รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนหักเหลี่ยมทรชน ep.23
23.
ที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ทานากะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
เพื่อรักษาตัว เนื่องจากเขาไม่รู้สึกตัว
คล้ายร่างกายถูกฤทธิ์ยากล่อมประสาทจนทำให้ไม่มีสติ ตาเหลือกโพลน ร่างกายแข็งเกร็ง
ตอนที่เซโตะพบตัวเจอเขาครั้งแรก เขานอนฟุบหลับอยู่ที่พื้น
ในเครื่องแต่งกายคล้ายนักรบซามูไร เมื่อเซโตะกระชากหน้ากากปีศาจของเขาออก
จึงพบว่าเป็นทานากะ จึงได้นำตัวเขาส่งต่อให้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทีมเดย์วูล์ฟ
ของท่านผู้กำกับอาชิโยดะ โดยที่เซโตะต้องการติดตามไปเล่นงานพวกพ้องของตน คือ
นางคูนิคาวา ซาคาว่า อาคิเตะ และยิออนมารุ แต่นางคูนิคาวา ซาคาว่า และอาคิเตะ
ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไปแล้ว ยังเหลือยิออนมารุ ที่หลบหนีไปได้
จึงทำให้เซโตะ ต้องการติดตามไปจับกุมตัวมาไห้ได้ แต่ก็ไม่สามารถตามได้ทัน
มันหนีไปได้พร้อมๆ กับหน.แก๊งค์สาขา 1,2
ที่จริงเซโตะต้องการพูดคุยกับนางคูนิคาวามากที่สุด
เขาข้องใจว่าเหตุใดนางจึงทำกับพวกของตนเช่นนี้ ทั้งๆ ที่นายใหญ่อย่างฮาจิโมโตะ
และนายน้อย นาโตะซัง ก็จงรักภักดีต่อนาง (นายใหญ่สูงสุด) มากที่สุด
หากต้องการสิ่งใด ที่ผ่านมาก็สามารถพูดคุยให้เข้าใจกันได้ทุกครั้ง
แต่เซโตะไม่เข้าใจว่า เหตุใดนางถึงต้องสังหารนายใหญ่และนายน้อยด้วย
อีกทั้งถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนแบ่งจากการค้ายาเสพติดในล็อตใหญ่นี้
เซโตะเคยเปรยในที่ประชุมใหญ่ของแก๊งค์สาขา 3 แล้วว่า
ตนเองกับพวกไม่ขอรับเงินส่วนแบ่งในส่วนนี้
เนื่องจากตนกับพวกไม่ได้มีส่วนออกแรงมากเท่าไหร่
แต่ยกเว้นผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติดล็อตอื่นๆ หรือก่อนหน้านี้
ที่ตนกับพวกมีส่วนในการออกแรง แต่เรื่องผลประโยชน์ที่ลึกลับซับซ้อนเหล่านี้
เป็นเรื่องที่นายใหญ่กับนายสูงสุด เป็นผู้ตกลง จัดสรร หรือแบ่งปันกัน
ตามแต่จะเจรจากัน ซึ่งตนเอง ก็ไม่เคยได้รับรู้ในรายละเอียดมากนัก
ยกเว้นแต่นายใหญ่จะเล่าให้ฟังเอง แต่อย่างน้อย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสังหาร
นายใหญ่กับนายน้อยเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่เซโตะไม่อาจจะเข้าใจได้
รวมถึงเหตุใดซาคาว่า อาคิเตะ และยิออนมารุ ซึ่งเป็นพรรคพวกของตน
จึงได้แปรภักดิ์ไปเข้ากับแก๊งค์สาขา 1 ของนายใหญ่สูงสุด
ยิ่งทำให้เซโตะเหมือนถูกหลอก และโดนหักหลังจากพรรคพวกเพื่อนฝูง
เขาไม่อาจทำใจยอมรับได้ ทั้งๆ ที่ผ่านมา เขาทุ่มเท ให้ใจ และทำงานให้กับแก๊งค์สาขา
3 อย่างเต็มที่กำลัง หมดใจ แม้แต่ผลประโยชน์ก็เคยไฟลต์ให้กับเพื่อนๆ
ในแก๊งค์ หรือยอมแบ่งให้เพื่อนๆ ก่อน หากว่าเพื่อนๆ ขอ เซโตะเป็นรอง
หน.แก๊งค์ที่จิตใจกว้างขวาง และเอื้อเฟื้อแก่ทุคนในแก๊งค์
เรื่องนี้สมาชิกทุกคนรู้ดี เขาเป็นคนไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน หรือสมาชิกคนใดเลย
แต่กลายเป็นครั้งนี้เขากับนายใหญ่ นายน้อย ถูกเพื่อนๆ
สมาชิกในแก๊งค์รวมหัวกันหักหลัง ทรยศ มันคือความเจ็บปวด
และคลั่งแค้นที่สุดของเซโตะ แต่ในเมื่อนายสูงสุด ซาคาว่า และอาคิเตะ
ถูกตำรวจนำตัวไปดำเนินคดีแล้ว ก็ต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเล่นงานไป
ยังคงเหลือยิออนมารุ กับบรรดา หน.แก๊งค์รุ่นใหม่ ที่เซโตะยังต้องการพบ
และนัดเคลียร์ใจ ว่า เหตุใดถึงทำกับตนเช่นนี้
ทางด้านผุ้กำกับอาชิโยดะ กับลูกน้องในทีมเดย์วูล์ฟ
ได้ตัวทานากะ มาจากเซโตะ ก็ได้ส่งตัวเขาให้แพทย์ได้ทำการรักษาตัว
และนำตัวเข้าห้องไอซียู เพื่อล้างพิษในกระเพาะ ลำไส้ และภายในกระแสเลือดในร่างกาย
เนื่องจากเขาได้รับสารกล่อมประสารทในร่างกายจำนวนมาก และยังต้องนำตัวไปให้ออกซิเจน
กระตุ้นการเต้นของหัวใจ เนื่องจากเกิดอาการช็อคจนดับวูบไปชั่วขณะ
และได้รับการกระตุ้นหัวใจ ให้เต้นกลับมาได้ในที่สุด
ตอนนี้ทานากะกำลังนอนให้น้ำเกลือ และสารอาหาร ผ่านเข้าทางเส้นเลือด นอนไม่รู้สึกตัวในห้องพัก
ภายหลังจากรอดพ้นนาทีวิกฤติมาได้ในห้องปฏิบัติการฉุกเฉินกว่า 4 ชั่วโมงเต็ม
“คุณหมอครับ ทานากะ อาการเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ตอนนี้เขาพ้นวิกฤติมาได้แล้ว ร่างกายอยู่ระหว่างการพักฟื้น
ให้น้ำเกลือและสารอาหารผ่านทางเส้นเลือด ตอนนี้ต้องให้เขาได้พักผ่อน
เพื่อดูอาการอีกซักระยะ แต่ว่า......”
“แต่ว่าอะไรครับ คุณหมอ”
“เนื่องจากร่างกายเขาเคยได้รับสารเสพติดมาก่อน
บวกกับครั้งนี้เขาได้รับสารเสพติดแบบเดียวกันซ้ำๆ เข้าไปอีก
ทำให้เขามีภาวะความเสี่ยงที่จะติดยาเสพติด ภายหลังพักฟื้นจนหายดีแล้ว
เขาควรได้รับการบำบัดภาวะติดยาเสพติดด้วย จะดีมาก”
“ยาเสพติดงั้นเหรอ ปกติ ทานากะไม่น่าจะเป็นผู้เสพติดยา.....?”
“เขาติดยา ผ่านกระบวนการบังคับ โดยถูกฉีดยาเข้าทางเส้นเลือดโดยตรง”
“เขามีทางรักษาให้หายเป็นปกติมั๊ยครับ คุณหมอ”
“มีครับ เขาควรได้รับการบำบัดรักษาโดยด่วน และจะต้องระวัง
ไม่ให้ได้รับสารเสพติดเหล่านั้นกลับมาอีก”
“คุณหมอครับ ผมหมายถึงอาการทางจิต หรือทางประสาทด้วยครับ”
“เรื่องนี้ หมอไม่สามารถจะตอบได้ว่า
เขาจะมีทางจิตที่รุนแรงหรือไม่ ต้องคอยสอดส่องดูพฤติกรรมของเขาด้วย
หากพบว่ามีอาการทางจิต หรือประสารทหลอน กระบวนการบำบัดรักษาอาจช่วยได้.........อ้อ! มีอีกเรื่องนึง
ซึ่งหมออยากจะแจ้งต่อญาติหรือคุณอาชิโยดะ
ในฐานะเจ้านายหรือผุ้บังคับบัญชาของเขาก็คือ....”
“มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับทานากะอีกเหรอครับ”
“ตอนที่หมอนำตัวเขาเข้าห้องไอซียู
และต้องมีการเปลี่ยนชุดเครื่องแต่งกายของเขา หมอพบว่าบนร่างกายของเขา
มีรอยสักอยู่เต็มตัว โดยเฉพาะผิวหนังด้านหลัง จนถึงต้นขา ซึ่งก่อนหน้านี้
ตอนที่เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อครั้งก่อน
หมอจำได้ว่าเขายังไม่มีรอยสักเช่นว่านี้อยู่บนร่างกายของเขามาก่อน
....หมอจึงไม่แน่ใจว่า ตกลงคุณทานากะ โดนพวกแก๊งค์อาชญากรเหล่านี้
บังคับสักลายบนตัวด้วยเหรือเปล่า เหมือนๆ กับที่มันบังคับให้ทานากะ
ได้รับสารเสพติดในร่างกาย ในแบบเดียวกัน”
“จริงเหรอครับ
แสดงว่าช่วงที่ทานากะนำหมายจับมาเจรจาเพื่อจับกุมนางฮาซาโระ คูนิคาว่า The Boss ใหญ่ของแก๊งซูมิโยชิ-ไค เขาอาจพลาดท่าเสียที โดยพวกมันจับกุมตัวไว้เสียเอง
และบังคับให้เสพสารเสพติด รวมถึงถูกบังคับสักลายบนร่างกาย เฉกเช่นเดียวกับพวกมัน
พวกมันอาจต้องการกระทำเช่นนี้เพื่อเย้ยหยันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ที่สามารถคลี่คลายคดีนี้ได้สำเร็จ
ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานการกระทำความผิดของพวกมันได้ นำมาซึ่งการออกหมายจับพวกมัน
และมันอาจตั้งใจจับกุมตัวทานากะไว้เป็นตัวประกัน เฉกเช่นที่พวกมันจับได้ว่า
เราส่งสปายสายลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่กับพวกมัน ก็คือ ทาสึยะ
แต่มันล่วงรู้จนจับได้ในที่สุด จึงตั้งใจจะลงโทษทาสึยะ โดยไลฟ์สด
หรือยินยอมให้นักข่าวเข้าไปทำการรายงานสด เพื่อหวังประจานความล้มเหลวของกรมตำรวจ
ผ่านสื่อมวลชน ด้วยการออกทีวี แต่โชคดีว่า เราได้ปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกัน
ทาสึยะ ออกมาได้ เฉกเช่นที่เราบุกเข้าไปจับกุมตัวนางคูนิคาวา กับพวกได้สำเร็จ
จนทำให้เจ้าหน้าที่อย่างพวกเราสามารถเข้าไปช่วยเหลือชีวิตของทานากะเอาไว้ได้ทัน”
“หมออยากให้ คุณอาชิโยดะ ดูแลคุณทานากะ
ในช่วงบำบัดรักษาอาการติดยา และให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับแก๊งค์อาชญากร
เพื่อให้เขาห่างไกลจากความเสี่ยงของคนเหล่านี้จะดีที่สุด”
“ผมจะพยายามครับ ขอขอบคุณ คุณหมอมาก
ที่ช่วยรักษาอาการของทานากะทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา”
หลังจากนั้น 3 วัน เจฟฟรีย์กับเอวา (คุณหมออิวาสะ)
ได้รุดมาเยี่ยมเยียนทานากะถึงโรงพยาบาล
“ทานากะ ขอให้นายหายเร็วๆ แล้วออกจากโรงพยาบาลมา
เราจะได้ไปกินเลี้ยงฉลองกัน”
“ฉลองอะไรเหรอ”
“ฉลองวันแต่งงานของฉันกับเอวา และฉลองให้กับนาย
ที่มีส่วนช่วยเหลือคลี่คลายคดียักยอกเงิน ฟอกเงินของขบวนการค้ายาเสพติด
ที่มีนางฮาซาโระ คูนิคาวา เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง”
“ขอบใจนายมาก และคณหมออิวาสะ ถ้าไม่ได้พวกคุณ
ผมก็คงจะทำงานไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
และขอแสดงความยินดีล่วงหน้าในโอกาสที่คุณทั้ง 2 คนจะแต่งงานกัน
ผมขออวยพรให้คุณทั้ง 2 มีความสุข
ครองคู่กันไปตราบชั่วกาลนาน”
“เฮ้ย!ๆๆ เดี๋ยวก่อน ทานากะ
นายพูดเหมือนกับว่าจะไม่ไปงานแต่งของฉัน ยังไม่ต้องรีบอวยพรตอนนี้
ฉันต้องการให้นายไปอวยพรฉันกับเอวา ในงานเลี้ยงวันแต่งงานของฉันมากกว่า
ยังไงก็ถือโอกาสเรียนเชิญซะเลยวันนี้”
“เออ...คุณเจฟฟรีย์ แล้วตกลง
เรื่องคดีฟอกเงินของมูลนิธิฮาซาโระ จะมีผลกระทบไปถึงคุณ
หรือตัวบริษัทของคุณอย่างไรหรือเปล่าครับ”
“โชคดี ที่ฉันให้ความร่วมมือกับหน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง
และได้มอบเอกสารหลักฐานสำคัญเหล่านั้น ให้นายไปมอบให้ท่านผู้การคันวา
ทำให้ฉันกับตัวบริษัทไม่ต้องถูกดำเนินคดีไปด้วย
ทางการรู้แล้วว่าบริษัทของฉันไม่ได้มีส่วนรับรู้หรือเกี่ยวข้องกับเงินที่นำมาลงทุนเหล่านั้น
จึงได้กันฉันเอาไว้เป็นพยานฝ่ายโจทก์
ถือเป็นความโชคดีที่ทำให้ฉันไม่ต้องติดร่างแหนี้ไปด้วย อีกทั้งยังมีคดีอีกอย่าง
ทางที่ประชุมผู้ถือหุ้นและที่ประชุมบอร์ดของบริษัท
ยังคงมอบความไว้วางใจให้ฉันได้นั่งในตำแหน่ง CEO ของบริษัทไปอีก 1
สมัย ฉันดีใจจนบอกไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเป็นประโยคว่าอย่างไรดี
ทานากะ นายว่าฉันควรพูดประโยคอะไรที่จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ
นี้ออกมาได้วะเพื่อน”
“กูรักมึงหว่ะ”
“เออ...ใช่ กูรักมึงหว่ะ ไอ้เพื่อนยาก ขอกูกอดมึงทีนะ
ทานากะ” จากนั้นเจฟฟรีย์ โผเข้าไปกอดทานากะ ที่นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง
ต่างฝ่ายต่างกอด แสดงความยินดี ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางรอยยิ้มของอิวาสะ
ที่เห็นเพื่อนรัก 2 คน สวมกอดแสดงความยินดีกัน ระหว่างนั้นมีชายหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้ามาในห้องคนไข้
“เอิ่ม ผมมาขัดจังหวะ คู่รัก อะไรกันหรือเปล่าครับ” เสียงของชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยทักทายแบหยอกเอินขึ้น
“เอ้า....เฮ้ย ซันโตะชิ นี่แก มาได้ยังไงวะ”
“เอิ่ม....ฉันได้ยินข่าว
ว่าแกไปช่วยเหลือการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ แล้วได้รับบาดเจ็บ
นำตัวส่งโรงพยาบาล ฉันก็เลยหาโอกาสมาเยี่ยมแกหน่ะ”
“เออนี่....แกมาทักทายกับคุณเจฟฟรีย์สิ
คนที่เคยช่วยเหลือแกกับฉันเอาไว้ไง จำได้มั๊ย”
“คุณเจฟฟรีย์”
“นี่คุณหมออิวาสะ แฟนของคุณเจฟฟรีย์”
“สวัสดีครับ คุณหมออิวาสะ”
“ซันโตชิ ฉันได้ยินเรื่องของนาย ที่ทานากะเล่าให้ฉันฟังแล้ว
ดูเหมือนนายจะเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ ฉันอดภูมิใจแทนนายไม่ได้ ที่นายมีเพื่อนรัก
และเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง เพื่อนแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ”
“ผมก็ได้ยินเรื่องของคุณเจฟฟรีย์และคุณหมออิวาสะ
ผ่านการเล่าของทานากะเช่นกัน ผมต้องขอขอบคุณ คุณทั้ง 2 คน
ที่มีส่วนในการช่วยเหลือทานาก และผม ผมไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณ
พวกคุณอย่างไรเลยในชีวิตนี้”
“อ๋อ....ไม่ต้องเลย ซันโตชิ ขอให้นายเป็นตัวนายแบบนี้แหละ
และไม่ต้องคิดว่า การที่ผมช่วยเหลือคุณหรือทานากะ จะเป็นหนี้บุญคุณอะไร
มันเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ดีควรพึงกระทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เอาหล่ะ
ฉันไม่รบกวนนายทั้ง 2 คน จะได้มีโอกาสพูดคุยกัน ฉันกับเอวา
จะขอกลับก่อนนะ ทานากะ นายพักผ่อนมากๆ นะ แล้วขอให้สุขภาพของนายหายดีโดยเร็ว จะได้ออกจากโรงพยาบาลมางานแต่งของฉันได้ทัน”
“บาย.....”
พอเจฟฟรีย์กับอิวาสะกลับไปแล้ว ซันโตชิค่อยเขยิบตนเองมานั่งใกล้ๆ
เตียงคนไข้ เพื่อจะได้สนทนากับทานากะได้ใกล้ชิดมากขึ้น
“ซันโตชิ ตอนนี้ครอบครัวของนายเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“แม่ฉันสบายดี ตอนนี้ครอบครัวของฉัน
ก็กลับมาอยู่ที่บ้านหลังเดิมแล้ว เราเข้ามาซ๋อมแซม และปรับปรุงมันให้ดีขึ้น
ภายหลังจากที่ปล่อยทิ้งร้างมาเกือบปี จนมันสกปรก และชำรุดทรุดโทรมลงไป จากพายุฝน
และก็ทำความสะอาดจนเป็นบ้านหลังใหม่ ที่สะอาด และน่าอยู่เหมือนเดิม”
“แล้วอาเบะ น้องชายนายเป็นไง”
“หลังจากที่มันต้องหยุดเรียนไปพักนึง ตอนนี้ก็ไปขอครูใหญ่
กลับเข้าไปเรียนใหม่ได้แล้ว และก็ให้มันไปทดสอบฝีเท้า เพื่อเข้าทำการอบรม คัดตัว
เป็นนักฟุตบอลยุวชนประจำสโมสรหน่ะ มันเป็นความฝันของมัน ฉันก็เห็นดีเห็นงามด้วย
แม่ฉันก็สนับสนุน”
“ก็หมดห่วงไปเปราะนึง แล้วเรื่องฐานะการเงินของบ้านแก
และก็งานของแกเป็นอย่าไงรบ้าง”
“ตั้งแต่แกเคลียร์หนี้กับบ่อน
และหนี้คงค้างกับไอ้พวกซาคาว่า เซโตะ หมดแล้ว ฉันก็สบายใจ
และไม่ได้มีหนี้อะไรอีกแล้ว เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันไปสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่โกดังเก็บของ
และคนขับรถประจำตำแหน่งท่านนายกเทศมนตรี ปรากฏว่าฉันได้ ทั้ง 2
งาน กำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะเลือกเอางานไหนดี”
“แล้วเรื่องรายได้หล่ะ อันไหนดีกว่า ก็เอาอันนั้นสิ”
“ถ้าพูดถึงเรื่องเงินเดือน ก็ต้องที่โกดังเก็บสินค้าเอกชน
แต่ว่ามันเป็นงานหนัก ต้องเข้ากะเช้าและเลิกดึก
ถึงแม้รายได้เยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉันเกรงว่า
จะไม่มีเวลาไปดูแลแม่เลยหน่ะสิ”
“แกก็เลยเลือกที่จะทำงานเป็นคนขับรถประจำตำแหน่งท่านนายกเทศมนตรี
ใช่มั๊ย”
“ก็คงงั้นแหละ แกคิดว่า ฉันควรเลือกงานไหนหล่ะ”
“ฉันไม่รู้จะช่วยแกตัดสินใจยังไง เอาที่แกคิดว่าทำแล้ว
มันดีต่อครอบครัวแกก็แล้วกัน”
“เอิ่ม ....ฉันตัดสินใจไปแล้วหล่ะ
ฉันเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ประจำโกดังสินค้าหว่ะ”
“เอ้า.......เฮ้ย
ตกลงแกเลือกเอางานที่แกบอกเองว่าเป็นงานหนัก และไม่มีเวลาไปดูแลแม่เนี่ยนะ”
“ฉันจำเป็นต้องเลือกงานที่ให้รายได้สูงกว่า
เพราะภาระค่าใช้จ่ายทางบ้านฉัน ไหนจะสุขภาพของแม่ฉัน ไหนจะค่าใช้จ่ายของน้องชาย
ที่จะต้องไปอยู่โรงเรียนประจำอีก ฉันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว”
“เอาหล่ะ ซันโตชิ ฉันเชื่อว่านายจะทำมันได้ดี
นายเก่งอยู่แล้ว ฉันมั่นใจ.....ฉันขอให้นายโชคดี”
“ทานากะ หลังจากนี้ นายกับฉัน คงมีเวลาเจอกันน้อยลง
แต่ถ้ามีอะไร นายโทร.หาฉัน ฉันคือเพื่อนรักของนาย” หลังจากนั้นซันโตชิโผเข้ากอดทานากะ
น้ำตาคลอเบ้า
อีก 1 เดือนต่อมา ที่เรือนจำกลาง กรุงโตเกี่ยว ทานากะเดินทางไปเยี่ยมบิดาของตนที่เรือนจำอีกครั้ง
เป็นเวลานานนับปีแล้ว ที่ทานากะไม่ได้ไปเยี่ยมบิดาของตนที่เรือนจำ
ครั้งนี้พอมีเวลามากขึ้น เขาจึงหาโอกาสไปเยี่ยม
“ท่านพ่อ ผมทานากะ มาหาพ่อแล้ว”
“ถ้าไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องมาก็ได้ แล้วแม่ของลูก
อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณแม่สบายดีครับ ยังรักษาตัวอยู่ในการควบคุมของคุณหมอ
แม้อาการดูเหมือนจะไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง ตอนนี้ผมได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว
ผมจึงมีเวลากลับไปเยี่ยมบ้านได้บ่อยขึ้น พ่ออยากฝากอะไรไปถึงแม่มั๊ยครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก พ่ออยากให้ลูกรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี
แล้วก็ระมัดระวังตัวเองด้วย งานที่ลูกทำมันมีความเสี่ยงมากนะ .....แล้วเมื่อไร
พ่อจะได้เห็นหน้าหลานบ้าง...”
“พ่อครับ ผมกับเทมิสะ เราเลิกกันแล้ว
เทมิสะแต่งงานไปแล้วกับทาเคชิ เพื่อนของผมเอง
แล้วเขาก็ยังเป็นทนายที่มาดูแลคดีของพ่อ ต่อจากทนายคนก่อนด้วย
พ่อเคยเห็นหน้าเขาแล้วใช่มั๊ย”
“แล้วแกเสียใจมั๊ย ที่แฟนตัวเองไปแต่งงานกับเพื่อนของแกเอง”
“ไม่หรอกครับ เขาทั้ง 2 คน
เป็นเพื่อนรักของผมทั้งคู่ พวกเขาเหมาะสมกันดี ผมก็ยินดีกับเขาด้วย”
“แล้วแกคบกับใครอยู่หล่ะตอนนี้”
“ยังครับ ผมยังไม่เจอใครที่ถูกใจ........อาจจะเจอแล้ว
แต่เธอก็มีคู่ครองแล้ว....ผมคงจะเป็นคนอาภัพในเรื่องคู่ครองครับพ่อ คนที่ผมชอบ
มักมีแฟนกันหมดเลย”
“เฮ้อ......แกมันทั้งรูปหล่อและเป็นคนดีขนาดนี้ พ่อคิดว่า
สักวัน แกจะต้องได้เจอผู้หญิงดีๆ เข้าสักวัน คนที่จะรักแก
และเป็นคู่ครองของแกจริงๆ”
“พ่อครับ ตอนนี้ ผมโฟกัสกับงานอย่างเดียว ไว้ผมกลับมาเยี่ยมพ่ออีกครับ...”
ทานากะเดินทางออกจากเรือนจำกลางกรุงโตเกียวแล้ว
ก็เดินทางต่อไปยังบ้านของตน เพื่อเยี่ยมมารดาและน้าสาว ในย่านชิบะ ทานากะนั่งรถไฟ
และไปต่อด้วยรถประจำทาง ลงยังหน้าหมู่บ้าน และเดินเท้าเข้าไปที่บ้าน
ระหว่างทางเดิน เขาพยายามซึมซับบรรยากาศ และความคุ้นชิน ความทรงจำในวัยเด็กของเขา
ที่ต้องเดินกลับบ้าน เวลาไปเรียนหนังสือ บรรยากาศและสภาพตึกรามบ้านช่อง
ยังคงได้กลิ่นไอ และความรู้สึกที่เหมือนเดิม เพื่อนบ้าน
คุณลุงคุณป้าที่ยังเคารพรัก ยังคงเดินแวะทักทาย ลุงป้าเหล่านั้น
ยังคงจำทานากะได้ทุกคน
“ทานากะ เหรอ โอ้โห
เดี๋ยวนี้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว ป้าจำแทบไม่ได้เลย”
“คุณป้าก็ยังแข็งแรงดีนะครับ”
“ทานากะ หน้าไม่เปลี่ยนเลย แต่ที่เปลี่ยนก็คือ
ร่างกายใหญ่โต เป็นหนุ่มหล่อสมาร์ท เป็นที่พึ่งของประชาชนแล้วตอนนี้”
“คุณลุงครับ ก็พูดเกินไปนะครับ ผมยังเป็นทานากะเหมือนเดิม ไอ้เด็กคนนั้น
ที่เคยวิ่งมาขอขนมและน้ำคุณลุง ผมหิวมากตอนนั้น กินมูมมาม จนสำรอกออกมา
คุณลุงยังต้องปรามผมว่า ค่อยๆ กิน เถอะ พ่อหนูน้อย”
“ทานากะ วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านงั้นเหรอ”
“ใช่ครับ กลับมาเยี่ยมคุณแม่กับคุณน้าครับ”
“ฝากเอาผลไม้ของร้านป้า ไปฝากคุณแม่กับคุณน้าด้วยนะ”
“เอ่อ...จะดีเหรอครับ”
“รับไว้เถิด ถือเสียว่า ป้าฝากไปเยี่ยมแม่ด้วย
เพราะว่าวันนี้ลุงกับป้ายุ่งมาก ยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมทักทายนะ ถือเสียว่า
ลุงกับป้า ฝากไปเยี่ยมด้วยนะ”
“ขอบคุณ คุณลุงคุณป้า นะครับ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”
พอไปถึงบ้าน ถอดรองเท้าออก คุณน้าและคุณแม่
ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อ เคลื่อนไหวไปมา รอบๆ บ้าน พอเห็นทานากะ
ที่ยืนอยู่ตรงประตูบ้าน ด้วยชุดเครื่องแต่งกายของตำรวจ ก็รู้สึกปิติยินดี
ปลาบปลื้มใจเป็นอันมาก
“ทานากะ ลูกแม่”
“คุณแม่ครับ” ทานากะโผเข้าไปกอดมารดาของตนทันที “คุณแม่ครับ วันนี้ผมไปเยี่ยมท่านพ่อมา
พ่อยังฝากความคิดถึง และห่วงใยมาถึงคุณแม่ด้วยครับ”
“ทานากะ เหตุใดวันนี้ ลูกจึงแต่งกายด้วยชุดตำรวจ
กลับมาเยี่ยมแม่หล่ะ”
“คือว่า....ตอนนี้ผมได้เลื่อนตำแหน่ง และชั้นยศ
ขึ้นเป็นรองผู้กำกับสถานีตำรวจอาคาซากะแล้วครับ ผมอยากให้คุณแม่ภูมิใจในตัวผมครับ”
“แม่ดีใจกับลูกด้วย แสดงว่าลูกปฏิบัติหน้าที่ได้ดี
จนผู้บังคับบัญชาเห็นถึงผลงานแล้วใช่มั๊ย”
“ครับคุณแม่”
คุณน้าชิมิโกะ รีบเข้ามาแสดงความยินดีกับทานากะ “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ น้าจะไปทำซูชิ ปลาย่าง
และข้าวมัน กับซุปร้อนๆ มาเลี้ยงแสดงความยินดีกับหลานรักนะ”
“คุณน้าครับ ไม่ต้องก็ได้ครับ อาหารอะไรผมก็ทานได้ครับ”
“ไม่ได้ หลานรักของน้า ได้เลื่อนตำแหน่งทั้งที
น้าต้องทำอาหารพิเศษเลี้ยงเธอซักมื้อ”
“งั้นผมเข้าครัวไปช่วยด้วยดีกว่าครับ”
“ไม่ต้องหรอก เธออยู่คุยกับแม่ของเธอเถอะ
เรื่องอาหารเดี๋ยวปล่อยเป็นหน้าที่ของน้าเอง”
ความอบอุ่นในครอบครัว เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยโอบอุ้ม
จิตใจที่อ่อนล้า และใจสลายจากความรักได้ มันยังเป็นกำลังใจเดียวที่ทำให้ทานากะ
ยืนอยู่ได้อย่างหนักแน่น และมุ่งหน้าทำงานเพื่อความก้าวหน้าของตน
ภาพบรรยากาศ ความสนุกสนานครึกครื้น บนโต๊ะอาหาร
ที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของครอบครัวทานากะ มีคุณแม่ และคุณน้า
นั่งล้อมวงทานอาหารมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อย
ทานากะเดินทางกลับไปที่ห้องพัก อพาร์ตเม้นต์ของตนช่วงกลางดึก
เขาใช้คีย์การ์ดไขเข้ามาในห้อง พบว่าอิชิกาวะ นอนหลับไปแล้ว
เขาจัดแจงถอดชุดเครื่องแต่งกายตำรวจออก ทั้งหมวก เสื้อสูทสีน้ำเงินเข้ม
รองเท้าถุงเท้า คงเหลือเสื้อเชิ้ตสีขาวลำลองปล่อยชายเสื้อออกจากกางเกง และถอดกางเกงขายาวออก
คงเหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว
ระหว่างนั้นเขาหยิบเอาเบียร์ที่แช่อยู่ในตู้เย็นมาดื่ม นำเครื่องเสียงที่มีหูฟังมาครอบหู
เพื่อฟังเพลง ผ่อนคลายความเครียด และความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน
วินาทีนั้น ขณะฟังเพลงเคลิ้มๆ อยู่
เสียงเพลงที่ฟังอยู่กลับกลายเปลี่ยนเป็นบทสวดคาถาอะไรบางอย่างที่ทำให้
เขารู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกด สะกดจิตให้เขาเกิดมโนภาพอะไรบางอย่างขึ้น
ร่างกายของเขาร้อนรุ่มขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว แม้ว่าภายในห้องจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
แต่เขากลับรู้สึกว่ามีลูกไฟบรรลัยกัลป์ซ่อนอยู่ภายในร่างกาย
และลุกไหม้แผดเผาร่างกายของเขาในตอนนี้ เขาโยนหูฟังออกจากหู และถอดเสื้อเชิ้ตออก
เนื่องจากเกล็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มตัว และใบหน้าของเขา เขาร้อนรนทุรนทุราย
คล้ายร่างกายกำลังถูกเผาไหม้ เขาร้อนจนร่างแทบปริแตก เขารีบวิ่งเข้าห้องน้ำ
เปิดก๊อกให้ฝักบัวไหลชโลมตัว เพื่อผ่อนคลายความร้อนในร่างกายของตน และตะโกนออกมาด้วยความกดดัน
และทรมานสุดๆ แต่ความร้อนก็ยังไม่ทุเลาลงจากร่างกายในตอนนี้
ในขณะที่เสียงน้ำฝักบัวไหลแรงในห้องน้ำ
ปลุกให้อิชิกาวะรู้สึกตัวตื่น เมื่อเปิดไฟในห้องนอน
ก็พบเห็นเสื้อผ้ากองอยู่บนเตียงและพื้น บนโต๊ะเครื่องแป้งมีขวดเบียร์วางอยู่
จึงรู้แล้วว่า ทานากะ กลับมาจากข้างนอกแล้ว และคงยังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ
เสียงน้ำฝักบัวดังจนกลบเสียงตะโกนร้องของทานากะ อิชิกาวะ
ปิดไฟที่หัวเตียงแล้วนอนหลับต่อ
ทานากะเอาร่างของตนจุ่มลงไปในอ่างอาบน้ำทั้งตัว เพื่อให้คลายจากความร้อนภายในร่างกาย
เขาหมดแรง จนเผลอหลับไป เขารู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง
เมื่อมีเสียงเคาะประตูเรียกจากนอกห้องน้ำ
“ทานากะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า ทานากะ.....นายเป็นอะไรหน่ะ
ได้ยินฉันมั๊ย” เสียงเรียกเคาะประตูห้องน้ำของอิชิกาวะ เมื่อพบว่าทานากะเข้าห้องน้ำไปตั้งแต่ตอนช่วงเที่ยงคืน
แต่ปรากฏว่าตอนนี้ รุ่งเช้าแล้ว พบว่าเขายังไม่ออกมา
ทานากะสะดุ้งสุดตัว เขาตกใจมาก
เมื่อรู้ว่าตนเองเผลอหลับไปบนอ่างอาบน้ำ โดยที่ยังใส่กางเกงบ็อกเซอร์อยู่
เขารีบลุกจากอ่างอาบน้ำ มาส่องกระจก ดูตนเอง ก็พบว่ารอยสักบนตัว
มีพลังอะไรบางอย่าง ที่เคลื่อนอยู่บนร่างกายของเขา
แม้ตอนนี้ความร้อนในตัวจะลดลงไปแล้ว
แต่พลังงานบางอย่างบนรอยสักยังคงเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายของเขา
ถ้าเขาเปิดประตูออกไปในสภาพนี้ อิชิกาวะ จะต้องสงสัยในรอยสักบนตัวเขาอย่างแน่นอน
เขาคิดและรีบตะโกนตอบกลับเสียงตะโกนเรียกของอิชิกาวะกลับไป
ทานากะแง้มประตูห้องน้ำเปิดออก “เอิ่ม...ฉันขอโทษทีหว่ะ
อิชิกาวะ ฉันคงเพลียมาก เลยเผลอหลับไปในห้องน้ำ ตั้งแต่เมื่อคืนหน่ะ ทั้งๆ
ยังสวมบ็อกเซอร์ติดตัวอยู่เลย แกช่วยไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ฉันที
ที่ฉันจัดเตรียมเอาไว้อยู่ในตู้เสื้อผ้าให้หน่อย ฉันขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง
ขอโทษนายจริงๆ”
“เออ...ไม่เป็นไร ฉันนึกว่าแกเป็นอะไรไปแล้วในห้องน้ำหน่ะ
เพราะเสียงน้ำในห้องน้ำมันดังอยู่ตลอดเวลาเลย”
“ฉันลืมปิดหน่ะ แต่โชคดีที่มันไม่ท่วมจนฉันจมลงในอ่างน้ำ
ไม่งั้นฉันคงขาดอากาศหายใจตายในห้องน้ำไปแล้ว”
“เอ้า...นี่ชุดของนาย เปลี่ยนซะก่อน”
“ขอบใจนายมาก”
ภายหลังทานากะอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำแล้ว
อิชิกาวะได้เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำบ้าง เพราะเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่
ใกล้เวลาเข้าทำงานแล้ว
“เออ...อิชิกาวะ เพื่อนรัก ฉันจะมาแจ้งนายว่า
วันนี้ฉันขอย้ายออกจากอพาร์ตเม้นต์แล้วนะ”
“เอ้า...นายจะไม่อยู่กับฉันแล้วเหรอ ทำไมหล่ะเพื่อน
หรือว่าแกได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ก็เลยคิดจะหาที่อยู่ใหม่”
“ก็ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกนะ พอดีว่า พวกยุนสุเกะ ทามัตสึ
และทัตสึโนะ มันชวนให้ฉันไปอยู่ที่คอนโดของพวกมัน จะได้ช่วยกันแชร์ค่าที่พัก
แล้วพวกเราทำงานในหน่วยเดียวกัน มันสะดวกสบายกว่าที่นี่
ฉันเลยจะขอย้ายไปอยู่กับพวกมันอ่ะนะ .....อ่ะ นี่เป็นค่าห้องที่ฉันขอช่วยนาย
จ่ายล่วงหน้าไปอีก 3 เดือน
เผื่อนายจะหาคนมาแชร์ค่าห้องกับนายได้ ในช่วง 3 เดือนนี้นะ
อ่ะ....เอาไป”
“เฮ้ย....จะบ้าเหรอ จะให้ฉันทำไม ไม่ต้องหรอก
เดี๋ยวฉันก็หาคนมาแชร์ค่าห้องกับฉันได้ ไม่ต้องห่วงหรอก แกเอากลับไปเหอะ
ถึงฉันจะเงินเดือนน้อยกว่านายนะ แต่ฉันก็ไม่มีรายจ่ายอย่างอื่นเหมือนกับนาย
เก็บไว้เถอะ เอาไว้นัดเจอกันคราวหน้า นายต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวฉันก็แล้วกัน”
“เฮ้ย อิชิกาวะ แม้เราไม่ค่อยได้เจอกัน
แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณนะ ในช่วงเวลา 2 ปี ที่ฉันกับนายได้พักอยู่ที่เดียวกัน
นายเป็นเพื่อนรักของฉันอีกคนหนึ่ง ฉันจะไม่ลืมนายอย่างแน่นอน”
“นี่แกพูดเหมือนกับว่า ฉันกับแก
จะไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกแล้วนะ ....ว่างๆ ก็ไลน์มาคุย
หรือโทรศัพท์มานัดสังสรรค์กันบ้างสิ ฉันขอไปแจมในกลุ่มของพวกนายบ้างได้เปล่าวะ”
“ได้สิ พวกมันก็รู้จักนายแล้วนี่ รูมเมทสุดที่รักของฉัน”
“เฮ้ย ทานากะ ปรับปรุงเรื่องกลิ่นตัวแกบ้างนะ พักหลังๆ
ฉันว่าแกมีกลิ่นตัวแปลกๆ หว่ะ เดี๋ยวสาวๆ จะหนีไม่รู้ตัวนะ”
“ขอบใจเว้ย แล้วไว้เจอกัน”
ที่ย่านชิบูย่า ชายหนุ่มใส่หมวกแก๊ป ใส่แว่นตาดำ
นั่งก้มหน้า อยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่อรอคอยนัดหมายของใครบางคน ซักพักมีโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องของเขา
“เอ่อ....ผมเซโตะ คุณมาถึงหรือยัง”
“ผมอยู่ตรงหน้าร้านแล้ว”
“อ้อ...ผมเห็นคุณแล้ว คุณเดินเข้ามาในร้านได้เลย
ผมนั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านข้าง โต๊ะที่นั่งคนเดียว”
จากนั้นชายที่ยืนอยู่หน้าร้าน รีบเดินเข้ามาในร้าน
เดินตรงเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ว่าง ของโต๊ะที่มีชายถือสายรับโทรศัพท์อยู่
“นายตัดสินใจได้หรือยัง”
“ผมยังไม่มั่นใจ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทำให้ผมขาดความเชื่อมั่น และไว้วางใจพวกพ้องของผมแล้ว
เห็นทีจะร่วมงานกับพวกมันได้ยาก ผมก็เหมือนพวกโรนิน ซามูไรไร้สังกัดไปแล้ว”
“แต่นายยังมีเพื่อนๆ ที่คอยซัพพอร์ตนายอยู่ ทั้งทานากะ เจฟฟรีย์
และก็ฉัน”
“การที่ผมช่วยทาสึยะ ไม่ใช่ว่า ผมต้องการจะช่วยคุณนะ แต่เป็นเพราะผมรักมัน
มันคือลูกน้องที่ผมไว้ใจ มันให้ใจผม และพร้อมจะร่วมเป็นร่วมตายกับผมได้”
“แล้วแกรู้มั๊ยว่า ทาสึยะ มันก็เคยเป็นลูกน้องเก่าของฉันมาก่อน
ก่อนที่มันจะแฝงตัวเข้าไปอยู่กับนายหน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องถือว่ามันคือคนโชคดีคนหนึ่ง ในชีวิตมีหัวหน้าถึง
2 คน และยังเป็นมือขวาของหัวหน้า 2
คนที่ยืนอยู่คนละขั้วทั้งด้านมืดและด้านสว่าง
“ตำรวจอย่างพวกฉัน ทำได้ทุกอย่างแหละ ขอให้เป็นหน้าที่
ที่จะต้องทำเพื่อหน่วยเหนือ”
“แต่คนอย่างฉัน ในชีวิตมีนายได้คนเดียวเท่านั้น
และไม่เคยคิดจะออกจากด้านมืดเพื่อกลับเข้าสู่ด้านสว่างเลย”
“แกต้องทำได้ เซโตะ ฉันเชื่อมือแก
ก็แกเพิ่งบอกฉันไม่ใช่เหรอว่า ตอนนี้แกก็เปรียบเหมือนซามูไรไร้สังกัดแล้ว”
“ใช่....ฉันเป็นนายของตัวเองแล้ว ฉันเป็นอิสระจากทุกสิ่ง”
“อ่ะ....นี่คือเช็คเงินผลประโยชน์ของนายที่เป็นของนาย
นายควรจะได้รับมันไว้”
“ฮะ.....หมายความว่าอย่างไร”
“หน่วยสืบสวน สอบสวนกลาง อายัดเงินในบัญชีของนางฮาซาโระ
คูนิคาวากับพวกเอาไว้ทั้งหมดเข้ารัฐ แต่นี่เป็นเงินส่วนต่าง ของผลกำไร
จากการลงทุนในพอร์ตการลงทุนส่วนตัวของคุณเจฟฟรีย์ เขาแบ่งมาให้ฉัน กับทานากะ
และก็นายด้วย ฉันเป็นตัวแทนของคุณเจฟฟรีย์ เอามามอบให้นายอีกที”
“แล้วทำไม เขาไม่เอามาให้ฉันเองกับมือหล่ะ”
“เขากำลังอยู่ในพิธีแต่งงานกับคุณหมออิวาสะ แล้ววันนี้
เขารู้ว่านายกำลังจะขึ้นเครื่องเดินทางไปยังเมืองไทยแล้ว เขาจึงฝากให้ฉันเป็นธุระ เอาเช็คมามอบให้นายเองกับมือแทน”
“แล้วเหตุใด เขาไม่ไหว้วานทานากะ มามอบให้ฉันหล่ะ”
“ทานากะ ก็กำลังอยู่ร่วมในงานแต่งงาน ไม่สะดวกจะมา
ประจวบกับที่ฉันก็มีเรื่องอยากจะคุยกับนายเป็นการส่วนตัว ก็เลยขออาสาคุณเจฟฟรีย์เอาเช็คมาให้แทน”
ในงานเลี้ยงแต่งงานของฮิทารุ (เจฟฟรีย์) กับหมออิวาสะ
(เอวา) แขกเหรื่อทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนเรียน
ญาติผู้ใหญ่ที่มีพระคุณ แวดวงไฮโซ บุคคลในแวดวงชั้นสูง
ต่างมาร่วมงานเลี้ยงอย่างคับคั่ง ภายในโรงแรมหรู ระดับ 6 ดาว
เสร็จจากงานเลี้ยง ถ่ายรูป และแวะทักทาย อวยพรคู่บ่าวสาวเสร็จแล้ว
ทานากะที่มากับยุนสุเกะ ก็เข้าถ่ายรูปและอวยพรให้เจฟฟรีย์และอิวาสะ ได้มีความสุขสมหวัง
และรักใคร่กันตลอดไป ทานากะและยุนสุเกะ กล่าวอวยพรเสร็จก็บอกลากลับออกจากงานทันที
“ลูกพี่ ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ฉันเรียกแท็กซี่กลับคอนโดได้
ลูกพี่อยู่ต่อในงานเถอะ งานแต่งของเพื่อนสนิททั้งที เผื่อมีดื่มกินกันอีกนะ
จะรีบกลับ เพื่อไปส่งฉันทำไม”
“ไม่ได้หรอก เรามาด้วยกัน ก็ต้องกลับด้วยกัน”
“ไม่เป็นไรจริงๆ เมื่อกี๊ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว
เลยโทร.ไปหาทามัตสึ ให้มันขี่มอเตอร์ไซด์มารับฉันที่นี่ เดี๋ยวฉันกลับกับมันก็ได้”
“นี่เธอ...อุตส่าห์โทร.ไปเรียกให้ทามัตสึมารับเลยเหรอ”
“ก็มันอาสาจะมารับฉันเองนี่”
“เอาหล่ะ ถ้าจะเอาอย่างนั้น งั้นเราแยกกันตรงนี้”
“งั้นฉันไปแล้วนะ ลูกพี่”
พอแยกจากยุนสุเกะไปได้แป๊บนึง
ทานากะเกิดความรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาอีก และเกิดอาการหน้ามืดใจสั่น
และรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่างกาย
เขารีบวิ่งไปที่รถยนต์ของเขาที่จอดไว้ตรงลานจอดรถ หยิบเอากระเป๋าส่วนตัวออกมา
จากนั้นจึงรีบวิ่งเข้าห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ภายในโรงแรมสุดหรู เข้าห้องน้ำที่มีโถส้วมถ่ายหนักแล้วปิดล็อคประตูเอาไว้
เขาค่อยๆ แกะกระดุม ถอดเสื้อสูทออกจากตัว หยิบของจากในกระเป๋าเครื่องมือส่วนตัวออกมา
พบว่าเป็นเข็มฉีดยา จากนั้นจึงต่อปลายเข็มกับด้ามเข็ม จิ้มลงขวดยา ดูดเอาสารจากขวดยาเข้ายังหลอดเข็มจนเต็มหลอด
จากนั้นจึงฉีดเข้าที่เส้นเลือดตรงแขนของตน อาการเจ็บแปลบไปทั่วร่างค่อยคลายความเจ็บปวดลง
เขาพบว่าใบหน้าหยาดซึมไปด้วยเหงื่อไคล เขาถอดเสื้อเชิ้ตขาวออก
เผยให้เห็นรอยสักบนร่างกายของตน รอยสักรูปมังกรเขียว
คล้ายมันกำลังเคลือนตัวอยู่บนร่างกายของเขา ราวกับมังกรผยองที่พยศ
ต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยงพละกำลังวังชาของร่างกายตนเอง
บนลำตัวหยาดซึมไปด้วยเกล็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วร่าง เขามองตนเองผ่านกระจกเงา
ภายในห้องน้ำ พบว่าเวลานี้ คล้ายไม่ใช่ตัวเขา ที่ชื่อว่า ทานากะ อีกต่อไป
ใบหน้าของคนๆ นี้ แววตาที่สุกใส ดุดันคล้ายคมเหยี่ยว ใบหน้าแฝงแววดุดัน อุณหภูมิในร่างกายร้อนผุดๆ
ขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทานากะพยายามหลบหน้าจากคนในเงากระจก แต่เมื่อแหงนมองมันอีกครั้ง
ใบหน้าในกระจกกลับเปรยยิ้มให้เห็น ราวกับกำลังเย้ยหยัน เขาอยู่ในที
ทานากะติดกระดุมเสื้อเชิ้ต รวบชายเสื้อเข้าในกางเกง รัดเข็มขัด และสวมสูทเครื่องแต่งกาย และหมวกตำรวจ จากนั้นเดินออกจากห้องน้ำภายในโรงแรม เดินกลับเข้าไปที่งานแต่งงานของเจฟฟรีย์กับอิวาสะ จับมือแสดงความยินดีกับเจฟฟรีย์และอิวาสะ ชักภาพถ่ายรูปด้วยกัน และยืนสนทนาพูดคุยกับแขกในงานหลายคน ก่อนที่จะกล่าวอวยพรให้คู่บ่าวสาว และอำลาออกจากงาน เขาเดินตรงไปยังมอเตอร์ไซด์คู่ใจ และก้าวขึ้นคร่อม สตาร์ทรถ สวมหมวกกันน็อค ออกรถ ขับไปตามถนนในย่านชิบูย่า มินาโตะ เพื่อกลับไปยังคอนโดที่พักแห่งใหม่ของตน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงานมากขึ้น ในเขตอาคาซากะ เมื่อมาถึงใกล้คอนโดที่พัก เขาเกิดเปลี่ยนใจ ขับออกนอกเส้นทาง เพื่อไปชมวิว ในเทศกาลดอกซากุระบาน ในเขตย่านดาวน์ทาวน์ ใจกลางกรุงโตเกียว
เส้นทางนี้ไม่คุ้นชินนัก ทั้งคดเคี้ยว ลาดชัน ขึ้นเนิน และลงเนิน ขับด้วยความเร็ว มีบางช่วงที่เป็นทางโค้ง เขาชะลอความเร็วให้ลดลง เพื่อประคองจังหวะ การทิ้งโค้ง และรักษาระยะความเร็ว เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ใบหน้าและแววตามุ่งมั่น มองตรง ฝ่าปะทะกับกระแสลมที่ถาโถมเข้ามายังใบหน้า อย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
เขาหยุดรถเมื่อถึงที่หมาย นำรถเข้าจอดยังสวนสาธารณะ เดินไปตามทางเพื่อมองทิวทัศน์ที่สวยงาม ต้นและดอกซากุระบาน เต็มลานสวนสาธารณะแห่งนั้น ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง สว่างไสว แต่เขายังคงสวมใส่ชุดสูทสีดำ แว่นตากันแดดสีดำ เดินไปตามลำพังอย่างเดียวดาย............
ทานากะติดกระดุมเสื้อเชิ้ต รวบชายเสื้อเข้าในกางเกง รัดเข็มขัด และสวมสูทเครื่องแต่งกาย และหมวกตำรวจ จากนั้นเดินออกจากห้องน้ำภายในโรงแรม เดินกลับเข้าไปที่งานแต่งงานของเจฟฟรีย์กับอิวาสะ จับมือแสดงความยินดีกับเจฟฟรีย์และอิวาสะ ชักภาพถ่ายรูปด้วยกัน และยืนสนทนาพูดคุยกับแขกในงานหลายคน ก่อนที่จะกล่าวอวยพรให้คู่บ่าวสาว และอำลาออกจากงาน เขาเดินตรงไปยังมอเตอร์ไซด์คู่ใจ และก้าวขึ้นคร่อม สตาร์ทรถ สวมหมวกกันน็อค ออกรถ ขับไปตามถนนในย่านชิบูย่า มินาโตะ เพื่อกลับไปยังคอนโดที่พักแห่งใหม่ของตน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงานมากขึ้น ในเขตอาคาซากะ เมื่อมาถึงใกล้คอนโดที่พัก เขาเกิดเปลี่ยนใจ ขับออกนอกเส้นทาง เพื่อไปชมวิว ในเทศกาลดอกซากุระบาน ในเขตย่านดาวน์ทาวน์ ใจกลางกรุงโตเกียว
เส้นทางนี้ไม่คุ้นชินนัก ทั้งคดเคี้ยว ลาดชัน ขึ้นเนิน และลงเนิน ขับด้วยความเร็ว มีบางช่วงที่เป็นทางโค้ง เขาชะลอความเร็วให้ลดลง เพื่อประคองจังหวะ การทิ้งโค้ง และรักษาระยะความเร็ว เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ใบหน้าและแววตามุ่งมั่น มองตรง ฝ่าปะทะกับกระแสลมที่ถาโถมเข้ามายังใบหน้า อย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
เขาหยุดรถเมื่อถึงที่หมาย นำรถเข้าจอดยังสวนสาธารณะ เดินไปตามทางเพื่อมองทิวทัศน์ที่สวยงาม ต้นและดอกซากุระบาน เต็มลานสวนสาธารณะแห่งนั้น ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง สว่างไสว แต่เขายังคงสวมใส่ชุดสูทสีดำ แว่นตากันแดดสีดำ เดินไปตามลำพังอย่างเดียวดาย............
จบบริบูรณ์
ผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดตามอ่านนวนิยายชุดนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนจบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น