วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 7


กาเหว่าอึกทึก

EP.7  คดีนายธรรม  ต่อ


ที่ ร.พ.ศิริราช ป้าอรเดินทางมาเยี่ยมและรับศพนายธรรม หลานชายของตนเอง ซึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้ แสดงความเสียใจ ที่หลานชายเพียงคนเดียว ต้องมาเสียชีวิต ภายในค่ายทหาร ด้วยสาเหตุที่ยังไม่กระจ่างชัด และดูจะไม่โปร่งใสนัก ในขณะที่หมอแล็บ และสารวัตรเดช และหมวดกบี่ ก็เดินทางมาดูสภาพศพเช่นกัน

“ไอ้ธรรม หลานข้า ใครรังแกมึง บอกกูมาสิ กูจะเอาเรื่องมัน ธำรงวินัยเหี้ยอะไร ถึงทำให้หลานกูตายเลยเหรอ ไอ้เชี่ยทหารคนไหน มึงสวมกระโปรงอยู่หรืออย่าไร ถึงไม่ออกมายอมรับผิด ที่ทำหลานกูตาย”
“คุณป้าครับ ใจเย็นๆ นะครับ เราจะต้องให้ความเป็นธรรมกับหลานของป้าอรอย่างเต็มที่ครับ”

“คุณสารวัตรค่ะ ต้องรีบนำตัวคนที่สั่งลงโทษ หลานของป้า มาดำเนินคดีให้ได้ การกระทำมันช่างอำมหิต มันสั่งทำโทษไอ้ธรรม จนมันช็อก หัวใจวาย ขนาดนี้ได้อย่างไร ปกติไอ้ธรรม หลานของป้า มันเป็นคนแข็งแรง ต่อให้มันไม่ได้กินข้าวซัก 2 วัน สภาพร่างกายมันก็ไม่ควรจะเขียวช้ำ ซี่โครงหัก ปอดฉีก ตาบวม เส้นเลือดนัยน์ตาแตก ตามร่างกายลำตัวเขียวช้ำเป็นจ้ำ ทำไมทำกันถึงเพียงนี้ แสดงว่า มันต้องถูกทำโทษอย่างรุนแรง ถึงได้มีสภาพร่างกายเป็นเช่นนี้ นี่หรือคนที่เสียชีวิตจากการหมดสติ หัวใจวายเฉียบพลัน”

“ป้าอรครับ เรื่องนี้ ผมก็ว่าไม่ปกติ เราต้องขอเวลาในการสืบสวน สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ก่อนที่จะตั้งข้อหาผู้ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ ผมต้องขออนุญาตนำศพของพลทหารทหารไปที่นิติเวช เพื่อผ่าพิสูจน์ศพอย่างละเอียดก่อน”

“สารวัตรครับ มีรอยสัก 5 แห่งอยู่บนตัวของนายธรรมด้วยครับ ดังนี้  คน ไว้ใจ -วาง ใจ ทาง”

“ถ้าเรียงคำใหม่ น่าจะเป็น  ไว้ใจ ทาง วาง ใจ คน  มากกว่า ...........ผู้ตายต้องเสียชีวิตจากการไว้ใจคนแปลกหน้าหรือเปล่า..........เอิ่ม ป้าอรครับ ก่อนหน้านี้ นายธรรมไปรู้จักกับใครที่แปลกหน้าหรือเพิ่งรู้จักมั๊ยครับ”

“อ๋อ....ใช่แล้ว มีสิ นายเก่งไง ไอ้ธรรมมันช่วยเอาไว้ จากการที่มันไปงานบุญที่วัด แล้วถูกปืนลูกหลงของเด็กวัยรุ่นที่วัดมันตีกัน แล้วไอ้เก่งมันโดนปืนลูกหลง บาดเจ็บลอยอยู่ในคลอง ไอ้ธรรมมันไปพบเจอเข้า ก็เลยช่วยชีวิตเอาไว้ พามารักษาตัวที่บ้าน หลังจากนั้นมันก็สนิทสนมกัน ถึงขนาดมาขอให้ฉัน อนุญาตให้ไอ้เก่งพักอาศัยไปแบบไม่มีกำหนด จนกว่าจะหางานและมีเงินไปหาบ้านเช่าได้ก่อน”

“คนแปลกหน้าถูกยิงมางั้นเหรอ.....ชัดเลย หมวดกบี่ ตอนที่นายไล่ยิงนายกล้าจนมันกระโดดคลองหนี มันน่าจะบาดเจ็บจากการถูกยิง แล้วหนีไปอยู่บ้านของป้าอรกับนายธรรมแน่ๆ”

“ใช่แล้วครับ ต้องเป็นนายกล้าแน่ๆ”

“ป้าอรครับ แล้วตอนนี้ นายกล้ายังอยู่ที่บ้านป้าอรมั๊ยครับ”

“เมื่อเช้ามันยังอยู่นะ แต่ว่าตอนฉันออกจากบ้านมาที่โรงบาล ฉันก็ไม่เห็นมันแล้วหล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ไปตรวจค้นดูที่บ้านป้าอรก่อน”


จากการไปตรวจดูที่บ้านป้าอร ก็ไม่พบสิ่งของหรือข้าวของที่พอจะเป็นหลักฐานของนายกล้าหลงเหลืออยู่ ดังนั้น สารวัตรเดชกับพวก จึงได้กลับไป

วันต่อมา ช่วงเช้า สารวัตรเดช พบเห็นพะนอนิจแต่งตัวสวยกว่าปกติ ไม่ใช่ชุดที่จะใส่ไปสอนหนังสือ ถือกระเป๋า เตรียมจะออกจากบ้าน จึงเกิดความสงสัย

“นิจ วันนี้จะไปไหนเหรอ”

“วันนี้ พอเลิกจากสอนหนังสือ ก็จะไปเยี่ยมคุณพ่อที่โรงพยาบาลค่ะ”

“อ๋อ....ถ้าอย่างนั้น อย่ากลับดึกนะ”

“ค่ะ....จะรีบไปรีบกลับค่ะ”


สารวัตรเดชเดินทางต่อไปยังกุฏิของหลวงตาน้ำฝน ที่วัดโพธิ์ เพื่อจะไปสอบถาม ถึงความเกี่ยวโยงของคำปริศนาที่เพิ่มขึ้นมาอีก 5 คำบนศพของนายธรรม กับหลวงตา

“หลวงตาครับ มันมีรอยสักคำปริศนาเพิ่มขึ้นมาอีก 5 คำ คือ คน-ไว้ใจ-วาง-ใจ-ทาง เมื่อผมนำมาเรียบเรียงคำใหม่จะเป็น  ไว้ใจ ทาง วาง ใจ คน  ครับ”

“ก็แสดงว่า ผู้ตาย ตายด้วยสาเหตุของการไว้ใจคนหรือเปล่า เหยื่อผู้ตายรู้จักกับผู้ต้องสงสัยหรือไม่ โยมสารวัตร”

“เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของป้าอร ซึ่งเป็นป้าของเหยื่อ คือนายธรรม พบว่าเขาเพิ่งรู้จักกัน โดยนายธรรมได้ช่วยชีวิตผู้ต้องสงสัยขึ้นจากคลอง เนื่องจากถูกยิง ซึ่งผู้ต้องสงสัยอ้างว่าตนเองถูกลูกหลง ถูกลูกปืนที่เกิดจากการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น ที่มาเที่ยวงานวัด จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อนายธรรมพามารักษาตัวอยู่ที่บ้าน จึงได้สนิทสนมกัน และนายธรรมขออนุญาตป้าอร ให้ผู้ต้องสงสัยอาศัยอยู่ไปจนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ เนื่องจากผู้ต้องสงสัยเพิ่งตกงาน และไม่มีญาติพี่น้อง”

“โยมสารวัตร ทราบหรือยังว่า ผุ้ต้องสงสัยคือใคร”

“ป้าอร บอกว่า เขาชื่อเก่ง แต่ว่า ผมว่า น่าจะเป็นนายกล้า เนื่องจาก เขาถูกหมวดกบี่ยิง ในขณะกำลังจะ
ถูกจับกุมที่บ้านของคุณนายละเมียด ขณะย้อนกลับไปทำลายหลักฐาน ในการฆาตกรรมศพน.ส.หวา แต่เมื่อเราไปถึง เขาไหวตัวทัน จึงหลบหนีไปได้ แต่ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ”

“ถ้าเป็นนายกล้าจริง แสดงว่าเหยื่อผู้ตายคือนายธรรม คนนี้ จะต้องเป็น 1 ในศพเป้าหมายที่เขาต้องการจะฆ่า ตามแผนการของเขาแน่ๆ เพราะผู้ตายบ้านอยู่ที่วังเดิมใช่มั๊ย โยมสารวัตร”

“ใช่ครับ ....เพียงแต่ว่าศพนี้ นายกล้าไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่ดูจากร่องรอยของศพ ก็มีความผิดปกติ ที่พอจะตั้งสมมติฐานได้ว่า เหมือนมีกระบวนการจงใจที่จะฆ่านายธรรม ด้วยการใช้บทลงโทษ การธำรงวินัย ของรุ่นพี่ มาใช้เป็นข้ออ้างในการฆ่าอำพรางสาเหตุการตาย”

“อาตมาคิดว่า ควรจะไปสืบดูว่ารุ่นพี่ คนที่สั่งทำโทษพลทหารคนนี้ เป็นใคร มีประวัติภูมิหลังเป็นอย่างไรด้วย”

“ผมได้สั่งให้หมวดแชนไปสืบข้อมูลแล้วครับ อีกไม่นานก็คงจะทราบครับหลวงตา”

“ไหนลองเอาคำปริศนา รอยสักทั้ง 5 ประโยค ที่ได้ครบแล้ว มาลองวิเคราะห์ดูซิ โยมสารวัตร”

“กลุ่มคำแรก  ฝน ตก ขี้ หมู ไหล,   กลุ่มคำที่ 2  ไก่ จิก เด็ก ตาย (บนปาก) โอ่ง  , กล่มคำที่ 3 Watch ได้ แต่ ใด มา   , กลุ่มคำที่ 4  เพื่อน ไม่ เคย ทิ้ง กัน  และกลุ่มคำที่ 5  ไว้ใจ ทาง วาง ใจ คน  เมื่อเอามาเรียงเป็น 5 แถว จะพอวิเคราะห์อะไรได้บ้างหรือเปล่าครับ หลวงตา”

-      ฝน    ตก    ขี้     หมู   ไหล
-      ไก่    จิก   เด็ก   ตาย  โอ่ง
-      เฝ้าดู ได้   แต่    ใด    มา
-      เพื่อน  ไม่  เคย   ทิ้ง   กัน
-      ไว้ใจ  ทาง วาง   ใจ    คน

“จากกลุ่มคำเหล่านี้ทั้ง 5 ประโยค พอเราเอามาเรียงแยกเป็นคำๆ และลองอ่านเป็นแบบแนวตั้ง ขึ้นลง หรือจากล่างขึ้นบน พอจะมีความหมายอะไรบ้างไหม ดังนี้

   กลุ่มคำแถวแรก   ไว้ใจ เพื่อน ที่เฝ้าดู ใฝ่ (ไก่ฝน รวบคำจะเป็น ใฝ่)   หมายความว่า.......
   กลุ่มคำแถวสอง   ทาง ที่ไม่ได้ จิก(เพื้ยนเสียงเป็น จิต) ตก  หมายความว่า.........
   กลุ่มคำแถวสาม   เคย วาง (อะไร) ไว้ แต่ เด็ก ขี้ ?    หมายความว่า.......
   กลุ่มคำแถวสี่      ใจ ทิ่ ทิ้ง สิ่งใด  ตาย หมู (เติมไม้เอกเป็น หมู่)  หมายความว่า.......
   กลุ่มคำแถวห้า     คน กัน (กัน คน) เอง มา โล่ง (โอ่งไหล รวบคำจะเป็น โล่ง) หมายความว่า.....    

“คำพวกนี้แหละ โยมสารวัตร มันเอามาวิเคราะห์ตีความได้ว่า ผู้บงการ ต้องการจะสื่อความอะไร ถึงใครบางคน หรือสื่อถึงสังคม สื่อถึงทางการ เราก็ยังไม่ทราบแน่”

“ในเมื่อผู้บงการ มันทำสำเร็จ ในการฆ่าเหยื่อเป้าหมาย และสักรอยสักคำปริศนาได้ครบ เพื่อพยายามจะสื่อความกับใครบางคน แล้วต่อไป มันจะทำอะไรต่อไปครับ หลวงตา”

“อาตมากำลังคิดว่า ปริศนาคำเหล่านี้ มีแต่อาตมาที่ไขคำปริศนาได้ แต่เพียงผู้เดียว หากอาตมาไม่เข้ามาช่วยโยมสารวัตร ทางการคงมืด 8 ด้าน ไม่มีทางที่จะล่วงรู้ ความหมาย ไขคำปริศนา และรวมถึงสื่อความกับมันได้ ก็แสดงว่า มันต้องการจะสื่อความกับอาตมานั่นแหละโดยตรง หรือว่าผุ้บงการมีเรื่องข้อพิพาทอะไรกับอาตมา มาก่อนหรือเปล่า”

“อ๋อ....จำได้แล้ว ผมได้พบรูปใบนี้ ภายหลังจากที่เข้าไปตรวจค้นที่บ้านของหมอปรีด์เปรม และพบเห็นรูปนี้ โดยข้อความหลังรูปเขียนเอาไว้ว่า ให้หมอเปรม กับพ.ต.อ.น้ำฝน เอาไว้ จากโกตี๋ ตอนนั้น ผมยังไม่เข้าใจ ว่าชื่อคนหลังรูปเป็นใครกัน แต่เพิ่งนึกออก หลังจากหลวงตาน้ำฝน กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า หรือว่าผู้บงการมีข้อพิพาทอะไรกับหลวงตา”

“หมวดกบี่ นี่นายพูดเรื่องอะไร หลวงตาน้ำฝน ไปเกี่ยวข้องอะไรกับรูปในนั้น”

“ก็นี่ไง สารวัตร ลองดูรูปสิ ในรูป ถึงแม้จะเก่านานแล้ว แต่เป็นภาพถ่ายที่ชัดเจน บุคคลในภาพทั้ง 3 คนประกอบด้วย โกตี๋ หมอปรีด์เปรม และหลวงตาน้ำฝน สมัยยังเป็นฆราวาส ใช่มั๊ย”

“ถูกต้องแล้ว นี่เป็นรูปเก่าที่อาตมา เคยถ่ายร่วมกับเพื่อนสนิทอีก 2 คน”

“แสดงว่าหลวงตารู้จักกับหมอปรีด์เปรมงั้นเหรอครับ”

“ถูกต้องแล้ว”

“คือเรากำลังสงสัยว่า หมอปรีด์เปรมก็คือผู้บงการนายกล้า ให้ฆ่าคน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของแผนการฆาตกรรมรอยสักทั้งหมด แต่ก่อนหน้านี้คุณพ่อไม่เคยยอมรับเลย อ้างว่า ไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายกล้า แต่นี้คงจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บอกได้ว่า คุณพ่อเป็นเพื่อนของหลวงตาน้ำฝน และคงต้องมีเรื่องราวบาดหมางอะไรกับหลวงตาแน่ๆ จึงได้จงใจสื่อความต่างๆ ผ่านรอยสักคำปริศนาบนศพเหยื่อเป้าหมายเหล่านั้น”

“เท่าที่อาตมาคบกับหมอปรีด์เปรมมา ก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกับเขานะ อาตมายังมองไม่ออกว่า มีมูลเหตุจูงใจอะไร ที่ทำให้หมอปรีด์เปรมถึงต้องทำเช่นนี้กับอาตมาด้วย”

“แต่ว่าตอนนี้ หมอปรีด์เปรมแกเป็นอัมพาต และพูดไม่ได้แล้ว เราไม่มีทางรู้จากปากคำของท่านเลย”

“แต่แม้กระทั่งหลักฐานที่จะเชื่อมโยง ให้เห็นชัดว่า หมอปรีด์เปรมบงการนายกล้า ก็ยังไม่มีอย่างชัดเจนเช่นกัน แล้วเราจะเอาผิดหมอปรีด์เปรมได้อย่างไร”

“คงต้องรอให้เราจับนายกล้าให้ได้ก่อน แล้วเขาจะเป็นผู้ซัดทอดไปสู่ผู้บงการเอง”

“หลวงตาครับ ถ้าอย่างนั้น ผมกับทีมงานขอกราบนมัสการลาก่อน เราจะรีบดำเนินการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วครับ”


ที่กองสืบสวน สอบสวนกลาง สารวัตรเดชเมื่อกลับไปถึงที่ทำงานแล้ว ก็พบว่าหมวดแชน ได้มารอพบอยู่ที่ห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว

“ว่าไง ได้เรื่องอะไรมาบ้าง”

“รุ่นพี่ที่ออกคำสั่งทำโทษพลทหารธรรม มีชื่อว่า เรือสิบตรี พรชัย หรือนายคล้าย อดีตเคยเป็นนักโทษอยู่แดนบางขวาง เมื่อปี 2548 ด้วยข้อหาพยายามฆ่าภริยาตนเอง แต่แล้วก็ติดคุกมาได้ 7 ปี ก็พ้นโทษ เนื่องจากได้รับการอภัยโทษ และเดิมก็เป็นทหารรับใช้ของ พล.ต.สวัสดิ์ ขจัดพาล และได้รับการช่วยเหลือวิ่งเต้นจนได้กลับเข้ามารับราชการทหารอีกครั้ง และได้มาประจำที่กรมอู่ทหารเรือ”

“แล้วไง ....ก็ไม่เห็นมีอะไรที่เกี่ยวกับคดีเลยนี่”

“มีครับสารวัตร ในบรรดาคนที่ติดคุกในรุ่นนั้น ที่บางขวาง มีชื่อของคนๆ หนึ่งที่อยู่ในนักโทษรุ่นนั้นด้วย ก็คือนายกล้า จากการสอบถามประวัติจากท่านพัศดีประจำเรือนจำ ก็พบว่า ทั้งนายคล้ายและนายกล้า สนิทสนมกันดี ในเรือนจำ  นายกล้าเคยช่วยเหลือนายคล้าย ทำให้เป็นหนี้บุญคุณกัน”

“แล้วพอนายกล้าสืบรู้ว่า นายคล้ายมารับราชการทหารอยู่ที่กรมอู่ทหารเรือ ก็ประจวบเหมาะกับที่พลทหารธรรม ได้มาประจำการอยู่ที่นี่พอดี จึงออกอุบายให้นายคล้าย ซึ่งเป็นทหารรุ่นพี่ หาโอกาสสั่งสอน และหาวิธีทำร้ายร่างกายจนถึงเสียชีวิต”

“ถ้าอย่างนั้น ฆาตกรของคดีนี้ก็คือนายคล้าย โดยมีนายกล้าเป็นผู้บงการ”

“แต่ว่าตามระบบทหารแล้ว นายคล้ายเป็นทหาร ก็ต้องขึ้นศาลทหารแทน เราทำได้เพียงส่งหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีไปให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประกอบไว้เป็นสำนวนคดี เพื่อผูกมัดจำเลยให้แน่นหนายิ่งขึ้น”

จบคดีนายธรรม


เริ่มคดีหลวงตาน้ำฝน หรือพ.ต.ท. น้ำฝน อดีตสันติบาลเก่า

สารวัตรเดชเดินทางกลับไปที่บ้าน พบว่า พะนอนิจเพิ่งกลับมาบ้าน ด้วยอาการแปลกๆ ผิดปกติ

“นิจ ทำไมเพิ่งกลับมาบ้าน”

“พอดี วินธัยไม่สบายอ่ะ นิจก็เลยรีบพาไปโรงบาลเลย”

“ตาวินเป็นอะไรเหรอ”

“ตาวินตัวร้อน ไข้ขึ้นสูงมาก ตั้งแต่กลับจากโรงเรียน นิจกะว่าถ้าอาการดีแล้ว ถึงจะโทร.บอกพี่เดชอีกทีค่ะ”

“แล้วตอนนี้ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”

“อาการไข้ลดลงแล้ว แต่ยังต้องนอนอยู่ ร.พ อีกสักคืน ค่ะ”

“เอ้าแล้วตอนนี้ ให้ตาวิน นอนอยู่ รพ.คนเดียวงั้นเหรอ”

“ไม่ค่ะ นิจแค่กลับมาอาบน้ำและจะมาเอาชุด แล้วกลับไปนอนเฝ้าไข้ตาวินที่ ร.พ.ค่ะ”

“นิจมีสอนพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมดีกว่า ผมจะไปนอนเฝ้าไข้ตาวินเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนิจเถอะค่ะ พี่เดช มีคดีต้องติดตามไม่ใช่เหรอค่ะ”

“ตอนนี้เราพบเหยื่อศพที่ 5 แล้ว ก็คือพลทหารธรรม ที่เสียชีวิตในค่ายทหาร”

“พลทหารธรรม ที่เป็นข่าวว่าถูกทำโทษจนเสียชีวิต คนนี้เหรอค่ะ เป็นไปได้อย่างไร”

“ตอนแรกพี่ก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นรอยสักตามตัวเขา ก็เลยลงความเห็นว่าเป็นเหยื่อฆาตกรต่อเนื่องจริงๆ”

“แล้วพี่เดช จะทำยังไงต่อคะ”

“ตอนนี้ เรายังไม่ได้ตัวนายกล้าเลย นิจสนิทกับนายกล้า พอจะรู้มั๊ยว่าเขามีที่หลบซ่อนอยู่ที่ไหน”

“อืมม์....นิจ รู้จักนายกล้า ก็ในฐานะที่เขาเคยเป็นลูกน้องของพ่อ แต่ไม่ได้สนิทกัน นิจไม่รู้หรอกค่ะ ว่าพี่กล้า เขาจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน”

“งั้นไม่เป็นไร พี่จะติดตามหาเขาเอง ให้เจอจนได้”

“งั้น เดี๋ยวนิจขอตัวไปอาบน้ำ และเตรียมชุดก่อนนะคะ”  พะนอนิจเดินเข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นเธอเกิดหน้ามืดเป็นลม ล้มลงหมดสติในห้องน้ำ  พอดีเด็กรับใช้ เดินมาเห็นเข้า จึงตะโกนร้องให้ช่วย

“นิจ เป็นอะไรอ่ะ นิจ.....”  สารวัตรเดช รีบอุ้มพะนอนิจมานอนบนเตียงในห้องนอน และพยายามปลุกเรียกให้พะนอนิจตื่น และเรียกให้เด็กรับใช้ไปเอายาดมมาให้พะนอนิจสูดดม
เป็นเวลาร่วมๆ ชั่วโมง พะนอนิจจึงรู้สึกตัวตื่น สายตาเธอระแวดระวัง และมองไปรอบๆ พบเห็นสถานที่แปลกตา และแววตาไปสะดุดอยู่ตรงหน้า ที่สารวัตรเดช จ้องมอง และเรียกเธอให้รู้สึกตัวตื่น

“นิจตื่นแล้ว เป็นอะไรอ่ะ วันนี้ไม่ได้กินข้าวเที่ยงใช่มั๊ย หรือว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ”

“พี่หมื่น จำการะเกดไม่ได้ เหรอเจ้าค่ะ .....อุ๊ยไม่ใช่ เกศสุรางค์ เจ้าข้า ต่างหาก”

“นิจ เพ้ออะไร หน่ะ เกดเกิดอะไรกัน เธออ่านวรรณคดีมากไปหรือเปล่า”

 “ไม่นะเจ้าคะ เอ๊ย....ไม่นะคะ เกดมาจากปี พ.ศ. 2760 เกิดอะไรขึ้นกับเกด ถึงได้มาอยู่ทีนี่ได้......อ๋อ เกดกำลังนั่งอยู่ยนรถยนต์ แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น จนรถคว่ำ ไม่เชื่อลองถามเรืองฤทธิ์ดูสิ ...ฮะ เรืองฤทธิ์
หายไปไหนเนี่ย ก็มาด้วยกันนี่”

“เธอพูดบ้าอะไรกัน พะนอนิจ ที่นี่คือบ้านของฉัน พ.ต.ท.สุนทรเทวา ส่วนเธอก็คือพะนอนิจ เมียของฉันไง แล้วที่เธอพูดแทนตัวเองว่า “เกด” แล้วมาจากปี พ.ศ.2760  นี่เธออ่านนิยายจนเพี้ยน หรือเธอกำลังพล็อตนิยายไซไฟ ขึ้นมาใช่มั๊ย”

“ไม่ใช่นะคะ พี่เดช เอางี้ ถ้าไม่เชื่อว่าเกด มาจากปี พ.ศ.2760 จริง ก็ลองถามเกดมาสิค่ะ ได้ทุกเรืองเลยว่า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้สิค่ะ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ดิฉันผ่านมาหมดแล้ว จึงรู้ทุกอย่าง”

“เดี๋ยวก่อน เธอบอกว่าให้ฉันทดสอบเธอว่า จะล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ เธอรู้หมด แต่นี่คือปี พ.ศ. 2559 นะ ไม่ใช่ พ.ศ.2760  มันห่างกันราว 200 ปี เธอจะรู้ได้อย่างไร”

“ก็นี่ไงคะ ที่เกด บอกว่า ถ้าไม่เชื่อว่าเกด มาจากอนาคต ปี พ.ศ.2760 ก็ลองถามดูสิค่ะ”

“เธอคงไม่รู้หรอกนะ ว่าปี พ.ศ. นี้ ประเทศของเราปกครองโดยรัฐบาลทหาร ที่มาจากการทำรัฐประหาร มีคดีอาชญากรรมมากมาย เศรษฐกิจย่ำแย่ มีคดีลักขโมย จี้ปล้น ฆ่ากันรายวัน และสภาพบ้านเมืองมีตึกรามบ้านช่องทันสมัย การจราจรติดขัด เจริญด้วยวัตถุและเทคโนโลยีทันสมัยมากมาย แต่จิตใจคนและสังคมกลับเสื่อมทรามลง ประชาชนเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพมากขึ้น จึงเกิดความวุ่นวาย โกลาหลไปทั่วทั้งพระนคร”

“ดิฉันทราบค่ะ นอกเหนือจากนั้น ในปี พ.ศ.นั้น  คนไทยแตกความสามัคคี และไม่ได้รักชาติอย่างที่ปากพูดมากนัก เราตกเป็นทาสทางเศรษฐกิจและทาสทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ ประเทศตกอยู่ในคราวเคราะห์ ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้รักชาติบ้านเมือง เต็มไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล ข้าราชการขี้ฉ้อ ที่ร่วมกันโกงกิน คอร์รัปชั่นเงินงบประมาณของประเทศจนเกิดความเสียหาย เป็นหนี้สาธารณะมูลค่ามหาศาล จนกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจอีกรอบ และก็ต้องสูญสิ้นเอกราชทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง และสุดท้ายประเทศของเราก็ได้กลายเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจรายใหญ่ของเอเซีย”

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว เอางี้ ถ้าเธอบอกว่าเธอรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจริง งั้นเธอรู้มั๊ยว่า ใครคือผู้บงการคดีฆาตกรรมรอยสัก 5 ศพ และทางการจะสามารถจับกุมตัวมันได้เมื่อไหร่”

“ฉันบอกได้แค่ว่า ผู้บงการคือคนที่อยู่ใกล้ตัวพี่เดชนั่นแหละ ส่วนจะจับกุมได้เมื่อไหร่ บอกเลย ทางการจะไม่สามารถจับกุมตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังได้”

“เพราะอะไร ที่ฉันจะไม่สามารถจับกุมตัวมันได้”

“ก็เพราะว่าเขาฉลาดกว่าคุณไง และคุณมีจุดอ่อนบางอย่างที่ ผู้บงการเขารู้ว่าคุณมี แต่คุณกลับไม่รู้จุดอ่อนของผู้บงการ หรือเรียกว่า ไม่รู้อะไรเลย เกี่ยวกับผู้บงการนั่นแหละ”

“นี่เธอบอกมาเลยได้มั๊ย ว่าผู้บงการคือใคร ถ้าเธอแน่จริง ในเมื่อเธอมาจากอนาคต เธอก็ต้องรู้แล้วสิว่าเขาคือใคร”

“ฉันระบุตัวบุคคลลงไปไม่ได้ ฉันบอกได้แค่ว่าเขาเป็นคนใกล้ชิดคุณ เพราะว่า ฉันไม่สามารถเปลี่ยนกรรมของมนุษย์ได้ มันได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แม้ฉันบอกคุณจนรู้ว่าเป็นใคร คุณก็ไม่สามารถไปยับยั้งหรือว่าจับกุมเขาได้ เพราะถ้าคุณทำเช่นนั้น เท่ากับคุณไปเปลี่ยนแปลงลิขิตแห่งกรรม มันก็จะมีผลกระทบกระเทือนมาถึงฉันด้วย ฉันจะไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ ฉันมาบอกคุณก็เพื่อให้คุณได้มีสติ ที่จะคิดทำการสิ่งใด ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ คิด วิเคราะห์ก่อนจะกระทำการอะไรลงไป แต่ว่าไม่สามารถไปเปลี่นแปลงลิขิตแห่งกรรมของใคร คนใดคนหนี่งได้”

“เธอบอกว่า เราเคยเจอกันในชาติอดีตมาก่อนอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่เจ้าค่ะ ดิฉันกับคุณ เราเคยเกิดมาเป็นคู่ครองบุพเพสันนิวาสกัน เมื่อในอดีตชาติ ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คุณคือหมื่นสุนทรเทวา หรือขุนเดช ส่วนดิฉันคือแม่หญิงการะเกด ภริยาของคุณ จากนั้นเราเวียนว่ายตายเกิดมาอีกหลายภพชาติ ท่านได้มาเกิดเป็นสารวัตรเวทางค์ ในยุคสมัย ร.7 (ยุคสงครามโลก) แต่ภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็นสุนทรเทวา หรือชื่อเล่น เดช เหมือนชาติที่แล้วของคุณ ส่วนดิฉันไม่ได้ไปเกิดในยุคสมัย ร.7 ร่วมยุคสมัยกับคุณ แต่ดิฉันได้มาเกิดในยุคอนาคต ปี พ.ศ.2760 ดิฉันได้เห็นประเทศไทยในอีก 200 ปีข้างหน้า และดิฉันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต วิญญาณจึงได้มาสิงร่างของพะนอนิจ อยู่ในขณะนี้”

“แล้วเธอจะอยู่ในร่างพะนอนิจไปอีกนานแค่ไหน”

“ดิฉันไม่สามารถอยู่ในร่างของเธอได้นานนักหรอก เพราะดวงจิตของเธอกล้าแข็ง ดิฉันจะเข้าสิงร่างของเธอได้เฉพาะช่วงที่เธอจิตอ่อน หรือจิตตก และจะมาๆ ไปๆ แบบนี้ เพื่อจะมาช่วยเหลือคุณ เท่าที่จะทำได้ให้มากที่สุดค่ะ”

ซักพัก เกิดสุรางค์ก็เกิดอาการตัวสั่น เนื้อตัวสั่นเทา กรีดร้องเสียงดัง และร่างล้มครืนลงสู่พื้น วิญญาณของเธอจำต้องออกจากร่างพะนอนิจไป ในขณะที่พะนอนิจกลับรู้สึกตัวตื่นขึ้นแทน

“หนอ เป็นอะไรค่ะ พี่เดช”

“เธอเป็นลม ล้มลงในห้องน้ำหน่ะ พี่เลยประคองมานอนที่ห้อง”

“เอิ่ม...หนอคงอ่อนเพลีย เนื่องจากไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้า แต่ว่าหนอไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวหนอจะรีบไป ร.พ.เพื่อเฝ้าไขตาวินธัย พี่เดชไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

สารวัตรเดช ได้เห็นบุคลิกของคน 2 คนที่อยู่ในร่างเดียวกัน คือ 1 พะนอนิจ ภรรยาของตน กับอีกคนที่อ้างว่าชื่อเกศสุรางค์ เป็นวิญญาณที่มาจากโลกอนาคต มาสิงร่างพะนอนิจ และอ้างว่าจะมาช่วยเหลือเขา โดยวิญญาณเกศสุรางค์ยังบอกกับเขาว่า คนที่บงการคดีฆาตกรรมรอยสัก ก็คือคนใกล้ตัวของเขานั่นเอง หรือจะหมายถึง พะนอนิจ  แต่เขาไม่อยากจะเชื่อเช่นนั้น เพราะว่าพะนอนิจ จะทำไปเพื่ออะไร มูลเหตุจูงใจคืออะไร และยังไม่มีหลักฐานใดโยงใยไปถึงพะนอนิจเลย เขาจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยนี้เอาไว้
วันรุ่งขึ้น สารวัตรเดช เดินทางไปยังวัดโพธิ์อีกครั้ง เพื่อไปกราบนมัสการหลวงตาน้ำฝนอีกครั้ง เพื่อขอให้ช่วยวิเคราะห์ความเป็นไปได้เกี่ยวกับกลโคลง ประโยค คำปริศนาจากรอยสักอีกครั้ง เพื่อจะค้นหาว่าใครกันแน่คือ ผู้บงการในคดีนี้

“กราบนมัสการหลวงตา กระผมอยากจะขอให้เจ้าคุณหลวงตา ช่วยวิเคราะห์กลโคลงนั้นอีกสักหน เพื่อว่ามันจะบ่งบอกไปถึงผู้บงการที่แท้จริงของคดีได้  

-      ฝน    ตก    ขี้     หมู   ไหล
-      ไก่    จิก   เด็ก   ตาย  โอ่ง
-      เฝ้าดู ได้   แต่    ใด    มา
-      เพื่อน  ไม่  เคย   ทิ้ง   กัน
-      ไว้ใจ  ทาง วาง   ใจ    คน

จากกลโคลงข้างต้นนี้ เราจะอ่านมันใหม่ จากล่างขึ้นบน โดยเรียงเป็นแถวแนวตั้ง จากซ้ายไปขวาดังนี้

   กลุ่มคำแถวแรก   ไว้ใจ เพื่อน ที่เฝ้าดู ใฝ่ (ไก่ฝน รวบคำจะเป็น ใฝ่)   หมายความว่า.......
   กลุ่มคำแถวสอง   ทาง ที่ไม่ได้ จิก(เพื้ยนเสียงเป็น จิต) ตก  หมายความว่า.........
   กลุ่มคำแถวสาม   เคย วาง (อะไร) ไว้ แต่ เด็ก ขี้ ?    หมายความว่า.......
   กลุ่มคำแถวสี่      ใจ ที่ ทิ้ง สิ่งใด  ตาย หมู (เติมไม้เอกเป็น หมู่)  หมายความว่า.......
   กลุ่มคำแถวห้า     คน กัน (กัน คน) เอง มา โล่ง (โอ่งไหล รวบคำจะเป็น โล่ง) หมายความว่า.....    

วิเคราะห์แถวแรกใหม่  ไว้ใจเพื่อน ที่เฝ้าใฝ่ดู  หรือแปลใหม่เป็น ไว้ใจเพื่อนคนนี้ ที่เฝ้าดูใกล้ชิด
วิเคราะห์แถวสองใหม่  ทางที่ไม่ได้ จิตตก (ผิดหวัง,ดำดิ่ง) หรือแปลใหม่เป็น ทางที่ไม่ได้คาดคิด
วิเคราะห์แถวสามใหม่  เคยวาง (อะไร) ไว้แต่ เด็กขี้ (เด็กแรกเกิด)  หรือแปลใหม่เป็น แผนการที่เคยวางไว้แต่แรก
วิเคราะห์แถวสี่ใหม่เป็น  ใจที่ทิ้งสิ่งใดตายหมู (หมูไม่ใช่หมู่ หมูเวลาตาย ตายทีละตัวหรือตายเดี่ยว) จึงแปลใหม่เป็น  ใจที่ปล่อยทิ้งให้....ตายอย่างเดียวดาย
วิเคราะห์แถวที่ห้าใหม่เป็น   คนกันเอง มาโปร่ง (โอ่งไหล  น่าจะเพี้ยนเสียงเป็น โปร่งหรือโป้งมากกว่า) หรือแปลใหม่เป็น  คนกันเองมาโป้ง หรือก็คือ คนกันเองมายิง (โป้งคือเสียงของปืน)
ดังนั้น เราจะนำคำแปลของกลโคลงนี้ทั้ง 5 แถว มาเรียงกันใหม่เป็น

-ไว้ใจเพื่อนคนนี้ ที่เฝ้าดูแลใกล้ชิด

-ทางที่ไม่ได้คาดคิด

-แผนการที่เคยวางไว้แต่แรก

-ใจที่ปล่อยทิ้งให้....ตายอย่างเดียวดาย

-คนกันเองมายิง


“หลวงตาครับ ถ้าดูจากความหมายของกลโครงที่ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ มันได้ใจความว่า เหมือนเพื่อนที่ถูกทรยศเลยนะครับ”   สารวัตรเดช

“ใช่แล้วโยม เป็นการบอกเป็นนัยว่า เขาโดนเพื่อนคนสนิทหักหลัง และเป็นผู้ฆ่าเขาให้.......ตาย”

“ฟังดูก็ยังงงๆ นะครับ ฆาตกรหรือผู้บงการ กำลังจะบอกว่า ใครถูกทรยศ และใครเป็นคนฆ่า ผมไม่เข้าใจเลย”  หมวดกบี่ งงกับคำแปลกลโคลง ที่ยิ่งทำให้ฉงนสงสัยเข้าไปอีก เพราะไม่รู้ว่า ผู้บงการกำลังสื่อถึงใคร”

“อาตมากำลังคิดว่า ผู้บงการต้องการสื่อความกับใครบางคน ว่าเป็นผู้ทรยศ และทำให้คนที่รักของเขาต้องตาย”


ระหว่างที่หลวงตาน้ำฝน สารวัตรเดช และหมวดกบี่ กับพวกอีก 2 คน กำลังฟังการวิเคราะห์ความหมายของกลโคลงอยู่นั้น นายตำรวจผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของสารวัตรเดชว่า   

“สารวัตรครับ คุณนายพะนอนิจ บอกว่าจะเข้ามาช่วยไขความกระจ่างของกลโคลงนี้ให้ทราบขอรับ”

“นิจมาที่นี่งั้นเหรอ”  ทุกคนทำหน้าตกใจ เอะใจ ว่าเหตุใดภรรยาของสารวัตรเดช จึงอาสามาช่วยไขกลโคลงและคำปริศนาด้วยตนเอง  และรู้ได้ยังไงว่า สารวัตรเดชอยู่ที่นี่?


โปรดติดตามตอบจบใน E.P ต่อไป 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น