วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

Renovate ,Re-Branding, Re-Positioning ศูนย์การค้า ตอนที่ 5


 
ในปีนี้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนธุรกิจศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าที่ทุ่มลงทุนขนานใหญ่ เพื่อต้อนรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาช็อปปิ้งใช้จ่ายในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการกระตุ้นการท่องเที่ยว การที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ AEC และศูนย์กลางการช็อปปิ้งของอาเซี่ยน มีการจะผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นฮับช็อปปิ้งของอาเซี่ยน โดยกำหนดโซนย่านดาวน์ทาวน์ (หมายถึงแถวๆ ปทุมวัน ราชประสงค์ เพลินจิต ชิดลม ประตูน้ำ ) ให้เชื่อมต่อสามารถเดินถึงกันหมด เพื่อกระชากเงินในกระเป๋า (กำลังซื้ออันมหาศาล) ของนักท่องเที่ยวรวมถึงคนไทยให้เข้ามาช็อปปิ้งจับจ่ายกันในย่านนี้ โดยยึดโมเดลต้นแบบ ก็คือย่านกินซ่าของญี่ปุ่น นาธานของฮ่องกง และถนนออชาร์ดของสิงคโปร์ ที่เห็นเด่นชัดที่สุด ก็คือการรีโนเวทห้างพันธุ์ทิพ ให้โมเดิร์นสมัยใหม่เป็นศูนย์การค้าไฮเทค แบบชนิดไม่เหลือคราบของเก่าเลย อีกที่นึงก็คือศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ใกล้จะเปิดแล้ว ของใหม่นี่ทันสมัยชนิดที่คนไม่เคยไปแถวสยาม มาซัก 3-4 ปี อาจมีตะลึง อีกย่านก็คือศูนย์การค้าในแถบราชประสงค์ก็ได้แก่แพลตตินั่ม 2 กับเกษรพลาซ่าเฟส 2 ถ้าเปิดใหม่มาก็จะหรูหรากว่าเดิมหลายเท่า อีกที่นึงก็คือศูนย์การค้าในตระกูล 3 เอ็ม (ดิเอ็มโพเรี่ยม,ดิเอ็มควอเทียร์ และที่กำลังสร้างอยู่เตรียมจะเปิดก็คือ ดิเอ็มสเฟียร์ ถ้าเปิดขึ้นมาเสร็จเมื่อไหร่ แม้เจ้าเว๊ย ราวกับเดินในย่านหรูหราของฝรั่งเศส ฌ็องอารีเซ่) ของเจ้าแม่ศูนย์การค้าอย่างคุณศุภลักษณ์ และที่เป็นคู่หูกันก็คือคุณชฏาทิพ แห่งสยามพิวรรธน์ ผุดโปรเจ็คท์ห้างหรูย่านสยาม และอาจมีที่อื่นอีก ที่เป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สิน และที่มองข้ามไม่ได้คือกลุ่มเซ็นทรัล อาจมีเซอร์ไพร้ซ์ใหญ่ เปิดศูนย์การค้าเล็กๆ ไม่ (ทำไม่เป็น) ใหญ่ๆ ทั้งนั้น โอ้แม่เจ้า นี่กรุงเทพฯ ได้กลายเป็นมหานครแห่งศูนย์การค้าไปเสียแล้วเหรอเนี่ย มันช่างย้อนแย้งกับคำว่า เศรษฐกิจแย่ ผู้คนไม่มีกำลังซื้อจริงๆ แต่เปิดศูนย์การค้ากันโครมๆ เป็นว่าเล่น ราวกับดอกเห็ด ยังไม่นับรวมพวก community mall ทั้งหลาย ที่มีเปิดไปทั่วทุกหัวระแหง ข่าวล่ามาเร็วบอกว่า ศูนย์การค้าสำเพ็ง 2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานมานี้เอง กลายเป็นสุสานฝังคนจอง คนเซ้ง ตายอนาจกันแล้ว เพราะฉะนั้นบรรดาผู้เช่าทั้งหลาย โปรดใช้วิจารณญาณไตร่ตรองกันให้ดีๆ ก่อนจะแห่แหนไปจับจองลงทุน เงินทองไม่ได้หามาง่ายๆ ในยุคนี้ แต่ก็ขออวยพรให้ร่ำรวยกันทุกคน สำหรับบรรดานักลงทุนผู้มองการณ์ไกลทั้งหลาย
 
พลิกโฉม พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำสู่ เทค-ไลฟ์ มอลล์แห่งแรกในไทย บริษัท TCC Land Asset World จับมือเหล่าพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำ อาทิ Microsoft, Intel, BaNANA Business และ Syn HUB เป็นต้น สร้าง Tech Mall สำหรับไลฟ์สไตล์ และสำหรับธุรกิจ คาดเปิดตัวอย่างเป็นทางการแน่นอนในไตรมาส 3 ของปีนี้  นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เปิดเผย พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ กำลังได้รับการอัปเกรดใหม่ ภายใต้แนวคิด เทค-ไลฟ์ มอลล์ศูนย์การค้าที่รวมความต้องการด้านไอทีครบวงจร อาทิเช่น
BaNANA Business  รวมโซลูชั่นส์สำหรับ SME  โดย BaNANA Business ที่พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ จะเน้นให้บริการด้านสินค้า ตลอดจนให้คำปรึกษาด้านระบบไอทีแก่กลุ่ม SME เป็นหลักโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยโซลูชั่นส์ ที่เปิดให้บริการ ประกอบด้วย 1.Product Solution  เน้นโชว์โซลูชั่นส์เพื่อตอบสนองการให้บริการตามประเภทของธุรกิจ โดยแบ่งเป็น  5 โซนหลักๆ   ได้แก่  Retail  Solution, Office Solution, Home Automation, Hotel  Solution และ Education Solution  และ 2.Brand  Solution  เน้นการโชว์โซลูชั่นส์จากแบรนด์ไอทีชั้นนำของโลก  ที่สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละธุรกิจให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี BaNANA IT ศูนย์รวมสินค้าไอทีสำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไปอีกด้วย และนี่คือคำกล่าวของนายสุระ คณิตทวีกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการต่อยอดจากศูนย์รวมสินค้าและบริการด้านไอที “BaNANA IT” สู่ “BaNANA Business

Syn HUB ,Co-working Space สำหรับ Startup และ Maker แห่งแรกที่ พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ นำศักยภาพของบริษัท Synergy Technology ทั้งด้าน Hardware และ Software ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ PCB, LED, Home Automation, Medical และ RFID เพื่อช่วยทำให้ฝันของ กลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ (Startup) และกลุ่มนักประดิษฐ์ (Maker) ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ สถานที่ประกอบไปด้วย 6 โซนต่างๆ เช่น โซนที่นั่งทำงาน ทั้ง hot seat และ long-term seat โซนห้องประชุมแบบ Smart office โซนสำหรับจัดกิจกรรม Workshop โชว์รูมทางเทคโนโลยี ร้านกาแฟ เป็นต้น สามารถนั่งชมวิว Panorama ของกรุงเทพฯ ผ่านกระจกใส พร้อมเครื่องดื่มคุณภาพ จึงสามารถเป็นที่รวมตัวของกลุ่มนักธุรกิจ นักศึกษา และลูกค้าทั่วไปได้ด้วยในตัว นอกจากนี้ Syn HUB จะยังเป็นช่องทางเชื่อมโยงระหว่าง Startup กับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น สถาบันวิจัยต่างๆ รวมถึง VC สรุปคำกล่าวจากนายนิติ เมฆหมอก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเนอร์ยี เทคโนโลยี จำกัด

Microsoft Information Center  เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มีโอกาสเรียนรู้   และทำความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง นับตั้งแต่การเข้าถึงสินค้าหรือบริการ การให้ความรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้งาน ความสะดวกสบายในการเลือกสินค้า การเลือกผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ไปจนถึงความอุ่นใจที่ได้เลือกใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัย มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ไมโครซอฟท์พร้อมที่จะถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในด้าน ‘mobile-first,  cloud-first’ ของเราให้กับลูกค้าทุกราย รวมถึงคู่ค้าทุกท่าน และ Startup ที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ในพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า โฉมใหม่ สรุปคำกล่าวจากนายเอกราช ปัญจวีณิน ผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารสินค้าคอนซูเมอร์ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด

Intel E-Sport Arena  เวทีสำหรับการแข่งขันเกมส์ และสถานที่ฝึกซ้อมสำหรับนักกีฬาอี สปอร์ตที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะมีกิจกรรมการแข่งขันเกมส์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมี Intel Experience Zone เพื่อใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ๆ และยังเป็นศูนย์กลางของการนำโมเดลธุรกิจใหม่ๆ มานำเสนอและพัฒนา เพื่อช่วยยกระดับวงการไอทีไทยให้ทันสมัยยิ่งขึ้น “สำหรับ Intel E-Sport Arena จะมีการติดตั้งคอมพิวเตอร์เดสก์ท้อปที่มี อินเทล® คอร์ไอเซเว่น โปรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ อินเทล® ไอริส กราฟิก และอินเทล® เอสเอสดี จำนวน 60 เครื่อง ตลอดจนมีการอัพเกรดสเปคเครื่องให้ทันสมัยที่สุดอยู่เสมอเพื่อสร้างประสบการณ์การแข่งขันที่ทันสมัยและดีที่สุด นอกจากนั้น ยังสามารถใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกซ้อมของทีมต่างๆ เพื่อเตรียมประลองฝีมือในระดับนานาชาติอีกด้วย”  นายสนธิญา หนูจีนเส้ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริม และสำหรับจุดเด่นเดิมนั้นก็ยังคงไว้อยู่ และยกระดับมากขึ้น จัดเป็น Retro zone และ Handy Man Zone (พื้นที่ใหม่สำหรับการบริการงานซ่อมสินค้าเทคโนโลยี) กล่าวโดยสรุปคือ พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า จะผสาน content ใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะไม่ใช่ศูนย์การค้าที่คุณมาเมื่ออยากซื้อหรืออยากซ่อมสินค้า แต่จะเป็นศูนย์การค้าที่คุณจะอยากมาบ่อยๆ ทั้งการมาเพลิดเพลินสนุกสนาน และการได้มาดูเรื่องธุรกิจไปด้วย นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด อธิบาย

ศูนย์การค้า บ็อกซ์ สเปซ รัชโยธิน (Box Space Ratchayothin) เปิดคอนเทนเนอร์ มอลล์ ที่นำตู้คอนเทนเนอร์กว่า 20 ตู้ มาปรับโฉมด้วยการเพ้นท์ลวดลายเท่ๆ จากฝีมืออาร์ติสที่คิดนอกกรอบชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ให้กลายเป็นแหล่งช้อปและจุดแฮงเอ้าท์ของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบไลฟ์สไตล์ โซเชี่ยล คอมมิวนิตี้โดยพัฒนาภายใต้แนวคิด “Vibrant Box” คือการนำตู้คอนเทนเนอร์มาใช้เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายในโครงการแบ่งพื้นที่เป็นทั้งหมด 3 โซน คือ Market Zone, Plaza Zone และ Hangout Zone โดยโครงการได้สรรหาร้านค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน นายศุภเดช เลิศพยับ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าบ็อกซ์สเปซ กล่าวว่าบ็อกซ์ สเปซ ได้รวมร้านค้าภายในไว้มากมาย โดยแบ่งเป็นโซนต่างๆ อาทิ Market Zone รวมสินค้าที่ตอบโจทย์ขาช็อปทั้งชายและหญิง โดยจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้าที่อยู่ในกระแสหรือความสนใจในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ตลาดอาหาร สำหรับนักชิม, ตลาดเสื้อผ้า สำหรับผู้ชื่นชอบแฟชั่นนิสต้า, ตลาด Indy สำหรับผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร เป็นต้น Plaza Zone ภายในโซนจะประกอบด้วยร้านอาหาร เครื่องดื่ม ร้านเสื้อผ้า ร้านจำหน่ายสินค้า Accessories ต่างๆ และ Hangout Zone โซนที่โครงการต้องการให้เป็นจุดนัดพบ หรือแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าจากสำนักงาน, กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา,กลุ่มที่พักอาศัยในแนวพื้นที่จตุจักร, รัชดา และลาดพร้าว เปิดตัวแบบสุดชิคด้วยงาน บ็อกซ์ สเปซ มาร์เก็ตจากวัน Grand Opening 12-14 ก.พ. พร้อมงานแฟร์ที่รวมสุดยอด พ่อค้าหล่อแม่ค้าแซ่บมันส์ไปกับคอนเสิร์ตจากนักร้องดังระดับแนวหน้าเมืองไทย อาทิ ฮั่น เดอะสตาร์ ROOM39 บ็อกซ์ สเปซ รัชโยธิน (Box Space Ratchayothin) ได้จัดกิจกรรมพิเศษฉลองเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ชวนมาเพลิดเพลิน เดิน ช้อป ชิล ในงาน บ็อกซ์ สเปซ มาร์เก็ตงานที่รวมร้านค้ามากมายทั้งในโซนพลาซ่าและโซนตลาดนัดที่ฉีกกรอบด้วยคอนเซปต์ พ่อค้าหล่อแม่ค้าแซ่บให้ได้แซ่บกันตลอดงาน เพลิดเพลินกับเครื่องดื่มในโซนมินิลานเบียร์จากเบียร์ช้าง พร้อมดนตรีสุดชิลตลอดค่ำคืน เปิดประสบการณ์การช้อปรูปแบบใหม่ในตลาดแฟชั่นและงานแฮนด์เมดไอเดียเก๋ที่มีให้เลือกหลากหลายแนว ผู้สนใจสามารถมาเยือน บ็อกซ์ สเปซ รัชโยธินได้บริเวณที่ติดกับ SCB รัชโยธินพร้อมบริการพื้นที่จอดรถมากกว่า 300 คัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2117 1111


 
 
The Street Ratchada ศูนย์การค้าสตรีทมอลล์แนวคิดใหม่ใจกลางถนนรัชดา ตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพที่ไม่เคยหลับใหล กับโซน ร้านค้า 24 ชั่วโมง รับกำลังซื้อผู้คนออฟฟิศ คนเที่ยวกลางคืน เหล่าฟรีแลนซ์ และนักท่องเที่ยวย่าน รัชดาแหล่งที่ว่ากันว่าจะเป็น CBD แห่งใหม่ของเมืองหลวง และนี่คือ 10 เรื่องเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้  1. The Street Ratchada เป็นโครงการที่พัฒนาโดย ทีซีซี แอสเซ็ทส์ พูดง่ายๆ ว่าเป็นโปรดักท์ด้านอสังหาริมทรัยพ์ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ที่รับผิดชอบ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ ก็คือ ปณต สิริวัฒนภักดี ลูกชายคนเล็ก  2. โครงการ The Street Ratchada เป็นศูนย์การค้าสตรีทมอลล์ แห่งแรกบนถนนรัชดาภิเษก ชูคอนเซ็ปต์ SIP. WALK. TALK. SHARE. จุดเด่นของโครงการอยู่ที่โซน และชั้น 1 เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง  3. วิสัยทัศน์ของ ทีซีซี แอสเซ็ทส์ ก็คือ มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Mix Used พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร มีทั้งอาคารที่อยู่อาศัย โรงแรม ช้อปปิ้งมอลล์ อาคารสำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มารวมไว้ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ครบสมบูรณ์แบบให้กับคนเมือง 4.  ที่เรียกว่า Street Mall ก็เพราะร้านค้าภายในศูนย์ จะเน้นความรียบง่าย เข้าถึงได้ จับต้องได้จริง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ทำให้ลูกค้าเองก็เดินและซื้อสินค้าได้ ร้านค้าเองก็มียอดขาย  5. ความแปลกใหม่ที่เป็นแม่เหล็กของ The Street Ratchada ก็คือ Bounce Free-Jumping การออกกำลังกายด้วย Trampoline ซึ่งถือว่านำมาเปิดให้บริการครั้งแรกในเมืองไทย สอดรับกับเทรนด์ออกกำลังกายในปัจจุบันที่นอกจากจะสร้างความแข็งแรงของร่างกายแล้วยังต้องสนุกสนาน ที่สำคัญ เล่นอันนี้แล้วโพสต์โชว์ในโซเชี่ยลมีเดียต้องมีคนสนใจแน่ๆ  6. กลุ่มเป้าหมายของศูนย์การค้า สตรีทมอลล์ แห่งนี้ก็คือ พนักงานออฟฟิศ และ คนที่อาศัยอยู่ในย่านรัชดา ดังนั้นระดับราคาของสินค้าทั้งอาหารและสินค้าแฟชั่น จึงสามารถจับต้องได้ ต่อรองได้ และในยามค่ำคืนก็ มีโซนอาหาร ร้านกิน ดื่ม เที่ยว รวมทั้งร้านกาแฟ เอาไว้รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ, ขาเที่ยวกลางคืน รวมไปถึงฟรีแลนซ์ที่ใช้ชีวิตช่วงกลางคืน รวมแล้วตั้งเป้าหมายว่าจะมี Traffic เข้ามาที่ห้าง วันละ 20,000 คนต่อวัน โดยเฉลี่ย ทั้งวันทำงานและวันหยุด  7. ย่านรัชดา ถือว่าเป็น CBD: Central Business Districtศูนย์กลางย่านธุรกิจ แห่งใหม่ของกรุงเทพ มีทั้งตึกออฟฟิศเกิดใหม่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น เดอะไนน์ ทาวเวอร์, อาคารยู-เพลส ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทยูนิลีเวอร์, อาคารไซเบอร์ เวิลด์ อีกอาณาจักรของเจ้าสัวเจริญ, เดอะแกรนด์ พระราม 9, จีแลนด์ ทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 ซึ่งเมื่อก่อสร้างเสร็จจะเป็นตึกที่สูงที่สุดของอาเซียน, อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์, และอาคารตลาดหลักทรัพย์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ และเมื่ออาคารสำนักงานต่างๆ เข้ามาดำเนินงาน อาคารที่พักอาศัยและประชากรก็จะย้ายเข้ามาอยู่บริเวณนี้อีกมาก จึงเป็นที่มาของโครงการฯ หลากหลายรูปแบบ และThe Street Ratchada ก็เป็นหนึ่งในนั้น  8. ถ้าหากนึกภาพไม่ออกว่า The Street Ratchada อยู่ตรงไหน ก็อธิบายง่ายๆ ได้ว่า ตั้งอยู่ไม่ไกล กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดย ทีซีซี แอสเซ็ทส์ เช่าพื้นที่ต่อมาด้วยระยะเวลา 30 ปี มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท สูง 5 ชั้น บวกกับชั้นใต้ดิน 1 ชั้น บนพื้นที่ 16 ไร่ พื้นที่ทั้งหมด 69,900 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่เช่า 30,000 ตารางเมตร มีที่จอดรถเพียงพอสำหรับ 850 คัน The Street Ratchada เปิดตัววันแรก 2 ธันวาคม หวังรองรับเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปลายปี ที่ผู้บริโภคมองหาสถานที่ท่องเที่ยวและจับจ่ายซื้อหาของขวัญ 9. เพื่อโปรโมทศูนย์การค้าสตรีทมอลล์แห่งใหม่ให้เป็นที่รู้จัก และกระตุ้นการช้อปปิ้ง The Street Ratchada ได้จัดแคมเปญโปรโมชั่นสุดพิเศษ เพียง กิน ชิม ดื่ม หรือช้อป ครบ 500 บาท รับคูปองชิงโชค 1 ใบ ลุ้นรับรางวัล รถยนต์ NISSAN NEW MARCH และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ารางวัลกว่า 3 ล้านบาท พร้อมด้วยกิจกรรมที่จะมาร่วมสร้างความสนุกสนานตลอดเดือน ธันวาคม  10. ครั้งแรกกับงานเคาท์ดาวน์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนถนนรัชดา กับงาน The Street Countdown to 2016 “Life is non stop”

 
ในช่วงไตรมาส2 ปี 2559 นี้ สยามพิวรรธน์เตรียมเปิดตัวสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ที่จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่ ภายใต้ชื่อ “The Exploratorium” ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์หลากรูปแบบที่รวบรวมไว้ที่นี่ ที่เดียว!  หลังจากห้างสยามดิสคัฟเวอรี่ ปิดปรับปรุงตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมเมื่อปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ทุ่มงบลงทุนถึง 4,000 ล้านบาท เพื่อรีโนเวทสยามดิสคัฟเวอรี่ครั้งใหญ่ในรอบ 18 ปี โดยเชิญคุณ Oki Sato จาก Nendo นักออกแบบชั้นนำของโลก มาเป็นที่ปรึกษาในการปรับโฉมสยามดิสคัฟเวอรี่ตามคอนเซ็ปต์ใหม่สุดอลังการที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้   สยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ ภายใต้ชื่อ “The Exploratorium”  คือที่สุดของจุดหมายปลายทางในรูปแบบ ไฮบริดรีเทล แห่งแรกในประเทศไทย ที่นำเสนอแนวคิดใหม่ให้ลูกค้าได้สนุกกับความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียล้ำๆ ผสมผสานทั้งสินค้า บริการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่ต้องการค้นหาตัวเอง การกลับมาของสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ในครั้งนี้จึงเป็นการฉีกกฎการค้าปลีกในรูปแบบเดิม เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมค้าปลีกและผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัย นอกจากนี้สยามพิวรรธน์จะสร้างสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ให้เป็น ไลฟ์สไตล์สเปเชี่ยลตี้สโตร์ แห่งแรกที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งครีเอทมิติของการนำเสนอให้ เข้าถึงใจ ลูกค้าให้ได้มากที่สุด เจาะกลุ่มเป้าหมายคนทุกเพศทุกวัยที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนรุ่นใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ชื่นชอบความนวัตกรรมล้ำยุค ต้องการคอมมูนิตี้ของตัวเอง และชอบอะไรที่ไม่เหมือนใคร  ด้วยการสื่อสารกับลูกค้าเหมือนเพื่อนรู้ใจ ที่ต้องการมอบประสบการณ์ดีๆ ให้กับเพื่อนอย่างจริงใจ ทั้งนี้พื้นที่ในสยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่จะถูกเนรมิตให้เป็น Lifestyle Lab เหมือน สนามทดลอง ขนาดใหญ่ ที่จะชวนทุกคนมาเล่นสนุกด้วยกัน โดยจะเปลี่ยนการจัดวางสินค้าตามประเภทและแบรนด์ เป็นการรวมหลายกลุ่มสินค้าไว้ตามเรื่องราวและความสนใจของแต่ละคน ซึ่งรวบรวมสินค้าไว้กว่า 5,000 แบรนด์ บนพื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร และยังเป็นศูนย์กลางในการพบปะพูดคุย แบ่งปันประสบการณ์ของกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน ก่อนจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 ของปี เราได้รวบรวมภาพบรรยากาศในงานแถลงข่าว สยามพิวรรธน์เปิดตัว สยามดิสคัฟเวอรี่โฉมใหม่ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานมีการจำลองบรรยากาศแบบ Lifestyle Lab ที่เหมือนยกห้อง Lab ขนาดย่อมมาให้ทุกคนได้ทดลองด้วยตัวเอง และมีการจัดพื้นที่กิจกรรมเป็นโซนต่างๆ ให้ทุกคนในงานได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์สนุกๆ ด้วย  ไม่ว่าจะเป็นโซน Lab Coat ที่ให้ผู้ร่วมงานทุกคนสวมเสื้อกาวน์เข้าร่วมงาน เหมือนเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพื่อเตรียมพร้อมในการเปิดประตูสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ภายในงาน Mixology โซนอาหารและเครื่องดื่มที่ให้ทุกคนได้ลองสัมผัสประสบการณ์ความแปลกใหม่กับอาหารแต่ละจานที่ถูกจัดวางอยู่ในอุปกรณ์ทดลองต่างๆ และสามารถร่วมครีเอทรสชาติชาของตัวเอง โดยการเลือกประเภทของชา ส่วนประกอบ และกลิ่นต่างๆ นำมามิกซ์เป็นชารสชาติใหม่ไม่ซ้ำใคร และในห้องแถลงข่าว ที่จำลองบรรยากาศให้เหมือนห้องทดลอง พร้อมโต๊ะที่จัดวางด้วยอุปกรณ์ทดลอง และ Chart Lab กระดาษโน้ตสำหรับบันทึกข้อความ ซึ่งมีความพิเศษคือ เมื่อนำกระดาษโน้ตที่เตรียมไว้ไปส่องกับไฟ Black Light ก็จะเห็นข้อความที่ถูกซ่อนไว้นั่นเอง การบุกเบิกคอนเซ็ปต์ค้าปลีกรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครั้งนี้ นับเป็นการปฎิวัติวงการค้าปลีกครั้งยิ่งใหญ่ เป็นต้นแบบที่จะสร้างความสนุกและประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม เป็นการช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งและตอกย้ำเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางการค้าปลีกของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และช่วยให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางของการช้อปปิ้งยอดนิยมของชาวโลกชฏาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวสยามพิวรรธน์ ทุ่มงบ 4 พันล้านบาท รีโนวเตสยามดิสคัฟเวอรี่ครั้งใหญ่ รอบ 18 ปี ชูคอนเซ็ปท์ “Breaking All the Rules” ฉีกหนีตลาดค้าปลีกและศูนย์การค้าที่แข่งขันรุนแรง หวังเป็นผู้นำเทรนด์ ปิดนาน ตั้งแต่พ.ค.นี้ถึงต้นปีหน้า  นางศิริเพ็ญ อินทุภูติ ผู้บริหารสายงานโฆษณาและประชาสัมาพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหาร สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามพารากอน เปิดเผยว่า บริษัทฯจะใช้งบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อการปรับปรุงหรือรีโนเวทสยามดิสคัฟเวอรีครั้งใหญ่ ทั้งภายในและภายนอกอาคารรวมทั้งตัวโครงสร้างด้วย หลังจากที่เปิดบริการมานานกว่า 18 ปีแล้ว ให้เป็นคอนเซ็ปท์ “Breaking All the Rules” ตอกย้ำความเป็นจุดหมายปลายทางของการชอปปิงใจกลางกรุงเทพฯ โดยในช่วงปรับปรุงจะปิดบริการทั้งศูนย์และร้านค้ากว่า 120 ร้านค้า ใช้เวลานาน 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงประมาณเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ปี 2559 แต่ยังมีบางส่วนเปิดบริการคือ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซกรุงเทพ ส่วนช่วงปิดบริการจะนำร้านค้าที่อยู่ในศูนย์ฯมาเปิดพื้นที่พิเศษชั่วคราว (Temporary shop) ในสยามเซ็นเตอร์กับสยามพารากอน เพื่อให้ลูกห้องค้าขายได้ตามปรกติ  นอกจากนั้นก่อนที่จะปิดปรับ จะจัดแคมเปญ Ground Breaking Sale ลดราคาสูงสุด 90% และกิจกรรมอื่นๆตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน – 5 พฤษภาคม จาก 100 ร้านค้าแบรนด์มาลดราคา เช่น ร่วมือกับบัตรเครดิตหลายแบรนด์ให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าตามเงื่อนไข  ธุรกิจศูนย์การค้าแข่งขันสูง อยู่นิ่งกับที่ไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนแปลงหาอะไรใหม่ๆนำเสนอตลอดเวลา ซึ่งสยามดิสฯไม่ได้ปรับปรุงมานาน 5ปีแล้ว การปรับปรุงใหญ่ครั้งนี้ มั่นใจว่าจะนำไปสู่ความเป็นผู้นำเสนอนวัตกรรมวงการค้าปลีกและศูนย์การค้าได้อย่างดี ประกอบกับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการคมนาคมของเออีซีหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เรายังมีศักยภาพ หลายด้าน ทั้งด้านบุคคลากร เทคโนโลยี สถานที่ที่เหมาะสมกับการจัดประชุม จัดแสดงนิทรรศการนานาชาติ ศูนย์กระจายสินค้า การบริการด้านการแพทย์ อุตสาหกกรรมท่องเที่ยว บริษัทฯจึงมั่นใจว่า หลังจากการเปิดเออีซีแล้ว ธุรกิจค้าปลีกของไทยจะเติบโตมากขึ้นกว่า 25% ซึ่งแนวโน้มที่ดีนี้สอดรับกับบรรยากาศการลงทุนใหม่ๆ ในธุรกิจค้าปลีกเพื่อตอบรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต และจะสอดรับกับที่ สยามดิสฯปรับปรุงเสร็จหลังเปิดเออีซีพอดี จากตัวเลขของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่า เมื่อเดือนมกราคม ปี 2558 นี้ เดือนมกราคม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยประมาณ 2.65 ล้านคน เติบโต 14% จากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขนักท่องเที่ยวของสยามพิวรรธน์ที่เข้าทั้ง 3 ศูนย์คือ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในสัดส่วนมากกว่า 40% จากปรกติ 30% อันดับที่ 1 คือ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ตามลำดับ ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าคนไทย 60% ลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 40% ปัจจุบันตัวเลขผู้เข้ามาใช้บริการในสยามเซ็นเตอร์มีประมาณ 100,000 คนต่อวัน สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ 80,000 คนต่อวัน ถ้ามีอีเวนต์ใหญ่พิเศษเพิ่มเป็น 120,000 – 150,000 คนต่อวัน ซึ่งมั่นใจว่าเมื่อปรับปรุงเสร็จแล้วตัวเลขจะต้องเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
   
หนึ่งในดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจไทยในหลายยุคหลายสมัย ไม่พ้น "ธุรกิจค้าปลีก" ในปี 2559 ทิศทางจะเป็นอย่างไร ต้องจับตากับความท้าทายในบริบทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ต้องยอมรับก่อนว่าปี 2559 ยังไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่น เกื้อหนุนต่อภาคธุรกิจค้าปลีกให้ขยายตัวได้อย่างหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งให้ผู้ประกอบการภาคค้าปลีกแตะเบรกการลงทุนได้ ต่างประกาศชัดเดินหน้าแผนการลงทุนขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครหยุดนิ่ง "ศุภลักษณ์ อัมพุช" รองประธานกรรมการ บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารสยามพารากอน, เดอะ มอลล์, ดิ เอ็ม โพเรียม และดิ เอ็มควอเทียร์ กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจค้าปลีก เมืองไทยปี 2559 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าปี 2558 เนื่องจากความมั่นคงของเสถียรภาพทางการเมืองที่มีมากขึ้น ขณะเดียวกันภาครัฐเข้ามาส่งเสริมเรื่องระบบคมนาคมขนส่ง ทั้งในเรื่องของการเพิ่มเที่ยวบิน การขยายสนามบินภูเก็ต จะมีส่วนช่วยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในเมืองไทยเพิ่ม และจะส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจค้าปลีกด้วย "การลงทุนของกลุ่มเดอะมอลล์ยังอยู่ภายใต้แผนการทุ่มงบฯ กว่า 50,000 ล้านบาทใน 6 โครงการ ที่จะทยอยเปิดไปจนถึงปี 2561" เริ่มต้นโครงการระดับลักชัวรี่ เดอะ ดิสทริค เอ็ม ย่านสุขุมวิท 3 โครงการ คือ ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มสเฟียร์ เนื้อที่รวม 50 ไร่ พื้นที่ทั้งหมด 650,000 ตารางเมตร งบลงทุนไม่รวมมูลค่าที่ดินกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ยังเหลือดิ เอ็มสเฟียร์ ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการปรับพื้นที่เตรียมก่อสร้าง เพื่อกำหนดเปิดในปี 2561 ส่วนโครงการใหญ่ที่เหลือเป็นการขยายฐานสู่ทำเลใหม่ๆ กับโปรเจ็กต์บลู คอลเล็กชั่น บุกทำเลหัวหิน ที่มีพันธมิตรอย่างกลุ่มพราว เรียลเอสเตส เปิดโครงการบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ต มอลล์ เนื้อที่ 25 ไร่ พื้นที่โครงการ 250,000 ตารางเมตร เงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท โครงการบลูเพิร์ล ภูเก็ต ที่มีทั้งศูนย์การค้า ศูนย์รวมความบันเทิง คอนเวนชั่น เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ รีสอร์ตโฮเต็ล และเวิลด์คลาส ธีม ปาร์ก เนื้อที่รวม 150 ไร่ พื้นที่โครงการกว่า 650,000 ตารางเมตร  และสุดท้ายโครงการ แบงค็อกมอลล์ ตามแผนสร้างย่านในเขตอัพทาวน์ ณ จุดตัดถนนบางนา-ตราด กับสุขุมวิท เชื่อมต่อรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอุดมสุขและบางนา เนื้อที่กว่า 100ไร่ พื้นที่โครงการ 650,000 ตารางเมตร งบลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ตรงข้ามกับศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ที่คาดจะเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า  ส่วนกลุ่มลูกค้าไทยเอง "ชำนาญ เมธปรีชากุล" รองกรรมการบริหาร เดอะมอลล์ กรุ๊ป เตรียมการรับมือการแข่งขันของธุรกิจที่จะมีสูงขึ้นในปี 2559 ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และบุคลากรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารงานในยุคใหม่ โดยได้แต่งตั้งผู้นำทัพการตลาดใหม่อย่าง นางวรลักษณ์ ตุลาภรณ์ มาร่วมเป็นพลังสำคัญของสายงานการตลาด ในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด  วางแนวทางการตลาดในปี 2559 เน้นในเรื่อง "One on One CRM-CEM-Customer Engagement" รวมทั้ง "Shopping Experience" หรือการสร้างประสบการณ์ตอบโจทย์ให้แต่ละบุคคล เพื่อเพิ่มการจงรักภักดีให้ลูกค้าของทั้ง 4 ห้าง แต่ก่อนอื่นต้องปรับปรุงระบบเทคโนโลยีครั้งใหญ่ใหม่ ทั้งหมด ใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท แบ่งการลงทุนออก เป็นเฟสๆ ซึ่งจะเริ่มทำได้ในปี 2559-2561 เพื่อใช้เก็บฐานข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า และนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์หาแนวทาง ทำตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม ที่ปัจจุบันมี มากถึง 30 กลุ่ม "ปี 2559 เชื่อว่าค้าปลีกจะไม่สดใสมากนัก อาจจะทรงๆ แต่จะดีขึ้นจากปี 2558 เดอะมอลล์ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ก่อนเติบโต 5% จากปีก่อนทำได้ 52,000-53,000 ล้านบาท และการทำตลาดลักษณะนี้จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าได้มากขึ้น ในภาวะการแข่งขันที่รุนแรง" นายชำนาญกล่าวอีกว่า อีกเหตุผลหนึ่งเป็นการสร้างความจงรักภักดีกับเราได้ต่อเนื่อง เพราะกลยุทธ์ตลาดที่จะทำไป ในแต่ละกลุ่มฐานลูกค้าจะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และให้ลูกค้าเปลี่ยนไปห้างอื่นน้อยลง

ส่วนอีกบิ๊กของวงการคือ "เซ็นทรัล" ช่วงปีที่ผ่านมาใส่เกียร์เดินหน้าลงทุนเปิดสาขาใหม่ตลอดปี ซึ่งเป็นไปตามแผนงานระยะ 3 ปี ระหว่างปี 2558-2560 ภายใต้เงินลงทุน 53,000 ล้านบาท และปี 2559 จะเป็นคิวของโครงการเซ็นทรัลพลาซา นครศรีธรรมราช กับเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท ต่อด้วยเซ็นทรัล นครราชสีมา มูลค่าลงทุน 9,300 ล้านบาท พื้นที่ 2.5 แสนตารางเมตร และเซ็นทรัล ภูเก็ต มูลค่าลงทุน 12,700 ล้านบาท เนื้อที่ 3 แสนตารางเมตร เปิดดำเนินการปี 2560  "ปรีชา เอกคุณากูล" กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ยังมีโครงการใหม่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่งที่อยู่ในความสนใจ และการเดินเกมรุกขยายสาขาต่อเนื่องทั้งในเขตปริมณฑล หัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด รวมทั้งหัวเมืองรอง นอกจากนี้ยังมีอีก 2 โครงการ เป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า ด้วยงบลงทุน 2,300 ล้านบาท และเซ็นทรัล บางนา ด้วยงบ 1,200 ล้านบาท เป็นยุทธวิธีของเซ็นทรัล ในการสร้างการเติบโตต่อเนื่อง 15% ทุกปีควบคู่กับการเพิ่มพื้นที่ใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศสำหรับเป้าหมาย 1.8 ล้านตร.ม.ภายในปี 2560 ด้วยเม็ดเงินลงทุน 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี  ฝากฝั่งของ "โรบินสัน" ห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเซ็นทรัล ที่วางกลยุทธ์ให้เจาะตลาดในหัวเมือง และจังหวัดรองๆ ในปี 2559 ต้องปรับแผนการลงทุนเมื่อเศรษฐกิจเป็น แบบนี้ โดยชะลอการขยายสาขาใหม่เหลือแค่ 2 สาขา เท่านั้น คือ นครศรีธรรมราช ในเซ็นทรัลพลาซา และลพบุรี รูปแบบไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ จากเดิมที่จะมีการเปิดสาขาใหม่เฉลี่ยปีละ 4-5 สาขา ลงทุนปีละ 15,000 ล้านบาท แต่จะกลับมาลงทุนในเชิงรุกปีละ 4 สาขาอีกครั้งในปี 2561

ด้าน "ซีพี เซเว่นอีเลฟเว่น" ปีที่ผ่านมา ยังเดินหน้าลงทุนเปิดสาขาต่อเนื่องทุกวัน ใช้งบประมาณ 9 พันล้านบาท เปิดสาขาเซเว่นอีเลฟเว่นไม่ต่ำกว่า 600 แห่ง เพื่อให้ปี 2559 มีสาขาครบ 10
,000 สาขาทั่วประเทศตามแผนที่วางไว้ วันนี้อาจเป็นเรื่องยากในการ คาดการณ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกที่พร้อมจะฝ่าฟันเพื่อพลิกฟื้น ให้วงการค้าปลีกดีดตัวกลับมา  เป็นหนึ่งใน "จิ๊กซอว์" สำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2559
ตลาดรีเทลภูธรคึกคัก หลังเครือเซ็นทรัลเตรียมผุดอย่างน้อย 5 ห้างใหม่ในช่วง 3 ปี นาวสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ และบริหารโครงการก่อสร้าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่าบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาศูนย์การค้าทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ รวมไปถึงเมืองท่องเที่ยวสำคัญ โดยในปีนี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อย่างน้อยอีก 4-5 โครงการด้วยงบลงทุนรวมกว่า 12,000-14,000 ล้านบาท สำหรับแผนในการเปิดตัวศูนย์การค้าใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัลในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ เริ่มต้นด้วย เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย ซึ่งจะเปิดให้บริการในวันที่ 29 มีนาคม 2557 นี้ ตามมาด้วยเซ็นทรัล พลาซา ศาลายา เปิดให้บริการวันที่ 15 สิงหาคม 2557 ในช่วงต้นปี 2558 จะเป็นกำหนดเปิดเซ็นทรัล พลาซา ระยอง ต่อด้วย เซ็นทรัล เวสท์เกต บางใหญ่ในช่วงกลางปี 2558 และปิดท้ายด้วยเซ็นทรัล พลาซา นครราชสีมา ซึ่งเป็นสาขาที่ 28 ที่บริษัทเพิ่งประกาศการพัฒนา โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2559  สำหรับเซ็นทรัล พลาซา นครราชสีมา ใช้เงินลงทุน 7,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 52 ไร่บนถนนมิตรภาพสายใหม่ เลี่ยงเมืองโคราช  มีพื้นที่โครงการรวม 50,000 ตารางเมตร มีร้านค้ารวมกว่า 400 ร้านค้า เจาะกลุ่มเป้าหมายกำลังซื้อสูงในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง  ทั้งนี้เมื่อเปิดให้บริการ บริษัทคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 50,000-60,000 คนในวันธรรมดา และประมาณ 70,000-80,000 คนในช่วงสุดสัปดาห์ และจะถึงจุดคุ้มทุน 7 ปี

 
"ราชประสงค์ โมเดล" ยกระดับบางกอก ดาวน์ทาวน์ขึ้นแท่นท็อบ 3 ของเอเชีย เทียบชั้นกินซ่า-ออชาร์ด-ฮ่องกง นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ อาร์เอสทีอาร์ กล่าวว่า เป้าหมายภายใน 3 ปีจากนี้ต้องการที่จะปั้นย่านราชประสงค์เพื่อก้าวสู่การเป็นบางกอก ดาวน์ทาวน์ ขึ้นแท่นติด 1 ใน 3 แหล่งช็อปปิ้งระดับเอเชีย เทียบชั้นย่านกินซ่า ญี่ปุ่น , ออชาร์ด สิงคโปร์ และฮ่องกง เพื่อรองรับตลาดและกำลังซื้อที่ขยายตัวอีกมหาศาล ด้วยการลงทุน 6 หมื่นล้านบาทของสมาชิก 5 กลุ่มธุรกิจหลักเพื่อปั้นโมเดลราชประสงค์โฉมใหม่ อาทิ เซ็นทรัลกรุ๊ป-ไมเนอร์กรุ๊ป-ดิ เอราวัณ กรุ๊ป- เกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป และ เดอะ แพลทินั่ม กรุ๊ป ที่เตรียมขยายการลงทุนรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในย่านกว่า 4 แสนคนต่อวันหรือ 145 ล้านคนต่อปี  "สิ่งที่เรามีตอนนี้มันเล็กเกินกว่าที่จะรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในอีก 3 ปีจากนี้แล้ว ซึ่งเราทั้ง 5 กลุ่มทุนหลักในย่านราชประสงค์ต้องการที่จะยกระดับและย้ำภาพกการเป็นแลนด์มาร์คกรุงเทพของย่านราชประสงค์ โดยงบ 6 หมื่นล้านแต่ละค่ายจะทยอยลงทุนและทยอยอวดโฉมในปี 2560"  ทั้งนี้ การลงทุนโครงการใหม่ 6 หมื่นล้านบาทประกอบไปด้วย โฉมใหม่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ดที่จะเริ่มในปี 2559 ศูนย์การค้าเกษร 2 เพิ่มพื้นที่ใหม่ 6.3 หมื่นตร.ม. พร้อมเปิดบริการ 2560 ,โครงการเดอะมาร์เก็ต แพลิทินั่ม (ติดบิ๊กซี) ที่จะเริ่มก่อสร้างและเปิดบริการใน 2 ปีจากนี้ รวมถึงกลุ่มไมเนอร์ที่จะลงทุน 600 ล้านย้ำภาพลักษณ์โรงแรงและเรสซิเดนซ์หรู  รวมถึงการเปิดใช้สกายวอร์ค "บางกอก สกายไลน์" ที่สมาชิกได้ลงทุนร่วมกันกว่า 400 ล้านบาทขยายทางเชื่อมสกายวอร์คจากสถานีชิดลมไปยังแยกประตูน้ำสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าแพลทินั่ม ซึ่งจะเป็นการเปิดทางเชื่อมทั้ง 18 อาคารตลอดทั้งย่านนี้ร่วมกัน ซึ่งหลังจากแผนการลงทุน 6 หมื่นล้านใน 3 ปีแล้วเสร็จจะเพิ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการได้อีกเท่าตัว คือ 8 แสนคนต่อวันและกลายเป็นย่านที่ครบถ้วนของทุกไลฟ์สไตล์ตั้งแต่ลักซ์ชัวรี่ส์จนถึงสตรีทแฟชั่น   (เครดิตอ้างอิง นสพ.ประชาชาติธุรกิจhttp://www.prachachat.net/news_detai...sid=1422363387
http://manager.co.th/Daily/ViewNews....=9580000010539 )
ทุ่ม6หมื่นล้านปรับโฉมการค้าย่านราชประสงค์
สมาคมผู้ประกอบการวิสาหกิจย่านราชประสงค์เทเงินร่วมกันกว่า 6 หมื่นล้าน ปรับโฉมใหม่ เล็งขึ้นแท่นติด 1 ใน 3 ย่านการค้าที่สมบูรณ์แบบในเอเชีย วันอังคาร 27 มกราคม 2558 เวลา 16:42 น. นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ เปิดเผยว่า ปีนี้ สมาชิกของสมาคมฯ เตรียมทุ่มงบประมาณรวมกันกว่า 60,000 ล้านบาท เพื่อปรับปรุง และขยายกิจการ รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และดึงดูดให้มีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นภายใน 3 ปีต่อจากนี้ จากปัจจุบันที่มีผู้มาใช้บริการเฉลี่ยวันละ 400,000 คน เป็นวันละ600,00-800,000 คน พร้อมทั้งวางเป้าหมายขึ้นเป็นที่ 1 ใน 3 ของย่านการค้าที่มีสินค้าของบริการครอบคลุม และสมบูรณ์ที่สุดแบบในเอเชีย  ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อพัฒนาทั้งหมดแล้วเสร็จในปี 61 จะส่งผลให้พื้นที่ค้าปลีกในย่านราชประสงค์จะเพิ่มจาก 884,200 ตร.ม. เป็นกว่า 1,000,000 ตร.ม. และมีจำนวนห้องพักเพิ่มจาก 4,000 ห้อง เป็น 5,000 ห้อง ส่งผลให้เงินสะพัดในย่านเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่า375 ล้านบาทต่อวัน เป็น 500 ล้านบาทต่อวัน  ขณะเดียวกัน สมาคมฯ จะร่วมกันสร้างสะพานลอยที่เชื่อมโยง 18 ตึกสมาชิกในย่านราชประสงค์ให้เดินถึงกันได้ เริ่มต้นตั้งแต่สี่แยกราชประสงค์ไปถึงศูนย์การค้าแพลตินัม ย่านประตูน้ำ เพิ่มเติมจากสะพานลอยเดิม ซึ่งรวมเป็นระยะทาง 1.5 ก.ม. เพื่อสร้างความเชื่อมโยงของพื้นที่การค้า สำหรับการลงทุนเป็นของ 5 สมาชิกสมาคม แบ่งเป็น การลงทุนของเซ็นทรัล กรุ๊ป ที่จะปรับปรุงและเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกภายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซน และอิเซตัน พร้อมทั้งเตรียมเข้าร้านค้าแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อยกระดับศูนย์ฯให้พรีเมียมมากขึ้น , กลุ่มเกษร พร็อพเพอร์ตี้ ลงทุนปรับปรุงภายในศูนย์การค้าเกษร และพัฒนาอาคารสำนักงานใหม่ สูง 30 ชั้น ส่วนเดอะ แพลตินัม กรุ๊ป ลงทุนพัฒนาศูนย์ค้าปลีก-ส่งใหม่ ภายใต้ชื่อเดอะ มาร์เก็ต บายแพลตินัม นอกจากนี้ กลุ่มไมเนอร์ กรุ๊ป และดิ เอราวัณ กรุ๊ป ลงทุนเปลี่ยนแบรนด์โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือไมเนอร์ กรุ๊ปแทน และสุดท้ายเป็นการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยของบริษัทแมกโนเลียควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  เราจะต้องเร่งปรับตัวให้พัฒนาเทียบเท่ากับย่านช้อปปิ้งชื่อดังระดับโลก เพราะตอนนี้มองไปไกลถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งจุดสำคัญที่จะแข่งขันได้ คือห้างร้านจะต้องเชื่อมโยงถึงกัน เพราะจะกระจายคนให้เข้าถึงศูนย์การค้าต่าง ๆได้มากขึ้น นอกจากนี้ก็ต้องมีสินค้าบริการที่ครบครันในที่เดียวด้วย  นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาห้างและเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านราชประสงค์จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว และทำให้อัตราการเข้าพักของโรงแรมในย่านคึกคักกว่าปกติอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชีย เช่น จีน อินเดีย อาเซียนที่ชื่นชอบ การช็อปปิ้งก็จะนิยมพักใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อให้สะดวกกับการเดินทาง ทั้งนี้คาดว่าอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในปี 58 คาดว่าจะอยู่ที่ 83%ซึ่งดีกว่าปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 75%เนื่องจากไม่มีเหตุการณ์ทางการเมือง  (เครดิตอ้างอิงhttp://www.dailynews.co.th/Content/e...B8%84%E0%B9%8C )

RSTAชูราชประสงค์ดาวน์ทาวน์ เอกชนกางแผนลงทุนรวม6หมื่นล้าน  ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ไม่รอภาครัฐ จูงมือร่วมกันลงทุนโครงการมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท พร้อมแนะรัฐหลายด้านเพิ่มศักยภาพธุรกิจไทยแข่งขันนานาชาติ นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ RSTA เปิดเผยว่า นับจากนี้อีก 3 ปีข้างหน้า บริเวณย่านราชประสงค์จะมีการลงทุนพัฒนาโครงการต่างๆ เกิดขึ้นอีกจำนวนมาก เบื้องต้นคาดการณ์ว่าอาจมีมูลค่าราว 60,000 ล้านบาท โดยการลงทุนที่เกิดขึ้นก็เพื่อรองรับปริมาณของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการทำให้ย่านราชประสงค์มีศักยภาพมากพอในการแข่งขันกับต่างประเทศมากขึ้นในทางหนึ่งด้วยเช่นกัน ย่านการค้าหรือแหล่งช็อปปิ้งในต่างประเทศ มักมีการเชื่อมต่อกันภายในย่านเกิดขึ้น เรามองถึงขีดความสามารถของประเทศไทยในการแข่งขันกับต่างชาติในตอนนี้ ว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน การลงทุนที่เกิดขึ้นมาจากภาคเอกชน ที่จะผลักดันให้ย่านแห่งนี้กลายเป็นโมเดล ราชประสงค์ดาวน์ทาวน์และโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจะสร้างให้บริเวณนี้สามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาภายใน 1 วันแล้วคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นนายชาย กล่าว ด้านประเด็นที่อยากจะฝากถึงภาครัฐให้ดำเนินการต่อไป คงจะเป็นความชัดเจนทางด้านนโยบายของรัฐที่อยากให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการปรับลดภาษีก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยไม่ได้มองว่าต้องถึงระดับศูนย์เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องอยู่ในระดับที่แข่งขันกับประเทศอื่นได้ รวมถึงค่าเงินบาทที่ต้องอยู่ในระดับที่พอเหมาะ มองว่าระดับ 32 บาท เหมาะสมที่สุด สำหรับการลงทุนจากมูลค่าดังกล่าวที่กำลังจะเสร็จสิ้นในอนาคตนั้น มาจากสมาชิกผู้ประกอบการภายในย่านราชประสงค์ด้วยกันหลายราย ได้แก่ 1.กลุ่มเซ็นทรัล เตรียมปรับปรุงศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ครั้งใหญ่ คาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงปี 2559 2.ไมเนอร์ กรุ๊ป จะรีแบรนด์โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ในช่วงงบเดือน มี.ค.นี้ ให้กลายเป็นโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ภายใต้เงินลงทุนราว 600 ล้านบาท และจะเป็นแฟลกชิพของโรงแรมในเครืออนันตรา 3.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จากการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมาก็ได้ใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงการไปกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้โรงแรมเป็นไอคอนทีสำคัญของย่าน 4. กลุ่มเกษร พร็อพเพอร์ตี้ ใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาท ในการปรับปรุงและเพิ่มสัดส่วนร้านอาหารเป็น 30% และ 5. เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ผู้พัฒนาโครงการ เดอะ มาร์เก็ต บาย แพลทินัม บนเนื้อที่ 226,500 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 7,500 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2560  นอกจากนี้ ภายในย่านราชประสงค์ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ รวมถึงผู้ประกอบการยังได้ร่วมลงทุนในการสร้างทางเชื่อมบางกอกสกายไลน์ยาว 500 เมตรที่มีการเชื่อมต่อจากแพลทินัม ไปจนถึงศูนย์การค้าเกษร ภายใต้เงินลงทุนอีก 400 ล้านบาท จะเปิดใช้งานได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 นายชายยังกล่าวว่า ปัจจุบันผู้เข้ามาใช้บริการภายในย่านราชประสงค์อยู่ที่ประมาณ 4 แสนคนต่อวัน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวราว 40% เชื่อว่าภายหลังจากที่โครงการต่างๆ ได้ถูกพัฒนาจนแล้วเสร็จแล้ว จะส่งผลให้มีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรือประมาณ 6-8 แสนคนต่อวัน.  (เครดิตอ้างอิง http://www.thaipost.net/news/280115/102209 )

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

โลก 360 องศา - (แผ่นดินไหวที่คุมาโมโตะ บนเกาะคิวชู 2 ระลอก,แผ่นดินไหวที่เอกวาดอร์ คนตายเจ็บอื้อ)



วันนี้ (16 เม.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงาน เหตุแผ่นดินไหวสองครั้งซ้อนที่จังหวัดคุมะโมโตะ เกาะคิวชู ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น โดยขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มเป็นอย่างน้อย 29 ราย บาดเจ็บ 1,500 ราย และเชื่อว่าอีกหลายชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคาร โดยเช้าวันนี้เกิดเหตุอาฟเตอร์ช็อกตามมาขนาด 5.4 แม็กนิจูด ทั้งนี้ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บยังคงเพิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายโทโมยูกิ ทานากะ เจ้าหน้าที่จังหวัดคุมะโมโตะ เปิดเผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการในเหตุการณ์แผ่นดินไหวซ้ำสองช่วง 01.25 น. ขนาด 7.3 แม็กนิจูด อยู่ที่ 19 ราย ส่วนยอดเดิมแผ่นดินไหวคืนวันที่ 14 เม.ย. อยู่ที่ 10 ราย สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ครั้งใหม่ขนาด 7.3 เขย่าเกาะคิวชูซ้ำอีกครั้ง กลางดึกทั้งรุนแรงและสร้างความเสียหายแก่ จ.คูมาโมโต้ หนักกว่าเหตุแผ่นดินไหวในรอบแรกมีผู้เสียชีวิตอีกอย่างน้อย 9 ราย บาดเจ็บอีก 700 ราย ขณะที่เขื่อนแห่งหนึ่งถึงกับแตก จนต้องอพยพประชาชนวุ่น สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ(ยูเอสจีเอส) เปิดเผยว่าได้เกิดแผ่นดินไหวสองระลอกใกล้เมืองคุมาโมโตะ ทางใต้ของญี่ปุ่น แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.2 ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 250 ราย สำหรับแผ่นดินไหวสองระลอกล่าสุดนี้เกิดขึ้นติด ๆ กัน โดยระลอกแรกมีขนาด 7.1 ที่ระดับความลึก 7 กิโลเมตร และขนาด 7.4 ที่ระดับความลึก 40 กิโลเมตร  (เครดิตอ้างอิง : สำนักข่าวบีบีซีไทย)

เอเอฟพี - แผ่นดินไหวรุนแรง 7.0 ที่เกิดขึ้นล่าสุดบนเกาะคิวชูเมื่อช่วงกลางดึกวันเสาร์ (16 เม.ย.) ทำให้อาคารขนาดใหญ่พังเสียหาย และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกอย่างน้อย 10 ราย ขณะที่มีรายงานว่า ภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้เกิดปะทุขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า แผ่นดินไหวลูกล่าสุดเขย่าจังหวัดคุมาโมโตะ บนเกาะคิวชู ตอนประมาณ 01.25 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 23.25น.) โดยมีศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปใต้ดินแค่ 10 กิโลเมตร ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น วัดความรุนแรงได้ที่ 7.1  แรงสั่นสะเทือนรอบนี้ก่อให้เกิดดินถล่มลงมาทับบ้านเรือนประชาชน และปิดกั้นทางหลวงสายหนึ่ง อาคารขนาดใหญ่บางหลังในจังหวัดคุมาโมโตะได้รับความเสียหาย หรือถึงขั้นพังถล่ม ซึ่งแตกต่างจากแผ่นดินไหวเมื่อวันพฤหัสบดี (14) ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งปลูกสร้างเก่าๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ภูเขาไฟอาโสะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงยังเกิดการปะทุขึ้นเมื่อเวลาราว 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยพ่นกลุ่มควันไอน้ำสูงขึ้นไปในท้องฟ้าราว 100 เมตร  เจ้าหน้าที่ยังไม่ระบุว่า การปะทุขนาดย่อมๆ นี้มีส่วนเชื่อมโยงต่อแผ่นดินไหวระลอกล่าสุดหรือไม่ แต่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยังคงคำเตือนไว้ที่ระดับ 2 จากระดับอันตรายสูงสุด คือ 5  โทโมยูกิ ทานากะ เจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดคุมาโมโตะ ระบุว่า ขณะนี้สามารถยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต 10 รายจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อรวมกับแผ่นดินไหวเมื่อวันพฤหัสบดี(14) ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตขณะนี้เพิ่มเป็น 19 ราย ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค รายงานยอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 15 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 760 คน  โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นแถลงว่า อาจยังมีผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคาร หรือถูกฝังทั้งเป็นอีกจำนวนมาก  เจ้าหน้าที่จังหวัดคุมาโมโตะ อีกคนหนึ่งเผยว่า ยังมีคนอีก 11 คน ติดอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่เขตมินามิ-อาโสะ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่เกิดดินถล่ม เรายังไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้างเขาให้สัมภาษณ์โดยไม่ประสงค์ออกนาม  ขณะเดียวกัน ได้เกิดเพลิงไหม้รุนแรงขึ้นที่หมู่อพาร์ตเมนต์ในเมืองยัตสุชิโร จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย  คิจิโร เทราดะ เจ้าหน้าที่ประจำเมืองดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ว่า เราอยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีผู้ที่ติดอยู่ภายในอาคารอีกหรือไม่แต่เวลานี้สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้แล้วที่เมืองคุมาโมโตะ ทางการได้สั่งอพยพคนไข้ออกจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เนื่องจากเกรงว่าตึกอาจพังถล่ม และจากภาพถ่ายก็เห็นได้ชัดว่า อาคารหลังนี้เริ่มที่จะเอียง  ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีที่พักอยู่ในเมืองคุมาโมโตะ ระบุว่า ความรุนแรงของแผ่นดินไหวระลอกล่าสุดทำให้โทรทัศน์ในห้องพักของเขาร่วงหล่นลงมาจากชั้นวาง ขณะที่พนักงานโรงแรมต้องสั่งแขกที่เข้าพักให้รีบหนีออกจากอาคารเพื่อความปลอดภัย  สำนักข่าวจิจิเพรส รายงานว่า แผ่นดินไหวยังทำให้โครงสร้างเพดานภายในอาคารสนามบินคุมาโมโตะ พังถล่มลงมา และสนามบินต้องปิดทำการชั่วคราว โดยยังไม่ระบุว่า จะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลงได้เมื่อใด ส่วนสัญญาณสื่อสารภายในพื้นที่ก็ขาดหายเป็นช่วงๆ  เกน อาโอกิ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ระบุว่า แผ่นดินไหวขนาด 7.0 เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา (16) ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบไม่กี่วัน ส่วนครั้งก่อนหน้าที่มีความรุนแรง 6.2 นั้นเป็นแค่สัญญาณเตือน  เกน นากาตานิ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น แถลงว่า รัฐบาลจะส่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยราว 20,000 คนลงพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหวในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ก็ได้ยกเลิกกำหนดการเดินทางลงพื้นที่เกาะคิวชูเพื่อสำรวจความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อวันพฤหัสบดี(14) และได้เรียกประชุมคณะเจ้าหน้าที่ตอบสนองภัยพิบัติที่กรุงโตเกียว  สิ่งสำคัญที่สุดประการแรกก็คือ การช่วยชีวิตคน... นี่เป็นภารกิจที่ต้องลงมือทำทันทีอาเบะ กล่าว

รอยเตอร์ / เอพี / เอเอฟพี /เอเจนซีส์ /MGR online – ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุด ในรอบหลายสิบปีของเอกวาดอร์เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 235 รายแล้วในวันอาทิตย์ (17 เม.ย.) ขณะที่ทีมกู้ภัยยังคงเร่งทำงานแข่งกับเวลาเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตที่ยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังต่างๆ ตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดจากเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.8 ตามมาตราแมกนิจูด ที่มีศูนย์กลางอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันตกของเอกวาดอร์ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 235 รายแล้ว ขณะที่แรงสั่นสะเทือนซึ่งสามารถรับรู้ได้ทั่วไปในดินแดนที่เป็นบ้านของประชากร 16 ล้านคนแห่งนี้ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว โดยเฉพาะภายในกรุงกิโตที่เป็นเมืองหลวง  ประธานาธิบดีราฟาเอล กอร์เรีย ผู้นำเอกวาดอร์กล่าวระหว่างการเดินทางกลับจากประเทศอิตาลี เพื่อมาดูแลการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศของตนโดยระบุ ในขณะนี้ภารกิจที่ถือว่ามีความสำคัญเป็นลำดับแรก คือ การเร่งค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ที่ยังติดอยู่ตามใต้ซากปรักหักพังของอาคารต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดก็คือ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้คนซึ่งเราไม่มีทางที่จะนำกลับคืนมาได้ผู้นำเอกวาดอร์กล่าวพร้อมยืนยันการประกาศภาวะฉุกเฉิน ในพื้นที่ 6 จังหวัดทางตะวันตกของประเทศ ด้านรองประธานาธิบดีฮอร์เฆ กลาส แห่งเอกวาดอร์ ออกโรงยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดที่อย่างน้อย 235 ราย และว่าตัวเลขของผู้ได้รับบาดเจ็บจากผลพวงของเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.8 แมกนิจูดในครั้งนี้ได้เพิ่มเป็นมากกว่า 1,500 รายแล้ว  รายงานข่าวระบุว่า พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักหน่วงที่สุดทางตะวันตกของประเทศ คือ ที่เขตเปเดร์นาเลสซึ่งเป็นแหล่งตากอากาศยอดนิยม ที่นอกจากสิ่งปลูกสร้างภายในเมืองจะได้รับความเสียหายอย่างหนักแล้ว ยังต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนหลังแผ่นดินไหว หรือ อาฟเตอร์ช็อกที่เกิดขึ้นตามมามากกว่า 160 ครั้ง ล่าสุดมีรายงานว่า ทางกองทัพเอกวาดอร์ได้ส่งกำลังทหารกว่า 13,500 นายเคลื่อนกำลังเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่รัฐบาลเอกวาดอร์เตรียมจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉิน เพื่อออกมาตรการลดทอนผลกระทบทางเศรษฐกิจจากแผ่นดินไหวใหญ่หนนี้ ที่ถือเป็นปัจจัยลบ ซ้ำเติมภาวะราคาน้ำมันที่ดิ่งเหวในตลาดโลก และอาจทำให้เศรษฐกิจของเอกวาดอร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาติสมาชิกที่เล็กที่สุดของกลุ่มโอเปก มีการเติบโตได้ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 นี้
(เครดิตอ้างอิง : คอลัมน์ข่างต่างประเทศ , MGR online)

 

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

City Forests มีอยู่ที่ไหนในโลกบ้าง

จากสภาพภูมิอากาศที่ร้อนสุดๆ ในเวลานี้ของบ้านเรา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า  หากอุณหภูมิบ้านเราสูงขึ้นทุกปีไปอย่างนี้ โดยไม่มีการทำอะไรเลย เพื่อทำให้สภาพอากาศของบ้านเราเย็นขึ้น หรืออุณหภูมิมันลดลง วันนึงเราจะอยู่กันอย่างไร ในขณะที่ประเทศรอบบ้านเรา ในย่านอาเซี่ยน ล้วนมีอุณหภูมิต่ำกว่าเราโดยเฉลี่ยทุกประเทศ สาเหตุหลักอันหนึ่งน่าจะมาจาก ปริมาณของป่า ต้นไม้ในบ้านเรามันลดลง และไม่มีการปลูกเพิ่มขึ้นเลย หรือกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองที่พอจะมีสวนสาธารณะหรือต้นไม้อยู่บ้าง แต่ป่าที่สมบูรณ์ของบ้านเรากลับถูกทำลายลงทุกปี จะพบว่ามีการเผาป่าเกิดขึ้นทุกปี และข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ มีการตัดต้นไม้ใหญ่ ๆ อายุร้อยปี เกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ ใกล้บริเวณริมถนน หรือทางหลวง โดยขาดซึ่งความตระหนักถึงหน้าที่ในการอนุรักษ์ทรัพยากรต้นไม้ ซึ่งมีเหลืออยู่น้อยแล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะโค่น ตัด ทำลายลงไป โดยขาดจิตสำนึกว่า กว่าที่ต้นไม้เหล่านั้นจะมีอายุยืน เติบใหญ่มาได้ถึงเพียงนี้ ใช้เวลาในการบ่มเพาะ รักษามากี่ปี และมันได้ช่วยให้สภาพภูมิอากาศของบริเวณนั้นชุ่มขื่น สดชื่น เพิ่มปริมาณโอโซนในอากาศ และความร่มเย็นแก่สภาพอากาศโดยรวมเพียงใด เรายังไม่ได้เห็นภาครัฐออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีนี้เลย และไม่ค่อยจะเห็นการรณรงค์ปลูกป่า หรือรณรงค์ให้ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศรณรงค์ปลูกต้นไม้ ป่าสีเขียวเพิ่มขึ้นสักเท่าไรในระยะหลังอย่างเอาจริงเอาจัง ภัยแล้งในปีนี้ ผลพวงส่วนหนึ่งก็มาจากสภาวะอากาศโดยรวม ซึ่งมีสาเหตุมาจากพื้้นป่า ต้นไม้ลดลงนั่นเอง มันจึงไม่มีตัวช่วยกักเก็บน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง แม้กระทั่งน้ำตก ก็ไม่มีน้ำเหลืออยู่ อยู่ในสภาพแห้งขอดมาหลายปีแล้ว นี่คือภัยที่น่ากลัวที่สุดแล้ว ไม่อยากจะนึกภาพว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าสภาพการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เราจะอยู่กันได้อย่างไร อาจจะได้เห็นข่าว ประเทศไทยสั่งซื้อ หรือนำเข้าน้ำดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมาทำน้ำประปาหรือ ซื้อน้ำดิบมาทำน้ำดื่ม ยังไม่นับว่าจะหาน้ำจากไหนมาทำเกษตร ซึ่งเป็นปัญหาระดับวาระแห่งชาติแล้ว แต่ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์อะไรเลยจากรัฐบาลทั้งโลกนี้ และโลกหน้า การไปศึกษาดูงานยังต่างประเทศของข้าราชการไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือมาแก้ไขปัญหาประเทศได้ในทางปฏิบัติ มีแต่ตำน้ำพริกละลายงบประมาณประเทศไปในแต่ละปี อย่างไร้ความหวัง

นี่เป็นเพียงการบ่น และพูดถึงปัญหาที่น่าเป็นกังวลที่สุดในขณะนี้ และอยากให้บ้านเมืองเราน่าอยู่และอยู่ได้ อากาศไม่ร้อน เหมือนเมื่อสมัยก่อน สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา เมื่อซัก 50 ปีก่อน อากาศเมืองไทยตอนนั้น ยังไม่ร้อนเท่าทุกวันนี้ ป่าไม้ยังไม่ถูกทำลายเท่าทุกวันนี้

เมืองที่มีต้นไม้สมบูรณ์ น่าอยู่ของโลก มีเมืองใดบ้าง ไปดูกัน

10 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับป่าคนเมือง ในประเทศอเมริกา ได้แก่

Urban Forests in Sacramento , U.S.A


American Forests is excited to announce the 10 best cities for urban forests:  Austin , New York , Charlotte , Portland , Denver , Sacramento , Milwaukee , Seattle , Minneapolis , Washington D.C.

ถ้าในย่านอาเซี่ยน เมืองป่า ที่มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน อยู่บนเกาะโอเอซิสใน ไอส์กานดาร์ มาเลเซีย

Country Garden Unveils ‘Forest City’—Southeast Asia’s Largest Green City Nestled on Island Oases in Iskandar Malaysia

 
มาเลเซีย ผู้นำมีวิสัยทัศน์ สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ที่มีป่า ต้นไม้ พื้นที่สีเขียว ผสมผสานอยู่ในเมือง โดยตัวอาคารกลายเป็นส่วนประกอบของป่าเท่านั้น
 
 


และถ้าเป็นโซนยุโรป ก็จะมีเมืองที่เป็นเมืองแห่งสวนสาธารณะที่ดีที่่สุด ได้แก่  Paris (France)  , Madrid & Barcelona (Spain) , London (England) , Zagreb (Croatia) , Rome & Milan (Italy) , Berlin  & Munich (Germany) , Dublin (Ireland) , Porto (Portugal) , Budapest (Hungary) , Brussels (Belgium) , Amsterdam (Netherland)

Tiergarten Park in Berlin, Germany

Garden of Mont des Arts in Brussels , Belgium



อยากเห็นป่าหรือสวนที่มีต้นไม้รกครึ้มหนาแน่น อยู่ทุกจังหวัด เพื่อจะได้มีโอโซนที่ดีให้คนได้หายใจเอาอากาศดีๆ เข้าสู่ร่างกายบ้าง และอยากเห็นภาครัฐและเอกชนร่วมกัน รวมทั้งภาคประชาสังคมเดินหน้ารณรงค์เรื่่องการปลูกต้นไม้ ปลูกป่า ให้ได้ปริมาณเยอะๆ อย่างจริงจังเสียที เพื่อทดแทนกับปริมาณป่ากับต้นไม้ที่ถูกทำลายลงไปมากในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่ประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็นดินแดนทะเลทรายแห่งใหม่ของอาเซี่ยนแทน

 

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

ถอดรหัสโมเดลธุรกิจ "เลสเตอร์ซิตี้" สโมสรที่มูลค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุดในลีกอังกฤษ




ต๊อบอัยยวัฒน์วางจิ๊กซอว์ให้เลสเตอร์ ซิตี้ต่อยอดธุรกิจคิง เพาเวอร์ ควบโปรโมตท่องเที่ยวไทยผ่านช่องทางพรีเมียร์ลีกทั่วโลก ชี้ปัจจุบันมูลค่าสโมสรคาดพุ่งทะลุ 1 หมื่นล้านบาท เฉพาะสปอนเซอร์ก็มูลค่าเกิน 5 พันล้านบาทแล้ว เดินหน้าอัดฉีดงบราว 2 พันล้านบาทลงทุนหานักเตะ พร้อมเล็งขยายสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยมเพิ่มเป็น 4.2 หมื่นที่นั่ง ด้านวิชัยขอเวลา 5 ปีตั้งหลัก ยืนหยัดในพรีเมียร์ลีก สร้างความแข็งแกร่ง  นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้  เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่าการที่สโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถนำทีมขึ้นสู่ชั้นพรีเมียร์ลีกและยังคงยืนหยัดอยู่ได้ จะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างมูลค่าของทีม ซึ่งจะส่งผลดีในการต่อยอดธุรกิจของคิง เพาเวอร์ กรุ๊ปเอง ควบคู่ไปกับการ มีส่วนช่วย ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่จะขยายฐานการโปรโมตออกสู่นานาชาติเพิ่มขึ้น ผ่านช่องต่างๆของพรีเมียร์ลีกทั่วโลก ทั้งนี้หากให้ประเมินมูลค่าของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ในปัจจุบัน ผมว่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากที่คิง เพาเวอร์ซื้อกิจการมาเมื่อปี 2553 ด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์หรือราวกว่า 5 พันล้านบาท ขณะนี้คาดว่ามูลค่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 1 หมื่นล้านบาท จากขนาดของสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม 3.2 หมื่นที่นั่งกับแฟนบอลขนาดนี้ รวมถึงสปอนเซอร์ที่มีมูลค่าก็เกิน 5 พันล้านบาทไปแล้ว  ขณะที่ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ ในปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่มีกำไรราว 3-4 ล้านปอนด์หรือราว 159-212 ล้านบาท ที่ก็ยังไม่ได้มากมาย  เพราะเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการประสบความสำเร็จในแง่ของการเข้ามาทำธุรกิจด้านนี้  แต่หากสโมสรอยู่ในพรีเมียร์ลีกนานแค่ไหน เงินลงทุนที่เราใส่ไปมากแค่ไหนก็จะกลับมามากเท่านั้น ซึ่งปีนี้ผมมองว่าสโมสรน่าจะปิดกำไรได้เพิ่มเป็นกว่า 10 ล้านปอนด์หรือราว 530 ล้านบาท  


เรื่องของการลงทุนและผลตอบแทนที่ได้รับ ก็จัดว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากจะดูกันจริงๆ ผมบอกกับคุณพ่อ (วิชัย ศรีวัฒนประภา) ว่าจริงๆเงินลงทุน เราได้คืนมาตั้งแต่วันที่สโมสรได้ขึ้นชั้นพรีเมียร์ลีกแล้ว เพราะจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อให้คนที่อยู่ในเมืองเลสเตอร์ออกมาฉลองกันมากถึง 2 แสนคน มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ จะทำอย่างไรให้คนรู้ว่าทีมเลสเตอร์มีคนเชียร์เยอะขนาดนี้ เท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้เหมือนกัน และผมบอกคุณพ่อว่า ซื้อโรงแรมในลอนดอน 1 โรงแรมคนไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักคิง เพาเวอร์หรอก จะซื้ออีก 10 โรงแรมก็ไม่มีคนรู้จัก อาจจะมีคนรู้ก็แค่คนในวงการโรงแรม แต่การซื้อทีมฟุตบอลในราคาเท่ากัน รีเทิร์นแค่เรื่อง ประชาสัมพันธ์และมาร์เก็ตติ้งก็เกินไปแล้ว และถ้ายิ่งอยู่นาน เรื่องเงินก็ได้อีก  นอกจากนี้เขายังฉายภาพต่อว่าการรักษาชั้นพรีเมียร์ลีก ของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ยังมีส่วนในการต่อยอดธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ ที่เราจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ ยกตัวอย่าง แต่ก่อนคนรู้จักแบรนด์คิง เพาเวอร์ อาจจะแค่คนไทยหรือคนที่เดินทาง แต่ว่าตอนนี้กลายเป็นคนรู้จักแบรนด์คิง เพาเวอร์และประเทศไทยไปพร้อมๆกัน มีมากขึ้น เขารู้แล้วว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนของโลก  ผ่านเรื่องราวที่สื่อถึงความเป็นไทยในสนาม ซึ่งมีการถ่ายทอดทางทีวีไปทั่วโลก  เฉพาะคนจีนจะรู้จักเราเพิ่มขึ้น เพราะคนจีนดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ผมเชื่อว่าเกิน 500 ล้านคน เมื่อเขาดูมาก เห็นโฆษณาของคิง เพาเวอร์และแบรนด์อเมซิ่งไทยแลนด์ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ในสนามก็เหมือนกับการประชาสัมพันธ์ที่ทำให้ทราบถึงธุรกิจของคิงเพาเวอร์และความน่าสนใจของการท่องเที่ยวไทยและตัดสินใจซื้อสินค้าของคิงเพาเวอร์เมื่อเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดียวกับคนจากประเทศต่างๆในโลกหรือแม้แต่แฟนบอลในเลสเตอร์เองก็อยากมาเที่ยวเมืองไทย อีกทั้งแม้แต่ตอนนี้เวลาผมเดินทางไปประชุมกับซัพพลายเออร์แบรนด์สินค้าดังๆของโลกเช่นกุชชี่ชาแนลเขาไม่คุยเรื่องยอดขายของคิงเพาเวอร์แต่คุยเรื่องฟุตบอลก่อนแสดงว่าเขารู้ว่าคิงเพาเวอร์เป็นเจ้าของและมองว่าเราจริงจังกับการดำเนินธุรกิจในทุกด้านๆแสดงว่าแบรนด์คิงเพาเวอร์เป็นที่รู้จักไปแล้ว รวมทั้งยังจะมีการขยายไลน์สินค้า  ภายใต้แบรนด์เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีการพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น  เพื่อขยายรายได้จากการขายสินค้าที่ระลึกแบรนด์เลสเตอร์ ซิตี้ เช่น เสื้อ  ที่นอกเหนือจากช็อปขายสินค้าที่ระลึก ในสนามฟุตบอล เมืองเลสเตอร์แล้ว ก็ยังมีการขายในดิวตี้ฟรีและแท็กฟรี ของคิง เพาเวอร์ในไทย ทั้งดาวน์ทาวน์และในสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ก็ยังมีช็อป เลสเตอร์ ซิตี้ ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยามบีทีเอส สยามซึ่งจะรองรับกลุ่มแฟนคลับของเลสเตอร์ ซิตี้ ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันเฉพาะคนไทย มีผู้ติดตามเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ของเลสเตอร์ ซิตี้ แล้วถึง 1.6 แสนคน อย่างไรก็ตามปัจจุบันการขายเสื้อ หรือสินค้าที่ระลึกอื่นๆของแบรนด์สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ อาจจะยังไม่ใช่รายได้หลัก เพราะจริงๆรายได้หลักของสโมสรมาจากสปอนเซอร์ มูลค่าของตัวนักเตะ รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ซึ่งพรีเมียร์ลีก จะมีการเปิดประมูลใหม่ จากเดิมที่ให้อยู่ที่ 65 ล้านปอนด์ (3,445 ล้านบาท) เพิ่มมาเป็นเกือบ 100 ล้านปอนด์ (5,300 ล้านบาท) ก็จะทำให้สโมสรมีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น ส่วนการขายสินค้าที่ระลึก คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปีเมื่อทีมอยู่ในพรีเมียร์ลีกนานเท่าไหร่ แฟนคลับจะมากขึ้นเรื่อยๆ การขายเสื้อก็จะมากขึ้น ซึ่งรายได้ของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ณ วันนี้ที่อยู่ในพรีเมียร์ลีก อยู่ที่ 120 ล้านปอนด์ หรือราว 6,360 ล้านบาท เพิ่มจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ในลีกแชมเปียนชิพ มีรายได้อยู่ที่ราว 10 ล้านปอนด์หรือราว 530 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็เพิ่มขึ้นมาหลายร้อยเท่าตัว   ดังนั้นการสร้างทีมให้ยืนหยัดอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้ จึงถือเป็นเป้าหมายในการบริหารทีมเลสเตอร์ ซึ่งผลการแข่งขันมีความสำคัญ ที่ต้องทำให้เต็มที่ โดยในปีนี้จะใช้งบลงทุนราว 30-40 ล้านปอนด์ (ราว 1,590 -2,120 ล้านบาทในการลงทุนกับตัวนักเตะ  ซึ่งก็เริ่มมองนักเตะที่มีความสามารถมากกว่านี้ รวมถึงนักเตะที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยในทีมมากขึ้น การปรับปรุงสนามที่ก็ต้องดำเนินการทุกปี รวมถึงการขยายการลงทุนขยายจำนวนที่นั่งในสนามฟุตบอลเพิ่มอีกราว 1 หมื่นที่นั่ง จาก 3.2 หมื่นคนเพิ่มเป็น 4.2 หมื่นคน ที่จะเริ่มขออนุญาตในปีหน้า ลงทุนราว 2-3 ล้านปอนด์ หรือราว 106 -159 ล้านบาท  ด้านนายวิชัย  ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้  กล่าวว่า ปีนี้เป็นแรกที่เข้ามาแข่งขันในพรีเมียร์ลีก ประสบการณ์การแข่งขันอาจจะน้อยกว่าคนอื่น ทำให้ผลการแข่งขันอาจจะทำให้คนไทยลุ้นว่าต้องหนีการตกชั้น แต่จากการแข่งขันที่เกิดขึ้นและการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ทำให้ทีมรู้แล้วว่าจุดอ่อนจุดแข็งอยู่ตรงไหน ดังนั้นแผนจากนี้คือขอเวลา 5 ปี เพื่อตั้งหลักก่อน ยืนหยัดในพรีเมียร์ลีก อยู่ในอันดับ 10 กว่าๆก็พอใจแล้วทำทีมให้แข็งแรงเพื่อให้เติบโตแบบยั่งยืนในพรีเมียร์ลีก เนื่องจากเราไม่ได้มีเงินมากเหมือนทีมอื่นๆที่จะไปซื้อนักเตะค่าตัวแพงๆ ส่วนใหญ่จะเน้นการพัฒนานักเตะจากศูนย์ฝึกเลสเตอร์ ซิตี้ อะคาเดมี่ ของสโมสรมากกว่า ทั้งยังให้โอกาสเด็กไทย 16 คนเข้ามาร่วมฝึกที่อคาเดมี่แห่งนี้ เพื่อหวังว่าอนาคตจะมีเด็กไทยเข้ามาเล่นในพรีเมียร์ ลีก  รวมถึงมองการหานักเตะที่มีประสบการณ์มาเสริมเข้ามาเสริม ที่ก็หารืออยู่ 4-5 คนซึ่งปีหน้าน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา  (เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากบทความ “คิงพาวเวอร์ โหน เลสเตอร์ ต่อยอดธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจออนไลน์, 9 มิถุนายน 2558)

ก่อนหน้านี้เมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบปัญหาทางการเงินหนักมาก่อนเช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลทีมอื่นๆ ของ อังกฤษ แต่ความสามารถในการบริหารจัดการอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่มีแผนระยะ 3 ปี เป็นตัวกำหนดทิศทางทั้งด้านการปรับสถานะทางการเงิน ทางธุรกิจ และผลงานการเงินของทีมดูจาก ประการแรก การที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ประสบความสำเร็จในฤดูกาล 2008-2009 ที่ผ่านมา จึงได้รับการปรับสถานะอัตโนมัติให้กลับไปอยู่ในกลุ่มแชมเปียนชิปได้ในที่สุด  ประการที่สอง สโมสรสามารถลดผลขาดทุนได้ถึง 57% จาก 6 ล้านปอนด์ ในปี 2009 และ 14 ล้านปอนด์ในปี 2008 มีความพยายามบริหารงานอย่างรอบคอบระมัดระวัง เมื่อมีการคาดหมายว่ายอดรับจะลดลง เนื่องจากรายรับจากการถ่ายทอดการแข่งขัน  ระดับรายรับรวมของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ลดลงจาก 14.1 ล้านปอนด์ในปี 2008 เหลือ 10.9 ล้านปอนด์ในปี 2009 ขณะที่ค่าใช้จ่ายประจำของสโมสรก็ลดลง ทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับนักเตะ  ประการที่สาม ภาระหนี้สินของสโมสรแห่งนี้ก็ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิหลังหักหนี้สินหมุนเวียนดีขึ้นจาก 10.9 ล้านปอนด์ เป็น 16.1 ล้านปอนด์ และสินทรัพย์รวมสุทธิก็เพิ่มขึ้นจาก 5.5 ล้านปอนด์ เป็น 13 ล้านปอนด์  ประการที่สี่ ประธานของสโมสรได้อัดฉีดเงินก้อนใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงสโมสรเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านปอนด์  ในบรรดาผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้ง 4 ประการข้างต้น ประเด็นที่ถือว่าทำให้สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ สามารถเรียกคืนภาพลักษณ์และชื่อเสียงได้ค่อนข้างมาก คือ ประเด็นเรื่องหนี้สินที่ลดลง ทั้งนี้เพราะแทบไม่มีสโมสรฟุตบอลอังกฤษรายใดเลยที่ทำได้ แม้ว่าโดยภาพรวมแล้วเลสเตอร์ ซิตี้ จะยังเป็นสโมสรที่ประสบกับผลขาดทุนโดยรวมก็ตาม นอกจากนั้น การที่รายรับโดยรวมของเลสเตอร์ ซิตี้ ลดลงไป ก็ไม่ใช่ว่าเกิดกับสโมสรนี้เพียงแห่งเดียว แต่เป็นผลกระทบจากความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นกับแทบทุกสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ และเป็นปัจจัยที่มาจากสภาพตลาดภายนอก ซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถในการควบคุมของสโมสรฟุตบอลเพียงรายใดรายหนึ่ง ทุกสโมสรจึงอยู่ในภาระจำยอมรับสภาพดังกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก การลดลงของรายได้ยังอาจมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีขึ้นมากนัก แฟนคลับจึงพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ดูได้จากจำนวนผู้ชมลีกโดยเฉลี่ยเหลือ 20,250 คนจาก 23,500 คน ในฤดูกาลก่อนหน้า และยอดการขายตั๋วในช่วงฤดูกาลก็ลดลงเป็น 11,600 ใบ จาก 13,965 ใบ ในช่วงฤดูกาลแข่งขันช่วงก่อนหน้านั้น  ฝ่ายปฏิบัติการของสโมสรที่ถือว่าเป็นหัวหอกสำคัญของการปรับปรุงการดำเนินงานครั้งนี้และทำงานอย่างหนักในการพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรักษาฐานรายได้ไว้เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานโดยรวมลดลงได้ตามความคาดหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับนักเตะลดลงถึง 3.3 ล้านปอนด์ เหลือ 11.2 ล้านปอนด์ จาก 14.5 ล้านปอนด์ ในปีก่อนหน้า ขณะที่สโมสรสามารถผลักดันให้มูลค่าทางการตลาดของตัวนักเตะเพิ่มขึ้นได้ ด้วยการสนับสนุนนักเตะหนุ่มที่มีพรสรรค์ในการพัฒนาเป็นนักเตะมืออาชีพและสร้างผลงานในระดับที่เป็นเลิศได้  สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ บริหารจัดการเรื่องของการพัฒนานักเตะที่เป็นเด็กสร้างของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม มีโปรแกรมที่ถือว่าเป็นโปรแกรมเสริมทักษะฟุตบอลที่จัดให้เป็นการเฉพาะกับทีมคนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสแก่นักเตะกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น  ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในเกณฑ์ที่โดดเด่นกว่าสโมสรฟุตบอลอังกฤษอีกหลายทีมก็คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องของการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเอาจริงเอาจัง และการวางระบบควบคุมทางการเงินที่เข้มงวดเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าสโมสรจะกลับมาเป็นทีมที่มีความสามารถในการทำกำไรได้อีกครั้งหนึ่ง ภายใต้แผนกลยุทธ์พลิกฟื้นกิจการ 3 ปีที่กล่าวมาแล้ว  การใช้สภาวะความเป็นผู้นำในการบริหารสโมสรได้อย่างเหมาะสมทำให้ทุกคนในทีมมีความผูกพันและพันธะสัญญาร่วมกันที่จะทำให้สโมสรได้รับการยอมรับให้อยู่ในกลุ่มที่มี เสถียรภาพทางการเงินและการดำเนินงานที่เป็นโมเดลทางธุรกิจฟุตบอลที่ยั่งยืน และใช้ปัจจัยดังกล่าวนี้เป็นการส่งเสริมและสร้างความก้าวกระโดดของสโมสรไปสู่ระดับของพรีเมียร์ลีก สิ่งที่นักวิเคราะห์ทางการเงินและนักลงทุนพอใจต่อเลสเตอร์ ซิตี้ คือ การเน้นการวางแผนในระยะยาวแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ อย่างเดียว  จากงบการเงินจะเห็นว่า มูลค่าของสินทรัพย์ถาวรของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า แม้ว่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิจะยังเป็นลบเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาระหนี้สินที่มีระยะครบกำหนดภายใน 1 ปี อยู่ในเกณฑ์สูงถึง 17.2 ล้านปอนด์ แต่สินทรัพย์สุทธิหลังจากหักภาระหนี้สินระยะยาว ถ้าเปลี่ยนจากที่เคยติดลบ 5.5 ล้านปอนด์ เป็นบวก 13.0 ล้านปอนด์  นอกจากนั้นผลขาดทุนสะสมทางบัญชีที่ยังมีจำนวนสูงมากถึง 26.7 ล้านปอนด์ แม้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นจะเป็นบวก 13.0 ล้านปอนด์ จากที่เคยติดลบ 5.5 ล้านปอนด์  ภาระหนี้สินที่มียอดหนี้คงค้างสูงน่าเป็นเหตุผลให้สโมสรแห่งนี้ต้องการแสวงหานักลงทุนที่จะสามารถอัดฉีดเงินเข้ามาช่วยเหลือเพื่อลดยอดหนี้ได้ตามเงื่อนไข (เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากบทความ "กลุยุทธ์ 3 ปีฟื้นกิจการ พลิกสถานะการเงินทีมเลสเตอร์ ,ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์, 3 กันยายน 2553)  
ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น สำหรับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในการเข้าไปถือหุ้นใหญ่สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ของอังกฤษ จากนั้นก็พาทีมสุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์ไทย ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ลีก แชมเปียนชิพ ฤดูกาล 2013-14 พร้อมกับก้าวขึ้นสู่ศึกพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีในฤดูกาลหน้าได้เป็นที่เรียบร้อย


นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสร และนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร ได้ให้รางวัลกับนักเตะ ซึ่งนำโดยแคสเปอร์ ชไมเคิล นายทวารทีมชาติเดนมาร์ก ลูกชายของปีเตอร์ ชไมเคิล อดีตสุดยอดนายทวารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดวิด นูเจนท์ เจมี วาร์ดี และเวส มอร์แกน กัปตันทีม โดยมีไนเจล เพียร์สัน เป็นผู้จัดการทีม ที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดปี ด้วยการพามาพักผ่อนหย่อนใจที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต เมื่อระหว่างวันที่ 8-14 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งบรรดาผู้เล่นของทีมต่างแฮปปี้ถ้วนหน้าพร้อมกันนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ยังได้นำถ้วยแชมป์ลีก แชมเปียนชิพ มาให้เราได้ชื่นชมกันด้วย เพื่อขอบคุณที่ช่วยกันเชียร์และสนับสนุนทีมของชาวไทยมาตลอด  สำหรับอนาคตของทีมสุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์ไทยจากนี้ไป แน่นอนว่ามูลค่าของทีมจะมีสูงขึ้นทันที!!!  ด้วยเพราะพรีเมียร์ลีก เป็นที่ทราบดีว่า เป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีผู้ชมมากที่สุดในโลก เลสเตอร์ ซิตี้ จะได้ประชันฝีเท้ากับสุดยอดทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ปีล่าสุด ลิเวอร์พูล รองแชมป์ เชลซี อาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะนำมาซึ่งรายได้ที่มากมายมหาศาลหลายเท่าตัวนัก  รายได้หลักๆที่จะถีบตัวมากขึ้น จะมาจากค่าตั๋วเข้าชมจากแฟนบอล การจำหน่ายของที่ระลึก รายได้จากบริษัทผู้สนับสนุนสโมสร ที่จะหลั่งไหลเข้ามา ซึ่งจะครอบคลุมการขายลิขสิทธิ์ในการนำเครื่องหมายการค้าของสโมสรไปผลิตและจำหน่ายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆทั่วโลก ซึ่งก็จะสามารถนำเงินที่ได้มาจ้างผู้เล่นดีๆเข้าทีมมาเสริมความแข็งแกร่งได้อีก  ส่วนรางวัลและส่วนแบ่งจากลิขสิทธิ์การถ่าย ทอดสด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรายได้ ก็จะได้เข้าสโมสรอีกไม่น้อย โดยจากตัวเลขของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่เพิ่งจบไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รับเงินรางวัล 24 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด 98 ล้านปอนด์ ส่วนลิเวอร์พูล ได้เงินรางวัล 22 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด 99 ล้านปอนด์ ขณะที่คาร์ดิฟ ซิตี้ อันดับ 20 ได้เงินรางวัล 1.2 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดอีก 64 ล้านปอนด์  ที่สำคัญไปกว่านั้น การที่ทีมมีเจ้าของเป็นชาวไทย จะมีมูลค่าที่สูงแตกต่างออกไป ตรา คิง เพาเวอร์บริษัทของไทย ที่คาดอยู่ที่หน้าอกเสื้อแข่ง จะทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่ว ซึ่งตรงนี้ถือว่ามีส่วนเกี่ยวของกับไทยเราโดยตรง เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก  ขณะที่การประชาสัมพันธ์ สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ นายอัยยวัฒน์กล่าวว่า เราต้องการให้ชาวไทย ได้มีส่วนร่วมกับการสนับสนุนทีมสุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงได้เตรียมแผนประชาสัมพันธ์ไว้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแฟนเพจ และมีแผนที่จะให้เลสเตอร์ ซิตี้ มาโชว์ฝีเท้าในไทย ช่วงเดือน ก.ค.นี้ โดยจะมีทีมดังจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือสโมสรในยุโรปมาเป็นคู่ต่อสู้  ผมรู้ว่าแฟนบอลชาวไทย มีทีมในพรีเมียร์ลีก เชียร์เป็นหลักอยู่แล้ว แต่การที่เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมของคนไทย ก้าวขึ้นสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษ ก็อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม อย่างน้อยขอให้เลสเตอร์เป็นทีมที่ 2 ที่แฟนบอลจะร่วมเชียร์ไปด้วยกัน ก็จะเป็นเรื่องดีทีเดียว เราจะค่อยๆสร้างแฟนคลับของทีมให้มีมากขึ้น คิดว่าถ้ามีแฟนบอลเชียร์เลสเตอร์ได้ 20 เปอร์เซ็นต์จากกว่า 10 ล้านคนที่ดูฟุตบอล ก็ถือว่าประสบความสำเร็จรองประธานเลสเตอร์ ซิตี้ กล่าว  “พาทีมขึ้นชั้นได้แล้ว จำนวนแฟนคลับที่ต้องการให้มีเพิ่มขึ้น ถือเป็นเป้าหมายต่อไปที่นับว่าท้าทายไม่น้อย...” 

ข้อมูลโดยสังเขปของทีม :

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี (อังกฤษ: Leicester City Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองเลสเตอร์ ในแคว้นเลสเตอร์เชอร์ ประเทศอังกฤษ ตามสถิติของสโมสร ส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ใน 2 ดิวิชั่นสูงสุดของอังกฤษ ยกเว้นเพียงปีเดียวในฤดูกาล 2008-09 ที่ตกชั้นจากฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพไปเล่นในฟุตบอลลีกวัน แต่ก็ได้แชมป์และเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกแชมเปียนชิปในปีถัดมา สโมสรเคยมีอันดับสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของดิวิชัน 1 ในฤดูกาล 192829

เลสเตอร์ซิตีก่อตั้งในปี ค.ศ. 1884 ใช้ชื่อว่า เลสเตอร์ฟอสส์ (Leicester Fosse) ตามชื่อถนนที่สนามเหย้าในขณะนั้นตั้งอยู่  และเข้าร่วมสมาคมฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่ปี 1890  พร้อมกับย้ายมาใช้สนามที่ถนนฟิลเบิร์ต ตั้งแต่ปี 1891 สโมสรใช้สนามที่ถนนฟิลเบิร์ตเป็นสนามเหย้ามาเป็นเวลา 111 ปี  จึงย้ายมาอยู่ที่สนามฟิลเบิร์ตเวย์ ขนาด 32,500 ที่นั่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกันตั้งแต่ปี 2002 ปัจจุบันสนามแห่งนี้ใช้ชื่อว่า วอล์กเกอร์ส สเตเดี้ยม มาจากชื่อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว Walkers ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก และหลังจากการเข้าซื้อกิจการโดยกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์จากประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2010 ก็ได้มีโครงการขยายความจุของสนามเป็น 42,000 ที่นั่ง และเปลี่ยนชื่อเป็น "เดอะ คิงเพาเวอร์ สเตเดียม" สโมสรเคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ในปี 1949  และอีกสามครั้งในปี 1961, 1963, 1969  ไม่เคยได้รับตำแหน่งแชมป์ ในเดอะ แชมเปี้ยนส์ชิพ ฤดูกาลที่ 201314 เลสเตอร์ซิตีได้แชมป์ เดอะแชมเปี้ยนชิพ แต่ต่อมาในช่วงทัวร์ปรีซีซั่นที่เมืองไทยได้มีข่าวว่า ทอม ฮอปเปอร์, อดัม สมิธ และ เจมส์ เพียร์สัน มีเซ็กซ์กับหญิงชาวไทยและพูดเชิงเหยียดหยามเชื้อชาติ ที่สุดทางสโมสรต้องขับไล่นักฟุตบอลทั้ง 3 คนนี้ออกไป และต่อมาไม่นาน ทางสโมสรก็ได้ตัดสินใจปลด ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมออก เนื่องจากในฤดูกาล เลสเตอร์ซิตีอยู่ในตารางคะแนนลำดับท้าย ๆ นานถึง 140 วัน ถึงแม้ว่าเพียร์สันจะสามารถพาสโมสรชนะ 7 นัด จาก 9 นัดหลังสุดจนกระทั่งจบฤดูกาลด้วยอันดับ 14 ทำให้รอดพ้นจากการตกชั้นก็ตาม และได้แต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี ชาวอิตาเลียน อดีตผู้จัดการสโมสรเชลซี เข้ามารับตำแหน่ง ด้วยสัญญา 3 ปี  อดีตนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของสโมสร ได้แก่ กอร์ดอน แบงส์ (19591967), ปีเตอร์ ชิลตัน (19661974), แกรี ลินีเคอร์ (19781985), เอมิล เฮสกี (19942000) และร็อบบี้ ซาเวจ (19972002) สโมสรตั้งอยู่ในภาคมิดแลนด์สตะวันออกของอังกฤษ และถือว่าทีมคู่แข่งร่วมภูมิภาค ได้แก่ ดาร์บีเคาน์ตี และนอตติงแฮมฟอเรสต์ แต่ทีมที่ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญ คือโคเวนทรีซิตี ที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในภาคมิดแลนด์สตะวันตก ซึ่งถือว่าอยู่คนละภูมิภาคกันและอยู่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็อยู่ห่างออกไปเพียง 24 ไมล์ หรือประมาณ 38.6 กิโลเมตร และทั้งสองเมืองเชื่อมต่อกันด้วยทางหลวงสาย M69  สื่อจึงมักขนานนามการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมว่า เอ็ม 69 ดาร์บี้แมตช์