเช่นนี้”

“ก็แกบีบบังคับเขาไง เขาถึงต้องทำเช่นนี้”

“พะนอนิจ ถ้าฉันรู้ว่าเธอคือลูกสาวที่แท้จริงของไอ้โกตี๋ เพื่อนรักของฉัน ฉันจะไม่แสดงตัวออกมาแก้กลโคลงอะไรนั่นเลย ฉันจะยินยอมให้เธอจัดการฉันแต่โดยดี .....ฉันยอมรับว่า ฉันก็มีส่วนผิดอยู่บ้าง ที่ทำให้พ่อของเธอต้องตาย แต่ฉันไม่ใช่คนฆ่าพ่อของเธอรู้มั๊ย ฉันจะฆ่ามันทำไม ในเมื่อมันเป็นเพื่อนรักของฉัน”

“แกฆ่าพ่อฉัน ก็เพราะต้องการจะปิดปากพ่อ ที่พ่อไปให้ปากคำต่อสันติบาลว่าแกก็มีส่วนร่วมในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ด้วย แกขึ้นเวที นปช.เหมือนกับพ่อ แต่ตอนพ่อถูกจับ แกกลับไม่ปกป้องพ่อ แถมยังให้การว่า พ่อเป็นคนที่ขึ้นเวทีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นคนคิดล้มล้างราชบัลลังก์ ระบบกษัตริย์ และสถาปนารัฐไทยใหม่ แกเอาตัวรอดอย่างเห็นแก่ตัว แล้วโบ้ยความผิดให้พ่อเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่ตอนขึ้นเวที แกก็ร่วมอยู่ด้วย อย่ามาปฏิเสธหรือแก้ตัวเลย ฉันมีหลักฐานที่พ่อเขียนจดหมายระบายความในใจบอกฉันทั้งหมด พ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกที่เกาะกงและก็ถูกนักโทษด้วยกันเล่นงาน แล้วก็เป็นแกนี่แหละที่บงการคนไปอุ้มสังหารพ่อที่ สปป.ลาว จนพ่อเสียชีวิต ฉันไม่มีวันให้อภัยแกได้ และนี่คือที่มาที่ฉันต้องสร้างเรื่องสร้างราวทั้งหลาย วางแผนที่จะก่อคดีสะเทือนขวัญ เพื่อให้ทางการได้ทราบว่า ความยุติธรรมที่มืดบอด มันจะทำให้ประชาชนต้องขวัญผวาขนาดไหน ถ้ายังไม่ยอมคืนความยุติธรรมนั้นให้กับครอบครัวของฉันเสียที”

“พะนอนิจ หลานเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว การที่พ่อของหนูตายนั้น เป็นเพราะไปขัดแย้งกับทางการของประเทศเพื่อนบ้าน และไปขัดแย้งกับมาเฟียท้องถิ่นที่นั่น ไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลย ฉันจะไปบงการคนไปฆ่าโกตี๋มันทำไม ส่วนเรื่องที่ฉันขึ้นเวทีร่วมกับเขา แล้วบอกว่าฉันก็หมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น มีการสอบสวนในทางลับแล้ว ว่าฉันไม่ได้หมิ่น มีคลิปที่สามารถค้นหาดูได้ ฉันไม่ได้ทำเลย มีเพียงโกตี๋เท่านั้นที่พูด ไม่เช่นนั้นสันติบาลจะยอมปล่อยตัวฉันกับหมอปรีด์เปรมหรอกเหรอ”

“ก็ที่แก กับไอ้ปรีด์เปรมหลุดรอดจากคดีมาได้ ก็เพราะว่าใช้เส้นสายผู้ใหญ่ช่วยยังไงหล่ะ แก 2 คนมีสถานะทางสังคมที่เหนือกว่าพ่อ แถมยังรับราชการด้วยกันทั้งคู่ จึงรอดเงื้อมมือกฎหมายมาได้ ปล่อยให้พ่อของฉันต้องเป็นแพะรับบาปอยู่เพียงคนเดียว โดยที่พวกแกไม่เคยไปเหลียวแลเยี่ยมเยียนเสียด้วยซ้ำ นี่เหรอคือคำว่าเพื่อนรัก ยังมีหน้ามาตอแหลอยู่อีก สารเลวเอ๊ย ฉันไม่อยากฟังคำโกหกพกลมของพวกแกอีกแล้ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในเมื่อแกทำให้พ่อฉันต้องตาย แกก็ต้องตายตามตกไปตามกันนั่นแหละ”   พะนอนิจควักปืนออกจากกระเป๋าถือ แล้วจ่อไปที่ขมับของนายน้ำฝน ในขณะที่ยังไม่ได้ตั้งตัว

“มีอะไรจะสารภาพอีกมั๊ย ไอ้คนชั่ว คนที่พ่อเคยไว้ใจ แต่แกทำกับเขาเช่นนี้ ฉันจะส่งแกลงนรกไป ก่อนที่ทางการจะสืบรู้ความจริงทั้งหมดจะดีกว่า”  ยังไม่ทันที่พะนอนิจจะลั่นไกล เหมือนมีเสียงคนตะโกนห้ามมาแต่ไกล และวิ่งเข้ามากันนายน้ำฝนเอาไว้ จนลูกกระสุนปืนลั่นขึ้น ร่างของสารวัตรเดชล้มลง เลือดนองกับพื้นห้องโถงของศาลเจ้า เสียงตะโกนเรียกของพะนอนิจดังระงมไปทั่วห้องโถงของโรงเจ แต่สารวัตรเดชแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หูอื้อตาลาย ตาปรือใกล้จะริบหรี่ วินาทีนั้นเขาได้รับรู้ความจริงทุกอย่างหมดแล้ว เขาแอบฟังอยู่นอกห้อง โดนแง้มประตูฟังเสียงสนทนาของคนทั้ง 2 แต่ไม่คาดคิดว่าพะนอนิจจะตัดสินใจที่จะยิงนายน้ำฝน ซึ่งสารวัตรเดชหมายจะมาจับกุมไปดำเนินคดี แต่กลับได้รู้ความจริงอีกอย่างอันกลับตาลปัตร และน่าตกใจ เพราะที่แท้แล้วพะนอนิจต่างหากที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด เป็นผู้บงการนายกล้าให้ไปสังหารคน และสักคำปริศนาบนศพเหยื่อทั้ง 5 เอง กว่าจะรู้ความจริง ความตายก็รุกคืบมาใกล้ตัว เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาจะระลึกเหตุการณ์ทั้งหมด ลมหายใจเขาก็ขาดช่วงลง และสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตาพะนอนิจ เธอแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ว่าจะเป็นคนสังหารชายคนรัก ที่ตนเองเคยคิดว่าจะเป็นเพียงชายคนเดียวที่เหลืออยู่ คนสุดท้ายที่รักเธอ และอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต แต่แล้วเขาคนนั้นต้องมาตายด้วยน้ำมือของเธอเอง ห้วงนั้น เธอตกอยู่ในภวังค์แห่งความเสียใจอย่างล้นเหลือ ไม่เหลือความคิดที่จะไปแก้แค้นหรือลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น 

แต่แล้วก็มีเสียงปืนอีกนัดยิงแสกศีรษะของนายน้ำฝนจากทางข้างหลัง นายน้ำฝนล้มลงต่อหน้าพะนอนิจอีกศพนึง พร้อมกับการปรากฏกายของหมวดกบี่ ที่ติดตามมาจนพบเห็นว่ามีคนอยู่ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ คือสารวัตรเดช คุณพะนอนิจ และก็ทิดน้ำฝน หรือพระน้ำฝนที่สึกออกมาแล้ว พอเห็นสารวัตรเดชถูกยิงจนเสียชีวิต หมวดกบี่จึงเข้าใจเป็นว่า นายน้ำฝนเป็นคนฆ่า และพะนอนิจร้องห่มร้องไห้อุ้มร่างของสารวัตรเดชอยู่ด้วยความเสียใจ หมวดกบี่ประติดประต่อเรื่องราวขึ้นเองจนรู้ว่า นายน้ำฝนคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมทั้งหมด พอสารวัตรเดชจะมาจับกุม จึงเกิดการต่อสู้และสารวัตรเดชถูกยิงจนล้มลงและเสียชีวิต จึงตัดสินใจปลิดชีพของนายน้ำฝนทันที เพราะเกรงว่าคุณพะนอนิจจะเป็นอันตรายไปด้วย

“สารวัตรเดช ผมเสียใจที่มาช้า ....คุณพะนอนิจ คุณเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว ผมจะแจ้งต่อนายเหนือหัวว่า จำเป็นต้องวิสามัญนายน้ำฝน เนื่องจากขัดขืนการจับกุม และต่อสู้จนสารวัตรเดชถูกยิงจนเสียชีวิต”


จากนั้นกองกำลังที่มากับหมวดกบี่ ก็เข้าทำการเคลียพื้นที่ นำศพของสารวัตรเดชและนายน้ำฝนออกจากศาลเจ้า และให้กองพิสูจน์หลักฐานมาทำการเก็บชิ้นส่วน เก็บหลักฐาน ก่อนจะนำศพของคนทั้ง 2 ไปยังนิติเวช เพื่อทำการชันสูตรศพ และรายงานต่อนายเหนือหัวต่อไป


อีก 5 ปีต่อมา พะนอนิจ พาวินธัยไปมอบตัว เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย และพอเสร็จจากการเป็นผู้ปกครองมอบตัวเด็ก ก็เดินทางไปสักการะอัฐิของสารวัตรเดช ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ราชวรมหาวิหาร

“พี่เดช ถึงแม้พี่จะจากไปไกลแล้ว แต่ฉันรับปากพี่ว่า จะอยู่ดูแลตาวินธัย ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้ดีให้ได้ พี่อย่าเป็นห่วงเลยนะ ฉันจะดูแลเขาเป็นอย่างดี.....ความผิดบาปในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมา ฉันขอรับไว้คนเดียว แม้นไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งทางการ ว่าฉันเป็นคนกระทำเรื่องทุกอย่างขึ้นมาเอง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้ ตัวฉันเองก็รู้ ฉันขอรับบาปเคราะห์กรรมนั้นไว้เพียงคนเดียว ขอให้ลูกเรา ไม่ต้องมีส่วนมารับรู้หรือรับเคราะห์กรรมอะไรที่เกิดขึ้นจากตัวฉันเลย ฉันขอวิงวอน....ฉันจะทำบุญกรวดน้ำให้พี่ทุกปี  และนับจากนี้ไป ฉันจะทำแต่ความดีเพื่อไถ่บาป ให้กับความผิดของตัวฉันเอง คุณพ่อ และพี่เดช และตาวินธัยด้วย................”
 

  เสียงเทศน์ของพระในวัดมหาธาตุ     "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
                                                 "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
                                                 "ความพยาบาทคือหนทางแห่งความหายนะ"


   

                                                       จบบริบูรณ์