วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ความหมายและคุณค่าของคนดี ที่สังคมไทยต้องการ

ละครสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย
บทประพันธ์ : ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
บทโทรทัศน์ : ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
กำกับการแสดง : ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
ค่ายผลิต : สามัญ การละคร
แนวละคร : ดราม่า
วันเวลาออกอากาศ : ทุกวันจันทร์ - อังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7 สี

รายชื่อนักแสดง
พอร์ช ศรัณย์ ศิริลักษณ์ รับบท หรั่ง นาคำ
ธัญญะสุภางค์ จิรปรีชานนท์ รับบท แพรวา มหาโชคตั้งศิริ
ตฤณ เศรษฐโชติ รับบท เผ่าลาภ มหาโชคตั้งศิริ หรือเฮียตง

ศรุต วิจิตรานนท์ รับบท บารมี มหาโชคตั้งศิริ (อาหั่ง)
แนท ณัชชา นวลแจ่ม รับบท ก้อย
อาภาศิริ นิติพน รับบท รำไพ มหาโชคตั้งศิริ
แมน ศุภกิจ รับบท ชาติชาย หรือกู๋เหลียง
พิมพรรณ ชลายคุปต์ รับบท กันทิมา มหาโชคตั้งศิริ
ขวัญฤดี กลมกล่อม รับบท ลินจง
วิทยา เจตภัย (ถนอม สามโทน) รับบท น้าเบิ้ม
แวร์ โซ รับบท อรทัย พิพัฒน์สกุล (โกวฮุ้ง)
อั๋น ศราวุธ นวแสงอรุณ รับบท กัมปนาท มหาโชคตั้งศิริ
ปิยพันธ์ ขำกฤษ รับบท โบ้
แอนดรู กรเศก โคร์นิน รับบท ตะวันฉาย
พิพัฒนพล โกมารทัต รับบท สุริยะ พัวพงศ์ไพศาล
พลรัตน์ รอดรักษา รับบท แสงเทพ

เพลงดาวประดับฟ้า ของแมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม (โปรยหัวเรื่อง)...แค่รออยู่ตรงนั้น จะปีนขึ้นไปหา ไม่ต้องลอยลงมา…อยู่บนฟ้า นั่นแหละดี เป็นดาวประดับฟ้า...รอคนรักจริง คนนี้ ต้องมีซักวัน จะไปให้ถึง ที่ตรงนั้น ไปอยู่เคียงข้างเธอ สองมือของฉันจะสร้างฝัน หัวใจของฉันจะทุ่มเท เพื่อ เธอคนเดียว…

เพลงประกอบละครหลัก  หัวใจระฟ้า และของนอกกาย ร้องโดยวงลาบานูน มิวสิคบั๊กส์

เรื่องย่อ....เล่าเรื่องราวของ หรั่ง เด็กหนุ่มลูกกำพร้า สิ่งเดียวที่ติดตัวเขามาก็คือล็อคเก็ตรูปไวโอลินที่เขาเก็บรักษาไว้เป็น อย่างดี มันเป็นเพียงสมบัติชิ้นเดียวที่เขามี หรั่งรับจ้างทำงานสารพัดเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนและเพื่อหาเงิน มาเป็นค่าผ่าตัดตาให้ ก้อย หญิงสาวตาบอดที่หรั่งรับมาดูแลอย่างน้องสาว ถึงชีวิตจะไม่ร่ำรวยแต่หรั่งก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ในชุมชนแออัดกับก้อยและมีเพื่อนร่วมชุมชนอย่าง โบ้ เท่ห์ เช็ง   ความสุขของหรั่งอีกอย่างก็คือ การได้เฝ้ามองดู แพรวา สาวสวยไฮโซ หรั่งรู้ตัวดีว่าเขากับแพรวาแตกต่างกันมากและ แพรวามีคู่รัก คือ ตะวันฉาย อยู่แล้ว หรั่งได้แต่มองแพรวาแบบหมาวัดหมายปองดอกฟ้าอย่างไรอย่างนั้นแต่แล้วหรั่งก็มีโอกาสได้เจอกับแพรวาในหลายๆ วาระโอกาส ทั้งที่เป็นการจงใจหรือบังเอิญ เช่น หรั่งในฐานะพนักงานขับรถส่งเอกสารรับอาสาแพรวาไปส่งให้ทันนัดหมายของตะวันฉายที่โรงแรม ,ในวัด ซึ่งหรั่งไปแสดงเป็นคณะกระตั้ว แล้วแพรวาตั้งใจไปพบ หรืองานประจำปีที่กาญจนบุรี ที่หรั่งไปควบคุมดูแลการติดตั้งชิงช้าสวรรค์ ซึ่งเพื่อนๆของหรั่งก็จัดแจงให้แพรวาได้พบกับหรั่งในกระเช้าชิงช้าสวรรค์ แล้วกันตะวันฉายออกไป หรือตอนที่ตะวันฉายทะเลาะกับแพรวาแล้วทิ้งแพรวาบนทางด่วน แล้วหรั่งขับผ่านมาเจอเข้า  แพรวาก็เริ่มประทับใจในความมีน้ำใจของหรั่ง เมื่อเธอต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของครอบครัว เธอจึงได้ขอให้หรั่งเข้าไปทำหน้าที่ผู้ช่วยให้เธอ การได้เข้ามาใกล้ชิดกับแพรวาในฐานะผู้ช่วยทำให้หรั่งได้รู้ว่าแพรวาไม่ต้องการจะเข้ามาทำงานที่บริษัท ซึ่งตรงข้ามกับความตั้งใจของ เผ่าลาภ ที่อยากผลักดันให้แพรวาขึ้นมาสืบทอดตำแหน่ง เพื่อที่เขาจะได้ไปลงเล่นการเมืองได้เต็มตัว เผ่าลาภหวังว่าการลงไปเล่นการเมืองในพรรคของสุริยะ พ่อของตะวันฉาย จะเป็นใบเบิกทางไปสู่สัมปทานบัตรเหมืองพลอยแห่งใหม่ แต่การขอสัมปทานก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะกลับมีคู่แข่งอย่าง แสงเทพ เข้ามาขอสัมปทานให้กับบริษัท เทพทอแสง ด้วยการใช้สุริยะเป็นทางลัดเหมือนกัน   การที่เผ่าลาภดันแพรวา ขึ้นมาแทนที่ สร้างความไม่พอใจให้กับบารมี และอรทัย น้องๆ ของเผ่าลาภ เผ่าลาภรู้ดีว่าคนสองคนนี้ห่วงแต่ประโยชน์ส่วนตัว เขาจึงพยายามกันตำแหน่งไว้ให้แพรวา แต่ปัญหาก็คือ แพรวาไม่มีความสามารถพอ เผ่าลาภจึงได้มอบภาระให้หรั่งทำทุกวิถีทางให้แพรวากลายเป็นผู้บริหารที่ดี ได้  

เส้นเรื่องที่ 2 หรือพล็อตรองก็คือ การต่อสู้ฟาดฟันกันทางธุรกิจของเหล่าพี่น้องในตระกูลมหาโชคตั้งศิริ หรือ M.S. Jewelry เริ่มจากการที่เผ่าลาภต้องมานั่งเป็นประธานของกิจการของกงสีหรือในเครือ M.S Group เนื่องจากพี่ชายคนรองซึ่งเก่งกว่าได้เสียชีวิตไป อีกทั้งเขารู้ว่าในบรรดาน้องๆ ที่ดูแลกิจการงานในแต่ละด้านของบริษัทนั้นมีนอกมีใน มีการแบ่งกลุ่ม ขัดแย้งกันเอง โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 2 กลุ่มคือกลุ่มของอรทัยกับสามีและลูก กับบารมี(อาหั่ง)น้องชาย กับกลุ่มของเฮียตงเอง ซึ่งมีอาเหลียง กัมปนาท และลินจง ซึ่งคานอำนาจกันอยู่ ตั้งแต่หรั่งเข้ามาเป็นผู้ช่วยของแพรวาก็ทำการจับผิดทุจริตในฝ่ายขายที่มีอรทัยดูแลอยู่ได้ ทำให้เผ่าลาภเริ่มเชื่อมั่นต่อหรั่งมากขึ้น  เผ่าลาภเริ่มมีอาการปวดหัวเนื่องจากโรคความดันบ่อยๆ เขาเริ่มกลัวว่าตัวเองจะอยูได้อีกไม่นาน ดังนั้นเขาจึงเร่งรัดให้หรั่งช่วยสอนให้แพรวาเป็นนักบริหารที่ดีโดยเร็ว หรั่งให้สัญญา เผ่าลาภบอกกับหรั่งว่าเขาถูกชะตากับหรั่งอย่างบอกไม่ถูก หรั่งถือโอกาสสารภาพกับเผ่าลาภว่าเขาเคยเจอกับเผ่าลาภมาก่อนแล้ว ตอนที่เขาตามคณะคนงานก่อสร้างไปสร้างบ้านริมทะเลแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้พบกับแพรวาเป็นครั้งแรก แต่แพรวายังเด็กมากจึงจำเขาคนที่เคยช่วยเธอจากการถูกกลุ่มเด็กอื่นรังแกไม่ได้ เมื่อเผ่าลาภรู้ว่าหรั่งคือเด็กชายคนที่ห้อยสร้อยล็อคเก็ตไวโอลินเส้นนั้นก็ตกใจมาก  บารมีร่วมกับอรทัยยักยอกพลอยในสต็อกของบริษัทไปขาย ทำให้บริษัทซึ่งกำลังต้องการขายพลอยก้อนเพื่อเอาเงินมาหมุนต้องเดือดร้อน เผ่าลาภไล่บารมีและอรทัยออก เผ่าลาภเองเครียดจัดจนถึงกับเส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นอัมพาต ทำให้แพรวาต้องขึ้นรักษาการตำแหน่ง M.D แทน ในขณะที่กำลังวุ่นวายกับปัญหาการเงินของบริษัท ตะวันฉายก็มาขอเลิกกับแพรวา แพรวาเสียใจอย่างมากแต่โชคดีที่มีหรั่งคอยอยู่เคียงข้าง ทำให้เธอทำใจได้เร็วกว่าที่คิด หรั่งถือโอกาสบอกความจริงกับแพรวาเรื่องที่เขาและเธอเคยเจอกันมาก่อนเมื่อ ตอนเด็ก เมื่อแพรวารู้ว่าหรั่งคือเด็กชายตัวโตคนนั้นก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ความผูกพันจากวัยเด็กทำให้คนทั้งคู่ยิ่งรู้สึกดีต่อกัน แพรวายอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วว่าเธอมีใจเริ่มรักหรั่งเข้าแล้ว  แต่แล้วขณะที่ทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้น เผ่าลาภก็มาด่วนจากไปอย่างกะทันหันในเหตุการณ์ลิฟต์ระเบิด ตำรวจพบว่าการตายของเผ่าลาภนั้นเป็นการฆาตกรรม ด้วยพยานหลักฐานที่มัดตัวทำให้หรั่งกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ญาติ ๆ ทุกคนคิดว่าหรั่งตั้งใจฆ่าเผ่าลาภแล้วใช้ความไว้วางใจที่แพรวามีให้เข้ามา ยึดอำนาจในบริษัท แพรวานึกไม่ถึงว่าหรั่งจะมีแผนไม่ซื่อกับเธอ หรั่งหมดอิสระภาพ เขาถูกจับเข้าคุกทันที แพรวารู้สึกผิดหวังในตัวหรั่งอย่างมาก
คืนหนึ่งลูกน้องของเผ่าลาภพาแพรวามาที่บ้านหลังหนึ่ง ที่นั่นแพรวาได้เจอกับเผ่าลาภและหรั่ง เธอจึงได้รู้ความจริงว่าเผ่าลาภแกล้งตายแล้วให้หรั่งเป็นแพะรับบาปในคดี เพื่อจะหาหลักฐานมาดัดหลังคนที่วางแผนฆาตกรรมตัวจริง แพรวาได้รู้ว่าคนบงการฆ่าตัวจริงคือ แสงเทพและตะวันฉายที่ต้องการจะฆ่าเผ่าลาภเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้สัมปทาน แล้วเอาที่ดินนั้นไปใช้เป็นโกดังเก็บของเถื่อนโดยใช้การทำเหมืองพลอยบังหน้า แต่แผนของแสงเทพก็ถูกเปิดเผยด้วยโน้ตลับจากบารมีที่เริ่มสำนึกได้แล้วเขียนมาเตือนเผ่าลาภให้ไหวตัวก่อน   แพรวาร่วมมือกับหรั่งที่ยังแสร้งติดคุกอยู่หาหลักฐานมาเปิดโปงเทพทอแสงทำให้แสงเทพถูกจับและสัมปทานก็ตกมาเป็นของบริษัท แพรวาอยากลาออกแล้วคืนตำแหน่งให้เผ่าลาภ แต่เผ่าลาภปฏิเสธ เขาต้องการให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาตายไปแล้วเพื่อที่เขาจะไปใช้ชีวิตเงียบสงบใน บั้นปลาย ก่อนจะไปเผ่าลาภบอกความจริงกับหรั่งว่าที่จริงนั้นหรั่งเป็นลูกชายของเผด็จศึก พี่ชายของเขาที่ตายไป หรั่งไม่เข้าใจ เผ่าลาภบอกว่า ถ้าหรั่งคือเด็กผู้ชายคนที่ห้อยสร้อยคอล็อกเก็ตไวโอลินคนนั้น หรั่งก็คือลูกของเผด็จศึกแน่ ๆ เพราะก่อนเผด็จศึกจะตายเคยบอกกับเผ่าลาภไว้ว่าเขามีลูกชายหนึ่งคนที่มีล็อกเก็ตไวโอลินเป็นสัญลักษณ์  หรั่งทนรับความจริงไม่ได้เมื่อรู้ว่าเขา กับแพรวาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรั่งจึงหนีหน้าไป ทิ้งให้แพรวาดำเนินงานไปคนเดียว น้าเบิ้ม พ่อของโบ้มาบอกความจริงแก่หรั่งว่าที่จริงล็อกเก็ตนั้นไม่ได้เป็นของหรั่ง แต่เป็นของที่ติดตัวโบ้มาตั้งแต่เด็ก น้าเบิ้มเป็นเพียงคนที่เก็บโบ้มาเลี้ยงแล้วก็เป็นคนถอดสร้อยนั้นใส่ให้หรั่งเองโดยไม่คิดอะไร หรั่งจึงรู้ความจริงว่าโบ้ต่างหากที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแพรวา หรั่งรีบไปหาแพรวาที่บริษัทขณะกำลังแถลงข่าวของบริษัทอยู่ หรั่งไปในเวลาที่มือปืนลึกลับกำลังเล็งปืนขึ้นยิงบารมีพอดี บารมีถูกยิงล้มลง หรั่งปราดเข้าไปถึงตัวมือปืนทำให้ลูกกระสุนพลาดไปถูกแพรวาหนึ่งนัด หรั่งวิ่งเข้าไปหาแพรวาแล้วบอกความจริงกับแพรวาว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน แพรวาหมดสติไปในอ้อมแขนหรั่ง  เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บารมีเสียชีวิต ตำรวจสืบสวนจนรู้ว่าตะวันฉายเป็นคนสั่งฆ่าบารมีปิดปากเพราะบารมีรู้ว่าเขา เป็นคนบงการฆ่าเผ่าลาภ ตะวันฉายถูกจับดำเนินคดี ส่วนหรั่งนั้นเขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่เก่าแห่งหนึ่งเพื่ออยู่ดูแลแพรวาที่อยู่ ในระหว่างมาพักรักษาตัว หรั่งบอกแพรวาว่าเขาจะขอปกป้องดูแลแพรวาอย่างที่เขาเคยทำมาตั้งแต่เด็กและจะทำเช่นนี้ตลอดไป

ผู้เขียนต้องออกตัวก่อนว่ามีโอกาสดูละครเรื่องนี้โดยบังเอิญ เนื่องจากก่อนหน้านี้ติดตามละครเรื่องฟ้าจรดทรายที่เป็นละครฟอร์มยักษ์ของช่อง 7 พอจบก็ไม่รู้จะดูอะไรต่อ กอร์ปกับละครสาปพระเพ็งที่ฉายทางช่อง 3 ไม่ได้ดูมาแต่ต้น เพราะดันไปตามแต่เรื่องฟ้าจรดทราย เลยไม่ต่อเนื่อง พอจบฟ้าจรดทรายก็มีละครสุภาพบุรุษลูกผู้ชายมาต่อ แล้วเป็นงานกำกับของพี่ตั้วด้วย ก็เลยลองดูต่อ โดยที่ไม่รู้มาก่อนด้วยว่าเป็นละครรีเมค เพราะตอนฉบับเวอร์ชั่นเก่าก็ไม่เคยดู และไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน แต่พอดูตอนแรกผ่านไปแล้วเท่านั้นแหละ ติดงอมแงมเลย เป็นละครที่มีวิธีการเล่าเรื่องและนำเสนอที่ต่างออกไปจากละครอื่นโดยทั่วไป และยิ่งเปรียบกับละครอื่นในช่องเดียวกันด้วย ต้องถือว่าเหมือนดูซีรี่ย์ต่างประเทศหรือภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องนึงเลย มันมีกลิ่นของผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ หรือเทพบุตรชาวดิน อย่างไรบอกไม่ถูกเหมือนกัน และยิ่งภาพหรือบรรยากาศของเรื่อง บวกกับไดอะล็อกซ์บทพูดของตัวละครหลักอย่างหรั่ง นาคำ มันชวนเศร้า หม่น แบบมีดราม่าแน่ๆ เลย แต่ไม่ได้มีการเร้าอารมณ์หรือเค้น แบบละครอื่นๆ ทั่วไปที่เรามักเห็นกันอยู่ดาดๆ ยิ่งดูไป ยิ่งสนุก ชวนติดตาม มีคติสอนใจทุกตอน แทรกข้อคิดการทำความดีที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคและค่านิยมของสังคมไทยของหรั่ง นาคำ ยิ่งดูก็ยิ่งรักตัวละครตัวนี้เข้าไปทุกที อีกทั้งตัวละครที่ชื่อน้องแนท ที่เล่นเป็นก้อย แสดงได้ดี ทำให้เรารู้สึกรักและสงสารเธอ ชอบบทละครเรื่องนี้จัง พี่ตั้วทั้งเขียนและกำกับเอง ต้องถือว่าไม่ธรรมดา หากไม่ใช่เป็นเพราะพี่ตั้วผ่านงานแสดงมาทั้งเป็นนักแสดงนำ นักแสดงประกอบมามากมายทั้งละครและภาพยนตร์ อีกทั้งยังเคยเป็นผู้กำกับทั้งละคร ภาพยนตร์และละครเวที เคยเป็นพิธีกรอีกต่างหาก ประสบการณ์หลากหลายเหล่านี้แหละกลายเป็นชั่วโมงบินที่กลั่นออกมาเป็นบทประพันธ์ บทละครที่ยอดเยี่ยมนี้ออกมาได้ วิธีการวางพล็อตเรื่อง การเล่าเรื่อง การนำเสนอตัวละครที่มีมิติหลากหลาย สัมพันธ์กัน รายละเอียดเล็กน้อยทั้งการแคสติ้งตัวแสดงมารับบทสำคัญๆ  มุมกล้องสวยๆ การแสดงอารมณ์ของตัวละคร แบ็คกราวน์ของตัวละครหลักๆ รวมถึงบทพูดเก๋ๆ โดนใจ จังหวะจะโคนของการค่อยๆ เล่า ช่วงที่ต้องขยี้อารมณ์ ขยี้ปมปัญหา หรือเทิร์นนิ่งพ้อยท์ ไม่ใช่การเค้นอารมณ์ตัวแสดงแบบที่เรามักเห็นกันจนชินตาจากละครอื่นๆทั่วไป บรรยากาศของละครพาให้อินและเศร้าไปกับอารมณ์ของตัวละครได้ง่าย ถึงขั้นน้ำตาไหลในหลายๆ ตอน โดยที่ซีนนั้นมันไม่ได้เค้นหรือเร้าอารมณ์อะไรเลย ตรงจุดนี้ต้องถือว่าพี่ตั้วมีฝีมือเข้าขั้นสากลเลยทีเดียว ซึ่งอารมณ์แบบนี้ ผู้เขียนมักเสร็จกับซีรี่ย์ญี่ปุน ฮ่องกง เกาหลี หรืออเมริกาเสียมากกว่า นานๆ ครั้งจึงเจออารมณ์ที่ถึงได้ในบทละครของคนไทย จะไม่ขอชื่นชมใครเป็นพิเศษ เพราะถือว่าตัวแสดงเกือบทุกตัวในละครเรื่องนี้แสดงได้ถึงบทบาท ทำให้เราเชื่อได้ ต้องกล่าวโดยรวมและยกเครดิตนี้ให้กับพี่ตั้วคนเดียวจริงๆ เพราะละครเรื่องนี้เป็นละครสุดประทับใจของผู้เขียนในปีนี้ได้ องค์ประกอบมันคงไม่ใช่แค่บท การแสดง พล็อต แต่มันต้องหมายถึงฝีมือของผู้กำกับที่แบกและพาเราไปได้ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีส่วนสะดุดหรือติดขัด ถ่ายทอดมุมมองและเล่าเรื่องได้ดีแค่ไหนด้วย กล่าวอย่างไม่เสแสร้ง ไม่อวย ไม่ยกยอ หรือมีอคติ หรือมีความนิยมชมชอบผู้กำกับเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด เพราะก็ไม่เคยได้ติดตามงานของพี่เขาอะไรมาก่อนเป็นพิเศษ นอกจากงานเพลงเท่านั้น อ้อ ลืมไปเพลงประกอบเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าวิเศษสุด เพราะจับใจ ฟินสุด ๆ เช่นกัน กล่าวโดยรวม โชคดีที่มีโอกาสได้ชมละครเรื่องนี้ เพราะตั้งใจดูฆ่าเวลา รอทองเนื้อเก้า แต่ท้ายที่สุด ติดเรื่องนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปดูทองเนื้อเก้าเลย จะเสียดายที่สุดถ้าพลาดละครเรื่องนี้ไป


ฉากที่ประทับใจในละครเรื่องนี้  ช่วงที่หรั่งสะสมรูปภาพของแพรวาและทำการตัดเก็บรูปภาพเล็กๆ หลากหลายอริยาบถของคนที่ตัวเองแอบรักนำมาปะติดบนสรอรี่บอร์ดส่วนตัว แล้วจะคอยมาดูชื่นชม เป็นสมบัติสุดหวงเพียงไม่กี่ชิ้นของหรั่ง แม้วันที่ไฟไหม้บ้าน หรั่งก็พยายามเข้าไปรื้อค้นและพยายามเอาออกมาให้ได้ ไม่ให้โดยไฟไหม้, ช่วงที่หรั่งขี่มอเตอร์ไซด์พาก้อยไปในที่ต่างๆ ความสัมพันธ์ของหรั่งกับก้อย แม้นต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเป็นแค่พี่น้อง แต่บางครั้งคนดูจะแอบเอาใจช่วยให้ทั้งคู่เป็นแฟนกันมากกว่า, ฉากที่หรั่งกับแพรวานั่งอยู่บนกระเช้าชิงช้าสวรรค์แล้วสนทนากัน,ฉากการเต้นรำบนดวงจันทร์ซึ่งเป็นซิมโบลิคของเรื่อง, ฉากที่เผ่าลาภเรียกหรั่งขึ้นไปบนหลังคาของตัวอาคารบริษัท M.S.Group มีการพูดคุยกันด้วยไดอะล็อค คล้ายๆหนังฮ่องกงบางเรื่อง, ฉากที่ก้อยนั่งเล่นไวโอลิน โดยมีหรั่งนั่งดูและแอบปลื้ม, ซีนอารมณ์ตอนที่เผ่าลาภล้มหมดสติต้องเข้าโรงพยาบาลและพบว่ามีอาการทางสมอง ตัวละครทุกตัวเล่นได้ดีหมด, ฉากตอนที่ผู้จัดการธนาคารกล่าวชื่นชมหรั่งที่สามารถจับผิดพนักงานธนาคารที่ยักยอกเงินลูกค้า ทำให้ผู้จัดการชื่นชมในตัวหรั่งและรับเข้าทำงาน ฯลฯ

ประวัติชีวิตและผลงานผู้กำกับการแสดง

ศรัณยู วงษ์กระจ่าง (ชื่อเล่น: ตั้ว) มีชื่อจริงว่า นรัณยู วงษ์กระจ่าง (เปลี่ยนมาเป็น ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) เกิดวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2503 ที่ตำบลกระดังงา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม  ศรัณยูเป็นเป็นนักแสดง พิธีกร ผู้กำกับการแสดงละครและภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการบันเทิงของไทย ก่อนจะเข้ามาในวงการบันเทิง ประกอบอาชีพเป็นสถาปนิกมาก่อน แต่เนื่องจากอาชีพสถาปนิกในเวลานั้น ยังไม่เป็นที่นิยมอย่างในปัจจุบัน ซึ่งศรัณยูได้ร่วมกิจการการแสดงโดยแสดงละครของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เมื่อยังเป็นนิสิตอยู่แล้ว (ซึ่งบทบาทการแสดงละครเวทีที่เป็นที่จดจำมากที่สุด คือ สู่ฝันอันสูงสุด) เมื่อจบออกมามีผลงานชิ้นแรกทางโทรทัศน์ โดยแสดงเป็นตัวประกอบในรายการเพชฌฆาตความเครียด ทางช่อง 9 ในปี พ.ศ. 2527 โดยแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ที่เป็นศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกัน เช่น ปัญญา นิรันดร์กุล, เกียรติ กิจเจริญ, วัชระ ปานเอี่ยม เป็นต้น

ศรัณยู มีผลงานทางด้านการแสดง พิธีกร ผู้กำกับละคร ผู้กำกับภาพยนตร์ เป็นผู้กำกับละครทางทีวีเรื่อง "เทพนิยายนายเสนาะ" (2541), ละครพีเรียดเรื่อง "น้ำพุ" (2545), ละครสั้นสองตอนจบเรื่อง "ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด" (2545), ละครเรื่อง "สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย" (2546), ละครเรื่อง "หลังคาแดง" (2547), ละครเรื่อง "ตราบสิ้นดินฟ้า" (2551) และการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก "อำมหิตพิศวาส" (2550)

ชีวิตส่วนตัว เป็นน้องชายแท้ๆ ของ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ แต่ว่าใช้คนละนามสกุลกัน เนื่องจากในวัยเด็ก ธเนศได้ถูกป้าขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมจึงใช้นามสกุลของป้า สมรสกับ หัทยา เกตุสังข์ นักแสดงและดีเจชื่อดัง มีลูกฝาแฝดชื่อ ลูกหนุน กับ ลูกหนัง ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้นขนุนลูกหนัง เป็นบริษัทการแสดงละคร ดนตรี และศิลปะอื่น ๆ ย่านเขตภาษีเจริญ

ผลงานการแสดงภาพยนตร์

2530 อย่าบอกว่าเธอบาป
2532 โกย
2532 หัวใจ 4 สี (วัชระ)
2532 ขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ (สุธี)
2533 เล่นกับไฟ (ปราย)
2536 ท่านขุนน้อยน้อย แห่งสยาม
2537 กาเหว่าที่บางเพลง
2538 บินแหลก (ยิ่งศักดิ์ / โย)
2538 มหัศจรรย์แห่งรัก (พัฒน์)
2539 เรือนมยุรา (พระนาย)
2543 สตางค์ (โรจน์)
2544 สุริโยไท (พระเฑียรราชา / สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ)
2545 เกิร์ลเฟรนด์ 14 ใสกำลังเหมาะ
2548 ซุ้มมือปืน (อิฐ อัมพวา)
2549 อำมหิตพิศวาส (ชัย)
2549 13 เกมสยอง (สุรชัย)
2550 ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา (สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ)
2551 สลัดตาเดียวกับเด็ก 200 ตา (กัปตันฤทธิ์)
2551 องค์บาก 2 (พระยาราชเสนา)
2552 สวยซามูไร (วายิบ)
2553 องค์บาก 3 (พระยาราชเสนา)

ผลงานละครโทรทัศน์

ช่อง 3
2526 เลือดขัตติยา (อโณทัย - ไม่ได้ออกอากาศ)
2527 เก้าอี้ขาวในห้องแดง (บูรพา)
2529 กามนิต-วาสิฏฐี (กามนิต)
2530 อวสานของเซลส์แมน
2531 เจ้าสาวของอานนท์ (อานนท์)
2531 เกมกามเทพ
2531 อาศรมสาง
2531 ทายาท
2532 ดอกฟ้าและโดมผู้จองหอง (โดม)
2532 รัตติกาลยอดรัก (ดร.จักรกฤษณ์ อิสราลักษณ์)
2533 วนาลี (ผู้กองสยาม)
2533 โหด เลว อ้วน
2533 เทพธิดาบาร์ 21
2533 สมหวัง มนุษย์ทดลอง (สมหวัง)
2533-34 รอยมาร (อุปมา / มาร์ค)
2534 วนิดา (พันตรีประจักษ์ มหศักดิ์)
2535 ไฟโชนแสง (ชาติชาย) คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช
2536 อยู่กับก๋ง (เพ้ง) คู่กับ เพชรี พรหมช่วย
2540 ทานตะวัน (สาริศ)
2540 ตะวันยอแสง (อาเล็ก)
2541 ดวงยิหวา (อาแมน)
2541 เทพนิยายนายเสนาะ

ช่อง 5
2533 เธอคือดวงดาว (สันติภาพ - ชื่อละครเปลี่ยนจาก "คนขายคน" ถ่ายทำเมื่อ พ.ศ. 2531 ไม่ผ่าน กบว.)
2535 เมียนอกกฎหมาย (นเรนทร์)
2538 เรือนแพ (เจน)
2540 เขมรินทร์ อินทิรา (เขมรินทร์)
2549 ลอดลายมังกร (เหลียง)

ช่อง 7
2527 บ้านสอยดาว (เอื้อตะวัน)
2528 ระนาดเอก (เอก)
2528 มัสยา (ร้อยโทลักษณ์ รัตนมหาศาล)
2529 จิตรกร
2530 บ้านทรายทอง (ม.ร.ว.ภราดาพัฒน์ระพี / ชายกลาง)
2530 พจมาน สว่างวงศ์ (ม.ร.ว.ภราดาพัฒน์ระพี / ชายกลาง)
2531 บริษัทจัดคู่
2536 น้ำเซาะทราย (ภีม)
2537 ทวิภพ (คุณหลวงอัครเทพวรากร - ได้รับรางวัลเมขลาผู้แสดงนำชายดีเด่นปี 2537)
2537 ปลายฝนต้นหนาว (ลายคราม)
2538 ปราสาทสีขาว (ตรีพิมาย)
2538 มนต์รักลูกทุ่ง (คล้าว)
2539 ด้วยแรงอธิษฐาน (กฤตย์) คู่กับ สุวนันท์ คงยิ่ง
2541 พ่อม่ายทีเด็ด คู่กับ สินิทธา บุญยศักดิ์
2541 พลังรัก (อธิวัฒน์)
2542 โดมทอง (อดิศวร์ ศิโรดม)
2542 คุณปู่ซู่ซ่า คุณย่าเซ็กซี่
2543 ดั่งสายน้ำไหล
2544 นายฮ้อยทมิฬ (นายฮ้อยเคน)
2546 มหาเฮง (เฮง)
2547 หลังคาแดง (ผู้อำนวยการโรงพยาบาลผู้ป่วยโรคจิต – ไม่ระบุชื่อตัวละคร)
2548 มิตร ชัยบัญชา มายาชีวิต

ผลงานพิธีกร

คืนวันอาทิตย์ ช่อง 3
เจาะโลกมหัศจรรย์
เกมลวงบันลือโลก(ปี43)
แชมเปี้ยนเกม (7 ตุลาคม 2543 - มีนาคม 2547)
เรื่องจริงผ่านจอ(มกราคม 2542 - 31 มกราคม 2552)
บิ๊ก บราเธอร์ (2 เมษายน 2548 - 2549 รวม 2 ซีซั่น)
จอเหลือง,ชีวาสยาม (10 มกราคม 2552 - ปัจจุบัน )
The Audition(ปี52)

ผลงานเพลง

"ครั้งหนึ่ง" ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
"หัวใจลูกทุ่ง ชุด 1"
193วัน รำลึก
7 ตุลา รำลึก (เก็บไว้ในความทรงจำ)
ของขวัญ (คำมั่นสัญญาของคน Astv)

ผลงานละครเวที

พันท้ายนรสิงห์ ณ ศาลาเฉลิมไทย (พ.ศ. 2532)
สัญญาณเลือดสัญญารัก
อภินิหาร แม่มดแฝด
ไร่แสนสุข 2530
ซินเดอเรลล่า ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงใหญ่) วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2534
ทึนทึก ณ โรงละคร A.U.A. 27-28 มีนาคม 2535 และ 8-10 พฤษภาคม 2535
ตะลุยเมืองตุ๊กตา ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงใหญ่) 3-12 กรกฎาคม 2535
จิ้งจอกลอกลาย ณ โรงละคร A.U.A. 18-30 กันยายน 2535*
ทู้ตซี่ ณ โรงละคร A.U.A. 7-16 พฤษภาคม 2536
อมาดิอุส ณ โรงละครกรุงเทพ 13-29 กันยายน 2539
ART ณ โรงละครกรุงเทพ 2-11 มิถุนายน 2543
เรื่องลับๆ…ตอนดับไฟ รับบท ว่าที่พ่อตาจอมโหด 23 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2547
ทึนทึก 40 ปีผ่าน..คานเพิ่งขยับ 2551
ฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล รับบท กษัตริย์อาเหม็ด
หลังคาแดง (เรื่องนี้พี่ตั้วไม่ได้ร่วมแสดงแต่กำกับเอง)

ผลงานการกำกับภาพยนตร์

"เทพนิยายนายเสนาะ" (2541)
ละครพีเรียดเรื่อง "น้ำพุ" (2545)
ละครสั้นสองตอนจบเรื่อง "ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด" (2545)
ละครโทรทัศน์เรื่อง "สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย" (2546)
ละครโทรทัศน์เรื่อง "หลังคาแดง" (2547)
ละครโทรทัศน์เรื่อง "ร.ศ. 112 คนไทยรักแผ่นดิน" (2548)
ภาพยนตร์เรื่องแรก "อำมหิตพิศวาส" (The Passion) (2550)
ละครเรื่อง "ตราบสิ้นดินฟ้า" (2551)
ภาพยนตร์เรื่อง "คนโขน" (2554)
ละครรีเมคเรื่อง "สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย" (2556)

(อ้างอิงข้อมูล : วิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์)

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ส่งเสด็จสู่ห้วงนิพพาน น้อมถวายอาลัยแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


สมเด็จพระสังฆราชสมเด็จ พระสังฆราช (เจริญ สุวัฑฒโน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


พระองค์มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงศึกษาที่โรงเรียนวัดเทวสังฆาราม เมื่อพระชนมายุได้ ๘ พรรษา และบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้ไปเรียนภาษาบาลีที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม ปี พ.ศ. ๑๔๗๒ ได้มาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ศึกษาพระปริยัติธรรม

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2456 ที่จังหวัดกาญจนบุรี มีพระนามเดิมว่า "เจริญ คชวัตร" เป็นบุตรของพระชนกน้อย และพระชนนีกิมน้อย คชวัตร เมื่อพระชันษาย่าง 14 ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเทวสังฆาราม และอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามในปี 2476 โดยอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติที่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับประทานนามฉายาจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ว่า "สุวฑฺฒโน" ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้เจริญดี"


การปฏิบัติพระองค์ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ของ สมเด็จพระสังฆราช ทรงศึกษาและทรงปฏิบัติพระธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยคในปี 2484 นอกจากนี้ทรงศึกษาภาษาสันสกฤต อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และจีน จากพระอาจารย์หลายท่านและทรงศึกษาด้วยพระองค์เองด้วยความสนพระทัย โดยทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารตั้งแต่ปี 2504 จนถึงปัจจุบัน

พระกรณียกิจสำคัญประการหนึ่งคือ ทรงเป็นพระอภิบาล หรือพระพี่เลี้ยงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวช ในปี 2499 โดยทรงถวายคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับการทรงผนวชแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งก่อนและตลอดระยะเวลาการทรงผนวช รวมถึงทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ในพระราชพิธีทรงผนวช ของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในปี 2521 และทรงทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ถวายพระธรรมวินัยตลอดระยะเวลาแห่งการทรงผนวช

ในปี 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระญาณสังวร" มีความหมายว่า ผู้สำรวมในญาณคือความรู้ เป็นรูปที่ 2 ต่อจาก "สมเด็จพระญาณสังวร สุก" มีระยะเวลาห่างถึง 125 ปี

ในปี 2532 ได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดทางการปกครองของคณะสงฆ์ ในราชทินนาม

เดิมคือ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช" แทนราชทินนามสำหรับตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช ที่ถือเป็นประเพณีปฏิบัติกันมาคือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" เพื่อให้พระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังเป็นที่ปรากฏอยู่สืบไป โดยทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตด้วย

การปฏิบัติพระองค์เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" ทรงปฏิบัติพระองค์ในฐานะพระมหาสังฆเถระด้วยพระจริยาวัตรงดงาม ทั้งในส่วนอัตตหิตปฏิบัติ และปรหิตปฏิบัติ ควรแก่การยึดถือเป็นแบบอย่าง การปฏิบัติพระองค์ในฐานะองค์พระประมุขแห่งสังฆมณฑล ทรงปฏิบัติศาสนกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่คณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนาเป็นอเนกประการ

ส่วนการประปฏิบัติพระองค์ในฐานะพระสมณศากยบุตร ผู้สืบทอดมรดกทางธรรม ดำรงพระพุทธศาสนา มีพระปรีชาสามารถทั้งในทางพระปริยัติสัทธรรม และพระปฏิบัติสัทธรรม ดังที่ปรากฎในหมู่พุทธบริษัท ทั้งฝ่ายคฤหัสถ์และบรรพชิต นับว่าทรงเป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนธรรมที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุคปัจจุบัน โดยทรงงานหลายด้าน อาทิ การศึกษา การปกครอง การสั่งสอนเผยแผ่พระพุทธศาสนา การก่อสร้างปฏิสังขรณ์ และการสาธารณสงเคราะห์

นอกจากการเผยแผ่พระธรรมในประเทศ ทรงเผยแผ่พระธรรมในสากลโลก โดยทรงริเริ่มสืบสานสายสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์ รัฐบาล และพุทธศาสนิกชน เพื่อให้พระพุทธศาสนาในหลายประเทศฟื้นฟูและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น อาทิ ประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ศรีลังกา จีน และสหรัฐอเมริกา

ผลจากการทรงปฏิบัติพระกรณียกิจนานัปการเพื่อทรงสืบทอด ฟื้นฟู และเผยแผ่พระพุทธศาสนากว่า 24 ปี ในฐานะสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สะท้อนให้เห็นถึงพระหทัยที่ทรงมุ่นมั่นปฏิบัติพระกรณียกิจ ยังประโยชน์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทยและชาวโลกสืบมา

ในหลวงพระราชทานโกศกุดั่นใหญ่ ฉัตร 3 ชั้น บรรจุพระศพสมเด็จพระสังฆราช ขณะที่สมเด็จพระบรมฯ และสมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ ถวายน้ำสรงพระศพ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แล้ว ชาวพุทธร่วมถวายอาลัยแน่นวัด


เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 เวลา 17.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา เสด็จฯ มาถวายน้ำสรงพระศพสมเด็จพระสังฆราช ณ พระตำหนักเพ็ชร

การนี้ สมเด็จพระบรมฯ ทรงทอดผ้าไตรแพรถวายพระศพ ทรงวางพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทรงวางพวงมาลาส่วนพระองค์ที่หน้าพระโกศพระศพ จากนั้น ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระโกศพระศพ ทรงทอดผ้าไตร หลั่งทักษิโณทก สวดพระอภิธรรม 1 จบ ก่อนเสด็จฯ กลับ

ด้าน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้นำคณะรัฐมนตรี ร่วมน้อมถวายอาลัยแด่สมเด็จพระสังฆราช เช่นเดียวกับประชาชนทั่วสารทิศที่เดินทางมาร่วมถวายอาลัยอย่างเนืองแน่น

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศประดับเกียรติยศแก่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระโกศกุดั่นใหญ่ พร้อมฉัตร 3 ชั้น และเครื่องประกอบเกียรติยศ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทั้งสิ้น 7 วัน และทรงดำริให้อยู่ในช่วงไว้อาลัย 30 วัน

Link : รายละเอียดประวัติและชีวิตการทำงานตลอดจนผลงานโดยละเอียดในเว็บสารานุกรมออนไลน์ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A3_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81


วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (ระเบิดพลีชีพบนรถบัสที่รัสเซีย,ไฟป่าปะทุที่ออสเตรเลีย,ปลาออร์ฟิชเกยตื้นเป็นลางแผ่นดินไหวใหญ่)


ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายบนรถบัสคันหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งอยู่บนถนนในเมืองวอลโกกราด ทางตอนใต้ของประเทศรัสเซีย โดยเหตุระเบิดในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลาประมาณ 17.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 6 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 32 คน โดยในจำนวนนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวน 8 คน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายในครั้งนี้เป็นผู้หญิงวัย 30 ปี จากเขตปกครองตนเองสาธารณรัฐดาเกสถาน และมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธมุสลิมที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่นอร์ท คอเคซัส ทางตอนใต้ของรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยก่อเหตุโจมตีในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีกลุ่มใดอออกมาอ้างความรับผิดชอบของการก่อเหตุในครั้งนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยในพื้นที่นอร์ท คอเคซัสแล้ว สำหรับเหตุโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่รัสเซียกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งที่ 22 ประจำปี 2014 ที่เมืองโซชี ทางทิศเหนือของทะเลดำ ในเดือน ก.พ. 2557 แต่เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ส่งผลทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยของรัสเซียอีกด้วย

ไฟป่ายังคงโหมไหม้พื้นที่กว่า 60 จุดในรัฐ"นิวเซาธ์เวลส์"ของออสเตรเลียหลังเจ้าหน้าทีสามารถควบคุมไฟป่าได้แล้วประมาณ 40 จุด โดยพบว่ามีอาคารบ้านเรือนของประชาชนถูกไฟป่าเผาพลาญไปแล้วหลายร้อยหลัง ซึ่งเฉพาะในเมือง"สปริงวูด"มีบ้านเรือนประชาชนถูกไฟเผาไปแล้ว 30 หลัง ทางการออสเตรเลีย แสดงความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าไฟป่าอาจคุกคามต่อชีวิตของประชาชนทั่วรัฐนี้ เนื่องจากไฟป่ายังคงโหมไหม้อยู่หลายจุด บวกกับขณะนี้อุณหภูมิในพื้นที่สูงถึง 34 องศาเซลเซียส และปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการดับไฟป่าของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็คืออุณหภูมิที่สูง,สภาวอากาศแห้งแล้งและกระลมแรง ส่วนนคร"ซิดนีย์"ก็ปกคลุมไปด้วยหมอกควันจากไฟป่า ที่เผาไหม้ในพื้นที่ด้านตะวันตกของเมือง และไฟป่าที่เกิดขึ้นในปีนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายปีของรัฐ"นิว เซาธ์ เวลส์"    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการออสเตรเลียได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว หลังจากที่ไฟป่าได้ปะทุขึ้นในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็กำลังเร่งทำงานกันอย่างหนักเพื่อควบคุมไฟป่าหลายจุด แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำงานกันอย่างยากลำบากในการควบคุมไฟป่าในครั้งนี้ เบื้องต้นได้มีการประเมินว่าไฟป่าครั้งนี้นับเป็นไฟป่าครั้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปี นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์กันอีกว่า สถานการณ์ไฟป่าในออสเตรเลียครั้งนี้จะเลวร้ายหนักขึ้นอีกโดยในเขตพื้นที่ของเทือกเขาบลูเมาท์เทนส์ ทางด้านตะวันตกของรัฐรัฐนิวเซาท์เวลส์ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาผลาญมากที่สุดพื้นที่หนึ่ง มีรายงานว่า บ้านเรือนประชาชนนับ 300 หลังถูกไฟป่าลุกลามเผาผลาญบ้านเรือนเสียหาย ทางด้านทีมกู้ภัยก็กำลังเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตและผู้ประสบภัยในครั้งนี้กันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย เป็นชายวัย 63 ปี ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากหัวใจวายขณะกำลัง พยายามป้องกันไม่ให้บ้านถูกไฟไหม้ และมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บแล้วอย่างน้อย 5 คน เป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงถึง 3 ใน 5 คน เนื่องจากถูกเพลิงไหม้และสูดดมควันไฟ ซึ่งทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ด้านกองทัพออสเตรเลียกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนว่า การฝึกซ้อมโดยใช้ระเบิดจริงในฐานทัพใกล้กับเมืองลิธโธว์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (17 ต.ค.) เป็นสาเหตุทำให้เกิดไฟป่าครั้งล่าสุดในรัฐนิวเซาท์เวลส์หรือไม่อย่างไร

เอเอฟพี - นักผจญเพลิงประสบความสำเร็จในการรวมไฟป่าสองจุด บริเวณใกล้ๆ นครซิดนีย์ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ก่อนที่มันจะลามไปรวมกันเองและบวกเข้ากับไฟป่าใหญ่จุดที่สาม ซึ่งอาจส่งผลให้กลายเป็น “ไฟนรก” ที่เกินกว่าจะควบคุม ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเอ็นตอกนายกรัฐมนตรีแดนจิงโจ้ โดยชี้ว่าไฟป่าออสซี่กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีความเกี่ยวโยงกันอย่างแท้จริง พร้อมเตือนว่านโยบายการยกเลิกภาษีคาร์บอนอาจส่งผลเสียหายในระยะยาว ทีมนักผจญเพลิงหลายพันคนที่ส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในเขตป่าทางด้านตะวันตกของซิดนีย์ เพื่อพยายามดับไฟป่าครั้งใหญ่ซึ่งปะทุขึ้นหลายจุดในพื้นที่ 1,600 ตารางกิโลเมตรของรัฐนิวเซาท์เวลส์ นับตั้งแต่มีกระแสลมแรงและความร้อนพุ่งสูงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยบ้านเรือนกว่า 200 หลังถูกเผาราบคาบไปแล้ว และอีกจำนวนมากได้รับความเสียหาย แม้ยังมีผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียว ทว่า จากรายงานพยากรณ์อากาศที่ระบุว่า สภาพอากาศในวันพุธ (23) จะเลวร้ายกว่าที่คาดไว้ ทำให้ เชน ฟิตซ์ซิมมอนส์ ผู้อำนวยการสำนักงานดับเพลิงรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออกมาเตือนเมื่อวันอังคารว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มขึ้น พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนที่ไม่มีภาระหน้าที่ใดๆ ออกจากเขตเทือกเขาบลูเมาเทนส์ ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ 75,000 คน แม้ทางการยังไม่มีแผนอพยพครั้งใหญ่ก็ตาม ทั้งนี้ รายงานพยากรณ์อากาศคาดว่า อุณหภูมิในวันพุธจะอยู่ที่ราว 35 องศาเซลเซียส ความชื้นลดลง และกระแสลมแรง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่สภาพอากาศจะผ่อนคลายลงในวันรุ่งขึ้น ที่ผ่านมานักผจญเพลิงสามารถดับหรือควบคุมไฟหลายสิบจุดในระหว่างไฟไหม้ป่าซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในรัฐนี้ในรอบเกือบ 50 ปี โดยยังเหลืออีก 57 จุดที่ลุกไหม้ และในจำนวนนี้ 17 จุดที่ดูเหมือนยังไม่สามารถควบคุมได้ เทือกเขาบลูเมาเทนส์ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของออสเตรเลีย เป็นพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดเนื่องจากไฟป่าลุกลามรุนแรงอย่างมากในเขตเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ ลิธโกว์ ฟิตซ์ซิมมอนส์เผยว่า ไฟป่าสองจุดใกล้กับลิธโกว์และภูเขาเมาต์วิกตอเรียในเขตเทือกเขาบลูเมาเทนส์ ได้ถูกทำให้มาบรรจบกันด้วยเทคนิค “การเผากลับ” เพื่อสร้างพื้นที่โล่งที่จะกลายเป็นแนวกันไฟ ป้องกันการลุกลามไปรวมกับไฟป่าที่ยังควบคุมไม่ได้ในสปริงวูดและวินมาลี แล้วกลายเป็น “เมกะไฟร์” อย่างที่กลัวกันก่อนหน้านี้ แม้ประสบความสำเร็จในการสร้างแนวกันไฟ และไฟป่าในลิธโกว์ลดระดับเป็น "ติดตามและดำเนินการ” จากระดับ “สถานการณ์ฉุกเฉินสูงสุด” แต่ฟิตซ์ซิมมอนส์เตือนว่า ยังมีความเสี่ยงที่ไฟจะลุกลามไปยังเขตชุมชนในเบลล์และหมู่บ้านใกล้เคียง ทั้งนี้ ไฟป่าเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปในออสเตรเลียในช่วงฤดูร้อน ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ แต่สภาพอากาศที่แห้งและอุ่นผิดปกติในฤดูหนาว ขณะที่อุณหภูมิในฤดูใบไม้ผลิพุ่งสูงทำสถิติ ส่งผลให้ฤดูไฟป่าของปี 2013-2014 มาถึงเร็วขึ้นกว่าธรรมดา พร้อมกับคำเตือนว่า ฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนั้นจะทั้งยาวนานและแห้งแล้ง ไฟป่าครั้งรุนแรงนี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงในแดนจิงโจ้เกี่ยวกับความเชื่อมโยงของไฟป่ากับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยที่โทนี แอ็บบอตต์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้เคยวิจารณ์แนวคิดที่ว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจากฝีมือมนุษย์เป็นต้นเหตุของไฟป่าว่า “ไร้สาระทั้งเพ” ทว่า ในระหว่างตอบข้อซักถามจากโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอังคาร คริสเตียนา ฟิเกอเรส เลขาธิการบริหารอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (UNFCCC) ระบุชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับไฟป่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริงฟิเกอเรสเสริมว่า แม้องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกยังไม่ได้ระบุความเชื่อมโยงโดยตรงของสองปรากฏการณ์นี้ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งบอกชัดเจนว่า คลื่นความร้อนในเอเชีย ยุโรป และออสเตรเลียกำลังเพิ่มสูงขึ้นและจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปทั้งในแง่อุณหภูมิและความถี่ ทั้งนี้ข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลีย กฌแสดงให้เห็นว่า ปีนี้เป็นปีที่อากาศร้อนที่สุด ลบสถิติในปี 2005 และเดือนที่ผ่านมายังเป็นเดือนกันยายนที่ร้อนที่สุดในแดนจิงโจ้ ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วประเทศสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยระยะยาวประมาณ 2.75 องศาเซลเซียส ฟิเกอเรสเสริมว่า การตัดสินใจของแอ็บบอตต์ในการยกเลิกภาษีเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่รัฐบาลชุดเดิมบังคับใช้ อาจต้องแลกกับต้นทุนมหาศาลทางการเมือง “ขณะนี้เรากำลังจ่ายค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยไฟป่าและสภาวะแห้งแล้ง” ฟิเกอเรสยังเรียกร้องให้มีการรับมือกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังทันที พร้อมเตือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงบทนำของสถานการณ์เลวร้ายที่มนุษยชาติอาจเผชิญในอนาคต


บีบีซี/ASTVผู้จัดการ - เหตุพบปลาออร์ฟิชขนาดใหญ่ 2 ตัวเกยตื้นชายหาดแถบมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในเวลาห่างกันไม่ถึงสัปดาห์ จุดชนวนข่าวลืออาจเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ เหตุพบซากปลารูปร่างคล้ายงู ขนาดความยาว 4.3 เมตร บนชายหาดเมืองโอเชียนไซด์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม เกิดขึ้นเพียง 5 วันหลังเพิ่งเจอปลาออร์ฟิชขนาดความยาว 5.5 เมตร บนชายฝั่งเกาะคาตาลินา ทางใต้ของแคลิฟอร์เนียปรากฏการณ์นี้ได้ก่อเกิดข่าวลือบนโลกออนไลน์ที่ย้อนถึงความเชื่อในสมัยโบราณของชาวญี่ปุ่นที่ว่าปลาออร์ฟิชซึ่งพบเห็นได้ยากนี้สามารถเตือนเรื่องแผ่นดินไหวได้ อย่างไรก็ตามเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เชื่อว่ามันจะเกี่ยวข้องใดๆกับความเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลก

กระนั้นก็ดีเหล่านักวิทยาศาสตร์เองก็รู้สึกพิศวงอย่างมาก ต่อการพบปลาซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำลึกมากโผล่ขึ้นมาใกล้ชายหาดถึง 2 ครั้งในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนักเวลานี้ปลาออร์ฟิชตัวที่พบบนกาะคาตาลินา ถูกนำไปชำแหละเพื่อศึกษาและพบว่ามันสมบูรณ์ดี ไม่มีปญหาอดอยาก และมีสัญญาณของการเป็นโรคแค่เล็กน้อย ทั้งนี้เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังได้ดำเนินการตรวจสอบถึงความเป็นไปได้ของการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี ตามหลังน้ำปนเปื้อนรังสีรั่วไหลที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ยากที่จะสรุปได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากการรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับปลาสายพันธุ์ซึ่งเป็นที่รู้จักน้อยนิดนี้ทำได้ยากนั่นเอง



วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

The 14 Amazons (14 นางสิงห์ร้ายยอดขุนพลตระกูลหยาง)







ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม วันที่ 14 ตุลาคม ที่ผานมา ผู้เขียนไม่ได้คิดถึงวันที่ 14 ตุลามหาวิปโยค ซึ่งเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทยเลยก็ไม่ทราบ อาจเป็นเพราะว่าความสำคัญของวันนี้มันเริ่มลดลงไป ในความรู้สึกของผู้เขียนเอง ยิ่งถ้าไปฟังปกฐกถาของ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กับ อ.ธีรยุทธ บุญมี ในปีนี้ที่แกไปเวิ่นเว้อเอาไว้ในงานรำลึก 14 ตุลาคมที่หอประชุม อนุสรณ์ 14 ตุลา แยกคอกวัว เข้าให้ ก็ยิ่งให้รู้สึกว่า โถ นี่หรือวีรบุรุษประชาธิปไตยของเมืองไทย น่าสมเพชจริงๆ ยิ่งรายแรกนั้นหมดศรัทธาไปเลย ส่วน อ.ธีรยุทธ นั้น ก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้คมกริบเหมือนในอดีต กลายเป็นมีดทื่อที่ขึ้นสนิมไปแล้วทั้งคู่ เพียงแต่มีดด้ามแรกนั้นอาบยาพิษอีกต่างหาก ผู้เขียนให้หวนไปคิดถึง ภ.จีนในอดีตที่ตอนเด็กๆ เคยดูแล้วชอบมาก จัดเป็นหนังในดวงใจเรื่องนึงเลยทีเดียว นั่นก็คือ The 14 Amazons (1972)  โอ้โห เป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ฮึกเหิมและรักชาติมาก ดูกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ เรียกว่าหนังที่เกี่ยวกับครอบครัวตระกูลหยางนั้น กี่เวอร์ชั่น สร้างกี่ครั้ง ผู้เขียนก็ไล่ตามดูมันทุกซีรี่ย์ ทุกเวอร์ชั่นนั่นแหละ และก็ชอบหมด ยิ่งเวอร์ชั่นแรกอย่าง  The 14 Amazons (1972) แม้จะเก่าเพียงใดแต่คลาสสิกมาก ในยุคนั้น ยังไม่มีเทคนิคอะไรเลย แต่ดูโปรดักชั่น งานสร้าง และฉากที่สุดประทับใจ คือฉากเหล่าขุนพลหญิงช่วยกันต่อตัวกันเป็นสะพานข้าม ให้ทหารก้าวข้ามระหว่างหน้าผาฝั่งหนึ่งไปยังหน้าผาของอีกฝั่งหนึ่งนั้นยังติดตาตรึงใจจนทุกวันนี้ไม่เคยลืมเลย ฉากนี้จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครคิดที่จะทำ และคงทำสู้เวอร์ชั่นแรกนี้ไม่ได้

The 14 Amazons ออกฉายปี 1972
สตูดิโอผู้สร้าง ชอว์บราเธอร์,ฮ่องกง
นักแสดงนำ หลินปอ,หลินชิง,หลอลี่
Directors:Kang Cheng, Shao-yung Tung
Writers:Yang Kao (story), Kang Cheng (screenplay)

ในเรื่องนี้จับเอาเหตุการณ์ช่วงที่ขุนพลผู้พ่อคือหยางเย่กับลูกชายทั้ง 7 ได้เสียชีวิตจนหมดสิ้น เหลือเพียงหลานชายคือ หยางจงเป่า (เป็นลูกชายของหยางลิ่วหลาง ลูกชายคนที่ 6) กับมู่กุ้ยอิง ภรรยา หรือสะใภ้คนที่ 6 ต้องนำทัพออกต่อสู้กับศัตรูก็คือเมืองเหลียว พร้อมๆ กับสะใภ้ที่เหลือ สตรีทั้งหมดในบ้านตั้งแต่อาม่าก็คือ ฮูหยินของหยางเย่ แม่ทัพต้นตระกูลหยาง,สะใภ้ทั้ง 7 คน ,หยางปาเม่ย (ลูกสาวคนเล็กของบ้าน) ,หยางเหวินกว่าง (ลูกสาวของหยางจงเป่ากับมู่กุ้ยอิง) และลูกๆ ของลูกชายและสะใภ้คนที่เหลือ รวมกันเป็น 14 นางสิงห์ร้ายขุนพลตระกูลหยาง ลุกขึ้นมาจับดาบ ถือหอกทวน ต่อสู้กับข้าศึกผู้รุกรานอย่างทรนงองอาจ ไม่แพ้ชายชาตรี อกสามศอก แม้ตัวจะต้องตาย แต่เพื่อบ้านเมือง เธอก็ไม่หวั่น    ทั้งตัวบทและงานสร้าง ต้องถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้วในยุคนั้น ทั้งๆที่สมัยนั้นยังไม่มี CG แต่งานสร้างสุดอลัง เอากลับมาดูใหม่ยังขนลุก ส่วนเรื่องนักแสดงนั้นก็หายห่วง แสดงได้สมบทบาท เพราะนักแสดงระดับตัวแม่ของวงการบันเทิงฮ่องกงทั้งนั้นในยุคนั้น รวมถึงข้อคิดปรัชญาหรือสติสอนใจที่ได้จากหนังเรื่องนี้ก็มี จัดเป็นภาพยนตร์จีนคลาสสิกอีก 1 เรื่องที่ควรค่าแก่การหามาดูเป็นอย่างยิ่งครับ





เกร็ดประว้ติความเป็นมา เรื่องราวของขุนศึกตระกูลหยางโดยสังเขป
ขุนศึกตระกูลหยาง (จีนตัวเต็ม: 楊家將; จีนตัวย่อ: 杨家将; พินอิน: Yáng Jiā Jiàng) เป็นเรื่องเล่าที่เป็นเสมือนตำนานในประวัติศาสตร์จีน ในยุคของราชวงศ์ซ่งเหนือ  เรื่องราวขุนศึกตระกูลหยางเขียนขึ้น โดย ถัวถัว นักเขียนชาวมองโกล ในยุคราชวงศ์หยวน โดยอ้างอิงมาจากหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่งที่ชื่อ History of Song เป็นเรื่องราวของครอบครัวแซ่หยาง (楊) ที่รับราชการทหารมาตลอดทั้งตระกูลถึง 3 ชั่วอายุคน มีความจงรักภักดีและพร้อมตายในสนามรบได้อย่างสมศักดิ์ศรี อีกทั้งเมื่อเหล่าผู้ชายตายหมดแล้ว ผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาม่ายหรือลูกหลานในตระกูลก็รับหน้าที่ต่อแทน

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ ในรัชสมัย ซ่งไท่จงฮ่องเต้ อันเป็นฮ่องเต้รัชกาลที่ 2 ของราชวงศ์ซ่งเหนือ เสด็จยกทัพไปปราบปราม เล่ากึน แห่งราชวงศ์โฮ่วฮั่น หยางเย่ หรือ เอียเลงก๋ง (楊業) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองซัวอ๋าวยกกองทัพมาช่วยเล่ากึน สงครามจึงสงบกันไปคราวหนึ่ง เมื่อฮ่องเต้ซ่งไท่จู่สวรรคต เจ้ากวงอี้ พระอนุชาได้ขึ้นครองราชย์แทน เถลิงพระนามว่า ซ่งไท่จงฮ่องเต้ ต่อมา ซ่งไท่จูเสด็จยกกองทัพหลวงไปตีเมืองปักหั้นอีก คราวนี้เกลี้ยกล่อม หยางเย่ กับบุตรชายทั้ง 7 คนมาเข้ากับตนไว้ได้ หลังจากนั้นได้ยกทัพไปปราบเมืองไซเหลียวต่อไป เมื่อซ่งไท่จูฮ่องเต้ถูกล้อมอยู่ในระหว่างศึก หยางเย่กับบุตรก็ช่วยกันแก้ไขเอาออกมาได้ แต่ต้องสู้กับข้าศึกจน หยางต้าหลาง, หยางเอ้อหลาง, หยางซันหลาง ซึ่งเป็นบุตรชายคนโต, คนที่ 2 และ 3 ต้องตายกลางสนามรบ ส่วน หยางอู่หลาง บุตรชายคนที่ 5 ได้หนีไปบวชจึงรอด ส่วน หยางซื่อหลาง บุตรชายคนที่ 4 ถูกชาวฮวนจับเอาไป เหลือแต่ตัวของหยางเย่ย, หยางซื่อหลาง และหยางลิ่วหลาง เท่านั้นที่รอดกลับมาได้ ฮ่องเต้ซ่งไท่จูจึงโปรดให้สร้างบ้านและมอบเครื่องแสดงเกียรติยศต่าง ๆ ให้ ภายหลังหยางเย่กับหยางซื่อหลางถูก พานเหรินเหม่ย ซึ่งเป็นขุนนางที่เป็นเสมือนคู่ปรับของตระกูลหยางกำจัด คงเหลือแต่หยางลิ่วหลาง บุตรชายคนที่ 6 เพียงคนเดียว ฮ่องเต้ซ่งไท่จู อยู่ในราชสมบัติได้ 22 ปีก็เสด็จสวรรคต ต่อมาในรัชกาล ซ่งไท่จงฮ่องเต้ โปรดให้หยางลิ่วหลางเป็นแม่ทัพไปปราบปรามเมืองไซเหลียวและเมืองไซฮวนได้มาเป็นเมืองขึ้น เมื่อหยางลิ่วหลางตาย เมืองไซฮวนกลับกำเริบขึ้นอีก ครั้งนี้เป็น หยางจงเป่า ซึ่งเป็นบุตรชายของหยางลิ่วหลางพร้อมกับพวกหญิงม่าย ผู้ซึ่งเคยเป็นภรรยาของพี่น้องตระกูลหยางที่สิ้นชีพไปแล้วทั้งหมด รวมทั้ง ภรรยาของหยางจงเป่า คือ มู่กุ้ยอิง นำทัพปราบปรามเอง ซึ่งภายหลังเมืองไซฮวนก็ได้สยบมอบต่อราชวงศ์ซ่ง บ้านเมืองถึงยุคสงบสุข ไร้ซึ่งเสี้ยนหนามแผ่นดิน บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงก็ล้วนแต่ซื่อสัตย์ มีความจงรักภักดี ฝ่ายพลเรือนมี โขวจุ้น เป็นขุนนางใหญ่ ฝ่ายกลาโหมมี หยางจงเป่า ได้บังคับบัญชาการงานทั้งปวงโดยสิทธิ์ขาดทั้งหมด

เรื่องราวของขุนศึกตระกูลหยางได้รับการถ่ายทอดในลักษณะบอกเล่าเป็นนิทานและเป็นการแสดงในการละเล่นอุปรากรของจีนต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มีการต่อเติมเรื่องราวให้มีสีสันจากเดิม เช่น การเพิ่มบทของความรักระหว่าง หยางซื่อหลาง บุตรชายคนที่ 4 ของตระกูลกับเจ้าหญิงเมืองไซเหลียว ซึ่งเป็นข้าศึก หรือการที่มี เปาบุ้นจิ้น หรือ อ๋องแปด ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีตัวตนจริงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น เนื่องจากเป็นบุคคลร่วมสมัยกันในวัฒนธรรมร่วมสมัยได้ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์หรือซีรีส์ชุดต่าง ๆ มากมาย อาทิ The 14 Amazons ในปี ค.ศ. 1972, The Yang's Saga ของ TVB ในปี ค.ศ. 1985 นำแสดงโดยนักแสดงที่มีชื่อเสียงหลายคน อาทิ หลิว เต๋อหัว, หวง เย่อหัว, เหมียว เฉียวเหว่ย, เหลียง เฉาเหว่ย ร่วมด้วย โจว เหวินฟะ และทัง เจิ้นเย่, Heroic Legend of the Yang's Family ของ ATV ในปี ค.ศ. 1994 นำแสดงโดย ฉี เส้าเฉียน, Warriors of The Yang Clan ในปี ค.ศ. 2004 นำแสดงโดย ตี้หลุง และภาพยนตร์ทุนสร้างสูงในปี ค.ศ. 2012 เรื่อง Saving General Yang นำแสดงโดย เจิ้ง อี้เจี้ยน และเจิ้ง เส้าชิว เป็นต้น
(อ้างอิงแหล่งที่มา : วิถีพีเดีย,สารานุกรมออนไลน์) 

ศึกทะลุฟ้า ตระกูลหยาง

นักแสดง : จางป๋อจือ, เยิ่นเสียนฉี, เจิ้งเพ่ยเพ่ย, โจวไห่เม่ย
ผู้กำกับ : เฉินซวินฉี
ผู้อำนวยการสร้าง : เฉินหลง (Police Story 1-4, The Promise, Shaolin)
เรื่องย่อ Legendary Amazons
ตำนานขุนศึกตระกูลหยางและเรื่องราวของวีรสตรี มู่กุ้ยอิง กลับคืนสู่จอใหญ่อย่างสมเกียรติ ด้วยการได้ซูเปอร์สตาร์ เฉินหลง มานั่งเก้าอี้โปรดิวเซอร์ พร้อมทุ่มทุนสร้างกว่า 640 ล้านบาท โดยได้นักแสดงชื่อดังอย่าง จางป๋อจือ เข้ามารับบทนำเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี พร้อมด้วยทีมนักแสดงชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เยิ่นเสียนฉี, เจิ้งเพ่ยเพ่ย, โจวไห่เม่ย และ หลิวเสี่ยวชิ่ง

Legendary Amazons เป็นเรื่องราวของ มู่กุ้ยอิง (จางป๋อจือ) ภรรยาของ หยางจงเป่า (เยิ่นเสียนฉี) ที่ทนเห็นสามีและผู้ชายตระกูลหยาง ต่อสู้ในสงครามที่ไม่เห็นทางชนะ จนเธอตัดสินใจเป็นแม่ทัพหญิง นำกลุ่มสตรีผู้กล้าแห่งตระกูลหยาง เพื่อสืบทอดปณิธานของบรรพชน และออกสู่สนามรบเพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกราชแห่งราชวงศ์ซ่ง


เกร็ดภาพยนตร์เรื่อง Legendary Amazons

เป็นผลงานสร้างของพี่เบิ้มแห่งวงการบันเทิงฮ่องกง เฉินหลง ที่รวบรวมทุนสร้างกว่า 640 ล้านบาท เพื่อนำช่วงหนึ่งของตำนานแห่งขุนศึกตระกูลหยางมาเล่าอีกครั้ง เขาได้เผยแรงบันดาลใจในการสร้างว่า

"ตั้งแต่เด็ก ผมชอบหนังของ ชอว์ บราเดอร์ เรื่อง The 14 Amazons ที่ออกฉายในปี 1972 มาก ผมคิดว่าต้องมีใครสักคนที่จะหยิบเอาวีรกรรมของกลุ่มสตรีแห่งตระกูลหยางมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกครั้ง และผมก็จำได้ว่าตอนที่ผมทำเรื่อง The Promise จางป๋อจือ ที่รับบทเป็นเจ้าหญิง บอกว่าเธอจะพักการแสดงไป ผมเลยบอกกับเธอว่าเมื่อใดที่ก็ตามที่เธอตัดสินใจกลับมาก็ขอให้บอก ซึ่งมันก็เป็นเหมือนโชคชะตาที่เธอตัดสินใจกลับมาแสดงในตอนที่พวกเราเริ่มสร้างหนังเรื่องนี้พอดี" ตอนแรกนั้น ทางทีมผู้สร้างได้วางตัวให้ ฟ่านปิงปิง มารับบทเป็น มู่กุ้ยอิง แต่ในที่สุด จางป๋อจือ ที่เพิ่งคลอดลูกคนที่สอง ก็ตัดสินใจกลับมาแสดงหนังเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยเธอก็ได้พูดถึงบทบาทที่ได้รับว่า" มู่กุ้ยอิง ถือเป็นวีรสตรีที่ฉันได้ยินชื่อและเลื่อมใสมานาน เธอเป็นผู้นำกลุ่มสตรีแห่งตระกูลหยาง ที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อ พ่อ พี่ชาย และสามี ที่ต้องสูญเสียชีวิตเพื่อปกป้องราชวงศ์ซ่ง ฉันหวังว่าตัวเองจะถ่ายทอดพลังของลูกผู้หญิงได้อย่างเที่ยงตรง เพื่อที่เมื่อลูกชายของฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ เขาก็จะรู้ว่าผู้หญิงเองก็มีด้านแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน"



สุภาพบุรุษตระกูลหยาง Saving General Yang (2013)

กองทัพต้าซ่งโจมตีโยวโจว ทว่ากลับต้องพ่ายแพ้แก่แม่ทัพเยลี่ซิวเกอ ทำให้ซ่งไท่จงทรงล่าถอยกลับเมืองหลวง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทหารเหลียวก็รุกรานชายแดนต้าซ่งเรื่อยมายังความเดือดร้อนสู่พสกนิกรต้าซ่งเป็นอันมาก แผ่นดินต้าซ่งไม่มีความสงบสุข ซ่งไท่จงทรงกลัดกลุ้มยิ่งนักจึงทรงมีพระบัญชาให้หยางเย่แม่ทัพเหล็กซึ่ง ห้าวหาญไปอารักขาด่านเยี่ยนเหมินกวาน หยางเย่พาลูกชายทั้งเจ็ดคนไปอารักขาด่านเยี่ยนเหมินกวาน ต่อกรกองทัพเหลียวจนสุดกำลัง ลูกชายทั้งเจ็ดคนของสกุลหยางล้วนแล้วป็นคนหนุ่มที่มีความเก่งกล้าสามารถ ทั้งทางด้านบุ๋นและบู๊ คุณลักษณะหลากหลาย ซื่อสัตย์จงรักภักดี รักใคร่ประชา รับผิดชอบครอบครัว




สรุปแล้ว ขุนศึกตระกูลหยางมีเวอร์ชั่นต่างๆ ดังนี้



1. 14 ยอดนางสิงห์ร้าย ปี 1972 (The 14 Amazons ) หลินปอเป็นมู่กุ้ยอิง เวอร์ชั่นแรกทางจอเงินของ Shaw Brothers
2. 14 นางสิงห์เจ้ายุทธจักร ปี 1981 (Young's Female Warriors) วังหมิงฉวนเป็นมู่กุ้ยอิง เวอร์ชั่นแรกทางจอแก้วของ TVB มี 30 ตอน
3. ขุนศึกตระกูลหยาง ปี 1985 (The Yang's Saga) โดย 5 พยัคฆ์หนุ่ม ของ TVB มี 6 ตอน
4. เปาบุ้นจิ้น ขุนศึกตระกูลหยาง ปี 1994 (Heroic Legend of The Yang's Family) โดยจินเชาหวิน-ฉีเสาเฉียน ของ ATV ภาค 1 มี 30 ตอน , ภาค 2 มี 20 ตอน
5. มู่กุ้ยอิง ขุนศึกตระกูลหยาง ปี 1998 (The Heroine of the Yangs) เฉินซิ่วเหวินเป็นมู่กุ้ยอิง ของ ATV มี 32 ตอน
6. ขุนศึกตระกูลหยาง 14 ทวนฟ้าสะท้านแผ่นดิน ปี 2001( Legendary Fighter:Yang's Heroine) หลี่ยั่วถงเป็นหยางปาเม่ย ของ TTV มี 40 ตอน
7. ขุนศึกตระกูลหยาง ปี 2004 (Warriors of the Yang Clan) โดยตี้หลุง-เจ้าหย่าจือ-ซู่โหย่วเผิง-แชริม ของ CTV มี 33 ตอน
8. ขุนศึกตระกูลหยาง ปี 2006 (The Young Warriors หรือ Young Warriors of the Yang Clan) โดยเฉินซิ่วเหวิน-หูเกอ-เหอยุ่นตง-ปีเตอร์โฮ-เผิงยี่เยียน-หยวนหง ของ CTV มี 43 ตอน
9. ศึกทะลุฟ้า ตระกูลหยาง (Legendary Amazons) 2011 แสดงนำโดยจางป๋อจือ,เยิ่นเสียนฉี,เจิ้งเพ่ยเพ่ย
10.สุภาพบุรุษตระกูลหยาง (Saving General Yang) 2013 แสดงนำโดยเจิ้งเส้าชิว,เจิ้งอวี้เจี้ยน,ไจ่ไจ๋,อู๋จุน


ถามว่าผู้เขียนชอบเวอร์ชั่นไหนมากที่สุด คือ ถ้าเป็นฉบับภาพยนตร์จะชอบเวอร์ชั่นแรกปี 1972 มากที่สุด,รองลงมาคือเวอร์ชั่นล่าสุด สุภาพบุรุุษตระกูลหยางน่าจะดีที่สุด ดูจากหน้าหนัง นักแสดง และการตีความใหม่โดยเน้นมายังพ่อลูกทั้ง 7 คน อีกทั้งโปรดักชั่นอลังการ ส่วนฉบับซีรี่ย์ทางทีวีชอบเวอร์ชั่นปี 2006  แต่บทมีปัญหาเล็กน้อย ไม่ค่อยกระชับ แต่ภาพสวย สร้างโดยจีนแผ่นดินใหญ่

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (เครื่องบินลาวตกในแม่น้ำโขง,ไต้ฝุ่นนารีอ่อนแรงเป็นดีเปรสชั่น,แผ่นดินไหวในฟิลิปปินส์,วิกฤติเพดานหนี้ของอเมริกามีทางเจรจากันได้,ผลรางวัลโนเบล2013)

ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เหตุแผ่สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ว่า ไม่มีรายงานข่าวของผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินโดยสาร เที่ยวบินคิววี 301 ของสายการบินลาว แอร์ไลน์ส ประสบอุบัติเหตุตกในแขวงจำปาสัก ประเทศลาวเมื่อวานนี้ พร้อมผู้โดยสาร 44 คน และลูกเรือ 5 คน จากตัวเลขของกระทรวงโยธาธิการและขนส่งของลาว และสายการบินลาว โดยสถานทูตจีน ยืนยันว่า มีชาวจีน 2 คน 1 คนจากแผ่นดินใหญ่ และอีก 1 คนจากไต้หวัน โดยสารไปกับเครื่องบินลำดังกล่าว

สำนักข่าวเคพีแอลของลาว รายงานว่า เครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน คิววี301 จากกรุงเวียงจันทน์ ประสบอุบัติเหตุตกในแม่น้ำโขงที่เกาะดอนโค ห่างจากสนามบินนานาชาติเมืองปากเซ ในจำปาสัก ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเครื่องบินลำนี้ ประมาณ 2 กิโลเมตร หลังจากทะยานขึ้นจากกรุงเวียงจันทน์เมื่อเวลาประมาณ 14.45 น.ตามเวลาท้องถิ่นเมื่อวานนี้ และมีกำหนดถึงเมืองปากเซในเวลา 15.55 น. ขณะพยายามร่อนลงจอดในสภาพอากาศเลวร้าย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของลาว ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวซินหัวขณะเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ และยืนยันว่า พบศพผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ศพ และนำออกจากซากเครื่องบินได้แล้ว ด้านสื่อมวลชนท้องถิ่นในฝรั่งเศส รายงานอ้างคำกล่าวของนายโลรองต์ ฟาเปอุส รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ที่ระบุวา มีชาวฝรั่งเศสอย่างน้อย 7 คนเป็นผู้โดยสารที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เครื่องบินลาว แอร์ไลน์ส ตกในแม่น้ำโขงเมื่อวานนี้ โดยนายฟาบิอุส กล่าวว่า รู้สึกช็อกอย่างมาก พร้อมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต แหล่งข่าวจากหน่วยงานการบิน ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ยืนยันกับซินหัวว่า เที่ยวบินที่คิววี301 เป็นเครื่องบินแบบเออาร์ที ทวินเทอร์โบ มีผู้โดยสาร 40 คนขณะเกิดเหตุ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ว่าพายุไต้ฝุ่น "นารี" เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่เมืองดานัง ทางตอนกลางของเวียดนาม เมื่อช่วงรุ่งสางของวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ด้วยความเร็วลมศูนย์กลางที่สูงถึง 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในเมืองดานัง เมืองเว้ และอีกหลายจังหวัดที่ตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งรวมถึงจังหวัดกวางนัม อิทธิพลของพายุทำให้สายการบิน "เวียดนาม แอร์ไลน์ส" ประกาศระงับให้บริการเที่ยวบินใน 14 เส้นทางตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ และเตือนให้ผู้โดยสารรับทราบว่าเที่ยวบินอย่างน้อย 8 เส้นทางทั้งขาเข้าและขาออกอาจล่าช้ากว่าปกติ ขณะที่รัฐบาลสั่งอพยพราษฎรล่วงหน้ากว่า 122,000 คน อย่างไรก็ตาม มีรายงานการพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ศพ ทั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเวียดนามคาดการณ์การเคลื่อนที่ของพายุ ว่าเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีทิศทางมุ่งหน้าฝั่งตะวันตก โดยจะอ่อนกำลังลงเหลือเพียงเป็นพายุดีเปรสชั่น

พายุไต้ฝุ่นนารีคร่าชีวิตประชาชนในฟิลิปปินส์ไปแล้ว 13 คน และยังสูญหายอีก 3 ในขณะที่จีนออกประกาศเตือนภัยแล้ว หลังไต้ฝุ่นนารีเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ในวันนี้ คาดน้ำท่วมภาคใต้ของจีนอีกครั้งทางการของฟิลิปปินส์ รายงานในวันนี้(11 ตุลาคม 56)ว่า เมือเช้าตรู่ของวันนี้พายุไต้ฝุ่นนารี ได้พัดเข้าถล่มทางด้านภาคเหนือของเกาะลูซอน ฟิลิปปินส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 13 คน ส่วนอีก 3 คนยังสูญหาย โดยประชาชนผู้เสียชีวิตมาจากถูกต้นไม้โค่นถล่มทับ ไฟฟ้าช็อต ดินโคลนถล่ม สิ่งก่อสร้างพังทลายทับใส่ และจมน้ำ ส่วนอีก 3 คนที่ยังสูญหายเป็นชาวประมงของหมู่บ้านตินาโก เมืองวิก้า ทางภาคเหนือของฟิลิปปินส์ เจ้าหน้าที่ระบุว่า ประชาชนกว่า 9,400 หลังคาเรือน หรือประมาณ 59,000 คนใน 50 หมู่บ้านของ 6 จังหวัด ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น”นารี” และจำนวนกว่า 6,000 คนได้รับการอพยพออกจากที่อยู่อาศัยของตัวเองไปยังศูนย์อพยพที่ทางการจัดให้เพื่อความปลอดภัย บางหมู่บ้านในทางจังหวัดภาคเหนือของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะที่จังหวัด บูลากัน และปัมปันก้า ถูกน้ำท่วมอย่างหนัก รายงานของสื่อในฟิลิปปินส์ระบุว่า ความรุนแรงของพายุไต้ฝุ่นนารีที่พัดเข้าถล่มภาคเหนือของฟิลิปปินส์เมื่อเช้าตรู่วันนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง หลังคาบ้านเรือนหลายร้อยหลังถูกกระแสลมพัดปลิว ต้นไม้และเสาไฟฟ้าจำนวนมากหักโค่น ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าดับ ชาวบ้านกว่า 2 ล้านคนไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ขณะที่หลายพื้นที่ถูกน้ำท่วมขัง เนื่องจากพายุทำให้เกิดฝนตกหนัก

ในขณะที่สำนักพยากรณ์อากาศของฟิลิปปินส์ได้ระบุว่า ในช่วงเย็นพายุได้อ่อนกำลังลง และเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ด้วยกำลังลมที่ใกล้จุดศูนย์กลางที่ระดับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำนักข่าวซินหัว ของทางการจีน ออกรายงานข่าวเมื่อ 23.03 น.ของวันนี้ ระบุว่า ทางการจีนได้ออกประกาศเตือนให้ระวังพายุไต้ฝุ่นนารี แล้ว ภายหลังจากที่พายุดังกล่าวได้เคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ในวันนี้ และคาดว่า ด้วยอิทธิพลของพายุดังกล่าว จะนำมาซึ่งลมที่แรงและฝนที่ตกอย่างหนักในประเทศจีนตอนใต้ด้านตะวันออก รายงานของซินหัวระบุโดยอ้างข้อมูลของสำนักงานพยากรณ์อากาศของมณฑลไหหลำระบุว่า ศูนย์กลางของพายุไต้ฝุ่นนารีอยู่ห่างจากเมืองซันชา ซิตี้ มณฑลไหหลำในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนราว 645 กิโลเมตร (เมื่อเวลาบ่าย 3 โมง) ด้วยกำลังลมที่ใกล้จุดศูนย์กลาง 118.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวไปทางด้านตะวันตก ด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรถึง 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระบุว่า พายุนารีจะยังคงมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและพัดให้คลื่นในทะเลเพิ่มสูง โดยเฉพาะหมู่เกาะซิชา ของจีนต้องระมัดระวัง พร้อมกับได้เรียกให้เรือประมงทุกลำกลับเข้าสู่ชายฝั่งอย่างเร่งด่วนที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่สำนักงานควบคุมภาวะน้ำท่วมของมณฑลกวางตุ้ง ก็ได้ออกประกาศเตือนภาวะฉุกเฉินต่ออิทธิพลของพายุนารี ดัวยการระบุว่า น้ำทะเลในชายฝั่งของจังหวัด จะมีคลื่นสูงราว 6-9 เมตรในวันจันทร์ถึงวันพุธนี้ และขอให้ผู้เดินเรือ รวมทั้งชาวประมง คอยฟังรายงานของสำนักงานพยากรณ์อากาศที่ออกประกาศเตือนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแจ้งให้เรือประมงที่กำลังวิ่งผ่านทะเลจีนใต้ รีบกลับเข้าฝั่งเพื่อความปลอดภัย ซินหัวรายงานด้วยว่า ศูนย์กลางพยากรณ์อากาศแห่งชาติของจีน ได้ประกาศเตือนภัยระดับสีส้ม ซึ่งนับเป็นคำเตือนภัยเกือบสูงสุดรองลงมาจากสีแดง สำหรับอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นนารี

แผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ เมื่อเวลา 08.12 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีศูนย์กลางอยู่ใกล้กับเกาะโบโฮลและจังหวัดเซบูทางตอนกลางของประเทศ ห่างจากกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ 629 กิโลเมตร อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน 33 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีรายงานอาฟเตอร์ช็อกตามมาไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งมีความรุนแรงไม่ต่ำกว่า 5.0 ริกเตอร์ โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่รายงานยอดผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 85 ราย ในจำนวนนี้มีการยืนยันออกมาแล้วว่า 57 ราย เสียชีวิตที่เกาะโบโฮล ส่วนอีก 15 รายเสียชีวิตที่จังหวัดเซบู โดยเจ้าหน้าที่ยังเชื่อว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นยังทำให้บ้านเรือนจำนวนมากได้รับความเสียหาย ถนนและระบบไฟฟ้าในหลายเมืองใช้การไม่ได้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้โบสถ์โลบอคซึ่งเป็นโบราณสถานเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 รวมถึงโบราณสถานอื่นๆ ที่สร้างมาตั้งแต่ฟิลิปปินส์ยังตกเป็นอาณานิคมของสเปนเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วเสียหายอีกด้วย สำหรับฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่เส้นวงแหวนแห่งไฟ ซึ่งก่อนหน้านี้ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวมาหลายครั้ง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเหตุแผ่นดินไหวเมื่อเดือนก.พ. 2012 มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน ขณะที่แผ่นดินไหวขนาด 7.9 ตามมาตราริกเตอร์ที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์เมื่อปี 1976 ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายที่สุดที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญ เจ้าหน้าที่คาดว่า แผ่นดินไหวในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตมากถึง 5,000-8,000 คนเลยทีเดียว แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.1 ในแถบตอนกลางของฟิลิปปินส์เมื่อวันอังคาร (15 ต.ค.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 93 คน ขณะที่ก่อให้เกิดเหตุดินถล่มฝังบ้านเรือนไว้ข้างใต้ในหลายๆ จุด และเป็นชนวนให้เกิดการเหยียบกันตาย รวมทั้งโบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ที่สุดของประเทศก็ได้รับเสียหาย ตามรายงานของสำนักงานภัยพิบัติแห่งชาติ มีผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแน่นอนแล้วจำนวน 15 คนในเมืองเซบู เมืองสำคัญที่สุดเป็นอันดับ 2 ของฟิลิปปินส์ และก็เป็นปากทางเพื่อไปยังชายหาดสวยงามที่สุดหลายๆ แห่งของประเทศนี้ ขณะเดียวกันที่เกาะโบฮอล ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน มีรายงานว่าพบคนตาย 77 คน และยังมีอีก 1 รายบนเกาะซิกุยเจอร์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป เวลานี้ยังไม่มีรายงานว่า มีชาวต่างชาติเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด ทว่าเนื่องจากบริเวณแถบนี้มีชายหาดที่งดงาม จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์สำทับว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากขณะนี้ยังไม่สามารถเข้าไปประเมินความเสียหายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในโบฮอล ซึ่งถนนและกระแสไฟฟ้าถูกตัดขาด อย่างไรก็ดี ความที่ภัยพิบัติครั้งนี้เกิดขึ้นในวันหยุดราชการ จึงทำให้มีผู้คนในอาคารต่างๆ น้อยกว่าปกติ ยอดความสูญเสียจึงลดลง และเนื่องจากศูนย์กลางของแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบนแผ่นดิน จึงทำให้ไม่มีคลื่นยักษ์สึนามิตามมาแต่อย่างใด   ตามรายงานของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 8.12 น. วันอังคารตามเวลาท้องถิ่นของฟิลิปปินส์ (ตรงกับ 7.12 น.เวลาเมืองไทย) โดยมีศูนย์กลางอยู่ใกล้เมืองบาลิลิฮันที่มีประชากรราว 18,000 คนบนเกาะโบฮอล ณ ความลึก 20 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงมะนิลา 629 กิโลเมตร โดยมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างน้อย 4 ครั้ง วัดความแรงได้มากกว่า 5.0

คาดผู้นำของเดโมแครตและรีพับลิกันในสภาสูงสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงภายในวันอังคาร (15 ต.ค.) เพื่อปูทางให้หน่วยงานรัฐบาลกลางเปิดทำการอีกครั้ง และหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของอเมริกา รวมทั้งเขย่าเศรษฐกิจโลก บรรดาผู้ช่วยในรัฐสภาสหรัฐฯแสดงการคาดหมายกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์ (14) ว่า ส.ว. แฮร์รี รีด ของพรรคเดโมแครต ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา และ ส.ว. มิตช์ แมคคอนเนลล์ ของพรรครีพับลิกัน ที่เป็นผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาเดียวกัน จะบรรลุข้อตกลงกันได้ในวันอังคาร หรือเพียง 2 วันก่อนวันพฤหัสบดี (17) อันเป็นเส้นตายซึ่งกระทรวงคลังสหรัฐฯระบุว่าหากรัฐสภายังไม่อนุมัติให้ขยายเพดานการก่อหนี้ รัฐบาลก็จะไม่สามารถกู้ยืมเงินได้แล้ว ภายใต้ข้อเสนอที่เจรจาต่อรองกันและน่าจะตกลงกันได้ดังกล่าวนี้ พวกหน่วยงานรัฐบาลกลางซึ่งต้องปิดทำการตั้งแต่วันที่ 1 ที่ผ่านมาจะได้รับงบประมาณใช้จ่ายเพียงพอที่จะเปิดดำเนินการอีกครั้งไปถึงวันที่ 15 มกราคมปีหน้า ขณะที่จะมีการเพิ่มเพดานก่อหนี้ เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถกู้ยืมเงินได้ตามปกติจนถึงวันที่ 7 ก.พ. ดังนั้นจึงจะเป็นการยุติวิกฤตการคลัง 2 เรื่องซ้อนกัน ซึ่งกำลังทำลายความเชื่อมั่นที่มีต่อสหรัฐฯ และก็กระชากคะแนนนิยมของรีพับลิกันให้ต่ำเรี่ยดิน ข้อเสนอนี้ยังกำหนดให้เริ่มการเจรจาว่าด้วยการแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณในระยะยาวอย่างเป็นทางการระหว่างสภาสูงและสภาล่าง เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ โดยที่การแก้ไขเช่นนี้จะมีเป้าหมายประการหนึ่งว่าจะผ่อนคลายมาตรการลดการใช้จ่ายแบบเหมารวมอัตโนมัติ (ซีเควสเตอร์) ทั้งนี้ซีเควสเตอร์เริ่มต้นในเดือนมีนาคมปีนี้ และจะขยายผลเพิ่มขึ้นอีกในเดือนมีนาคมปีหน้า โดยจะมีการตัดงบกลาโหมเพิ่มอีก 20,000 ล้านดอลลาร์ วุฒิสมาชิกของรีพับลิกันมีกำหนดนัดหมายประชุมกันในตอนเที่ยงวันอังคาร เพื่อทบทวนแผนการที่กำลังออกมาจากการเจรจากันระหว่าง รีด กับ แมคคอนเนลล์ โดยที่ รีด กล่าวในตอนสรุปก่อนปิดการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันจันทร์ (14) ว่า เขามองการณ์ในแง่ดีเป็นอย่างมากว่าจะสามารถทำความตกลงที่สมเหตุสมผลกันได้ในสัปดาห์นี้ “เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่มีความคืบหน้าไปอย่างน่าตื่นตะลึง” เขาบอก ขณะที่แมคคอนเนนล์ ก็กล่าวว่า เขาก็ร่วมมองการณ์ในแง่ดีนี้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี ยังคงมีความวิตกกันว่า การขยายเพดานหนี้ชั่วคราวตามที่ประนีประนอมกันนี้ จะสามารถออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ทันกำหนดเส้นตายหรือไม่ เพราะวุฒิสมาชิกอนุรักษนิยมสุดโต่ง “ทีปาร์ตี้” ของรีพับลิกันบางคน อาจใช้ยุทธวิธีดังเช่นการอภิปรายลากยาวข้ามวันข้ามคืน มาถ่วงเวลาการลงมติอนุมัติ หรือกระทั่งว่าร่างกฎหมายผ่านสภาสูงไปแล้ว ก็ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถผ่านสภาล่างซึ่งพรรครีพับลิกันควบคุมอยู่ไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ พวกอนุรักษนิยมรีพับลิกินมีอิทธิพลสูงในสภาล่างยิ่งกว่าในสภาสูงเสียอีก และถ้าสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างที่มีข้อความผิดเพี้ยนไปจากร่างของวุฒิสภาแล้ว ทั้งสองสภาก็ต้องมาตกลงกันเพื่อให้เป็นกฎหมายหนึ่งเดียว ซึ่งย่อมต้องใช้เวลามากขึ้นอีก

รอยเตอร์ – องค์การตรวจตราเฝ้าระวังอาวุธเคมีระดับโลก ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “องค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี” (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons ใช้อักษรย่อว่า OPCW) คือผู้ชนะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ ทั้งนี้ตามการประกาศของคณะกรรมการรางวัลในวันนี้ (11 ต.ค) โดยที่งานชิ้นใหญ่ล่าสุดของหน่วยงานที่ค่อนข้างเล็กแห่งนี้คือ การทำหน้าที่กำกับตรวจสอบการทำลายอาวุธเคมีของซีเรีย

OPCW ซึ่งมีบุคลากรและงบประมาณสนับสนุนไม่มากนัก ได้จัดส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญของตนเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในซีเรีย ภายหลังเกิดเหตุโจมตีด้วยก๊าซพิษ “ซาริน” ที่บริเวณชานกรุงดามัสกัสในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 1,400 คน การเข้าปฏิบัติหน้าที่ของ OPCW ภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ มีส่วนช่วยทำให้ทางการสหรัฐฯเปลี่ยนใจไม่ใช้กำลังทหารเข้าโจมตีเล่นงานประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย โธร์บเจิร์น จักแลนด์ ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐสภานอร์เวย์ แถลงว่าการมอบรางวัลปีนี้ให้แก่ องค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนชาติต่างๆ ที่ยังคงมีอาวุธเคมีสะสมเอาไว้เป็นจำนวนมาก เป็นต้นว่า สหรัฐฯ และรัสเซีย ให้กำจัดคลังอาวุธของพวกเขา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพวกเขากำลังเรียกร้องให้คนอื่นๆ ทำอย่างเดียวกันนี้ อย่างเช่นว่า ซีเรีย”

“เวลานี้เรามีโอกาสแล้วที่จะกำจัดอาวุธทำล้ายล้างสูงประเภทหนึ่งให้หมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากเราสามารถทำได้เช่นนั้นจริงๆ นี่ก็จะเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์” เขากล่าว

ภารกิจในซีเรียของ OPCW ถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะต้องเข้าไปตรวจสอบสถานที่เก็บสะสมและทำลายอาวุธเคมีในตลอดทั่วประเทศซีเรีย ที่กำลังอยู่ในสงครามกลางเมืองอันดุเดือดรุนแรง โดยที่ประมาณการกันว่าได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 100,000 คน สมาชิกในทีมงานขององค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้เคยถูกมือซุ่มยิงของฝ่ายใดไม่ปรากฏชัด ดักยิงมาแล้วในระหว่างการเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุบริเวณชานกรุงดามัสกัสเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ OPCW อาเหม็ต อูซุมคู แถลงในสัปดาห์นี้ว่า พวกเจ้าหน้าที่ทางการซีเรียนั้นกำลังให้ความร่วมมือเป็นอันดีกับการดำเนินกระบวนการทำลายอาวุธเคมีของทางองค์การ การตัดสินประจำปีนี้ เป็นเครื่องหมายแสดงว่าคณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ได้หวนกลับคืนสู่รากเหง้าเดิมของรางวัลนี้ ภายหลังจากเมื่อปีที่แล้วได้มอบรางวัลให้สหภาพยุโรป (อียู) และในปี 2009 ให้แก่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ คำตัดสินในหลายๆ ปีเหล่านั้นได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าคณะกรรมการกำลังก้าวล้ำผิดแผกออกนอกจิตวิญญาณของรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งก่อตั้งโดย อัลเฟรด โนเบล นักอุตสาหกรรมชาวสวีเดนที่เป็นผู้ประดิษฐ์ดินระเบิดไดมาไมต์ ทั้งนี้ในพินัยกรรมปี 1895 ของเขา อัลเฟรด โนเบล ระบุว่า รางวัลในสาขาสันติภาพควรมอบให้แก่ผู้ที่มีผลงาน 1 ใน 3 เรื่องต่อไปนี้ คือ “การสร้างภราดรภาพในระหว่างชาติต่างๆ”, การกำจัดหรือการลดกองทัพประจำการที่มีอยู่, และการก่อตั้งตลอดจนการเผยแพร่การชุมนุมรวมตัวกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ

ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศรางวัลปีนี้ มาลาลา ยูซาฟไซ เด็กสาววัย 16 ปีชาวปากีสถาน ซึ่งถูกกลุ่มตอลิบานยิงที่ศีรษะแต่รอดชีวิตมาได้ คือตัวเก็งที่พวกบริษัทรับพนันถูกกฎหมายต่างๆ ให้อัตราต่อรองว่ามีโอกาสที่จะได้รางวัลนี้มากที่สุด ขณะที่ OPCW ผู้ชนะตัวจริงเพิ่งถูกพาดพิงคาดเดากันก็ในช่วงชั่วโมงท้ายๆ ก่อนกำหนดเวลาประกาศผล รางวัลซึ่งเป็นเงินมูลค่าประมาณ 1.25 ล้านดอลลาร์ จะทำพิธีมอบกันที่กรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ อันเป็นวันครบรอบการถึงแก่กรรมของ อัลเฟรด โนเบล สำหรับ OPCW ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามอนุสัญญาอาวุธเคมีปี 1992 ซึ่งนานาชาติร่วมลงนามกันเพื่อห้ามการใช้และทำลายอาวุธเคมี ผลงานในระยะไม่ปีก่อนมานี้ขององค์การนี้ นอกเหนือจากที่ซีเรียแล้ว ยังได้ไปช่วยทำลายคลังอาวุธเคมีในอิรักและลิเบีย OPCW มีลูกจ้างพนักงานราว 500 คน และมีงบประมาณใช้จ่ายในแต่ละปีไม่ถึง 100 ล้านดอลลาร์ ทั้งสหรัฐฯและรัสเซียต่างได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำลายคลังแสงอาวุธเคมีของตนภายในปี 2012 ทว่าจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ได้ทำตามสัญญา

สำหรับผลรางวัลโนเบลประจำปี 2013 ประเดิมด้วยสาขาแพทย์เป็นรางวัลแรก โดย 2 อเมริกัน และ 1 เยอรมันคว้ารางวัลสาขาการแพทย์ไปครอง จากผลงานค้นพบกลไกนำส่งระดับเซลล์ที่แม่นยำ
รางวัลโนเบล (Nobel Prize) ตั้งขึ้นโดย อัลเฟร็ด เบอร์นาร์ด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel) นักเคมีชาวสวีเดนผู้สร้างนวัตกรรมระเบิดไดนาไมต์เพื่อใช้ในกิจการระเบิดเหมือง แต่กลับถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ โดยเขาได้ทิ้งมรดกคิดเป็นเงิน กว่า 8,300 ล้านบาท ในปัจจุบันเพื่อเป็นทุนสำหรับรางวัล และทุกปีจะประกาศรางวัลในช่วงต้นเดือน ต.ค.และมีพิธีพระราชทานรางวัล ณ สตอกโฮล์ม คอนเสิร์ตฮอลล์ สวีเดน ในวันที่ 10 ธ.ค.ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันเสียชีวิตเขา

1. สาขาสรีรศาสตร์ หรือการแพทย์ ผู้ได้รับรางวัล : เจมส์ อี รอธแมน (James E. Rothman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) สหรัฐฯ แรนดี เชคมาน (Randy Schekman) ชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) สหรัฐฯ และ โทมัส ซุดฮอฟ (Thomas Sudhof) ชาวเยอรมันจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในพาโลอัลโต (Stanford University, Palo Alto) “สำหรับการค้นพบของพวกเขา, รอธแมน, เชคมาน และซูดอฟ ได้เผยถึงระบบควบคุมที่แม่นยำอย่างยอดเยี่ยมในการขนส่งและนำส่งสิ่งของระดับเซลล์” คำแถลงของคณะกรรมการรางวัลโนเบลจากสมัชชาโนเบล ที่สถาบันแคโรลินสการะบุ

2.สาขาฟิสิกส์  ผู้ได้รับรางวัล : แฟรงซัวส์ แองแกรต์ (Francois Englert) จากมหาวิทยาลัยลิเบร เด บรุกเซเล (Université Libre de Bruxelles) เบลเยียม ปีเตอร์ ฮิกกส์ (Peter Higgs) จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ (Edinburgh University) สหราชอาณาจักร

3.สาขาเคมี   ผู้ได้รับรางวัล : มาร์ติน คาร์พลุส (Martin Karplus) จากมหาวิทยาลัยสตราสบวร์ก (Universite de Strabourg) ฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard University) สหรัฐฯ , ไมเคิล เลวิตต์ (Michael Levitt) จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University School of Medicine) สหรัฐฯ และ อารีห์ วอร์เชล (Arieh Warshel) จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียลอสแองเจลลิส (%University of Southern California, Los Angeles) สหรัฐฯ   “จากการพัฒนาแบบจำลองมัลติสเกลสำหรับระบบเคมีอันซับซ้อน”

4. สาขาสันติภาพ   ผู้ได้รับรางวัล : OPCW องค์การตรวจตราและเฝ้าระวังการใช้อาวุธเคมีระดับโลก จากการเข้าไปตรวจอาวุธเคมีในซีเรีย สดๆ ร้อนๆ เมื่อเร็วๆ นี้

5.สาขาเศรษฐศาสตร์   ผู้ได้รับรางวัล : ศาสตราจารย์ยูจีน ฟาร์มา , ศาสตราจารย์ลาร์ส ปีเตอร์ แฮนเซ่น และศาสตราจารย์โรเบิร์ต ชิลเลอร์ จากมหาวิทยาลัยเยล จากผลงานการค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับราคาสินทรัพย์

6.สาขาวรรณกรรม   ผู้ได้รับรางวัล : อลิซ มุนโร นักเขียนชาวแคนาดา ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชียวชาญในด้านการเขียนเรื่องสั้นร่วมสมัยของยุคนี้






วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รำลึก7 ตุลา 2551 วันที่รัฐตำรวจฆ่าประชาชน (เก็บไว้ในความทรงจำ)

นั่งดู ASTV วันนี้แล้วรู้สึกสะท้อนใจ เป็นวันที่พวกเขาเหล่าพันธมิตรมาชุมนุมกันที่บ้านเจ้าพระยา ตอนเช้ามาทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตในวันนั้นทันที 2 คน บาดเจ็บร่วมๆ 400 กว่า คน และมาเสียชีวิตในภายหลังอีก 10 กว่าคน (ไม่แน่ใจเรื่องตัวเลขผู้เสียชีวิต)  ได้ดูวีทีอาร์ที่ทำเป็นสกู๊ปพิเศษไปสัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บพิการ และเป็นผู้รอดจากเหตุการณ์มา รวมถึงญาติพี่น้องของผู้สูญเสียชีวิต ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นดูกี่ครั้งกี่ทีก็รู้สึกเศร้าใจ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น ตำรวจนั้นจะทำกับประชาชนของเขาได้อย่างโหดเหี้ยมจริงๆ คงไม่ขอลงลึกในรายละเอียดว่าเขาทำการกับประชาชนอย่างไรบ้าง เดี๋ยวดูจากคลิปวีดีโอก็จะพอทราบและพอมองออกว่า วิธีการที่เขาใช้ เขาทำน้้นมันถูกต้องตามหลักสากลของการสลายม็อบกันหรือไม่ แต่สิ่งที่อยากจะตั้งคำถามก็คือมูลเหตุจูงใจอะไรที่ทำให้รัฐตำรวจในตอนนั้น เป็นช่วงที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทำการโหดเหี้ยมกับประชาชนเช่นนั้น และใครควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์ กล่าวสำหรับผู้ชุมนุมแล้ว พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำและได้รับผลแห่งการกระทำนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความรู้สึก รวมถึงคดีความต่างๆ ที่ติดตัวทั้งแกนนำ และผู้ร่วมชุมนุมไปหมดแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอยู่ยังไม่เสร็จสิ้น แต่ส่วนของฝ่ายผู้กระทำหล่ะ เช่น รัฐบาล ไล่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ)  ผบ.ตร. (พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ)  ผบ.ชน. (พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว)  คนเหล่านี้ถูกฟ้องร้อง และป.ป.ช.ได้ตัดสินว่าคนเหล่านี้กระทำการที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง และส่งเรื่องต่อไปยังอัยการ แต่เรื่องกลับถูกดองอยู่ในขั้นอัยการ ไม่ถูกส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลปกครอง ซึ่งทำให้ทุกวันนี้บุคคลเหล่านี้ซึ่งตกเป็นจำเลยของสังคมว่าเป็นผู้สั่งการ "ฆ่าประชาชน" ยังคงลอยนวลอยู่ และบางคนยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการเมืองอย่างไม่สะทกสะท้านต่อผลกรรมความผิดที่เขามีส่วนก่อให้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจกระทำต่อประชาชน ประชาชนที่ได้รับผลแห่งการกระทำของคนเหล่านี้ เรียกร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จนต้องจัดงานรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลาขึ้นทุกปี  แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาอ้างว่าได้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วก็ตาม จ่ายเงินในมาตรฐานเดียวกับพวกเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมืองได้คนละ 7.7 ล้าน  แต่ใครมันจะอยากได้เงินก้อนนี้ หากว่าให้แลกกับชีวิตของคนที่เขารักคืนมา และพวกเขาไม่พร้อมที่จะทำใจยอมรับมันง่ายๆ

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตามความเข้าใจของผู้เขียนและในความทรงจำที่พอจะจำได้บ้างไม่ได้บ้างก็คือ อาจไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่คลับคล้ายคลับคลาว่า บรรดาพันธมิตรที่มาชุมนุมต่อเนื่องมาก่อนหน้าวันที่ 7 ไปปิดกั้นไม่ให้บรรดา ส.ส.,ส.ว. เข้ารัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายต่อหน้ารัฐสภาของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นรัฐบาลนอมินีของทักษิณ เป็นร่างทรงอีกตัวนึง ซึ่งถัดมาจากสมัคร สุนทรเวช ซึ่งหากจะเล่าถึงเหตุการณ์ 7 ตุลา ก็ต้องเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์การชุมนุมที่สืบเนื่องกันมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ของพันธมิตร นับตั้งแต่เหตุการณ์ชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณ ช่วงปลายปี 48 (ถามว่าไปไล่ทำไมทักษิณ เขาทำผิดอะไร ณ ตอนนั้นที่จำได้นะ คือทักษิณลุแก่อำนาจ แทรกแซงองค์กรอิสระ ข่มขู่คุกคามสื่อที่ออกมาเปิดโปงการทุจริตของเขา อาทิ รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของคุณสนธิถูกถอดกลางอากาศจากช่อง 9, ทักษิณคอร์รัปชั่นจากโครงการประชานิยมหลายอย่าง ฯลฯ) ทักษิณตัดสินใจยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ถูกบอยคอตโดยพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย จากนั้นไทยรักไทยจึงจ้างพรรคเล็กลงสมัคร จนเป็นที่มาถูกฟ้องยุบพรรคไทยรักไทย เรื่อยมาถึง ก.ย. 49 มีการรัฐประหารโดย คมช. แล้วจัดตั้งรัฐบาลสุรยุทธิ์มาบริหารประเทศ 1 ปี มีการตั้งหน่วยงาน คตส.มาเพื่อตรวจสอบโครงการทุจริต คอร์รัปชั่นเชิงนโยบายหลายอย่างแล้วเรื่องไปถึง ป.ป.ช.  พอปี 50 มีการเลือกตั้งอีกครั้ง คราวนี้ระบอบทักษิณชนะอีกมาในนามพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีสมัครเป็นหน.พรรค และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาลก็ประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทันที จนเป็นที่มาที่ทำให้พันธมิตรนัดชุมนุมอีกครั้ง มีการชุมนุมอย่างยาวนาน ตั้งแต่สี่แยกมัฆวานไปจนถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล บุกเข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล เป็นที่มาของการชุมนุม 193 วัน พอสมัครถูกศาลตัดสินในคดีความผิดในคดีออกรายการทีวีทำกับข้าว ซึ่งประเด็นคือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่มีบริษัทเอกชนรับทำรายการทีวีซึ่งถือว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 จึงต้องหลุดจากนายกรัฐมนตรี จากนั้นภายในพรรคก็มีการหักดิบกลุ่มเนวินผลักดันสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็น หน.พรรคแทน และมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายสมัคร แต่นายสมชาย ก็กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดเป็นอันดับ 2 จากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ถูกพันธมิตรไล่ล่าในฐานะเป็นนอมินีทักษิณอย่างเต็มตัว เพราะเป็นญาติ มีศักดิ์เป็นน้องเขยของทักษิณ พันธมิตรนัดชุมนุมที่ดอนเมืองแล้วก็เคลื่อนพลไปยังด้านหน้าอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อกดดัน แต่ถูกกล่าวหาจากรัฐบาลว่าไปบุกสนามบินและชุมนุมปิดสนามบิน ทั้งๆ ที่อยู่กันแค่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารด้านนอก ยังไม่ได้เข้าไปที่ตัวอาคาร แต่โชคช่วยก่อนหน้านั้นมีคนไปฟ้องพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ว่าทำผิดเลือกตั้ง มีกรรมบริหารพรรคบางคนทุจริตการเลือกตั้ง จึงถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค สมชาย วงศ์สวัสดิ์จึงพ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยาย เหตุการณ์ 7 ตุลา 51 เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ระหว่างหลังจากสมัครพ้นจากนายกรัฐมนตรี สมชายได้รับการโหวตเป็นนายก นั่นแหละ โดยพันธมิตรไปชุมนุมปิดล้อมบริเวณหน้ารัฐสภาก่อนวันนัดแถลงนโยบายรัฐบาล นี่คือที่มาหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ จริงๆ มันต่อเนื่องกันมาจากหลายเหตุการณ์ต่างกรรมต่างวาระ แต่คู่พิพาทคือคู่เดิม และจะเป็นคู่กัดกันไปตลอดกาล จนกว่าระบอบทักษิณจะพ้นจากประเทศไทย

 
ภาพบางส่วนจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่เราจะจดจำตลอดไป

 
                            แก๊สน้ำตาที่อ้างว่าเอามาใช้นั้น แท้ที่จริงเป็นแก๊สน้ำตาที่ทำจากจีน และหมดอายุแล้ว



                                     



น้องอังคณา ถูกยิงด้วยระเบิดเสียชีวิตทันที มีการกล่าวหาว่าเธอพกพาระเบิดมาเอง

 


 



 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โลก 360 องศา - (ยอดผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวปากีสถาน,พายุไต้ฝุ่นหวู่ติ๊บถล่มจีนเวียดนามกัมพูชาและไทย,เหตุกราดยิงนักศึกษาที่ไนจีเรีย,เส้นตายปิดสำนักงานของรัฐบางแห่งของสหรัฐ)


เอเอฟพี - ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงสั่นสะเทือนทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถานเมื่อสัปดาห์ก่อน เพิ่มเป็น 376 รายแล้วในวันอังคาร (1 ต.ค.) หน่วยงานจัดการหายนภัยแห่งชาติระบุ ขณะที่ปฏฺัติการด้านบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ประสบภัยยังดำเนินต่อไป   แผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.7 เขย่าจังหวัดบาลูจิสถาน เมื่อวันที่ 24 กันยายน ส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 100,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาสัย จากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว 6.8 สั่นสะเทือนพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้งในวันเสาร์ (28) คร่าชีวิตชาวบ้านอีกอย่างน้อย 22 ศพ   มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 330 ศพในเขตอวารานและอีก 46 ศพในเขตเคช ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีทั้งหมด 824 รายสำนักงานจัดการหายนภัยแห่งชาติระบุในถ้อยแถลง อ้างถึงยอดผู้เสียชีวิตใน 2 พื้นที่ซึ่งได้่รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดจากแผนดินไหวครั้งแรก  ทั้งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตข้างต้นปรับเพิ่มจากเดิม 359 ศพ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ไม่ได้รวมยอดเหยื่อแผ่นดินไหวครั้งที่้ 2  อนึ่ง เจ้าหน้าที่ยังเดินหน้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ห่างไกลซึ่งยากจะเข้าถึง ในนั้นรวมถึงการใช้วิธีหย่อนเครื่องบรรเทาทุกข์ อาหาร และเวชภัณฑ์ยาจากทางอากาศ

 


ซินหัวรายงานวันที่ 30 ก.ย. ว่า อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นหวู่ติ๊บ ซึ่งแปลว่าผีเสื้อในภาษาจีน เคลื่อนตัวอยู่ในเวียดนามด้วยกำลังลม 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดฝนตกและ น้ำท่วมในภาคเหนือและอีสานของไทย รวมถึงตอนใต้ของจีน ล่าสุดทำให้เรือประมงจีนในทะเลจีนใต้ล่ม 3 ลำ มีผู้สูญหาย 74 คน เรือทั้ง 3 ลำมาจากมณฑลกวางตุ้ง ทางภาคใต้ มีชาวประมงรวม 88 ชีวิต ล่มลงเมื่อ วันอาทิตย์ บริเวณหมู่เกาะพาราเซล หรือจีนเรียกซี่ชา ซึ่งจีนพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์กับไต้หวัน ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม ห่างจากมณฑลไหหลำราว 330 กิโลเมตร หน่วยกู้ภัยช่วยเหลือชาวประมงไว้ได้ 14 คน ส่วนที่เหลือยังไม่รู้ชะตากรรม   ศูนย์พยากรณ์สภาพแวดล้อมทางทะเลแห่งชาติจีนประกาศว่า ไต้ฝุ่นจะทำให้เกิดฝนตกหนักในมณฑลกวางตุ้ง ไหหลำและกวางสี ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน ภาคใต้ของจีนเพิ่งถูกพายุอุซางิที่แปลว่ากระต่ายในภาษาญี่ปุ่นพัดถล่มจนมีผู้เสียชีวิต 25 ราย มีการอพยพประชาชน 226,000 คน บ้านเรือนพังเสียหายกว่า 7,000 หลัง ขณะที่ฮ่องกงต้องยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก

ด้านสถานการณ์ในเวียดนาม รัฐบาลสั่งอพยพประชาชนในภาคกลางร่วม 80,000 คนโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ย้ายไปอยู่ตามโรงเรียนและอาคารที่มีความแข็งแรง   สำนักพยากรณ์อากาศเวียดนามประกาศว่า ไต้ฝุ่นหวู่ติ๊บเป็นพายุลูกที่รุนแรงที่สุดที่พัดถล่มประเทศในฤดูกาลนี้ โดยคาดว่าจะมีกำลังลมถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ขณะที่กัมพูชามีฝนตกหนักและน้ำท่วมใหญ่เช่นกัน โดยน้ำจากแม่น้ำโขงทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ประชาชนต้องอพยพกว่า 9,000 ครอบครัวและพบผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ราย  ทางการเวียดนาม เร่งอพยพประชาชนออกจากในพื้นที่เสี่ยง ก่อนพายุไต้ฝุ่น"หวู่ติ๊บ"จะเคลื่อนตัวพัดถล่มชายฝั่งเวียดนามในคืนนี้ ขณะที่อิทธิพลของพายุ ได้ทำให้เรือประมงอย่างน้อย 3 ลำอับปางใกล้กับชายฝั่งทะเลจีนใต้ เป็นเหตุให้ลูกเรือสูญหาย 75 คน   รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามสั่งอพยพประชาชนครั้งใหญ่ออกจากพื้นที่เสี่ยง ที่จะถูกพายุไต้ฝุ่น"หวู่ติ๊บ" พัดถล่ม ซึ่งคาดว่าจะพัดขึ้นฝั่งทางตอนกลางของเวียดนาม ในกลางดึกวันนี้ ด้วยความเร็วลม 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติเผยว่า ได้อพยพประชาชนกว่า 8,000 คนจากหมู่บ้านริมชายฝั่งเมืองกว๋าง จิ (Quang Tri) รวมไปถึงพื้นที่อื่นๆ อีกกว่า 35,000 คนไปอยู่ในที่ปลอดภัยไปแล้วเมื่อวานนี้ เพื่อเตรียมพร้อมความปลอดภัย และในวันนี้ ยังมีแผนจะอพยพประชาชนกว่า 140,000 คน ใน 4 จังหวัดทางตอนกลางด้วย พร้อมสั่งปิดโรงเรียน 5 แห่ง เพราะเกรงว่าอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น"หวู่ติ๊บ" จะทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน นอกจากนี้ยังสั่งให้เรือประมงกว่า 60,000 ลำงดออกจากฝั่งชั่วคราว หลังจากมีรายงานเรือประมง 3 ลำเกิดอับปางในทะเลจีนใต้ ตั้งแต่บ่ายวานนี้ ทำให้ลูกเรือสูญหาย 75 คน ทั้งนี้พายุไต้ฝุ่น "หวู่ติ๊บ" นับเป็นพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุด ที่พัดถล่มเวียดนามในช่วงฤดูฝนปีนี้ แต่พายุไต้ฝุ่น ที่พัดถล่มเอเชียรุนแรงที่สุดในปีนี้ คือ พายุไต้ฝุ่น อุซางิ ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 33 คน ในฟิลิปปินส์และจีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา


ไนจีเรียนองเลือด! กบฏบุกยิงหอพักนศ.ตายเกลื่อน 40 กว่าศพ!

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มคนร้ายพร้อมด้วยอาวุธครบมือ ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม “โบโก-ฮาราม” บุกเข้าไปในหอพักนักศึกษาชายแห่งหนึ่งของวิทยาลัยการเกษตร ในรัฐโยเบ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย เมื่อเวลาประมาณ 1.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่จะก่อเหตุกราดยิงนักศึกษาที่กำลังนอนหลับ ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 50 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน ขณะที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ว่ายอดผู้เสียชีวิตน่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุยังได้วางเพลิงเผาห้องเรียนเรียนของวิทยาลัยแห่งนี้จนวอดวายเสียหายอีกด้วย กลุ่มโบโก ฮารามเป็นกลุ่มที่ต่อสู้ล้มล้างรัฐบาลไนจีเรียเพื่อสร้างรัฐอิสลามในไนจีเรีย โดยได้ปฏิเสธระบบการศึกษาแบบชาติตะวันตก และได้ก่อเหตุโจมตีในลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน

เอเอฟพีรายงานเมื่อ 29 ก.ย. ว่า เกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธโบโก ฮารามที่มีเป้าหมายสถาปนารัฐอิสลามสายเคร่งในไนจีเรีย บุกกราดยิงนักศึกษาในหอพักของวิทยาลัยเกษตรกรรมในเมืองกัจบา รัฐโยเบ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ห่างจากกรุงดามาตูรูราว 30 กิโลเมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 รายแต่คาดว่าจะมากถึง 50 ราย เหตุรุนแรงเกิดขึ้นช่วงเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่หลับอยู่ โฆษกกองทัพกล่าวว่า นอกจากกราดยิงหอพัก กลุ่มติดอาวุธยังจุดไฟเผาห้องเรียนด้วย โดยขณะเกิดเหตุมีนักศึกษาแตกตื่นวิ่งหนีตายราว 1,000 คน รายงานระบุว่ารัฐดังกล่าวเกิดเหตุโจมตีสถาบันการศึกษามาแล้วหลายครั้ง โดยทั้งหมดเป็นฝีมือของกลุ่มโบโก ฮารามที่สู้รบกับทางการมาตั้งแต่ปี 2552 เหตุการณ์ครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนก.ค. กลุ่มติดอาวุธปาระเบิดและกราดยิงหอพักที่เมืองมามูโดกลางดึก มีผู้เสียชีวิต 42 ราย ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา นอกจากนี้กลุ่มดังกล่าวยังโจมตีโบสถ์ มัสยิด หนังสือพิมพ์ พรรคการเมืองและสำนักงานสหประชาชาติ มีผู้วิเคราะห์ว่าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ ด้านประธานาธิบดีกู๊ดลัก โจนาธาน สั่งกวาดล้างกลุ่มดังกล่าวอย่างจริงจังเมื่อกลางเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อจากที่กลุ่มติดอาวุธอัล-ชาบับจากโซมาเลีย บุกยึดห้างสรรพสินค้าในกรุงไนโรบีของเคนยาเมื่อสัปดาห์ก่อน และสังหารตัวประกัน 62 ราย แต่ยังมีผู้สูญหายอีกราว 63 คน โดยระบุว่าเพื่อแก้แค้นที่เคนยาส่งทหารไปช่วยโซมาเลียรบกับกบฏ ซึ่งสะท้อนวิถีทางของกลุ่มมุสลิมสายเคร่งที่ก่อเหตุรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


สภาคองเกรสสหรัฐล้มเหลวถกร่างงบประมาณไม่ทันเส้นตาย ฉุดประเทศเข้าสู่สภาวะชัตดาวน์ครั้งแรกในรอบ 17 ปี สหรัฐเข้าสู่สภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่สภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันเที่ยงคืนวันที่ 1 ต.ค. ตามเวลาในสหรัฐ หรือราว 11.00 น.วันนี้ตามเวลาในไทย ทำให้หน่วยงานหลายแห่งที่ไม่เกี่ยวกับภารกิจสำคัญเร่งด่วนต้องประสบภาวะไม่สามารถเบิกงบใช้จ่าย และจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศเตรียมรับมือกับภาวะชัตดาวน์ และเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งเดินหน้าหาทางออกเพื่อผ่านร่างงบประมาณฉุกเฉินออกมาโดยเร็ว เพื่อยุติภาวะวิกฤตทางการคลังของประเทศ ด้านประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐ ได้แถลงผ่านทางสถานีโทรศัน์ช่องทหารบกเพื่อย้ำความมั่นใจให้กับกองทัพว่า กองกำลังสหรัฐจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในช่วงภาวะชัตดาวน์ ทว่าเจ้าหน้าที่พลเรือนในกระทรวงกลาโหมอาจได้รับผลกระทบจากการเลื่อนจ่ายเงินเดือนออกไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าภาวะดังกล่าวจะกินเวลายาวนานเท่าใด