วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับมังกรจีน

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับมังกรจีน


“มังกร”เป็นสัตว์ในเทพนิยายของหลายชาติด้วยกัน มังกรของบางชาติก็มีนิสัยดุบ้าง ในขณะที่บางชาติก็นิสัยดี แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การที่มังกรมักจะปรากฏอยู่คู่ชาวจีนและแผ่นดินจีนอยู่เสมอ เช่น เรามักจะพบเห็นได้ว่ามีการเปรียบชาวจีนเป็นชาติมังกรบ้าง เปรียบแผ่นดินจีนเป็นดินแดนมังกรบ้าง เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเปรียบกันในแง่มุมไหน สิ่งที่เป็นที่รับรู้กันทั่วไปอีกประการก็คือ การที่มังกรเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีน การใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีนดังกล่าว หากดูอย่างผิวเผินแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะไม่ว่าชาติไหนๆ ต่างก็มักจะนิยมนำเอาสัตว์อันเป็นมงคลหรือมีความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นสัญลักษณ์ให้กับผู้มีฐานะสูงส่ง แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ในกรณีของจีนนั้นนับว่ามีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะจีนเป็นสังคมที่มีเงื่อนไขบางประการมากำหนดให้แตกต่างไปจากชาติอื่นๆ อยู่อย่างน้อย 2 ประการด้วยกัน ประการแรก จีนเป็นชาติที่มีแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ประการที่สอง จีนเป็นชาติที่มีจำนวนประชากรมากมายมหาศาล เป็นความจริงที่ว่า เงื่อนไขประการแรก นั้นมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คือหากยึดเอาแผ่นดินจีนตามแผนที่จีนในปัจจุบันเป็นตัวตั้งแล้ว ก็จะพบว่า บางสมัยจีนก็มีแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล บางสมัยก็เล็กกว่า แต่ถ้าเปรียบเทียบกับชาติอื่นๆ แล้ว จีนยังคงนับได้ว่าเป็นชาติที่มีแผ่นดินกว้างใหญ่กว่าชาติอื่นๆ อยู่ดี ส่วนเงื่อนไขในประการต่อมานั้นแทบมิต้องกล่าวถึง เพราะไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม จีนล้วนมีอัตราส่วนจำนวนประชากรที่มากกว่าชาติอื่นๆ มาโดยตลอด ก็ด้วยเงื่อนไขทั้ง 2 ประการดังกล่าว จึงกลายเป็นเหตุผลที่ว่า ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดแล้ว คนผู้นั้นไม่เพียงจะต้องได้รับการยอมรับจากประชากร (อันมากมายมหาศาล) เป็นพื้นฐานเท่านั้น หากยังจะต้องมีอำนาจเพียงพอที่จะบริหารจัดการขอบขัณฑสีมาอันกว้างใหญ่ไพศาลให้มีความมั่นคงอยู่ต่อไปไห้ได้อีกด้วย จากเงื่อนไขที่ว่านี้ทำให้เห็นว่า ฐานะการเป็นจักรพรรดิจีนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่ว่าทั้งก่อนและหลังจากที่คนคนนั้นก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิแล้ว ด้วยเหตุนี้ การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดิจีนผู้มี “มังกร” เป็นสัญลักษณ์จึงมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย ในอันที่จะทำให้เราเข้าใจระบบการเมืองการปกครองของจีนในอดีตกาล ว่ามีสิ่งที่แตกต่างอย่างไรจากสังคมอื่น และยังคงมีอิทธิพลต่อการเมืองจีนในปัจจุบันหรือไม่อย่างไร ถึงแม้ในปัจจุบันนี้จีนจะมิได้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้วก็ตาม

กำเนิดมังกร

ไม๋เป็นที่ชัดแจ้งว่า มังกรของจีนนั้นมีกำเนิดตั้งแต่เมื่อไร แต่เชื่อกันว่าผู้ให้กำเนิดมังกรนั้นคือ “หวงตี้” หรือ “จักรพรรดิเหลือง” ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์แรกของจีน (รายละเอียดเกี่ยวกับหวงตี้จะได้กล่าวถึงต่อไป)

กล่าวกันว่าเมื่อหวงตี้สามารถรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ของจีนที่อาศัยอยู่ตรงบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองหรือหวงเหอ (Yellow River) ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว หวงตี้จึงทรงคิดอ่านที่จะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาใช้สำหรับอาณาจักรใหม่ที่รวบรวมมาได้ หวงตี้เห็นว่า จำเดิมก่อนที่จะมีการรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ขึ้นมานั้น แต่ละชนเผ่าจะมีสัญลักษณ์เป็นของตนเองอยู่แล้ว และสิ่งที่ถูกเลือกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของเผ่า หากไม่เป็นสัตว์ต่างๆ ก็จะเป็นดอกไม้ (totem) ดังนั้น เมื่อหวงตี้ทรงคิดที่จะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาใหม่ พระองค์จึงนำสัญลักษณ์เดิมของแต่ละเผ่ามารวมกัน วิธีการก็คือ เลือกตัดเอาเฉพาะอวัยวะบางส่วนของสัตว์สัญลักษณ์เหล่านั้นมารวมกันเป็นสัตว์ตัวใหม่ และเมื่อประกอบกันเข้าแล้ว สัตว์สัญลักษณ์ตัวใหม่จึงปรากฏออกมาโดยมีรูปร่างหน้าตาเป็น “มังกร” ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน อวัยวะบางส่วนของสัตว์สัญลักษณ์เดิมที่ถูกตัดเอามาประกอบเข้าเป็นมังกรนั้น อาจแยกได้ดังนี้ ส่วนหัวเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าวัว ,ลำตัวของเผ่างู ,เกล็ดและหางของเผ่าปลา, เขาของเผ่ากวาง, และเท้าของเผ่านก รวมแล้วมาจากสัตว์สัญลักษณ์ 5 ชนิดด้วยกัน หากพิจารณาจากที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า อวัยวะของสัตว์ทั้งห้าชนิดยังไม่ครบตามที่ได้ปรากฏจริงในตัวของมังกร เช่น หนวดมังกรก็ไม่ได้กล่าวไว้ว่ามาจากอวัยวะของสัตว์สัญลักษณ์ตัวใด เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่ว่าในชั้นหลังต่อมาจะมีผู้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรเพิ่มเติมขึ้นมา แล้วได้ข้อสรุปที่แตกต่างกันออกไป เช่นว่า มังกรมีหัวมาจากอูฐ ,มีตามาจากปีศาจหรือตัวมาร หรือกระต่าย ,มีคอมาจากงู ,มีส่วนท้องมาจากหอยแครงยักษ์ ,มีเล็บมาจากนกอินทรี, มีฝ่าเท้ามาจากเสือ ,และมีหูมาจากวัว เป็นต้น คงกล่าวไม่ได้ว่าความแตกต่างดังกล่าวใครถูก-ใครผิด หรือใครถูกมากกว่า-ใครผิดมากกว่า เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว ผู้ศึกษาแต่ละคนต่างก็ศึกษาจากภาพมังกรทั้งสิ้น และจากภาพที่วาก็เห็นได้ชัดถึงรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไปของมังกรอีกด้วย แต่สิ่งที่น่าทึ่งไม่น้อยก็คือ แม้ไม่อาจระบุได้ว่า มังกรของจีนจะถือกำเนิดหรืออยู่ในความเชื่อของชาวจีนมาตั้งแต่เมื่อไร แต่จากการค้นพบมังกรหยกสีเขียวเข้มด้วยความบังเอิญของชาวนาคนหนึ่งในขณะกำลังปลูกต้นไม้ (ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในจีน) ที่มองโกเลียใน (Inner Mongolia) เมื่อปี 1971 นั้นชวนให้ตะลึงไม่น้อย เพราะหลังจากที่มีการพิสูจน์ทางโบราณคดีแล้วก็พบว่า มังกรหยกชิ้นดังกล่าวมีอายุไม่ต่ำกว่า 5000 ปีมาแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าจัดอยู่ในยุคหินใหม่(Neolithic) หรือที่จีนเรียกว่า “ยุควัฒนธรรมหงชาน” มังกรหยกชิ้นนี้มีลำตัวยาวกว่า 50 เซนติเมตร มีปากยาว จมูกสูง ตาโต มีหลังที่ถูกตกแต่งเป็นแผงยาว จากรูปร่างหน้าตาดังกล่าว มีบางคนเห็นว่าหยกชิ้นนี้มีรูปร่างหน้าตาที่ใกล้เคียงกับหมู ในแง่นี้มีเหตุผลน่าเชื่ออยู่ด้วย เพราะหมูจัดเป็นสัตว์เลี้ยงรุ่นแรกๆ ที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่ยุคบุพกาล และเป็นสัตว์ที่ถูกนำมาเซ๋นสังเวยให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยเดียวกันนี้ด้วย ด้วยเหตุผลที่วา นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า บางทีหมูอาจจะเป็นต้นแบบของมังกรที่เราเห็นกันในปัจจุบันก็ได้ ซึ่งหากพิจารณาถึงเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์สังคมแล้ว นับว่ามีน้ำหนักน่าฟังและน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แม้มังกรจะถูกอธิบายอยางแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความหมายที่โดดเด่นในกรณีมังกรของจีนก็คือ มังกรจีนจะมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจากมังกรของชาติอื่นๆ และมังกรจีนเองยังมีความแจ่มชัดถึงที่มา ว่ามาจากการรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยหวงตี้ ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อเวลาผ่านไปจนเมื่อจีนตระหนักถึงความสำคัญของการรวมชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว มังกรจะถูกเลือกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่องยาวนานนับเป็นพันๆ ปี และผู้ที่ใช้สัญลักษณ์นี้ทั้งในรูปแบบและเนื้อหาในฐานะที่เป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจ และศูนย์รวมแห่งจิตใจของชาวจีนก็คือ จักรพรรดิ

จากมังกรมาถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับจักรพรรดิ

เรื่องราวความเป็นมาของจักรพรรดิจีนนั้นมีรายละเอียดที่ค่อนข้างจะสลับซับซ้อน แต่ก็สามารถแยกถึงที่มาได้โดยภาพรวมว่า ด้านหนึ่ง เป็นที่มาที่อธิบายผ่านตำนานปรัมปรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยืนยันได้ว่าจริงหรือเท็จ อีกด้านหนึ่งเป็นที่มาที่อธิบายผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์จี่นเอง ในด้านนี้มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่าด้านแรก ในด้านแรกที่เป็นตำนานนั้น ชี้ให้เห็นว่า จีนเองก็ไม่ต่างไปจากอีกหลายๆ ชาติที่มักจะอธิบายที่มาของตนโดยผ่านตำนาน ตำนานที่เต็มไปด้วยความพิสดารและปาฏิหารย์มหัศจรรย์พันลึก กล่าวคือ จีนมีตำนานที่บอกเล่าถึงเทพที่ไม่อาจอธิบายตัวตนเชิงรูปธรรมได้ เทพที่ว่านี้ประกอบด้วยเทพสวรรค์หรือ “เทียนหวง” เทพพิภพหรือ “ตี้หวง” และเทพมนุษย์หรือ “เหญินหวง” รวมเรียกว่า “ไตรเทพ” หรือ “ชานหวง” จากนั้นจึงเป็นเรื่องราวของผู้ทึ่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชาติจีนขึ้นมา นั่นคือ หวงตี้ ควรกล่าวด้วยว่า ก่อนที่จะมีหวงตี้นั้น จีนยังมีผู้นำที่มีบทบาทสูงอยู่อีกจำนวนหนึ่ง เช่น คนหนึ่งคือ อิ่วเฉา ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้สอนให้มนุษย์รู้จักการสร้างที่อยู่อาศัย คนหนึ่งคือ ซุ่ยเหญิน ผู้สอนให้มนุษย์รู้จักการใช้ไฟ คนหนึ่งคือ ฝูซี ผู้สอนให้มนุษย์รู้จักเครื่องมือในการหาปลาและล่าสัตว์ และอีกคนหนึ่งคือ เสินหนง ผู้สอนให้มนุษย์รู้จักการทำการเกษตร เป็นต้น คงด้วยคุณูปการดังกล่าว ทำให้ทั้งหมดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าในที่สุด ผิดกับหวงตี้ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทต่อจากเทพเหล่านั้น กล่าวคือหวงตี้สามารถสู้รบกับศัตรูผู้รุกรานจนได้รับชัยชนะ จากนั้นก็ทรงรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ตรงบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองเป็นปึกแผ่นเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เป็นไปโดยการยอมรับของประชาชนในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงพร้อมใจกันยกย่องให้หวงตี้เป็นผู้ปกครองของพวกตน ตลอดการปกครองของหวงตี้ ได้มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย เช่น เสื้อเกราะ เรือ เกวียน เครื่องปั้นดินเผา การแพทย์ คณิตศาสตร์ ผ้าไหม สถาปัตยกรรม เป็นต้น จึงไม่แปลกใจที่ด้วยคุณูปการเหล่านี้เองที่ทำให้หวงตี้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ปกครองสูงสุดคนแรกของจีน หวงตี้จึงมีฐานะเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ไปด้วย ไม่เหมือนกับเทพก่อนหน้านั้น กล่าวเฉพาะหวงตี้แล้ว ยังคงเป็นที่สงสัยกันว่า พระองค์มีตัวตนจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่ตำนานเพื่อให้ชาวจีนมีเรื่องเล่าถึงที่มาของตน? ข้อสงสัยนี้หากกล่าวในแง่หลักฐานแล้วอาจสรุปได้ว่า เรื่องราวของพระองค์ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดยืนยันในทางวิชาการ จะมีก็แต่เพียงการสันนิษฐานเท่านั้น ว่าพระองค์น่าจะมีตัวตนอยู่จริง เพราะเรื่องราวของพระองค์ได้ถูกกล่าวถึงเมื่อจีนเริ่มมีราชวงศ์แรกขึ้นมานั่นคือ ราชวงศ์เชี่ย (2100-1600 ปีก่อน ค.ศ.) ต่อมาคือ ชาง (1600-1066 ปีก่อน ค.ศ.) และโจว (1066-221 ปีก่อน ค.ศ.) เกี่ยวกับเรื่องนี้คงถือเป็น ภาระของนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีต่อไป


อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสมัยหวงตี้ไปแล้ว ยุคตำนานที่ว่านี้ยังมีกษัตริย์ขึ้นมาปกครองจีนอีก 4 พระองค์คือ จวนชวี คู่ เหยา และชุ่น โดยทั้งสี่พระองค์ต่างก็มีคุณูปการที่โดดเด่นแตกต่างกันไป และตามตำนานก็ได้ยกย่องให้เป็นผู้นำโดยใช้คำว่า “ตี้” เรียกต่อท้ายพระนามของแต่ละพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้โดยบทบาทของหวงตี้จะโดดเด่นมากกว่าก็ตาม แต่ชาวจีนก็ตั้งใจที่จะนำพระองค์ไปรวมเข้ากับกษัตริย์ทั้งสี่นี้แล้วเรียกว่า “ห้าจักรพรรดิ” หรือ “อู่ตี้” จากนั้นประวัติศาสตร์จีนจึงเข้าสู่ยุคสมัยที่มีราชวงศ์ขึ้นมา อันสะท้อนถึงพัฒนาการทางการเมืองที่เริ่มมีความเป็นระบบมากขึ้น ราชวงศ์ที่ว่านี้มีอยู่ 3 ราชวงศ์ ด้วยกันคือ เชี่ย ชาง และโจว ในสามราชวงศ์นี้ ราชวงศ์เชี่ย จัดเป็นราชวงศ์ที่ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอยู่น้อย ส่วนราชวงศ์ชางและโจวนั้นเริ่มมีมากขึ้น ดังนั้น ราชวงศ์เชี่ยจึงมักจะมีความลักลั่นกันระหว่างยุคตำนานกับยุคต้นประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันนี้ แม้จะมีการพบหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอายุ ตรงกับสมัยราชวงศ์เชี่ยก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันได้อย่างชัดเจนถึงการมีอยู่ของราชวงศ์นี้ จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ประมาณร้อยปี (คือในปลายสมัยราชวงศ์ชิง) ราชวงศ์ชางอันเป็นราชวงศ์ที่สืบต่อจากราชวงศ์เชี่ยเองก็มีฐานะไม่ต่างกันมากนัก นั่นคือ มีแต่บันทึกที่กล่าวอ้างถึงการมีอยู่ของราชวงศ์ แต่ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมาพิสูจน์ จนเมื่อมีการค้นพบ “กระดูกมังกร” หรือที่เรียกในเวลาต่อมาว่า “เจียกู่เหวิน” นั้น จึงทำให้ราชวงศ์ชางได้รับการยืนยันถึงการมีอยู่จริงในที่สุด กรณีของราชวงศ์เชี่ยอาจตั้องรอเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม การมีอยู่จริงของราชวงศ์ชางนับว่ามีความหมายอย่างมาก นั่นคือ จากหลักฐานที่ค้นพบได้ทำให้เรารู้ว่า ราชวงศ์ชางมีพิธีกรรมอันเกี่ยวกับการพยากรณ์ โดยผู้ที่ทำพีธีกรรมนั้นคือ ขุนนางชั้นสูง จากพิธีกรรมนี้ทำให้เห็นต่อไปว่า คนในสมัยราชวงศ์ชางมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ว่า “ช่างตี้” หมายถึงเทพเจ้าผู้สูงสุด จากกรณีนี้ทำให้เห็นอีกว่า เวลานั้น (เป็นอย่างช้า) จีนมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน (ช่าง) ที่อยู่เหนือธรรมชาติแล้ว และต่อมาเบื้องบนที่ว่านี้ก็สัมพันธ์กับสวรรค์ ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องบนนั้น จีนก็หมายที่จะให้เป็นเทพ(ตี้) ที่ซึ่งต่อมาก็จะสัมพันธ์กับจักรพรรดิเช่นกัน นอกจากนี้ หลักฐานดังกล่าวยังทำให้เรารู้ต่อไปว่า ในสมัยราชวงศ์ชาง จีนเริ่มมีปฏิทินใช้แล้ว โดยปีนับตามสุริยคติและเดือนนับตามจันทรคติ ตามวิธีนับในเวลานั้นทำให้ 1 ปีมีทั้งสิ้น 12 เดือน ส่วน 1 เดือนจะมีจำนวนวันที่นานที่สุด 30 วัน และน้อยที่สุด 29 วัน จนเมื่อเวลาผ่านไป ปฏิทินของจีนก็มีความลงตัวมากขึ้น จนสามารถกำหนดจักรราศีเป็นของตนเองขึ้นมาใช้อย่างเป็นระบบ

การแสดงออกซึ่งอำนาจของชนชั้นปกครองดังกล่าว เริ่มพัฒนาขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งเมื่อถึงยุคของราชวงศ์โจว เพราะพอถึงสมัยนี้ กษัตริย์ของราชวงศ์โจวก็ได้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับ “ช่างตี้” มากขึ้น โดยกษัตริย์ของราชวงศ์นี้อ้างว่า “เทียน” หรือ “สวรรค์” (Heaven) อันเป็นที่สิงสถิตของ “ช่างตี้” ไม่พอใจพฤติกรรมทรราชของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชาง จึงได้มอบหมายให้ชนชั้นปกครองของรัฐโจวโค่นล้มราชวงศ์ชางลงไป จากนั้นก็สถาปนาราชวงศ์โจวขึ้นมา การกล่าวอ้างเช่นนั้นของราชวงศ์โจวได้ทำให้ “เทียน” หรือ “สวรรค์” มีฐานะสูงส่งขึ้นมาทันที เพราะเมื่อ “เทียน” ไม่พอใจชนชั้นปกครองเดิม และมอบหมายให้ชนชั้นปกครองใหม่มาโค่นล้มเช่นนั้น ก็ย่อมหมายความว่า ชนชนปกครองใหม่มิได้ติดต่อกับ “ช่างตี้” ในฐานะคนธรรมดา สามัญอีกต่อไป แต่กลับเป็น “ช่างตี้” ที่มาจุติบนโลกเพื่อปราบยุคเข็ญเสียเอง คือเป็นโอรสของ “เทียน” ที่ถูกส่งลงมาอีกต่อหนึ่ง ด้วยเหตุนั้น กษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวจึงอ้างความชอบธรรมในเวลาต่อมาว่า แท้จริงแล้วตนก็คือ “โอรสแห่งสวรรค์” (Son of Heaven) หรือ “เทียนจื่อ” ที่ได้รับ “อาณัติแห่งสวรรค์” (Mandate of Heaven) หรือ “เทียนมิ่ง” เพื่อให้มาทำหน้าที่แทนสวรรค์นั่นเอง จะมีที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมก็แต่เพียงราชวงศ์โจวยังคงเรียกผู้นำสูงสุดของตนว่า “หวัง”หรือกษัตริย์อยู่เช่นเดิม ยุคราชวงศ์โจวนี้จัดได้ว่าเป็นสมัยหนึ่งที่อารยธรรมจีนได้เติบโตเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ก็จัดได้ด้วยว่า เมื่อถึงคราวเสื่อมแล้วก็เสื่อมอย่างถึงที่สุดเช่นกัน จนความเสื่อมทีว่านี้ได้เป็นที่อ้างอิงกันต่อๆ มาในหมู่นักประวัติศาสตร์จีน และเป็นที่รู้จักกันในนามของยุค 2 ยุคติดต่อกันคือ ยุควสันตสาร์ท (770-476 ปีก่อน ค.ศ.) และยุครัฐศึก (475-221 ปีก่อน ค.ศ.) ทั้ง 2 ยุคดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์โจวโดยประมาณ และเป็นยุคที่เต็มไปด้วยการรบพุ่งระหว่างรัฐต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มีประเด็นที่ควรอธิบายด้วยว่า แต่เดิมในสมัยราชวงศ์เชี่ยและชางนั้น (โดยเฉพาะราชวงศ์ชาง) จีนมีรัฐต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อยู่ประมาณ 3000 รัฐ แต่ครั้นพอมาถึงราชวงศ์โจวซึ่งมีอำนาจและความก้าวหน้าในทางการเมืองมากขึ้น รัฐต่างๆ ก็ถูกกลืนจนเหลือประมาณ 1800 รัฐ จนเมื่อเข้าสู่ยุควสันตสาร์ท การรบพุ่งระหว่างรัฐใหญ่น้อยต่างๆ ก็ทำให้จำนวนรัฐในยุคนี้งวดลงมาเหลือประมาณ 170 รัฐแล้วรัฐทั้งหมดนี้ก็รบพุ่งกันต่อไป จนเมื่อเวลาผ่านไป ความเป็นจริงหรือธรรมชาติของสงครามที่มีผู้แพ้ผู้ชนะก็ทำให้จีนเหลือรัฐใหญ่ๆ ที่มีอำนาจเหนือรัฐอื่นทั้งหลายทั้งปวงอยู่เพียง 10 รัฐ และทั้งสิบรัฐนี้มีรัฐที่ทรงอำนาจจริงๆ อยู่เพียง 7 รัฐเท่านั้น รัฐทั้งเจ็ดนี้ประกอบด้วยรัฐ ฉี ฉู่ เอี้ยน หาน จ้าว และเว่ย ทั้งนี้โดยมีรัฐฉินเป็นรัฐที่มีความแข็งแกร่งที่สุด ในยุครัฐศึกที่จีนเหลืออยู่เพียง 7 รัฐใหญ่นี้เอง ที่ผู้นำของแต่ละรัฐ ต่างตั้งตนเป็นใหญ่โดยเรียกตนเองเป็นกษัตริย์หรือ “หวัง” แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดก็คือว่า ด้วยความคิดที่จะตั้งตนเป็นใหญ่นี้เอง ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงความคิดเกี่ยวกับรัฐในแบบจักรวรรดิหรืออาณาจักร (Empire) ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และรัฐที่ชูความคิดนี้โดดเด่นกว่าใครก็คือ รัฐฉิน จนกระทั่งราวๆ 200 กว่าปีก่อน ค.ศ. รัฐนี้ก็สามารถปราบรัฐที่เหลือทั้ง 6 ได้สำเร็จ ความคิดในการสร้างรัฐแบบจักรวรรดิจึงเกิดเป็นจริงขึ้น

ณ จากจุดนี้เองที่ทำให้กษัตริย์ของรัฐฉินเกิดความคิดว่า หากตนยังคงเรียกฐานะผู้นำสูงสุดของตนเองว่า “กษัตริย์” ดังเดิม การอยู่เหนือรัฐอื่นๆ อีกหกรัฐก็จะไม่มีความหมาย เพราะไม่ได้แสดงความแตกต่างทางอำนาจแต่อย่างใด ซึ่งผู้นำรัฐทั้งหกยังคงเรียกตนเองว่า “หวัง” อยู่เช่นเดิม เหตุดังนั้น กษัตริย์ของรัฐฉินจึงคิดค้นคำเรียกตนเองขึ้นมาใหม่ได้เป็นคำว่า “หวงตี้” ซึ่งแปลอย่างเป็นทางการได้ว่า “จักรพรรดิ” ถึงตรงนี้จำเป็นต้องหวนกลับมาพิจารณาคำทั้งสองพยางค์ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้ ในเบื้องต้น คำว่า “หวงตี้” นี้เป็นคำที่มีความผูกพันกับการพัฒนาการของการเรียกเทพหรือผู้นำชาวจีน เมื่อก่อนหน้านี้โดยตรง โดยคำว่า “หวง” นั้น ในระยะแรกจะหมายถึงแสงอันรุ่งโรจน์ ความงดงาม หรือความยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ก่อนสมัยราชวงศ์ฉิน คำคำนี้จึงถูกนำมาใช้เรียกแทนเทพทั้งสามของจีนตามตำนานความเชื่อเรื่อง “ไตรเทพ” หรือ “ซานหวง” ส่วนคำว่า “ตี้” นั้นในระยะแรกหมายถึงเจ้าแห่งสวรรค์หรือ “เทียนตี้” หรือเทพผู้สูงสุดหรือที่เรียกว่า “ช่างตี้” และในยุครัฐศึก คำคำนี้ก็ถูกนำมาใช้เรียกผู้นำของรัฐต่างๆ ทั้งเจ็ดรัฐ ซึ่งในเวลานั้นต่างก็มีเขตอำนาจของตนอยู่ตามแต่ละทิศทาง เช่น ถ้าอยู่ทางตะวันตกก็เรียกว่า “เจ้าแห่งประจิม” (ซีตี้) อยู่ทางตะวันออกก็เรียกว่า “เจ้าแห่งบูรพา” (ตงตี้) พอมาในช่วงหลังจากนั้นก็ยังมี “เจ้าแห่งมัชฌิม” (จงตี้) และ “เจ้าแห่งอุดร” (เป่ยตี้) อีกด้วย เป็นต้น การใช้คำว่า “ตี้” ในยุครัฐศึกนี้ ด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอ้างความชอบธรรมให้แก่อำนาจของกษัตริย์ในยุคนี้ และผู้ที่จะนำมาใช้อ้างได้ก็หาใช่ใครอื่นไม่ นอกจาก “ห้ากษัตริย์” หรือ “อู่ตี้” นั่นเอง จากที่มาและความสัมพันธ์ของคำว่า “หวง” และ “ตี้” ดังกล่าว กษัตริย์แห่งรัฐฉินจึงได้นำคำทั้งสองมารวมกันเป็น “หวงตี้” แล้วสถาปนาตนเองเป็นปฐมจักรพรรดิของจีนภายใต้ราชวงศ์ฉิน (221-206 ปีก่อน ค.ศ.) โดยมีพระนามว่า “ฉินสื่อหวงตี้” (หรือ “จิ๋นซีฮ่องเต้” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว) และเป็นปฐมบทของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จีนสืบแต่บัดนั้นอีกเป็นเวลากว่าสองพันปี

ชีวิตของจักรพรรดิ 


โดยทั่วไปแล้ว ที่มาของจักรพรรดิจีนจะไม่ต่างกับชาติอื่นๆ ในแง่ที่ว่า หากไม่มาจากการปราบดาภิเษกก็มาจากการราชาภิเษก แต่ที่ว่าพิเศษก็คือว่า มีอยู่หลายช่วงที่สังคมจีนตกอยู่ในภาวะสุญญากาศที่ “ว่าง”จากจักรพรรดิ การที่จักรพรรดิมีที่มาดังกล่าว จักรพรรดิจึงได้รับการเคารพยกย่องด้วยประการทั้งปวง ตัวจักรพรรดิจึงกลายเป็นมนษย์ที่สามารถมีและใช้ชีวิตเหนือคนธรรมดาสามัญ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การมีและใช้ชีวิตเยี่ยงเทพนั่นเอง เริ่มจากการเป็นอมตะด้วยการถูกแซ่ซ้องสรรเสริญและเรียกขานว่า “ว่านซุ่ย” หรือ “พระหมื่นปี” คำว่า “ว่านซุ่ย” นี้เท่าที่มีหลักฐานพบว่า ในยุครัฐศึกก็มีการใช้กันแล้ว โดยใช้อวยพรให้มีอายุยืนนาน ครั้นเมื่อจีนเข้าสู่ยุคศํกดินาหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปแล้ว คำคำนึ้จึงถูกนำมาใช้เรียกขานแทนองค์จักรพรรดิ เกี่ยวกับการใช้กับองค์จักรพรรดินั้น มีข้อสันนิษฐานถึงที่มาเป็น 2 ทางด้วยกัน ทางหนึ่งเชื่อว่า เริ่มจากการใช้ถวายพระพรแก่ผู้เป็นกษัตริย์ ซึ่งมีมาเป็นเวลายาวนานแล้ว และไม่สามารถระบุเวลาได้ว่าเริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อไร อีกทางหนึ่งเชื่อว่า เริ่มใช้กันอย่างเป็นทางการในสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อน ค.ศ.-ค.ศ.220) โดยจักรพรรดิอู่ตี้ (141-87 ปีก่อน ค.ศ.) คือเริ่มใช้ในปี 110 ก่อน ค.ศ.) โดยใช้เพื่ออวยยศอวยชัยแก่องค์จักรพรรดิ แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม การใช้คำคำนี้ยังมีความสำคัญในแง่ของกาละเทศะอีกด้วย

แม้มังกรจะถูกใช้คู่กับจักรพรรดิ แต่การใช้ในฐานะสัญลักษณ์แห่งโชคลาภหรือมงคลก็ยังได้รับการเอ่ยอ้างจากคนธรรมดาอยู่ด้วยเช่นกัน ตราบจนถึงสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ในรัชสมัยหยงเล่อ (ค.ศ.1403-1424) บรรดาขุนนางในราชสำนักจึงได้มีมติที่จะสละสัญลักษณ์มังกรที่ตนเคยมีสิทธิ์ใช้เมื่อก่อนหน้านี้ถวายแก่องค์จักรพรรดิไปแต่เพียงผู้เดียว และสืบจากนั้นมา มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เคียงคู่กับจักรพรรดิในฐานะ “เจ้ามังกร” (Dragon King) ครั้นมาถึงราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ในรัชสมัยหยงเจิ้ง (ค.ศ.1723-1735) ก็ยกระดับการใช้สัญลักษณ์มังกรขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งคือ ถึงขั้นเป็นมังกรที่ทรงเดชานุภาพไปทั่วทุกสารทิศในฐานะ “มังกรแห่งสี่คาบสมุทร” (the Dragon of the Four Seas) และนับแต่นั้นมา มังกรก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ห่างเหินจากประชาชนราวฟ้ากับดิน จนเมื่อสมบูรณาญาสิทธิราชย์จีน ถูกโค่นล้มลงไปแล้วนั้นเอง ความสัมพันธ์ของมังกรกับประชาชนจึงได้กลับมาใหม่อีกครั้ง

สัญลักษณ์อย่างต่อมาก็คือ สีเหลือง ความเป็นมาของสีเหลืองนี้มีความเกี่ยวพันกับความคิดเรื่องการเกษตรของสังคมจีนโดยแท้ ทั้งนี้สีเหลืองถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนดิน นอกจากนี้ ยังผูกพันกับความเชื่อเรื่องศาสตร์ “เฟิงสุ่ย” (หรือ “ฮวงจุ้ย” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว) ในฐานะธาตุดิน ความคิดความเชื่อทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์กันในทางสังคมอย่างแยกไม่ออก ฉะนั้นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการจัดการกับ 2 สิ่งนี้ได้ดี จึงมักจะได้รับการยกย่องเป็นธรรมดา และคนผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชนชั้นปกครอง ซึ่งก็คือกษัตริย์นั่นเอง จากเหตุนี้เองในคัมภีร์ “อิ้จิง” อันเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของจีนที่ว่าด้วยการพยากรณ์จึงให้ความสำคัญกับสีเหลือง และได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของมังกรกับสีเหลืองในทำนองว่า หากกษัตริย์เปรียบได้กับมังกร สีเหลืองก็ย่อมเปรียบได้กับความเจริญงอกงามหรือความรุ่งเรือง ความได้เปรียบนี้หมายความว่า ผู้ที่เป็นผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ และความดีงามย่อมสามารถสร้างความอยู่ดีกินดีให้แก่ประชาชน โดยความอยู่ดีกินดีนี้เป็นไปภายใต้วิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ที่ซึ่ง “ดิน” หรือ “สีเหลือง” จะต้องมีความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง ในทางตรงข้าม หาก “ดิน” ขาดความอุดมสมบูรณ์ ก็ย่อมหมายความว่า คนที่เป็นผู้นำคนนั้นย่อมมีข้อบกพร่อง “สีเหลือง” หรือฐานะ “มังกร” จึงมิอาจเป็นสัญลักษณ์ที่คู่ควรแก่ผู้นำคนนั้นได้อีกต่อไป ดังนั้นสีเหลืองจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ไปด้วย คือเป็นสัญลักษณ์ของเทพในบางครั้งบางกรณี ด้วยเหตุนี้ บันทึกของจีนจึงระบุว่า สีเหลืองได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “เทียนจื่อ” หรือโอรสแห่งสวรรค์ ครั้งพอมาถึงสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ.581-618) สีเหลืองจึงถูกนำมาใช้เป็นสีของจักรพรรดินับแต่นั้นมา และจะใช้คู่กับมังกรเสมอ และใช้มาตราบจนสมบูรณาญาสิทธิราชย์จีนได้ล่มสลายลงไป ในเมื่อจักรพรรดิเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น จักรพรรดิจึงย่อมมีขนบจารีตที่ดูเป็นมงคลอยู่เสมอ ขนบจารีตหนึ่งที่ถูกใช้ก็คือ การใช้ปีศักราช “กานจือ” กับการครองราชย์ของตนเอง แต่ที่เพิ่มเข้ามาในชั้นหลังก็คือ การที่จักรพรรดิได้มีชื่อรัชกาลเฉพาะตนขึ้นมาด้วย การใช้ชื่อรัชกาลเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในราชวงศ์ฮั่น การมีชื่อรัชกาลนี้ได้ถูกนำมาสัมพันธ์กับปีศักราช “กานจือ” และเป็นชื่อที่ไม่นับเป็นชื่อจักรพรรดิ ซึ่งจะมีต่างหากออกไป ซึ่งมีกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากการใช้ชื่อรัชกาลนี้เริ่มในสมัยราชวงศ์ฮั่น กล่าวคือ จักรพรรดิองค์แรกที่ใช้คือ เหวินตี้ (180-157 ปีก่อน ค.ศ.) โดยชื่อ เหวินตี้ นี้เป็นชื่อจักรพรรดิ ซึ่งจักรพรรดิทุกพระองค์มีใช้กันเป็นปกติ เหวินตี้มีพระนามเดิมว่า “หลิวเหิง” ในรัชสมัยของพระองค์ได้ริเริ่มให้มีการใช้ชื่อรัชกาลเป็นครั้งแรก โดยตัวของพระองค์ทรงมีชื่อรัชกาลว่า “โฮ่วหยวน” ชื่อรัชกาลของพระองค์ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่ครองราชย์ หากแต่เกิดหลังจากนั้นอีก 16 ปี กล่าวเฉพาะราชวงศ์ฮั่นแล้ว อู่ตี้ (พระนามเดิมคือ หลิวเชอ) จัดเป็นจักรพรรดิที่มีชื่อรัชกาลมากที่สุด คือมีถึง 11 ชื่อ แต่ที่มากที่สุดคือ จักรพรรดิราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) คือเกาจง (ค.ศ.650-683) ซึ่งมีพระนามเดิมว่า หลี่จื้อ นั้น ทรงมีชื่อรัชกาลมากถึง 14 ชื่อ ตราบจนถึงราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง อันเป็น 2 ราชวงศ์สุดท้ายของจีนนั้นเอง จักรพรรดิจีนจึงมีชื่อรัชกาลเพียงชื่อเดียวจนสิ้นราชวงศ์ ตัวอย่างการเรียกพระนามจักรพรรดิโดยตรงก็เช่น การเรียก พระนามจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์ถัง ดังจะเห็นได้จากการเรียกจักรพรรดิ ไท่จง (ค.ศ.626-649) ซึ่งมีพระนามเดิมว่า หลี่ซื่อหมิน ด้วยคำว่า ไท่จง แทบจะตลอดรัชกาล ถึงแม้พระองค์จะมีชื่อรัชกาลเพียงชื่อเดียวว่า เจินกวน ก็ตาม ในทางตรงกันข้าม ครั้นพอมาถึงสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ซึ่งจักรพรรดิมีชื่อรัชกาลเพียงชื่อเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ก็มักจะเรียกชื่อรัชกาลเสียโดยมาก ทั้งนี้อาจเห็นได้จากที่มีการเรียกชื่อจักรพรรดิของทั้งสองราชวงศ์ ด้วยชื่อรัชกาลแทบทุกพระองค์ เช่น ในราชวงศ์หมิงจะเรียกจักรพรรดิ ไท่จู่ (ค.ศ.1386-1398) ด้วยชื่อรัชกาล หงอู่ หรือในราชวงศ์ชิงจะเรียกจักรพรรดิ เซิ่งจู่ (ค.ศ.1661-1722) ด้วยชื่อรัชกาลว่า คังซี หรือเรียกจักรพรรดิ เกาจง (ค.ศ.1736-1795) ว่า เฉียนหลง เป็นต้น

เมื่อมีชื่อรัชกาลเรียกต่างหากจากชื่อจักรพรรดิ และใช้ชื่อปีศักราช “กานจือ” มาเรียกกำกับกับชื่อรัชกาลแล้ว สิ่งต่อมาที่จักรพรรดิจีนพึงมีอย่างแตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปก็คือ ชีวิตความเป็นอยู่ที่สัมพันธ์กับการสืบสายกระจายพันธุ์ “มังกร” ออกไปเพื่อดำรงวงศ์จักรพรรดิเอาไว้ แน่นอนว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของจักรพรรดิจีนย่อมเต็มไปด้วยความหรูหราอลังการ และมีรายละเอียดที่ซับซ้อนไม่ต่างไปจากจักรพรรดิหรือกษัตริย์ของชาติอื่นๆ เป็นธรรมดา สิ่งที่สะท้อนถึงชีวิตที่แตกต่างจากผู้คนทั่วไปอย่างเป็นรูปธรรมเรื่องหนึ่งก็คือ การที่จักรพรรดิมีพระสนมมากมายจนบ่อยครั้งได้ส่งผลต่อเสถียรภาพของสถาบันจักรพรรดิ เพราะพระสนมได้เข้ามามีบทบาทในทางการเมืองแทนจักรพรรดิหรือไม่ก็เข้ามาแทรกแซง พระสนมจะแสดงบทบาทเช่นนี้ได้มากน้อยเพียงใด ด้านหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับระดับความใกล้ชิดที่มีต่อจักรพรรดิด้วย กล่าวกันว่า จักรพรรดิที่มีพระสนมมากที่สุดคือ อู่ตี้ (ค.ศ.265-289) แห่งราชวงศ์จิ้น คือมีมากถึงกว่าหนึ่งหมื่นพระองค์ จากที่กล่าวมานี้เป็นเพียงชีวิตบางด้านที่เกียวพันกับความเป็นสถาบันของจักรพรรดิจีนเท่านั้น ยังมิได้ลงลึกในรายละเอียดด้านอื่นๆ ที่เป็นชีวิตส่วนตัว ซึ่งมีความพิสดารพันลึกให้ได้เล่าขานอยู่อีกมากมาย ชีวิตส่วนตัวที่ว่านี้มีตั้งแต่อาหารการกิน วังที่พำนัก การรับใช้ของข้าราชบริพาร การแต่งองค์ทรงเครื่อง การใช้เครื่องประทินโฉม กิจวัตรประจำวัน ความสามัคคีและความขัดแย้ง รวมตลอดจนชีวิตทางเพศ ฯลฯ ชีวิตทำนองนี้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งมีทั้งที่เป็นโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม แต่เพียงเท่านี้ก็คงพอได้เห็นภาพของความสลับซับซ้อนได้ไม่ยากว่า เป็นชีวิตที่ถูกทำให้สอดคล้องกับฐานะอันสูงส่งของตัวจักรพรรดิเอง ไม่ว่าจะในฐานะมังกร โอรสแห่งสวรรค์ หรือผู้ใช้อาณัติแห่งสวรรค์ ที่จะว่าไปแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข แต่ก็เป็นชีวิตที่ใครต่อใครต่างก็ใฝ่หา อย่ากได้ใคร่มีและใคร่เป็นกันทั้งนั้น ถึงที่สุดแล้ว จักรพรรดิจีนก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมามีฐานะอันสูงส่งจนดูเหนือมนุษย์ทั่วไป แต่กระนั้น ฐานะที่ว่านี้ก็หาได้ยืนยันว่าจักรพรรดิจะเป็นคนที่โชคดีเสมอไปไม่ ในบางสมัยอาจจะใช่ แต่บางสมัยกลับมีชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องร้ายๆ ซึ่งก็เป็นไปตามกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ ยั่งยืนนั่นเอง

หมายเหตุ ถอดความบางส่วนจากบทความ “จีนานุจีน :มีมังกรอยู่บนฟ้า” โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล ,china & east asia journal ,สำนักพิมพ์ openbooks)


วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

พุทธทำนาย แม่นมาก ยิ่งกว่าโหรใดๆ

16 คำทำนายของพระพุทธเจ้า สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้เป็นอย่างดี


ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น จึงขอนำเรื่อง "พุทธทำนาย" อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย

1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น เปรียบเสมือนการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในบ้านเมืองขณะนี้ เสื้อแดง เสื้อเหลือง ฝ่ายอำมาตย์หรือฝ่ายค้าน ฝ่ายปกครองหรือทหาร และก็ประชาชนที่อยู่กลางๆ ในบ้านเมือง

2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว เปรียบเสมือนวัยรุ่น ดาราวัยรุ่นชื่อดังในยุคนี้ ต่างมีเพศสัมพันธ์หรือมีบุตรก่อนวัยอันควร มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ระมัดระวัง จนเกิดปัญหาการทำแท้ง ดังที่เป็นข่าวเมื่อปีที่แล้วที่พบศพเด็กทำแท้งกว่า 3,000 กว่าศพ ในวัดแห่งหนึ่ง (มีการนำไปทำเป็นภาพยนตร์ด้วย) จนกลายเป็นประเด็นให้สังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นก็เงียบหายไป

3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น เปรียบเสมือนกรณีแม่ใจร้ายนำลูกสาวตัวเองออกเร่ขายตัวเพื่อหาเลี้ยงชีพโดยไม่คำนึงถึงประเด็นจริยธรรม ศีลธรรมในจิตใจสำหรับความเป็นแม่และลูกบังเกิดเกล้าของตนแต่อย่างใด

4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น เปรียบเสมือนประเทศไทยตอนนี้ที่ได้ผู้นำรัฐบาลเป็นสตรีที่ชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตรซึ่งไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน และไม่มีความสามารถหรือศักยภาพมากพอที่จะก้าวมาเป็นผู้นำประเทศได้ แต่กลับถูกผลักดันโดยพี่ชาย (ทักษิณ) ให้มาเป็นผู้นำพรรคและนายกรัฐมนตรี แล้วนำพาประเทศไปสู่หายนะเสียหายมากมาย อาทิ เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา,ข้อพิพาทกับกัมพูชาทำให้ไทยเสียดินแดน,การดำเนินนโยบายผิดพลาด ประชานิยม ก่อให้เกิดการกู้เงิน สร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากมาย การนำเอาเงินภาษี่ของประชาชนไปจ่ายให้กับพวกพ้องตนเองอย่างไม่เป็นธรรม ฯลฯ

5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก เปรียบเสมือนรัฐบาลปัจจุบันตั้งกลุ่มคนซึ่งเป็นมวลชนของตนที่เคลื่อนไหวล้มรัฐบาลก่อนหน้า ขึ้นมาเสวยสุขมีอำนาจ แต่แล้วก็ตั้งงบประมาณประเทศมากำนัลให้กับคนของตนเองอ้างว่าเป็นผู้ถูกผลกระทบจากการชุมนุมเรียกร้อง (ทั้งๆ ที่เจตนาในการมาชุมนุมเรียกร้องนั้นไม่บริสุทธิ์ อีกทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเรียกร้องไม่ใช่มีแต่กลุ่มตนกลุ่มเดียว มีภาคธุรกิจที่เสียหาย เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมาย ประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุม กลับไม่ได้รับการจ่ายเงินชดเชยด้วยเลย ทั้งๆที่ประชาชนเหล่านั้นก็ถือเป็นประชาชนเทียบเท่ากับประชาชนคนของพวกเขา ในประเทศเดียวกัน ที่เขาได้อำนาจมาปกครองเหมือนกัน

6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด เปรียบเสมือนกรณีที่ทักษิณไปจ้างมิสเตอร์อัมสเตอร์ดัม ทนายยิวตัวแสบ ให้มาฟ้องเล่นงานกระบวนการยุติธรรมของไทย โจมตีสถาบันตุลาการของไทย และแม้กระทั่งร่วมในกระบวนการล้มเจ้า โจมตีสถาบันกษัตริย์ของไทย และยังเชื้อเชิญให้มาเป็นแขกของรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ มาเสนอหน้าในกลุ่มเสื้อแดงอีกด้วย

7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า เปรียบเสมือนสภาพสังคมเหลวแหลกในหมู่วัยรุ่น สตรี กรณีของโคโยตี้ พริ้ตติ้ น้องจ๊ะคันหู เด็กวัยรุ่นที่ไปเต้นเปลือยหน้าอกในงานวันสงกรานต์ เป็นต้น

8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ เปรียบเสมือนกรณีที่รัฐบาลทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนด้านธุรกิจพลังงาน จึงตั้งตนของตนเองและไปมีผลประโยชน์ในปตท. อีกทั้งยังปล่อยให้ ปตท.ปรับขึ้นราคาเอาเปรียบ ซ้ำเติม ผู้ใช้บริการซึ่งก็คือคนไทยทั้งประเทศอย่างโลภ กระหาย และนับวันธูรกิจพลังงานก็จะสูบเลือดประชาชนกินมากขึ้นไปอีก อย่างไม่มีวันเพียงพอเสียที

9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น เปรียบเสมือนแถวภาคใต้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่แหล่งผลประโยชน์ของพรรครัฐบาลปัจจุบัน เขาก็ปล่อยให้มีเรื่องฆ่าครู ฆ่าทหาร ฆ่าพระ กันรายวัน ไม่สนใจจะลงไปดูแล หรือพัฒนาแก้ไขใดๆ แต่ในเมืองกรุงหรือที่ใดเป็นแหล่งผลประโยชน์ของรัฐบาลก็จะ ส.(ใส่เกือก)เข้าไปจุ้นด้วยทุกที่ เช่น ผลประโยชน์ในสวนจตุจักร ก็ให้ การรถไฟไปยึดสัมป่ทานพื้นที่กลับคืนมาจาก กทม.โดยที่ตนเองก็ไม่ถนัดที่จะเข้าไปบริหารงานร้านค้าในจตุจักร แต่ข้าอยากได้ผลประโยชน์อ่ะ ใครจะทำไม

10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง

11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้) เปรียบเสมือนกรณีลัทธิแปลกๆ พวกจานบิน ที่มีวิธีการสั่งสอนคนที่มาหลงใหล ศรัทธาแบบผิด ๆ เช่น บริจาคทำบุญมากๆ จะได้บุญมาก ได้ขึ้นสวรรค์ หรือถึงขั้นนิพพานได้เลย ซึ่งเป็นคำสอนที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ และอวิชชาอย่างที่สุด

12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้ เปรียบเสมือนสังคมไทยปัจจุบันนี้ มีนักเคลื่อนไหวทางการเมือง สร้างมวลชน ปลุกระดมด้วยชุดความคิดผิดๆ มีเจตนาไม่ดีต่อบ้านเมือง ซึ่งไปทำงานรับใช้นักการเมืองเลว และสร้างเครดิตให้ตนเองด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ผ่านสื่อเลวมอมเมาความคิดคน มาพูดสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลหรือนักการเมืองเลวเหล่านั้น โดยเพียงเป็นสมุนรับใช้ ได้รับผลประโยชน์สินบนบางอย่าง อาทิ แกนนำมวลชน อดีตนักพูดที่ถนัดในการปั้นน้ำเป็นตัว

13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย เปรียบเสมือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีเกียรติคุณความดี เป็นเสาหลักให้กับสังคม ปัจจุบันออกมาพูดชี้นำทางสังคมใดๆ ก็จะถูกโจมตี ให้ร้าย จนไม่กล้าจะออกมาพูดชี้ถูกผิด ชี้นำทางสังคมให้กับบ้านเมือง จนคำพูดของท่านเหล่านั้น ไม่เป็นที่รับฟังของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ อาทิ ประธานองคมนตรี ราษฏรอาวุโส ผู้อำนวยการองค์กรระหว่างประเทศอังค์ถัด อดีตนายกรัฐมนตรี ฯลฯ

14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้ เปรียบเสมือนเหตุการณ์ที่รัฐบาลในปัจจุบันปล่อยกลุ่มคนเสื้อแดงรุกไล่ทหาร, ข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ ,คุกคามสื่อสารมวลชน ไปคุกคามประชาชนคนทั่วไปอย่างอหังการ์ แบบไม่เคารพสิทธิมนุษย์ชนใดๆ และไม่เคารพขื่อแป เป็นต้น

15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา

16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก "พุทธทำนาย" เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง น้ำมากจนกลายเป็นมหาอุทกภัยก็เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่เจริญพันธุ์ขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า "....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล" นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ฟรีทีวีโชว์ช่วงไพร์มไทม์ รายการใดน่าสนใจใน พ.ศ.นี้ (ตอนที่ 1)



ปีนี้นอกจากจะเป็นปีมังกรทอง ที่คาดกันว่าวงการธุรกิจ วงการบันเทิงจะกลับมาคึกคักกันอีกรอบนึงแล้ว ภายหลังผ่านวิกฤติอันซบเซาของปีที่แล้วมาจากเหตุการณ์น้ำท่วม ยังอาจเป็นปีมังกรไฟที่จะเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ความร้อนแรงของธาตุไฟ ซึ่งหมายถึงวงการบันเทิงที่จะมีผู้ที่จะเป็นดาวรุ่งและดาวดับเกิดขึ้นมามากมาย เฉกเช่นเดียวกับวงการทีวีบ้านเราที่อาจจะมีปรากฏการณ์อะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นมา พร้อมๆ กับผู้ที่จะต้องถูกเขี่ยตกเวทีไป เพราะไม่อาจปรับตัวตามไปได้กับกระแสการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ซึ่งมีมาตรวัด KPI’s อย่างเรตติ้งมาเป็นตัวกำหนด อีกทั้งปัจจัยค่าโฆษณาในช่วงไพร์มไทม์อีกด้วย กระแสที่เราได้เห็นในช่วงปีที่ผ่านมาอาทิ เช่น การแข่งขันกันด้านการทำข่าว รายการข่าว คุยข่าว เล่าข่าว ในช่วงหลายปีมานี้ ช่อง 3 สามารถเบียดแซงทุกช่องขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของฟรีทีวีแล้ว รวมถึงกระแสความดังของละครทีวีช่วงไพร์มไทม์ที่ช่อง 3 ก็เบียดแซง บี้ช่อง 7 ขึ้นมาได้แบบหายใจรดต้นคอ และบางเรื่องนั้นแซงชนะอีกด้วย ในขณะที่รายการประเภทเรียลลิตี้โชว์ก็สามารถทำเรตติ้งเอาชนะเกมส์โชว์ขึ้นมาได้อย่างถล่มทลายในช่วงหลัง โดยเฉพาะช่อง 9 สามารถขึ้นแท่นเป็นผู้นำรายการเรียลลิตี้โชว์ของบ้านเราไป ในขณะที่ช่อง 5 คงทำได้แต่ยึดหัวหาดด้านรายการเกมส์โชว์ที่หลากหลายต่อไป ช่อง 7 นั้นคงต้องเผชิญความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปีนี้ ภายหลังเสียแชมป์ด้านรายการข่าวไป บุคลากรด้านข่าวถูกแย่งซื้อตัวจากช่องไปหลายคน ทางด้านรายการละครก็กำลังถูกท้าชิงและจ้องจะล้มแชมป์โดยคู่แข่งที่น่ากลัวและกำลังมาแรงสุดกู่อย่างช่อง 3 และช่องเอ็กซ์แซ็กท์ ข่าวช็อกวงการในปลายปีก็คือการที่ช่อง 7 ไม่ต่อสัญญาให้กับผู้บริหารเก่งอย่างคุณสุรางค์ เปรมปรีด์ ซึ่งเป็นผู้ปลุกปั้นวงการละครของช่อง 7 สีให้โด่งดัง และเป็นผุ้ปั้นดาราช่อง 7 ที่ดังๆ มากมาย การจากไปของคุณแดง จะทำให้ดาราแม่เหล็กหลายคนตบท้ายผละจากช่อง 7 สีไปอยู่ช่องอื่นกันหรือไม่ และภายหลังจากนี้กลยุทธ์ในการทำละครช่อง 7 จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เป็นเรื่องน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในช่อง 7 หรือไม่

มาถึงช่องทีวีสาธารณะน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์อย่างทีวีไทย ซึ่งมีการปรับผัง เปลี่ยนโลโก้ กันหลายครั้ง มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการแทบจะมากที่สุดกว่าทุกช่อง และผังล่าสุดที่ดูเหมือนจะลงตัว และเริ่มค้นหาทิศทาง และอัตลักษณ์ของตัวเองเจอแล้ว ว่าตนเองควรจะเป็นอะไร ทำหน้าที่อะไร และจะให้อะไรกับสังคมดี ผู้เขียนคิดว่าช่องทีวีไทยน่าจะเป็นช่องที่มีรายการคุณภาพมากที่สุดในบรรดาฟรีทีวีของไทยอยู่ในขณะนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายการจากผู้ผลิตอิสระ และหลายรายการทางช่องมีทีมงานผลิตเอง ซึ่งรูปแบบเนื้อหาก็น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่เนื่องจากการที่มันเป็นทีวีสาธารณะที่ไม่ค่อยเน้นธุรกิจโฆษณามากนัก เพราะได้งบประมาณจากภาครัฐ ทำให้งบประมาณในการผลิตรายการของช่องนี้จึงน้อย บางครั้งคิดว่าถ้ามีสปอนเซอร์ใจถึงมาช่วยอุปถัมภ์บางรายการ โปรดักชั่นในการถ่ายทำบางรายการจะดีขึ้นอีกเยอะ และรูปแบบก็จะน่าสนใจมากกว่าที่เป็นอยู่ อยากเห็นทีวีไทยอยู่ในสภาพที่คล้ายช่อง NHK ,BBC ,KBS เร็วๆ เมื่อนั้นทีวีของไทยจะดูเป็นสากลมากขึ้น มีสารคดีดีๆ ให้ได้ชม มีรายการวิเคราะห์เจาะข่าวที่น่าสนใจ ผู้ประกาศข่าว รายงานข่าวใช้ภาษาอังกฤษรายงานข่าวเป็นบางช่วง (ซึ่งตอนนี้ทีวีไทยก็ทดลองทำอยู่) ทีนี้เราจะมาวิเคราะห์กันดูคร่าวๆ ว่ารายการฟรีทีวีช่วงไพร์มไทม์ของแต่ละช่องนั้น เจ้าไหนเจ๋ง ใครจะอยู่ ใครจะไป กันบ้างในปีนี้มาดูกันทีละวันเรียงกันไปเลยจะดีกว่า ดังนี้

วันจันทร์ ช่อง 3 มี ข่าว 3มิติ,ทูไนท์โชว์ ,ช่อง 5 มีสตาร์นิวส์, ศึกน้ำผึ้งพระจันทร์ ,คนรักรถ, ช่อง 7 ข่าวประเด็นเด็ด 7 สี,จันทร์พันดาว โจ๊ะพรึ่มๆ ช่อง 9 มีข่าวข้นคนข่าว, วีไอพี ช่องทีวีไทยมี เปิดปม,บางบรรเลงเพลงระนาด ถ้าไม่นับรายการข่าวที่จัดมาชนกันของ 3,5,7,9,ทีวีไทย ดูเหมือนข่าว3มิติ กับประเด็นเด็ด 7 สีจะขี่ช่องอื่นอยู่เล็กน้อย เพราะมีข่าวเจาะมากกว่าช่องอื่น ในขณะที่ช่วงสนทนาในรายการตอบโจทย์ของทีวีไทยดูมีความน่าสนใจ การตั้งประเด็นและเชิญแขกวิทยากรมาร่วมรายการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทำได้ดีในหลายหัวข้อ จะว่าไปวันจันทร์ดูจะเป็นวันที่ทุกช่องมีศักยภาพสูสีกัน ไม่มีใครจะสามารถยึดกุมคนดูได้อย่างอยู่หมัดเสียทีเดียว รายการใหม่ๆ มีสิทธิ์แจ้งเกิดเหมือนกันหากมาลงในวันจันทร์ และหากมีรูปแบบรายการน่าสนใจ ทูไนท์โชว์เคยทำได้ดีในช่วงเปิดรายการใหม่ ช่วงพาไปทัวร์ต่างประเทศของคุณณวัฒน์ ยังคงเป็นไฮไลท์ของรายการ แม้ว่าบางตอนจะเริ่มไม่น่าสนใจแล้ว และมีสิทธิ์จะ down ลงหากไม่คิดพัฒนารูปแบบรายการใหม่,รายการศึกน้ำผึ้งพระจันทร์ จับผู้ชมเฉพาะกลุ่มจัดเป็นเกมส์โชว์ที่น่าสนใจรายการหนึ่ง ในขณะที่จันทร์พันดาว อาจดูคล้ายรายการประกวดร้องเพลงประเภทเรียลลิตี้เหมือนกัน แต่แทนที่จะเป็นพวกวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ แต่กลับนำชาวบ้าน คนธรรมดาติดดินนี่แหละมาร้องเพลงเพื่อชิงเงินรางวัลก้อนหนึ่งเพื่อเอาไปทำฝัน และมีคอมเมนเตเตอร์มาคอยแนะนำด้วย จะว่าไปก็คือเดอะสตาร์ในเวอร์ชั่นรากหญ้านั่นเอง ส่วนรายการวีไอพี บางเทปบางตอนน่าสนใจ แขกที่เชิญมาในรายการแทบทุกตอนเป็นบุคคลธรรมดาสามัญแต่ชีวิตของพวกเขาน่าสนใจแตกต่างกัน ให้ข้อคิดที่ดี เป็นรายการสนทนา ทอล์คโชว์ที่ดีรายการนึง วันจันทร์นี้ผู้เขียนจึงแอบเทใจให้วีไอพี เป็นที่ 1 และ ทูไนท์โชว์เป็นที่ 2 บางอาทิตย์ก็สลับกัน และเปิดปมเป็นที่ 3


วันอังคาร ช่อง 3 มี ตีสิบ ,ช่อง 5 มีสตาร์นิวส์, สะบัดช่อ,โชว์มีเฮ ,ช่อง 7 มี ซีรี่ย์อเมริกัน คั่นโปรแกรมช่วงสั้นเพื่อรอรายการใหม่นั่นก็คือรายการอัพทูยู คู่ซ่าส์ (ของค่ายทริปเปิ้ลทู) ,ช่อง 9 มี ข่าวข้นคนข่าว,คนค้นคน ,คนบันดาลใจ The Idol ช่องทีวีไทย มีคนละดาวเดียวกัน,โลกสามมิติ วันอังคารนั้นมีเจ้าถิ่นที่ครองบัลลังก์เรตติ้งมาอย่างยาวนานนั่นก็คือตีสิบ ยากที่จะมีคู่แข่งมาต่อกร เมื่อก่อนยังมีชิงร้อยชิงล้านที่พอจะเป็นคู่แข่งพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ภายหลังย้ายมาอยู่ช่องเดียวกันต่างเวลา ก็ยิ่งสบายตีสิบเข้าไปอีก แต่อยากจะบอกทีมงานว่าอย่าประมาทไป หากไม่คิดพัฒนาปรับปรุงรายการหล่ะก็ คู่แข่งใหม่อย่างอัพทูยูคู่ซ๋าส์ของทริปเปิ้ลทูซึ่งสดใหม่กว่าจะมาแย่งชิงเรตติ้งก็เป็นได้ ก็รอดูว่าจะมีความน่าสนใจเพียงใดเมื่อมาแทนชิงร้อยชิงล้านของเวิร์คพ้อยท์ ในขณะที่คนค้นคน ของทีวีบูรพาทาง ช่อง 9 ปีนี้จะมีอะไรใหม่มานำเสนออีกมั๊ย กลุ่มคนดูรายการคนค้นคน คงไม่แมสพอที่จะไปแย่งชิงคนดูกับตีสิบเป็นแน่ คู่แข่งในระนาบเดียวกันก็น่าจะเป็นรายการจากช่องทีวีไทย อย่างคนละดาวเดียวกันและโลกสามมิติ คนละดาวเดียวกัน เป็นเกมส์โชว์กึ่งจิตวิทยา โดยนำกรณีศึกษาเรื่องปัญหาชายหญิงมาทายกัน ผู้แข่งขันแบ่งเป็น 2 ทีม รายการรูปแบบนี้ทั้งสนุกและสาระนำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ในขณะที่สะบัดช่อและโชว์มีเฮคงต้องเหนื่อยที่ต้องแย่งชิงคนดูจากรายการตีสิบมา เพราะกลุ่มคนดูและรูปแบบรายการคล้ายกัน ยังรู้สึกเสียดายที่ช่อง 7 เอาซีรี่ย์มาแค่คั่นโปรแกรมรายการใหม่ แต่ถูกใจคอซีรี่ย์อย่างผู้เขียนมาก อยากให้ดึงเอาซีรี่ย์มาอยู่ช่วงเย็นของเสาร์อาทิตย์หรือวันใดวันหนึ่งในช่วงไพร์มไทม์ เพราะคิดว่ากลุ่มคนดูที่ชอบซีรี่ย์ฝรั่งมีไม่น้อยนะ ช่วงหลังๆ ฟรีทีวีไม่ค่อยนำมาลงให้ดูในเวลาที่เหมาะสมเลย วันอังคารผู้เขียนคงต้องเทใจให้กับตีสิบเป็นหลักไว้ก่อน โดยมีคนค้นคน ช่อง 9 กับคนละดาวเดียวกันช่องทีวีไทย อัพทูยูคู่ซ่าส์ เป็นตัวสอดแทรก (น้องใหม่) ในบางสัปดาห์ หากช่วงดันดาราไม่น่าสนใจ มีสิทธิ์เปลี่ยนช่องหนีไปดูช่องอื่นแน่ เพราะของช่องอื่นสดใหม่กว่าตีสิบมากๆ

วันพุธ ช่อง 3 มีข่าว 3 มิติ ,ราตรีสโมสร ,ช่อง 5 มีสตาร์นิวส์, คนอวดผี ,ช่อง 7 ข่าวประเด็นเด็ด 7 สี,ซีรี่ย์อเมริกัน คั่นโปรแกรมช่วงสั้นเพื่อรอรายการใหม่นั่นก็คือเชฟกะทะเหล็กประเทศไทย ,ช่อง 9 มีข่าวข้นคนข่าว, หน้ากากทองคำ ,lifeberry ชีวิตติดมัน(ส์) ช่องทีวีไทยมีชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ,ณ อาร์ต คลับ บอกตามตรงว่าวันพุธ แต่เดิมผู้เขียนก็จะชอบดูรายการโชว์มีเฮของเอ็กซ์แซ็กท์ แต่ดันถูกย้ายไปเป็นอังคารแทน ทำให้วันพูธ กลายเป็นวันที่รีโมตทีวีทำงานมากที่สุด เพราะผู้เขียนจะเปลี่ยนดูแทบทุกช่องขึ้นอยู่กับรายการไหนน่าสนใจตรึงเราให้อยู่ในความสนใจได้มากกว่ากัน ก็จะดูรายการนั้น แต่ปกติก็ไม่ชอบฟังเรื่องเล่าผีๆ สางๆ อยู่แล้ว (คนอวดผี) ไม่ว่าเรตติ้งเขาจะเป็นยังไง ผู้เขียนคงจะขอบาย รายการที่น่าสนใจจึงเป็นรายการใหม่อย่าง หน้ากากทองคำ,lifeberry และของทีวีไทยก็ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ,ณ อาร์ต คลับ แต่ก็จะรอดูรายการใหม่เชฟกะทะเหล็กประเทศไทย ของช่อง 7 ว่าจะมีดี น่าสนใจหรือไม่ อาจเป็นม้ามืดแซงทางโค้ง มาวินเป็นอันดับ 1 ในใจผู้เขียนก็เป็นได้

วันพฤหัส ช่อง 3 มีข่าว 3 มิติ,เป็นต่อ (รอเปลี่ยนซิทคอมเรื่องใหม่) ,ช่อง 5 มีสตาร์นิวส์, เจาะใจ ,ช่อง 7 ข่าวประเด็นเด็ด 7 สี ,เรื่องจริงผ่านจอ, ช่อง 9 มีข่าวข้นคนข่าว,ล้วงลับอัพโหลด ช่องทีวีไทยมีพื้นที่ชีวิต, Hot Shot Film แน่นอนว่าผู้เขียนคงจะดูซิทคอมเป็นต่อยืนพื้นแน่ ดูมานานหลายปีแล้ว แม้ว่ามีข่าวว่าจะถูกถอดออกจากโปรแกรมมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แต่ก็ยืนหยัดอยู่มาจนข้ามปี แต่มาปีนี้เราจะคอยดูผลงานเรื่องใหม่ของเอ็กซ์แซ็กท์ที่จะมาแทนเป็นต่อว่ารสชาดจะจัดจ้านเหมือนเดิมมั๊ย แต่ยังไงก็ยังเสียดายเป็นต่ออยู่ดี ไม่ได้เทใจไปให้ช่องอื่นเลย จะมีบ้างก็อาจเหลือบไปดูเจาะใจบ้าง หรือว่า Hot Shot Film ส่วนล้วงลับอัพโหลดขอบาย ไม่ค่อยนิยมรายการรูปแบบนี้ซักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องจริงผ่านจอนั้นถือเป็นเรียลลิตี้ ผสมสารคดีข่าว ที่ยืนยงมาอย่างยาวนาน รายการรูปแบบนี้ยังคงน่าสนใจ และสดใหม่ได้เสมอ หากมีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ ในเมืองนอกรูปแบบรายการแบบนี้นั้นเรตติ้งสูงมาก แต่น่าเสียดายว่าทำไมบ้านเราเอามาทำแล้ว โปรดักชั่นมันไม่ถึงหรือยังไงไม่ทราบ เสน่ห์มันขาดหายไป ทำไมไม่ทราบมันไม่สามารถตรึงความสนใจของผู้เขียนได้เลย ทั้งๆ ที่ content ดีสุด ๆ กันตนาช่วยปรับปรุงทีเถอะ เสียดายคอนเซ็ปต์รายการจริง ๆ อยากเห็นการนำเสนอที่มันอินเตอร์กว่านี้ หรือคิดว่าเรตติ้งอันดับ 1 อยู่แล้วจึงไม่ต้องปรับปรุงอะไร แต่มันยังไม่ได้ใจคนเมืองอย่างผู้เขียนอ่ะ

วันศุกร์ ข่อง 3 มีข่าว 3 มิติ,รู้จริงป่ะ (ช็อก) ,ช่อง 5 มีสตาร์นิวส์, แฟนพันธุ์แท้รีเทิร์น ,ช่อง 7 ข่าวประเด็นเด็ด 7 สี,วันวานยังหวานอยู่ , ช่อง 9 มีข่าวข้นคนข่าว,สุริวิภา,ไมค์คู่เอก ช่องทีวีไทย มีคุยกับแพะ,สารคดีบุคคลอาเซียน การหวนกลับมาของเกมส์โขว์ยอดนิยมอย่างแฟนพันธุ์แท้ ทำให้ผู้เขียนรอคอยที่จะได้ชมรายการนี้ เกมส์โชว์ที่สนุกที่สุดแห่งยุค และเป็นการกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์วันศุกร์กลับคืนมาด้วย แต่ก็ยังเสียดายรายการเดิมอยู่นะ (sme ตีแตก) ไม่รู้ว่าเลิกผลิตไปเลยหรือแค่ย้ายเวลาแต่ไม่อยากให้เลิกไปเลย วันวานยังหวานอยู่ กับสุริวิภา คงเป็นตัวสอดแทรกในบางอาทิตย์ที่แฟนพันธุ์แท้ไม่น่าสนใจ รู้จริงป่ะ (ช็อก) รายการนี้ขอบาย วันศุกร์จะเป็นการช่วงชิงเรตติ้งกันอย่างสุดมันส์ โดยให้แฟนพันธุ์แท้เป็นต่อนิด ๆ ตามมาด้วย สุริวิภา วันวานยังหวานอยู่ และ รู้จริงป่ะ (ช็อก)


วันเสาร์ ช่อง 3 มีข่าว 3 มิติ,มหาชนเดอะซีรี่ย์,ซีรี่ย์จีน นักชกผู้พิชิต ,ช่อง 5 มี 5 มหานิยม,มวยไทยลุมพินีเกริกไกร ,ช่อง 7 มีบิ๊กซีนีม่า ,ช่อง 9มี The Acting Queen & Hero ล้านฝันสนั่นจอ ปี 2,ซีรี่ย์เกาหลี,จบจากนี้จะเป็น เดอะสตาร์ 8 ต่อเลย ช่องทีวีไทยมีดนตรี กวี ศิลป์,ไทยเธียเตอร์ (ซีรี่ย์อเมริกัน) ผู้เขียนจะดูเรียลลิตี้โชว์เป็นหลักสำหรับวันเสาร์ หากไม่น่าสนใจก็จะหันไปดูบิ๊กซีนีม่า หรือไทยเธียเตอร์ ขึ้นอยู่กับหนังเรื่องใดสนุกกว่ากัน แอบเทใจให้ทีวีไทย เพราะมีรายการดนตรี กวี ศิลป์ (ชอบมาก) แล้วต่อด้วยไทยเธียเตอร์ (ภ.ต่างประเทศ) ช่วงหลังมานี้เอาซีรี่ย์อเมริกันมาฉายด้วย เริ่มด้วย TAKEN ซีรี่ย์ไทยกับจีนของทางช่อง 3 น่าเบื่อมากๆ โปรแกรมไม่ค่อยน่าสนใจมานานแล้ว ส่วนบิ๊กซีนีม่าของช่อง 7 นั้นกระแสตกจริงๆ ช่วงหลังเอาหนังไทย จีน เกาหลีมาปนอยู่ด้วย ซึ่งแต่ก่อนจะเป็นฮอลลีวู้ดล้วนๆ และก็เป็นโปรแกรมเพชรหนังพันล้านจริงๆ ฉายแต่หนังดัง ช่วงหลังหนังเกรดบีก็เห็นเอามาฉาย ก็เลยงงว่ายังใช้ชื่อบิ๊กซีนีม่าอยู่ได้ยังไง น่าจะเปลี่ยนเป็นมงคลเมเจอร์ซีนีม่าน่าจะถูกต้องมากกว่า (ขออภัยหยิกแกมหยอก) แต่ยังไงก็ยังติดตามชมอยู่ดีหากว่ามีโปรแกรมที่น่าสนใจ

วันอาทิตย์ ช่อง 3 มีละครวิ้งค์เจ้าเสน่ห์ ,ช่อง 5 มีบันทึกท่องเที่ยว,เอเชี่ยนเคาน์ดาวน์,สลัดมันส์อันลิมิเต็ด ,ช่อง 7 มีที่นี่หมอชิต ,ช่อง 9 มีประสบการณ์ล้านอาชีพ,วู้ดดี้เกิดมาคุย ช่องทีวีไทยมี 2563 เปลี่ยนประเทศ, asian focus,มองมุมใหม่,โลกหลากมิติ วันอาทิตย์คงเป็นวันเดียวในรอบสัปดาห์ที่ผู้เขียนเองไม่นิยมดูทีวี เพราะจะฟังรายการวิทยุกับเล่นเน็ตมากกว่า แต่หากจะดูก็คงมีแค่ 2 รายการนี้คือ วู้ดดี้เกิดมาคุย กับที่นี่หมอชิต หรือดูช่องเคเบิ้ลทีวีอื่นไปเลยมากกว่า ส่วนรายการดีๆ ช่องทีวีไทยก็น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น 2563 เปลี่ยนประเทศ ,asian focus, มองมุมใหม่ ,โลกหลากมิติ เพียงแต่รายการดีๆ เหล่านี้ถูกจับมาอยู่ในช่วงไพร์มไทม์แต่ไม่มีกระแสที่ดี ก็จะถูกรายการอย่างวู้ดดี้ เกิดมาคุย ซึ่งเด่นในการเรียกกระแส ,talk of the town เอาไปกินเสียหมด จะทำอย่างไรดีนะ รายการดีๆ ของช่องทีวีไทย จึงจะสร้างกระแสความน่าสนใจจากคนดูได้บ้าง แต่ผู้เขียนเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ดูรายการทีวีรายการใดก็ตามที่มีเนื้อหาน่าสนใจ ไม่สนใจกระแสความดัง ความคลั่งไคล้ของอะไรก็ตาม หากผู้เขียนไม่ได้รู้สึกอินด้วยแล้ว ก็เปลี่ยนหนีเช่นกัน

การเสพติดรายการทีวีนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนกัน ข้อดีก็อย่างเช่นเป็นความบันเทิงราคาถูก ประหยัด นั่งชมเพื่อการพักผ่อน ความบันเทิง บางครั้งเป็นการบำบัดจิต ให้มีอารมณ์สดใส ได้ความรู้ จรรโลงใจ มองโลกในแง่บวก มีความหวังในชีวิต เอาความรู้ไปปรับใช้กับชีวิตตนเองได้ ข้อเสียของการดูทีวีก็คือ คณก็จะเสียเวลาไปกับการนั่งดูทีวี ไม่สามารถไปทำอย่างอื่นได้อย่างมีสมาธิมากนัก เวลาในการพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นก็จะลดลง บางครั้งการดูทีวีแล้วจริงจัง หรืออินไปกับเนื้อหา ทำให้เครียด กังวลใจ วิตกจริต เกิดความกลัว การเสพติดการดูทีวีทำให้สุขภาพแย่ก็มี ผู้เขียนก็เป็นเช่นกัน ยิ่งการดูทีวีในช่วงไพร์มไทม์ทุกคืน ทำให้เวลาในการพักผ่อนหลับนอนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และมีผลต่อการไปทำงานตอนเช้าด้วย และก็มีงานวิจัยได้ระบุออกมาว่าการนั่งดูทีวีติดต่อกัน 5-6 ชั่วโมงขึ้นไป ทุกๆ วัน มีสิทธิ์ที่จะทำให้ระดับการพัฒนาทางด้านสติปัญญาของเราลดน้อยลง และก็เข้าข่ายเสพติดการดูทีวีด้วย อันนี้ผู้เขียนคงจะต้องอยู่ในข่ายนี้แน่ๆ และคงต้องหาทางบำบัดโดยเร่งด่วนแล้ว หาไม่แล้วอาจกลายเป็นคนสติปัญญาอ่อนลง ดีว่าผู้เขียนเป็นผู้ที่ไม่นิยมดูละครไทยซักเท่าไหร่ หรือเลือกดูในปริมาณที่น้อยมากๆ ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้วก็ได้ (ขออภัยหยิกแกมหยอก)

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

คลินิกการเงิน ตอนบทเรียนชีวิต หลักคิดเรื่องเงิน

พอข้ามปีใหม่มา สิ่งที่ยังเป็นคำถามขึ้นมาในหัวสมองเราทุกๆ ปีก็คือ ปีนี้เราจะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตัวเราเองใหม่อย่างไรบ้าง สิ่งที่ไม่ดีเราจะทิ้งมันไปกับปีเก่า และเริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า แต่สุดท้ายเราก็ไม่เคยได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้มันดีขึ้นเลย ยังคงมีพฤติกรรมแบบเก่าๆ แบบเดิมๆ นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะเป็นกัน ปัญหาหนึ่งที่ทุกคนรอบข้างของผู้เขียนมักจะบ่นหรือเปรยให้ฟังตลอดเวลาก็ยังคงเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ (อันนี้คงเป็นปัญหาสำหรับทุกๆคนนั่นแหละที่อยู่ในโลกของทุนนิยมแบบนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้) คนจนก็จะบ่นว่าซื้อหวยงวดนี้ถูกกินอีกแล้ว เล่นพนันบอลเสียไปหลายคู่ ส่วนคนชั้นกลางกินเงินเดือนก็จะบ่นว่าไม่รู้ปีนี้จะได้โบนัสกี่เดือน หรือเงินเดือนจะขึ้นเท่าไหร่ ของฉันจะน้อยกว่าเพื่อนมั๊ย จะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งมั๊ย หัวหน้าจะโปรโมทมั๊ยงวดนี้ ในขณะที่คนรวยหรือคนที่มีฐานะหน่อยก็จะบ่นว่าปีนี้ธุรกิจจะไปรอดมั๊ย ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ กำไรจะดีขึ้นมั๊ย เงินที่เอาไปลงทุนกับทองคำแท่งไว้จะขายดีหรือถือต่อ แล้วหุ้นในพอร์ตจะเป็นอย่างไร เอาเงินไปลงขันกับเพื่อนทำธุรกิจจะรอดมั๊ย จะถูกโกงหรือไม่ แล้วที่ดิน อสังหาจะกำไรหรือขายได้มั๊ย ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ แทบทั้งสิ้น บอกได้เลยว่าเงินตราก็คืออาวุธหรือปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของโลกเสรี ทุนนิยม โลกของการตลาด บริโภคนิยม แนวๆ นี้ เงินตราเป็นทั้งมูลค่าหรือสิ่งที่เอาไว้บ่งบอกสถานะทางสังคม เป็นทั้งเครื่องมื่อในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริโภค และชำระราคา เป็นทั้งอาวุธในเกมการแข่งขัน การลงทุน และสุดท้ายตัวมันเองก็เป็นสินค้าไปเสียเองด้วยในยุคนี้ ซึ่งมีการตีมูลค่า ที่เรียกว่าค่าของเงินต่างๆ มีการอ่อนค่า เพิ่มค่า ปรับสถานะของค่าเงินได้อย่างรวดเร็ว จนเราเวียนหัว จนทุกวันนี้เราตกเป็นทาสของเงินตรา เป็นเป้าหมายสำคัญที่มนุษย์ทุกคนอยากได้อยากมี เราไม่สามารถจะหลุดพ้นไปจากวงจร วัฏจักรของความโลภ ความกลัวที่จะใช้มัน มีมัน ครอบครองมัน หรือแสวงหามันมาให้ได้มากพอ หรือเพียงพอ ให้สมดุลกับวิถีชีวิต สนองตอบต่อตัณหา กิเลส ที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ เราจึงเผชิญกับปัญหาเส้นผมบังภูเขาอยู่เป็นนิจ เกี่ยวกับการได้มา และใช้ไปของเงิน อย่างไม่สมเหตุสมผล หรืออย่างไม่ระมัดระวัง จนต้องตกเป็นทาสรับใช้มันทุกทีไป


เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้เขียนเริ่มประสบปัญหาชีวิต ประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรงกับตนเองและครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านการเงินนั้น ผู้เขียนไม่รู้จะไปปรึกษาใครดี เพราะคนที่เรารู้จักและสนิทด้วยนั้นต่างมองว่าผู้เขียนมีเครดิต ความน่าเชื่อถือที่ดี มีหน้าที่การงาน ฐานะการเงินก็น่าจะดี ทำให้เรามีความทุกข์ที่ไม่อาจจะหันไปปรึกษาคนที่สนิทได้ แม้แต่คนที่เราไว้วางใจก็ไม่อยากจะไปรบกวนเขา แล้วทางออกที่ดีที่ทำให้ผู้เขียนทำในตอนนั้นก็คือ การค้นคว้าหาข้อมูล อ่านหนังสือแนวบริหารการเงิน การเงินส่วนบุคคล ที่ดีๆ ที่มีในท้องตลาดตอนนั้น พยายามจับหลักคิด ศึกษาจากประสบการณ์ของผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น หนังสือที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้เขียนมีหลายเล่ม เช่น ในตระกูลของพ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad ของโรเบิร์ต ฮิโยซากิ , โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ของ ดร.วรากรณ์ สามโกเศส ,บทเรียนชีวิต หลักคิดเรื่องเงิน The Laws of Money,The Lessons of Life ของ ซูซี่ ออร์แมน , เงิน เรื่องใหญ่ ที่โรงเรียนไม่เคยสอน ของ มณฑาณี ตันติสุข , ลาออกมาเป็นนาย ของที คมกฤส เป็นต้น และ 1 ในจำนวนหนังสือเหล่านั้นที่ผู้เขียนอยากจะหยิบเอาเกร็ดข้อคิดดีๆ มานำเสนอ เพราะเป็นหลักคิดที่ผู้เขียนก็ยังใช้อยู่เสมอก็มาจากผู้เขียนหญิงแกร่งทั้ง 2 ท่านคือ ซูซี ออร์แมน และมณฑาณี ตันติสุข จากหนังสือชื่อดังของเขาทั้ง 2 เล่ม ก็คือ The Laws of Money,The Lessons of Life ชื่อไทยของหนังสือคือรู้แล้วรวย และเงินเรื่องสำคัญที่โรงเรียนไม่เคยสอน จะกล่าวโดยสังเขปดังนี้
กฎแห่งเงินตรา บทเรียนชีวิต หลักคิดเรื่องเงิน โดย ซูซี่ ออร์แมน กล่าวไว้ว่า

1.ความจริงสร้างเงิน ความเท็จทำลายเงิน จงอย่าโกหกตัวเองและคนอื่นเรื่องฐานะการเงินของเราที่แท้จริง

2.มองดูสิ่งที่คุณมีอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คุณเคยมี จงมองฐานะการเงินและศักยภาพที่แท้จริงของเรา จากปัจจุบันไม่ใช่อดีต แล้วประมาณตัวเองให้ได้

3.ทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตัวคุณ ก่อนทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเงินของคุณ ให้รางวัลชีวิตตัวเองก่อนเสมอ ใช้จ่ายในสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับชีวิตก่อนเสมอ แล้วถ้ามันยังเหลือเฟือจริงๆ ค่อยนำเงินไปใช้จ่ายในของที่ไม่จำเป็นกับชีวิต

4.ลงทุนในสิ่งที่ตัวเรารู้ ก่อนสิ่งที่ตัวเราไม่รู้ คือการลงทุนเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ ที่จะต้องลงไปศึกษาด้วยตัวเอง ไม่สามารถเรียนลัดหรือไปฝากความหวังหรือโอกาสไว้กับบุคคลอื่น และไม่สามารถเชื่อหรือทำตามคนอื่นแล้วจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ เพราะการลงทุนย่อมหวังผลกำไร แต่การลงทุนมีทั้งโอกาสที่จะได้กำไรและขาดทุนพอๆ กันเสมอ

5.จำไว้เสมอว่า เงินไม่มีอำนาจในตัวมันเอง เราคือผู้ควบคุมเงินของเราอย่างแท้จริง อำนาจของเงินจะมีมากขึ้นหรือน้อยลง ล้วนกำหนดโดยตัวเรา ซึ่งจะต้องเป็นผู้วางแผน จัดการด้วยตัวเราเองทั้งสิ้น

 ซูซี ออร์แมน เป็นผู้เขียนหนังสือที่ติดอันดับขายดีของหนังสือพิมพ์ New York Times ติดต่อกันสามเรื่อง คือ The Road to Wealth, The Courage to Be Rich, และ The 9 Steps to Financial Freedom และเป็นผู้เขียนหนังสือที่ติดอันดับขายดีในสหรัฐอเมริกาเรื่อง You’ve Earned it, Don’t Lose it


ด้านงานโทรทัศน์ ซูซีเป็นบรรณาธิการฝ่ายการเงินส่วนบุคคล ให้กับสถานีโทรทัศน์ CNBC เป็นเจ้าของรายการ The Suze Orman Show ทาง CNBC ซึ่งออกอากาศทุกสุดสัปดาห์ และเป็นบรรณาธิการร่วมของ O The Oprah Magazine เธอเขียน และร่วมผลิตและเป็นเจ้าของพีบีเอสโชว์อีก 3 รายการที่เสนอเรื่องราวตามหนังสือขายดีของเธอ และจัดเป็นรายการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรายการหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการจัดหาเงินผ่านโทรทัศน์ภาครัฐ

ซูซี ได้รับการกล่าวขวัญจากหนังสือพิมพ์ USA Today ให้เป็น “ผู้นำในโลกของการเงินส่วนบุคคล” และ “ที่ปรึกษาทางการเงินสตรีที่ทรงอิทธิพล ต่อมาในปี 1999 นิตยสาร Smart Money บรรจุชื่อเธอไว้ในทำเนียบสามสิบ นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ชั้นยอดในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้นิตยสาร Worth ฉบับที่ 100 ก็ยกย่องให้เธอเป็น 1 ในจำนวน 5 คนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับ TJFR Group Business News Luminaries Award อันทรงเกียรติ ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อปี 2002 ด้วย ปีถัดมาเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติคุณแห่งรางวัลหนังสือเพื่อชีวิตที่ดีกว่า (Books for a Better Life Award’s Hall of Fame) เพื่อยกย่องที่เธอมีส่วนส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในเรื่องการปรับปรุงตัวเอง

ซูซีร่วมงานกับจีอีแคปปิตอลในการออกแบบกรมธรรม์ที่เสนอทางเลือกใหม่ เพื่อกระตุ้นให้คนตื่นตัวด้านความต้องการปกป้องอนาคตทางการเงินของตัวเอง ซึ่งเป็นกรมธรรม์ระยะยาว ให้สิทธิประโยชน์ตามที่เธอเห็นว่าสำคัญ

ประวัติการทำงานของซูซีโดยสังเขป มีดังนี้

ปี 1987 -1997 บริหารบริษัท ซูซีออร์แมนไฟแนนเชียลกรุ๊ป

ปี 1983 -1987 เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์พรูเดนเชียลแบซ

ปี 1980 -1983 เป็นผู้บริหารฝ่ายบัญชีของบริษัทเมอร์ริลลินซ์

ปี 1973 -1980 เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านบัตเทอร์คัปเบเกอรี่ ในเมืองเบิร์กลีย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

ปัจจุบันซูซี่ยังคงทำรายการทีวีโชว์ร่วมกับโอปราห์ วิมฟรี่ย์ เพื่อนสนิท และเป็นที่ปรึกษาด้านการวางแผนการเงิน เป็นวิทยากรรับเชิญเดินทางไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องการเงินส่วนบุคคลทั่วอเมริกาและแอฟริกาใต้ เพื่อช่วยให้คนทั่วไปเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการเงิน

ผลงานเขียนหนังสือ

You've Earned It, Don't Lose It: Mistakes You Can't Afford to Make When You Retire (with Linda Mead) (1995)

The Nine Steps To Financial Freedom (1997)

The Courage to Be Rich (1999)

The Road to Wealth (2001)

The Laws of Money, the Lessons of Life... (2003)

The Money Book for the Young, Fabulous and Broke (2005)

Women and Money: Owning the Power to Control Your Destiny (2007)

Suze Orman's 2009 Action Plan (2009)

Suze Orman's 2010 Action Plan (March 2010)

The Money Class: Learn to Create Your New American Dream (March 2011)

เว็บไซต์ส่วนตัวของเธอคือ http://www.suzeorman.com/


กฎ 5 ข้อ เพื่ออิสรภาพทางการเงินและความผาสุกของชีวิต โดย มณฑาณี ตันติสุข กล่าวไว้ว่า

1.ทันทีที่ได้รายได้เข้ามา ให้จ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอ คือกันเงินส่วนออมไว้ก่อนเสมอ เช่น เก็บไว้ออมก่อนเลยสัก 10% เสมอ หรือมากกว่านั้น ในกรณีที่เราทราบรายได้ที่ตายตัวของเรา

2.ซื้อเฉพาะของที่มีคุณค่า โดยเทียบคุณภาพกับราคาที่ต้องจ่ายไป ขยายความถึงของที่จำเป็นหรืออยากได้จริงๆ และเลือกเฉพาะวัตถุดิบที่ดี ใช้ได้นาน คงทน คุ้มค่า มีมูลค่าเพิ่ม หากจะซื้อแพงไปนิดนึง ก็ถือว่าคุ้มค่าราคาจริงๆ

3.จ่ายเงินตรง และลงบันทึกการเงินทุกครั้ง เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือ Personal Loan ถ้าจ่ายตรงตามวัน จะไม่เสียดอกเบี้ยหรือค่าปรับตามมา ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนของหนี้ที่สูงมากตามมา

4.ตั้งเป้าหมายด้านการเงินไว้ แล้วเดินไปตามแผน วางแผนหารายได้ และควบคุมค่าใช้จ่ายให้ได้ตามแผน ก็จะทำให้เหลือเงินเก็บหรือความมั่งคั่งตามมาอย่างแน่นอน

5.ให้ก่อนแล้วจึงได้รับ ของบางอย่างต้องมีการลงทุนใช้จ่ายเผื่อไปก่อน เพื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับในวันข้างหน้า ซึ่งคำนวณแล้วว่าคุ้มค่ากว่า เช่น การใช้จ่ายเรื่องการศึกษา สุขภาพ ธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

หลักคิดเหล่านี้ล้วนนำไปปรับใช้กับชีวิตทุกคนได้ และก็จะทำให้เราหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ด้านการเงินกันเสียที ที่จะทำให้เราเรียนรู้ อยู่กั่บเงินตราได้อย่างพอเพียง ไม่โลภ แต่ก็ไม่ตระหนี่ มัธยัสต์ อัตคัด ขัดสน โง่ จน เจ็บอีกต่อไป

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

ดิน น้ำ ลม ไฟ จัดหนัก จัดเต็มต้อนรับศกราชใหม่

ดิน น้ำ ลม ไฟ จัดหนัก จัดเต็มต้อนรับศกราชใหม่


นับถอยหลังมหันตภัยธรรมชาติที่จะรุนแรงขึ้นทุกๆ ปี

เหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ญี่ปุ่น

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น รายงานว่า เมื่อเวลา 14.28 น. วันที่ 1 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลาไทยคือ 12.28 น. ได้เกิดแผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ระดับ 7.0 ริกเตอร์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ในระดับความลึกราว 370 กิโลเมตร ใกล้กับเกาะโตริชิมา ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางใต้ 560 กิโลเมตร ส่งผลทำให้อาคารหลายแห่ง ในกรุงโตเกียว ได้รับแรงสั่นสะเทือน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย หรือมีรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ แต่อย่างใด









พายุวาชิ ถล่มเกาะฟิลิปปินส์ราบเป็นหน้ากอง
สำหรับ "พายุวาชิ" (Washi) นั้น เริ่มก่อตัวเป็นพายุดีเปรสชันในช่วงวันที่ 13 ธันวาคม ด้วยความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะทวีกำลังขึ้นกลายเป็นพายุโซนร้อนในวันที่ 14 ธันวาคม และพัดถล่มทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ด้วยความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเมื่อดูจากความเร็วลมแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า พายุวาชิ คงไม่น่าจะส่งผลอะไรมากนักต่อประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งต้องเจอพายุระดับไต้ฝุ่นพัดผ่านเข้ามาในประเทศเป็นปกติอยู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า พายุวาชิ ได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับประเทศฟิลิปปินส์

โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พายุวาชิ ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่น ที่มีความหมายว่า หมู่ดาว นกอินทรีย์ ได้พาดผ่านเกาะมินดาเนา และบางพื้นที่ของตอนกลางประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนจะพัดถล่มเกาะปาลาวัน ด้วยความเร็วลม 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันนานกว่า 12 ชั่วโมง จนเกิดน้ำท่วมใหญ่บนเกาะมินดาเนา เกาะปาลาวัน มีรายงานด้วยว่า ในบางพื้นที่มีน้ำท่วมสูงถึง 3 เมตร ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

จากเหตุการณ์พายุวาชิพัดถล่มประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล โดยจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม มีรายงานว่า พบผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้แล้วถึง 652 ศพ ขณะที่ยังมีผู้สูญหายอีก 808 คน โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด คือ เมืองคากายัน เด โอโร ทางตอนเหนือของเกาะมินดาเนา รวมทั้งเมืองอิลิกัน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่า สาเหตุที่พบผู้เสียชีวิตมากมายเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นพายุได้พัดถล่มทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้คนกำลังหลับใหล จึงไม่สามารถเตรียมตัวได้ทัน นั่นจึงทำให้สภากาชาดของฟิลิปปินส์ คาดว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงมากกว่านี้อีก เนื่องจากยังมีอีกหลายพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าไปสำรวจความเสียหายได้

ทั้งนี้ สถานการณ์ในประเทศฟิลิปปินส์น่าจะดีขึ้นตามลำดับ เพราะพายุวาชิได้พัดออกนอกชายฝั่งทะเลของเกาะมินดาเนาไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก มุ่งสู่ทะเลจีนใต้ตอนล่าง ซึ่งก็คือทิศทางที่จะมายังประเทศมาเลเซีย นั่นจึงทำให้ทางมาเลเซียประกาศเตือนประชาชนในเฝ้าระวังพายุวาชิ ที่จะพัดขึ้นฝั่งประเทศมาเลเซียในวันที่ 21 ธันวาคมนี้

คลื่นยักษ์ถล่มภาคใต้ สำทับน้ำท่วม น้ำทะเลทะลัก ต้อนรับปีใหม่
ชายหาดภาคใต้หลายจังหวัดอ่วม โดยเฉพาะที่"สุราษฎร์ฯ-เมืองคอน-ชุมพร-ประจวบฯ' เกิดคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำบ้านเรือน ร้านค้า รีสอร์ทเสียหาย ที่สุราษฎร์ธานีได้รับผลกระทบ 4 อำเภอบ้านเรือนเสียหายร่วม 1,000 หลังคาเรือน ส่วนนครศรีธรรมราช ชาวท่าศาลา อพยพหนีคลื่นจ้าละหวั่น ขณะที่คลื่นซัดชายฝั่ง 3 อำเภอชุมพร บ้านเรือนเสียหายอื้อ เดือดร้อน 300 ครอบครัว ต้องสั่งอพยพประชาชนอยู่ที่ปลอดภัย ขณะที่ประจวบคีรีขันธ์เจอคลื่นสูง 2-4 เมตร ถล่มชายฝั่งตั้งแต่หัวหินยันบางสะพาน ตลอดแนว 220 กม. "สมิทธ"เตือนคลื่นยักษ์เกิดขึ้นซ้ำเป็น สตอร์ม เซิร์จ (storm surge) ที่เกิดขึ้นจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดแรงเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดคลื่นสูงเกิน 5 เมตร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อีกเพราะช่วงนี้ลมมรสุมมีกำลังแรง โดยพื้นที่เฝ้าระวังตั้งแต่ชุมพรไปถึงสุราษฎร์ธานี รวมทั้งจังหวัดปัตตานี จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ด้านศภช.จับตาเดือนเม.ย.-พ.ย.ปีหน้าภัยพิบัติจ่อวนถล่มไทย เชื่อพื้นที่ไหนเคยกระทบโดนซ้ำ

หลายพื้นที่ของจังหวัดภาคใต้ได้เกิดคลื่นลมแรงส่งผลกระทบพื้นที่ชายหาดในหลายจังหวัดเมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.) โดยที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูง รวมทั้งคลื่นทะเลและคลื่นลมพัดแรงตลอดแนวพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลตั้งแต่ อ.ท่าชนะ รอยต่อ จ.ชุมพร ลงไปจนถึง อ.ดอนสัก รอยต่อ จ.นครศรีธรรมราช ทั้งนี้ที่ อ.ท่าชนะ น้ำทะเลหนุนสูงไหลเข้าท่วมและคลื่นลมแรงเข้าซัดพื้นที่ ต.วัง และ ต.ท่าชนะ มีราษฎรได้รับผลกระทบเดือดร้อน 84 ครัวเรือน

ส่วนที่ อ.ไชยา ในพื้นที่ 5 หมู่บ้าน ต.พุมเรียง มีราษฎรได้รับผลกระทบเดือดร้อนกว่า 300 ครัวเรือน ขณะที่ อ.ดอนสัก ที่บ้านพอดหมู่ที่ 1 ต.ชลคราม คลื่นสูงกว่า 4 เมตร ซัดข้ามแนวเขื่อนกันคลื่นและกัดเซาะถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้านเสียหาย ระยะทางยาวกว่า 100 เมตร รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้และคอสะพานทรุด บ้านเรือนราษฎรกว่า 10 ครัวเรือนได้รับความเสียหาย นอกจากนี้น้ำทะเลไหลเข้าท่วมเขตชุมชน วัดและโรงเรียน มีระดับน้ำสูงประมาณ 30 ซ.ม.ชาวบ้านต้องขนย้ายสิ่งของหนีขึ้นที่สูง และที่ อ.กาญจนดิษฐ์ บ้านปากน้ำกระแดะหมู่ 6 ต.พลายวาสน้ำทะเลหนุนขึ้นสูงกว่า 30 เซนติเมตร เข้าท่วมหมู่บ้านกว่า 260 ครัวเรือน

นางชาตรี เพชรบาง อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67/1 หมู่ที่ 6 ต.พลายวาส อ.กาญจนดิษฐ์ กล่าวว่า น้ำทะเลหนุนสูงอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาตั้งแต่คืนวันที่ 24 ธ.ค. 2554 ยังไม่หยุดโดยไม่มีโอกาสเก็บสิ่งของได้ทันและไม่เคยเกิดเหตุคลื่นแรงเช่นนี้มาก่อน

ด้าน นายวงศศิริ พรหมชนะ รองผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ขอแจ้งเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยและติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทยให้ระวังอุทกภัย น้ำท่วมฉับพลันและคลื่นลมแรงในทะเลซัดเข้าหาฝั่งที่เกิดจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้นไปจนถึงวันที่ 28 ธ.ค. นี้ โดยให้ทุกอำเภอกับองค์ปกครองส่วนท้องถิ่นและสมาชิก อส.ในพื้นที่เข้าช่วยเหลือราษฎรในเบื้องต้นแล้ว พร้อมสำรวจความเสียหาย ซึ่งล่าสุด อ.ดอนสัก ได้รายงานว่ามีบ้านเรือนราษฎรเสียหายประมาณ 400 ครัวเรือนแล้ว

ท่าศาลาอพยพหนีทะเลคลั่งจ้าละหวั่น

สำหรับ จ.นครศรีธรรมราช ได้เกิดมรสุมรุนแรงพัดกระหน่ำตลอดแนวชายฝั่งทะเลของจังหวัด ทะเลหนุนสูง ส่งผลให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะใน หมู่ 6 บ้านสระบัว หมู่ 3 บ้านในถุ้ง และบ้านบางใบไม้ ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา คลื่นได้พัดเข้าท่วมบ้านเรือนหลายหลังคาเรือนโดยเฉพาะชุมชนบางใบไม้ ทะเลได้หนุนสูงเข้าท่วมพร้อมกับกระแสคลื่นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิประชาร่วมใจ ต้องระดมกำลังเข้าให้การช่วยเหลือชาวบ้านขนย้ายทรัพย์สินสิ่งของมีค่าต่างๆ ออกมาอาศัยในที่ปลอดภัยไว้ก่อนเนื่องจากคลื่นได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างน่ากลัวกว่าทุกครั้ง

ส่วนที่ชุมชนบ้านแหลม หมู่ 2 และ หมู่ 3 ต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง คลื่นได้ซัดเข้าถล่มอย่างรุนแรงกว่าทุกครั้ง ทะเลหนุนสูงทะลักเข้าท่วมทั้ง 2 หมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง ระดับน้ำสูงบางจุดกว่า 1 เมตร ส่วนบ้านเรือนที่อยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของถนนที่พาดกลางหมู่บ้านพังเสียหายไปแล้วทุกหลัง ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในสภาพมีความเสี่ยงสูง ต้นมะพร้าวทยอยล้มอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ถนนสายหลักเส้นทางปากพนัง-แหลมตะลุมพุก ทะเลได้หนุนสูงเข้าท่วมถนนหลายจุดพัดพาเอาสวะและขยะจากทะเลมาจนเต็มถนนการสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก

ขณะที่ถนนสายปากพนัง-หัวไทร น้ำทะเลเข้าท่วมหลายจุดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงบ้านเกาะทัง ต.ขนาบนาค อ.ปากพนัง ไปจนถึง ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร คลื่นได้ซัดถล่มผนังคอนกรีตแนวกันคลื่นที่เพิ่งสร้างได้ไม่นานนักพังยับเยินหลายจุด ความแรงได้ซัดเอาก้อนหินขนาดใหญ่ที่นำมาทำเป็นหินทิ้งชะลอความรุนแรงของคลื่น กลับถูกซัดมากองระเนระนาดอยู่บนถนน ขณะที่ยอดคลื่นเมื่อกระแสเข้ากับกำแพงได้ยกตัวสูงขึ้นกว่า 10 เมตร สูงกว่าเสาไฟฟ้าแรงสูง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าต้องตัดกระแสไฟเนื่องจากคลื่นได้ซัดไปจนถึงสายส่งที่เป็นสายเปลือย

ล่าสุด นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน

คลื่นซัด3อำเภอชุมพรเดือดร้อน 300 ครอบครัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ได้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าชายฝั่งในหลายพื้นที่ของ จ.ชุมพร ทั้งในพื้นที่ ต.สะพลี อ.ปะทิว ต.นาชะอัง ต.ท่ายาง อ.เมืองชุมพร ต.ปากตะโก อ.ทุ่งตะโก และ ต.บางมะพร้าว อ.หลังสวน พบถนนเลียบหาดทุ่งวัวแล่น ต.สะพลี อ.ปะทิว มีต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มขวางถนนเป็นระยะ ส่วนคลื่นขนาดใหญ่ก็ซัดเข้ามาจนถึงถนนสายดังกล่าว

สำหรับพื้นที่อ.เมืองชุมพร ที่บ้านบางตุ่ม หมู่ 11 และ บ้านคอสน หมู่ 8 ต.ท่ายาง ถนนเลียบทะเลถูกคลื่นซัดได้รับความเสียหายหลายจุด มีขยะในทะเลถูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดขึ้นมาบนถนนเต็มไปหมด ทำให้รถที่ผ่านเส้นทางดังกล่าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก ส่วนที่บ้านร่องน้อย หมู่ 10 ต.ท่ายาง ร้านอาหาร “ชบาเล” ที่ตั้งอยู่ริมหาด น้ำทะเลได้ไหลบ่าเข้าท่วมตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนทำให้ทรัพย์สินในร้านได้รับความเสียหาย นอกจากนั้นยังมีบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงประมาณ 40 หลังคาเรือนถูกน้ำทะเลไหลบ่าเข้าท่วม จนชาวบ้านต้องช่วยกันขนย้ายสิ่งของหนีน้ำกันชุลมุนวุ่นวาย ส่วนในพื้นที่หมู่ 7 ต.หาดทรายรี คลื่นขนาดใหญ่ได้ซัดทำลายพนังกันคลื่นได้รับความเสียหายเป็นระยะทางประมาณ 150 เมตร

ที่ อ.ทุ่งตะโก นายนักรบ ณ ถลาง นายอำเภอทุ่งตะโก เปิดเผยว่า มีคลื่นซัดเข้าฝั่งและน้ำทะเลไหลบ่าเข้าท่วมบ้านชาวประมงในพื้นที่ ต.ปากตะโก หมู่ที่ 3 จำนวน 4 หลังคาเรือน และหมู่ที่ 5 จำนวน 35 หลังคาเรือน เทศบาลตำบลปากตะโก จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของราษฎร และทำเพิงที่พักชั่วคราวริมถนนให้ผู้ประสบภัย ส่วนในพื้นที่หมู่ 1 ต.ปากตะโก ศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ที่ตั้งอยู่ริมหาด ถูกคลื่นซัดได้รับความเสียหาย

ขณะที่ อ.หลังสวน ในพื้นที่บ้านหัวแหลม หมู่ 12 ต.บางมะพร้าว ได้เกิดคลื่นขนาดใหญ่สูงประมาณ 4 เมตร ซัดเข้าบ้านเรือนของราษฎรประมาณ 200 หลังคาเรือน นายปรีชา สุวีรานุวัฒน์ กำนัน ต.บางมะพร้าว จึงระดมกำลังอาสาสมัครออกช่วยเหลืออพยพราษฎรที่ประสบภัยไปอยู่ในที่ปลอดภัย ซึ่ง นายอภิญญา คนดี ปลัดอาวุโส รักษาการแทนนายอำเภอหลังสวน ได้มีคำสั่งให้อพยพผู้ประสบภัยไปยังวัดแหลมโตนด ซึ่งเป็นจุดปลอดภัย ส่วนชาวประมงพื้นบ้านบนเกาะพิทักษ์ หมู่ที่ 14 ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน ที่นำเรือออกจับปลายังไม่สามารถติดต่อได้

คลื่นยักษ์ซัดชายฝั่งประจวบฯตลอดแนว 220 กม.

ผู้สื่อข่าวรายงานวันเดียวกันว่า ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เกิดคลื่นลมทะเลพัดกระหน่ำชายฝั่งทะเลตั้งแต่ อ.หัวหิน อ.ปราณบุรี อ.สามร้อยยอด อ.เมือง อ.ทับสะแก อ.บางสะพาน และอ.บางสะพานน้อย ตลอดแนวร่วม 220 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด คลื่นสูงกว่า 2-4 เมตร พัดกระหน่ำชายฝั่งทะเลอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นชายทะเลหัวหินตลอดแนวชายหาด คลื่นช่วงเช้ามืดยกตัวสูง 3-4 เมตรลมแรง ส่งผลให้ร้านอาหารบางแห่งได้รับความเสียหาย ส่วนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติ และชาวไทยแห่ดูปรากฏการณ์คลื่นซัดฝั่ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลงไปเล่นน้ำทะเลแต่อย่างใด

นางโสมประภา โมระกานต์ ประธานชมรมร้านค้าชายหาดหัวหิน กล่าวว่า จุดบริเวณชายหาดหัวหินตั้งแต่โรงแรมฮิลตัล-โรงแรมโซฟิเทลฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งร้านค้า 22 ร้านที่ตั้งอยู่บนชายหาดหัวหิน ก็ได้รับความเสียหายจากคลื่นซัดกระหน่ำชายฝั่ง แม้ผู้ประกอบการจะเก็บเต็นท์ ร่มผ้าใบ เตียงผ้าใบ และข้าวของเครื่องใช้มาไว้บริเวณติดกำแพง แต่ก็ยังได้รับความเสียหาย เนื่องจากปีนี้คลื่นสูงและลมยังแรง เรียกว่าหนักสุดในรอบหลาย 10 ปี ครั้งนี้เห็นแล้วรู้สึกน่ากลัว

นักท่องเที่ยวติดเกาะอื้อ

นายวันชาติ เอี่ยมอุดม อายุ 62 ปีชาวประมงหัวหิน กล่าวว่าโชคดีที่ชาวประมงเรือเล็ก พากันมาจอดเรือหลบมรสุมอยู่ที่สะพานปลาหัวหิน หลังแนวกันคลื่นภายหลังทราบประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ออกประกาศเตือนและส่วนหนึ่งชาวประมงก็พากันมานั่งเฝ้าเรือที่จอดหลบมรสุมตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ปีนี้คลื่นสูงในรอบ 50 ปีก็ว่าได้ตั้งแต่ครั้งพายุเกย์ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นแบบวันนี้เลย รู้สึกว่าน่ากลัวมากล่าสุดเรือประมงเล็กของชาวบ้านแตกไป 3 ลำในขณะนี้ ยิ่งพรุ่งนี้ยิ่งต้องคอยดูอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นน้ำทะเลที่มากับแรงลมก็พัดขึ้นมาเหมือนลักษณะน้ำทะเลจะมีปริมาณมากเช่นกัน ตอนนี้คงไม่มีชาวเรือที่ไหนออกจากฝั่งอย่างแน่

ขณะเดียวกันบริเวณชายหาดสามร้อยยอด บ้านหนองข้าวเหนียว หมู่ที่ 2 ต.สามร้อยยอด อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถนนเลียบชายหาด ถูกน้ำทะเลท่วม ระยะทาง กว่า 5 กิโลเมตร ถนนบ้างช่วงถูกคลื่นกัดเซาะจนขาด บางช่วงทั้งทราย ทั้งก้อนหินพัดขึ้นมาบนถนน ต้นไม้ล้ม จนเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง อบต.ต้องนำแผงกันมาปิดไม่ให้รถยนต์สัญจรผ่านไป บ้านเรือนประชาชน ร้านอาหาร รีสอร์ท ที่อยู่ที่ติดชายทะเล ถูกน้ำทะเลเข้าท่วม จนข้าวของเสียหายเป็นจำนวนมาก

ด้านนายปรีดา เจริญพักตร์ เจ้าของบ้านมะพร้าวเกาะทะลุ-รีสอรท์ อ.บางสะพานน้อย กล่าวว่าขณะนี้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 30-40 คน ที่ลงไปดำน้ำที่เกาะทะลุ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ซึ่งพักค้างคืนอยู่ที่เกาะ ทางรีสอร์ทได้แจ้งให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เข้าใจว่าเรือไม่สามารถนำนักท่องเที่ยวกลับเข้าฝั่งได้ โดยทุกคนก็เข้าใจและทางรีสอร์ท ได้ให้ฟรีพร้อมดูแลเรื่องอาหารจนกว่าคลื่นจะสงบและจึงค่อยน้ำนักท่องเที่ยวกลับขึ้นฝั่งต่อไป

นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าฯ ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้ตรวจสอบพื้นที่ชายฝั่งทะเลประจวบฯ ตลอดแนว พบบางอำเภอบ้านเรือชาวบ้าน ร้านอาหาร รีสอร์ทที่ตั้งอยู่ริมชายหาด ได้รับความเสียหาย เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ และในในช่วงบ่ายวันเดียวกันเท่าที่ตรวจพื้นที่และติดตามสถานการณ์อยู่ ทั้งคลื่นและน้ำทะเลหนุนเริ่มเบาลงแล้ว

ปัตตานีน้ำทะเลหนุนท่วม 700 หลัง

สถานการณ์ในจังหวัดปัตตานี ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานีเอ่อล้นจากน้ำทะเลหนุนและน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มและริมแม่น้ำปัตตานี ในพื้นที่ ม.1 และ ม.2 ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง ระดับน้ำ 20-40 ซม. ชาวบ้านกว่า 700 ครัวเรือนเดือดร้อน ถนนในหมู่บ้านมีน้ำเอ่อท่วม ชาวบ้านเริ่มอพยพขึ้นที่สูง

นอกจากนี้ น้ำทะเลยังหนุนเข้ามาในหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเล โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยถูกพายุพัดเข้ามาในหมู่บ้านสร้างความเสียหายมาแล้ว คือ บ้านดาโต๊ะ บ้านแหลมโพธิ์ ใน ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง บ้านแหลมนก บ้านบานา บ้านตันหยงลูโล๊ะ ในเขต อ.เมือง จ.ปัตตานี ระดับน้ำยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ

ทางด้านถนนริมทะเลฝั่งอ่าวไทย ซึ่งเป็นถนนสายเก่าระหว่าง อ.ยะหริ่ง-อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ระยะทาง 15 กม. ปรากฏว่า ถูกคลื่นความสูง 2-4 เมตร พัดกระหน่ำเข้าฝั่งอย่างรุนแรง ส่งผลให้ถนนริมทะเลถูกกัดเซาะหายไปครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่เสียหายอยู่แล้ว เพิ่มเป็น 5 จุด ระหว่างบ้านดาโต๊ะ-แหลมตาชี ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง นอกจากนี้ เส้นทางระหว่าง ต.ตะโล๊ะกาโปร์ อ.ยะหริ่ง กับรอยต่อ อ.ปะนาเระ ซึ่งเป็นถนนริมทะเลที่เคยถนนถูกคลื่นซัดจนถนนขาดไปแล้ว 2 จุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาและยังไม่ได้ซ่อมแซม ก็ได้ถูกคลื่นระลอกใหม่ซัดจนใช้การไม่ได้ทั้งสาย

ทั้งทางจังหวัดปัตตานี ได้ประกาศเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมทะเล ให้รับฟังการประกาศเตือนทางวิทยุและแจ้งผู้นำชุมชนดูแลความปลอดภัยชาวบ้าน และรายงานสถานการณ์ให้ทางจังหวัดทราบเป็นระยะๆ

ศภช.จับตาเดือนเม.ย.-พ.ย.ปีหน้าภัยพิบัติถล่มไทย

น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศภช.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวถึงแนวโน้มเรื่องภัยพิบัติในปีหน้าว่า ภัยพิบัติที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ไม่พ้นเรื่องน้ำทั้งน้ำแล้ง น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก โดยวงรอบการเกิดเมื่อหมดสถานการณ์เดือนนี้ที่ภาคใต้ไปแล้ว ก็จะเป็นภาคเหนือ และภาคอีสานตอนบนที่จะมีผลกระทบก่อน

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่ต้องจับตาคือช่วงเดือนเม.ย. ถึงเดือนพ.ค. ต้องเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อม ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแล้ว แต่ประชาชนยังเชื่อมั่นในพื้นที่ตนเองว่ายังปลอดภัย อย่างกรณีพายุเข้าที่ประเทศฟิลิปปินส์จนมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน ดังนั้นการให้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องพายุขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำ แต่สถิติของประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วมีพายุเฉียดผ่านมา 2-3 ลูก ก็ถือว่าได้รับผลกระทบในวงกว้าง แต่การคาดการณ์จะรู้ล่วงหน้าก่อน 7 วันในการเตรียมความพร้อมและแจ้งเตือนประชาชน โดยพื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบคาดว่าจะได้รับผลกระทบต่อไปเช่นกัน

"สมิทธ"เตือนคลื่นยักษ์เกิดขึ้นซ้ำ

นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึงคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ ว่า เป็น สตอร์ม เซิร์จ (storm surge) ที่เกิดขึ้นจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดแรงเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดคลื่นสูงเกิน 5 เมตร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อีกเพราะช่วงนี้ลมมรสุมมีกำลังแรง โดยพื้นที่เฝ้าระวังตั้งแต่ชุมพรไปถึงสุราษฎร์ธานี รวมทั้งจังหวัดปัตตานี จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก

"ผมเข้าใจว่ากรมอุตุฯ เขาได้แจ้งเตือนเรื่องคลื่นลมแรงในช่วงนี้ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งการเกิดสตอร์ม เซิร์จ จะสังเกตได้ หากช่วงไหนลมหนาวมาแรงสามารถเกิดขึ้น และในช่วงนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกในพื้นที่ภาคใต้ จึงต้องเฝ้าระวังต่อไป"

นายสมิทธ ระบุด้วยว่า การเกิดสตอร์ม เซิร์จ หรือคลื่นยักษ์ ที่พัดขึ้นสู่ฝั่ง แม้ว่าจะไม่ใช่สึนามิ แต่สามารถสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้ไม่แตกต่างกัน คลื่นยักษ์มักเกิดจากพายุหมุนในเขตฤดูร้อน แต่เกิดขึ้นได้หากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรง และเกิดขึ้นได้เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น และมีแนวโน้มจะเกิดมากขึ้น ทำให้เมืองริมชายฝั่งต้องเฝ้าระวังมากขึ้น

ปรากฏการณ์ "ไฟทอร์นาโด" ที่เกิดขึ้นในบราซิล

เอเจนซี - สภาพอากาศที่แห้งแล้งอย่างหนักและกระแสลมแรงในรัฐเซาเปาลูของบราซิล ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ไฟทอร์นาโด” ซึ่งหาดูได้ยากในเมืองอะรากาตูบา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ

ภัยแล้งที่ยาวนานกว่า 3 เดือนทำให้เกิดไฟป่าทั่วบราซิล และสร้างสภาวะอากาศที่เอื้อต่อการเกิดปรากฏการณ์ลมพายุไฟดังกล่าว

ไฟทอร์นาโด หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไฟปิศาจ” จะเกิดเมื่อเปลวไฟถูกกระแสลมหอบขึ้นสู่อากาศในแนวตั้ง โดยบางลูกอาจมีความสูงกว่าครึ่งไมล์และมีความเร็วลมถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมง

ในปี 1923 แผ่นดินไหวใหญ่ซึ่งเกิดบริเวณที่ราบคันโตของญี่ปุ่นทำให้เกิดไฟไหม้ทั่วทั้งเมือง และเกิดลูกไฟทอร์นาโดขนาดใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนในเขต ฮิฟุกุโช-อาโตะ ของโตเกียวถึง 38,000 คนภายในเวลาเพียง 15 นาที

โกะ กลยุทธ์หมากล้อมทางการเมือง

เมื่อก้าวสู่ปี 2555 ผู้สันทัดทางการเมืองไทย มีการคาดการณ์กันว่าการเมืองไทยจะกลับมาร้อนแรงหรือเข้าสู่ภาวะวิกฤติกันอีกครั้งนึง ภายหลังจากที่ตัวแปรด้านการเมืองได้นิ่งสงบไปพักนึงในช่วงปี 2554 ซึ่งในช่วงปลายปีประเทศไทยเกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยใหญ่ในรอบ 50 ปี ทำให้จุดสนใจด้านการเมืองได้ลดทอนลง แต่ในช่วงที่ภาวะวิกฤติน้ำท่วมกำลังดำเนินไป และใกล้จุดคลี่คลายลง รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลตัวแทนของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ได้จุดประเด็นทางการเมืองขึ้นมาหลายกรณี อาทิ การคืนพาสปอร์ตเล่มปกติให้กับอดีตนายกทักษิณ การแอบลงมติลับ ออก พรฏ ขอพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษร้ายแรงหลายมูลเหตุรวมกว่า 20,000 กว่าคน 1 ในจำนวนนั้นมีอดีตนายกทักษิณอยู่ด้วย ซึ่งทำให้สังคมออกมาต่อต้านจำนวนมาก พอทานกระแสต่อต้านไม่ไหวจึงยุติไป จากนั้นก็เปิดประเด็นใหม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในมาตรา 309 และ 112 โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งเป็นมูลเหตุเกี่ยวโยงกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายกตั้งแต่คดี ดา ตอร์ปิโด ,คดีอากง และนายโจ ,ล่าสุดไปเกี่ยวกับน้อง นิสิตปี 1 ม.ธรรมศาสตร์ อีกทั้งยังมีการดำเนินการฟ้องผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้าสี่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2553 โดยนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต 16 ศพ โดยสั่งฟ้องเล่นงานทั้งอดีตนายกอภิสิทธิ์ รองนายกสุเทพ และผู้บังคับบัญชาหน่วยงานทหาร รวมถึงเจ้าหน้าที่ราชการ คือทหารรายบุคลลด้วย เพื่อที่ลากเอาทุกฝ่ายลงสู่กระบวนการปรองดอง ซึ่งก็มี พล.อ.สนธิ บุณยะรัตกลิน อดีตหัวหน้า คมช.(ทำการรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร) เป็นโต้โผทำการประสานทุกพรรค ทุกกลุ่มทุกสี ให้มาร่วมปรองดองกัน โดยจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือปรองดองออกมา เพื่อฟอกความผิดให้กับทุกฝ่าย แต่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการต้องการนำเอาทุกฝ่ายมาเป็นตัวประกันเพื่อฟอกความผิดให้กับคนๆ เดียวนั่นก็คือ คุณทักษิณ ดังจะเห็นว่าคุณทักษิณนั้นเล่นไพ่หลายหน้า ด้านหนึ่งก็มีการชงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายการเมืองคือรัฐบาลชงเรื่องแก้เอง ภาคประชาชนโดยกลุ่มคนเสื้อแดงก็เคยมีการลงชื่อยื่นฏีกาขออภัยโทษให้คุณทักษิณ และยังยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวง อีกด้านหนึ่งมีแนวร่วมคือนักวิชาการอย่างกลุ่มนิติราษฏร์ที่ก็เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นกันในประเด็นเฉพาะ ม.112 อีกด้านหนึ่งก็มีการตั้งคณะกรรมการชุดของศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการองค์กรอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอนธ.) เพื่อศึกษาการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งดูจะทับซ้อนกับกลุ่มของศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย (ตัวย่ออะไรไม่ทราบ)  และยังมีกลุ่มศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งแต่งตั้งในยุคสมัยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และ 2 กลุ่มนี้ก็ยังไม่ได้ยุบไป แต่ไม่เรียกใช้บริการ ยังมีการเปิดประเด็นร้อนโดยมติ ครม.เรื่องการจ่ายเงินเยียวยาให้กับพวกที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปี 2553 (ซึ่งก็เน้นไปที่กลุ่ม นปช.ที่ออกมาเคลื่อนไหวเผาบ้านเผาเมือง) จ่ายคนละ 7.75 ล้านบาท และจะจ่ายทันทีก่อน 3.5 ล้าน ที่เหลืออาจจ่ายเป็นสลากออมสิน (เป็นมติครม.สุดอัปยศ) ซึ่งทันทีที่มีข่าวออกมาก็มีแรงเสียดทานจากสังคมและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงความไม่เหมาะสมจงใจเลือกปฏิบัติ แบบ 2 มาตรฐานอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่ควรจะได้รับการเยียวยากลับไม่ได้รับการเหลียวแล ในขณะที่คนที่ทำผิดกฏหมายอย่างชัดเจนในกรณีชุมนุมการเมืองที่มีลักษณะสร้างความรุนแรง ทำผิดกฏหมายมากมาย และสร้างความไม่สงบในบ้านเมือง กลับจะนำภาษีของประชาชนไทยทั้งประเทศไปชดเชย  และยังมีประเด็นการออก พรก.4 ฉบับที่เกี่ยวกับการแก้ไขกฏหมายแบ็งค์ชาติเกี่ยวกับการโยกหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาท มาให้แบ็งค์ชาติดูแล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหมากล้อมประชาชน การบีบและโน้มน้าวให้ประชาชนทุกกลุ่มเห็นด้วยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่จำเป็นต้องทำประชาพิจารณ์หรือประชามติ ข้อเสนอของ คอนธ.ที่ให้ตั้ง สสร.34 คน ขึ้นมาเลย (ในจำนวน 34 คนนี้ กว่า 90 % เป็นแกนนำเสื้อแดงด้วย) ดังนั้นไม่ว่าประเด็นทางการเมืองใดจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ต่อต้านหรือก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วง ก่อความรุนแรงขึ้นมาในบ้านในเมือง ก็ต้องถือว่าผู้ที่เป็นผู้ริเริ่มเปิดเกม เปิดประเด็นย่อมมาจากทางซีกฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันแทบทั้งสิ้น แม้ว่าผู้เปิดเกมจะอยู่ในฝ่ายที่มีอำนาจ ได้เปรียบทางการเมือง แต่เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ทางการเมืองแอบแฝง จึงจำต้องเดินเกมไปสู่ความขัดแย้งนั้นเสีย เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองใหญ่ ก็คือทำให้ตัวคุณทักษิณพ้นผิด และได้กลับบ้านมาสู่ประเทศไทยอย่างผู้มีศักดิ์ศรี หรืออีกนัยยะนึงก็คือกลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง ผู้เขียนคิดว่าคุณทักษิณคือผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้กำหนดทิศทางการเมืองไทยในปัจจุบัน และตลอดช่วง 4-5 ปีหลังมานี้ คุณทักษิณได้ใช้กลยุทธวิธีโลกล้อมประเทศ ป่าล้อมเมือง เฉกเช่นใช้ยุทธศาสตร์ของโกะ มาเป็นเกมหรือหมากล้อมทางการเมืองไทย ดังนั้นผู้เขียนอยากจะนำเอาทฤษฏี หรือวิธีคิดเกี่ยวกับโกะ มาอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยว่าจะมีส่วนคล้ายคลึงหรือนำมาปรับใช้กับการเมืองไทยอย่างไร เพื่ออธิบายหรือคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างเท่าทันผู้ที่กำลังเดินเกมช่วงชิงอำนาจการเมืองไทยกันอยู่ ซึ่งจะมีกุศโลบายอย่างไรนั้น ต้องไปศึกษาวิธีคิด แนวความคิด หรือศาสตร์ เกี่ยวกับโกะ จากคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโกะของเมืองไทยเป็นเบื้องต้นกันก่อน

ผมทุ่มเทเวลากว่า 20 ปีในชีวิต ครุ่นคิดและดื่มด่ำอยู่กับหมากเม็ดดำเม็ดขาว เรียนรู้เรื่องราวของการสู้รบ จนค้นพบเคล็ดลับสำคัญที่ว่า “ชนะได้เพราะไม่คิดเอาชนะ!” ปรัชญาที่แปลกประหลาดจากความรู้สึกของคนทั่วไป คือความยิ่งใหญ่ของหมากกระดานชนิดนี้ หมากล้อมมีที่มาจากไหน? นั้น เข้าใจว่าพัฒนามาจาก “โต๊ะทราย” ในสมัยโบราณ ถ้าท่านนึกถึงภาพยนตร์ฝรั่งที่มีนายทหารนั่งล้อมรอบโต๊ะตัวใหญ่ บนโต๊ะนั้นมีตัวตุ๊กตาที่เป็นทหาร เครื่องบิน เรือรบ อะไรทำนองนี้ นี่แหละครับคือ “โต๊ะทราย” ซึ่งมาจากศํพท์ภาษาอังกฤษว่า “Situation Map Table” หมายถึงโต๊ะแสดงแผนที่เหตุการณ์ในสนามรบ ซึ่งคงจะปูด้วยทราย จึงเรียกกันว่า “โต๊ะทราย” กระดานหมอกล้อมซึ่งประกอบไปด้วย เส้นตรง 19 เส้น ตัดกับ เส้นขวาง 19 เส้น ก็เป็นเช่นเดียวกับโต๊ะทรายที่ใช้ในการศึก โดยเม็ดหมากหนึ่งเม็ด หมายถึง หนึ่งกองร้อย เนื่องจากหมากล้อมหนึ่งกระดานมีจุดตัดถึง 361 จุด เท่ากับกระดานหมากรุกทั่วไปห้ากระดานมาเรียงต่อเข้าด้วยกันแล้วถอดขอบออก การปะทะกันของกองกำลัง จึงเกิดขึ้นได้อย่างกระจัดกระจาย เกิดแนวรบมากมาย กองทัพหนึ่งอาจต้องรบบน รบล่าง รบซ้าย รบขวา ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิด “สงคราม”(war) ในโลกของความเป็นจริง ที่แต่ละสงครามจะประกอบด้วยหลาย “สนามรบ” (battles) ถ้าเราลำดับเหตุการณ์ย้อนหลังไปยังยุคต้นรัตนโกสินทร์ ไทยทำศึกกับพม่าใน “สงครามเก้าทัพ” นั่นหมายความว่าพม่ายกกองทัพถึงเก้ากองบุกโจมตีไทย จากทุกทิศทุกทาง ผู้บัญชาการรบจึงต้องมองภาพรวมทั้งหมด แล้วจึงตัดสินใจวางแผนรับมืออย่างเหมาะสม เนื่องจากความไม่พร้อมด้านกำลังพล เสบียง และอาวุธ จึงอาจต้องยอมแพ้ในบางสมรภูมิ เพื่อจะได้ชัยชนะในสงคราม....มิใช่สนามรบ แต่สงครามนี่คือศาสตร์ของการบริหาร เพราะการบริหารคือการใช้ทรัพยากรที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด นี่คือสิ่งที่ทำให้ “จอมทัพ” ต่างจาก “แม่ทัพ” ธรรมดาทั่วไป ในขณะที่แม่ทัพจะดูแลสนามรบหรือสมรภูมิใดก็ตาม ก็มุ่งมั่นที่จะหาทางเอาชนะศึกสมรภูมินั้น แต่คนเป็น “จอมทัพ” ต้องอ่านทะลุจุดแข็งจุดอ่อน ของทั้งสองฝ่ายด้วยใจเป็นกลาง เยือกเย็น สุขุม รอบคอบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา รู้รุก รู้ถอย ต้องไม่ใช่คนที่หลับหูหลับตาเชื่อว่าแม่ทัพนายกองของเราจะเก่งกว่าฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด จนตัดสินใจผิดพลาดเพราะความประมาทลำพอง เมื่อ “จอมทัพ” มองเห็นภาพรวมของทั้งสงคราม จึงต้องวางกลยุทธ์ของแต่ละสนามรบ ให้สอดคล้องส่งเสริมกัน จนนำไปสู่ชัยชนะในสงคราม จอมทัพจะไม่ยอมให้แม่ทัพใช้กลยุทธ์ในสนามรบของตัวเองตามอำเภอใจ ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อสนามรบของตัวเอง แต่สร้างปัญหาให้แก่สนามรบข้างเคียง เพราะการทำสงครามต้องทำเป็น “ทีมเวิร์ค” ไม่ใช่การ “โชว์ออฟ” ของฮีโร่คนใดคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันแม่ทัพก็ต้องเรียนรู้ที่จะมองภาพรวมก่อนการจะวางกลยุทธ์ โดยคำนึงถึงเงื่อนไขเวลาที่จำกัด ปัจจัยภายนอก และสิ่งแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทั้งนี้ยังต้องอยู่ในแนวทางของนโยบายที่จอมทัพวางไว้ด้วย มีตัวอย่างคลาสสิกในยุคโบราณของจีน เกี่ยวกับกลยุทธ์การรับมือฝ่ายตรงข้าม เรื่องมีอยู่ว่า...มีการท้าแข่งม้าชิงดินแดนระหว่าง 2 แคว้น โดยแข่งขันกัน 3 คู่ ฝ่ายที่ได้ชัยชนะมากที่สุด จะได้ครองดินแดนของอีกแคว้นหนี่ง สมมติ 2 แคว้นนี้ คือแคว้นอำมาตย์ กับแคว้นไพร่ แคว้นอำมาตย์สืบทราบมาว่าแคว้นไพร่ จะจัดส่งม้าฝีเท้าดีระดับเกรด A, B และ C ลงแข่งตามลำดับ

ในรอบแรก

แคว้น ก จึงจัดส่งม้าฝีเท้าระดับ C ของตนลงแข่งกับม้าฝีเท้าระดับ A ของแคว้น ข. ผลออกมา แคว้น ก. แพ้ไปหนึ่งรอบ

รอบสอง

แคว้น ก. ส่งม้าฝีเท้าระดับ A ของตนลงแข่งกับม้าฝีเท้าระดับ B ของฝ่ายตรงข้าม ปรากฏว่ารอบนี้ แคว้น ก.เป็นฝ่ายชนะ

รอบสาม

แคว้น ก. ส่งม้าฝีเท้าระดับ B ของตนลงแข่งกับม้าฝีเท้าระดับ C ของแคว้น ข. แคว้น ก.จึงชนะไปตามคาด โดยสรุป แคว้น ก. ชนะ สองในสาม ถือเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ได้ครอบครองดินแดนของฝ่ายตรงข้ามตามข้อตกลง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แพ้ก่อนไม่ได้หมายความว่าแพ้ไปตลอด ยอมสูญเสียในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องสูญเสีย แล้วสงวนกำลังไว้ใช้ในยามที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า

มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ดีมากว่า “ถ้าคุณแพ้ไม่ได้ คุณก็จะชนะไม่เป็น” ฝากไว้ให้คิดต่อนะครับ กลับมาที่เรื่องกลยุทธ์ของเราอีกครั้ง ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ อีกสักเรื่อง สมมติในการสอบวิชาคณิตศาสตร์มีข้อสอบอยู่ 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนนเท่ากัน มีเวลาจำกัดที่ 1 ชั่วโมงเต็ม นักเรียนที่มีกลยุทธ์ จะเลือกทำข้อที่ง่ายและพอทำได้ก่อน เวลาที่เหลือจึงค่อยทำข้อที่ยาก ซึ่งไม่ว่าจะทำไม่ทันหรือทำไม่ได้ ก็มีคะแนนข้อที่ง่ายทำไว้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้จะทำได้เพียง 2 ข้อ ก็ยังสอบผ่าน 50% ในกรณีเดียวกัน ถ้านักเรียนไมมีกลยุทธ์ อยากเอาชนะข้อที่ยากก่อน ปรากฏว่าเขาทำสำเร็จ แต่ทำเสร็จข้อเดียวก็หมดเวลาแล้ว ถึงจะแสดงว่าสมองปราดเปรื่องมาก แต่ก็สอบตก เพราะได้คะแนนเพียง 25% เท่านั้น นี่คือตัวอย่างที่กระตุ้นเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีกลยุทธ์ ยังมีคนไม่น้อยสับสนระหว่างคำว่า กลยุทธ์(Strategy) กับนโยบาย (Policy) กลยุทธ์ คือการมีเป้าชัดเจนที่จะบรรลุและวิธีการต่างๆ ที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้น วิธีการต่างๆ หรือเรียกว่า Tactics จะถูกร้อยเรียง ใช้ร่วมไปในทิศทางของเป้าหมาย เหมือนดอกไม้หลายๆ ดอก ถูกร้อยเรียงเป็นพวงมาลัย ส่วนนโยบายจะไม่กำหนดเป้าหมาย แต่จะเป็นแนวทางว่าควรหรือไม่ควรอย่างไร เช่น บริษัท SUMITOMO ยักษ์ใหญ่ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น มีนโยบายจะไม่ทำธุรกิจเก็งกำไร ถ้าไม่มีนโยบายนี้คอยกำกับไว้ สาขาของบริษัทฯ ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก อาจจะมีหลายแห่งคิดซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร เมื่อเศรษฐกิจโลกทรุดตัว ที่ดินราคาร่วง แถมยังขายไม่ออก บริษัทคงต้องเสียหายเข้าขั้นอาการสาหัส เช่นเดียวกับ ธนาคารแบริ่ง ของอังกฤษ ซึ่งไม่ได้วางนโยบายป้องกันการเก็งกำไรไว้ จึงถูกเด็กหนุ่มนามว่า นิค ลีสัน ทำให้ธนาคารเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ต้องล้มละลายลงในชั่วพริบตา

หมากล้อมเป็นหมากกระดานชนิดเดียวที่มีศํกยภาพย่อยในภาพรวม จึงสอนให้รู้ถึงผลกระทบของเรื่องหนึ่งไปยังเรื่องอื่นๆ และผลระยะยาวต่อภาพรวม หมากล้อมสอนให้เราตระหนักถึงศักยภาพของฝ่ายตรงข้าม ตระหนักถึงต้นทุนของชัยชนะในแต่ละเรื่อง หมากล้อมจึงสอนให้เรารู้จักกระทำการอย่างมีกลยุทธ์ ดำเนินชีวิตอย่างมีนโยบาย จากนโยบายหมากล้อม อาจะสรุปได้ว่าการคิดเอาชนะคนอื่น มีต้นทุนสูง มีผลเสียมากกว่าผลดี ในระหว่างการเล่น เราต้องคุมตัวเอง ไม่ไปคิดเอาชนะ (แต่ไม่ยอมแพ้ แล้วเราจะเล่นยังไงล่ะ!?? ) แท้จริงคือ การแข่งกันทนความยั่วจากสถานการณ์ที่มาชักจูงให้เกิดความโลภ อยากทำลายคู่ต่อสู้ ผู้ชนะคือผู้ที่ทนยั่วที่จะเอาชนะได้นานกว่า เพราะอีกฝ่ายที่อยากเอาชนะจะแพ้ให้ก่อน ผู้ที่ไม่คิดเอาชนะก็จะกลายเป็นชนะไปเอง การชนะจึงมาจากการที่สังคมมอบให้ ห้ามไปเอามา!!! ในชีวิตประจำวัน เราก็ไม่ควรไปเอาชนะใคร เพราะใครๆ ก็ไม่อยากแพ้ และเสียหน้า องค์กรควรใช้ทรัพยากรที่มีน้อยไปในการพัฒนาตนเอง หนีคู่แข่ง ไม่ควรใช้ทรัพยากรไปในการทำลายคู่แข่ง เพราะนอกจากจะสร้างความบาดหมางแล้ว ยังมิได้ใช้ทรัพยากรไปในทางสร้างสรรค์

ขัยชนะทีแท้จริง คือการบรรลุเป้าหมายของงาน ไม่ใช่การเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง และนี่คือเหตุผลเบื้องหลังปรัชญา “ชนะได้เพราะไม่คิดเอาชนะ” คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

(ถอดความบางส่วนจาก CEO โลกตะวันออก ฉบับเข้มข้น ,ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ , สำนักพิมพ์บุ๊คสไมล์)

หมายเหตุ สอนวิธีการเล่นหมากล้อม(GOH) ที่ http://www.thaibg.com/template.php?CenterFile=go_rule.html&Title=Go%20Rule

คุณทักษิณ ได้วางหมากกลล้อมประเทศไทยไว้แล้วในทุกด้าน เพื่อให้เป้าหมายของเขาบรรลุจุดประสงค์ ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้รักชาติ รักในหลวงว่าจะเล่นในเกมของเขาหรือไม่ จะยอมให้ถูกล้อม หรือจะแก้เกมด้วยการสู้ทุกทางไม่ให้ถูกล้อม ซึ่งในที่สุดจะต้องมีผู้ชนะในเกมนี้อยู่ดี ซึ่งคุณทักษิณอาจเป็นผู้แพ้เสียเองก็เป็นได้ หากทุกฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับคุณทักษิณไม่ยอมที่จะให้เป้าประสงค์ของคุณทักษิณสำเร็จตามความมุ่งหมาย และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร สิ่งที่ประชาชนกลัวที่สุดก็คือ เกมล้มกระดาน ซึ่งนั่นจะทำให้เหตุการณ์บานปลาย กลายเป็นความขัดแย้ง จลาจลขึ้นมาอีก เหมือนเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง แล้วจะให้ประชาชนอย่างเราๆ ทำอย่างไรดี อันนี้จึงเป็นคำถามที่อยากให้ทุกคนไปลองคิดดูสิครับ ผมคงคิดแทนคนทุกคนไม่ได้ เพราะเวลาที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจเขาจะทำอะไร เขาไม่เคยมาถามหาประชามติของประชาชนก่อน หรือทำประชาพิจารณ์ก่อนซักกะเรื่องเลย ดังนั้นประชาชนตาดำๆ คงต้องก้มหน้ารับเวรรับกรรมกันต่อไป สำหรับชะตากรรมของประเทศนี้