วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

ปริศนาของโลกบิดเบี้ยวใบนี้ ตอนที่ 2

ดุจจินตนาการ สำคัญกว่าความรู้

สิ่งทรงภูมิปัญญา ควบคุมชะตาชีวิต

จิตใจมนุษย์ ยากแท้หยั่งถึง

เปรียบเสมือนจักรวาลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

เมื่อปี 2010 ที่ผ่านมานี้ เว็บไซต์ชื่อ www.ign.com (http://www.ign.com/articles/2010/09/14/top-25-sci-fi-movies-of-all-time?page=5)ได้จัดอันดับหนังไซไฟยอดเยี่ยมของโลกไว้ 25 เรื่องที่ดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่มีชื่อซ้ำอยู่ในลิสต์อันดับตรงกับเว็บไซต์อื่นๆ ด้วยหลายเรื่องเพียงแต่สลับอับดับกันอยู่บ้าง และ 1 ในจำนวนนั้นในทุกลิสต์จะต้องมีเรื่องที่กำลังจะกล่าวถึงนี้

ผู้เขียนขอยกมาเล่าแต่เพียงเรื่องเดียวนั่นคือ มหากาพย์แห่ง 2001: A Space Odyssey ที่ได้มุมมองครบถ้วนทั้งด้านวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ปรัชญา หรืออย่างที่ ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้นั่นแหละว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องจินตนาการและความรู้อย่างเยี่ยมยอดที่สุด เท่าที่โลกนี้เคยสร้างมา หรือเท่าที่ผู้เขียนเคยดูมา



ไตรภาคแห่งการค้นหาสิ่งทรงภูมิปัญญาในอภิมหาจักรวาล

อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งมองโลกแบบต้องมีหลักวิทยาศาสตร์ กระนั้นเขามักใช้นิยามวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความคิดที่ยังไม่อาจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นก็คือการพบสิ่งทรงภูมิปัญญา คลาร์กเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเชื่อว่าในประวัติศาสตร์อายุ 4,600 ล้านปี ของโลกนั้น ยังไม่มีสิ่งทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวมาเยือนโลกเราแน่นอน แต่เขาจะยินดีมาก หากก่อนตายได้ประจักษ์ว่ามีการมาเยือนของสิ่งทรงภูมิปัญญา น่าเสียดายที่ความใฝ่ฝันเรื่องนี้ของเขาไม่เคยเป็นจริง นอกจากเขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายเรื่องเกี่ยวกับสิ่งทรงภูมิปัญญา เรื่องที่สร้างชื่อให้เขาที่สุดก็คือ 2001 : A Space Odyssey

2001 : A Space Odyssey เป็นนวนิยายที่คลาร์กเขียนขยายความจากเรื่องสั้นของเขาเองชื่อ The Sentinel ซึ่งเขียนมาตั้งแต่ปี 1948 รวมกับเศษนิดเศษหน่อยจากเรื่องอื่นๆ ของเขา เช่น Breaking Strain , Out of the Cradle , Endlssly Orbiting…….. ,Who’s There? , Into the Comet, Before Eden , Encounter at Down และ Rescue Party ฉบับภาพยนตร์กำกับโดย สแตนลีย์ คูบริก (Stanly Coubrig) จัดว่าเป็นหนังไซไฟที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่ง

ปฐมบทแห่ง 2001 : A Space Odyssey เปิดเรื่องที่มนุษย์วานรคนหนึ่ง (ในเรื่องเรียกว่า นักมองจันทร์) กำลังมองความอลังการของท้องฟ้า นักมองจันทร์ไม่รู้ว่าจุดสว่างเบื้องบนนั้นคืออะไร นักมองจันทร์เป็นมนุษย์วานรที่ยืนตัวตรง พวกเขาอาศัยเป็นกลุ่ม หากินด้วยการเก็บของป่า วันหนึ่งนักมองจันทร์เหล่านั้นก็พบว่าวัตถุชิ้นหนึ่งกลางป่า เป็นแท่งหินสีดำสนิทขนาดใหญ่ สัดส่วน 1:4:9 เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร (คนดูหนังเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นกัน) หลังจากนั้นไม่นานเหล่ามนุษย์วานรก็มีความสามารถในการสร้างอาวุธล่าสัตว์ได้ เมื่อทะเลาะกัน ก็ใช้อาวุธทำร้ายกัน แท่งหินสีดำสัดส่วน 1:4:9 นี้มีอำนาจทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป พลันมนุษย์วานรก็วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด ขนาดสมองใหญ่ขึ้น กลายเป็นสายพันธุ์โฮโมซาเปียนส์ ฉลาดเหนือสัตว์ทั้งปวง รู้จักประดิษฐ์ภาษา สร้างอารยธรรม และในที่สุดก็ถึงขั้นเดินทางในอวกาศได้

เวลาผ่านไปราว 200,000 ปี มนุษย์เริ่มเดินทางสำรวจระบบสุริยะ ดร.เฮย์วูด ฟรอยด์ เดินทางไปยังดวงจันทร์ ระหว่างทางเขาแวะหยุดที่สถานีอวกาศซึ่งเป็นผลงานร่วมกันของอเมริกากับรัสเซีย เมื่อถึงดวงจันทร์ เจ้าหน้าที่นิคมดวงจันทร์พาเขานั่งยานสำรวจไปยังหลุมไทโค (Tycho) รายงานว่าพบคลื่นแม่เหล็กจากจุดนั้นซึ่งผิดปกติมาก พวกเขาเดินทางไปถึงหลุมไทโค ซึ่งเป็นพื้นที่ขุดลึกลงไปในดินในหลุมนั้นมีแท่งหินสีดำสัดส่วน 1:4:9 พวกเขาเรียกมันว่า Tycho Magnetic Anomaly-One หรือ TMA-1 อายุของมันคือ 3 ล้านปี ก่อนการกำเนิดมนุษย์มันเป็นหลักฐานชัดเจนถึงการดำรงอยู่ของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว เมื่อแสงแรกของวัน สาดพื้นที่นั้น แสงอาทิตย์อาบแท่งหินเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ล้านปี มันส่งสัญญาณออกไปยังดาวเสาร์ (ในหนังเปลี่ยนเป็นดาวพฤหัส เพราะทีมงานไม่สามารถสร้างหุ่นดาวเสาร์ที่มีวงแหวนรอบได้สมจริง) แท่งหินสีดำนี้เป็นผลงานของสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวสายพันธุ์หนึ่งซึ่งเดินทางไปเยือนโลกต่างๆ ในจักรวาล สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวนี้พบเห็นมนุษย์วานรและเห็นศักยภาพของสายพันธุ์นี้ จึงจัดการเปลี่ยนเพิ่มความฉลาดของมนุษย์วานร พวกมันรู้จักการใช้เครื่องมือและอาวุธ นำไปสู่การวิวัฒนาการจนครองโลก สิ่งทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์นี้ไม่อยู่เฝ้าดูผลลัพธ์ของผลงานของพวกเขาเพราะมีภารกิจทั่วจักรวาล พวกเขาฝังแท่งหินสีดำใต้พื้นดินของดวงจันทร์ รอวันที่มนุษย์ฉลาดถึงขั้นเดินทางไปในอวกาศ เมื่อใดที่ขุดพบแท่งหินสีดำที่ฝังอยู่ เมื่อนั้นแท่งหินก็จะส่งสัญญาณไปให้สิ่งทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์นี้รู้ หลังจากการขุดพบ TMA-1 บนดวงจันทร์ สหรัฐอเมริกาส่งยานอวกาศลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังดาวเสาร์ เดวิด โบว์แมน กับแฟรงก์ พูล เป็นนักบินอวกาศ 2 คนซึ่งไม่ได้จำศีลระหว่างการเดินทางเหมือนนักบินอวกาศอีก 3คน พวกที่จำศีลจะถูกปลุกให้ตื่นเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย การจำศีลเป็นวิธีการเดินทางในอวกาศแบบประหยัดพลังงาน ในยานมี Hal 9000 ปัญญาประดิษฐ์ประจำยาน เป็นสมองของยาน เมื่อใกล้ดาวพฤหัส พวกเขาใช้แรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสเหวี่ยงยานต่อไปยังดาวเสาร์ ระหว่างทาง Hal แจ้งทั้ง 2;ว่าส่วนหนึ่งของยาน ยูนิตAE-35 ไม่ทำงาน พูลออกไปนอกยานเพื่อเปลี่ยนอะไหล่ โบว์แมนทดสอบส่วนที่หายไป และพบว่ามันไม่ได้เสียตามที่ฮัลรายงาน ทั้งสองสงสัยว่าฮัลไม่ทำงานตามปกติ และส่งข่าวไปยังโลกว่าอาจต้องปิดฮัลเสีย แต่สัญญาณหายไป ฮัลบอกทั้ง2 ว่า ยูนิตAE-35 ที่เพิ่งซ่อมเสียอีกแล้ว แฟรงก์ พูล ขับยานลำเล็กออกไปซ่อมและเกิดอุบัติเหตุ ยานลำเล็กชนพูลลอยหายไปในอวกาศ พูลเสียชีวิต โบว์แมนสงสัยว่าเป็นฝีมือของฮัลโบว์แมนตัดสินใจปลุกนักบินอวกาศทั้ง 3 ที่กำลังจำศีล ระหว่างนั้นประตูยานเปิดออก ทำให้โบว์แมนหลุดออกไปนอกยาน แต่เขาหาทางกลับเข้ามาในยานได้อีก และจัดการดับฮัลด้วยไขควงตัวเดียว เขาพบว่านักบินอวกาศทั้งสามคนได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะฮัลสั่งให้เครื่องจำศีลไม่ทำงาน ฮัลกลายเป็นฆาตกรนั่นเอง! หลังจากจัดการยานให้เข้าที่แล้ว เดวิด โบว์แมนพบความลับว่า เป้าหมายของปฏิบัติการในครั้งนี้นั้นคือ การสำรวจแจพีตัส (Japetusหรืออีกชื่อหนึ่งว่า Iapetus) ดวงจันทรที่ใหญ่เป็นอันดับ 3ของดาวเสาร์ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับแท่งหินสีดำ โบว์แมนใช้ชีวิตคนเดียวบนยานอีกหลายเดือน ขณะที่ยานเข้าใกล้แจพีตัส เขาพบว่าบนแจพีตัสมีจุดดำ เมื่อเข้าใกล้ก็พบว่ามันคือแผ่นหินดำขนาดยักษ์ สัดส่วนเดียวกับบนดวงจันทร์ของโลก (13 ปีหลังจากนวนิยายเรื่องนี้ ยานวอเยเจอร์ ขององค์การนาซ่า ผ่านไปทางนั้นและส่งรูปแจพีตัสกลับมายังโลก พวกเขาตะลึงเมื่อพบว่า กลางดวงจันทร์แจพีตัสมีพื้นที่ดำสนิทจริงๆ คาร์ล เซเกน ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของวอเยเจอร์ส่งรูปถ่ายนี้ให้กับคลาร์ก เขียนโน้ตสั้นๆว่า “Thinking of you …..”โบว์แมนขับยานลำเล็กเข้าไปจอดที่แผ่นหินสีดำ แผ่นหินดำ “เปิด” รับยานของเขา เขาพบว่ามันเต็มไปด้วยดวงดาว แต่ไมใช่ดวงดาวแถวนั้น เป็นดวงดาวของที่ใดหรือจักรวาลใดก็ไม่รู้ เมื่อลองยิงจรวดขนาดเล็กลงไป จรวดก็หายไปราวก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่องนั้นคือประตูดาว ทางไปสู่อีกซีกหนึ่งของจักรวาล! โบว์แมนหายไปในความดำสนิทของแผ่นดิน เดินทางผ่านหมู่ดาวต่างๆ ที่มีมากมายอสงไขย เข้าไปสู่ประตูดาว โบว์แมนขับยานลำเล็กเข้าไปในประตูดาว และโผล่ไปในอีกระบบดาว มีดาวยักษ์แดงบนฟ้า ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งโคจรรอบดาวยักษ์แดง เห็นชัดว่าเป็นบ้านของสิ่งทรงภูมิปัญญานั้น ยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ดวงนั้น ท้ายที่สุดโบว์แมนถูกสิ่งทรงภูมิปัญญาเจ้าของแผ่นหินดำทำให้ตัวตนมนุษย์ของเขาหายไป กลายเป็นรูปแบบใหม่ เขาไม่มีร่างกาย เขาไม่ต้องการยานอวกาศ ตัวเขาเองคือยานอวกาศ!! ในฉบับภาพยนตร์ โบว์แมนพบตัวเองในห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เขาพบตัวเองในวัยหนุ่ม วัยชรา และท้ายที่สุดในรูปของทารกแห่งดวงดาว

เบื้องหลังการทำงานชิ้นนี้ เมื่อ อาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก กับผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริก เดินเรื่องถึงจุดที่โบว์แมนเจอแท่งหินประตูดาว ก็ไปต่อไม่ได้ คลาร์กจึงชวน คาร์ล เซเกน ไปกินข้าวเย็นและคุยกับคูบริกที่นิวยอร์ก สแตนลีย์ คูบริก ไม่รู้จะสร้างสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวออกมาในรูปแบบอย่างไรดี ความจริงเขาอยากให้สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวไม่ต่างจากมนุษย์บนโลกเราเท่าไรนัก เพราะราคาถูกดี แค่โทร.เรียกฝ่ายสร้างสรรค์ จัดการแต่งหน้า แต่งตา จะเอา”มนุษย์ต่างดาว” กี่คน(กี่ตัว) ก็ได้ แต่เซเกนแย้งว่า โอกาสที่สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวมีหน้าตาแบบคนมีโอกาสน้อยมาก มนุษย์เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นมาแบบฟลุ้คก็ว่าได้ บางทีทางที่ดีกว่าก็คือ แสดงสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวในลักษณะอ้อม ทำให้จับผิดได้ยากกว่า คูบริกได้ทำการทดลองหาวิธีการต่างๆ ในการนำเสนอ “มนุษย์ต่างดาว” แล้วหลายวิธี นั่นคือ จับคนมาแต่งชุดต่างๆ หลายรูปแบบ แต่ในที่สุดก็เลือกแบบที่ปรากฏในหนัง 2001 : A Space Odysseyที่ชาวโลกได้ชมกัน คือไม่แสดงโดยตรง ซึ่งให้พลังมากกว่าหลายเท่า มันคงไม่เป็นหนังคลาสสิกแน่ หากสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนสวมเมคอัพราคาถูกดังที่ปรากฏในหนังฮอลลีวู้ดนับเรื่องไม่ถ้วน! อย่างไรก็ตาม คูบริกเกิดความกลัวว่าสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวจากโลกใดโลกหนึ่งอาจมาเยี่ยมโลกเราก่อนหนังเรื่องนี้ออกฉาย และทำให้หนังเรื่องนี้ผิดพลาดในข้อเท็จจริงได้ เขาจึงขอทำประกันกับบริษัทลอยด์สแห่งลอนดอนให้จ่ายค่าชดเชยหาก “มนุษย์ต่างดาว” มาเยือนก่อนหนังฉาย บริษัทลอยด์สปฏิเสธ ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะในปีนั้นไม่มีสิ่งทรงภูมิปัญญาใดๆ จากดาวดวงไหนมาเยือนโลกเรา! เลย เบื้องแรกคนสร้างหนังจะตั้งชื่อหนังว่า” Journey Beyond the Stars” เซเกนบอกว่า เท่าที่เขารู้ ไม่มีที่ไหนในจักรวาลที่อยู่ beyond the stars หรอก! (อยู่เลยจากดาวดาว) ถ้าสร้างหนังตามชื่อเรื่องนี้ ก็คงต้องฉายหนังจอเปล่า 2 ชั่วโมง! หนังจึงได้ชื่ออย่างที่เป็นอยู่ในการต่อมาเมื่อ คาร์ล เซเกน เขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Contact เกี่ยวกับการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว เขาก็ทำในลักษณะอ้อมเช่นกัน และราคาถูกกว่าด้วย นั่นคือใช้มนุษย์เป็นผู้แสดง แต่บทชี้ให้เรายอมรับ “มนุษย์ต่างดาว” ได้อย่างสนิทใจ 2001 : A Space Odyssey ทิ้งคำถามต่างๆ ไว้ให้ขบคิด หลายปีต่อมา คลาร์กก็ตอบคำถามหรือขยายความสิ่งเหล่านั้นในภาคที่ 2 ต่อมา

ทุติยบท 2010 : Odyssey Two เป็นภาคต่อของ 2001 : A Space Odyssey เรื่องเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ 9 ปีหลังจากภาคแรก อเมริกาจะส่งยานลำใหม่ไปที่ดาวเสาร์ หลังจากที่โลกเชื่อว่า โครงการ Discovery One ล้มเหลว ทว่าเนื่องจากยาน Discovery Two สร้างเสร็จไม่ทัน จึงต้องพึ่งพายานอวกาศของรัสเซียที่ ชื่อ อเล็กเซย์ ลีโอนอฟ (Alexei Leonov)นักบินอวกาศอเมริกันจึงต้องเดินทางไปกับนักบินอวกาศรัสเซีย ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างอเมริกากับโซเวียต เพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับยานดิสคัฟเวอรี่ วัน .... เดวิด โบว์แมน หายไปไหน อีกทั้งต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับแท่งหินที่โคจรรอบดาวพฤหัส เชื่อว่าจะมีข้อมูลจำนวนมากในยานดิสคัฟเวอรี่ วัน ตัวละครหลักมี ดร.เฮย์วูด ฟลอยด์ (จากภาคหนึ่ง) ดร.จันทรา ผู้สร้าง Hal 9000 และนักบินอวกาศรัสเซียหลายคน ขณะเดียวกันจีนก็ส่งยานอวกาศนาม เซียน ไปดาวพฤหัสเช่นกัน ยานอวกาศของจีนเดินทางไปด้วยความเร็วสูง ทั้งนี้เพราะตั้งใจจะใช้เชื้อเพลิงหมด เมื่อไปถึงยูโรปา จะใช้น้ำที่นั่นเป็นเชื้อเพลิงเดินทางกลับโลก อย่างไรก็ตามยานเซียนถูกทำลาย ขณะไปถึงยูโรปา ยานรัสเซียทำการเชื่อมกับยานดิสคัฟเวอรี่ วัน สำเร็จ พบว่าภายในยานไม่มีใครอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่า เดวิด โบว์แมน หายไปไหน เรื่องเปลี่ยนไปเล่ามุมของ เดวิด โบว์แมน ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาที่ไร้ตัวตน ซึ่งเป็นสิ่งภูมิปัญญาต่างดาวที่ควบคุมแท่งหินสีดำ สิ่งทรงภูมิปัญญานี้ใช้โบว์แมนมาเรียนรู้มนุษย์ เดวิด โบว์แมน ในตัวตนใหม่เดินทางกลับโลก พบแม่และคนรักเก่าของเขา หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปดาวพฤหัส พบชีวิตในดวงจันทร์ยูโรปาในทะเลใต้น้ำแข็ง และชีวิตแบบก๊าซในก้อนเมฆของดาวพฤหัส เดวิด โบว์แมน ปรากฏตัวเตือน ดร.เฮย์วูด ฟลอยด์ ให้นำยานอวกาศกลับโลกไปภายใน 15 วัน ช่วงเวลานั้นแท่งหินหายตัวจากวงโคจรรอบดาวพฤหัส ขณะที่บนดาวพฤหัสปรากฏจุดดำซึ่งขยายตัวทวีคูณอย่างรวดเร็ว พวกเขาพบว่าจุดดำนั้นประกอบด้วยแท่งหินดำจำนวนมาก ทวีจำนวนกลืนกินดาวพฤหัสทั้งดวง พวกเขาใช้ยานดิสคัฟเวอรี่ วัน เป็นตัวเร่งส่งยานรัสเซียกลับไปก่อนกำหนด ขณะที่แท่งหินดำกลืนกินดาวพฤหัสทั้งดวง แท่งหินเหล่านั้นทำให้ดาวพฤหัสหนาแน่นขึ้นจนเกิดนิวเคลียร์ ฟิวชั่น กลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ เหตุผลคือสิ่งทรงภูมิปัญญาต้องการให้แสงของดาวพฤหัสเปลี่ยนระบบของดวงจันทร์ทั้งหลายของดาวพฤหัส ทำให้ชีวิตชั้นต่ำในยูโรปา วิวัฒนาการเป็นชีวิตชั้นสูง เช่นที่เคยทำกับมนุษย์วานรของโลกได้เมื่อนานมาแล้ว ในช่วงที่ดาวพฤหัสกำลังแปลงสภาพ เดวิด โบว์แมนส่งสารกลับไปยังโลก ผ่านฮัลว่า “โลกทั้งหมดนี้เป็นของพวกท่านยกเว้นยูโรปา อย่าพยายามลงจอดที่นั่น” ชาวโลกตั้งชื่อดาวพฤหัสใหม่ ว่า ลูซีเฟอร์ ก่อนที่ยานดิสคัฟเวอรี่ ถูกทำลายโดยดาวพฤหัสใหม่ เดวิด โบว์แมนเปลี่ยนปัญญาประดิษฐ์ฮัลให้เป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาใหม่เช่นเดียวกับเขา นวนิยายเรื่องนี้จบด้วยบทเล่าเหตุการณ์ในปี 2001 สิ่งมีชีวิตบนยูโรปา วิวัฒนาการเป็นสายพันธุ์ใหม่ แล้วสร้างอารยธรรม สำหรับชาวยูโรปา ลูซีเฟอร์คือ ดวงอาทิตย์ของพวกเขา ขณะที่โลกไม่มีกลางคืนอีกต่อไป เพราะมีดวงอาทิตย์สองดวง ยานอวกาศของมนุษย์ได้พยายามลงจอดที่ยูโรปาหลายครั้ง แต่พินาศทุกครั้ง ซากยานเหล่านั้นกลายเป็นที่บูชาของชาวยูโรปา แต่ที่มุมหนึ่งของยูโรปา มีแห่งหินสีดำ ซึ่งชาวยูโรปาสักการะสูงสุด ภายในแท่งหินนี้ เดวิด โบว์แมน กับฮัลกำลังปกป้องไม่ให้มนุษย์สามารถติดต่อกับยูโรปาได้ นานเท่าที่จำเป็น

ตติยบท 3001: The Final Odyssey (1997) โดย อาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก เป็นเล่มสุดท้ายในชุด Space Odyssey หลังจากเหตุการณ์สร้างดาวพฤหัสเป็นอาทิตย์ดวงใหม่ แท่งหินได้ส่งรายงานกลับไปยังดาวแม่ของมันซึ่งห่างไปราว 450 ปีแสง และดาวแม่ก็ส่งคำสั่งกลับมา กินเวลาอีก 450 ปี สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวผู้สร้างแท่งหินสีดำวิวัฒนาการมาเป็นเวลาล้านๆ ปี ในการพัฒนาเป็นสายพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาสำรวจดาราจักร ปรับปรุงแก้ไขบางสายพันธุ์ที่พบเห็น เช่น มนุษย์ แล้วทิ้งแท่งหินไว้เป็นเครื่องมือสื่อสารข้ามดาราจักร หลังจากจัดการกับโลกแล้ว ระยะเวลายาวนานนั้น สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวสายพันธุ์นี้ก็วิวัฒนาการต่อไปอีกขั้น จนสามารถเชื่อมตัวตนเข้ากับเนื้อจักรวาล กลายเป็นตัวตนที่ไม่มีร่างกาย และดำรงอยู่ในสถานะแบบ<พระเจ้า> เรื่องกล่าวถึง แฟรงก์ พูล ซึ่งถูกคอมพิวเตอร์ฮัลฆ่าในเรื่อง 2001 ศพลอยในอวกาศนานพันปี ได้ถูกพบและคืนชีวิต ความเย็นในอวกาศแช่แข็งเขา เพราะเทคโนโลยีทางแพทย์ปี 3001 พัฒนาถึงขั้นสูงแล้ว โลกในปี 3001 มนุษย์สร้างอาณานิคมตามดาวเคราะห์ต่างๆ แล้ว เช่น ดวงจันทร์บางดวงของดาวพฤหัส มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มาก เช่น BrainCap ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่เชื่อมสมองคนกับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีไดโนเสาร์โคลนนิ่ง และลิฟท์อวกาศเชื่อมกับสถานีอวกาศต่างๆ ในศตวรรษที่ 26 มนุษย์พบแท่งหินสีดำอันแรกที่เปลี่ยนมนุษย์วานร เรียกมันว่า TMA-0 (แท่งหินที่พบบนดวงจันทร์เรียก TMA-1) ไม่นานนัก โลกก็พบว่ามนุษยชาติกำลังตกอยู่ในอันตรายจากสิ่งทรงภูมิปัญญานี้ เพราะอาจถูกทำลายล้าง เช่นที่เคยเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตในดาวพฤหัสที่ถูกทำลายเพราะชาวต่างดาวทำให้มันกลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหม่ – ลูซีเฟอร์

แฟรงก์ พูล ติดต่อกับเดวิด โบว์แมน ได้ บัดนี้โบว์แมนได้เชื่อมกับฮัลเป็นตัวตนใหม่ เรียกว่า Halman อาศัยอยู่ที่แท่งหิน แท่งหินได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ทำลายมนุษยชาติเสีย โดยการก๊อปปี้ตัวเองเป็นแท่งหินจำนวนล้านๆ แท่ง เกาะเกี่ยวกันเป็นแผงขนาดยักษ์สองแผงเพื่อบดบังแสงอาทิตย์ทั้งสองดวง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งพลังงานที่จะไปถึงโลกและยุติระบบชีวิตทั้งหมดของโลก แฟรงก์ พูล กับ Halman จึงใส่ไวรัสเข้าไปในระบบของแท่งหินสีดำ ขณะที่แท่งหินเริ่มก๊อปปี้ตัวเองในกระบวนการทำลายล้างโลก มันก็ถูกไวรัสจู่โจม เพียงสิบห้านาทีหลังจากที่ม่านกั้นปรากฏตัวขึ้น แท่งหินสีดำทั้งสองคือ TMA-0 และ TMA-1 ก็สลายตัวไปโดยไร้ร่องรอย สิ่งทรงภูมิปัญญาผู้สร้างแท่งหินยังคงเฝ้ามองมนุษย์ และยอมให้มนุษย์อยู่รอดต่อไป พวกนั้นอาจจะเฝ้าดูมนุษย์อีกระยะหนึ่งก่อนจะวางแผนการทำอะไรต่อไป

จินตนาการของ อาร์เธอร์ ซี.คลาร์ก ชี้ว่า แม้แต่สิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงก็ยังวิวัฒนาการสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หากเป็นจริง ก็ยากจะจินตนาการออกว่า สิ่งทรงภูมิปัญญาชั้นสูงในจักรวาลเป็นอย่างไร สามารถทำอะไรได้บ้าง อายุ 13,750 ล้านปี ของจักรวาลน่าจะยาวพอให้ชีวิตต่างดาวอย่างน้อยบางสายพันธุ์พัฒนาจนถึงจุดสูงสุดในระดับที่มนุษย์เราเห็นว่าเป็นปาฏิหาริย์ !

(หมายเหตุ ถอดความบางส่วนจากบทความวิวัฒนาการของชาวต่างดาว จากหนังสือ “ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล” โดย วินทร์ เลียววาริณ,สำนักพิมพ์ 113 วินบุ๊คคลับ)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น