วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดิสโก้เธค โลกแห่งเสียงเพลง แสงสี ลีลา ท่าเต้น

 
ไม่รู้ว่าดิสโก้เธค เข้ามาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ น่าจะสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ซักช่วงกลางยุคปี 1970 's หรือถ้าเทียบเป็นปี พ.ศ.ก็น่าจะประมาณ 2518 เป็นต้นไป หากจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็ช่วงที่มีภาพยนตร์เรื่องวัยอลวน ตั้มกับโอ๋ ตอนนั้นนั่นแหละ ฮิตเปรี้ยงปร้างมาก หรือในระดับโลกก็ ภาพยนตร์เรื่อง saturday night fever , flash dance, dirty dancing  แถวๆ นั้น และต่อมาจนถึงยุคศิลปินจากอังกฤษ พวกวง ดูแรน ดูแรน , วงแวม , บานานาราม่า ,ฝั่งอเมริกา ก็จะเป็นพวก ดอนน่า ซัมเมอร์ บอนนี่เอ็ม  ทีน่า ชาร์ล บีจีส์  วงแอ็บบ้า ของสวีเดน  เราลองไปดูประวัติกันจริงๆ ดีกว่า เพื่อความถูกต้องของข้อมูล ดังนี้

ดิสโก้ (อังกฤษ: Disco) เป็นแนวเพลงประเภทหนึ่ง สาขาย่อยของดนตรีแดนซ์ ที่ผสมผสานแนวฟังก์กับโซลเข้าด้วยกัน ดิสโก้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วยยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ตอนกลางถึงป:ลาย ศิลปินแนวดิสโก้ที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น เช่น ดอนนา ซัมเมอร์, เดอะแจ็กสันไฟฟ์, แบร์รี ไวต์, บีจีส์ และแอ็บบ้า เป็นต้น   ดิสโก้ได้ลดความนิยมไปในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980

ประวัติความเป็นมาของดนตรีดิสโก้

ใน ค.ศ. 1969 เพลงแรกที่ถูกเอ่ยถึงคือเพลง "Only the Strong Survive" ของ Jerry Butler เพลงนี้มีหลายส่วนใช้องค์ประกอบของดิสโก้โดยเพลงนี้ได้รวมแนว Philly และ New York soul เป็นที่มาคนดนตรีแบบโมทาวน์ด้วย แต่คำว่าดิสโก้ถูกทำให้รู้จักขึ้นโดยบทความของ Vince Aletti ฉบับวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1973 ในนิตยสาร The Rolling Stone

ใน ค.ศ. 1974 เริ่มมีเพลงดิสโก้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 เช่นเพลง "Rock The Boat," ของ Hues Corporation , "Love's Theme" โดย Love Unlimited Orchestra (วงของแบร์รี ไวท์) หลังจากนั้นได้มีเพลงฮิตบนชาร์ตอยู่หลายเพลง เช่น Van McCoy เพลง "The Hustle" และ Donna Summer เพลง "Love to Love You, Baby", Silver Convention เพลง "Fly Robin Fly" (ค.ศ. 1975), และ The Bee Gees เพลง"Jive Talkin'" (ค.ศ. 1975) เพลงดิสโก้เริ่มได้รับความนิยมสูงสุดในช่วง ค.ศ. 1976 - 1979 มีภาพยนตร์ดังหลายเรื่องที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับดิสโก้เช่น Saturday Night Fever และ Thank God It's Friday


เพลงดิสโก้ในระดับต้นๆ

• (Shake, Shake, Shake) Shake Your Booty -KC & the Sunshine Band

• That's The Way I Like It - KC & the Sunshine Band

• YMCA - Village People

• Boogie Wonderland - Earth, Wind & Fire

• Car Wash - Rose Royce

• Disco Inferno - The Trammps

• Don't Leave Me This Way - Thelma Houston

• Funkytown - Lipps, Inc.

• Good Times - Chic

• Hot Stuff - Donna Summer

• I Will Survive - Gloria Gaynor

• Le Freak - Chic

• D.I.S.C.O. - Ottawan

• Hands Up (Give Me Your Heart) - Ottawan



แต่ไม่รู้ว่าดิสโก้มันหน้าตาเป็นยังไง หรือว่าเพลงแบบไหนมันเป็นดิสโก้ไม่รู้ แต่ผู้เขียนรู้จักเพลงดิสโก้เพลงแรกจากเพลงของทีน่า ชาร์ล นี่แหละ อย่างเช่น เพลง Go  เพลงดังในยุคเดียวกัน ได้แก่ Ring my bell, Oneway Ticket, และ Lady Bumb





และหลังจากนั้นก็หลงไหลในเสียงเพลงแนวนี้เอามากๆ ช่วงยุคปี 1980's เป็นยุคทองของดนตรีและเพลงแนวดิสโก้มากๆ เพลงฮิตหลั่งไหลกันเข้ามาให้ได้ฟัง ได้รู้จัก ติดหูมากมาย อาทิ เพลงนี้ทุกคนต้องรู้จัก และก็เป็นเพลงดิสโก้ที่คนทั่วโลกต้องเต้นตาม กลุ่มนี้ได้แก่ That's The Way ( I Like It) , Y.M.C.A , Hand up! , Stayin' Alive ,Billy Jean, Kungfu Fighting, Rasbutin ,I'll never dance again, Clap your hands ,Play that Funky Music , Oye Como Va












 






และช่วงที่ผู้เขียนเริ่มเที่ยวราตรี สถานที่ที่ไปบ่อยก็คือดิสโก้เธค ในยุคนั้นแน่นอนยอดฮิตต้องเป็น เดอะพาเลซ ,เดอะฟลามิงโก้ ,นาซ๋าสเปซี่โดรม ,พาราไดซ์มิวสิคฮอลล์ (อันนี้ยุคปลายๆของเธคใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ) เพลงในยุคนี้ที่ติดหูและร้องได้ราวกับเพลงชาติไทย ก็ได้แก่ เพลงในกลุ่มนี้ครับ  Agadoo, Tarzan boy, One night in bkk, Thai nana, Give it up, Tokyo Town, I'm gonna give my heart , Congo ,Papa don't preach, I hate my self for loving you ,Have ever seen the rain,  What 've I done to deserve this , It's a sin ,walk like a man ,I just died in your arms, Broken Heart Women, Clap your Hand  etc.
 








 


 
เมื่อผ่านจากยุคดิสโก้เธคหมดความนิยมลงไปช่วงปลายยุค 1980's ก็เข้าสู่ยุคผับ คือกึ่งร้านอาหาร กึ่งดิสโก้ มีเปิดแผ่นและมีวงดนตรีมาแสดงสด ยุคนี้ ผู้เขียน
ก็ได้เคยเข้าไปสัมผัสสถานที่แรกๆ ก็อย่างเช่น ทอรัส บรอดเวย์ แคทวอล์ค สตูดิโอ 333  ไรโน่  โคล่าคอนเสิร์ตฮอลล์  ผับไต้ถุนนาซ่า อยางเช่น ร้านเชียร์ผับ เป็นต้น เพลงที่เปิดในยุคนี้ ก็ได้แก่ Lambada ,icc ice baby ,U can't thouch this ,nocoke เพลงพวกนี้ดังมาก บางคืนเปิดวนถึง 2-3 รอบก็มี และก็พวกเพลงไทยสมัยนิยม ก็ได้รับการเปิดจากดีเจ.ยุคนี้เพลงไทยดังจริงๆ ได้แก่ กลุ่มของเพลงพวกนี้ ได้แก่ กุ้มใจ, เจ้าภาพจงเจริญ ,เสียมั๊ย ,ออกมาเต้น, เท้าไฟ ,ฝากเลี้ยง,ประมาณนี้หรือเปล่า, ถอยดีกว่า,หน่อไม้ ,เสือ ,แมงมุม, แม่มด ,ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่ ,เอวหาย ,รมณ์บ่จอย ,รบกวนมารักกัน ,คู่กัด,เหลวไหล ,พริกขี้หนู ,บูมเมอแรง ,พลิกล็อค ,นินจา, ไร้กันมั่ก บ่าม็อก (รักกันมั๊ย บอกมา)  
ควักหัวใจ, กลับดึก เป็นต้น


 





 

 









ขอรำลึกถึงศิลปินยุคดิสโก้ต่อไปนี้ บางส่วนที่ทำให้หายคิดถึง ดังนี้













วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Days of Being Wild วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า

Days of Being Wild  วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า
ปี 1991.
ผู้กำกับ หว่องกาไว
นักแสดง เลสลี่ จาง จางมั่นอวี้ หลิวเต๋อหัว หลิวเจียหลิง จางเซียะโหย่ว เหลียงเฉาเหว่ย

เนื้อเรื่องย่อโดยสังเขป

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องชีวิตของสังคมหนุ่มสาวชาวฮ่องกงในช่วงปี1960 โดยเล่าผ่านตัวละครที่ชื่อยกไจ๋ (เลสลี่ จาง) เป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด และนำพาเรื่องของเขาไปพบปะกับตัวละครอื่นๆ อีก

ยกไจ๋เป็นหนุ่มหน้าตาดี คารมเยี่ยม มีรถเก๋งขับ อยู่แฟลตส่วนตัว ชีวิตเขาดูเหมือนว่าจะมีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ เขาพาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงมากมาย และแน่นอนที่ว่า ส่วนใหญ่เขาไม่เคยถูกปฏิเสธ !!!

เริ่มตั้งแต่โซวไหล่เจิน (จางม่านอวี้) พนักงานขายน้ำในสนามกีฬา เมื่อ ยกไจ๋ ได้พบเธอครั้งแรก เขาบอกกับเธอว่า “คืนนี้คุณจะฝันเห็นผม” หลังจากนั้นเขาก็แวะเวียนเข้ามาพูดคุยผูกมิตรกับเธอเสมอ

หลายวันผ่านไป ความสัมพันธ์ดูเหมือนยังไม่คืบหน้าซักเท่าไหร ยกไจ๋ ขอให้ให้เธอดูที่นาฬิกาข้อมือของเขาเพียงแค่นาทีเดียว แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เธอก็ยอมทำตาม

ยกไจ๋ถามว่า “วันนี้วันที่เท่าไหร่”

โซวไหล่เจินตอบ “วันที่16”

ยกไจ๋พูดต่อไปว่า “วันที่16..16 เมษา..16 เมษา 1960 1 นาทีก่อนบ่ายสาม คุณอยู่กับผม เพราะคุณ ผมจะจำนาทีนั้นไว้ จากนี้ไป เราเป็นเพื่อนกันแล้ว 1 นาที เรื่องนี้คุณไม่ยอมรับไม่ได้หรอกนะ มันเกิดขึ้นแล้ว..พรุ่งนี้ผมมาใหม่”

หลังจากนั้นเสียงในใจของ โซวไหล่เจิน บอกกับเราว่า “ฉันไม่รู้ว่าเขาจำฉันได้รึเปล่า เพราะเวลา 1 นาทีนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมผู้ชายคนนี้ หลังจากนั้น เขามาทุกวัน เราเป็นเพื่อนกัน จาก 1 นาที เป็น 2 นาที ไม่ช้าก็เจอกันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง..”

เมื่อได้คบหาเป็นคู่รักกันมานานพอสมควร ที่สุดฝ่ายหญิงร้องขอให้รุกคืบสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอไปสู่การแต่งงาน ยกไจ๋ ปฏิเสธมันโดยทันทีด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ต้องเสียเวลาคิด โซวไหล่เจิน จึงบอกกับเขาว่า เธอจะไม่มาหาเขาอีกแล้ว….

หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของ ยกไจ๋ ทั้งแฟลตที่อยู่ รถที่ขับ เงินที่ใช้ เขาได้มาจากแม่เลี้ยง (ซึ่งสร้างฐานะขึ้นมาด้วยอาชีพโสเภณี) ที่ซื้อเขามาจากแม่ที่แท้จริงตั้งแต่แรกเกิด แม้เธอจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี หยิบยื่นทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่การเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับชาติกำเนิดให้ ยกไจ๋ ได้รู้ ทำให้เขาเกลียดเธอ เกลียดที่เธอไม่ยอมบอกว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใคร เขาเพียรพยายามแวะเวียนมาถามเธอในเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เธอก็ยืนยันจะให้ความลับนั้นตายไปกับตัวเธอ มันเป็นเหมือนข้อผูกมัดให้ยกไจ๋ไม่สามารถตัดขาดจากเธอไปได้ (นั่นอาจเป็นเหตุผลตั้งแต่แรกที่เธอซื้อยกไจ๋มาเลี้ยง-เพื่อเติมเต็มรายละเอียดของชีวิตที่ขาดหายไปสำหรับคนที่มีอาชีพแบบเธอ-ความสัมพันธ์ กับเพศชายในแง่มุมที่มิใช่ความใคร่) พันธนาการเช่นนี้ ถือเป็นที่ยอมรับไม่ได้สำหรับยกไจ๋ คนที่ยึดมั่นในความเป็นอิสระ เหมือนดังคำพูดที่เขาใช้เปรียบเปรยถึงชีวิตตัวเอง “ผมเคยได้ยินเรื่องนกไร้ขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม ในชีวิตจะลงดินก็เพียงครั้งเดียว เมื่อถึงวันตาย…”

หลังจากเลิกรากับ โซวไหล่เจิน ได้ไม่นาน ยกไจ๋ก็เริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับมี่มี่ (หลิวเจียหลิง) นักเต้นในไนท์คลับ มี่มี่นั้นต่างจากโซวไหล่เจินอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะอาชีพของเธอทำให้เธอ “กร้านโลก” มากกว่า… อย่างน้อย..เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับยกไจ๋….

โซวไหล่เจิน ยังทำใจไม่ได้ในเรื่องของ ยกไจ๋ เธอมาดักรอพบเขาที่แฟลตตอนกลางคืนเพื่อขอรือฟื้นความสัมพันธ์ ยกไจ๋บอกกับเธอว่า “ผมไม่ใช่คนที่จะแต่งงาน…อย่าเอาชีวิตมาทิ้งกับผมเลย…คุณจะไม่มีความสุข” โซวไหล่เจินถามไปว่า “คุณเคยรักฉันบ้างไหม” เขาตอบเพียง “ผมจะรักผู้หญิงอีกหลายคน กว่าจะตาย ยังไม่รู้ว่าจะรักใครมากที่สุด…”

หลังจากนั้นโซวไหล่เจิน ยังคงมาเดินเตร่อยู่แถวแฟลตของยกไจ๋อีกหลายครั้ง ทำให้เธอได้พบกับตำรวจหนุ่ม (หลิวเต๋อหัว) ซึ่งเดินตรวจท้องที่อยู่แถวนั้น คงเพราะความรู้สึกอึดอัดจนอยากหาที่ระบายออก และต้องการหลีกหนีความเหงาที่รอคอยอยู่ที่บ้าน (เธอมาจากมาเก๊า และใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในฮ่องกง) เธอร้องขอให้เขาช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุย เธอบอกเล่าเรื่องราวของเธอกับ ยกไจ๋ ให้ตำรวจหนุ่มฟัง ส่วนเขาก็บอกกับเธอว่าจริงๆ แล้วเขาฝันอยากเป็นกะลาสี แต่เพราะต้องดูแลแม่ที่สุขภาพไม่ดี เขาจึงต้องพักความฝันของตัวเองเอาไว้ และทำหน้าที่ของลูกที่ดี จึงมาเป็นตำรวจ

ก่อนจากกัน ตำรวจหนุ่มบอกกับโซวไหล่เจินว่า “คุณโทรหาผมได้ เวลาประมาณนี้ ผมมักอยู่แถวนี้” พร้อมกับจดเบอร์โทรศัพท์ของตู้โทรสาธารณะบริเวณนั้นให้

หลังจากนั้นเสียงในใจของตำรวจหนุ่มบอกกับเราว่า “ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะโทรมาจริงๆ แต่เวลาที่เดินผ่านโทรศัพท์ ผมจะรอซักครู่ทุกครั้ง บางที่เธออาจจะกลับไปมาเก๊า หรือบางทีแค่ต้องการใครซักคนเป็นเพื่อนคุยคืนเดียว...หลังจากนั้นไม่นาน แม่ผมก็ตาย และผมก็ไปเป็นกะลาสีเรือ…”

ยกไจ๋มีเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กชื่อแดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) แดนนี่นั้นหลงรัก มี่มี่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ แต่ก็ต้องปิดบังความรู้สึกเอาไว้ กระทั่งแม่เลี้ยงของยกไจ๋ตัดสินใจย้ายไปอยู่อเมริกากับแฟนใหม่ เธอยอมบอกยกไจ๋ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาอพยพไปอยู่ที่ฟิลิปปินส์

ยกไจ๋ ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่อ่องกงและเดินทางไปฟิลิปปินส์ ก่อนไปเขานัดแดนนี่ออกมาพบเพื่อกล่าวลาเพื่อน แดนนี่ถามเขาว่า “…เธอรู้หรือยัง..” ยกไจ๋ตอบเพียงว่า “ยังไงฉันก็จะไป ถ้าเธอมาถามบอกว่าฉันไปแล้วก็พอ” แล้วก็ยื่นกุญแจรถให้แดนนี่ “เอาไปสิ ฉันรู้แกชอบมัน ดูแลมันให้ดี…”

แดนนี่ไปหา มี่มี่ ที่ไนท์คลับและบอกกับเธอว่า ยกไจ๋ ไปฟิลิปปินส์แล้ว แดนนี่พยายามทำดีกับ มี่มี่ ทุกอย่าง (อาจจะดีกว่าที่เธอเคยได้รับจากยกไจ๋ด้วยซ้ำ!!!) แต่ก็โดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เธอบอกแดนนี่ว่า “..ถึงไม่มีเขา…ฉันก็ไม่รักคุณหรอก..”

จากนั้นแดนนี่นัดมี่มี่ออกมาพบแล้วก็ยื่นธนบัตรปึกหนึ่งให้เธอ มี่มี่ถามว่า “เงินมากขนาดนี้เอามาจากไหน” แดนนี่ไม่กล้าสบตากับเธอ เขาตอบเพียง “ก็อย่างคุณว่า..ผมแทนเขาไม่ได้ รถนั่นเขาขับขับดูเท่สะบัด เป็นผมขับยังไงก็ดูตลก ขายซะดีกว่า” เขาบอกให้เธอไปหายกไจ๋ที่ฟิลิปปินส์ (ด้วยเงินที่เขามอบให้) และฝากเธอบอกยกไจ๋ด้วยว่า “รถเขาดีเกินไปสำหรับผม” สุดท้ายแดนนี่บอกกับเธอว่า “ถ้าไม่เจอเขา…กลับมาหาผมนะ..” แล้วก็เดินจากไป ทิ้งเสียงร้องไห้ของมี่มี่ไว้เบื้องหลัง…

ที่ฟิลิปปินส์..ยกไจ๋ไปถึงบ้านแม่ของเขา แต่เธอก็ไม่ยอมให้เขาพบ โดยให้คนรับใช้บอกว่าเธอย้ายไปที่อื่นแล้ว ยกไจ๋รีบเดินออกจากบ้านหลังนั้น เขารู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องมองดูเขาอยู่ เขาคิดว่า “เมื่อเธอไม่ยอมให้เขาพบ เขาก็จะไม่ยอมให้เธอได้เห็นหน้าเช่นกัน”

หลังจากนั้น ยกไจ๋ตัดสินใจเดินทางไปอเมริกา ระหว่างรอหนังสือเดินทาง (ปลอม) เขายังคงใช้ชีวิตเสเพลเช่นเดิม สุดท้ายก็โดนผู้หญิงมอมเหล้า, รูดทรัพย์ไปจนหมด และปล่อยให้นอนหลับอยู่ข้างถนน โชคดีที่ตำรวจหนุ่ม (แสดงโดยหลิวเต๋อหัว) ผ่านมาพบเข้า (เขาอยู่ระหว่างพักรอเรือของเขาถ่ายตู้สินค้าที่ฟิลิปปินส์)

รุ่งเช้ายกไจ๋และตำรวจหนุ่มไปที่สถานีรถไฟ ตำรวจหนุ่มเข้าใจว่ายกไจ๋จะมาขึ้นรถไฟ แต่ที่จริงแล้วยกไจ๋มาเพื่อรับหนังสือเดินทางที่จ้างพวกมาเฟียจัดการให้ (ทั้งที่เขาไม่มีเงินจะจ่าย!!) เมื่อรู้ว่าโดนหักหลัง ยกไจ๋จึงโดนพวกมาเฟียตามฆ่า ตำรวจหนุ่ม ช่วยเขาออกมาจากที่นั่น ทั้งสองหนีขึ้นรถไฟไป

บนรถไฟ ตำรวจหนุ่มต่อว่ายกไจ๋ที่ก่อเรื่องกับพวกมาเฟีย ยกไจ๋ว่าตัวเขาไม่สนใจหรอก ยังไงคนเราก็ต้องตายกันทุกคน…เรื่องนี้ตำรวจหนุ่มพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับยกไจ๋เอง เขาไม่ได้ร้องขอให้ตำรวจหนุ่ม ตามมาที่สถานีรถไฟ ระหว่างที่ตำรวจหนุ่ม เดินไปที่หัวขบวน ยกไจ๋โดนมาเฟียที่ตามขึ้นรถไฟมายิง

ระหว่างรอการมาถึงของห้วงสุดท้ายของชีวิต ตำรวจหนุ่มถามยกไจ๋ว่า “ยังจำได้ไหมว่าเขาทำอะไรอยู่ วันที่16 เมษา ปีก่อน ตอนบ่ายสาม” ยกไจ๋จึงนึกออกว่าเขาเคยพบตำรวจหนุ่มมาก่อน ยกไจ๋ว่า - เขาจำเรื่องที่ควรจำได้เสมอ..สำหรับเขา เรื่องนี้มันจบไปแล้ว…

บทสุดท้ายของเรื่องจบลงที่…สนามกีฬาแห่งเดิม… โซวไหล่เจิน ทำงานเสร็จแล้ว…เสียงโทรศัพท์ (ที่ตู้โทรฯสาธารณะแห่งนั้น) ดังขึ้นหลายครั้ง…แต่ไม่มีใครมารับโทรศัพท์…

บุคลิกลักษณะของตัวละครนำ 2 คน เมื่อมาเปรียบเทียบกัน


ยกไจ๋ขังตัวเองในโลกแห่งความฝัน เขาไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของโลกแห่งความจริง อาจเพราะมีแม่เลี้ยงที่คอยปัดป้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้าถึงตัวเขา (คอยเลี้ยงดู ส่งเงินให้ใช้ไม่เคยขาด) คิดเสมอว่าตัวเองเป็นนก ต้องการมีชีวิตอิสระ (ไม่ยึดโยงกับกรอบของสังคม ไม่ทำงาน) เมื่อเผชิญอุปสรรค (ไปไหนไม่ได้ เพราะยังติดขัดในใจเรื่องพ่อแม่ของตัวเอง ทำให้ไปจากแม่เลี้ยงไม่ได้) ก็นิ่งเฉย (รอให้แม่เลี้ยงบอกความจริง) ระหว่างนั้นก็เสนอขายฝันตัวเองให้คนอื่น (โซวไหล่เจินและมี่มี่) เพื่อเอามาหล่อเลี้ยงความฝันของตัวเอง

เช่นเดียวกันกับ ตำรวจหนุ่ม ก็มีความฝันที่จะเป็นกะลาสีเรือ แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความจริง เขามีแม่ที่ต้องดูแล เขาไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ ไม่ด่าทอโชคชะตาของตนเองและแบกรับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ขณะเดียวกันก็ใช้อุปสรรคนั่นเป็นแบบทดสอบ หากความมุ่งหมายนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมแน่ใจได้ว่าเป็น “คำตอบสุดท้าย” อย่างแท้จริง

แน่นอนว่าหากมองจากภายนอก คนแบบยกไจ๋ย่อมมี “จุดขาย” มากกว่าคนแบบตำรวจหนุ่ม แต่สุดท้ายเมื่อออกไปเผชิญโลกอย่างแท้จริง คนที่มีแต่ทฤษฎีแต่ไม่เคยปฏิบัติอย่างยกไจ๋ก็ไปไม่รอด (สุดท้ายแล้ว ที่ตัดสินใจไปอเมริกา ไม่แน่ว่าตั้งใจจะกลับไปอยู่ในกรงทองของแม่เลี้ยงอีกครั้งรึไม่) ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่ “ของจริง” อย่างที่ตัวเองคิดว่าเป็น

ประโยคเด็ดที่ทำให้เราทราบถึงวิธีคิดของตัวละคร 2 คน ได้เป็นอย่างดี ระหว่างตำรวจหนุ่ม พูดตอนที่ยกไจ๋กำลังจะเริ่มเล่าเรื่องนกไร้ขาให้เขาฟัง “ไอ้ตัวที่ไม่มีขารึ เก็บเอาไว้หลอกผู้หญิงเถอะ”

“นกหรือ? นกบ้าอะไร คุณก็แค่คนเมาที่ผมเจอในไชน่าทาวน์ !”

ปมร้าวที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจที่ทำให้ ยกไจ๋ ตัวละครเอกของเรื่องมีพฤติกรรมที่เป็นเสือผู้หญิง รักง่ายหน่ายเร็ว ไม่เคยจริงใจหรือจริงจังกับใครเลยสักคน ก็เพราะว่ายกไจ๋ถูกหญิงผู้เป็นแม่ทอดทิ้งตั้งแต่เกิด เขาจึงแก้แค้น โดยการทำร้ายผู้หญิงทุกคนที่รักเขา

ยกไจ๋พูดเสมอว่าตัวเองคือนก แม้จะเป็นเพลย์บอยที่ชีวิตค่อนข้างสบาย แต่เขาก็ไม่มีความสุขแล้วพลอยทำให้คนอื่นไม่มีความสุข ผู้หญิงคนแรกของเขาทอดทิ้งเขา ผู้หญิงที่เลี้ยงเขาไม่ใช่แม่ ผู้หญิงที่เขาบอกว่าไม่รักเป็นคนที่จิตใจเขาถวิลหาอยากพบวนเวียนถึงเมื่อใกล้สิ้นใจ ผู้หญิงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยเป็นผู้หญิงที่เขารำคาญ

ตำรวจที่หันเหไปเป็นกะลาสีเรือเป็นตัวละครที่น่าสนใจรองจากยกไจ๋ คนสองคนนี้ไม่แตกต่างกันมากอย่างที่เหมือนจะเป็น แม้ว่าเมื่อยกไจ๋พูดถึงเรื่องนกไร้ขา เขาจะขัดคอว่ามันเป็นแค่คำพูดเท่ๆ เอาไว้หลอกผู้หญิง ชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นอีกคนที่หัวใจเรียกร้องให้ “บิน” เพียงแต่เขาไม่ได้คิดถึงมันอย่างหมกมุ่น และการที่ไม่หมกมุ่นอาจทำให้เขาได้บินไปข้างหน้าจริงๆ แทนที่จะวนสู่ที่เดิม ซึ่งเท่ากับว่าไม่ได้บินไปไหน

“ผมเคยคิดเสมอว่ามีนกชนิดหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดมาก็ได้แต่บิน บินจนตาย …. ความจริงคือ มันไม่เคยไปไหนเลย มันตายแล้ว...ตั้งแต่แรก”

ไดอะล็อก (บทพูด) วรรคทองที่เด่น ในหนังเรื่องนี้ ได้แก่

“โลกนี้มีนกอยู่ชนิดหนึ่งไม่มีขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม ในชีวิตจะลงดินเพียงครั้งเดียว นั่นคือวันตายของมัน”

“วันที่ 16 เมษา 1960 หนึ่งนาทีก่อนบ่ายสามคุณอยู่กับผม เพราะคุณ...ผมจะจำนาทีนั้นไว้ จากนี้ไปเราเป็นเพื่อนกันแล้วหนึ่งนาที ความจริงข้อนี้คุณปฏิเสธไม่ได้หรอก มันเกิดขึ้นแล้ว”

“ผมไปหาเธอแล้วแต่คนใช้บอกว่าเธอไม่อยู่...หึ...ตอนเดินกลับออกมาผมรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตาม แต่ผมไม่หันกลับไปมอง ผมแค่อยากจะเห็นหน้าเธอสักครั้ง เมื่อเธอไม่ยอม เธอก็จะไม่ได้เห็นหน้าผมเหมือนกัน”

ประวัติและผลงานที่ผ่านมาของหว่องกาไว ผู้กำกับหนังเรื่อง Days of Being Wild


หว่อง คาไว หรือ หวาง เจียเว่ย (จีน: 王家衛; พินอิน: Wáng Jiāwèi) (17 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 - ) ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้เขียนบทภาพยนตร์ ชาวฮ่องกง ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก มีผลงานเป็นที่ยอมรับว่ามีสไตล์เป็นตัวของตัวเอง ชอบสวมแว่นดำตลอดเวลาจนเป็นเอกลักษณ์   หว่อง คาไว เกิดที่เซี่ยงไฮ้ และย้ายมาอยู่ฮ่องกงพร้อมกับบิดามารดาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ หลังจากเรียนจบสาขาการออกแบบกราฟิก เมื่อ พ.ศ. 2523 เขาเริ่มงานในสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ในตำแหน่งผู้เขียนบท
หว่อง คาไว เริ่มกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก เมื่อ พ.ศ. 2531 เรื่อง "As Tears Go By" เริ่มมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง "Days of Being Wild" (2534) และภาพยนตร์เรื่องต่อมา ไม่ว่าจะเป็น "Chungking Express" (2537) , "Ashes of Time" (2537) , "Fallen Angels" (2538)  ภาพยนตร์เรื่อง "Happy Together" (2540) เป็นผลงานสร้างชื่อให้กับหว่อง คาไว ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เขาได้รับรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องถัดมา "In the Mood for Love" (2543) ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ทั้งจาก รางวัลบาฟตา รางวัลซีซาร์ และรางวัลของสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน  ภาพยนตร์เรื่องถัดมา "2046" (2547) ใช้เวลาถ่ายทำถึง 4 ปี ในหลายประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย มีนักร้อง-นักแสดงซูเปอร์สตาร์ ของไทยร่วมแสดงด้วย คือ ธงไชย แมคอินไตย์  ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่หว่อง คาไว กำกับ ยกเว้นเรื่องแรกคือ As Tears Go By ล้วนกำกับภาพโดย คริสโตเฟอร์ ดอยล์

ผลงาน/Profile
 
Wong gok ka moon / As Tears Go By (1988)

A Fei zheng chuan / Days of Being Wild (1991)

Chung Hing sam lam / Chungking Express (1994)

Dung che sai duk / Ashes of Time (1994)

Duo luo tian shi / Fallen Angels (1995)

Chun gwong cha sit / Happy Together (1997)

Fa yeung nin wa / In the Mood for Love (2000)

2046 (2004)

Eros (2004) (หนังสั้น)

My Blueberry Nights (2007)

The Grand Masters (2010)
 
ถ้าเทียบงานของเขากับ จางอี้โหมว (Ju Dou), เทียนจวงจวง (The Blue Kite) หรือล่าสุด โจน เช็ง (Xiu Xiu: The Sent down Girl ) งานเขาอาจจะไม่สนองต่อ ความรู้สึก ที่มีต่อแผ่นดินใหญ่ ไม่กล่าวถึงความล้มเหลว ในระบบของประเทศ และก็ไม่ใช่หนังกำลังภายใน บู๊ล้างผลาญ อย่างของชอร์บราเธอร์ (เห็นจะมีแต่ As Tears Go By ที่ถือได้ว่า เป็นแอ็กชั่นโหด แบบลูกผู้ชาย เพียงเรื่องเดียวที่เขาทำ) แต่งานของเขา โดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางความแปลกแยก ของเนื้อหา หนังที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครทำ ในช่วงเวลาดังกล่าว เขาหยิบยก และเจาะเน้นเรื่องราว ของผู้คนยุคปัจจุบัน ที่อยู่ด้วยความสับสน และเปลี่ยวเหงา ภาวะจิตใจ ที่ไร้การยึดเหนี่ยวและการค้นหาตัวตน ซึ่งดูจะเป็นแกนของหนังทุกเรื่อง ของเขา และเป็นเรื่องของความรู้สึก ใกล้ตัวเราอย่างที่สุด

เมื่อผู้เขียนไปได้แผ่นหนังเรื่อง In the Mood for Love จากแผงกระบะลดราคามา เมื่อเห็นเป็นผลงานของเฮียเหลียงเฉาเหว่ยและผู้กำกับคู่บุญของเขาคือ หว่องกาไว จึงรีบฉวยมาชมด้วยความอยากดู พอดูจบ ไม่มีความเข้าใจเท่าที่ควร เหตุก็เพราะว่าการจะชมหนังของหว่องกาไวให้เข้าใจนั้น ควรจะได้ชมอย่างน้อย 2-3 เรื่องขึ้นไป จึงจะเข้าใจบริบท ความเป็นหนังอาร์ตของเขา ลีลาท่วงท่าของเขาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจริงๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับเอเซียคนนึง อีกทั้งเรื่อง In the Mood for Love เล่าต่อจาก Days of Being Wild และเป็นต้นกำเนิดของเรื่อง 2046 อีกด้วย จึงทำให้ผู้เขียนต้องเดือดร้อนควานหาหนังที่เหลืออีก 2 เรื่องมาดูต่อกันในคราวเดียว แม้ว่าเรื่อง Days of Being Wild เคยได้ชมผ่านตามาแล้วเมื่อครั้งสมัยที่ยังลงโรงฉายและก็กลายมาเป็น vcd, dvd มาเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว แต่ใช่ว่าผู้เขียนจะจำเนื้อหาของเรื่องได้ จึงต้องไปขวนขวายซื้อหามาดูกันใหม่อีก และก็ไม่ใช่งานง่ายเลยกับหนังของคุณพี่หว่องกาไว ที่จะหาซื้อได้ง่ายๆ ตามท้องตลาด ขนาดควานหาทั่วตลาดย่านคลองถม ดินแดนที่เรียกว่าเป็นศูนย์กลางจำหน่ายหนังแผ่นมากที่สุด ก็ยังไม่พบเจอ ทั้งร้าน J Big และชิบูญ่า ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าหมดไปนานแล้ว และเคยนำมาจัดรายการก็ไม่เห็นมีใครสนใจ มิพักต้องไปออกแรงหาหนังเรื่องอื่นๆ ของเขา เพราะทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวมาก็ถือว่าเป็นหนังที่ดังที่สุดของเขาแล้ว ยังหาซื้อไม่ได้เลย แต่เดชะบุญผู้เขียนไปได้ Days of Being Wild มาได้จากร้านเจบิ๊ค ที่คลองถม เขานำมาวางขายใหม่ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ของหว่องกาไว เกือบจะครบเซ็ท ขาดก็เพียงหนังเรื่องหลังๆ ของเขา และก็เรื่อง 2046 ยังตามหาไม่เจอ (คงหมดลิขสิทธิ์ไปแล้ว สำหรับตัวแทนจำหน่ายในบ้านเรา หากอยากได้ต้องสั่งซื้อจากเมืองนอกเข้ามา) นี่แหละหนอเวลาไม่เห็นคุณค่าของอะไรซักอย่าง แม้วางรวมอยู่ในกองเดียวกันยังเมินเลย แต่เวลาเป็นของมีค่าอยากจะได้มาเชยชม ต้องควานหาแทบพลิกแผ่นดิน เข้าเรื่องดีกว่า

Days of Being Wild เมื่อครั้งที่เคยได้ชมตอนสมัยมาลงโรงฉายในบ้านเรา ดูแล้วก็เฉย ๆ กับพล็อตเรื่องและก็บทหนังที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกหรือติดใจอะไรนักหนา แต่ที่ชื่นชอบคงเป็นที่นักแสดงในเรื่องหลายคนเป็นนักแสดงที่เราชื่นชอบ และก็เล่นส่งบทกันได้ดีทุกคน โดยเฉพาะที่โดดเด่นมากก็คือเลสลี่จาง เฮียแกเล่นหนังแนวนี้ได้ดีกว่าหนังแนวกำลังภายในมาก ชื่นชอบทั้งในเรื่องโหดเลวดี Farewell to My Concubine และก็ Happy Together มากกว่าในโปเยโปโลเย แต่ไม่คาดคิดว่าบรมครูผู้กำกับอย่างหว่องกาไว แกจะมาเหนือเมฆ แกวางโครงเรื่องนี้ (Days of Being Wild) ให้เป็นธีมหลักเพื่อเดินเรื่องเล่าในอีกแบบต่อๆ มา ยัง In the Mood for Love และก็ 2046 เมื่อดูไตรภาคของ 3 เรื่องนี้แล้วกลายเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ภาค 2-3 เปลี่ยนคนเล่าเรื่องจาก ยกไจ๋ (เลสลี่จาง) มาเป็นเล่าผ่านโจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) แทน และตัวละครอย่างโจวมู่หวันก็มีไปโผล่แซมๆ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก่อนแล้วในภาคแรกคือ Days of Being Wild นี่คือชั้นเชิงขั้นเทพทีเดียว เราเคยได้รับความรู้สึกดีๆ จากหนังไตรภาคแบบนี้สักกี่เรื่อง สำหรับผู้เขียนเคยได้รับจาก Infernal Affairs มาก่อนแล้วด้วย อยากจะบอกว่าถ้าใครอยากจะเห็นการแสดงที่ดีที่สุดของนักแสดงแถวหน้าของเอเซีย และก็เทียบชั้นการแสดงในระดับฮอลลีวู้ด จะต้องชมภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้แหละ และการดูก็อย่าไปทำความเข้าใจหนังให้มันละเอียดทุกซอกทุกมุมมากเกินไปเลย จับพล็อตจับประเด็นให้ถูกเป็นพอ เชื่อว่าส่วนที่เหลือ เราจะได้ดื่มด่ำกับบทเพลง การกำกับภาพ องค์ประกอบศิลป์ ฉาก เครื่องแต่งกาย การแสดงสีหน้าอารมณ์ของนักแสดง แค่นี้ก็อิ่มเอม คุ้มเกินพอแล้ว อยากจะบอกว่าถ้าคุณเป็นนักดูหนังจีนตัวยง แต่คุณพลาดหนังทั้ง 3 เรื่องนี้แล้วหล่ะก็ คุณยังไม่ใช่แน่ๆ และคุณกำลังพลาดหนังจีนดีๆ ในรอบ 20 ปีไปเลยทีเดียว

ผู้เขียนมักติดนิสัยการดูหนังแล้วมามองย้อนดูตัวเองเสมอ แต่ชีวิตตัวเองไม่ได้โลดโผน ตื่นเต้นหรือมีสาระอะไร ดังนั้นจึงขอนำไปเปรียบเทียบกับบรรยากาศการเมืองในบ้านเราดีกว่า ขอเปรียบเทียบยกไจ๋ จากเรื่อง Days of Being Wild เป็นอดีตนายกฯ คุณทักษิณ แกก็เป็นคนที่มีปมลึกในใจ (ไม่รู้ว่าปมอะไรนะ) แกก็เลยทำร้ายทำลายคนที่แกเคยรักซะทุกคนเลย คนที่เคยรักแกเตือนแกก็ไม่ฟัง (สนธิ,จำลอง) แต่แกจะฟังคนที่มาปอกลอกเอาผลประโยชน์จากแก มาป้อยอเอาอกเอาใจ เลียแข้งเลียขา แบบนี้แกจะฟัง เสร็จแล้วแกก็สร้างเรื่องราวต่างๆ เอาไว้มากมาย เปรียบเสมือนนกไร้ขาในเรื่อง ที่โบยบินไปเรื่อยๆ หาทางลงไม่ได้ เมื่อไหร่ที่แกจะลง นั่นก็คือแกตายแล้ว หรือแกต้องตายนั่นแหละ (อุ๊ย อันนี้ไม่ได้แช่งนะ พูดตามเนื้อหาเรื่อง Days of Being Wild) ส่วนอีกคน คือ โจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) จากเรื่อง In the Mood for Love และ 2046 เปรียบเทียบเป็นคุณอภิสิทธิ์ อดีตนายกฯ อีกคนจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีบุคลิกหวนคิดคำนึงแต่เรื่องราวในอดีต อันแสนหวาน (เมื่อครั้งเป็นนายก และดูดดื่มกับศิริโชค) กับความเจ็บปวด (พวกพันธมิตรและการโหวตโน) ยังคงคิดถึงห้องทำงานหมายเลข 2046 ในตึกไทยคู่ฟ้า และบ้านพิษณุโลก ผ่านรถไฟสายแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่เจ๊งไม่เป็นท่า เอ๊ยไม่ใช่ หมายถึงรถไฟสายอดีต ที่นั่งย้อนเวลากลับไปหาอดีตหรืออนาคตก็ไม่รู้ ชักสับสนในตัวเอง เหมือนตัวละครโจวมู่หวัน ในเรื่อง In the Mood for Love และ 2046 ซึ่งขอทิ้งทายไว้ด้วยไดอะล็อค บทพูด วรรคทอง เด็ดๆ ของหนัง 2 เรื่องนี้ไว้ดังนี้

“การที่รักแล้วต้องเจ็บปวด และบาดแผลจากความรักที่ไม่มียาใดรักษาได้ แม้แต่เวลาที่ว่า รักษาได้ทุกอย่าง หัวใจที่แตกสลายก็ยังเป็นข้อยกเว้น”

“คนสมัยก่อนเวลาเขามีความลับสำคัญที่ไม่อยากให้ใครรู้ พวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้น ...เจาะรูบนต้นไม้ และกระซิบบอกความลับทั้งหมดของตัวเองลงไป เสร็จแล้วก็เอาดินเหนียวอุดรูไว้ ความลับของเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

"ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน"

ที่มา : ถอดความบางส่วนจากบทความของคุณสุทธากร สันติธวัช,คุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์,คุณ merveillesxx และบทความ เดียวดายอย่างโรแมนติก โลกของหว่องกาไว ในนิตยสารไบโอสโคป


วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผีหลอกคน หรือ คนนั่นแหละที่ชอบหลอกผี

เรื่องของผีๆ ที่คนชอบยุ่ง


ผีหลอกคน หรือ คนนั่นแหละที่ชอบหลอกผี


ขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนเอง ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการดูหนังผี หรือเป็นคอหนังผีอะไร และก็ไม่ใช่หนังในหมวดที่ผู้เขียนเองชื่นชอบดูนัก แต่ถึงกระนั้นก็มีประสบการณ์ผ่านการดูหนังผีมาเยอะพอสมควร อันเนื่องมาจากเป็นภาพยนตร์ในหมวดยอดนิยม และมีปริมาณหนังที่ผ่านตามามากมายจริงๆ แม้ว่าตัวผู้เขียนจะเลือกดูเป็นบางเรื่องที่โด่งดังจริงๆ แล้วนั้น จึงไม่จัดว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังผีก็แล้วกัน แต่ที่ถือวิสาสะมาเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะเหตุว่าระยะหลังได้มีโอกาสซื้อหาหนังผีมาดูหลายเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้สังเกตว่ามันเป็นหนังผี หรือไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันเป็นหนังผี แต่ชอบพล็อตของเรื่องหรือประเด็นที่หนังต้องการสื่อ ซึ่งมีมุมมองในแบบดราม่าเสียด้วยซ้ำ ผีเป็นเพียงพาหะหรือตัวเชื่อม ศูนย์กลางของเรื่องที่นำพาเราเข้าไปสู่ประเด็นของหนังที่ต้องการจะสื่อแค่นั้นเอง บางเรื่องผีเป็นตัวเล่าเรื่องให้เราดูติดตามไป ส่วนความน่าสะพรึงกลัวเป็นเพียงบรรยากาศของเรื่อง เอ็ฟเฟ็คท์ ส่วนประกอบของหนัง หรือองค์ประกอบที่จำเป็นต้องมีในหนังประเภทนี้เท่านั้น ที่สำคัญมันมีประเด็นในหนังที่ซ่อนอยู่ และผู้เขียนคิดว่ามีมุมมองที่น่าสนใจ น่าจะเอามานำเสนอเท่าที่อยากจะถ่ายทอดดังนี้

จำไม่ได้แล้วว่าหนังผีเรื่องแรกที่ผู้เขียนเคยดู ได้รับชมเป็นเรื่องแรกในชีวิตเป็นเรื่องอะไร โดยเฉพาะหนังผีต่างประเทศ แต่ถ้าเป็นหนังผีไทยก็น่าจะเป็นเรื่องแม่นาคพระโขนง จัดอยู่ในกลุ่มแรกๆ ที่ผู้เขียนได้รับชม แล้วยังมีประเภทละครทีวีก็น่าจะเป็นพวกปอบผีฟ้า ห้องหุ่น และก็ผีกระสือ แต่ละเรื่องน่ากลัวในระดับที่บางวันภาพติดตาจนนอนไม่ค่อยหลับก็มี อะไรทำนองนี้ และเมื่อสมัยก่อนจะมีรายการหนังผีตอนช่วงดึกคือหลังเที่ยงคืน ชื่อรายการช็อกซีนีม่า ที่จะนำเอาหนังผีต่างประเทศมาฉาย ถ้าจำไม่ผิดรายการนี้อยู่ทางช่อง 7 นี่แหละ ซึ่งผู้เขียนเองไม่ค่อยได้ดูหรอก ยกเว้นมีเหตุให้ต้องนอนดึกก็อาจนั่งดูเป็นเพื่อนพี่ชายไปด้วยโดยไม่รู้ตัว


หนังผีในยุคแรกๆ ที่เข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราที่ผู้เขียนจำได้น่าจะเป็นพวกมนุษย์หมาป่า แฟรงเค่นสไตน์ ท่านเคาน์แดร็กคูล่า กล่มนี้จะมีการสร้างออกมาหลายเวอร์ชั่นมาก แต่สร้างออกมาฉายทีไรก็ยังดูสนุกทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องและเดาทางของหนังได้หมด แต่ก็ยังดูสนุกอยู่ดี เพราะเทคนิคการถ่ายทำตลอดจนวิธีการนำเสนอ และบรรยากาศของหนังพาไป ถ้าจะนับหนังผีที่ผู้เขียนได้ดูจริงๆ ในโรงภาพยนตร์น่าจะอยู่ในยุค 80’sท้ายๆ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Bram Stoker’s Dracula , The Lost Boys, A Nightmare on Elm Street (นิ้วเขมือบ) หลายภาค, Fright Night, Ghostbusters, Poltergeist, Betlejuice , Interview with the Vampire, The Addam Family, Evil Dead, The Return of the Living Dead (ผีลืมหลุม), From dust till dawn เป็นต้น ในกลุ่มแรกๆ ที่ดู ยังมีหนังผีขึ้นหิ้งได้รับการยอมรับในวงการภาพยนตร์ว่าขึ้นชั้นคลาสสิคนั่นก็คือ The Exorcist ผู้เขียนก็มีโอกาสได้ดูเมื่อตอนเป็นวีดีโอแล้ว หรือมาฉายทางทีวี ส่วนทางฟากฝั่งเอเชียก็ไม่น้อยหน้า มีหนังผีในยุคแรกๆ ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ชมบ่อยก็ตระกูลผีกัดอย่ากัดตอบ ,โปเยโปโลเย เป็นต้น

หนังผีในยุคต่อมาซึ่งผู้เขียนขอเรียกว่าเป็นยุค 2000 ก็แล้วกัน คือกลางเก่ากลางใหม่ พวกนี้จะเริ่มมีพล็อตมีประเด็นของหนังที่น่าสนใจ มีวิธีการนำเสนอแปลกๆ อย่างเช่น ในกลุ่มของ The Six Sense ,The Others ,Resident Evil , UnderWorld ,The Blair Witch Project, The Haunting, Twilight ,Zombieland, Paranormal Activity ,Let the right one in ในฟากฝั่งของเอเชีย ก็จะมีพวก Ju-On, Kairo(Pulse) ,The Ring ,A Tale of 2 sisters ที่เป็นผู้ปลุกกระแสหนังผีเอเซียขึ้นมา

ทางด้านหนังผีไทย ผู้เขียนคิดว่าก็มีวิวัฒนาการมาอย่างน่าสนใจไม่แพ้หนังผีต่างประเทศ ในยุคแรกก็เช่นบ้านผีปอบ สร้างมาสิบกว่าภาค จัดเป็นหนังไทยที่มีจำนวนภาคมากที่สุดก็ว่าได้ นอกจากนี้ก็มีแม่นาคพระโขนง หลายเวอร์ชั่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังเกรดบี ต่อมาเมื่อคุณนนทรี นิมิบุตรได้นำบทประพันธ์แม่นาคมาปัดฝุ่นและทำการสร้างใหม่ในรูปลักษณ์ อัตลักษณ์และวิธีคิด ตีความใหม่ที่มีการตกผลึกแล้ว เป็นเวอร์ชั่นใหม่ชื่อ นางนาก ได้ปลุกกระแสหนังผีของบ้านเรากลับมาใหม่ หลังจากนั้นเกิดกระแสสร้างหนังผีตามกันออกมามากมาย อาทิ หนังผีในยุคเดียวกันนี้ ได้แก่ ของอ็อกไซด์แปง เช่น The Eye, ปอบหวีดสยอง , 333 กลัว กล้า อาฆาต ,ผีสามบาท ,วิญญาณ อาถรรพ์ อาฆาต ,ขุนกระบี่ ผีระบาด,ผีหัวขาด, เป็นชู้กับผี,ผีคนเป็น,ผีจ้างหนัง,ผีช่องแอร์,รถไฟผี, ผีเลี้ยงลูกคน,ตายโหง ฯลฯ

ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยหลายคนในบ้านเราแจ้งเกิดหรือมีผลงานมาสเตอร์พีซจากหนังผีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุดม อุดมโรจน์  จากคู่แท้ 2โลก หรืออย่างต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค จาก บุปผาราตรี ,กระสือวาเลนไทน์ ,โกยเถอะเกย์ ,คุณต้อมเป็นเอก รัตนเรือง ก็มีนางไม้ ,คุณวิศิษฐ์ ศาสนเที่ยงมี เป็นชู้กับผี

ทีนี้มาถึงเจ้าแห่งหนังผีในยุคปัจจุบันต้องยกให้ GTH ต้นตำรับหนังผีแบบมีพล็อต และมีประเด็น หนังผีที่แจ้งเกิดทั้งตัวผู้กำกับและแจ้งเกิดค่าย GTH ก็คือ เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ,และต่อมาก็มี body ศพ 19, เด็กหอ, สี่แพร่ง, ห้าแพร่ง, แฝด,โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต, และก็ผลงานล่าสุดลัดดาแลนด์ สาเหตุที่ทำให้หนังผีของค่ายนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และรางวัลหรือ ได้ทั้งเงินและกล่องก็คือมีพล็อตเรื่องทีดี มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทีมงานเก่ง วิธีการนำเสนอ ถ่ายทำดี มุมกล้อง ภาพสวย ที่สำคัญคือการตลาดและสร้างกระแสให้กับตัวหนังได้เก่ง ใช่ว่าจะมีแต่ gth ที่ทำหนังผีได้ดี ค่ายอื่นๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน อาทิ RS ประสบความสำเร็จจากผีสามบาท แฟนเก่า แฟนใหม่,ผีคนเป็น ค่ายสหมงคลฟิมล์ ก็มีอาทิ หนังยุทธเลิศ กลุ่มเปิ้ลหอย ก็สร้างสาระแนเห็นผี ,ผีจ้างหนัง ค่ายพระนครฟิมล์ ก็มี ศพเด็ก 2002

จึงขอสรุปวิวัฒนาการของหนังผีให้เห็นแบบคร่าวๆ ได้ดังนี้ หนังผีในยุคแรกหรือยุคบุกเบิกนั้น ก็คือย้อนไปสมัย 50-60 ปีก่อนนั้น หนังผียุคนั้นจะออกแนวน่ากลัวจริง ซีเรียสจริงจังมาก เวลาผีปรากฏตัวออกมาก็จะเป็นช่วงไคลแม็กซ์ อารมณ์ร่วมจึงเกิดเยอะ และจะมีอารมณ์เดียวคือน่ากลัว อย่างเช่น The Exorcist , Amen , Bram Stoker's Dracula ,Psycho เป็นต้น

หนังผียุคต่อมาเรียกว่าย้อนหลังไปซัก 20-30 ปีมานี้ แนวทางได้เปลี่ยนไปแบ่งเป็น 2 แนวทาง แนวทางแรก มีมุกแบบอารมณ์ขันแทรกเข้ามาที่ทั้งต้วละครที่เป็นคนหรือแทรกเข้าไปในตัวผีนั่นแหละ บางครั้งนำผีมาเป็นตัวร้ายหรือบางทีก็เป็นตัวตลกก็มี อาทิ The Addam Family, Zombieland , Resident Evil,  Underworld  ,ผีกัดอย่ากัดตอบ, โปเยโปโลเย เป็นต้น


หนังผีในแนวทางที่ 2 เป็นแบบ นำผีมาเป็นตัวแทน เป็นสื่อกลางเพื่อสื่อถึงจิตใจมนุษย์ เป็นเหยื่อของมนุษย์ หรือมีความรักกับมนุษย์ เช่น กลุ่มของ The Six Sense, The Others, The Blair Witch Project ,Twilight ทั้ง 3 ภาค ,เป็นชู้กับผี ,นางนาก เป็นต้น

หนังผีในยุคปัจจุบันมาในรูปแบบของดราม่า หรือไม่ก็เป็นเรียลลิตี้โชว์มากขึ้น เช่น Paranormal Activity , ลัดดาแลนด์ ,The Amityville Horror

บางครั้งเราจึงหวนกลับมาคิดว่าบางทีผีที่อยู่ในหนังไม่น่ากลัวเท่ากับคน ซึ่งเป็นต้นตอสาเหตุที่ทำให้วิญญาณของผีอยู่ไม่สุขก็เป็นไปได้ เช่น ในนางนาก บุปผาราตรี หรืออย่างใน Twilight ตัวละครที่เป็นคน (นางเอก)ในเรื่องก็เป็นสาเหตุให้ผี 2 ตัว คือแวมไพร์กับหมาป่า มาลงชอบหัวปักหัวปำ ถึงขนาดแย่งชิง แล้วใจเธอก็ประดุจนางวันทอง ว่าจะหันไปรักใครดี ถ้าไปชอบฝั่งไหน อีกฝั่งก็จะเป็นทุกข์ ไม่น่าเชื่อว่าผีจะอกหักเป็นด้วย และก็โดนคนหลอกจนได้ เราจึงสรุปได้ว่าผีไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่หรอก คนต่างหากที่น่ากลัว ตราบใดที่คนหรือมนุษย์ยังมีความโลภ โกรธ หลง มีกิเลสไม่สิ้นสุด ผีใดๆ ก็ไม่สู้จิตใจมนุษย์หรอก ยกเว้นมีผีอยู่ประเภทนึงน่ากลัวมาก นั่นคือผีขนุนที่โผล่ออกมาจากพุ่มต้นไม้ เวลากลางคืน ทำเอาตกใจได้เหมือนกัน แต่ก็เห็นใจ ผีขนุนก็มีหัวใจและก็ต้องทำมาหากินเหมือนกับมนุษย์อื่นๆ ทั่วๆ ไป อันนี้ต้องให้อภัย แต่ที่ให้อภัยไม่ได้ก็คือผีพนันและผีนักการเมืองที่กินบ้านกินเมือง และไม่ยอมตายเสียที คือพวกนี้มีลักษณ์คล้ายซอมบี้คือฆ่าไม่ตาย ตายยาก เราจึงได้แต่สาปแช่ง อโหสิกรรมและกรวดน้ำไปให้เท่านั้นเอง


ใบปิด,โปสเตอร์หนังของยุค 80's อันโด่งดัง




วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Renovate ,Re-Branding, Re-Positioning ศูนย์การค้า ตอนที่ 1


ภาพลักษณ์กรุงเทพฯ เมืองหลวงแห่งย่านช็อปปิ้งและศูนย์การค้า



การเพิ่มขึ้นของประชากรในกรุงเทพฯ ซึ่งเกิดจากการอพยพเข้ามาของประชากรจากต่างจังหวัดเข้าสู่เมืองหลวง หรือการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยว ถูกส่งมาทำงาน หรือหลบหนีมาอาศัยทำมาหากินในประเทศไทย ทั้งหลายเหล่านี้คือที่มาที่ทำให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ ซึ่งรวมถึงจังหวัดบริวารของกรุงเทพฯ รอบๆ ด้วย (ได้แก่ สมุทรสาคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ธนบุรี) ทำให้กรุงเทพฯ ติดอันดับมหานครที่แออัดและมีประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกเหนือจากนี้กรุงเทพฯ ยังถูกจัดอันดับเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก จากการจัดอันดับและผลโหวตล่าสุดของสมาชิกนิตยสาร เทรเวล แอนด์ เลชเชอร์ (Travel & Leisure) นิตยสารด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ปีล่าสุด และเคยได้รับรางวัลนี้มาแล้วถึง 3 ปีซ้อน กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่มีความเป็นวาไรตี้มากที่สุด คือมีทุกอย่างครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย มีย่านการค้าที่ทันสมัย มีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเริงรมย์ สถานบันเทิงในแบบสถานโลกีย์กลางคืน เป็นศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาล มีโรงพยาบาลที่ทันสมัย มีสถานที่จัดประชุม สัมมนา พื้นที่จัดแสดงสินค้ามากมายใหญ่โต หลายแห่ง มีโรงมหรสพชั้นดี เช่น โรงภาพยนตร์ทันสมัย โรงละครขนาดใหญ่ได้มาตรฐาน มีสวนสนุกขนาดใหญ่ สวนน้ำ หรือสวนสัตว์ขนาดใหญ่ มีแหล่งที่พักอาศัยชั้นดี ประเภทโรงแรม 5-6 ดาว จำนวนมาก,มีเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ คอนโดมิเนียมที่พักอาศัยชั้นดี มีร้านอาหารชั้นดี แหล่งช็อปปิ้งตั้งแต่ระดับไฮเอ็นด์จนถึงตลาดสดติดแอร์ มีระบบการธนาคารดีเยี่ยม สถาบันการเงินชั้นนำ มีตลาดหุ้นทันสมัย เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ส่งออก จึงเป็นประเทศที่มีรถยนต์ใหม่ป้ายแดง ขับเล่นกันเกลื่อนเมืองรวมถึงรถยนต์หรูหราราคาแพง มีสถานศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นดีมากมาย รวมถึงเป็นเมืองหลวงที่มีห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ หรือศูนย์การค้าทันสมัยผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด มีแทบจะทุกมุมเมือง เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีสินค้าตั้งแต่แบรนด์เนมระดับโลกจนถึงสินค้าแบกะดิน หรือสินค้าก็อปปี้ สินค้าจีน ฯลฯ

ไม่รู้ว่าไก่กับไข่อะไรมาก่อนกัน ระหว่างความเป็นวาไรตี้ของกรุงเทพฯ จึงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาสู่มหานครแห่งนี้ หรือการเพิ่มขึ้นของประชากรที่มีจำนวนมากนำมาซึ่งกำลังซื้อมหาศาล จึงเป็นแรงดึงดูดของทุกธุรกิจ ทุกชนิดสินค้าหรือบริการ ใช้กรุงเทพฯเป็นตลาดสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิกาคแห่งนี้ ที่เกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อที่จะนำเสนอความเป็นมหานครของกรุงเทพฯ ที่มีย่านช็อปปิ้งหรือศูนย์การค้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความคึกคักอย่างมาก และกิจกรรมทางการค้าสูงตามจำนวนประชากรที่มีอยู่

ศาสตร์ของฮวงจุ้ยได้ถูกนำมาใช้ในการวางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับตัวสถานที่ตั้งของย่านการค้าและศูนย์การค้าด้วย ซึ่งความเชื่อของฮวงจุ้ยที่มีที่มาจากประเทศจีนนั้น เชื่อว่าถ้ามีการจัดวางฮวงจุ้ยดี ปริมาณเงินและการค้าบริเวณนั้นย่อมดีตามไปด้วย และถ้าจะจัดอันดับย่านการค้าที่มีกำลังซื้อสูงหรือเป็น prime area ที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ คงต้องยกให้ย่านนับตั้งแต่สี่แยกปทุมวัน ผ่านไปทางสี่แยกราชประสงค์ ไปจนจรดสี่แยกเพลินจิต ที่ปัจจุบันเรียกบริเวณตรงนั้นว่าช็อปปิ้งสตรีทของกรุงเทพฯนั่นเอง คล้ายๆ ถนนนาธานของฮ่องกง หรือถนนออร์ชาร์ดของสิงคโปร์ บนถนนพระราม 1 จรดถนนเพลินจิตตลอดแนวถนนเป็นบริเวณที่ตั้งของศูนย์การค้าขนาดใหญ่และทันสมัยจำนวนมาก อาทิ มาบุญครอง สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ สยามพาราก้อน เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า เกสรพลาซ่า อัมรินทร์พลาซ่า เซ็นทรัลชิดลม และที่กำลังจะเปิดตัวในอีก 2 ปีข้างหน้าก็คือเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ ตรงสี่แยกราชประสงค์เป็นแหล่งของทวยเทพมากมายของฮินดู จึงทำให้ย่านนั้นนอกจากเป็นย่านการค้าแล้วยังเป็นย่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยในตัว มีผู้คนไปสักการบูชากราบไหว้เทพต่างๆ ที่เคารพกัน นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่มีโรงแรม ออฟฟิซบิลดิ้ง และคอนโดระดับ 5 ดาว อยู่เป็นจำนวนมากด้วย ในอนาคตย่านการค้าที่จะมีศักยภาพในระดับเดียวกับย่านราชประสงค์เพลินจิต ยังขยายตัวไปในหลายปริมณฑล หรือทุกมุมเมือง อาทิ ย่านการค้าแถบบางนา ย่านการค้าแถบงามวงศ์วานและศูนย์ราชการ ย่านการค้าแถบถนนรัชดาห้วยขวางพระราม 9 ย่านการค้าแถบฝั่งธนปิ่นเกล้า ย่านการค้าแถบพระราม 2 ย่านการค้าแถบรังสิต ย่านการค้าแถบสุขุมวิท เป็นต้น

กลยุทธ์ Renovate สถานที่,การ Re-Branding, Re-Positioning

ในช่วง 5-6 ปีมานี้รวมถึงที่จะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สมรภูมิรบทางด้านห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า moderntrade ,convenience store จะร้อนระอุอย่างรุนแรงทีเดียว เพราะร่องรอยของการต่อสู้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง การก้าวเข้ามาของห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าแห่งใหม่ในแต่ละพื้นที่สร้างผลสั่นสะเทือนต่อคู่แข่งที่มีอยู่เดิม ทำให้ต้องปรับตัวหรือตั้งรับที่จะปกป้องฐานลูกค้าของตนเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ถูกช่วงชิงไปจากคู่แข่งผู้มาใหม่จำนวนมาก กรณีของห้างมาบุญครอง เป็นต้นแบบของการ Renovate ห้างตัวเองจนประสบความสำเร็จมาแล้ว เมื่อตอนที่ห้างสยามดิสคัฟเวอรี่ กับสยามพาราก้อนกำลังจะมาเปิดใกล้ๆ ห้างของตัวเอง เกิดการ Renovate กันขนานใหญ่ของห้างสรรพสินค้าบริเวณนั้น รวมไปถึง การ Renovate ห้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ตรงสี่แยกราชประสงคของกลุ่มเซ็นทรัล จนเปลี่ยนเป็นห้างใหม่ที่ชื่อว่า เซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงการ Renovate ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลมใหม่ เมื่อตอนที่ห้างเอ็มโพเรี่ยม มาเปิดใหม่ๆ ทั้งที่ตัว area อยู่ไกลกันพอสมควร แต่เนื่องจากจับลูกค้ากลุ่มเดียวกัน และตัวสถานที่ถือว่าไม่ไกลกันมาก คือห่างกันแค่ 4 สถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น , การมาของห้างเซ็นทรัลพลาซ่าสาขารัตนาธิเบศร์ กับเซ็นทรัลงามวงศ์วาน ถึงกับทำให้เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ต้อง Renovate ห้างตัวเองใหม่หมด ,การมาของ Mega bangna และ อี้อู แฟคตอรี่เซ็นเตอร์ หรืออี้อูโมเดล ก็ทำให้เซ็นทรัลบางนา และ อินเด็กลิฟวิ่งมอลล์ สาขาบางนา ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่เพื่อตั้งรับการรุกคืบของห้างใหญ่ที่รุกเข้ามาใหม่ , การเปิดตัวของ Paradise Park ที่เกิดจากการ Renovate ห้างเสรีเซ็นเตอร์เดิม ก็สร้างความสั่นสะเทือนให้ซีคอนสแควร์ จนต้องมีการปรับปรุงห้างบางส่วน จัดอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้งเพิ่มขึ้น

บริเวณสมรภูมิย่านการค้าประตูน้ำเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างที่น่าสนใจ ที่มีทั้งห้างที่กำลังเปิดใหม่ เลยก็คือ platinum phrase 2 ห้างที่เปิดใหม่ภายหลัง Renovate อย่างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ราชดำริ zen ใหม่ภายใต้เซ็นทรัลเวิลด์ ประตูน้ำเซ็นเตอร์ภายหลัง Renovate ใหม่ และที่กำลังก่อสร้างอยู่อีกหลายโครงการบริเวณนั้น ทำให้ห้างเก่าอย่าง pantip plaza เดิมที่ไม่เคยเดือดร้อนเลย กับสภาพการแข่งขันบริเวณนั้น อาจต้องถึงเวลา Renovate ห้างของตนเองแล้ว เพราะด้วยตัวอาคารที่เก่า สถานที่จอดรถไม่เพียงพอ แม้ว่าจะ position ตัวเองเป็น IT center ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีคู่แข่งโดยตรงก็ตาม แต่ในอนาคตหากไม่ปรับปรุงสถานที่ก็อาจถูกแย่งกำลังซื้อทางอ้อมให้กับห้างสรรพสินค้าต่างๆ บริเวณนั้นจำนวนมาก ยังมีพื้นที่ว่างบริเวณสวนลุมไนท์บาซาร์เดิมหรือโรงเรียนเตรียมทหารเดิม ก็กำลังรอกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาพัฒนาเป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่อีก

การกลับมาด้วยรูปโฉมไฉไลใหม่ของเซ็นทรัลลาดพร้าวภายหลัง Renovate ใหม่ทั้งหมดย่อมยังผลสะเทือนไปถึงศูนย์การค้าใกล้เคียงบริเวณนั้นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น jj mall , union mall ,บิ๊กซีลาดพร้าว รวมถึงเดอะมอลล์บางกะปิ ซึ่งก็มีการ renovate ด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นสมรภูมิรบเดียวกัน  จับตากลุ่มทุนเบียร์ช้างหรือคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่แอบสะสมพื้นที่ทำเลทองจำนวนมากหรือไปซื้อห้างเก่าในอดีตไว้มากมาย เช่น บางลำภู พาต้า เมอร์รี่คิงส์ ทั้งในส่วนฝั่งธน และบริเวณพระนครจำนวนมาก รวมถึงล่าสุดซื้อร้านหนังสือในเครือ asia book รอวัน Renovate เป็นห้างใหม่หรือ outlet และที่ทำไปแล้วคือ พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วาน และ Digital Gateway ตรงบริเวณสยามเซ็นเตอร์พ้อยท์เดิม ซึ่งทำเป็น IT mall ซึ่งอนาคตก็เป็นอีกกลุ่มทุนนึงที่มีศักยภาพในการทำห้างค้าปลีก อีกกลุ่มทุนนึงที่กำลังกระโดดลงมาในเวทีค้าปลีกอีกเจ้านึงก็คือกลุ่มอัศวโภคิน ที่ทำห้าง Home Pro เดิม เปิดตัวห้างใหม่ Terminal 21 บริเวณอโศก ที่น่าจับตา ทำให้ห้างดิเอ็มเรี่ยมของกลุ่มเดอะมอลล์ต้องมีการขยับขยาย เพื่อต้อนรับสมรภูมิการค้าอันดุเดือดบนถนนสุขุมวิท

คำว่า  Renovate หมายถึง การซ่อมแซม ปรับปรุง ต่อเติม บูรณะ ปฏิสังขรณ์ ทำใหม่ให้มีชีวิตชีวา พัฒนาให้ดีขึ้น
กลยุทธ์การ Renovate จะทำต่อเมื่อ

-มีคู่แข่งรายใหม่ที่ใหญ่กว่ามาเปิดตัว แย่งชิงพื้นที่ แย่งชิงลูกค้า ในปริมณฑลเดียวกันกับเรา

-ต้องการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ บรรยากาศของตัวสถานที่ สร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับกลุ่มลูกค้า บางครั้งอาจทำไปพร้อมๆ กับการ Re-Branding เช่น กรณีของห้างตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี ภายหลัง Renovate ห้างใหม่ ก็เปลี่ยนชื่อห้างเป็น T-Square เลย เน้นลูกค้าที่มีกำลังซื้อในย่านนั้น

-ต้องการปรับเปลี่ยนฐานลูกค้าเป็นกลุ่มใหม่ หรือโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น ที่เรียกว่า Re-Positioning เช่น กรณีของการ Renovate,Re-Branding,Re-Positoning จากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์มาเป็น เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ๋า เป็นการเปลี่ยนแบบไม่เหลือสภาพเดิมและยกระดับ upgrade ขึ้นไปเลย หรืออย่างกรณี Paradise Park เปลี่ยนจากห้างเสรีเซ็นเตอร์เดิมก็ใช่

ยังมีอีก 2 กระแสที่น่าจับตามองของรูปแบบย่านการค้าที่กำลังปรับตัวขนานใหญ่ นั่นก็คือ 1 กระแส moderntrade ทันทีที่บิ๊กซีไปเทคโอเวอร์คาร์ฟูร์มาได้สำเร็จ จนทำให้ขนาดของธุรกิจไปใกล้เคียงกับคู่แข่งเบอร์ 1 อย่างเทสโก้โลตัส ก็เกิดการสัปประยุทธ์ด้านสงครามโปรโมชั่นต่อกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ จนเป็นคดีฟ้องร้องกันขึ้น การรุกเงียบของร้าน 7-11 ขยายตัวอย่างมากและต่อเนื่อง ทำให้ทั้งเทสโก้โลตัสและท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ตต้องกระโดดลงมาในสมรภูมิ convenience store ด้วย โดยมาในรูปแบบย่อขนาดลงมาเป็นขนาดมินิ ที่เรียกว่า โลตัสเอ็กซ์เพรส ในขณะที่บิ๊กซีกับกระโดดไปในไลน์บนคือจะไปทำsuperstore แบบ wholesales หรือขายส่งแข่งกับ Makro ใช้ชื่อบิ๊กซีจัมโบ้ ดังนั้นสมรภูมินี้จึงกลายเป็นช้างชนช้าง ในแบบ กลาง ล่าง บน ใครขยับไปทางไหนเป็นต้องฟันกันเลือดสาด ส่วนกระแสที่ 2 แม้เป็นกระแสใหม่ที่ไม่ใช่กระแสหลักเหมือนอย่าง ห้างหรือ convenience store แต่กำลังจะเป็นกระแสของอนาคต และในอนาคตก็อาจทำให้รายใหญ่กระโดดลงมาร่วมวงโคจรมากขึ้น นั่นคือ Community Mall ถ้าจะอธิบายแบบง่ายๆ และเข้าใจก็คือ เป็นพลาซ่าแบบเปิด เป็น open air มีกิจกรรมสันทนาการร่วมกันของชุมชน อาทิ เช่น J avenue, play ground ทองหล่อ , la Villa วิลล่ามาร์เก็ตเพลส ปากซอยอารีย์ พหลโยธิน,  ,trendy place หัวหิน และที่อื่นๆ โดยต้นตำรับซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ก็คือสยามฟิวเจอร์ดิเวลล็อปเม้นท์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็ก ซึ่งนับวันก็จะมีการเปิดในหลายๆพื้นที่ทุกมุมเมืองมากขึ้น เป็นย่านการค้าแนวอินดี้ ไม่ยึดติดกับรูปแบบมากนัก และก็มีพื้นที่ให้สันทนาการใกล้บ้าน และก็ไม่แออัด จัดเป็นห้างนอกกรอบที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบตายตัว สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ได้ตาม area แต่จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเป็นหลักเฉพาะย่านนั้นๆ

ข่าวการเปิดตัวคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ถึง 4 แห่ง เมื่อไม่นานมานี้

มร. ปรับ ทักราล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทบูทิค ผู้พัฒนาโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์แบรนด์ "เรนฮิลล์" ทำเลหัวมุมสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท 47 เปิดเผยว่า โครงการเรนฮิลล์ออกแบบเป็นอาคาร 5 ชั้นมีพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ทำเลตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์และทองหล่อ โดยเรนฮิลล์เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์เพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท อยู่ระหว่างหัวมุมถนนสุขุมวิทและซอยสุขุมวิท 47 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่อาศัยในย่านสุขุมวิท รวมถึงชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชุมชนชาวญี่ปุ่นที่พำนักในไทย  ล่าสุด บริษัทได้จัดพิธีลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการร่วมกับผู้เช่าพื้นที่ชั้นนำกว่า 25 ราย ตอกย้ำความเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในปลายปีนี้
“การเข้าร่วมในโครงการเรนฮิลล์ของพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นร้านค้าแบรนด์ดังๆ อาทิ โอ บอง แปง, ด็อท ไลฟ์, แม็กซ์แวลู ทันใจ, ไวน์ คอนเน็คชั่น เดลิ แอนด์ บิสโทร, โทราจิโร่, อิน เดอะ มู้ด ฟอร์ เลิฟ, เพนกวิน ไลค์ส ช็อกโกแลต, สวีท อิท ทิส, ส้มตำดอกรัก, ฮ่องกงคิทเช่น, พริมาดา, อาย ไบร์ท บาย ท้อปเจริญ, ยานกี แคนเดิล, คาสะ, เอเอสเอพี, พาร์, ดีล สแตน บาย หมี่, ฮิมแอนด์เฮอ, เนลแคร์, เบบี้ส์ จีเนียส, เฮาส์ ออฟ สลัด, คาซ่า เดอร์มา และไทย ฟอร์ คิดส์ ทำให้โครงการเรนฮิลล์กลายเป็นไลฟ์สไตล์ คอมมิวนิตี้มอลล์ ที่รวมร้านค้าหลากรูปแบบ"
โครงการเรนฮิลล์ ครอบคลุมพื้นที่ห้าชั้น มีร้านค้าให้บริการ แบ่งออกเป็น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 37% สถาบันการศึกษา 21% ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความสวยงาม 14% ร้านกาแฟและเบเกอรี่ 7% ซุปเปอร์มาร์เก็ต 5% แฟชั่น 10% และร้านค้าปลีกทั่วไป 6% ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ให้เช่าขนาดประมาณ 4,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยร้านค้ารวมทั้งสิ้น 40 ยูนิต โดยจะเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00-22.00น. โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในเรนฮิลล์เฉลี่ย 3,000 คน ต่อวัน (สำหรับจันทร์ถึงศุกร์) และ 5,000 คนต่อวัน (สำหรับเสาร์-อาทิตย์) แต่ละชั้นของอาคารได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นสัดส่วน โดยแบ่งเป็น ชั้น 1 จะเป็นโซนร้านกาแฟ เบเกอรี่ และไลฟ์สไตล์ทั่วไป ชั้น 2 เป็นโซนร้านเสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องประดับ และร้านอาหาร ชั้น 3 เป็นโซนร้านอาหาร สุขภาพและความงาม ชั้น 4 เป็นโซนเพื่อการศึกษา และชั้น 5 จะเป็นอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า และชั้น B1 และ B2 จะเป็นที่จอดรถ
นอกจากนี้ ตัวอาคารยังได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามปณิธานของเรนฮิลล์ตั้งแต่ริเริ่มแนวความคิด ทั้งการใช้พลังงานแบบรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน พร้อมกับระบบเครื่องปรับอากาศที่ใช้น้ำระบายความร้อน ซึ่งเป็นการลดมลภาวะทางความร้อนทางหนึ่ง ทั้งนี้แนวความคิดนี้จะถูกส่งต่อไปยังร้านค้าที่จะเข้ามายังเปิดภายในโครงการ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่ใส่ใจรายละเอียดแก่ส่วนรวมร่วมกัน
มร.ปรับกล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทบูทิคมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่จำนวน 8 แห่ง เป็นโครงการที่แล้วเสร็จ 6 แห่ง ภายใต้แบรนด์ Citadines และ Oakwood และอยู่ระหว่างดำเนินการ 2 แห่ง โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ 6 แห่ง มีจำนวน 715 ห้อง ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะขยายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ล่าสุด เราหันมาสนใจกลุ่มธุรกิจศูนย์รวมร้านค้า ด้วยการเปิดตัว เรนฮิลล์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 300-400 ล้านบาท

The Nine พระราม 9 ไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์แห่งใหม่

และแล้ว คอมมิวนีตี้มอลล์แห่งใหม่ ในย่านพระราม 9 ก็เปิดตัวขึ้นแล้ว ภายใต้ชื่อ The Nine Neighborhood Center หรือเรียกกันง่ายๆ ติดปากว่า The Nine พระราม 9 ด้วยกระแสของการรวมร้านกิน ร้านช๊อปมากมาย มาไว้ในพื้นที่กว้างใหญ่ และตกแต่งด้วยดีไซน์เก๋ๆ กำลังมาแรง ยกตัวอย่างเช่นโครงการ CDC ในเส้นเลียบทางด่วน หรือ The Circle ในย่านราชพฤกษ์ จึงทำให้กระแสการสร้างคอมมิวนีตี้มอลล์เติบโตตามไปด้วย และ น่าจะผุดขึ้นมาอีกหลายเส้นในอนาคตอันใกล้นี้
ภายใต้บรรยากาศทันสมัย สถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบ ภายใต้แนวคิด Tropical Village ที่ผสมผสานกันระหว่าง ความสถาปัตยกรรมที่มีมิติ และ ธรรมชาติ จึงทำให้สดชื่น และนำสมัย มีชีวิตชีวา เหมาะเป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ

โครงการ The Nine ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 14 ไร่ ที่สามารถเข้าออกได้หลายทาง อย่าง ทางด่วนพระรามเก้า ถนนพระรามเก้า ถนนรามคำแหง ถนนพัฒนาการ ถนนศรีนครินทร์ และโครงการยังอยู่ในแนว ของAirport Rail Link ที่จะเปิดดำเนินการในอนาคต

โครงการ The Nine แบ่งโซนทั้งหมดออกมาดังนี้
Zoning Concept
• Supermarket & Fresh Market
• Restaurant and Quick Service Restaurant Zone
• Community lifestyle Zone
• Lifestyle Café, Coffee Shop & Bakery Zone
• Lifestyle Service & Shopping Zone
• Edutainment Zone

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ทุ่มงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท เปิดตัวโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ภายใต้ชื่อ “SENA fest” ที่มีรูปแบบทันสมัย สะดวก ครบครัน ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคย่านสาทร-ธนบุรี ทั้งเป็นแหล่งช้อปปิ้ง และแหล่งนัดพบแห่งใหม่ เพื่อตอกย้ำแบรนด์เสนา ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างในนามของดีเวลลอปเปอร์มืออาชีพ ที่พัฒนาโครงการอย่างสร้างสรรค์ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดย SENA fest อยู่ที่ตั้งสุดยอดทำเลของ ถนนเจริญนครตัดกับสะพานตากสิน บนพื้นที่ขนาด 4 ไร่ 1 งาน มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 25,000 ตารางเมตร คอนเซ็ปต์ของโครงการเป็นรูปแบบอาคาร 4 ชั้น รองรับร้านค้าปลีก ร้านอาหารกว่า 120 ร้าน และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น สำหรับที่จอดรถ 300 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ

นางสาวเพ็ญศิริ ทองสิมา  กรรมการบริษัท และ นายโจนาธาน บาสซาจ ชวิมเมอร์  ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอส.ที. ธรรมพร จำกัด พร้อมด้วย นายอิศนันท์  วชิระธรรมา รองผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อ ธุรกิจขนาดใหญ่  นางสุรางค์ ธนัตถานนท์ ผู้อำนวยการฝ่าย รักษาการผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายธุรกิจบริการ  และ นายพิชิต ใจรักธรรม  ผู้จัดการสาขาบางขุนเทียน ธนาคารกรุงไทย ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเปิดตัวโครงการพาร์ค วิลเลจ พระราม 2 คอมมิวนิตี้ มอลล์ใหม่ล่าสุด แห่งแรกและแห่งเดียวในย่านพระราม 2 โดยมีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554


สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะรูปแบบใด เป้าหมายจุดประสงค์ก็คือการดึงคนให้เข้าไปในพื้นที่การค้านั้นๆ แล้วกระตุ้นด้วยกิจกรรมทางการตลาดทุกรูปแบบ เพื่อหวังดึงเงินในกระเป๋าของผู้มาเยี่ยมชมให้ซื้อสินค้าหรือเป็นลูกค้าให้ได้ ในปัจจุบันศูนย์การค้าในระดับเดียวกัน จับกลุ่มลูกค้าเดียวกัน เขาไม่ทำตัวเป็นศัตรูคู่แข่งกันแล้ว แต่จะทำตัวเป็นพันธมิตร เพื่อนร่วมอุดมการณ์ โดยจัดทำกิจกรรมร่วมกันทางการตลาด เพื่อจะพยายามดึงดูดลูกค้าให้มาช็อปปิ้งใน่ย่านนั้นให้ได้ แล้วแบ่งลูกค้ากันไป เรียกว่าสร้างเป็น cluster ทางธุรกิจ เหมือนอย่างที่วิสาหกิจธุรกิจย่านราชประสงค์จับมือรวมตัวกัน แล้วสร้างอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้งในระดับประเทศร่วมกัน เพื่อหวังดึงคนมาช็อปปิ้งในย่านราชประสงค์ผ่านแคมเปญ ไทยแลนด์แกรนด์เซลลอินวิเตชั่น หรือ ลดทุกห้าง ลดทุกร้าน ลดทั้งร้าน 50-80% หรืออย่างที่ฮ่องกง สิงคโปร์ จัดแคมเปญลดทั้งเกาะ ในช่วงเทศกาลช็อปปิ้งของประเทศเขา ลดทุกร้านบนถนนช็อปปิ้ง เพื่อดึงดูดชาวต่างประเทศให้ไปใช้เงินในประเทศของเขา บ้านเราอีกหน่อยอาจจะใช้วิธีนี้กับหลายๆ ย่านการค้าเพื่อดึงดูดคน เพราะเดี๋ยวนี้ต้องแข่งกันเป็นย่านๆ แล้ว ไม่ใช่ห้างใครห้างมันแบบที่เป็นอยู่นี้ หรือรวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย

เปิดแผนลงทุน "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" เตรียมลอนช์โปรเจ็กต์ยักษ์ "เอ็มโพเรียม 2" ยึดทำเลลานจอดรถฝั่งตรงข้ามเอ็มโพเรียมเดิม พร้อมไล่เก็บพื้นที่รอบ ๆ เพิ่ม วางคอนเซ็ปต์ "รีเทล-ออฟฟิศ-เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์" รองรับดีมานด์ลูกค้า-ซัพพลายเออร์ล้น เจรจา "บีทีเอส" ปรับพื้นที่เชื่อมระหว่างศูนย์  นับตั้งแต่เปิด "สยามพารากอน" 9 ธันวาคม 2548 โปรเจ็กต์ยักษ์หมื่นล้าน ทุนร่วมระหว่างกลุ่มเดอะมอลล์กับสยามพิวรรธน์ เพื่อให้เป็นศูนย์การค้ายิ่งใหญ่ และเป็น "ทอล์กออฟเดอะทาวน์" ทั้งในเมืองไทยและระดับสากล ภาพความเคลื่อนไหวของ "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" ดูเหมือนว่าจะนิ่งและไม่หวือหวา เมื่อเทียบกับคู่แข่งในวงการค้าปลีก เพราะในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนส่วนใหญ่ กลุ่มเดอะมอลล์ได้เน้นที่การรีโนเวตพื้นที่ภายในศูนย์ หรือปรับโฉมในสาขาต่าง ๆ ให้ทันสมัยและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ลูกค้าเป็นหลัก  แต่ในความเป็นจริง ภาพและความ เคลื่อนไหวของการลงทุนในโปรเจ็กต์ใหม่ของกลุ่มเดอะมอลล์ กลับไม่ได้นิ่งและเงียบอย่างที่คนภายนอกคิด ล่าสุด "ศุภลักษณ์ อัมพุช" หัวเรือใหญ่ เตรียมแผนลงทุน "ดิ เอ็มโพเรียม 2" ศูนย์การค้าโครงการยักษ์ที่ร่วมกับกลุ่มทุน "โสภณพนิช" 1 ในพันธมิตรที่ผนึกกำลังร่วมลงทุนในโปรเจ็กต์นี้ หลังจากเป็นพาร์ตเนอร์กันมาแล้วในโครงการดิ เอ็มโพเรียม ในปัจจุบันแม้ว่าจะยังไม่ปรากฏชัดถึง "ขนาดและมูลค่า" การลงทุนของโครงการใหม่นี้ แต่ที่ผ่านมา ภาพการลงทุนแต่ละครั้งของกลุ่มเดอะมอลล์ มักไม่ธรรมดา และต้องเรียกเสียง "ว้าว" ในตลาดได้เสมอ โดยก่อนหน้านี้ นางสาวศุภลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีโปรเจ็กต์การลงทุนครั้งใหญ่ที่เตรียมไว้ ซึ่งถ้าเปิดตัวเมื่อไหร่ต้อง "แรงและสร้างกระแส" ทั้งตลาด ตามสไตล์การลงทุนของกลุ่มเดอะมอลล์ที่ต้องใหญ่เท่านั้น หรือถ้าจะเป็นไซซ์เล็ก ก็ย่อมต้องเก๋ ชิก และไม่เหมือนใคร

โมเดลของศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้ ได้วางคอนเซ็ปต์ผสมผสานระหว่างรีเทล-สำนักงานออฟฟิศให้เช่า-เรสซิเดนต์ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โดยทำเลตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียมเดิม จากการสำรวจของผู้สื่อข่าวระบุว่า โครงการดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ลานจอดรถของดิ เอ็มโพเรียม ในซอยสุขุมวิท 35 (ทำเลเดียวกับที่เคยจัดสเตเดียมโดม) ครอบคลุมถึงพื้นที่ตึกแถวด้านหน้า เรียบถนนสุขุมวิทที่ปิดร้างไปแล้วก่อนหน้านี้ ไล่ไปจนถึงศูนย์บริการและโชว์รูมโตโยต้าที่หมดสัญญาเช่าแล้ว นอกจากนี้ กลุ่มเดอะมอลล์ยังได้ประสานกับรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อปรับพื้นที่สำหรับเชื่อมระหว่าง 2 ศูนย์การค้าใหม่ให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์ศูนย์การค้า  สอดคล้องกับแหล่งข่าวระดับสูงสายการเงินและการลงทุนชี้ว่า โปรเจ็กต์นี้ได้มีการพูดคุยกันมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว เป็นการลงทุนร่วมของ 3-4 ราย แต่ที่เป็น 2 รายหลักแน่ ๆ คือกลุ่มเดอะมอลล์และทุนส่วนตัวของโสภณพนิช ตามแพลนงาน ไม่ปลายปีนี้ ก็ช่วงปีหน้าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ หรือเห็นภาพโมเดลการลงทุนที่ชัดขึ้น "คอนเซ็ปต์คล้าย ๆ ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียมและเอ็มโพเรียมสวีต เป็นพื้นที่ทำกำไรได้ดี ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศ หรือ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติเยอะ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นชอบมาก และส่วนใหญ่เช่าแบบลองเทอม" ผู้บริหารระดับสูงรายนี้อธิบายเพิ่มเติม   เช่นเดียวกับแหล่งข่าวสินค้าลักเซอรี่แบรนด์ยอมรับว่า ที่ผ่านมา คุณแอ๊ว (ศุภลักษณ์ อัมพุช) ได้เปิดโมเดลและคอนเซ็ปต์ศูนย์การค้าใหม่ให้กับซัพพลายเออร์บางส่วนดูแล้ว โดยเฉพาะแบรนด์สินค้าที่ไม่มีช็อปในดิ เอ็มโพเรียม ซึ่งพื้นที่ค่อนข้างเต็ม รวมถึงการติดต่ออินเตอร์แบรนด์ใหม่ ๆ ที่อยากเข้ามาเปิดในเมืองไทย โดยต้องยอมรับว่าทำเลของดิ เอ็มโพเรียมนั้นตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประเมินว่า โปรเจ็กต์ใหม่นี้น่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการใน 2-3 ปีหน้า ด้วยทาร์เก็ตที่ดูเด็กขึ้น แต่ยังคงความเป็นพรีเมี่ยม หรือ พรีเมี่ยมแมส ล่าสุดทราบว่าได้ออกแบบแปลนโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไล่ย้อนความเคลื่อนไหวของ "กลุ่มเดอะมอลล์" ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าการลงทุนต่าง ๆ แม้จำนวนปริมาณจะไม่มาก เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทุกการลงทุนจึงอยู่ในกรอบ "คุ้มค่าและมีความเชี่ยวชาญ" หรือไม่ ระมัดระวังในทุกเม็ดเงินที่ใช้จ่าย และโฟกัสถึงผลรับจากการลงทุนแต่ละครั้งต้อง return ให้เร็วที่สุด แต่ทุกครั้งที่ตัดสินใจลงทุนต้องใหญ่และหวือหวา  รวมถึงการสร้างโมเดลการลงทุนแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเสริม และปรับตัวรับมือการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการยกโมเดลลงทุนนอกศูนย์การค้าครั้งแรกร่วมกับคอมมิวนิตี้มอลล์ "เค วิลเลจ" ด้วยการเปิด ซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมี่ยม "กูร์เมต์ มาร์เก็ต" หรือเพิ่มน้ำหนักในบทบาทของดิสทริบิวเตอร์สินค้าต่าง ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับศูนย์การค้า ด้วยการตั้งบิสซิเนส ยูนิต (บียู) ธุรกิจขึ้นมานำร่องที่กลุ่มแฟชั่น ทำหน้าที่ในการคัดสินค้าแฟชั่น และนำเข้ามาขายในลักษณะเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อสร้างความแตกต่างในด้านของแบรนด์ และเป็นการสร้างธุรกิจใหม่ของกลุ่มเดอะมอลล์

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความรุ่งเรืองของเอเซีย เมื่อมองผ่านตึกสูงและสนามบิน


เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเซีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศกำลังพัฒนา มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่เรียกได้ว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจ และการทำงานหนักของคนเอเซีย ทำให้คนเอเซียสะสมความมั่งคั่งเอาไว้ได้มากที่สุดในโลก เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก หลายประเทศมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศสูงที่สุดในโลก มีความเจริญก้าวหน้าทั้งในแง่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินทุน และเทคโนโลยี แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคนเอเซียเป็นคนที่มีคุณภาพ เรียนรู้ได้เร็ว มุมานะ อุตสาหะสูง จะเห็นได้จากไม่ว่าจะมีการแข่งขันกันในรูปแบบวิชาการ ศิลปะ กีฬา วิทยาการแขนงใดก็ตาม จะมีคนเอเซีย หรือประเทศในเอเซียไปติดอันดับโลกอยู่ด้วยทุกครั้ง อันนี้ไม่ได้ยกยอปอปั้นคนเอเซียด้วยกันเองนะครับ แต่เมื่อมองจากทฤษฎีฮวงจุ้ยก็บอกตรงกันว่า ยุคสมัยนี้เป็นยุค 8 เป็นยุครุ่งเรืองของชาวเอเซีย ความมั่งคั่งจะมุ่งมาสู่ภูมิภาคนี้ ในขณะที่ยุโรปและอเมริกา ก็จะถึงเวลาถดถอยหรือตกต่ำลง ดังนั้น จึงขอนำเสนอยุคสมัยทั้ง 9 ตามศาสตร์ของฮวงจุ้ย ว่าเป็นอย่างไร ดังนี้

ยุคที่ 1 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “ทัมลั้ง” เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2407-2426 ในยุคนี้เป็นช่วงที่ทิศเหนือมีความเจริญจัดอยู่ในธาตุน้ำ ได้แก่ ประเทศที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือ เช่น ไอซ์แลนด์ สหภาพโซเวียต ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รัฐกรีนแลนด์ แคนาดา

ยุคที่ 2 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “กือมึ้ง” เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2427-2446 ตรงกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ส่งผลดี ยุคนี้จัดอยู่ในธาตุดิน ได้แก่ ประเทศในทวีปยุโรปทั้งหมด และกลุ่มละตินอเมริกาด้วย

ยุคที่ 3 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “ลกชุ้ง” เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2447-2466 ยุคนี้ทิศตะวันออกจะเป็นทิศที่สงผลดี จัดอยู่ในธาตุไม้ ได้แก่ ประเทศในตะวันออกกลาง เอเซียกลาง

ยุคที่ 4 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “บุ่งเข็ก” เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467-2486 ในยุคนี้จะส่งผลดีต่อทิศตะวันออกเฉียงใต้ จัดอยู่ในธาตุไม้ ได้แก่ ประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนของเรานั่นเอง รวมถึงทวีปออสเตรเลียด้วย จะเห็นว่าเป็นยุคที่หลายประเทศในอาเซี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น ไทย และมีการก่อร่างสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ เช่น สิงคโปร์ บรูไน ก็อยู่ในยุคนี้เช่นกัน

ยุคที่ 5 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “เนี่ยมเจ็ง” เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487-2506 ช่วง10 ปีแรก เจริญรุ่งเรืองในทิศตะวันออกเฉียงใต้ และส่งผลดีในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในช่วง 10 ปีหลัง ยุคนี้จัดอยู่ในธาตุดิน จะเห็นว่า ในช่วง 10 ปีแรก ความรุ่งเรืองยังอยู่ในเขตอาเซี่ยน และในช่วง 10 ให้หลัง ความรุ่งเรืองมู่งไปสู่ทวีปอเมริกา หรือก็คือประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง

ยุคที่ 6 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “บู๊เข็ก” เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507-2526 ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นทิศที่ดี ยุคนี้จัดอยู่ในธาตุทอง เป็นยุคที่รุ่งเรืองของประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อเนื่องมาจากยุคที่ 5

ยุคที่ 7 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “พั้วคุง” เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2527-2546 ทิศที่ดีจะอยู่ในทิศตะวันตก จัดอยู่ในธาตุทอง แน่นอนว่าในยุคนี้ความรุ่งเรืองกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปเป็นหลัก การรวมตัวกันของสหภาพยุโรปก็เกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน

ยุคที่ 8 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “จ้อหู” เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2547-2566 ยุคนี้ทิศตะวันออกเฉียงเหนือดีที่สุด เป็นยุคที่มีความเจริญสูงสุด จัดอยู่ในธาตุดิน ก็ได้แก่ โซนประเทศที่ใช้ตะเกียบเป็นเครื่องมือรับประทานอาหาร ได้แก่ จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง มาเก๊า

ยุคที่ 9 ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “อิ้วเพียก” เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2567-2586 ตรงกับทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศที่ส่งผลดี ยุคนี้จัดอยู่ในธาตุไฟ กลุ่มประเทศเหล่านี้ ก็ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ลาตินอเมริกา ประเทศแถบหมู่เกาะแคริบเบียน และแปซิฟิกใต้

เมื่อครบยุค 9 แล้ว ก็จะวนกลับมาเริ่มที่ยุค 1 ใหม่อีกครั้ง หมุนเวียนไปเช่นนี้ตลอดเวลา

"เบิร์จ ดูไบ" (Burj Dubai ) หรือในปัจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "เบิร์จ คาลิฟา" (Burj Khalifa) หรือชื่อเต็มๆว่า "ชีค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAEเพื่อเป็นการให้เกียรติในฐานะผู้นำประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และผู้นำของนครรัฐอาบู ดาบี

สำหรับสิ่งก่อสร้างที่ผมมองแล้วมีรูปทรงเรียวยาวแหลมสูงคล้ายจรวดแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาขนาดยักษ์ของเมืองดูไบ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2547 ออกแบบโดยเอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก ซึ่งเป็นเจ้าเดียวกับผู้ออกแบบ วิลลิสทาวเวอร์ อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เบิร์จ คาลิฟา สร้างแล้วเสร็จในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา ด้วยความสูง 818 เมตร สูงกว่าอาคารไทเป 101เจ้าของสถิติตึกสูงที่สุดในโลกเดิมถึง 309 เมตร ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกใหม่ล่าสุดในขณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เบิร์จ คาลิฟา ยังครองสถิติอาคารที่มีจำนานชั้นมากที่สุดคือ 162 ชั้นอีกด้วย

นอกจากนี้ยังได้ทำลายสถิติหอคอยที่สูงที่สุดในโลกคือหอคอยซีเอ็น ที่โตรอนโต้ ประเทศแคนาดา ซึ่งมีความสูง 553.3 เมตร และแซงหน้าสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมา นั่นคือ เสาอากาศโทรทัศน์ KVLY-TV Mast ที่สหรัฐอเมริกาด้วย และเป็นแชมป์สถิติตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกนับถึงชั้นหลังคา โดยสูงถึง 546 เมตร จากเจ้าของสถิติเดิมคืออาคารไทเป 101 ซึ่งสูง 449.2 เมตร อีกทั้งยังได้ครองสถิติปั๊มคอนกรีตทางดิ่งที่สูงที่สุดในโลกสำหรับการก่อสร้างอาคาร ซึ่งสูงถึง 512.1 เมตร โค่นแชม์อาคารไทเป 101 ที่เคยสูง 439.2 เมตร และยังครองสถิติปล่องลิฟต์ที่ยาวที่สุดในโลกคือ 514 เมตร อีกด้วย

"ไทเป 101" แห่งไต้หวัน ที่สูง 509 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 101 ชั้น ออกแบบโดย ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวัน เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2543 แล้วเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2547 ไทเป 101 เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างเทคโนโลยีลดอันตรายจากแรงลมอันทันสมัยตามหลักวิทยาศาสตร์ กับการตกแต่งด้วยรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านทุกปล้องเพื่อขับไล่ภูติผีปิศาจ ตามหลักความเชื่อทางไสยศาสตร์จากคำบอกเล่าของซินแส

"เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ตั้งอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตึกแห่งนี้สูง 492 เมตร ประกอบด้วยชั้น 101 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น สร้างในปี พ.ศ.2540-2551 ถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศจีน แซงหน้าอาคารจินเหมาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง

"อินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์" บนเกาลูนตะวันตก ในฮ่องกง มี 118 ชั้น สูง 484 เมตร ก่อสร้างในช่วงปี พ.ศ.2550-2553โดยที่ตั้งของตึกนี้เรียกว่า ยูนิออนสแควร์เฟส 7 ส่วนชื่ออินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์นั้น ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2548

"เปโตรนาส" ที่มีความสูง 452 เมตร จำนวน88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นอาคารแฝดมี 2หอคอย ได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม ผสมผสานกับโครงเหล็กที่ห่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตามีสะพานเชื่อมลอยฟ้า (Sky Bridge) ในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวิวทิวทัศในมุมสูงสุดหวาดเสียวได้ฟรี วันละประมาณ 1,000คน โดยจะต้องมารับตั๋วในตอนเช้าก่อนขึ้นชมในแต่ละรอบ

"หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" มีความสูง 450 เมตร 89 ชั้น ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2551และกำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยสถาปนิกคนเดียวกับผู้สร้าง เบิร์จ คาลิฟา ตึกหลังนี้จะมีดาดฟ้าชมวิวบนชั้นที่ 72 ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดิน 287 เมตร สามารถมองเห็นภาพมุมกว้างของเมืองหนานกิงและแม่น้ำแยงซี ทะเลสาบสองแห่ง และภูเขาหนิงเจิงได้เป็นอย่างดี

“กว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์”ตั้งอยู่ที่เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตึกระฟ้าขนาด 103 ชั้น สูง 440.2 เมตร ตึกได้เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2548 และสร้างถึงจุดสูงสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และมีการเปิดตัวในปี พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา

"จินเหมาทาวเวอร์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มีความสูง 421 เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 มีจำนวนชั้นทั้งหมด 88 ชั้น ซึ่งคนจีนถือว่าเลข 8 เป็นเลขดีเลขนำโชค รูปแบบการก่อสร้างอาคารแห่งนี้เหมือนกับเจดีย์โบราณของจีน จุดที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวได้สูงสุดคือโรงแรมเซี่ยงไฮ้แกรนด์ไฮแอท ในชั้นที่ 53-87 และชั้นที่ 88 จะไม่ใช่พื้นที่ของโรงแรม แต่เป็นส่วนที่เรียกว่า สกายวอล์ค เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นเพื่อดูวิวมุมสูงได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว

สำหรับประเทศไทย ตึกสูงที่สุดก็คือ "ใบหยก 2 ทาวเวอร์" มหานครกรุงเทพฯ ประเทศไทย สูงเป็นลำดับที่ 47ของโลก ด้วยความสูง 304 เมตร จำนวน 88ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2540 ในชั้นที่ 77 และ 84 เป็นชั้นสำหรับชมวิว โดยที่ชั้น 84 เป็นดาดฟ้าหมุนได้รอบ ทั้งสองชั้นนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 10.30 ถึง 22.00 น.แต่ในปี 2553 นี้ตึกใบหยก 2 ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอาจจะถูกทำลายสถิติ โดยตึก "โอเชี่ยนวัน" (Ocean 1 Tower) คอนโดใจกลางพัทยา ซึ่งปัจจุบันกำลังก่อสร้างมีความสูง91 ชั้น 327 เมตร สูงกว่าตึกใบหยก 2 ถึง 23 เมตร คาดว่าจะเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยและเป็นที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

ทีนี้มาดูในส่วนของสนามบินกันบ้าง จะพบว่าสนามบินที่ดีที่สุดในโลก 5 ใน 10 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกนั้นอยู่ในทวีปเอเซีย และก็อยู่รอบๆ บ้านเรานี้เอง อันได้แก่


อันดับ 1 Hong Kong International Airport หรือสนามบินนานาชาติ เช็ก แล็ป ก๊อก ของฮ่องกง

จำนวนผู้โดยสาร คน/ปี : 50,410,819

อันดับโลกปีที่แล้ว : 3

รางวัลพิเศษ : Best Airport Washrooms (#3) and Best Airport Dining (#3)

Why it's awesome: Located less than five flying hours from half of the world's population, Hong Kong's airport is one of the busiest in the world. The airport also features a nine-hole golf course to pass the time during long layovers.

อันดับ 2 Singapore Changi Airport หรือสนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์

จำนวนผู้โดยสาร คน/ปี : 42,038,777

อันดับโลกปีที่แล้ว : 1

รางวัลพิเศษ : Best Airport Leisure Amenities (#1), Best Airport Shopping (#2), Best International Transit Airport (#1), and Best Airport Dining (#3)

Why it's awesome: Changi takes passengers to over 200 destinations on more than 90 international airlines and handles about 5,000 arrivals and departures each week. The airport is also home to a nature trail, fitness center, swimming pool, and Singapore's tallest slide.

อันดับ 3 Incheon International Airport หรือสนามบินนานาชาติ อินชอน ประเทศเกาหลีใต้

จำนวนผู้โดยสาร คน/ปี : 30,000,000

อันดับโลกปีที่แล้ว : 2

รางวัลพิเศษ : Best International Transit Airport (#2), Best Airport Security Processing (#3), Best Airport Cleanliness (#1), and Best Airport Washrooms (#2)

Why it's awesome: Incheon is the largest airport in South Korea serving passengers with over 70 airlines. The airport features a museum showcasing Korean culture and a center for traditional Korean culture where travelers can enjoy performances while they wait for their connecting flight.

อันดับ 5 Beijing Capital International Airport หรือ สนามบินนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน

จำนวนผู้โดยสาร คน/ปี : 73,891,801

อันดับโลกปีที่แล้ว : 8

รางวัลพิเศษ : Best Airport Immigration Service (#2)

Why it's awesome: Beijing Capital is the busiest airport in Asia and can accommodate up to 78 million passengers per year. The tallest building, terminal 3, has a red painted roof, China's good luck color.

อันดับ 9 Kuala Lumpur International Airport หรือสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

จำนวนผู้โดยสาร คน/ปี : 29,700,000

อันดับโลกปีที่แล้ว : 5

รางวัลพิเศษ : Best Airport Immigration Service (#1)

Why it's awesome: Kuala Lumpur is located in the southern corridor of Malaysia and one of Asia's busiest airports. The main terminal keeps green in mind, an entire section of the rain forest was placed inside the main terminal with the "Airport in the forest, forest in the airport," idea.

จากการจัดอันดับปีล่าสุดขององค์กร Skytrax World Airport จะเห็นว่าไม่มีสุวรรณภูมิของไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก อันนี้คงต้องรอรัฐบาลใหม่ของคุณยิ่งลักษณ์เข้ามาช่วยปรับปรุงแก้ไขส่วนบกพร่องมากมายในสนามบินแห่งชาติของไทยให้ดีขึ้น และสามารถแข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้านของเราเหล่านี้ให้จงได้ ซึ่งสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ของไทย เคยติดอันดับ 1 ใน 10 มาแล้วเมื่อปีที่แล้ว

สิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมากก็คือ ความรุ่งเรืองของประชาชาติในเอเซียหรือประชากรคนเอเซียยังคงยึดติดอยู่กับเรื่องของวัตถุนิยม หรือการบริโภคนิยมเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่สะท้อนออกมาเป็นในรูปวัตถุเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้านการเชิดชูคุณค่าความเป็นมนุษย์หรือคุณค่าทางด้านศีลธรรม หรือจิตใจ กลับละเลยไป ทั้งๆที่อารยธรรม ปรัชญาตะวันออก ของประชาชาติทางด้านเอเซียเรา ต่างเป็นที่ยอมรับจากคนทั้งโลกว่าเป็นต้นตำรับทางด้านจิตวิญญาณ หรือ spiritual แม้กระทั่งคนตะวันตกเวลานี้ยังหันมาสนใจ และศึกษาศาสนาของทางตะวันออก เช่น พุทธ เซน ขงจื๊อ เต๋า ซิกซ์ ฮินดู  ในขณะที่โลกทางตะวันตกกำลังล่มสลายไปกับสังคมแบบทุนนิยมสุดโต่ง การบริโภคนิยมแบบไร้ขีดจำกัด จนเกิดเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ที่เรียกว่าล้มละลาย จนต้องหันกลับมาค้นหาความหมายของชีวิต ความหมายของจิตวิญญาณ แต่สังคมของโลกด้านตะวันออกของเรานี้ กำลังเดินตามรอยความมั่งคั่ง แบบทุนนิยม บริโภคนิยม แบบบ้าคลั่ง จนหลุดกรอบความพอดี เราจึงอยากเห็นประชาชาติตะวันออก คนเอเซียให้ตระหนัก และมองดูตัวอย่างความรุ่งเรืองของตะวันตกมาเป็นบทเรียน ศึกษาและทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ได้อย่างล่วงรู้ เท่าทัน มีสติ กำหนดรู้ และจะไม่พลาด ไม่ประมาทกับชีวิต เหมือนชาวตะวันตกที่เป็นอยู่เวลานี้กันครับ