วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

หนังในกระแส vs หนังนอกกระแส Box Office ก็ทำเงินได้เหมือนกัน

ในกลุ่มของหนังในกระแสหรือหนังทำเงินประเภท Box Office ยังคงเป็นสูตรสำเร็จอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวบู๊แอ็คชั่น, ซุปเปอร์ฮีโร่ ,ไซไฟ(วิทยาศาสตร์) ดราม่า(ชีวิตเข้มข้น) พีเรียดย้อนยุค ,สงคราม ,ผี, ฆาตกรรม สืบสวนสอบสวน ,คอมเมดี้(ตลก) โรแมนติกคอมเมดี้ (รักปนตลก) โรแมนติกเพียวๆ(รักจริงจัง) หนังแฟนตาซี แอดเวนเจอร์(ผจญภัย) ,การ์ตูน แอนิเมชั่น ฯลฯ รวมถึงหนังนอกกระแส หรือหนังจากต่างประเทศ

หนังในกระแส 5 สูตรหลักๆ ที่ยังคงสร้างกันอยู่และยังคงได้รับความนิยมหรือทำเงิน มักจะวนเวียนอยู่ใน 5 สูตรหลักดังนี้ คือ ซุปเปอร์ฮีโร่ (สร้างจากเกมหรือการ์ตูน) , แฟนตาซี แอดเวนเจอร์(ผจญภัย) , การ์ตูนหรือแอนิเมชั่น , แอ็คชั่นที่ไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ (มาเฟีย/ตำรวจ/สายลับ) และสุดท้าย โรแมนติก คอมเมดี้

หนังนอกกระแส ตามนิยามของผู้เขียนเอง หมายถึง หนังอินดี้ ต้นทุนการสร้างต่ำ ไม่มีดาราระดับแม่เหล็กเป็นจุดขาย ไม่ใช่หนังจากสตูดิโอใหญ่ๆ ไม่โปรโมตผ่านสื่อมากนัก เป็นหนังที่นักวิจารณ์ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบ มีพล็อตเรื่องที่แปลกแหวกแนวจากกระแสหลัก สร้างความแตกต่างอย่างที่ไม่เคยมีในหนังกระแสหลัก อาทิ เช่น The Blair Witch Project และ Slumdog Millionnaire เคยสร้างความฮือฮาเอาไว้ เมื่อหลายปีก่อน

ในรอบ 10 ปีมานี้ ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่ามีหนังอยู่ 1 แนว ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในแง่รายได้หรือทำเงิน และสตูดิโอใหญ่ในฮอลลีวู้ดก็นิยมที่จะสร้างออกมาทุกปี ปีละหลายเรื่อง แม้ว่าหลายเรื่องไม่ได้อยู่ในกระแสการพูดถึงของนักวิจารณ์แต่ก็จัดเป็นแนวหนังยอดนิยม และอยู่ในสูตรสำเร็จเสมอของฮอลลีวู้ด นั่นก็คือ แนวแฟนตาซี แอดเวนเจอร์(ผจญภัย) (สังเกตว่าหนังในหมวดนี้แหละที่มักจะสร้างภาคต่อตามมาอีกหลายภาค) ซึ่งถ้านับย้อนไปถึงปี 2001 จนกระทั่งถึงปัจจุบันพบว่า มีหนังแนวนี้ติดท็อปชาร์ตใน Box Office ทุกปี ได้แก่

ปี 2001 เปิดตัวมหากาพย์ภาพยนตร์ 2 เรื่องที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล นั่นก็คือ มหากาพย์แฟนตาซี Harry Potter กับ The Lord of The Ring ในปีนั้น ทั้ง 2 เรื่องเปิดตัวฉายในปีเดียวกัน(กลางกับปลายปี) และเป็นตอนปฐมบทของเรื่องเหมือนกัน คือ Harry Potter and the Sorcerers Stone (ศิลาอาถรรพ์) ส่วน TLOR เปิดด้วยภาคแรก The Lord of the Rings : The Fellowship of the Ring และในปีนั้น ยังมีหนังแนวแฟนตาซีออกฉายอีกหลายเรื่อง อาทิ The Mummy Returns ,Jurassic Park3 และ Planet of the Apes อีกด้วย

ปี 2002 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ The Santa Clause 2 , Starwars Episode 2 : Attack of the Clones , Scooby-Doo ส่วน Spider-Man และ MIB 2 จัดไปรวมอยู่ในกลุ่มหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ หรือแอ็คชั่นแล้ว (หมายเหตุ หนังที่เป็นภาคต่อของหนังปีก่อนๆ หากซ้ำจะไม่ขอนำมาลง เช่น Harry Potter กับ The Lord of the Rings ตอนต่อมาขอไม่นำมาลง เพื่อที่จะทราบว่ามีหนังใหม่จริงๆ ออกฉายในปีนั้นเรื่องใดบ้าง)

ปี 2003 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Pirates of Caribbean : The Curse of the Black Pearl ซึ่งเป็นภาคแรกของหนังชุดโจรสลัดนี้ , Elf (ไม่ค่อยโด่งดังในบ้านเรา) , Dr. Seuss ‘ The Cat in the Hat ,Finding Neverland นอกจากนี้ยังมี Matrix Reloaded กะ Revolutions , X2-X-Men United ซึ่ง 3 เรื่องหลังนี้ ผู้เขียนจัดไปอยู่ในกลุ่มหนังซุปเปอร์ฮีโร่หรือแอ็คชั่นแทน (หมายเหตุ หนังที่เป็นภาคต่อของหนังปีก่อนๆ หากซ้ำจะไม่ขอนำมาลง เช่น Pirates of Carribbean กับ Starwars ตอนต่อมาขอไม่นำมาลง เพื่อที่จะทราบว่ามีหนังใหม่จริงๆ ออกฉายในปีนั้นเรื่องใดบ้าง)

ปี 2004 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Van Helsing , The Grudge, National Treasure

ปี 2005 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ The Chronicles of Narnia : The Lion,the Witch and the Wardrobe , Chalie and the Chocolate Factory , War of the Worlds , King Kong

ปี 2006 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Night at the Museum

ปี 2007 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ 300 , Enchanted , Bridge to Terabithia

ปี 2008 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull , Twilight , 10,000 B.C , Journey to the Center of the Earth , Jumper , The Day the Earth Stood Still, Cloverfield, Spiderwick Chronicles เป็นต้น (หมายเหตุ หนังที่เป็นภาคต่อของหนังปีก่อนๆ หากซ้ำจะไม่ขอนำมาลง เช่น The Mummy ตอนต่อมาขอไม่นำมาลง เพื่อที่จะทราบว่ามีหนังใหม่จริงๆ ออกฉายในปีนั้นเรื่องใดบ้าง)

ปี 2009 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Avatar , 2012 , StarTrek, A Christmas Carol ,District 9 ,Knowing เป็นต้น (หมายเหตุ หนังที่เป็นภาคต่อของหนังปีก่อนๆ หากซ้ำจะไม่ขอนำมาลง เช่น Twilight ตอนต่อมาขอไม่นำมาลง เพื่อที่จะทราบว่ามีหนังใหม่จริงๆ ออกฉายในปีนั้นเรื่องใดบ้าง)

ปี 2010 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Alice in Wonderland , Clash of the Titans , The Last Airbender, Percy Jackson and the Olympians : The Lightning Thief, The Sorcerer ‘s Apprentice , Piranha

ปี 2011 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย ดังนี้ Rise of Planet of the Apes , Super 8 , Immortals , Cowboys & Aliens , Hugo ,Final Destination 5 (ภาคแรกออกฉายปี 2000 )

สำหรับปี 2012 มีหนังแฟนตาซีหรือผจญภัยที่ออกฉาย จนถึงเดือน กันยายนนี้ (ยังไม่ครบปี) ดังนี้ Journey 2 : The Mysterious Island , John Carter (of Mars) , The Hunger Games, Wrath of the Titans ,The Cabin in the Woods , Dark Shadows , SnowWhite and the Huntsman , Prometheus , Mirror Mirror ,Piranha 3D  เป็นต้น

ส่วนหนังนอกกระแสในรอบ 10 ปี มานี้ ที่เป็นหนังที่ออกฉายทั่วโลกและในอเมริกาแล้วสามารถสร้างรายได้และกระแส ตลอดจนคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก มีดังนี้

ปี 2002 ได้แก่ My Big Fat Greek Wedding ,Jackass The Movie

ปี 2004 ได้แก่ Fahrenheit 9/11

ปี 2006 ได้แก่ Borat

ปี 2007 ได้แก่ Slumdog Millionnaire  , Juno 

ปี 2008 ได้แก่ Mamma Mia , Once 

ปี 2009 ได้แก่ The Hangover , Paranormal Activity

ปี 2010 ได้แก่  Let me in (remake from Let the right one in) ,  Kick-Ass

ปี 2012 ที่เห็นแล้ว 3 เรื่องก็คือ Moonrise Kingdom , Ted  , Intouchables หรือ Untouchables







Like & See - มองซีไรต์ทั้ง 7 เล่ม

ผู้เขียนเป็นผู้ที่สนใจและติดตามงานเขียน วรรณกรรม และกวีซีไรต์ มาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่ได้อ่านงานทุกเล่มที่ได้ซีไรต์ หรือไม่ได้มีความรู้หรือติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด แต่ก็จัดได้ว่าพอจะทราบงานเขียนของบางท่านอยู่บ้าง และก็ยอมรับว่า “ซีไรต์” เป็นสถาบันสูงสุดก็ว่าได้สำหรับการประกวดผลงานด้านวรรณกรรมสุดยอดในบ้านเรา หากไม่ติดตามเลยก็คงจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นหนอนหนังสือได้อย่างเต็มปากนัก และในปีนี้ก็เป็นที่น่าตื่นเต้นมากในรอบหลายปี ที่ผลงานทีผ่านการคัดกรองเป็นวรรณกรรมยอดเยี่ยมของซีไรต์ทั้ง 7 เล่ม มีคุณภาพใกล้เคียงกันและอยู่ในระดับชั้นครูด้วยกันทั้งสิ้น จึงไม่พลาดที่จะเกาะติด และควรค่าแก่การไปหามาอ่านเป็นอย่างยิ่งสำหรับคอหนังสือ

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2555 มีมติเอกฉันท์คัดนวนิยายจำนวน 7 เรื่อง ผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้ว หลังประกาศผลรายชื่อหนังสือนวนิยายจำนวน 15 เรื่อง ที่ผ่านเข้ารอบแรก (Long List) จากจำนวนนวนิยายที่ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 75 เรื่อง เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยนิยายจำนวน 7 เรื่อง ผ่านเข้ารอบสุดท้าย เรียงลำดับตามตัวอักษรของชื่อเรื่องดังต่อไปนี้
1. คนแคระ ของ วิภาส ศรีทอง (สำนักพิมพ์สมมติ)

2. เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง ของ แดนอรัญ แสงทอง (สำนักพิมพ์สามัญชน)

3. ในรูปเงา ของ เงาจันทร์ (แพรวสำนักพิมพ์)

4. รอยแผลของสายพิณ ของ สาคร พูลสุข (แพรวสำนักพิมพ์)

5. เรื่องเล่าในโลกลวงตา ของ พิเชษฐศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ (เปนไท พับลิชชิ่ง)

6. ลักษณ์อาลัย ของ อุทิศ เหมะมูล (แพรวสำนักพิมพ์)

7. โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ (สำนักพิมพ์ใบไม้ป่า)

สำหรับคณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้ายประกอบด้วย 1. เจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย 2. รศ.ทวีศักดิ์ ปิ่นทองนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยฯ 3. ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2554 และ อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย 4. รศ.ดร.สรณัฐ ไตลังคะ อดีตนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย 5. ชมัยภร บางคมบาง นักเขียนนามปากกา และอดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย 6. รศ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ภาควิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ ม.ธรรมศาสตร์ 7. ประธานคณะกรรมการคัดเลือก

(สำหรับรายชื่อคณะกรรมการคัดเลือก นอกจากสกุล บุณยทัต และขจรฤทธิ์ รักษาแล้ว ยังมีกนกวลี กันไทยราษฎร์ นักเขียน, จรูญพร ปรปักษ์ประลัย นักวิจารณ์, ผศ.ดร.จินดา ศรีรัตนสมบุญ ภาควิชาภาษาตะวันตก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, นพดล ปรางค์ทอง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และบาหยัน อิ่มสำราญ คณะอักษรศาสตร์ วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร )

อย่างไรก็ตาม งานพระราชทานรางวัลซีไรต์ประจำปี 2555 (ปีที่ 34) จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 9 พ.ย.นี้ ณ ห้องรอยัลบอลรูม โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เวลา 19.30 น. โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จแทนพระองค์ ในการพระราชทานรางวัล

ล้วนเป็นผู้เขียนชั้นแนวหน้าของไทยทั้งสิ้น สกุล บุณยทัต ประธานกรรมการคัดเลือกปีนี้ชี้ว่า นวนิยาย 7 เล่ม สำหรับซีไรต์ปีที่ 34 ปีนี้ มีทั้งคุณค่าด้านวรรณกรรมและคุณภาพด้านการประพันธ์ เป็นงานวรรณกรรมที่สะท้อนให้คนอ่านได้เห็นปรากฏการณ์ทั้งด้านในและด้านนอก เป็นปรากฏการณ์ที่เข้มข้นไม่เคยมีมาก่อนของเวทีนวนิยายซีไรต์ย้อนหลังไป 2-3 รอบที่ผ่านมา ประธานกรรมการคัดเลือกบอกอีกว่า นวนิยายซีไรต์ 7 เล่มนี้ทรงพลังอย่างมากในแง่วรรณศิลป์และสาระเนื้อหา กรรมการวิเคราะห์เห็นเนื้อในของนวนิยายที่สังเคราะห์ขึ้นมาได้ มีกลวิธีมากมายสำหรับงานประพันธ์ชุดนี้ทั้งหมด ตลอดจนสาระเนื้อหาถูกหยิบยกมาเป็นวัตถุดิบก็แปลกแตกต่างไปจากกัน แต่โดยเนื้อแท้จะเห็นว่าโลกในวันนี้เต็มไปด้วยความคลุมเครือ และสุดท้ายแล้วคำว่า "การประกอบสร้าง" หรือ "สารบบ" ถูกนำมาใช้อย่างมากในการสร้างสรรค์งานชุดนี้ บางทีวาทกรรมของสังคม วาทกรรมทางความคิดอาจทำให้เราสะดุด เช่น ความคลุมเครือ, ความมืดดำกลายเป็นความชัดเจนที่สุดในสังคม เป็นข้อประจักษ์สำคัญที่เราควรพินิจพิเคราะห์ร่วมกัน ทั้งคณะกรรมการหรือแม้กระทั่งผู้อ่าน นวนิยายแต่ละเรื่องนั้นมีนัยของตัวเองชัดเจน "7 เล่ม ทำให้เราหยั่งลึกโดยเนื้อแท้ของงานเขียนที่เป็นมิติสากล งานเขียนของโลกที่บอกว่าหายไปจากวงการวรรณกรรมบ้านเราในหลายๆ ปี โดยเฉพาะภาคนวนิยายถือเป็นวรรณกรรมยิ่งใหญ่ มันได้กลับมา ไม่ว่ากลับมาด้วยเนื้อหาหรือพลังการสร้างของนักเขียนในแง่มุมศิลปะ มโนสำนึก กระบวนวิธีคิด กระบวนทัศน์ที่ได้จัดวางไว้ในรูปแบบที่ปรากฏทั้งหมดนี้" สกุลเห็นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่แม้จะมีเสียงวิพากษ์ถึงหนึ่งในผู้เขียนเจ้าของนวนิยายเล่มหนึ่ง ที่ผ่านเข้ารอบตัดเชือกนวนิยายปีนี้ ซึ่งเคยผลิตงานเรื่องสั้นส่งประกวดซีไรต์ แล้วมีกรรมการตั้งข้อสังเกตเป็นการคัดลอกจากวรรณกรรมต่างประเทศ แต่ประธานกรรมการคัดเลือกเผยว่า มีการถกเถียงเรื่องจริยธรรมนักเขียนเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดกรรมการพิจารณาจากคุณค่าและคุณภาพเป็นหลัก ต้องประจักษ์ในเนื้อสาระที่สร้างขึ้น เพราะเวทีซีไรต์ไม่มีกฎกติกามารยาทเรื่องนี้ เห็นว่าสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและสมาคมนักแปลแห่งประเทศไทยควรมีท่าทีชัดเจน ขณะเดียวกันเป็นโอกาสเปิดกว้างให้นักเขียนผู้นี้ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง ลบรอยบาปที่เปื้อนมือ สำหรับความยากในการคัดเลือกนวนิยายจำนวน 15 เรื่องจากรอบแรกให้เหลือเรื่องที่คู่ควรชิงชัย สกุลย้ำว่า กรรมการต้องพินิจพิเคราะห์รายละเอียด นวนิยายทั่วไปอ่านตอนต้นแล้วสามารถรู้ถึงตอนท้าย หาคำตอบได้เลย แต่งานทั้ง 7 เล่มนี้ยากมากที่จะแกะรอยแนวคิด เนื้อหาสาระ รวมทั้งแกะรอยสิ่งที่พวกเขาต้องการจะบอกกับโลกในฐานะโลกทัศน์ที่พวกเขาสดับรับรู้ นี่คือสาระสำคัญที่ดึงให้พวกเขาเข้ารอบสุดท้ายและเป็นความเข้มข้นของปีนี้ อีกทัศนะของกรรมการคัดเลือก ขจรฤทธิ์ รักษา นักเขียนรางวัลศิลปาธร และผู้ก่อตั้งนิตยสารไรเตอร์ เผยว่าในการพิจารณารอบนี้มี 4 เรื่องที่กรรมการมีมติเอกฉันทน์ให้ไปต่อ คือ ในรูปเงา, รอยแผลของสายพิณ, เรื่องเล่าในโลกลวงตา และลักษณ์อาลัย ส่วนที่เหลือ 3 เรื่องเสียงแตกต้องโหวตกัน สำหรับเรื่องที่ถกกันมากสุด คือ คนแคระ เป็นเรื่องอดีตของนักเขียนที่ผ่านมา แต่สุดท้ายกรรมการวัดที่ตัวงานเพราะไม่มีกฎระเบียบแน่ชัด "7 เล่มนี้ ใครได้ซีไรต์ก็ดีใจ ไม่มีปัญหา แต่ผมชอบ 2 เรื่อง คือ ลักษณ์อาลัย ของอุทิศ ลุ้นนักเขียนคนนี้มาตลอด ชื่มชมในการเล่าเรื่องของเขา ดึงดูดคนอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก แล้วเรื่องนี้ก็เข้ารอบโดยไม่มีปัญหา กรรมการไม่ต้องอภิปรายกัน ใจอยากให้อุทิศได้ซีไรต์อีกครั้ง ส่วนเรื่องรอยแผลของสายพิณของสาครก็ชอบ" นักเขียนรางวัลศิลปาธรบอกอีกว่า นักเขียนทั้ง 7 คนนี้เล่าเรื่องเก่งเป็นเอกลักษณ์ นำเรื่องที่เล่ามาสะกดคนอ่านได้ ทำให้เราซาบซึ้งสะเทือนใจ อย่างแดนอรัญ แสงทอง เล่าเรื่องพุทธประวัติก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่เล่าได้ดีมาก ส่วนเงาจันทร์เล่าเรื่องให้รู้สึกว่าคนกับสัตว์ไม่ต่างกันผ่านงานในรูปเงา ก็พิจารณาจากนวนิยายทำให้ผู้อ่านจดจำเรื่องได้ เกิดความสะเทือนอารมณ์ หยุดคิดหยุดไตร่ตรอง แต่ถ้าอ่านแล้วผ่านเลยก็ไม่เข้ารอบ สำหรับ 7 เรื่องที่เข้ามาจดจำได้หมด เป็นนักเขียนที่เก่งมากในยุคนี้









ในที่สุด "คนแคระ"นวนิยาย"ของ"วิภาส ศรีทอง" คว้ารางวัลซีไรต์ ประจำปี 2555

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 กันยายนว่า คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช 2555 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นวนิยายเรื่อง คนแคระ ของ "วิภาส ศรีทอง" ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปีพุทธศักราช 2555

คนแคระ ของวิภาส เป็นนวนิยายที่เสนอปัญหาสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ เปิดเผยให้เห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างของกลุ่มคนซึ่งเป็นตัวแทนของสังคมร่วมสมัย โดยสะท้อนให้เห็นการขาดความตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์การหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของตนเอง และการโหยหาสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์แต่จำกัดขอบเขตของความสัมพันธ์นั้นไว้ ทั้งหมดนี้ผู้เขียนนำเสนอผ่านตัวละครที่แสดงความเย็นชาต่อชะตากรรมของมนุษย์ และหาทางสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง

ผู้เขียนมีกลวิธีการเล่าเรื่องเนิบช้าทว่ามีพลัง มีการสร้างจินตภาพที่ชวนให้เกิดการตีความหลากหลาย มีตัวละครซับซ้อน แปลกแยก และท้าทายกฎเกณฑ์ของสังคม คุณค่าของนวนิยายนี้จึงอยู่ที่การกระตุ้นให้เกิดการสำรวจภาวะความเป็นมนุษย์ในโลกร่วมสมัย ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามกับมโนสำนึก ความรับผิดชอบชั่วดีและสารัตถะของชีวิต

ที่มา : มติชนออนไลน์


วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

กลับมาทำไม (น้องน้ำ) ฉันลืมเธอไปหมดแล้ว

ภาพการรายงานข่าวน้ำท่วมในฟรีทีวี กับการอัพเดทข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ตลอดจนการรายงานข่าวของภาคประชาชนในนามของเว็บไซต์ ThaiFlood ได้เปิดเว็บไซต์/แฟนเพจ เพื่อรับแจ้ง/รายงานข่าวความคืบหน้าของสถานการณ์อุทกภัยและภัยอื่นๆ กำลังจะกลับมา เพื่อเป็นอีกช่องทาง/ทางเลือกของสื่อที่ไม่ใช่กระแสหลัก โดยไม่ต้องพึ่งพาการรายงานของทางภาครัฐ ที่ล่าช้าและให้ข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ล่าช้า หรือปกปิดข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือกันเอง ผ่านสังคมออนไลน์ เครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก และหน่วยงานของภาครัฐที่กระตือรือร้นที่จะเข้าไปช่วยเหลือทันที โดยไม่ต้องรอรัฐบาลสั่งนั่นก็คือหน่วยงานทหารต่างๆ และไม่น่าเชื่อว่า พอมาปีนี้ สถานการณ์อุทกภัยร้ายแรงในแบบปีที่แล้ว กำลังวนซ้ำกลับมาเกิดขึ้นอีกในปีนี้ ราวกับฉายหนังซ้ำ เรื่องเดิม บทเดิมๆ และตัวละครก็ดูเหมือนจะเป็นตัวเดิมๆ อีกแล้วครับท่าน ถ้าวลีเด็ดของปีที่แล้วคือ "เอาอยู่"  ปีนี้ก็คงจะเป็น "เอาอีก" แล้ว 

• อุตุฯ เตือนฉบับ 1 เกือบทุกภาคฝนตกหนักช่วง 13-17 ก.ย.นี้ [ 12 ก.ย. 2555 ]ประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมาก บริเวณประเทศไทย ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 12 กันยายน 2555

• ทหารเร่งวางเกเบรียล อุดรูรั่วพนังกั้นน้ำสุโขทัย [ 12 ก.ย. 2555 ]ความคืบหน้าล่าสุด (12 กันยายน) สถานการณ์น้ำท่วมในเขตเมืองสุโขทัยธานี ขณะนี้ชาวบ้านเผชิญน้ำท่วมเป็นวันที่ 4 แล้ว ซึ่งระดับน้ำยังคงท่วมสูงและขยายเป็นวงกว้าง

• พิจิตรประกาศ 3 อำเภอ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติน้ำท่วม [ 12 ก.ย. 2555 ]ผวจ.พิจิตร ประกาศ 3 อำเภอ เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม นำงบช่วยประชาชน พร้อมสั่งเร่งระบายน้ำ ลงแม่น้ำน่าน

• ปลอดประสพ สั่งตรวจประตูระบายน้ำ 4 จังหวัด [ 12 ก.ย. 2555 ]ปลอดประสพ สั่งตรวจประตูระบายน้ำ และพนังกั้นน้ำ จ.อ่างทอง สิงห์บุรี นครสวรรค์ และอยุธยา พร้อมรายงานใน 48 ชม. หวั่นซ้ำรอย จ.สุโขทัย

• มาอีกแล้ว! จดหมายจากน้องน้ำ 2012 (ฮาจนท้องแข็ง) [ 12 ก.ย. 2555 ] หลังจาก "น้องน้ำ" ได้ร่ำลา "พี่กรุง" ไปเมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 หลายคนก็คงคิดว่า "น้องน้ำ" คงจะไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาหา "พี่กรุง" อีกแล้ว

• แฉ! กบอ. โทษพนังเก่าทำท่วมสุโขทัย - จริง ๆ เพิ่งสร้างใหม่ [ 12 ก.ย. 2555 ] วันนี้ (12 กันยายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์อุทกภัยในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยยังคงวิกฤต โดยชาวบ้านยังคงเดือดร้อนหนักจากน้ำที่ท่วมสูงในหลายจุด

• ประกาศ! อีสาน-ใต้ 7 จังหวัด เตรียมรับมือน้ำท่วม 12-15 ก.ย.นี้ [ 12 ก.ย. 2555 ]ประกาศเตือน! อีสาน-ใต้ 7 จังหวัด เตรียมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก 12-15 กันยายนนี้ ด้านกรมอุตุฯ ระบุ ประเทศไทยตอนบนฝนตกชุก ขณะที่ กทม. - ปริมณฑล ฝนตกร้อยละ 60 ของพื้นที่

• พร้อม! ทหารลพบุรีเตรียมอุปกรณ์ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม [ 12 ก.ย. 2555 ]ทหารหน่วยรบพิเศษจากลพบุรี กว่า 800 นาย เตรียมความพร้อม และยุทโธปกรณ์ เพื่อออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว

• นครสวรรค์เจ้าพระยาน้ำลดแล้ว ตลิ่งทรุด-ถนนพัง [ 12 ก.ย. 2555 ]ขณะนี้ปริมาณแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ลดลงแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ส่งผลให้น้ำเซาะตลิ่งพัง ถนนทรุด ขณะที่ทางจังหวัดเร่งก่อสร้างพนังกั้นป้องกันน้ำท่วมเขตเศรษฐกิจเตรียมรับมือน้ำท่วม

• กาชาดขอแรงจิตอาสา บรรจุถุงธารน้ำใจ วันนี้ [ 12 ก.ย. 2555 ]สภากาชาดไทย ขอแรงชาวไทย ช่วยบรรจุถุงธารน้ำใจช่วยเหลือประชาชน ที่ประสบอุทกภัยอยุธยา ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ในวันนี้

• สุโขทัยวิกฤติ! น้ำท่วมสูง - ขาดแคลนอาหาร [ 12 ก.ย. 2555 ]ความคืบหน้าล่าสุด สถานการณ์น้ำท่วมในเขตเมืองสุโขทัยธานี ขณะนี้ชาวบ้านเผชิญน้ำท่วมเป็นวันที่ 4 แล้ว ซึ่งระดับน้ำยังคงท่วมสูงและขยายเป็นวงกว้าง

• น้ำวังเอ่อล้นท่วมพื้นที่ของ 3 ตำบล ใน จ.ตาก [ 12 ก.ย. 2555 ]น้ำล้นเขื่อนกิ่วคอหมา ทะลักเข้าแม่น้ำวัง เอ่อล้นท่วมพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล อ.สามเงา จ.ตาก ระดับน้ำสูงกว่า 60 ซ.ม.

• มาแล้ว! น้ำจากสุโขทัยท่วมพิษณุโลก นาจม 6 พันไร่ [ 12 ก.ย. 2555 ]น้ำจากสุโขทัยที่เร่งระบาย เข้าท่วม อ.พรหมพิราม - อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก กว่า 50 - 100 ซม. ทะลักเข้าไร่นาชาวบ้านรวม 6,000 ไร่

ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีและพณฯ ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ บูรณาการระบบน้ำอย่างเบ็ดเสร็จ


นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการสาธิตการปฏิบัติการ Single Command Center โดยระบุข้อมูลทั้งหมดเรื่องน้ำทั้งเรื่องของการประมวลปริมาณน้ำทั้งหมด การวิเคราะห์ และระบบการสั่งการเกี่ยวกับการเตือนภัยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลตรงยังทุก หน่วยงานที่มีข้อมูลเรื่องน้ำ เพื่อให้นำไปปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพ

วันนี้ (12 มิ.ย.55) เวลา 17.30 น. ณ เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เยี่ยมชมการสาธิตการปฏิบัติการ Single Command Center (SCC) พร้อมรับฟังการบรรยายการบริหาร Flow ของระบบน้ำทั่วประเทศ จากนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.รอยล จิตรดอน ประธานคณะอนุกรรมการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำชุดใหม่ เพื่อดูและบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยได้มีการอธิบายขั้นตอนการทำงานของ SCC เริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลสร้างแบบจำลอง เพื่อจัดสร้างเกณฑ์การเตือนภัย การดำเนินการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ โดยศูนย์ปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำ (ศปน.) สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) การจัดทำ Scenario ทางเลือกแต่ละสถานการณ์ คู่มือการปฏิบัติของหน่วยงานแต่ละพื้นที่ ข้อมูลฝน น้ำในลำน้ำ น้ำในเขื่อน ระดับน้ำทะเล ขั้นตอนการดำเนินการเมื่อมีปริมาณฝนมาก โดย สบอช.จะรวบรวมข้อมูลและรายงานเสนอนายกรัฐมนตรีทราบ ฯลฯ รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ได้มีการซักซ้อมการสั่งการ SCC ที่เขื่อนเจ้าพระยาด้วย โดยได้มีการจำลองเหตุการณ์จะต้องมีการเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของฝั่งตะวันออกและตะวันตก เนื่องจากขณะนี้ฝั่งตะวันออกเกษตรกรยังไม่พร้อมรับการระบายน้ำเพราะยังเก็บเกี่ยวไม่เสร็จและฝั่งตะวันตกสามารถรับน้ำได้อีกเล็กน้อย นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการผ่านระบบ Conference ให้กรมชลประทานเปิดประตูระบายน้ำดังกล่าวและเมื่อสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติก็ได้สั่งการให้ปิดประตูระบายน้ำ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า สิ่งที่ได้ร่วมกันดำเนินการเรื่องน้ำวันนี้มีทั้งเรื่องของการประมวลปริมาณน้ำทั้งหมด การวิเคราะห์ และระบบการสั่งการเกี่ยวกับการเตือนภัย ข้อมูลทั้งหมดจะรวมอยู่ที่ตึกแดงศูนย์ Single Command Center และจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลตรงยังทุกหน่วยงานที่มีข้อมูลเรื่องน้ำและเป็น real time โดยจะนำข้อมูลดิบต่าง ๆ ทั้งหมดมาวิเคราะห์ให้เกิดเอกภาพ เพื่อคณะกรรมการในการระบายน้ำหรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ นำไปใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นในทิศทางเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพต่อไป

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าภายหลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการปฏิบัติการของ SCC และข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำแล้วก็มีความรู้สึกสบายใจ รวมถึงสิ่งที่ได้มีการสั่งการและมอบหมายให้ไปดำเนินการก็มีความคืบหน้าและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันขอให้มีการนำภาพถ่ายทางอากาศไปดำเนินการและใช้วิเคราะห์ในส่วนของเขื่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ในช่วงนี้ด้วย และขอให้กระทรวงคมนาคมดูในเรื่องของถนนที่ขวางเส้นทางน้ำทำให้น้ำไหลได้ไม่สะดวก รวมทั้งขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องเว็บไซต์ P-MOC FLOOD มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำ การบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ได้มีการเก็บรวบรวมไว้บันทึกลงในเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องและเป็น real time เพื่อจะได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องของการขุดลอกคูคลองต่าง ๆ ซึ่งหากการดำเนินงานของโครงการหรือหน่วยงานใดยังไม่คืบหน้าจะได้เร่งรัดให้มีการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ความสามารถในการระบายน้ำของคลองและการเชื่อมต่อกันทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ นั้นมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งหากสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้มารวมไว้บนภาพเดียวกันได้ก็จะทำให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและผู้ที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้สื่อสารประชาสัมพันธ์เป็นภาษาที่ประชาชนเข้าใจได้ง่ายผ่านเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนสามารถนำไปเผยแพร่ต่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องตรงกันอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ทำเป็นทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องแปลงข้อมูลในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำออกมาเป็นภาคปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจ และเข้าถึงแหล่งข้อมูล เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับกับสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้หากมีการแจ้งข้อมูลล่วงหน้าได้ก็เป็นสิ่งที่ดี หรือในบางครั้งในกรณีที่เกิดภัยขึ้นอย่างกะทันหัน อย่างน้อยฐานข้อมูลที่ถูกต้องก็จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีการอบรมให้เกิดความเข้าใจฐานข้อมูลนี้ในเบื้องต้น เพื่อจะทำให้ทางจังหวัดและท้องถิ่นสามารถที่จะตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ทันทวงทีและถูกต้องแม่นยำต่อไป

ล่าสุด "ปลอดประสพ"  ขอโทษชาวสุโขทัย หลังน้ำท่วมพื้นที่ บอกเป็นเหตุสุดวิสัย แจงน้ำท่วมอยุธยา ไม่เกี่ยวทดสอบระบายน้ำ

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าจากสถานการณ์น้ำท่วมบริเวณเขตเทศบาลเมืองสุโขทัย ต้องขอโทษชาวสุโขทัย ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำรวจและซ่อมแซมกำแพงกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำที่เก่าที่ชำรุดโดยด่วน อีกทั้ง ฃให้เจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนก่อนน้ำจะมาถึง ทั้งนี้ จากการรายงานของกรมชลประทานรายงานว่า ภายใน 1 - 2 วัน น้ำในพื้นที่ จ.สุโขทัย จะลดลง

"นายกฯ บอกว่า จุดไหนที่เป็นจุดเสี่ยง ให้ส่วนหน้าฟ้องเรื่องเข้ามา โดยให้ ปภ. ไปอยู่ก่อนเลย และให้ไปทำงานเชิงรุก ให้ช่วยเหลือเยียวยาก่อนน้ำมา" นายปลอดประสพ กล่าว

อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปฏิเสธว่าการทดสอบระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไม่ได้ส่งผลกระทบให้น้ำเอ่อเข้าท่วมใน อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้หารือกับเกษตรกรในพื้นที่แล้ว ว่าต้องการเก็บกักน้ำใช้ในการเกษตร จึงไม่ได้เป็นความจริงตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

วันนี้ (12 กันยายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์อุทกภัยในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยยังคงวิกฤต โดยชาวบ้านยังคงเดือดร้อนหนักจากน้ำที่ท่วมสูงในหลายจุด ซึ่งเมื่อวานนี้ (11 กันยายน) คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สาเหตุที่น้ำท่วมจังหวัดสุโขทัยนั้น เป็นเพราะพนังกั้นน้ำในจังหวัดสร้างไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 จึงชำรุดทรุดโทรมแล้ว อีกทั้งยังเป็นโครงสร้างแบบที่ไม่มีเสาเข็ม ทำให้ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำจำนวนมากได้ เป็นเหตุให้น้ำหลากเข้าท่วมในเขตเศรษฐกิจของจังหวัดดังที่ปรากฏ แต่คาดว่า ในจุดอื่น ๆ น้ำจะไม่ท่วมหนักเท่าปีที่ผ่านมา


ขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ก็ออกมาระบุสาเหตุของน้ำที่ทะลักเข้าท่วมตัวเมืองสุโขทัยครั้งนี้ว่า เกิดจากปริมาณน้ำเหนือลอดใต้กำแพงกั้นน้ำ ซึ่งเป็นกำแพงเก่าที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2544 อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองสุโขทัย

อย่างไรก็ตาม จากคำชี้แจงดังกล่าวของนายปลอดประสพ ก็ได้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องพนังกั้นน้ำเก่ากันหนาหูในโลกไซเบอร์ หลังจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัว Dr.Tortrakul ว่า "สุโขทัย เอาไม่อยู่ สร้างเขื่อนคอนกรีตริมแม่น้ำใหม่ ๆ กันน้ำได้วันเดียว"

ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว พนังกั้นน้ำที่พังดังกล่าวเพิ่งสร้างเสร็จมาใหม่ ๆ แต่กั้นน้ำได้เพียงวันเดียวก็พังลง แต่ กบอ. กลับไปโทษว่า เป็นเพราะพนังกั้นน้ำเก่าทำให้น้ำท่วม ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ชาวไซเบอร์วิพากษ์วิจารณ์กันมากมายถึงความสามารถในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาพูดความจริงเสียที

ข่าวเมื่อตอนช่วงต้นปี บริษัท ทีมกรุ๊ป จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการน้ำของ กทม.ได้รายงานผลการศึกษาไว้ดังนี้
"ทีมกรุ๊ป" เปิดแบบจำลองน้ำท่วมปี 2555 ฟันธง 7 จังหวัดริมเจ้าพระยาตอนล่างอ่วม โดยเฉพาะอยุธยาน้ำจะสูงกว่าเดิม 1 เมตร

ทีมกรุ๊ป เปิดแบบจำลองน้ำท่วมปี 2555 ฟันธง 7 จังหวัดริมเจ้าพระยาตอนล่างอ่วม โดยเฉพาะอยุธยาน้ำจะสูงกว่าเดิม 1 เมตร โดยปัญหาน้ำท่วมยังคงสร้างความวิตกกังวลให้กับประชาชนในหลายพื้นที่ แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาสร้างความมั่นใจในการป้องกันก็ตาม โดยสถานการณ์ล่าสุด บริษัท ทีมกรุ๊ป จัดสัมมนา “รับรู้...สู้ภัยน้ำท่วม” เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็น และข้อเสนอแนะในการเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2555

นายชวลิต จันทรรัตน์ กรรมการผู้จัดการทีมกรุ๊ป กล่าวว่า หลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งบริษัททีมกรุ๊ป ได้นำเสนอแนวทางที่จะใช้ป้องกันน้ำท่วมไปยังรัฐบาลรวม 7 แนวทาง โดยมีจุดประสงค์เพื่อตัดน้ำตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมตั้งแต่ต้นสาย ซึ่งเป็นสาเหตุน้ำท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ มีความคืบหน้าไปแล้ว โดยพบว่ารัฐบาลได้นำส่วนหนึ่งไปใช้ในโครงสร้างการป้องกันในแผนระยะเร่งด่วนที่ทำไปแล้ว 80-90% โดยเฉพาะการขุดลอกคูคลองการปรับปรุงคันดินกั้นน้ำ แต่ยังมีปัญหาว่ารัฐบาลยังไม่ได้ทำตามที่บริษัทเสนอไปในบางจุดแต่ทำเกินกว่าที่ได้เสนอไป

ดังนั้น จะมีผลทำให้ระดับน้ำยกสูงขึ้นกว่าเดิม เช่น ในพื้นที่ปทุมธานี และนนทบุรี ซึ่งการปรับปรุงคันกั้นน้ำไม่เป็นไปตามที่บริษัทได้เสนอไป ทำให้ปัญหาน้ำท่วมต้องขยายพื้นที่ไปเยอะ และเกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณเหนือคลองพระยาบรรลือ และพื้นที่เหนือคลองระพีพัฒน์ คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลอง 13 ที่ทำแนวกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำไม่ให้เข้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ดังนั้น มีข่าวดีว่าในปีนี้จะทำให้น้ำไม่ไหลเข้ามาในเขตกรุงเทพฯ ปทุมธานี และ จ.นนทบุรี

นายชวลิต กล่าวว่า แต่จากการประเมินความเสี่ยงน้ำท่วมในปี 2555 โดยใช้แบบจำลองจากปัจจัยปริมาณน้ำเท่ากับปี 2554 ปริมาณเฉลี่ยรายปี ปริมาณน้ำท่า และโครงสร้างการป้องกันที่รัฐบาลทำเพิ่งทำไปแล้ว ทำให้พบว่า ถ้าปริมาณน้ำมากเท่ากับปี 2554 ในปี 2555 น้ำจะท่วมสูงกว่าระดับน้ำท่วมเดิมของปี 2554 โดยเฉพาะในเขตลุ่มเจ้าพระยา ไล่ตั้งแต่พื้นที่ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรีจะยังคงเจอสถานการณ์น้ำท่วมเหมือนปี 2554 เนื่องจากยังไม่สามารถจัดหาพื้นที่แก้มลิง 2 ล้านไร่ทางทุ่งด้านเหนือของ กทม.โดยบางพื้นที่จะมีระดับความรุนแรงจากปริมาณน้ำท่วมที่แย่ลงกว่าเก่า

นายชวลิต ระบุอีกว่า ที่สำคัญพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่ในปีที่ผ่านมา ไม่ได้ถูกน้ำท่วมก็อาจจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมด้วยเช่นกัน พื้นที่ช่วงระหว่างคลอง 13- อ.บ้านนา อ. องครักษ์ จ.นครนายก ที่จะมีน้ำท่วมเพิ่มอีก 0.70 ซม. รวมทั้ง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา และเส้นทางบางส่วนของฉะเชิงเทรา เนื่องจากมีการเบี่ยงน้ำออกไปในพื้นที่ดังกล่าว




วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

รับเซนเป็นเพื่อน

เซน คืออะไร ?  จะศึกษาเซน จากประวัติศาสตร์ จากรากศัพท์ นั่นก็ไม่ใช่เซน  เซนคือปรัชญาหรือ  ?  ก็ไม่ใช่อีก  ถ้าจะให้เรียกเห็นจะเรียกได้ว่า เซน คือ ธรรมนั่นแหละ พอฟังได้หน่อย  เข้าถึงเซน ก็คือเข้าถึงธรรม แล้วขยายความต่อไปว่า ธรรมนี้รวมทุกสิ่ง ทั้งนิพพาน ฯลฯ หรืออะไรก็ตาม   สิ่งที่พวกเซน เขามุ่งหมายกันนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วๆไป ที่บางคนเข้าใจ เพราะพวกเขาไม่สนใจเรื่องนรก สวรรค์อะไรเลย  แม้ว่าจะจัดว่าเป็นฝักฝ่ายทางศาสนาก็ตาม หากแต่เขามุ่งไปให้ไกลกว่านั้นมากนัก คือ เน้นไปที่ความหลุดพ้น การตรัสรู้ วิมุตติ การบรรลุธรรม ซึ่งดูให้ดีจะเห็นความแตกต่างไปจากแนวคติมหายานโดยทั่วไป ที่มักจะพากันเน้นที่การมุ่งนำสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นวัฏสงสารให้ได้ก่อน แล้วตัวเองจึงค่อยบรรลุธรรม ดังนั้น ในแง่หนึ่ง เซน จึงคล้ายคลึงกับทางเถรวาทมาก และในข้อวัตรปฏิบัติบางประการ เซนก็ดูๆ ไปจะละม้ายกับเถรวาทสำนักวัดป่าที่เน้นวิปัสสนา เป็นอย่างมากเช่นกัน  เซนคืออะไร ขอให้ขบคิดกันต่อไป อย่ายึดเอาข้อสรุปใดเป็นคำตอบ จงแสวงหาไปอย่าหยุด  จนกว่าจะพบ “เซน” เข้าด้วยตนเองอย่างตรงๆ จริงๆ   
“เซน”  เน้นการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ถ่อมตน และมีเป้าหมาย      (ละเอียด ศิลาน้อย ผู้เขียนปล่อยวางอย่างเซน)

อลัน วัตต์ส นักปรัชญาชาวอังกฤษ-อเมริกันผู้เชี่ยวชาญเรื่องเซน เขียนในหนังสือ The Way of Zen (1957) ว่า เซนเป็นวิถีทางและมุมมองของชีวิต เซนไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่จิตวิทยาหรือวิทยาศาสตร์และเช่นเดียวกับพุทธและเต๋า หลักการของเซน คือ การปลดปล่อยตนให้เป็นอิสระ (self liberation) แม้ว่าเซนเป็นส่วนผสมของศาสนาพุทธกับเต๋า แตกแขนงเป็นอีกสายธารหนึ่ง แต่ก็เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ต่างจากเดิม อย่างที่บางท่านบอกว่า เซนก็คือสิ่งประดิษฐ์ในสมัยราชวงศ์ถัง  ท่านพุทธทาสภิกขุ บอกว่า เราไม่ควรนับเซนเป็นมหายาน เพราะเซนไม่บูชาสิ่งใด ไม่่าจะเป็นอมิตาภะ โพธิสัตว์ ตารา (หรือพระรัตนตรัย ของฝ่ายมหายาน) ไม่มีแดนสุขาวดี ไม่มีทัวร์สวรรค์ ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีรางวัลสำหรับชาติหน้า อีกทั้งเซนยัง "ขนสัตว์ข้ามฝั่ง (หมายถึงผู้รู้แจ้ง)  ไปได้น้อยกว่าพวกหินยานหรือเถรวาทเสียอีก" 



คำว่า เซน (Zen)  มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า ธยาน (Dhyana) ภาษาบาลีเรียก ฌาน (Jhana แปลว่าสมาธิ) ภาษาจีนออกเสียง ฉาน (Ch' an) ถือกำเนิดที่เมืองจีน แต่สืบรากเหง้ามาจากพุทธศาสนา บุคคลแรกที่เป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมพุทธศาสนากับเซนก็คือพระโพธิธรรม (Bodhidharma) ผู้เดินทางจากอินเดียไปเมืองจีนในราว ค.ศ. 520 ชื่อจีนของพระโพธิธรรม ก็คือ ตั๊กม้อ เจ้าสำนักวัดเส้าหลินอันเลื่องลือ หลายร้อยปีต่อมา ลัทธิฉานก็เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ออกเสียงตามสำเนียงญี่ปุ่นว่า เซน แตกออกเป็นสาขาย่อย เช่น รินไซ เซน ,โซโต เซน เป็นต้น แต่ไม่ว่าเป็นสายใด หัวใจของมันก็ไม่ได้แตกต่างกัน คือเน้นการใช้สมาธิและเข้าถึงธรรมด้วยปัญญา  ท่านพุทธทาสภิกขุ บอกว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เซน ไม่มีรูปธรรม เช่น คำว่า พระโพธิสัตว์ ก็ไม่ได้หมายถึงคน แต่หมายถึงคุณธรรมอย่างหนึ่ง  เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หมายถึง ความเมตตากรุณา  พระโพธิสัตว์มัญชุศรี หมายถึง กฏแห่งเหตุผลที่ว่าสัตว์เป็นพุทธะอยู่แล้ว เป็นต้น  

สิ่งที่พวกเซนเน้นมากก็เช่นเดียวกับคำสอนพุทธศาสนาสายอื่นๆ โดยทั่วๆ ไป คือ เรื่องอนิจจัง เรื่องอนัตตา ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความว่าง ฯลฯ  

(ปริศนาธรรม)  ก่อนที่ท่านนินากาวะจะจากไป (ตาย)  อาจารย์เซนที่ชื่ออิ๊กคิวได้แวะมาเยี่ยม “จะให้ผมนำทางให้ไหม?  อิ๊กคิวถาม  นินากาวะตอบขึ้น  “ฉันมาที่นี่แต่เพียงลำพังคนเดียว และฉันก็จะไปคนเดียว คุณจะช่วยอะไรฉันได้?   อิ๊กคิวจึงตอบกลับไปว่า “ถ้าคุณคิดว่าคุณมาและไปจริงๆ แล้ว นั่นเป็นโมหะ (ความหลงผิด)  ของท่านละ ขอให้ผมได้แสดงทางซึ่งไม่มีการมาและไม่มีการไปให้ท่านดูสักหน่อยเถิด”  ด้วยคำพูดเพียงเท่านั้น อิ๊กคิวก็ได้ช่วยเปิดเผยเส้นทาง (แห่งธรรม) ให้แก่นินากาวะเรียบร้อยแล้ว และนินากาวะ ก็ยิ้มแล้วเดินจากไปอย่างสงบ  

(ปริศนาธรรม)  โดยพระอาจารย์ โดเก็น  พระเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์เซนญี่ปุ่น  บทกวีที่ว่า

“การรู้แจ้งก็เฉกเช่นจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ   พระจันทร์ไม่เปียก  น้ำก็ไม่ถูกกินที่    แม้แสงจันทร์จะสาดสว่างไพศาล  กลับปรากฏบนผิวน้ำกว้างเพียงนิ้วมือเดียว  จันทร์ทั้งดวงกับแผ่นฟ้าใหญ่  สะท้อนบนน้ำค้างหยดเดียวบนใบหญ้า”

สรรพสัตว์ในจักรวาลนี้มีพุทธภาวะอยู่ภายในตัวอยู่แล้ว อาจเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปบ้าง โดเก็นมองว่า อรหันต์กับปุถุชนไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ความแตกต่างอยู่ที่ว่าใครเห็นพุทธภาวะภายในตนหรือไม่ และสามารถลอกเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ออกไปได้หรือไม่ เปลือกนั้นคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน การเข้าไปสู่พุทธภาวะจึงต้องแสวงหาจากภายในตนเอง ไม่ใช่จากภายนอก จะว่าไปแล้วก็ไม่มีการบรรลุอะไร เพราะสิ่งที่ค้นพบนั้นก็คือของเดิมในตัวเรานี่เอง ก็คือการบรรลุธรรมชาติแท้ของตนนั่นเอง โดเก็นเขียนว่า การมองเห็นเชื่อมกายกับจิต การฟังเสียงเชื่อมกายกับจิต ทำให้เข้าใจมันโดยเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว การเชื่อมในความหมายของโดเก็นก็คือการไม่แบ่งแยก แต่เชื่อมเป็นตัวตนเดียวกับสิ่งนั้น เมื่อสามารถกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งหนึ่ง จะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เจ้ารู้ว่า กำลังเจ้านั่งตัวตรงหรือไม่ตรง จะไม่มีกาย ไม่มีจิต ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งอื่น สิ่งที่เจ้าเชื่อมคล้ายไร้ตัวคนไป เมื่อเจ้ากลายเป็นสิ่งนั้นเสียเอง เจ้าจะกลายเป็นจักรวาล...” เพราะในสมาธิชั้นสูง จะไม่มีสิ่งใดให้จับต้อง ไม่มีตา ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น หู กาย จิต สี เสียง กลิ่น สัมผัส นี่คือการเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว อย่างที่อาจารย์โดเก็น กล่าวว่า “เมื่อเจ้าเดิน จงเดิน เมื่อเจ้าร้องไห้ จงร้องไห้ เมื่อเจ้าหัวเราะ จงหัวเราะ” ในตัวอย่างเรื่องพระจันทร์ในน้ำ น้ำเป็น “ความคิด” พระจันทร์เป็น “วัตถุ” เมื่อไม่มีน้ำ ก็ไม่มีพระจันทร์ในน้ำ และเช่นกัน เมื่อไม่มีพระจันทร์ ก็ไม่มีพระจันทร์ในน้ำ น้ำไม่ได้รอพระจันทร์เพื่อปรากฏเงาขึ้นมา พระจันทร์ก็มิได้ปรากฏเพื่อสร้างเงาในน้ำ ทั้ง 2 ไม่มีเจตนาต่อกัน นี่ก็คือมนุษย์กับจิต

ในสมิทธิสูตร ซึ่งเป็นเรื่องราวของภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เช้าตรู่วันหนึ่ง สมิทธิได้ไปสรงน้ำในแม่น้ำ และในขณะที่กำลังเช็ดตัวอยู่นั้น เทพธิดาก็ได้ปรากฏกายขึ้น พร้อมกับถามว่า “ภิกขุ เธอยังหนุ่มแน่น แต่ไฉนจึงได้สละชีวิตทางโลกเสียเล่า ทำไมเธอถึงไม่สึกออกไปแสวงหาความสุขสำราญ ขณะยังเยาว์วัยอยู่เล่า” สมิทธิ จึงตอบว่า “ดูกร เทวี ข้าพเจ้ามีความสุขมากอยู่แล้ว เพราะได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ให้มีชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับปัจจุบันขณะ การไขว่คว้าหากามคุณทั้ง 5 (ส่วนที่น่าใคร่ น่าปรารถนา ได้ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ทางกาย) การแสวงหาชื่อเสียง ความมั่งคั่ง กามารมณ์ การนอน และอาหาร ไม่อาจนำพาความสุขที่ยั่งยืนมาให้ได้ ข้าพเจ้าฝึกการมีสติอยู่ทุกๆ วัน จนได้พบกับความสุขสงบ เป็นอิสระและเบิกบาน” ประเด็นสำคัญ 4 ประการที่ถกเถียงกันในสมิทธิสูตรนั้น มีแนวคิดเรื่องความสุข การมีความเบิกบานที่แท้ การพึ่งตนเอง และหลุมพรางแห่งความสับสน

ทรรศนะเกี่ยวกับความสุข ทำให้เราตกหลุมพรางของตัวเอง เพราะเราหลงลืมไปว่านั่นเป็นแค่มโนคติ มโนคติในเรื่องความสุข อาจกีดกันเราออกจากการมีความสุขทีแท้ เราจะไม่มีทางใดเห็นช่วงเวลาของความเบิกบานที่อยู่ตรงหน้า หากเรายังเชื่อมั่นว่าความสุขน่าจะมีรูปแบบใดแบบหนึ่ง ประเด็นที่ 2 ซึ่งถกเถียงกันในพระสูตร คือการมีความเบิกบานทีแท้ เทพธิดาได้ถามสมิทธิว่า ทำไมเขาถึงยอมละทิ้งความสุขในปัจจุบัน ไปหาคำมั่นสัญญาถึงความสุขที่เลือนรางในอนาคต สมิทธิจึงตอบ “ความจริงกลับเป็นตรงกันข้าม คือมโนคติเรื่องความสุขในอนาคตต่างหากที่ข้าพเจ้าละทิ้ง เพื่อดื่มด่ำอยู่กับปัจจุบันขณะ” สมิทธิชี้แจงว่า ความปรารถนาที่เป็นอกุศลต่าง ๆ ในที่สุดแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความว้าวุ่นใจและเป็นทุกข์ได้อย่างไร ขณะที่ชีวิตซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานอันถูกควรนั้น จะนำพาความสุขที่แท้มาสู่ปัจจุบันขณะ พระสูตรนี้ใช้คำจำกัดความว่า อกาลิโก อันหมายถึง “ไม่ขึ้นกับกาลเวลา” ประเด็นสำคัญที่ 3 ในสมิทธิสูตร คือการพึ่งตนเอง การยึดหลักธรรมเป็นสรณะไม่ได้เป็นแค่ความนึกคิด เมื่อเธอดำเนินชีวิตด้วยหลักธรรม เธอก็จะเข้าถึงความเบิกบาน สุขสงบ และเป็นอิสระ การยึดหลักธรรมเป็นสรณะยังเรียกได้ว่าเป็น “การกลับมาพำนักอยู่ในตนเอง” ในดินแดนแห่งความผาสุกของแต่ละคน เราต้องเรียนรู้ถึงวิธีกลับคืนสู่ดินแดนแห่งนี้ในยามที่เราต้องการ ตอนพระพุทธองค์ทรงใกล้ดับขันธ์ ท่านได้ตรัสแก่เหล่าภิกษุและภิกษุณีที่มาชุมนุมกันว่า “กัลยาณมิตรทั้งหลายพวกเธอจงพึ่งพาตนเองเถิด อย่าไปพึ่งพาที่อื่นใดเลย เมื่อพวกเธอกลับไปยังดินแดนแห่งนั้นแล้ว พวกเธอก็จะได้พบกับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์”

จงเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นดินแดนของตนเอง พระพุทธคือสติของฉัน ที่เจิดจ้าทั้งใกล้ไกล พระธรรมคือลมหายใจของฉัน ที่คอยพิทักษ์ร่างกายและจิตใจ ฉันจึงเป็นอิสระ

จงเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นดินแดนของตนเอง สังฆะก็คือขันธ์ของฉัน ที่ทำงานประสานสอดคล้องกัน จงพำนักอยู่ในตนเอง กลับคืนสู่ตัวเอง ฉันจึงเป็นอิสระ

แม้บทภาวนานี้จะใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในยามที่เราตกอยู่ในภาวะว้าวุ่น จนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ปฏิบัติ ก็เท่ากับเราเดินทางเข้าไปสู่ดินแดนที่สงบ มั่นคงที่สุดเท่าที่จะเข้าถึงได้ ดินแดนของตัวเราเองก็คือสติ หรือสภาวะที่ตื่นตัวของเรา รากฐานแห่งความสงบ มั่นคงที่อยู่ภายใน จะคอยส่องนำทางให้เรา เมื่อขันธ์ 5 ของเราอยู่ในสภาพที่สอดคล้องประสานกัน เราก็จะกระทำในสิ่งที่นำความสุขสงบมาให้ การรำลึกรู้ลมหายใจจะก่อให้เกิดการประสานกันดังกล่าว แล้วจะมีอะไรอื่นที่สำคัญกว่าอีกเล่า ประเด็นสำคัญที่ 4 ในพระสูตรเกี่ยวกับเรื่องหลุมพรางแห่งความสับสน ความคิดที่ว่าตัวเธอดีกว่า แย่กว่า หรือพอๆ กับคนอื่นๆ ความสับสนต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น เพราะเรามีความคิดที่ว่าตัวเราแยกขาดจากผู้อื่น ความสุขที่ยืนอยู่บนพื้นฐานแนวคิดเรื่องตัวตนที่แบ่งแยกนั้น เปราะบางและเชื่อถือไม่ได้ การปฏิบัติสมาธิภาวนา จะทำให้เรามองเห็นว่า ตัวเรานั้นอิงอาศัยอยู่กับสรรพชีวิตทั้งหลาย แล้วความกลัว ความว้าวุ่นใจ ความโกรธ ตลอดจนความทุกข์โศก ก็จะหายไป ถ้าเธอฝึกการมีความสุขที่แท้จริง โดยอาศัยหลักธรรม จนเข้าใจถึงสภาพที่เกี่ยวเนื่องและอิงอาศัยกันของสิ่งต่างๆ ได้แล้ว เธอก็จะเป็นอิสระ มั่นคงมากขึ้นทุกวัน เธอจะค่อยๆ เข้าไปอยู่ในวิมานแห่งความรัก ความเมตตาอันลึกซึ้ง คำสอนเรื่องความรักความเมตตาของพระพุทธเจ้านั้นสมบูรณ์หมดจด ความรักชนิดนี้ย่อมนำพาความสุขทีแท้มาให้เสมอ ความสุขไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นสภาวะที่ต้องอิงอาศัย เมื่อเธอสามารถทำให้เพื่อนคนหนึ่งยิ้มออกได้ ความสุขของเพื่อนผู้นั้นก็ได้หล่อเลี้ยงตัวเธอด้วย หากเธอพบหนทางสู่ความสงบสันติ ความสุข ความเบิกบานแล้ว เธอก็จะกระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทุก ๆ คน จงเริ่มต้นด้วยการบำรุงเลี้ยงความรู้สึกเบิกบานให้กับตัวเอง ฝึกเดินจงกรมข้างนอก มีความสุขเบิกบานไปกับอากาศบริสุทธิ์ ต้นไม้ ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอจะบำรุงเลี้ยงตัวเองได้อย่างไรบ้าง การถกเถียงประเด็นนี้ กับบรรดาเพื่อนๆ เพื่อหาหนทางในการเพิ่มพูนความสุข ความเบิกบานนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

(ถอดความบางส่วนจากบทความ “การหล่อเลี้ยงความสุข” โดยท่าน ติช นัท ฮันห์ ,จากหนังสือเมตตาภาวนา คำสอนว่าด้วยรัก,สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง)



วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

Renovate ,Re-Branding, Re-Positioning ศูนย์การค้า ตอนที่ 2

สมรภูมิห้างค้าปลีกเดือด เลือดสาดกันอีกแล้ว



สมรภูมิการแข่งขันของห้างสรรพสินค้า หรือเดี๋ยวนี้ไม่ได้จำกัดความว่าจะต้องเป็นห้างอย่างเดียวแล้ว แต่หมายรวมถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมของร้านค้า ตั้งแต่ระดับห้องแถว 1 คูหา ไปจนถึงโมเดิร์นเทรด ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แฟล็กชิปสโตร์ เทรนดี้เพลส ไปจนกระทั่งคอมมูนิตี้มอลล์ ต่างๆ ต่อไปอาจมีรูปแบบช็อปปิ้งสตรีท(เนรมิตถนนราชดำเนินทั้งถนนเป็นแบบคล้ายถนนนิมมานเหมินทร์,หรือ ฌ็องอลิเซ่) หรือหมู่บ้านร้านค้า (village) ต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้กำลังเป็นสมรภูมิเดือด แข่งขันกันเปิด แข่งขันกันแย่งชิงลูกค้า โดยใช้กลยุทธ์ช่วงชิงพืนที่ ทำเลทอง ลูกค้า เพื่อที่จะช่วงชิงกำลังซื้อตลอดจนสร้างจุดขาย แม่เหล็กเพื่อที่จะดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามายังสถานที่ของตน มีจำนวนมากที่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่หลายสถานที่ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก สังเกตได้ว่าที่ใดอยู่ตัวแล้วก็จะไม่ค่อยพัฒนาปรับปรุงสถานที่อะไรใหม่เท่าใดนัก ที่ใดยังเป็นทำเลที่มีปัญหาก็จะพยายามปรับตัว ปรับปรุงสถานที่ ตกแต่งปรับโฉมใหม่ (renovated) เพื่อสร้างจุดขายใหม่ๆ เพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้ามา แต่ถ้าหากเป็นสถานที่ที่แม้ว่าจะติดตลาดแล้ว แต่อยู่ในทำเลทองที่การแข่งขันสูงมาก ก็ยังจำเป็นที่จะต้องพัฒนาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาทิเช่น ทำเลย่านสยาม ขณะนี้มีการปิดปรับปรุงตัวศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์อยู่ พร้อมๆ กับอีกฟากนึงตรงบริเวณโรงภาพยนตร์สยามเดิม ก็กำลังจะสร้างโครงการที่เรียกว่า สยามสแควร์วันขึ้นมา ที่จะเป็นแม่เหล็กอีก 1 ตัวบริเวณย่านนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อโครงการทุกอย่างสำเร็จสมบูรณ์ครบถ้วนในย่านนั้นแล้ว บริเวณสยามสแควร์จะกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ที่สำคัญ ไม่เพียงแต่จะเป็นศูนย์กลางของแหล่งช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด ทันสมัยที่สุดในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะเป็นเมืองหลวงแฟชั่นของอาเซี่ยนด้วย เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนกำลังจะเปิดในปี 2558 และจะไม่เป็นรองถนนออร์ชาร์ดของสิงคโปร์อยางแน่นอน นี่แค่ทำเลเดียว ยังไม่นับรวมความเคลื่อนไหวของห้างสรรพสินค้าบริเวณใกล้เคียงอย่างราชประสงค์ ประตูน้ำ เพลินจิต และสี่แยกปทุมวัน โดยรอบอีก ที่กำลังมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงกันอย่างขนานใหญ่ อีกหลายโปรเจ็คท์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาอีกมาก


ด้านสมรภูมิของห้างประเภทค้าส่ง-ค้าปลีกก็ผุดขึ้นจำนวนมากเช่นกัน แม้เปิดตัวแบบเงียบๆ ไปแล้วหลายที่ อาทิ ห้างพัลลาเดียม (ประตูน้ำเซ็นเตอร์เดิม) แพลทตินั่ม 2 ส่วนต่อขยาย, ชิบูย่า 19 ,โซโห บริเวณใกล้ รพ.หัวเฉียว แถวสวนมะลิ ,เมกะวังบูรพา (เมอร์รี่คิงส์วังบูรพาเดิม) อินเดียโพเรี่ยม ,ไชน่าเวิลด์ แถบเยาวราช ,อินสแควร์ ใกล้จตุจักร สมรภูมิประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ที่เพิ่งเปิดใหม่ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ก็มีเวนิส ดิ ไอริส, ต้นซุง แอฟเวนิว ,เอเชียติ๊ค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เดอะคริสตัล ,เดอะวอล์ค เป็นต้น


จุฬาฯทุ่ม3พันล้านฟื้นสยามสแควร์ ผุดโรงละครไฮเทค-ศูนย์ออกกำลังกาย-หอพักนานาชาติ


 

รศ.น.อ.นายแพทย์เพิ่มยศ โกศลพันธุ์ รองอธิการบดี กำกับดูแลสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แผนพัฒนาที่ดินในปีนี้จะมีโครงการที่จุฬาฯเป็นผู้ลงทุนเอง 2 โครงการ คือ 1) โครงการมอลล์ "สยามสแควร์วัน" บนที่ดินโรงภาพยนตร์สยามเดิมที่ถูกไฟไหม้ และ 2) โครงการหอพักนานาชาติฝั่งถนนบรรทัดทอง ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท

ผุดโอเพ่นมอลล์ "สยามสแควร์วัน"

โดยพื้นที่โรงหนังสยามเดิม และอาคารพาณิชย์โดยรอบกว่า 100 คูหา ภายในโครงการสยามสแควร์ที่ได้ถูกไฟไหม้เสียหายจากเหตุจลาจลเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2553 ที่ผ่านมา สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯในฐานะผู้ถือ กรรมสิทธิ์ที่ดินได้รื้อถอนตัวอาคารที่ เสียหายแล้วเสร็จ ล่าสุดเตรียมเริ่มลง มือก่อสร้างอาคารพื้นที่ให้เช่าหลังใหม่ ในรูปแบบโอเพ่นมอลล์ ใช้ชื่อโครงการ "" (SQ1) มาจากคำว่า "สยามสแควร์" และ "วัน" สื่อความหมายถึงการกลับมาเริ่มต้นนับ 1 ใหม่อีกครั้ง

โครงการตั้งอยู่บนที่ดิน 8 ไร่ ออกแบบเป็นโอเพ่นมอลล์หรือมอลล์เปิดโล่ง แต่จะมีพื้นที่บางส่วนเป็นมอลล์ในร่มแบบติดแอร์บ้าง ตัวโครงการเป็นอาคาร 6 ชั้น บวกชั้นดาดฟ้า รวมเป็น 6 ชั้นครึ่ง และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ดีไซน์เป็น 4 อาคารสไตล์โมเดิร์นที่สามารถเดินทะลุเชื่อมถึงกันได้หมด มีพื้นที่ก่อสร้างรวมประมาณ 70,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ขายกว่า 30,000 ตารางเมตร

แต่ละชั้นแบ่งการจัดพื้นที่เป็น 1) ชั้นใต้ดิน (ชั้น B2) เป็นพื้นที่จอดรถ 2) ชั้นใต้ดิน (ชั้น B1) และชั้น G (ground floor) เป็นพื้นที่ร้านค้าย่อยในร่มประมาณ 700-800 ร้านค้า เริ่มต้นบูท ละ 4-10 ตร.ม. โดยจะเปิดให้ผู้เช่าเดิม ที่ร้านค้าถูกไฟไหม้เสียหายได้สิทธิ์จองพื้นที่ก่อน

จากนั้นจึงให้สิทธิ์ผู้เช่ารายใหม่และผู้เช่าช่วงแต่เดิมเข้ามาจองพื้นที่ กลุ่มเป้าหมายคือธุรกิจเอสเอ็มอี สินค้า แฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เป็นต้น แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็น สินค้าที่ถูกกฎหมาย เช่น ไม่ใช่สินค้าก๊อบปี้

3) ชั้น 2-3 เป็นพื้นที่ร้านค้า อาจเป็นร้านค้าแบรนด์เนมจากในและต่างประเทศ 4) ชั้น 4-5 เป็นโซนฟู้ดพลาซ่า 5) ชั้น 6 และชั้นดาดฟ้า เป็นโซนเอ็กเซอร์ไซส์และเอดูเคชั่น อาทิ ศูนย์แอโรบิก ฟิตเนส โรงเรียนดนตรี โรงเรียนศิลปะ ฯลฯ

นอกจากนี้จะมีโรงละครขนาด 400 ที่นั่ง สำหรับแสดงละครสลับกับการให้เช่าพื้นที่จัดอีเวนต์ ส่วนโรงภาพยนตร์ ได้ข้อสรุปจะไม่มี เนื่องจากพื้นที่ไม่ เพียงพอ อย่างไรก็ตามยังเปิดโอกาสให้โรงหนังสยามเจรจาพัฒนาโรงภาพยนตร์ในโครงการอื่น ๆ ในพื้นที่สยามสแควร์ในอนาคต

ตามแผนทั้งโครงการจะใช้งบฯลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยจุฬาฯจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งมาจากรายได้และเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ คาดว่าจะก่อสร้างภายในปี 2556

ขึ้นหอพักนานาชาติ 1.4 พัน ล.

อ.เพิ่มยศกล่าวต่อว่า ส่วนโครงการก่อสร้างหอพักนักศึกษานานาชาติ เพื่อรองรับนโยบายมุ่งไปสู่มหาวิทยาลัยอินเตอร์มากขึ้น จะก่อสร้างหอพักบนที่ดินบล็อกที่ 41 ฝั่งถนนบรรทัดทอง เดิมเป็นตึกแถวที่หมดสัญญา ใช้งบฯลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยจะมีพิธีวางศิลาฤกษ์วันที่ 26 มีนาคม 2554 และเริ่มการก่อสร้างได้ทันที คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงกลางปี 2556

รูปแบบเป็นอาคารสูงกว่า 20 ชั้น 2 อาคาร รวม 1,424 ยูนิต ประกอบด้วย 1) ทาวเวอร์ A เป็นอาคารเรสซิเดนต์หอพักสำหรับบุคลากรจุฬาฯ และผู้พักอาศัยอื่น ๆ ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา มีห้องพัก 2 แบบ คือ แบบสแตนดาร์ด พื้นที่ใช้สอย 25 ตร.ม. และแบบคอนเน็กเต็ดหรือห้องแบบสแตนดาร์ด 2 ห้องเชื่อมต่อกัน พื้นที่ใช้สอย 50 ตร.ม. รวม 846 ยูนิต

และ 2) ทาวเวอร์ B เป็นอาคารหอพัก เบื้องต้นจะรองรับนักศึกษาต่างชาติเป็นหลัก แต่หากมีห้องพักเหลือ จะเปิดให้นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ประกอบด้วยห้องพัก 3 แบบ คือแบบสแตนดาร์ด 28 ตร.ม., แบบ 1 ห้องนอน 35 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน 55 ตร.ม. รวม 846 ยูนิต ส่วนอัตราค่าเช่ายังไม่ได้ข้อสรุป แต่ เบื้องต้นจะต่ำกว่าราคาตลาดในทำเลเดียวกัน เท่าที่ทราบปัจจุบันค่าเช่า ห้องพักแบบสตูดิโอน่าจะอยู่ในระดับ 1 หมื่นบาทต่อเดือน

"เหตุผลที่สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯเลือกพัฒนาเป็นหอพัก เนื่องจากปัจจุบันจุฬาฯมีนักศึกษาเป็นจำนวน มาก และขาดแคลนหอพัก เนื่องจาก มีนักศึกษาปริญญาโท-เอกเป็นหมื่นคนต่อปี"
ที่มา : นสพ. "ประชาชาติธุรกิจ"

จากประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 03 มิ.ย. 2555 เวลา 12:01:41 น.

"สยามเซ็นเตอร์" เตรียมปิด 4 เดือนรีโนเวตรอบใหม่-ครั้งใหญ่ คาดพร้อมเปิดอวดโฉมให้ทันหน้าขายปลายปีธันวาคม เขย่าพื้นที่ปรับแปลนเตรียมขนร้านค้าหน้าใหม่สร้างสีสัน แท็กทีมคู่ค้าส่งแคมเปญใหญ่เคลียรแรนซ์ส่งท้ายปิดยอดขายพื้นที่รวมกว่า 7 แสน ตร.ม.ของ 3 ศูนย์การค้าใจกลางเมือง สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่

มีความเคลื่อนไหวคึกคักเขย่าตลาดค้าปลีกขึ้นมาอีกรอบ เมื่อ "สยามพิวรรธน์" บริษัทที่บริหารทั้ง 3 ศูนย์ตัดสินใจครั้งสำคัญ เตรียมปิดศูนย์การค้า "สยามเซ็นเตอร์" เพื่อรีโนเวตทั้งศูนย์ใหม่ หลังปลายปีที่แล้วเทงบฯกว่า 1,000 ล้านบาท ยกเครื่องสยามดิสคัฟเวอรี่ ทั้งภายนอกและภายใน

การปิดปรับปรุงของสยามเซ็นเตอร์ครั้งนี้ ไม่เพียงตอกย้ำการเป็นแหล่งรวมของวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัยมายาวนานตลอด 40 ปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นการรีโนเวตครั้งสำคัญเพื่อสู้ศึกค้าปลีกและศูนย์การค้าใจกลางเมืองที่มีการแข่งขันที่ร้อนแรงและดุเดือดมากขึ้นทุกวัน สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของศูนย์การค้าสยามพารากอนที่กำลังเร่งทยอยปรับพื้นที่สำหรับรองรับแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ที่จะเข้าเปิดเพิ่มกว่า 100 ร้านค้า

จากการลงพื้นที่สำรวจของผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ระบุว่า สยามเซ็นเตอร์เตรียมที่จะปิดศูนย์การค้า 4 เดือนในช่วงเดือนกรกฎาคม เพื่อเร่งปรับปรุงครั้งใหญ่สำหรับเปิดโฉมใหม่ให้ทันในช่วงหน้าขายเดือนธันวาคม สอดคล้องกับผู้ประกอบการเครื่องสำอางรายใหญ่หนึ่งในผู้เช่าพื้นที่สยามเซ็นเตอร์กล่าวว่า ได้รับการชี้แจงจากทางศูนย์การค้าแล้วว่าจะมีการปิดบริการชั่วคราวเพื่อปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยแจ้งทางผู้เช่าให้รับรู้และอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อความเหมาะสมกับคอนเซ็ปต์ใหม่ของศูนย์การค้า

อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่เห็นในรูปแบบและคอนเซ็ปต์ของศูนย์การค้าโฉมใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร และจะต้องได้ย้ายทำเลไปยังพื้นที่อื่น ชั้นอื่น หรือยังคงอยู่ตรงร้านเดิมที่เคยอยู่ ก็ยังไม่สามารถที่จะบอกได้ เบื้องต้นต้องรอความชัดเจนของคอนเซ็ปต์และแปลนใหม่ของศูนย์ก่อน

"ตามกำหนดการคร่าว ๆ แล้ว สยามเซ็นเตอร์จะปิดปรับปรุงประมาณ 4 เดือน และต้องเร่งมือเพื่อให้เปิดทันขายได้ในช่วงเดือนธันวาคมที่เป็นเทศกาลจับจ่าย ซึ่งในส่วนของร้านค้าตัวเองนั้นอาจจะต้องมีการโยกย้ายจากพื้นที่เดิม เพราะจะมีร้านใหม่ ๆ และแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็อยากจะรอดูผังใหม่ก่อน เช่นเดียวกับให้พนักงานขายจะโยกย้ายกระจายไปอยู่ร้านในสาขาอื่นก่อน โดยจะให้เลือกในสาขาที่พนักงานเดินทางสะดวกและใกล้บ้านมากที่สุด"

เช่นเดียวกับสินค้าแฟชั่นแบรนด์ใหญ่รายหนึ่ง ผู้บริหารระดับสูงชี้ว่า ทำเลร้านในสยามเซ็นเตอร์คาดว่าจะได้อยู่ในที่เดิม เนื่องจากร้านได้รีโนเวตครั้งใหญ่ไปแล้วเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมกับสยามเซ็นเตอร์ที่ปรับเปลี่ยนศูนย์แบบไมเนอร์เชนจ์ไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนตัวคาดว่าคงไม่ได้รับผลกระทบมากนักในแง่รายได้และการเติบโต เนื่องมีจำนวนสาขาหลายแห่งเป็นตัวเสริม แต่สำหรับแบรนด์สินค้าที่มีจำนวนสาขาไม่มากนักคงต้องได้รับผลกระทบบ้าง

ช่วงก่อนปิดศูนย์คงจะมีแคมเปญสร้างยอดขายส่งท้ายที่ทำร่วมกันของร้านค้าและสยามเซ็นเตอร์ อาจเป็นเคลียแรนซ์หรือบิ๊กเซลก็คงต้องดูกันอีกที

สอดคล้องแหล่งข่าวระดับสูงในวงการค้าปลีกให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาแม้สยามเซ็นเตอร์มีการปรับรีโนเวตบ่อยครั้งทั้งในแง่การปรับใหญ่หรือปรับย่อยเมื่อเทียบกับศูนย์การค้าอื่น ๆ แต่ในแง่ซัพพลายเออร์ก็คงเข้าใจ เนื่องจากสยามเซ็นเตอร์เป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กที่โดนขนาบด้วยศูนย์ขนาดใหญ่ ความถี่ของการปรับตัวและสร้างสีสันด้วยกิจกรรมหรืออีเวนต์ที่หลากหลายจึงเป็นการสร้างความแตกต่าง สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ศูนย์การค้าจึงต้องมีสิ่งใหม่ ๆ และแตกต่างเข้ามาตอบสนองไลฟ์สไตล์ตลาด

ทั้งนี้ตลอด 40 ปี นับตั้งแต่สยามเซ็นเตอร์เปิดบริการเมื่อปี 2516 ปรับปรุงครั้งแรกเมื่อปี 2534 ปรับปรุงครั้งที่สองเมื่อปี 2540 และครั้งที่สามในปี 2548 ซึ่งปีนั้นใช้เวลานานกว่า 10 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-ต.ค. 2548 และการรีโนเวตปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ปิดศูนย์การค้า

นอกจากนี้ในปี 2553 สยามเซ็นเตอร์ได้มีการปรับพื้นที่และร้านค้าบางส่วนบ้างแล้ว เพื่อครองความเป็นผู้นำศูนย์การค้าแห่งแฟชั่น โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มแฟชั่นนิสต้าวัยทำงาน และวัยรุ่น อายุ 20-35 ปี หลังการรีโนเวตครั้งสุดท้ายในปี 2548 ในคอนเซ็ปต์ "The Magical Glass Box" ที่สามารถปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอาคารได้ตลอดเวลาด้วยภาพกราฟิก แสง สี ชนิดพิเศษ นับเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ของศูนย์การค้าสำหรับปรับภาพลักษณ์อาคารให้ล้ำสมัยต่อเนื่อง

ซึ่งการปรับโฉมใหม่ในครั้งนั้น สยามเซ็นเตอร์ได้ปรับร้านค้าชูจุดแข็งในการรวบรวม Specialty Store หลากประเภท ในลักษณะแฟลกชิปสโตร์ที่มีขนาดใหญ่และสวยงาม รวมถึงสินค้าประเภทลิมิเต็ดเอดิชั่น มาวางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่สยามเซ็นเตอร์เพียงแห่งเดียว

เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศและแบรนด์ดีไซเนอร์ไทยชื่อดัง ล้วนตอบรับคอนเซ็ปต์ "Only @ Siam Center"




สยามเซ็นเตอร์ปิด4เดือนปรับใหญ่

สยามพิวรรธน์ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ปรับโฉมสยามเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปี รับเออีซีเปิด เผยก่อนปิดปรับปรุง 4 เดือน อัดแคมเปญใหญ่ลดสูงสุด 90% กระตุ้นยอดขาย

นางศิริเพ็ญ อินทุภูมิ ผู้บริหารด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้า สยามเซ็นเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะใช้งบ 1,000 ล้านบาท ในการปรับปรุงศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปี เพื่อให้มีความทันสมัยภายใต้แนวคิด สยามเซ็นเตอร์ เดอะ รีเจ้น รีบอร์น หรือ ตำนานกลับมาเกิดใหม่ ตอกย้ำการเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกที่เปิดให้บริการในไทย โดยจะมีกำหนดปิดปรับปรุงศูนย์การค้าเป็นระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจะเริ่มปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.จนถึง พ.ย.นี้ และจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือน ธ.ค.นี้

สำหรับการปรับปรุงศูนย์การค้าในครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อให้ศูนย์การค้ามีความทันสมัยสวยงาม ยังถือเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้ท่องเที่ยวและใช้บริการในไทยจำนวนมาก รวมทั้งต้องผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางช็อปปิ้งเทียบเท่ากับประเทศฮ่องกงในอนาคต

การปรับศูนย์การค้าใหม่นี้จะมีร้านใหม่ๆ และสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาเปิดให้บริการจำนวนมาก จากปัจจุบันมีร้านค้าเปิดให้บริการจำนวน 270 ร้านค้า โดยมีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่อวันประมาณ 100,000 คนต่อวัน มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จากปีก่อนมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการ 40% และเป็นคนไทย 60% ซึ่งสาเหตุที่ลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการในไทยมากขึ้น เพราะในอนาคตจะมีการเปิดเออีซีนางศิริเพ็ญ กล่าว

ล่าสุด บริษัทได้ใช้งบอีก 40 ล้านบาท จัดแคมเปญชื่อ สยามเซ็นเตอร์ เดอะ เอ็นเดส เลเจ้นระหว่างเดือน มิ.ย.-พ.ค.นี้ จัดแคมเปญในชื่อ เซลส์ มหัศจรรย์แห่งเมืองสยามขึ้นวันที่ 28 มิ.ย.-15 ก.ค.นี้ โดยสินค้าในศูนย์การค้าคอลเลคชั่นปัจจุบันลดสูงสุด 90% คอลเลคชั่นใหม่ลด 30% ถือว่าเป็นการลดราคาสินค้าครั้งใหญ่สุดที่เคยทำมา ก่อนที่ศูนย์จะปิดให้บริการ พร้อมโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษจำนวนมากมาย

ด้านนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ อาร์เอสทีเอ เปิดเผยว่า ทางสมาคมมีแผนที่จะจับมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เพื่อทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านแคมเปญต่างๆ ร่วมกันมากขึ้น เนื่องจากพบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพียง 1-2 วัน หลังจากนั้นก็เดินทางไปท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ บริษัทจึงมีแผนที่จะทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวอยู่ในกรุงเทพฯ นานขึ้นเป็น 4-5 วัน ซึ่งทุกครั้งที่มีการจัดแคมเปญร่วมกันในย่านราชประสงค์ จะพบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในย่านดังกล่าวมากขึ้น และใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10-20%.

http://www.thaipost.net/news/260612/58692

กทม.ดึงกลุ่มราชประสงค์ลงทุน400 ล.สร้างสกายไลน์เกษร-แพลทตินั่ม เสร็จก.ค.56

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังหารือร่วมกับผู้แทนกลุ่มราชประสงค์ถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสกายวอล์ค ซึ่งจากการทำการสำรวจพบว่าประชาชนกว่าร้อยละ 70 ที่ใช้เส้นทางต้องการให้มีการสร้างสกายวอล์คบนเส้นทางเดิม เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง โดยจากการหารือในวันนี้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ จะดำเนินการก่อสร้างแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรก เรียกว่า สกายลิ้งค์ (Bangkok SkyLink) เป็นการขยายเส้นทางที่มีอยู่เดิมให้กว้างขึ้น เส้นทางจากโรงแรมอัมรินทร์ถึงเกษรพลาซ่า ระยะทางประมาณ 100 เมตร คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณตุลาคมนี้

นายธีระชน กล่าวต่อว่า ในส่วนของเฟส 2 เรียกว่า สกายไลน์ (Bangkok SkyLine) สร้างจากเกษรพลาซ่า ถึงศูนย์การค้าแพลทตินั่ม ระยะทางประมาณ 500 เมตร คาดว่าจะสามารถอนุมัติแบบในสัปดาห์หน้า และเริ่มการก่อสร้างได้ในกรกฎาคมนี้ ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 1 ปี ทั้ง 2 ส่วน คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวมประมาณ 400 ล้านบาท

คนบางแคเฮลั่น รถติดเป็นตังเม หนักกว่าเดิม บีบเหลือ 2 เลน ตรงกลางขุดทำรถไฟฟ้าใต้ดิน


ใกล้ดีเดย์ระอุ ซีคอนเตรียมเปิดกลางเดือนนี้ ฝ่ายเดอะมอลล์เจ้าถิ่นตั้งท่ารับน้องใหม่มานาน ล่าสุดทุ่ม 200 ล้านปรับสวนน้ำทุกสาขา ประเดิมบางแค พร้อมจัดโซนพื้นที่ร้านค้าใหม่ ดึงร้านอาหารเครื่องดื่มกับแฟชั่น เพิ่มขึ้นเสริมความแกร่ง

ย่านบางแคจะกลายเป็นย่านที่ธุรกิจค้าปลีกเริ่มดุเดือดอีกครั้ง หลังจากที่ซีคอนสแควร์เตรียมเปิดบริการวันที่ 15 กันยายนนี้แล้วในเร็วๆนี้ ขณะที่เจ้าถิ่นเก่าอย่างเดอะมอลล์ก็ปักหลักสู้และตั้งรับน้องใหม่อย่างแข็งขัน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับทั้งห้างและศูนย์ฯมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ล่าสุดปรับครั้งใหญ่ในรอบ 23ปีกับสวนน้ำ

นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสการตลาด บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางงบประมาณรวมกว่า 200 ล้านบาท ในการปรับปรุงสวนน้ำหรือแฟนตาเซีย ลากูน ทุกสาขา หลังจากที่ดำเนินธุรกิจนี้มานานกว่า 23 ปีแล้ว โดยเริ่มปรับสาขาแรกที่บางแคเสร็จเรียบร้อยแล้วพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ต่อไปมีแผนจะปรับอีกที่สาขาบางกะปิ งามวงศ์วาน โคราช ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีหน้า ล่าสุดได้ใช้งบประมาณ 40 ล้านบาทในการเปิดตัวสาขาบางแคเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่

ทั้งนี้หลังจากปรับสวนน้ำแล้วคาดว่าจะสามารถดึงคนเข้าสวนน้ำนี้เพิ่มขึ้น 20-30% จากเดิมที่มีผู้เข้ามาใช้บริการสวนน้ำที่บางแคประมาณ 700 คนต่อวันธรรมดา และ 3,000 คนต่อวันเสาร์-อาทิตย์ และจะทำให้ใช้เวลาในศูนย์เพิ่มขึ้นเป็น 5-6 ชั่วโมงต่อครั้งจากเดิม 3-4 ชั่วโมงต่อครั้ง

นายชำนาญ กล่าวเพิ่มว่า ที่สาขาบางแคเปิดตัวมาประมาณสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นในย่านนี้มีประชากรประมาณ 130,000 คน ตอนนี้มีประมาณ 200,000 คน เพิ่มขึ้นกว่า 50% เจริญเติบโตมาก ส่วนกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเจนวาย อายุ 31-45 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวและมีลูกกันแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นก็จะกลับมาใช้บริการที่นี่อีกเพราะพาลูกมาเที่ยว ซึ่งเราจะทำคอนเซ็ปท์ให้เป็นแฟมิลี่ไลฟ์สไตล์

นายวันชัย จันทร์วัฒรังกูล ผู้จัดการใหญ่การตลาด ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ กล่าวต่อว่า สาขาบางแคจะต้องเพิ่มสัดส่วนร้านอาหารกับเครื่องดื่มเป็น 25% จากพื้นที่ทั้งหมดซึ่งขณะนี้มีประมาณ 20% แล้ว รวมทั้งเพิ่มกลุ่มร้านค้าแฟชั่นเป็น 30% จากพื้นที่ทั้งหมด ขณะนี้มี 25% แล้ว ซึ่งสองกลุ่มนี้ถือเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดลูกค้าด้วย

ซึ่งจะกำหนดเป็นสัดส่วนเช่นนี้ไปในทุกสาขาด้วยเช่นกัน ส่วนสวนน้ำนี้สามารถดึงทราฟฟิกคนเข้าศูนย์ฯได้ประมาณ 5% โดยคิดค่าบริการผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 80 บาท ส่วนถ้ามีบัตรแพลททินั่มจะได้สิทธ์พิเศษตามเงื่อนไข นอกจากนั้นเดอะมอลล์ยังอยู่ระหว่างการปรับพื้นที่ร้านค้าและบริการให้เป็นโซนเดียวกันจากเดิมอาจจะกระจัดกระจายไปบ้าง เช่น โซนการเงิน เป็นต้น ได้เริ่มแล้วที่สาขาบางกะปิ

นางลักขณา นะวิโรจน์ ทุกวันนี้ธุรกิจรีเทลเหมือนกันหมด แต่มันต้องสร้างแวลู หรือความคุ้มค่าและความทรงจำให้กับลูกค้า รวมทั้งจะต้องทำธุรกิจแบบมีพันธมิตรไม่ใช่แค่เป็นสปอนเซอร์เหมือนแต่ก่อน ซึ่งสวนน้ำที่ปรับใหม่ครั้งนี้ได้ร่วมมือกับ 2 พันธมิตรหลัก คือ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และบริษัท ซีพีแอฟ เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อเปิดเป็นโซนในสวนน้ำ เช่น โซนเมืองไทยไพเรทโคฟ โซนซีพีเมจิกจังเกิล และจะทำแบบนี้กับสวนน้ำทุกสาขาที่ปรับใหม่ รวมทั้งจะต้องหาพันธมิตรเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยหลักแล้วแม็กเน็ตหลักๆของเดอะมอลล์ คือ สวนน้ำ อีเวนต์ที่มากกว่า 300 งานต่อปี ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร แฟชั่น เป็นต้น


 

 

 

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

ปริศนาของโลกบิดเบี้ยวใบนี้ ตอนที่ 2

ดุจจินตนาการ สำคัญกว่าความรู้

สิ่งทรงภูมิปัญญา ควบคุมชะตาชีวิต

จิตใจมนุษย์ ยากแท้หยั่งถึง

เปรียบเสมือนจักรวาลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

เมื่อปี 2010 ที่ผ่านมานี้ เว็บไซต์ชื่อ www.ign.com (http://www.ign.com/articles/2010/09/14/top-25-sci-fi-movies-of-all-time?page=5)ได้จัดอันดับหนังไซไฟยอดเยี่ยมของโลกไว้ 25 เรื่องที่ดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่มีชื่อซ้ำอยู่ในลิสต์อันดับตรงกับเว็บไซต์อื่นๆ ด้วยหลายเรื่องเพียงแต่สลับอับดับกันอยู่บ้าง และ 1 ในจำนวนนั้นในทุกลิสต์จะต้องมีเรื่องที่กำลังจะกล่าวถึงนี้

ผู้เขียนขอยกมาเล่าแต่เพียงเรื่องเดียวนั่นคือ มหากาพย์แห่ง 2001: A Space Odyssey ที่ได้มุมมองครบถ้วนทั้งด้านวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ปรัชญา หรืออย่างที่ ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้นั่นแหละว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องจินตนาการและความรู้อย่างเยี่ยมยอดที่สุด เท่าที่โลกนี้เคยสร้างมา หรือเท่าที่ผู้เขียนเคยดูมา



ไตรภาคแห่งการค้นหาสิ่งทรงภูมิปัญญาในอภิมหาจักรวาล

อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งมองโลกแบบต้องมีหลักวิทยาศาสตร์ กระนั้นเขามักใช้นิยามวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความคิดที่ยังไม่อาจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นก็คือการพบสิ่งทรงภูมิปัญญา คลาร์กเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเชื่อว่าในประวัติศาสตร์อายุ 4,600 ล้านปี ของโลกนั้น ยังไม่มีสิ่งทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวมาเยือนโลกเราแน่นอน แต่เขาจะยินดีมาก หากก่อนตายได้ประจักษ์ว่ามีการมาเยือนของสิ่งทรงภูมิปัญญา น่าเสียดายที่ความใฝ่ฝันเรื่องนี้ของเขาไม่เคยเป็นจริง นอกจากเขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายเรื่องเกี่ยวกับสิ่งทรงภูมิปัญญา เรื่องที่สร้างชื่อให้เขาที่สุดก็คือ 2001 : A Space Odyssey

2001 : A Space Odyssey เป็นนวนิยายที่คลาร์กเขียนขยายความจากเรื่องสั้นของเขาเองชื่อ The Sentinel ซึ่งเขียนมาตั้งแต่ปี 1948 รวมกับเศษนิดเศษหน่อยจากเรื่องอื่นๆ ของเขา เช่น Breaking Strain , Out of the Cradle , Endlssly Orbiting…….. ,Who’s There? , Into the Comet, Before Eden , Encounter at Down และ Rescue Party ฉบับภาพยนตร์กำกับโดย สแตนลีย์ คูบริก (Stanly Coubrig) จัดว่าเป็นหนังไซไฟที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่ง

ปฐมบทแห่ง 2001 : A Space Odyssey เปิดเรื่องที่มนุษย์วานรคนหนึ่ง (ในเรื่องเรียกว่า นักมองจันทร์) กำลังมองความอลังการของท้องฟ้า นักมองจันทร์ไม่รู้ว่าจุดสว่างเบื้องบนนั้นคืออะไร นักมองจันทร์เป็นมนุษย์วานรที่ยืนตัวตรง พวกเขาอาศัยเป็นกลุ่ม หากินด้วยการเก็บของป่า วันหนึ่งนักมองจันทร์เหล่านั้นก็พบว่าวัตถุชิ้นหนึ่งกลางป่า เป็นแท่งหินสีดำสนิทขนาดใหญ่ สัดส่วน 1:4:9 เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร (คนดูหนังเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นกัน) หลังจากนั้นไม่นานเหล่ามนุษย์วานรก็มีความสามารถในการสร้างอาวุธล่าสัตว์ได้ เมื่อทะเลาะกัน ก็ใช้อาวุธทำร้ายกัน แท่งหินสีดำสัดส่วน 1:4:9 นี้มีอำนาจทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป พลันมนุษย์วานรก็วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด ขนาดสมองใหญ่ขึ้น กลายเป็นสายพันธุ์โฮโมซาเปียนส์ ฉลาดเหนือสัตว์ทั้งปวง รู้จักประดิษฐ์ภาษา สร้างอารยธรรม และในที่สุดก็ถึงขั้นเดินทางในอวกาศได้

เวลาผ่านไปราว 200,000 ปี มนุษย์เริ่มเดินทางสำรวจระบบสุริยะ ดร.เฮย์วูด ฟรอยด์ เดินทางไปยังดวงจันทร์ ระหว่างทางเขาแวะหยุดที่สถานีอวกาศซึ่งเป็นผลงานร่วมกันของอเมริกากับรัสเซีย เมื่อถึงดวงจันทร์ เจ้าหน้าที่นิคมดวงจันทร์พาเขานั่งยานสำรวจไปยังหลุมไทโค (Tycho) รายงานว่าพบคลื่นแม่เหล็กจากจุดนั้นซึ่งผิดปกติมาก พวกเขาเดินทางไปถึงหลุมไทโค ซึ่งเป็นพื้นที่ขุดลึกลงไปในดินในหลุมนั้นมีแท่งหินสีดำสัดส่วน 1:4:9 พวกเขาเรียกมันว่า Tycho Magnetic Anomaly-One หรือ TMA-1 อายุของมันคือ 3 ล้านปี ก่อนการกำเนิดมนุษย์มันเป็นหลักฐานชัดเจนถึงการดำรงอยู่ของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว เมื่อแสงแรกของวัน สาดพื้นที่นั้น แสงอาทิตย์อาบแท่งหินเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ล้านปี มันส่งสัญญาณออกไปยังดาวเสาร์ (ในหนังเปลี่ยนเป็นดาวพฤหัส เพราะทีมงานไม่สามารถสร้างหุ่นดาวเสาร์ที่มีวงแหวนรอบได้สมจริง) แท่งหินสีดำนี้เป็นผลงานของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวสายพันธุ์หนึ่งซึ่งเดินทางไปเยือนโลกต่างๆ ในจักรวาล สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวนี้พบเห็นมนุษย์วานรและเห็นศักยภาพของสายพันธุ์นี้ จึงจัดการเปลี่ยนเพิ่มความฉลาดของมนุษย์วานร พวกมันรู้จักการใช้เครื่องมือและอาวุธ นำไปสู่การวิวัฒนาการจนครองโลก สิ่งทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์นี้ไม่อยู่เฝ้าดูผลลัพธ์ของผลงานของพวกเขาเพราะมีภารกิจทั่วจักรวาล พวกเขาฝังแท่งหินสีดำใต้พื้นดินของดวงจันทร์ รอวันที่มนุษย์ฉลาดถึงขั้นเดินทางไปในอวกาศ เมื่อใดที่ขุดพบแท่งหินสีดำที่ฝังอยู่ เมื่อนั้นแท่งหินก็จะส่งสัญญาณไปให้สิ่งทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์นี้รู้ หลังจากการขุดพบ TMA-1 บนดวงจันทร์ สหรัฐอเมริกาส่งยานอวกาศลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังดาวเสาร์ เดวิด โบว์แมน กับแฟรงก์ พูล เป็นนักบินอวกาศ 2 คนซึ่งไม่ได้จำศีลระหว่างการเดินทางเหมือนนักบินอวกาศอีก 3คน พวกที่จำศีลจะถูกปลุกให้ตื่นเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย การจำศีลเป็นวิธีการเดินทางในอวกาศแบบประหยัดพลังงาน ในยานมี Hal 9000 ปัญญาประดิษฐ์ประจำยาน เป็นสมองของยาน เมื่อใกล้ดาวพฤหัส พวกเขาใช้แรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสเหวี่ยงยานต่อไปยังดาวเสาร์ ระหว่างทาง Hal แจ้งทั้ง 2;ว่าส่วนหนึ่งของยาน ยูนิตAE-35 ไม่ทำงาน พูลออกไปนอกยานเพื่อเปลี่ยนอะไหล่ โบว์แมนทดสอบส่วนที่หายไป และพบว่ามันไม่ได้เสียตามที่ฮัลรายงาน ทั้งสองสงสัยว่าฮัลไม่ทำงานตามปกติ และส่งข่าวไปยังโลกว่าอาจต้องปิดฮัลเสีย แต่สัญญาณหายไป ฮัลบอกทั้ง2 ว่า ยูนิตAE-35 ที่เพิ่งซ่อมเสียอีกแล้ว แฟรงก์ พูล ขับยานลำเล็กออกไปซ่อมและเกิดอุบัติเหตุ ยานลำเล็กชนพูลลอยหายไปในอวกาศ พูลเสียชีวิต โบว์แมนสงสัยว่าเป็นฝีมือของฮัลโบว์แมนตัดสินใจปลุกนักบินอวกาศทั้ง 3 ที่กำลังจำศีล ระหว่างนั้นประตูยานเปิดออก ทำให้โบว์แมนหลุดออกไปนอกยาน แต่เขาหาทางกลับเข้ามาในยานได้อีก และจัดการดับฮัลด้วยไขควงตัวเดียว เขาพบว่านักบินอวกาศทั้งสามคนได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะฮัลสั่งให้เครื่องจำศีลไม่ทำงาน ฮัลกลายเป็นฆาตกรนั่นเอง! หลังจากจัดการยานให้เข้าที่แล้ว เดวิด โบว์แมนพบความลับว่า เป้าหมายของปฏิบัติการในครั้งนี้นั้นคือ การสำรวจแจพีตัส (Japetusหรืออีกชื่อหนึ่งว่า Iapetus) ดวงจันทรที่ใหญ่เป็นอันดับ 3ของดาวเสาร์ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับแท่งหินสีดำ โบว์แมนใช้ชีวิตคนเดียวบนยานอีกหลายเดือน ขณะที่ยานเข้าใกล้แจพีตัส เขาพบว่าบนแจพีตัสมีจุดดำ เมื่อเข้าใกล้ก็พบว่ามันคือแผ่นหินดำขนาดยักษ์ สัดส่วนเดียวกับบนดวงจันทร์ของโลก (13 ปีหลังจากนวนิยายเรื่องนี้ ยานวอเยเจอร์ ขององค์การนาซ่า ผ่านไปทางนั้นและส่งรูปแจพีตัสกลับมายังโลก พวกเขาตะลึงเมื่อพบว่า กลางดวงจันทร์แจพีตัสมีพื้นที่ดำสนิทจริงๆ คาร์ล เซเกน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของวอเยเจอร์ส่งรูปถ่ายนี้ให้กับคลาร์ก เขียนโน้ตสั้นๆว่า “Thinking of you …..”โบว์แมนขับยานลำเล็กเข้าไปจอดที่แผ่นหินสีดำ แผ่นหินดำ “เปิด” รับยานของเขา เขาพบว่ามันเต็มไปด้วยดวงดาว แต่ไมใช่ดวงดาวแถวนั้น เป็นดวงดาวของที่ใดหรือจักรวาลใดก็ไม่รู้ เมื่อลองยิงจรวดขนาดเล็กลงไป จรวดก็หายไปราวก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่องนั้นคือประตูดาว ทางไปสู่อีกซีกหนึ่งของจักรวาล! โบว์แมนหายไปในความดำสนิทของแผ่นดิน เดินทางผ่านหมู่ดาวต่างๆ ที่มีมากมายอสงไขย เข้าไปสู่ประตูดาว โบว์แมนขับยานลำเล็กเข้าไปในประตูดาว และโผล่ไปในอีกระบบดาว มีดาวยักษ์แดงบนฟ้า ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งโคจรรอบดาวยักษ์แดง เห็นชัดว่าเป็นบ้านของสิ่งทรงภูมิปัญญานั้น ยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ดวงนั้น ท้ายที่สุดโบว์แมนถูกสิ่งทรงภูมิปัญญาเจ้าของแผ่นหินดำทำให้ตัวตนมนุษย์ของเขาหายไป กลายเป็นรูปแบบใหม่ เขาไม่มีร่างกาย เขาไม่ต้องการยานอวกาศ ตัวเขาเองคือยานอวกาศ!! ในฉบับภาพยนตร์ โบว์แมนพบตัวเองในห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เขาพบตัวเองในวัยหนุ่ม วัยชรา และท้ายที่สุดในรูปของทารกแห่งดวงดาว

เบื้องหลังการทำงานชิ้นนี้ เมื่อ อาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก กับผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริก เดินเรื่องถึงจุดที่โบว์แมนเจอแท่งหินประตูดาว ก็ไปต่อไม่ได้ คลาร์กจึงชวน คาร์ล เซเกน ไปกินข้าวเย็นและคุยกับคูบริกที่นิวยอร์ก สแตนลีย์ คูบริก ไม่รู้จะสร้างสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวออกมาในรูปแบบอย่างไรดี ความจริงเขาอยากให้สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวไม่ต่างจากมนุษย์บนโลกเราเท่าไรนัก เพราะราคาถูกดี แค่โทร.เรียกฝ่ายสร้างสรรค์ จัดการแต่งหน้า แต่งตา จะเอา”มนุษย์ต่างดาว” กี่คน(กี่ตัว) ก็ได้ แต่เซเกนแย้งว่า โอกาสที่สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวมีหน้าตาแบบคนมีโอกาสน้อยมาก มนุษย์เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นมาแบบฟลุ้คก็ว่าได้ บางทีทางที่ดีกว่าก็คือ แสดงสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวในลักษณะอ้อม ทำให้จับผิดได้ยากกว่า คูบริกได้ทำการทดลองหาวิธีการต่างๆ ในการนำเสนอ “มนุษย์ต่างดาว” แล้วหลายวิธี นั่นคือ จับคนมาแต่งชุดต่างๆ หลายรูปแบบ แต่ในที่สุดก็เลือกแบบที่ปรากฏในหนัง 2001 : A Space Odysseyที่ชาวโลกได้ชมกัน คือไม่แสดงโดยตรง ซึ่งให้พลังมากกว่าหลายเท่า มันคงไม่เป็นหนังคลาสสิกแน่ หากสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนสวมเมคอัพราคาถูกดังที่ปรากฏในหนังฮอลลีวู้ดนับเรื่องไม่ถ้วน! อย่างไรก็ตาม คูบริกเกิดความกลัวว่าสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวจากโลกใดโลกหนึ่งอาจมาเยี่ยมโลกเราก่อนหนังเรื่องนี้ออกฉาย และทำให้หนังเรื่องนี้ผิดพลาดในข้อเท็จจริงได้ เขาจึงขอทำประกันกับบริษัทลอยด์สแห่งลอนดอนให้จ่ายค่าชดเชยหาก “มนุษย์ต่างดาว” มาเยือนก่อนหนังฉาย บริษัทลอยด์สปฏิเสธ ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะในปีนั้นไม่มีสิ่งทรงภูมิปัญญาใดๆ จากดาวดวงไหนมาเยือนโลกเรา! เลย เบื้องแรกคนสร้างหนังจะตั้งชื่อหนังว่า” Journey Beyond the Stars” เซเกนบอกว่า เท่าที่เขารู้ ไม่มีที่ไหนในจักรวาลที่อยู่ beyond the stars หรอก! (อยู่เลยจากดาวดาว) ถ้าสร้างหนังตามชื่อเรื่องนี้ ก็คงต้องฉายหนังจอเปล่า 2 ชั่วโมง! หนังจึงได้ชื่ออย่างที่เป็นอยู่ในการต่อมาเมื่อ คาร์ล เซเกน เขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Contact เกี่ยวกับการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว เขาก็ทำในลักษณะอ้อมเช่นกัน และราคาถูกกว่าด้วย นั่นคือใช้มนุษย์เป็นผู้แสดง แต่บทชี้ให้เรายอมรับ “มนุษย์ต่างดาว” ได้อย่างสนิทใจ 2001 : A Space Odyssey ทิ้งคำถามต่างๆ ไว้ให้ขบคิด หลายปีต่อมา คลาร์กก็ตอบคำถามหรือขยายความสิ่งเหล่านั้นในภาคที่ 2 ต่อมา

ทุติยบท 2010 : Odyssey Two เป็นภาคต่อของ 2001 : A Space Odyssey เรื่องเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ 9 ปีหลังจากภาคแรก อเมริกาจะส่งยานลำใหม่ไปที่ดาวเสาร์ หลังจากที่โลกเชื่อว่า โครงการ Discovery One ล้มเหลว ทว่าเนื่องจากยาน Discovery Two สร้างเสร็จไม่ทัน จึงต้องพึ่งพายานอวกาศของรัสเซียที่ ชื่อ อเล็กเซย์ ลีโอนอฟ (Alexei Leonov)นักบินอวกาศอเมริกันจึงต้องเดินทางไปกับนักบินอวกาศรัสเซีย ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างอเมริกากับโซเวียต เพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับยานดิสคัฟเวอรี่ วัน .... เดวิด โบว์แมน หายไปไหน อีกทั้งต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับแท่งหินที่โคจรรอบดาวพฤหัส เชื่อว่าจะมีข้อมูลจำนวนมากในยานดิสคัฟเวอรี่ วัน ตัวละครหลักมี ดร.เฮย์วูด ฟลอยด์ (จากภาคหนึ่ง) ดร.จันทรา ผู้สร้าง Hal 9000 และนักบินอวกาศรัสเซียหลายคน ขณะเดียวกันจีนก็ส่งยานอวกาศนาม เซียน ไปดาวพฤหัสเช่นกัน ยานอวกาศของจีนเดินทางไปด้วยความเร็วสูง ทั้งนี้เพราะตั้งใจจะใช้เชื้อเพลิงหมด เมื่อไปถึงยูโรปา จะใช้น้ำที่นั่นเป็นเชื้อเพลิงเดินทางกลับโลก อย่างไรก็ตามยานเซียนถูกทำลาย ขณะไปถึงยูโรปา ยานรัสเซียทำการเชื่อมกับยานดิสคัฟเวอรี่ วัน สำเร็จ พบว่าภายในยานไม่มีใครอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่า เดวิด โบว์แมน หายไปไหน เรื่องเปลี่ยนไปเล่ามุมของ เดวิด โบว์แมน ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาที่ไร้ตัวตน ซึ่งเป็นสิ่งภูมิปัญญาต่างดาวที่ควบคุมแท่งหินสีดำ สิ่งทรงภูมิปัญญานี้ใช้โบว์แมนมาเรียนรู้มนุษย์ เดวิด โบว์แมน ในตัวตนใหม่เดินทางกลับโลก พบแม่และคนรักเก่าของเขา หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปดาวพฤหัส พบชีวิตในดวงจันทร์ยูโรปาในทะเลใต้น้ำแข็ง และชีวิตแบบก๊าซในก้อนเมฆของดาวพฤหัส เดวิด โบว์แมน ปรากฏตัวเตือน ดร.เฮย์วูด ฟลอยด์ ให้นำยานอวกาศกลับโลกไปภายใน 15 วัน ช่วงเวลานั้นแท่งหินหายตัวจากวงโคจรรอบดาวพฤหัส ขณะที่บนดาวพฤหัสปรากฏจุดดำซึ่งขยายตัวทวีคูณอย่างรวดเร็ว พวกเขาพบว่าจุดดำนั้นประกอบด้วยแท่งหินดำจำนวนมาก ทวีจำนวนกลืนกินดาวพฤหัสทั้งดวง พวกเขาใช้ยานดิสคัฟเวอรี่ วัน เป็นตัวเร่งส่งยานรัสเซียกลับไปก่อนกำหนด ขณะที่แท่งหินดำกลืนกินดาวพฤหัสทั้งดวง แท่งหินเหล่านั้นทำให้ดาวพฤหัสหนาแน่นขึ้นจนเกิดนิวเคลียร์ ฟิวชั่น กลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ เหตุผลคือสิ่งทรงภูมิปัญญาต้องการให้แสงของดาวพฤหัสเปลี่ยนระบบของดวงจันทร์ทั้งหลายของดาวพฤหัส ทำให้ชีวิตชั้นต่ำในยูโรปา วิวัฒนาการเป็นชีวิตชั้นสูง เช่นที่เคยทำกับมนุษย์วานรของโลกได้เมื่อนานมาแล้ว ในช่วงที่ดาวพฤหัสกำลังแปลงสภาพ เดวิด โบว์แมนส่งสารกลับไปยังโลก ผ่านฮัลว่า “โลกทั้งหมดนี้เป็นของพวกท่านยกเว้นยูโรปา อย่าพยายามลงจอดที่นั่น” ชาวโลกตั้งชื่อดาวพฤหัสใหม่ ว่า ลูซีเฟอร์ ก่อนที่ยานดิสคัฟเวอรี่ ถูกทำลายโดยดาวพฤหัสใหม่ เดวิด โบว์แมนเปลี่ยนปัญญาประดิษฐ์ฮัลให้เป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาใหม่เช่นเดียวกับเขา นวนิยายเรื่องนี้จบด้วยบทเล่าเหตุการณ์ในปี 2001 สิ่งมีชีวิตบนยูโรปา วิวัฒนาการเป็นสายพันธุ์ใหม่ แล้วสร้างอารยธรรม สำหรับชาวยูโรปา ลูซีเฟอร์คือ ดวงอาทิตย์ของพวกเขา ขณะที่โลกไม่มีกลางคืนอีกต่อไป เพราะมีดวงอาทิตย์สองดวง ยานอวกาศของมนุษย์ได้พยายามลงจอดที่ยูโรปาหลายครั้ง แต่พินาศทุกครั้ง ซากยานเหล่านั้นกลายเป็นที่บูชาของชาวยูโรปา แต่ที่มุมหนึ่งของยูโรปา มีแห่งหินสีดำ ซึ่งชาวยูโรปาสักการะสูงสุด ภายในแท่งหินนี้ เดวิด โบว์แมน กับฮัลกำลังปกป้องไม่ให้มนุษย์สามารถติดต่อกับยูโรปาได้ นานเท่าที่จำเป็น

ตติยบท 3001: The Final Odyssey (1997) โดย อาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก เป็นเล่มสุดท้ายในชุด Space Odyssey หลังจากเหตุการณ์สร้างดาวพฤหัสเป็นอาทิตย์ดวงใหม่ แท่งหินได้ส่งรายงานกลับไปยังดาวแม่ของมันซึ่งห่างไปราว 450 ปีแสง และดาวแม่ก็ส่งคำสั่งกลับมา กินเวลาอีก 450 ปี สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวผู้สร้างแท่งหินสีดำวิวัฒนาการมาเป็นเวลาล้านๆ ปี ในการพัฒนาเป็นสายพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาสำรวจดาราจักร ปรับปรุงแก้ไขบางสายพันธุ์ที่พบเห็น เช่น มนุษย์ แล้วทิ้งแท่งหินไว้เป็นเครื่องมือสื่อสารข้ามดาราจักร หลังจากจัดการกับโลกแล้ว ระยะเวลายาวนานนั้น สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวสายพันธุ์นี้ก็วิวัฒนาการต่อไปอีกขั้น จนสามารถเชื่อมตัวตนเข้ากับเนื้อจักรวาล กลายเป็นตัวตนที่ไม่มีร่างกาย และดำรงอยู่ในสถานะแบบ<พระเจ้า> เรื่องกล่าวถึง แฟรงก์ พูล ซึ่งถูกคอมพิวเตอร์ฮัลฆ่าในเรื่อง 2001 ศพลอยในอวกาศนานพันปี ได้ถูกพบและคืนชีวิต ความเย็นในอวกาศแช่แข็งเขา เพราะเทคโนโลยีทางแพทย์ปี 3001 พัฒนาถึงขั้นสูงแล้ว โลกในปี 3001 มนุษย์สร้างอาณานิคมตามดาวเคราะห์ต่างๆ แล้ว เช่น ดวงจันทร์บางดวงของดาวพฤหัส มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มาก เช่น BrainCap ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่เชื่อมสมองคนกับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีไดโนเสาร์โคลนนิ่ง และลิฟท์อวกาศเชื่อมกับสถานีอวกาศต่างๆ ในศตวรรษที่ 26 มนุษย์พบแท่งหินสีดำอันแรกที่เปลี่ยนมนุษย์วานร เรียกมันว่า TMA-0 (แท่งหินที่พบบนดวงจันทร์เรียก TMA-1) ไม่นานนัก โลกก็พบว่ามนุษยชาติกำลังตกอยู่ในอันตรายจากสิ่งทรงภูมิปัญญานี้ เพราะอาจถูกทำลายล้าง เช่นที่เคยเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตในดาวพฤหัสที่ถูกทำลายเพราะชาวต่างดาวทำให้มันกลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหม่ – ลูซีเฟอร์

แฟรงก์ พูล ติดต่อกับเดวิด โบว์แมน ได้ บัดนี้โบว์แมนได้เชื่อมกับฮัลเป็นตัวตนใหม่ เรียกว่า Halman อาศัยอยู่ที่แท่งหิน แท่งหินได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ทำลายมนุษยชาติเสีย โดยการก๊อปปี้ตัวเองเป็นแท่งหินจำนวนล้านๆ แท่ง เกาะเกี่ยวกันเป็นแผงขนาดยักษ์สองแผงเพื่อบดบังแสงอาทิตย์ทั้งสองดวง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งพลังงานที่จะไปถึงโลกและยุติระบบชีวิตทั้งหมดของโลก แฟรงก์ พูล กับ Halman จึงใส่ไวรัสเข้าไปในระบบของแท่งหินสีดำ ขณะที่แท่งหินเริ่มก๊อปปี้ตัวเองในกระบวนการทำลายล้างโลก มันก็ถูกไวรัสจู่โจม เพียงสิบห้านาทีหลังจากที่ม่านกั้นปรากฏตัวขึ้น แท่งหินสีดำทั้งสองคือ TMA-0 และ TMA-1 ก็สลายตัวไปโดยไร้ร่องรอย สิ่งทรงภูมิปัญญาผู้สร้างแท่งหินยังคงเฝ้ามองมนุษย์ และยอมให้มนุษย์อยู่รอดต่อไป พวกนั้นอาจจะเฝ้าดูมนุษย์อีกระยะหนึ่งก่อนจะวางแผนการทำอะไรต่อไป

จินตนาการของ อาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก ชี้ว่า แม้แต่สิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงก็ยังวิวัฒนาการสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หากเป็นจริง ก็ยากจะจินตนาการออกว่า สิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงในจักรวาลเป็นอย่างไร สามารถทำอะไรได้บ้าง อายุ 13,750 ล้านปี ของจักรวาลน่าจะยาวพอให้ชีวิตต่างดาวอย่างน้อยบางสายพันธุ์พัฒนาจนถึงจุดสูงสุดในระดับที่มนุษย์เราเห็นว่าเป็นปาฏิหาริย์ !

(หมายเหตุ ถอดความบางส่วนจากบทความวิวัฒนาการของชาวต่างดาว จากหนังสือ “ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล” โดย วินทร์ เลียววาริณ,สำนักพิมพ์ 113 วินบุ๊คคลับ)