วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม Nationalism Economics (Attitude Review Series)

ตอนที่ 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ค่าเงินในกระเป๋าเราลดลง และวิธีเพิ่มค่าเงินในกระเป๋าให้สูงขึ้น

เงินเฟ้อ
ค่าครองชีพ/ระดับราคาสินค้า
ค่าเงินบาท

ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันเคยอยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 300 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 35 บาทต่อลิตร (โซฮอลล์ 95) หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 300 บาท เราจะเติมน้ำมันได้เพียง 8.5 ลิตร ไม่ใช่ 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 350 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร

เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?

ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation

(1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 30 บาท เป็น 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้

ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย

(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

หมายเหตุ ตอนนี้ภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ที่ 3.5 % ข้อมูลเดือนมกราคม 2554 สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ค่าครองชีพ/ระดับราคาสินค้า

ความหมายจะคาบเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และมีปฏิสัมพันธ์กันแบบคู่ขนานไปกับภาวะเงินเฟ้อ เช่น ถ้าภาวะเงินเฟ้อสูงค่าครองชีพก็จะสูงหรือระดับราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น หรือกลับด้านกัน ถ้าค่าครองชีพสูงขึ้น หรือระดับราคาสินค้าสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อก็จะสูงขึ้นตาม แต่จะเป็นไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปรตัวไหนเป็นตัวแปรคงที่และตัวไหนเป็นตัวแปรผันแปร ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะระบุไปแน่ชัดว่าช่วงเวลาใดปัจจัยตัวใดเป็นปัจจัยคงที่และตัวไหนผันแปร แต่นักวิชาการหรือนักเศรษฐศาสตร์สามารถระบุได้ เพราะทันทีที่รัฐบาลไทยส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศให้สูงขึ้น และปรับเงินเดือนให้กับข้าราชการและเงินเดือนนักการเมือง ก็ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นไปรอล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่ในฟากรัฐบาลก็อาจจะอ้างว่าที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวปรับราคาสูงขึ้นเป็นเพราะเมื่อปีที่แล้วประเทศเราเจอภัยธรรมชาติรุนแรง เช่น น้ำท่วม ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรมีจำนวนลดลง เช่น น้ำมันปาล์ม ทำให้ระดับราคาสินค้าเกษตรหลายตัวปรับตัวสูงขึ้น

ทีนี้ไม่ว่าตัวแปรตัวใดจะเป็นตัวแปรที่คงที่ แต่ตัวแปรตามคือระดับราคาสินค้าและค่าครองชีพดูเหมือนจะไปในทิศทางเดียวกันก็คือสูงขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ตราบใดที่เราไม่สามารถควบคุมเจ้าตัวแปรคงที่ให้มันอยู่เท่าเดิมหรือลดลงได้ ตัวแปรคงที่อย่างภัยธรรมชาติกับค่าแรงและเงินเดือน เราสามารถกำหนดให้มันลดลงได้มั๊ย มองแค่ตรงนี้เราก็พอจะได้คำตอบแล้วว่าแนวโน้มในอนาคตระดับราคาสินค้ามันจะลดลงหรือไม่



ค่าเงินบาท

ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในเอเซียตอนนี้ที่เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นเหมือนๆ กันนั้น มีการระบุกันว่าเกิดจากเงินทุนไหลเข้ามาในแถบนี้สูงมาก จนทำให้หลายๆประเทศต้องขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินทุนไหลบ่าท่วมระบบเศรษฐกิจ หรือเกิดจากมาตรการ QE 1 กับ QE 2 ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เงินดอลล่าร์ถล่มโลก ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ลดลง และทำให้ค่าเงินของสกุลอื่นๆ ทั่วโลกปรับตัวแข็งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ค่าเงินบาทก็ได้รับผลกระทบตามมาด้วย เมื่อปีที่แล้วนักวิชาการ นักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ยังฟันธงกันอยู่เลยว่าค่าเงินบาทไทยอาจจะแข็งค่าลงมาแตะถึง 28 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ แต่พอมาต้นปีนี้ค่าเงินบาทมีทีท่าว่าอาจจะอ่อนตัวมาอีกแล้ว ปัจจุบันอยู่ที่ 30 บาทกว่าๆ ต่อ 1 ดอลล่าร์ เป็นผลมาจากค่าเงินดอลล่าร์แข็งตัวขึ้น เพราะสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว จากนโยบายอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างบ้าคลั่งของอเมริกาเอง ตอนนี้นักวิเคราะห์ และนักเศรษฐศาสตร์กำลังติดตามดูว่าเศรษฐกิจของสหรัฐมันฟื้นจริงหรือฟื้นหลอกกันแน่ หากฟื้นจริงกระแสเงินทุนที่ไหลบ่าเข้ามาในประเทศแถบเอเซียอาจทุเลาเบาบางลงบ้าง ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นมาก ภาวะเงินเฟ้อก็จะทุเลาลงได้ แต่หากการฟื้นคืนเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นเพียงภาพลวงตา และเป็นเงาทะมึนที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาอีกหล่ะก็ ถึงเวลานั้นภาวะความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกก็จะพังพินาศกันอีกครั้งนึง ถึงเวลานั้นประเทศไทยก็จะไม่ใช่เผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่อาจพ่วงด้วยภาวะเงินฝืด และเศรษฐกิจซบเซากันอีกครั้งนึงเหมือนเมื่อปี 2540 ที่เราเคยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของเราเองขึ้นมาอีก แต่คราวนี้อาจหนักหนากว่ามาก เพราะมันเป็นกันทั้งโลก



หมายเหตุ ค่าเงินบาทเฉลี่ย 30.618 ต่อ 1 ดอลล่าร์ เว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 17 ก.พ. 2554



วิธีเพิ่มค่าเงินในกระเป๋าให้สูงขึ้น

การลงทุนคือวิธีที่สามารถเอาชนะค่าเงินในกระเป๋า เช่น การลงทุนในทองคำ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี เป็นต้น

เมื่อปีที่แล้ว 2553 ใครลงทุนใน 3 สิ่งนี้ คือ ทอง หุ้น อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี ก็อาจได้ผลตอบแทนที่สูงมาก ทีนี้เรามาดูรายละเอียดการลงทุนในแต่ละประเภทกันดีกว่า ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร และอะไรที่เหมาะแก่ท่านผู้อ่านมากที่สุด



ถ้าคิดจะลงทุนทองคำคงต้องถามตัวเองก่อนว่าชอบการลงทุนในรูปแบบไหน เพราะมีให้เลือกกันถึง 6 แบบ 6 สไตล์ (ข้อมูลที่มา : นสพ.โพสท์ ทูเดย์)



ทองรูปพรรณ



แม้ว่าทองรูปพรรณจะถูกตราหน้าว่าไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะกับการลงทุนนัก เพราะมีต้นทุนสูง แต่ไม่มีใครห้ามถ้าเครื่องประดับสีทองอร่ามจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือการออมที่สามารถนำออกมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีที่ต้องการเหมือนที่ปู่ ย่า ตา ยาย เขาทำกันมา



"ต้นทุน"ที่ทำให้ทองรูปพรรณอาจจะไม่ใช่การลงทุนทองคำที่ดีที่สุดคือ ค่ากำเหน็จหรือค่าแรงในการทำให้ทองคำแท่งกลายเป็นทองรูปพรรณที่มีความสวยงามในฐานะเครื่องประดับ ทำให้ราคาขายทองรูปพรรณสูงกว่าราคาขายทองคำแท่ง ขณะที่เมื่อนำไปขายทองรูปพรรณยังถูกกดราคามากกว่าทองคำแท่งอีก



ตัวอย่างราคาทองคำที่สมาคมค้าทองคำประกาศไว้เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ทองคำแท่ง ขายออก15,650 บาท และรับซื้อคืน 15,550 บาท มีส่วนต่างแค่ 100 บาท หรือไม่ถึง 1%



แต่ถ้าเป็นราคาทองรูปพรรณ ราคาขายออก16,050 บาท และรับซื้อคืน 15,326 บาท ราคาต่างกันถึง 724 บาท หรือคิดเป็นต้นทุน 4.72% ต่อทองคำ 1 บาท



นอกจากนี้ยังมี ค่าสึกหรอจากการใช้งานเพราะทองคำที่ผ่านการใช้งานจะมีน้ำหนักทองคำลดลงไปบ้าง เมื่อนำไปขายให้กับร้านทอง ทางร้านจะนำไปชั่งน้ำหนักแล้วตีราคาตามน้ำหนักทองที่เหลืออยู่ ทุนอาจจะไม่หายไปไหน แต่กำไรที่จะได้ก็หดไปเยอะเลย



ทองคำแท่ง



การลงทุนในทองคำแท่งน่าจะเป็นการลงทุนในทองคำที่น่าจะได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะซื้อง่ายขายสะดวกแล้ว ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หรือต้นทุนการลงทุนต่ำกว่าทองรูปพรรณ



โดยทั่วๆ ไปทองคำแท่งที่ลงทุนกันจะมี 2 แบบคือ ความบริสุทธิ์ 96.5% และ 99.99% ซึ่งประเทศไทยนิยมการลงทุนในทองคำ 96.5% ขณะที่ต่างประเทศจะนิยมลงทุนทองคำ 99.99%



ถ้าเป็นทองคำแท่ง 96.5% ขนาดเล็กที่สุดที่นิยมซื้อขายกันจะมีน้ำหนักทองคำ 5 บาท ขยับขึ้นเป็น10 บาท 20 บาท และ 50 บาท



แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักทองคำเริ่มต้นที่จะสามารถลงทุนได้อยู่ที่ 100 กรัม 10 บาท 20 บาท และ 1 กิโลกรัม แต่โดยมากมักจะลงทุนกันที่ 1 กิโลกรัม



ห้างทองแม่ทองสุกแนะนำนักลงทุนไว้ว่าสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในทองคำ 99.99% ควรจะเริ่มต้นจากทองคำแท่ง 96.5% เสียก่อน เพราะมีการประกาศราคาที่เป็นมาตรฐานจากสมาคมค้าทองคำ แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% อาจจะเหมาะกับนักลงทุนที่คุ้นเคยกับการลงทุนทองคำแท่งอยู่แล้ว



นอกจากนี้ ทองคำแท่ง 99.99% ยังใช้เงินลงทุนสูงกว่าทองคำแท่ง 96.5% ซึ่งทางห้างทองแม่ทองสุกระบุว่า ถ้าจะลงทุนทองคำแท่ง 96.5% มีเงินสัก 2 แสนบาทก็สามารถทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง99.99% อาจจะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 1 ล้านบาท



เหรียญทองคำ



ถ้าพูดถึง "เหรียญทองคำ"นักลงทุนทองคำในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่ถ้าเป็นนักลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะนักสะสมทองคำจะนิยมการลงทุนในเหรียญทองคำ โดยเหรียญทองคำที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักสะสมเหรียญทองคำทั่วโลก เช่น South African Krugerrand,Canadian Maple Leaf, Australian Gold Nugget,American Gold Eagle หรือ U.S. Eagles



นั่นเพราะนอกจากจะซื้อขายเหรียญทองคำได้ตามน้ำหนักของเหรียญแล้ว นักสะสมยังจะได้กำไรจากความนิยมในตัวเหรียญอีกด้วย ทำให้เมื่อบวกกันแล้วเหรียญทองคำมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่าการลงทุนในทองคำแท่งเสียอีก



เหรียญทองคำของสหรัฐอเมริกาที่นักสะสมเรียกว่า Double Eagle ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1907 หรือ พ.ศ. 2450 ราคา 20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งในขณะนั้นทองคำซื้อขายกันอยู่แถวๆ 20 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์เช่นกัน



แต่วันนี้เหรียญทองคำ Double Eagle ซื้อขายกันอยู่ประมาณ 1,250 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาทองคำแท่งยังลุ้นกันอยู่ว่าจะวิ่งไปถึง 1,000 เหรียญสหรัฐหรือไม่



ไม่ใช่เฉพาะเหรียญทองคำของต่างประเทศเท่านั้นที่จะเป็นการลงทุนทองคำที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนทองคำแท่ง เพราะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกชนิดทองคำ หรือเหรียญทองคำของไทยก็ให้ผลตอบแทนที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน



ร.ต.อ.กุศิก มโนธรรมนายกสมาคมเหรียญกษาปณ์แห่งประเทศไทย และจักรฤกษ์ ธรรมโชโตประธานชมรมนักสะสมเหรียญ เคยบอกไว้ตรงกันว่า การลงทุนเหรียญทองคำจะไม่มีขาดทุน เพราะมีทั้งราคาทองคำ และราคาหน้าเหรียญเป็นประกัน



"ลงทุนทองคำมีทั้งโอกาสกำไรและขาดทุน แต่ถ้าเป็นเหรียญทองคำต่อให้ราคาทองคำตกไปจากวันที่ซื้อ ก็ยังมีราคาหน้าเหรียญเป็นเครื่องค้ำประกัน แต่ถ้าราคาทองคำขึ้น ราคาเหรียญก็ขึ้นไปด้วย และมีโอกาสขึ้นได้มากกว่าราคาทองคำ"จักรฤกษ์ กล่าว



เหรียญกษาปณ์ทองคำที่ระลึกมหามงคลพระชนมพรรษา 60 พรรษา หรือเหรียญ 60 พรรษา ที่ออกมาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2530 น้ำหนักทองคำ 1 สลึงราคาหน้าเหรียญ 1,500 บาท พอมาถึงวันนี้ที่ราคาทองคำไปถึงบาทละมากกว่า 1.5 หมื่นบาท หรือสลึงละไม่ถึง 4,000 บาท แต่ในวงการนักสะสมเหรียญซื้อขายเหรียญนี้กันอยู่ที่ 8,000 บาท (อ้างอิงจากwww.mpcoin2007.com)



นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีเหรียญทองคำที่ร้านค้าทองคำเป็นผู้ผลิต ซึ่งแม้ว่าไม่ได้อยู่ในข่ายเดียวกับเหรียญทองคำที่ออกโดยรัฐบาล แต่น่าจะเหมาะกับนักลงทุนทองคำมือใหม่ ทุนน้อย แต่อยากลงทุนทองคำแท่ง เพราะสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ทองคำน้ำหนัก 1 บาท และ 2 บาท ความบริสุทธิ์96.5%



บุญเลิศ สิริภัทรวณิชประธานกรรมการ บริษัทออสสิริส ผู้ผลิต "เหรียญออสสิริส"บอกว่า การผลิตเหรียญทองคำที่มีน้ำหนักน้อยออกมา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่ต้องการออมเงินในรูปของทองคำ



เหรียญทองคำเป็นกึ่งกลางระหว่างทองรูปพรรณที่สามารถใช้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นเครื่องประดับ และเป็นการลงทุนแบบทองคำแท่งแม้จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าทองคำแท่ง แต่ยังถูกกว่าทองรูปพรรณ



ถ้าเป็นเหรียญทองคำน้ำหนัก 1 บาท จะต้องบวกค่าธรรมเนียมจากราคาทองคำที่สมาคมค้าทองคำประกาศ 150-200 บาท และ 200-250 บาทสำหรับเหรียญขนาด 2 บาท



หุ้นเหมืองทอง



ในบางช่วงบางเวลาหุ้นเหมืองทอง (ในต่างประเทศ) เช่น Barrick Gold Anglogold หรือ IAMGOLD น่าสนใจกว่าการลงทุนทองคำโดยตรงแถมยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนทองคำเสียอีก เพราะต้นทุนการผลิตต่ำลง แต่ขายทองคำได้ราคาดีขึ้น



แต่ในประเทศไทยมี "หุ้นเหมืองทองคำ"เพียงตัวเดียวในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์(THL) ซึ่งเป็นหุ้นในใจของนักลงทุนรายย่อยที่นิยมการซื้อขายทำกำไรระยะสั้น แต่นักลงทุนหลายคนกลับตั้งชื่อเล่นให้หุ้นตัวนี้ว่า "คาทุ่ง" บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ มีบริษัทลูกชื่อ ทุ่งคำ ที่ได้สัมปทานเหมืองทองใน จ.เลย แต่จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2552 ปรากฏว่าขาดทุน 61 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.08 บาท



แถมผู้ตรวจสอบบัญชียังไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินนี้ เพราะมีขอบเขตจำกัดในการสอบทาน



พอเข้าไปดูบทวิเคราะห์ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาในเว็บไซต์การเงินอันดับหนึ่ง settrade.com มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส เพียงแห่งเดียวที่ออกบทวิจัยหุ้นตัวนี้มา (เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2552) โดยแนะนำให้ "ขาย"โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 0.84 บาท ขณะที่ราคาปิดในกระดานเมื่อวันที่28 พ.ค. อยู่ที่ 1.26 บาท



พร้อมกับประมาณการกำไรปี 2552 ไว้ที่ 33 ล้านบาท และ 99 ล้านบาท ในปี 2553 โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.04 บาทในปีนี้ และ 0.13 บาทสำหรับปี 2553 ขณะที่มีราคาต่อกำไร (PE) สูงถึง31.5 เท่า



กองทุนทองคำ



กองทุนทองคำก็เหมือนกับกองทุนประเภทอื่นๆคือ รวบรวมเงินจากนักลงทุนรายเล็กรายน้อยแล้วนำไปซื้อทองคำมาเก็บไว้ แต่ไม่ได้คาดหวังจะซื้อขายทองคำแบบเก็งกำไร แต่จะทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวให้ใกล้เคียงกับราคาทองคำในตลาดโลกเท่านั้น



และเช่นเดียวกับกองทุนรวมอื่นๆ คือ ต้องจ่ายค่าจ้างในการบริหารจัดการกองทุน ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของกองทุนทองคำในประเทศไทย เพราะไม่มีกองทุนทองคำเป็นของตัวเอง จึงต้องจัดตั้งกองทุนขึ้นมาและนำเงินที่รวบรวมได้ไปลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อ ในอัตราประมาณ 1.3% - 2%



นอกจากนี้ แม้ว่าเราจะตัดสินใจซื้อกองทุนวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าราคาทองคำที่ซื้อได้เป็นเท่าไร เพราะต้องรออย่างน้อย 2 วัน หรือถ้าขายหน่วยลงทุนก็ยังไม่ได้รับเงินทันที ต้องรอเวลาเช่นเดียวกัน



แต่ข้อดีของกองทุนทองคำคือ ไม่ต้องเก็บทองไว้ให้นอนสะดุ้ง และมีเงินเพียงแค่หลักพันก็สามารถลงทุนได้แล้ว (สำหรับบางกองทุน) และถ้าอยากได้เงินปันผลซึ่งหาไม่ได้จากทองคำแท่ง บางกองทุนก็สามารถจัดให้ได้



ในตอนนี้มีกองทุนทองคำให้เลือกลงทุนอยู่ 5 กองทุน จาก 5 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ได้แก่ ทหารไทย โกลด์ ฟันด์(TMBGOLD) บลจ.ทหารไทย, เค โกลด์ (K-GOLD) บลจ.กสิกรไทย, เอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล โกลด์ ฟันด์ (IGOLD) บลจ.เอ็มเอฟซี, อยุธยา โกลด์ (AYFGOLD) บลจ.อยุธยา และ ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (GOLDFUND) บลจ.ทิสโก้



ทั้ง 5 กองทุนลงทุนในกองทุนแม่กองทุนเดียวกันคือ SPDR Gold Trust กองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จัดตั้งและจัดการโดยสมาพันธ์ทองคำโลก (World Gold Council) จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง คือ นิวยอร์กสิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละตลาดจะมีเวลาการซื้อขายและสภาพคล่องแตกต่างกัน



แต่ไม่ใช่ว่าทั้ง 4 กองทุนจะเหมือนกันทั้งหมดเพราะแต่ละกองทุนจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป อาทิ ตลาดที่เข้าไปซื้อขาย และนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน



บลจ.ทหารไทย และอยุธยา ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในประเทศ



แต่บลจ.กสิกรไทย บลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.ทิสโก้ เปิดทางให้ผู้จัดการกองทุนเลือกที่จะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้



โกลด์ ฟิวเจอร์ส



ของเล่นใหม่ของนักลงทุน และแม้ว่าโกลด์ฟิวเจอร์สจะเป็นเรื่องใหม่ แต่นพ.กฤชรัตน์ บอกว่าในช่วงนี้มีปริมาณการซื้อขายในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สเพิ่มมากขึ้น และนักลงทุนที่นิยมทองคำแท่งก็เข้ามาในตลาดนี้มากขึ้นด้วย



ฟิวเจอร์สทองคำ (Gold Futuers) หรือโกลด์ฟิวเจอร์ส เป็นสัญญาซื้อขายทองคำที่มีทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% เป็นสินค้าอ้างอิง



โกลด์ ฟิวเจอร์สก็เหมือนกับฟิวเจอร์สชนิดอื่นๆคือ นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในเวลาที่ทองคำเป็นขาขึ้นและขาลง แถมยังใช้เงินลงทุนต่ำกว่าการลงทุนทองคำโดยตรง เพราะการลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินตามมูลค่าทองคำที่ลงทุน แต่จะใช้วิธีการวางเงินหลักประกัน หรือที่เรียกว่า Margin



แต่ข้อเสียของโกลด์ ฟิวเจอร์ส คือ เป็นการลงทุนระยะสั้น เพราะแต่ละสัญญาจะมีระยะเวลาครบกำหนด และหากต้องการลงทุนต่อไปอีกก็ต้องใช้วิธีการ Roll Over ทำให้มีต้นทุนในการลงทุนเพิ่มขึ้น



นอกจากนี้ ถ้าคิดจะเข้าไปลงทุนคงจะไม่สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปได้ ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเสียก่อน เพราะการลงทุนทองคำในรูปแบบนี้มีความซับซ้อนมากกว่าแค่การซื้อทองคำแท่งมาเก็บแล้วรอเวลาขายทำกำไร ซึ่งในโอกาสหน้าเราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่ง



การลงทุนในหุ้น ผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษาด้วยตนเองที่ http://www.set.mut.ac.th/investor/investor_EQ/TSI_e_LearningIEQ.htm

และที่ http://www.tasimplified.com/joomla/index.php?option=com_content&view=article&id=144&Itemid=312



หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนเอาชนะค่าเงินในกระเป๋าได้บ้าง แต่ก่อนจะตัดสินใจลงทุนหรือใช้จ่ายเงินใดๆ ควรจะศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบก่อน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อน ตามคำขวัญที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ นั่นเอง



การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษาด้วยตนเองได้ที่

http://moneygenius.blogspot.com/2007/05/10.html และที่

http://www.konbaan.com/ZoneInvestor/investor-article.php?id=14

http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?t=960

http://www.bizkons.com/index.php/Course/RN101.html



และข้อมูลทางอื่นอีกมากครับ



นี่คือส่วนเสี้ยวเดียวของการลงทุนเอาชนะค่าเงินในกระเป๋า ยังมีการลงทุนด้านอื่นอีก เช่น การเปิดร้าน ทำธุรกิจ sme ต่างๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้มานำเสนอ ขึ้นอยู่กับผู้อ่านจะสนใจด้านไหน และต้องหาข้อมูล ศึกษาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง เพราะในโลกนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ที่จะสามารถทำตามกันแล้วประสบความสำเร็จได้เหมือนกันเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งปัจจัยภายในส่วนตัวของแต่ละบุคคล และปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อีกมาก ขึ้นกับความสามารถในการวิเคราะห์ และตัดสินใจของคุณแต่ละบุคคลนั่นเอง พระเจ้าที่ไหนก็ช่วยไม่ได้

การลาออกของขุนพลเพลงจากอาณาจักรแกรมมี่

ถามว่าเป็นเรื่องที่น่าตกอกตกใจอะไรหรือแปลกใจอะไรหรือไม่ ก็ตอบได้ว่าไม่เห็นแปลก เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีการย้ายเข้า ย้ายออกของบรรดาโปรดิวเซอร์หรือนักแต่งเพลง รวมถึงศิลปินในสังกัดแกรมมี่อยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ จนแทบจะนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว แต่หนนี้เป็นเรื่องดัง สะเทือนเลื่อนลั่นช็อกวงการกันไป ก็เพราะการลาออกครั้งนี้เป็นในระดับหัวกะทิทั้งสิ้น และเป็นรุ่นบุกเบิกก่อตั้งแกรมมี่มาด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ นิติพงษ์ ห่อนาค อัสนี-วสันต์ โชติกุล ส่วนฟากศิลปิน ก็ระดับแม่เหล็กอย่าง เสก โลโซ มาช่า วัฒนพานิช ทีนี้ในฐานะผู้เขียนบล็อกเป็นถึงแฟนพันธุ์แท้แกรมมี่มานับตั้งแต่ยุคก่อตั้ง ผู้เขียนจึงมีมุมมองต่อเรื่องนี้ต่างจากคนทั่วไปดังนี้

ก่อนอื่นขอแยกประเด็นออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือมุมมองต่อเรื่องนี้ที่มองไปยังค่ายเพลงหรือตัวธุรกิจ (บริษัทบันเทิงมหาชน) มุมมองต่อเรื่องนี้ที่มองในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่งต่ออุตสาหกรรมเพลง และสุดท้ายมุมมองต่อเรื่องนี้ที่มองไปยังตัวศิลปินหรือผู้ทำงานเบื้องหลังศิลปินต่ออุตสาหกรรมเพลง ซึ่งบทวิเคราะห์ก็จะแตกต่างกัน ซึ่งผู้อ่านจะได้นำไปชั่งน้ำหนักในแต่ละมุมมองแล้วสรุปเป็นผลึกความคิดรวบยอด ซึ่งจะทำให้ผลึกความคิดของท่านผู้อ่านแตกฉานต่อปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ในวงการเพลงในขณะนี้ได้อย่างเฉียบคม รอบด้าน



มุมมองของข้าพเจ้า(ผู้เขียน) ที่มองมายังค่ายเพลง หรือธุรกิจบริษัทสื่อบันเทิงอย่างแกรมมี่ และอุตสาหกรรมเพลงไทย



จริงๆ ข้าพเจ้าได้เคยวิเคราะห์ไปบางส่วนแล้วในบทความที่ชื่อว่า “ปัดฝุ่นตู้เพลงในดวงใจ” ซึ่งเป็นบทความแรกของบล็อกนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน ถึงมุมมองที่มีต่ออุตสาหกรรมเพลงไทยในบ้านเราว่ามาถึงยุคเปลี่ยนผ่าน ครั้งสำคัญอีกครั้งนึง ก่อนหน้านี้ ถ้ายังจำกันได้ วงการเพลงถ้านับกันจริงๆ ก็ถือว่าเพิ่งจะมาเรียกกันว่าวงการเพลงก็เมื่อ 50-60 ปีมานี้เอง ยุคแรกเป็นเพลงไทยเดิม เพลงพื้นบ้าน และพัฒนามาเป็นเพลงสุนทราภรณ์ ยุค 2 เป็นเพลงเพื่อชีวิตกับเพลงลูกทุ่ง ภายหลังมาแยกกันชัดเจน และลูกทุ่งดูจะมีวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องและชัดเจนกว่า ยุค 3 เป็นยุคเพลงลูกกรุง และเพลงไทยสากล (ยุคนี้ถือว่าเริ่มจะมีห้องบันทึกเสียง มีระบบค่ายเพลงแบบหลวมๆ แล้ว) ยุค 4 เป็นยุคเพลงสตริงคอมโบ้ ชาโดว์ และฟอร์มตัวเป็นวงดนตรีมากมาย (ยุคนี้ก่อกำเนิดค่ายเพลงแรกๆ คือนิธิทัศน์ อามีโก้ โรต้า อาร์เอส รถไฟดนตรี) ยุค 5 เป็นยุคทองของวงการดนตรีไทยเรียกว่ายุคเพลงป็อป (ยุคนี้ถือกำเนิดค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่ คีตา มาจนถึงเบเกอรี่มิวสิค) และปัจจุบันวงการเพลงไทยยังอยู่ในยุคนี้แหละ และกำลังก้าวผ่านไปเป็นยุคใหม่ ที่ผมยังไม่ได้ตั้งชื่อว่าเป็นยุคอะไร แต่ดนตรีมีความหลากหลายมากขึ้น กลุ่มผู้ฟังก็มีรสนิยมฟังเพลงหลากหลายมากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้วย ยุคนี้ไม่ได้เปิดแผ่นเสียงฟังกัน ไม่ได้เปิดเทปคาสเซ็ทแล้ว ไม่ค่อยได้ซื้อ cd ฟังกันแล้ว ใช้ดาวน์โหลดเพลงกันทางอินเตอร์เน็ต หรือทางโทรศัพท์มือถือฟังกันมากกว่า แม้กระทั่งเครื่องเล่นซีดีวอล์คแมนก็ดูเชยไปเสียแล้ว เพราะเขาฟังผ่านทาง i-pod i-phone หรือ i-pad แล้ว ดังนั้นในเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป รวมถึงความหลากหลายของรสนิยมการฟังและแนวเพลงมีมากขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และมีความบันเทิงมากมายที่มาแย่งความสนใจเขาไปได้หลายทาง ทั้งภาพยนตร์ เกมส์ คลิปวีดีโอ เพลง หนังสือ เรียลลิตี้โชว์ ฯลฯ ทำให้ผู้ผลิตสื่อเองก็จำเป็นต้องปรับตัวตามให้ทัน หาไม่แล้วก็จะต้องล้มหายตายจากไปแบบล้มทั้งยืน ซึ่งเห็นกันมามากแล้ว ขนาดวงการเพลงในยุคก่อนหน้านี้ที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวล้ำนำสมัยเท่าปัจจุบัน เรายังได้เห็นค่ายเพลงล้มหายตายจากไปแบบเงียบๆ มากมายเลย แล้วยุคนี้จะเหลือรอดได้มันต้องเก่งจริงๆ ทั้งทางด้านทุน บุคลากร วิสัยทัศน์ การบริหารจัดการ รวมถึงตัวศิลปินเองด้วย ปรากฎการณ์ที่พี่ดี้ลาออกจากแกรมมี่ รวมถึงศิลปินท่านอื่นๆ ทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังดังๆ ตบเท้ากันลาออกจากชายคาแกรมมี่ ซึ่งก็เป็นที่ที่ให้เขาได้แจ้งเกิดด้วยเช่นกัน ในมุมมองของผู้เขียนจึงเป็นเรื่องสัจจธรรม(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ของชีวิตมากกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มักจะดิ้นรน เสาะแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าอยู่เรื่อยไป ตราบเท่าที่ชีวิตยังมีลมหายใจอยู่ นี่ไม่ใช่เป็นการกระแนะกระแหนกันนะครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้วนิยมชมชอบทั้งตัวพี่ดี้ และศิลปินที่ได้เอ่ยนามมาแล้วทุกท่านจริงๆ (ลองไปอ่านบทความที่ชื่อ “ปัดฝุ่นตู้เพลงในดวงใจ” ของข้าพเจ้าดูแล้วจะทราบ) แต่อย่างที่บอกค่ายเพลงเขาต้องทำทุกอย่างให้เขาอยู่รอดด้วยเช่นกัน ฟังการแถลงข่าวของผู้บริหารหลายคนในแกรมมี่แล้วก็เข้าใจว่าปัจจุบันธุรกิจเพลงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรในระดับที่จะให้องค์กรอยู่รอดได้แล้ว มันหมดสมัยแล้วที่จะมานั่งขายซีดีเพลง ดีวีดี หรือเทปคาสเซ็ท เพราะรายได้จากทางนี้แทบไม่เห็นเม็ดเงินกันอีกแล้ว ลำพังรายได้จากยอดดาวน์โหลดก็ไม่ใช่ว่าจะดีนัก เพราะจะดีเป็นบางเพลงกับบางศิลปินเท่านั้น นั่นแสดงว่า ผู้บริโภคไม่นิยมหรือยินยอมที่จะเสียตังค์ได้โดยง่าย เพื่อเสพงานห่วยๆ แบบสุกเอาเผากิน แบบเหมือนเมื่อสมัยก่อนกันอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะผู้บริโภคยุคนี้ฉลาดขึ้นหรือมีรสนิยมฟังเพลงดีขึ้น แต่เป็นเพราะเทคโนโลยีได้ทลายข้อจำกัดต่างๆ ที่ในอดีตผู้บริโภคไม่มีอำนาจต่อรองออกไปได้ต่างหาก ทำให้ยุคนี้งานที่ไม่ดีจริง หมดสิทธิ์แจ้งเกิด เพราะไม่มีใครยินยอมจ่ายตังค์ให้คุณแบบง่ายๆอีกแล้ว ค่ายเพลงจึงต้องกระเสือกกระสนไปหารายได้จากทางอื่น เช่น โชว์บิซ การแสดงคอนเสิร์ต การโชว์ตัว การเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า แสดงภาพยนตร์ ละคร หรือแม้กระทั่งทำทัวร์ต่างประเทศ ผู้แทนจำหน่ายขายสินค้าเครื่องสำอางค์ก็มี ในขณะที่คนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมเพลงในยุคโบราณอาจจะเคยชินกับการที่ค่ายเพลงง้อ เพราะตัวเองเคยเป็นตัวจักรสำคัญในการผลิตเพลง เป็นผู้เขียนเพลงหรือทำดนตรี ปัจจุบันก็ถูกลดบทบาทลง เพราะเพลงมันไม่สามารถขายได้ยกแพ็คเหมือนสมัยก่อน ขายได้ทีละเพลง และศิลปินคนนึง อาจมีเพลงฮิตไม่กี่เพลงก็ขายได้แล้ว ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องออกต่อเนื่องกันหลายอัลบั้ม ในเมื่องานน้อยลง ยอดขายก็ลดลง แล้วรายได้จะไม่ให้ลดตามก็เป็นไปไม่ได้ นี่คือที่มาว่าพนักงานแกรมมี่ถูกลดเงินเดือน หลายส่วนงานถูกจ้างออก และรับคนหน้าใหม่เข้ามาสู่บริษัท เพราะมาสตาร์ทกันที่เงินเดือนใหม่ที่ต้นทุนยังไงก็ต่ำกว่าคนที่อยู่มานาน จ้างเอาไว้นาน แบกภาระต้นทุนคงที่ที่สูงต่อไป นี่คือสัจจธรรมของทุกธุรกิจในโลกนี้แหละ ไม่เฉพาะธุรกิจเพลงหรอก ถามว่าการลาออกของดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค พี่อัสนีวสันต์ คุณมาช่า จะกระทบกับแกรมมี่มั๊ย ผมตอบแทนได้เลยว่า บริษัทเขาไม่กระทบอะไรมากมายนักหรอก บริษัทเขามีบุคลากรในระดับเดียวกับคุณพี่ดี้ และคุณพี่อัสนี คุณมาช่าอีกมากมาย คนแต่งเพลงเก่งๆ ในระดับเดียวกับดี้ในค่ายยังมีอีกหลายคนมาก คนดนตรีมีฝีมือในระดับเดียวกับป้อม อัสนี อาจมีไม่เยอะในค่าย แต่เขาสามารถผลิตผลงานที่ออกมาแล้วขายได้ มีคนเก่งๆ แบบนั้นมากกว่าคุณป้อมอัสนี มีเยอะ มีศิลปินสดใหม่ ที่มีคาแรกเตอร์ จุดขายแบบเดียวกับมาช่า หรือเหนือกว่ามาช่า ยังมีอีกมาก และที่กำลังรอเจียระไนอยู่ การลาออกของดี้ และผองเพื่อนบางส่วนที่ออกไปในระยะสั้นจึงยังไม่มีผลกระทบอะไรกับแกรมมี่เลย แต่ในระยะยาวถ้าจะมี ก็น่าจะเกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในขณะนั้นจะเปลี่ยนไปขนาดไหน บุคลากรทางดนตรีที่ยังคงอยู่ใต้ชายคาแกรมมี่จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานตอบโจทย์แฟนเพลงในอนาคตได้หรือไม่ นั่นแหละจึงจะมาวิเคระห์ได้ว่าการออกไปของบุคลากรหัวกะทิบางส่วนในตอนนี้มีผลหรือไม่อย่างไร แล้วบทบาทนับจากนี้ของดี้นิติพงษ์ และผองเพื่อนจะไปทำอะไร อย่างไร อันนี้ก็ต้องมาดูกันว่า พวกเขาจะเป็นเหมือนอย่างตัน ภาสกรนทีแห่งวงการชาเขียว,ร้านอาหารญี่ปุ่นหรือไม่ ที่ลาออกไปแล้วแต่ก็ยังสร้างโมเมนตัมต่อตลาดได้อีกมากโข สร้างแรงดึงดูดต่อผู้บริโภคได้ต่อไปอีกหรือไม่ อันนั้นค่อยมาว่ากันอีกที



มุมมองต่อเรื่องนี้ที่มองในฐานะแฟนเพลงคนหนึ่งต่ออุตสาหกรรมเพลงไทย



ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกเสียดายพี่ดี้หรือพี่ป้อมแต่อย่างใด ที่เดินจากอาณาจักรแกรมมี่ไป ไม่ใช่ว่าโกรธหรือเกลียดแต่อย่างใด แต่คิดว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป คุณค่าความสำคัญของคนเราย่อมแตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปได้ อย่าไปยึดติด ในยุคสร้างอาณาจักรแกรมมี่ สมัยที่ยังมีพี่เต๋อ ดูแลบัญชาการค่ายเพลงแกรมมี่อยู่นั้น พี่ดี้ พี่ป้อม พี่โอม รวมถึงอนุวัฒน์ สืบสุวรรณ กลุ่มคนเหล่านี้มีความสำคัญต่อองค์กรมาก และต่ออุตาหกรรมเพลงมากด้วย เพราะยุคนั้นเพลงดีๆ มาจากมันสมองของคนเหล่านี้ทั้งนั้น ผู้เขียนเป็นคนนึงที่เลือกซื้องานอัลบั้มเทปในยุคนั้น โดยดูจากเครดิตปกเทป ถ้ามีรายชื่อบุคคลเหล่านี้ ก็พร้อมจะจ่ายตังค์ซื้อมาฟังได้เลย โดยที่ไม่ต้องทดลองฟังเพลงก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่แล้วไง ยุคนี้เขาไม่ฟังเพลงสไตล์จิ๊กโก๋อกหักแบบพี่ป้อมร้องกันแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสดูคอนเสิร์ตพี่ป้อมทางช่องกรีนชาแนล ยังรู้สึกร้องอี๋เลย คือมันเอียน เพลงพี่ผมร้องได้ทุกเพลงเลยนะ แต่มันเบื่อสไตลนี้แล้ว มากๆ เลย แม้ว่าในยุคนั้นเราอาจฟังแล้วรู้สึกว่าไพเราะ มาก พี่ดี้เขียนเพลงในยุคนั้นดีมากทุกเพลงเลยนะ แต่ยุคนี้ผมว่าภาษาเพลงของพี่มันสู้ หนึ่ง ณรงค์วิทย์ พี่นิ่มสีฟ้า หรืออีกหลายคนในค่ายไม่ได้เลย มันไม่โดนในยุคนี้อ่ะ ผมว่ายุคทองหรือมาสเตอร์พีซ ของพี่มันผ่านไปแล้วอ่ะ จึงทำให้ผลงานในยุคหลังๆ ของพวกพี่มันไม่โดนใจคนยุคนี้ก็แค่นั้น แต่ก็ยังให้กำลังใจพวกพี่ทำงานกันต่อไป แบบมีอิสระ ไม่อยู่ในกฏเกณฑ์ของค่าย จริงๆ ก็เป็นเพียงข้ออ้างของคนไม่รักกันแล้วเท่านั้น เพราะตอนที่พวกพี่อยู่ในค่ายก็แทบจะเป็นเทพเจ้ากันทั้งหมดนั่นแหละ มีใครที่ไหนจะกล้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการทำงานของพวกพี่งั้นเหรอ มีแต่แตะเบรกเรื่องงบประมาณเท่านั้น ซึ่งก็เป็นความชอบธรรมของบริษัทเขาอยู่ดี ก็ในเมื่อบริษัทมันไม่ใช่องค์กรการกุศล ทำงานภายใต้การมองดูของนักลงทุนผู้ถือหุ้นอีกส่วนหนึ่งด้วย เขาย่อมจะต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้บริษัทมีกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายอยู่ดี อันนี้เป็นกฎธรรมชาติของทุกบริษัทอยู่แล้ว ถ้าการลาออกของกลุ่มพี่ดี้นิติพงษ์ กับผองเพื่อนจะสร้างคุณูปการต่อวงการเพลงไทยก็คงจะเป็นที่พวกพี่ไปรวมตัวกันสร้างงานเพลงใหม่ๆ ที่มันไม่ต้องแคร์ต่อแนวทางของกลุ่มทุนว่าต้องเป็นเพลงตลาดตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มผู้ฟังที่เป็นแมสมากนัก เพราะยังมีช่องว่างอีกมากในหลายกลุ่มเป้าหมายที่เขาอยากฟังงานเพลงที่มันต่างออกไปจากที่มันมีอยู่ในอุตสาหกรรมเพลงไทย เพลงแจ๊สดีๆ เพลงร็อกหนักๆ ก็ไม่ค่อยได้เห็นมีงานออกมาให้ฟังมากนัก เพลงแด๊นซ์จังหวะดิสโก้แบบยุค 80 ก็ไม่ค่อยมีให้ฟังในยุคนี้ นี่คือตัวอย่างของงานเพลงที่เป็นช่องว่างอีกมาก ที่สามารถนำเสนอได้หากหลุดกรอบจากการทำงานในระบบค่ายเพลง ผมได้แต่หวังว่าการลาออกของพวกพี่จะทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศได้บริโภคงานเพลงดีๆ นับจากนี้ไป อย่างน้อยก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่ไม่จำเจ และตายซาก เหมือนทุกวันนี้



มุมมองต่อเรื่องนี้ที่มองไปยังตัวศิลปินหรือผู้ทำงานเบื้องหลังศิลปินต่ออุตสาหกรรมเพลงไทย



คุณค่าของศิลปินในยุคนี้มันเป็นเพียงแค่สินค้าที่ค่ายเพลงจะเป็นผู้เจียระไนว่าจะให้เป็นอะไร มีคาแรกเตอร์แบบไหน มีจุดขายแบบไหน เพราะศิลปินจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองซักเท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างจากศิลปินของต่างประเทศ และศิลปินในอดีต เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะระบบค่ายเพลงเข้ามามีบทบาทกำหนดทุกอย่างของงานเพลง ตั้งแต่คอนเซ็ปท์อัลบั้ม โปรดิวเซอร์ คนแต่งเพลง ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน ผู้บันทึกเสียง คนทำมิวสิควีดีโอ สไตล์ลิสต์ศิลปิน คนดูแลศิลปิน เจ้าของค่าย เจ้าของสถานีเพลง สถานีช่องเคเบิ้ลทีวี ผู้จัดคอนเสิร์ต เป็นต้น ซึ่งศิลปินจะต้องเดินไปตามครรลองที่มีผู้กำหนดคาแรกเตอร์ และคอนเซ็ปท์ไว้หมดแล้ว การจะขยับเขยื้อน หรือฉีกกฎ แหกคอก ออกไอเดียในการวางตัวที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ย่อมทำไม่ได้ง่ายนัก ถ้าเป็นศิลปินไทย ยกเว้นไม่มีสังกัดค่ายใหญ่ แต่ถ้าเป็นศิลปินจากต่างประเทศอย่างอเมริกา หรือยุโรป จะมีความเป็นอิสระมากกว่านี้ แต่ก็ต้องแลกกับความสามารถอย่างสูงมาก และการทำงานแบบมืออาชีพ และทุ่มสุดตัว ที่ตัวศิลปินจะต้องมีอยู่ในสายเลือด เพราะนั่นต้องเป็นของแท้ ตัวจริงมาจากตัวคุณจริงๆ ไม่ใช่เกิดจากสร้างสรรค์ปั้นแต่งของค่ายเพลง เราจึงเห็นศิลปินคนไทยไปโกอินเตอร์ได้น้อยมาก เพราะที่มันมีอยู่นั้นส่วนใหญ่ของเก๊ และไม่ใช่มืออาชีพอย่างแท้จริง ความสามารถก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นต่างประเทศได้ ปรากฎการณ์การลาออกของพี่ดี้ นิติพงษ์และผองเพื่อน ส่วนหนึ่งผมคงต้องขอให้เครดิตและปรบมือให้ด้วยใจจริง เพราะอย่างน้อยผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สนับสนุนการทำงานของศิลปินอิสระที่อยู่นอกกรอบการทำงานของระบบค่ายเพลง แม้ว่ายุคนึงระบบค่ายเพลงมันเวิร์คมาก เช่น ยุคแกรมมี่ตอนต้น ยุคคีตา ยุคเบเกอรี่มิวสิค แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปซักระยะนึง จะพบว่าค่ายเพลงจะไม่ยอมพัฒนางานเพลงของตัวเองให้ดีขึ้น มักใช้มุกเดิมๆ หากินกับสูตรเดิมๆ หรือขายของเก่ากิน มันเป็นอย่างนี้ทุกค่ายเลย จึงทำให้ระบบค่ายเพลงมันเสื่อมลง ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปอ่านบทความ “ปัดฝุ่นตู้เพลงในดวงใจ” ก็จะทราบว่า ทำไมช่วงต้นๆ หรือกลางๆ ของทุกค่ายเพลงจะเป็นช่วงที่มีงานเพลงที่ดีที่สุดของทุกค่ายเพลงเลย หลังจากนั้นงานก็จะเริ่มแป็ก ไม่สดใหม่ หรือมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น ยุคนี้ศิลปินอิสระอาจต้องเหนื่อยเป็นหลายเท่ามากกว่าศิลปินอิสระในยุคก่อนๆ เพราะคุณต้องใช้สรรพกำลัง หรือกำลังภายในสูงหน่อยจึงจะสร้างโมเมนตัมให้ผู้คนหรือผู้บริโภคมาสนใจงานของคุณได้ เพราะตัวเลือกหรือสื่อบันเทิงมันมีมากมายเสียเหลือเกินกว่ายุคก่อน แต่ข้อดีก็คือยุคนี้คุณสามารถนำเสนองานของคุณผ่านสื่อ ช่องทางได้หลากหลายแบบไม่ต้องลงทุนด้วยงบประมาณที่สูงเหมือนค่ายเพลงใหญ่ก็สามารถแจ้งเกิดผลงานของคุณได้แล้ว เช่น ผ่านช่องทาง social network , internet tv , cable tv ซึ่งสื่อเหล่านี้สามารถโปรโมตได้ฟรีไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากนัก ผิดกับในอดีตต้องโปรโมตผ่านทางฟรีทีวี หรือรายการวิทยุ ที่ต้องเป็นศิลปินมีค่ายเท่านั้นจึงจะมีช่องทางแบบนั้นเป็นของตนเอง สรุปก็คือยุคสมัยมันเปลี่ยนไป พฤติกรรมการเสพสื่อก็เปลี่ยนไป ศิลปินในยุคนี้จะผลิตผลงานศิลปะก็ต้องให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคด้วย หาไม่แล้วเราก็จะกลายเป็นคนตกยุคไปได้โดยอัตโนมัตินั่นเอง

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โลกเหงาๆ ของเขาและเธอ 1



รักแรกพบหรือ puppy love

"ในวันแรกที่เราเจอกัน เธอบอกฉันว่าเราคือเนื้อคู่กัน เป็นบุพเพสันนิวาส เราเคยทำบุญร่วมกันมา"

Lovin' you

Is easy 'cause you're beautiful

And lovin' you

Is all I wanna do

Lovin' you

Is more than just a dream come true

And everything that I do

Is out of lovin' you

La la la la

La la la la

La la la lala la la la la la

Do do do do

Ooh aah


No one else can make me feel

The colors that you bring

Stay with me

While we grow old

And we will live

Each day in springtime

Lovin' you

I see your soul

Come shining through

And everything that we o-o-o

I'm more in love with you

La la la la

La la la la

La la la lala la la la la la

Do do do do

Ooh aah

No one else can make me feel

The colors that you bring

Stay with me

While we grow old

And we will live

Each day in springtime


Lovin' you

Is easy 'cause you're beautiful

Everyday of my life

It's filled with lovin' you

Lovin' you

I see your soul

Come shining through

And everything that we o-o-o

I'm more in love with you

La la la la

La la la la

La la la lala la la la la la

Do do do do

Ooh aah



Reality [La Boom]
Artist: Richard Sanderson

Met you by surprise
I didn't realize that my life would change forever
Saw you standing there didn't know I care
there was something special in the air

ได้พบและรู้จักกับคุณโดยที่ไม่คาดฝัน...
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านั่นจะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปตลอดกาล
เห็นคุณยืนอยู่ตรงนั้น...และไม่เคยรู้เลยว่าฉันสนใจคุณ
มันมีอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างพิเศษอยู่ในอากาศบริเวณนั้น

Dreams are my reality 
the only kind of real fantasy
illusions are a common thing
I try to live in dreams it seems as if it's meant to be.

ความฝันก็คือความจริงของฉัน...
มันเป็นเหมือนกับความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริง
สิ่งลวงตาเหล่านั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆไป
ฉันพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในความฝัน...
และนั่นก็คือความตั้งใจที่ฉันอยากให้มันเป็น

Dreams are my reality, 
a different kind of reality
I dream of loving in the night,
and loving seems all right
althought it's only fantasy.

ความฝันก็คือความจริงของฉัน...
มันคือความจริงในแบบที่แตกต่างออกไป
ฉันฝันถึงความรักในยามค่ำคืน
และเป็นความรักที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้

If you do exsist, 
honey don't resist
show me a new way of loving
Tell me that it's true, show me what to do
I feel something special about you.

ถ้าคุณมีตัวตนอยู่จริง...
ที่รัก อย่าต่อต้านความรู้สึกนั้นอีกต่อไปเลยนะ
แสดงให้ฉันเห็นหนทางใหม่ ที่จะพาเราก้าวเดินไปสู่เส้นทางแห่งความรัก
ช่วยบอกฉันว่ามันเป็นความจริง...แสดงให้ฉันรู้ทีว่าจะต้องทำยังไง
ฉันรู้สึกและสัมผัสได้ถึง "ความพิเศษ" ในตัวคุณ

Dreams are my reality, 
the only kind of reality
Maybe my foolishness is past and may now at last
I'll see how the real thing can be

ความฝันก็คือความจริงของฉัน...
มันเป็นเหมือนกับความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริง
หรือบางทีความโง่เขลาของฉันจะกลายเป็นเพียงอดีต
และหลังจากนี้...ฉันก็จะได้เห็นถึงสิ่งที่มันเป็นไปได้จริง

Dreams are my reality, 
a wondrous world where I like to be
I dream of holding you all night
and holding you seems right
perhaps that's my reality.

ความฝันมันคือความจริงของฉัน...
คือโลกที่น่าอัศจรรย์ซึ่งฉันอยากจะให้มันเป็น
ฉันฝันถึงการได้โอบกอดคุณตลอดค่ำคืน
และการได้กอดคุณอยู่อย่างนั้น...
บางที....นั่นล่ะคือความจริงในความรู้สึกของฉันเอง

Met you by surprise,I didn't realize
that my life would change forever
Tell me that it's true, feelings that are new
I feel something special about you.

ได้พบและรู้จักกับคุณโดยที่ไม่คาดฝัน...
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านั่นจะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปตลอดกาล
ช่วยบอกฉันทีว่ามันคือความจริง...ความรู้สึกที่แปลกใหม่อย่างนั้น
ฉันรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันเป็นพิเศษกับคุณ

Dreams are my reality, 
a wondrous world where I like to be
illusions are a common thing
I try to live in dreams althought it's only fantasy

ความฝันมันคือความจริงของฉัน...
คือโลกที่น่าอัศจรรย์ซึ่งฉันอยากจะให้มันเป็น
สิ่งลวงตาเหล่านั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆไป
ฉันพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในความฝัน..
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกินกว่าจะเกิดขึ้นจริงได้

Dreams are my reality, 
I like to dream of you close to me
I dream of loving in the night
and loving you seems right
perhaps that's my reality.

ความฝันก็คือความจริงของฉัน...
ฉันชอบที่จะฝันให้คุณได้อยู่ใกล้ชิดกับฉัน
ฉันฝันถึงความรักในยามค่ำคืนและเป็นความรักที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
บางที....นั่นล่ะ คือโลกแห่งความเป็นจริงของตัวฉันเอง

ประโยค,วจีเหล่านี้ มันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน


                 " เรามีอะไรๆ ที่คล้ายๆ กัน"                 
                 " ทัศนคติ เราตรงกันเกือบจะทุกเรื่อง ชอบอะไรคล้ายๆ กัน "
                 " ณ เวลานี้ เราเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด เป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมากที่สุด" 
                 "เราอยากมีช่วงเวลาที่จะศึกษานิสัยใจคอซึ่งกันและกันให้ได้มากที่สุดก่อน"
                


รักสไตล์เกาหลี จี้ใจดำ ขำปนน้ำตา

언제였던 건지, 기억나진 않아
ออนเจ ยอซตอน กอนจี, คิ ออกนาจิน อานา
자꾸 머리가 너로 어지럽던 시작
ชากุ เน มอรีกา นอโร ออ จี ลอบตอน จีจาก
번씩 떠오르던 생각
ฮาน ดู บอน ซิก ตอ โอลือดอน แซงกาก
자꾸 늘어가서 조금 당황스러운 마음
ชากู นือลอ กาซอ โจกืม ทางฮวงซือลอ อู นิ มาอืม
별일이 아닐 있다고
บยอ ลิ ลิ อานาล ซู อิซดาโก
사소한 마음이라고
ซาโซฮาน มาอือ มิลาโก
내가 내게 자꾸 말을 하는 어색한
เนกา เนเก จากู มาลืล ฮานืน เก ออ แซกานกอล
사랑인가요, 그대 나와 같다면 시작인가요.

ซาลางอินกาโย, คือแด นาวา กาทดามยอน ซิจากอินกาโย맘이 자꾸 그댈 사랑한대요.
มามิ จากู คือ แดล ซางลางฮานแดโย
세상이 듣도록 소리치네요, 이제야 들리죠.
โอนเจ ซางิ ดืดโดโลก โซลิชีเนโย, วี อิเจยา ดืลลีจโย
서로를 만나기 위해, 이제야 사랑 찾았다고.
ซอโลลือ มานนากี วีแฮ,อิเจยา ซาลางชาจาซดาโก
지금 마음을, 설명하려 해도
ชิกืม เน มาอือมืล,ซอลมยองฮาลยอ แฮโด
니가 내가 되어 맘을 느끼는 방법뿐인데
นิกา เนกา ดวีออ มามืล นืกินืน บางบอบ ปูนินเด
이미 안에 있는
อิมา นานนิ อาเน อิซนืนกอล
안에 니가 있듯이
เนอาเน นิกา อิซดือซิ
우린 서로에게, 이미 길들여 진지 몰라
อูรีน ซอโลเอเก, อิมิ กอลดือลยอ ชินจี โมลลา
사랑인가요, 그대 나와 같다면 시작인가요.
ซาลางอินกาโย, คือแด นาวา กาทดามยอน ซิจากินกาโย
맘이 자꾸 그댈 사랑한대요.
มามิ จากู คือแดล ซาลางฮานแดโย
세상이 듣도록 소리치네요, 이제야 들리죠.
โอน แซซางิ ดือโดโลก โซลิชิเนโย, เว อิเจยาตืลลิจโย
서로를 만나기 위해, 이제야 사랑 찾았다고.
ซอโลลืล มานนากิ วีแฮ, อิเจยา ซาลางชาจาซดาโก
생각해보면 많은 순간 속에
แซงกาแก โบ มยอน มานืน ซูนกานโซเก
얼마나 많은 설레임 있었는지
ออลมานา มานืน ซอลเลอิม อิซซอซนืนจิ
조금 늦은 그만큼 잘해 줄게요
โซกืม นือซืน คือมานคืม นา ดอ จาแล จูลเกโย
함께할게요, 추억이 기억만 선물할게요.
ฮามเกฮาลเกโย, ชูออกิ ดวีล กิออกมาน ซอนมูลฮาลเกโย
다신 곁에서 떠나지 마요
ทาซิน เน กยอเทซอ ตอนาจิ มาโย
짧은 순간조차도 불안한걸요, 내게 머물러줘요
จาลพืน ซูนกานโจชาโด บูอานฮานกอ ลโย, เนเก มอมูลลอจวอโย
그댈 이렇게 많이 (이토록 많이) 사랑하고 있어요
คือเดล อิลอดเก มานิ (อิโทโลก มานิ) ซาลางอาโก อิซอโย
(
그대 하나만) 이미
(คือเด ฮานามาน) อิมิ 
(Perhaps Love - 하울&J (ซารางอินกาโย)  )


ที่สุดแห่งรัก 3 เส้า





My soul was a-swayin' to the beat of your heart 
And your lips were sayin' that we won't dance apart 
Now someone else is holding you the way I did the-eh-eh eh en 
So I'll never, no I'll never, never dance again.,whoa oh no 

Oh I've danced with others just to show I don't care 
But my arms discovered that the thrill wasn't there 
Unless my arms are holding you the way I did the-eh-eh eh en 
So I'll never, no I'll never, never dance again whoa oh no 

I'll stay off the dance floor till mem'ries grow dim 
'Cause my heart would break to see you take every step with him 

I'll survive seein' ya sighin' on that shoulder of his 
Oh how I've been cryin' knowin' how sweet that is 
So while that guy is holding you the way I did the-eh-eh eh en 
I will never, no no I'll never never dance again-oh I'll never 

No, darlin' no I will never no no I'll never never dance again 
No, darlin' no I will never no no I'll never never dance again 
Say baby no I will never whoa-oh I'll never never dance again 
Hey baby no I will never no I'll never never dance again 
No baby no I will never
(I'll Never Dance Again  -Herman's Hermits)



ณ จุดนัดพบแห่งรักเราก็ได้มาเจอกัน

ที่แห่งนี้มีความรักอยู่ คอยรับรู้และคอยเข้าใจ 
แม้ข้างนอกจะเป็นอย่างไร จะร้อนหรือหนาวแค่ไหน ก็ไม่สำคัญ 
จะเตรียมความรักไว้ให้เธอพักผ่อน ลืมความร้อนเรื่องราวที่ไหวหวั่น 
และรอยยิ้มที่มาจากใจ เพื่อเพิ่มเติมความสดใส เมื่อไหร่ที่พบกัน 

ไม่ว่าวันเวลาจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน จะเป็นกำลังใจให้เธอได้รู้สึกดี 
เป็นที่พักที่ให้ความเข้าใจ นานเท่าไรก็จะมี ให้กับเธอ อยู่ตรงนี้ 

แม้วันนี้เธอยังไม่รู้จัก แม้ความรักฉันเธอไม่เห็นค่า 
แต่ฉันก็รู้ดีว่าสักวัน คู่แล้วคงไม่คลาดกัน ฉันขอสัญญา 

ไม่ว่าวันเวลาจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน จะเป็นกำลังใจให้เธอได้รู้สึกดี 
เป็นที่พักที่ให้ความเข้าใจ นานเท่าไรก็จะมี ให้กับเธอ คนนี้ 

ไม่ว่าวันเวลาจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน จะเป็นกำลังใจให้เธอได้รู้สึกดี 
เป็นที่พักที่ให้ความเข้าใจ นานเท่าไรก็จะมี ให้กับเธอ อยู่ตรงนี้ 

ไม่ว่าวันเวลาจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนไปแค่ไหน ไม่มีวันที่ใจที่ฉันจะลืมตามสักที 
จะคงรอแต่เธอเสมอไป รอให้ใจได้ใกล้สักที ฉันจะบอกเธอ คำๆ

(ที่แห่งนี้ วงพี.โอ.พี.)


ความรักคือความงดงามที่ยิ่งใหญ่ เหนือคำบรรยายใดๆ

เธอถามฉันว่ารักเธอแค่ไหน ฉันรักเธอเท่าไร
หัวใจของฉันก็แน่แท้ รักของฉันก็แน่แท้ ดวงจันทร์นั้นแทนหัวใจของฉัน
เธอถามฉันว่ารักเธอแค่ไหน ฉันรักเธอเท่าไร
หัวใจฉันไม่เปลี่ยนแปลง รักของฉันไม่เปลี่ยนแปลง ดวงจันทร์นั้นแทนหัวใจของฉัน

จูบเบาๆของเธอนั้นทำให้หัวใจฉันหวั่นไหว
รักนั้นตรึงตราใจ ทำให้ฉันเฝ้าคิดถึงเธอจนถึงบัดนี้
เธอถามฉันว่ารักเธอแค่ไหน ฉันรักเธอเท่าไร
เธอกลับไปคิดดีๆ เธอกลับไปดูดีๆ ดวงจันทร์นั้นแทนหัวใจของฉัน
(คำแปล-ขอบคุณเวบไชน่าทูเลิร์น)



The Moon Represents My Heart - Teresa Teng


 

Ni wen wo ai, ni you duo shen.
.
Wo ai ni you ji fen.
真,我
Wo de qing ye zhen, wo de ai ye zhen.

Yue liang dai biao wo de xin.

Ni wen wo ai, ni you duo shen.
.
Wo ai ni you ji fen.
移,我
Wo de qing bu yi, wo de ai bu bian.

Yue liang dai biao wo de xin
问,一
Qing qing de yi ge wen , yi jing da dong wo de xin.
情,教
Shen shen de yi duan qing, jiao wo si nian dao ru jin.

Ni wen wo ai, ni you duo shen.
.
Wo ai ni you ji fen.
想,
Ni qu xiang yi xiang, ni qu kan yi kan.

Yue liang dai biao wo de xin.

(ดวงจันทร์คือตัวแทนในใจฉัน-เติ้งลี่จวิน)


คืนอาจจะหมุนผ่าน วันอาจจะหมุนเวียน
บางสิ่งยังเหมือนเก่า บางอย่างยังไม่เปลี่ยน จากวันที่พบกัน
ภาพตอนที่ฝนพรำ ภาพยามดอกไม้บาน
ภาพรอยยิ้มของเธอ ความสุขทุกๆอย่าง ยังเก็บมันเอาไว้

(เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี)
จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาทีที่เราสองคน ได้สบตากัน
เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี ตราบนานจนแสนนาน
ไว้อยู่เคียงข้างใจ ในค่ำคืนและวัน ที่ฉันขาดเธอ

ถึงอยู่เพียงผู้เดียว นับต่อจากนี้ไป
ฟ้าอาจจะไร้ดาว หนาวเหน็บสักเท่าไหร่ แต่ใจจะไม่เหงา

(เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี)
จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาทีที่เราสองคน ได้สบตากัน
เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี ตราบนานจนแสนนาน
ไว้อยู่เคียงข้างใจ ในค่ำคืนและวัน ที่ฉันขาดเธอ

(เก็บอยู่ในหัวใจของฉัน เก็บคืนวันงดงามที่มี)
จดจำทุกชั่วโมงที่ดี นาทีที่เราสองคน ได้สบตากัน
เก็บอยู่ในหัวใจดวงนี้ เก็บภาพเธอคนดี ตราบนานจนแสนนาน
ไว้อยู่เคียงข้างใจ ในค่ำคืนและวัน ที่ฉันขาดเธอ

ไว้อยู่เคียงข้างใจ ไว้เตือนคืนและวัน ที่ฉันเคยมีเธอ
(เก็บอยู่ในหัวใจ-ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์)

เราสัญญาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลาย






 

Saying I Love You
Is Not The Words 
I Want To Hear From You
It's Not That I Want You
Not To Say
But If You Only Knew
How Easy 
It Would Be To 
Show Me How You Feel
More Than Words 
Is All You Have To Do 
To Make It Real 
Then You Wouldn't 
Have To Say 
That You Love Me
Cos I'd Already Know

What Would You Do 
If My Heart Was Torn In Two
More Than Words To Show You Feel
That Your Love For Me Is Real
What Would You Say 
If I Took Those Words Away
Then You Couldn't Make Things New
Just By Saying I Love You

It S More Than Words 
It S More Than What You Say
It S The Things You Do
Oh Yeah
It S More Than Words 
It S More Than What You Say
It S The Things You Do
Oh Yeah

Now That I've Tried To 
Talk To You 
And Make You Understand
All You Have To Do 
Is Close Your Eyes
And Just Reach Out Your Hands 

And Touch Me
Hold Me Close 
Don't Ever Let Me Go
More Than Words 
Is All I Ever 
Needed You To Show
Then You Wouldn't Have To Say 
That You Love Me
Cos I'd Already Know

What Would You Do 
If My Heart Was Torn In Two
More Than Words To Show You Feel
That Your Love For Me Is Real
What Would You Say If I Took Those Words Away
Then You Couldn't Make Things New
Just By Saying I Love You

More Than Words
(more than words –extreme)
 

ฉันเพิ่งเข้าใจความรักว่าเป็นอย่างไร ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายที่มี เพราะฉันได้ลองเรียนรู้ว่ามันมีแต่ ความจริงใจให้แก่กัน พึ่งพากันด้วยความอุ่นใจ คอยดูแลและห่วงใย ให้แรงใจยามทุกข์มาเยือน บทเพลงรัก (ฉันมีรัก) ที่ขับขาน (ที่สดใส) ช่างอ่อนหวาน (เป็นสุขใจ) พาให้ฝัน (ทุกสิ่งดูสวยงาม) และมันก็เป็นนิยาม ให้จดให้จำ ความรัก รักที่ฉันเคยเรียนรู้ไม่เป็นอย่างนั้น รักที่ฉันมองตรงข้ามกันไป เพราะว่าฉันมีความรักที่มีเพียงแต่ หลอกลวงเรื่อยมา ทำให้เจ็บจนวันนี้ ไม่เคยหวังดี ไม่เคยเห็นใจ บทเรียนนี้ (เป็นบทเรียน) มันปวดร้าว (ที่ปวดใจ) มันตอกย้ำ (ย้ำเตือนไว้) ให้เจ็บช้ำ (ให้เจ็บและฝังจำ) และมันก็เป็นนิยาม ให้จดให้จำความรัก วันเวลาที่สดใส (บั่นทอนหัวใจ) ล่องลอยไปในความใฝ่ฝัน (มองเห็นสิ่งที่โหดร้าย) เป็นพลังที่ผลักดัน (ต้องมาเสียใจ) ให้ทุกคืนวันดูใสสว่าง (ต้องมีน้ำตา)   บทเรียนนี้ (เป็นบทเรียน) มันปวดร้าว (ที่ปวดใจ) มันตอกย้ำ (ย้ำเตือนไว้) ให้เจ็บช้ำ (ให้เจ็บและฝังจำ) และมันก็เป็นนิยาม ที่อยู่ในใจ บทเพลงรัก (ฉันมีรัก) ที่ขับขาน (ที่สดใส) ช่างอ่อนหวาน (เป็นสุขใจ) พาให้ฝัน (ทุกสิ่งดูสวยงาม) และมันก็เป็นนิยาม ที่อยู่ในคำว่ารัก

(นิยามรัก นูโว)


และแล้ววันเวลาแห่งความไม่เข้าใจก็มาถึง ทุกอย่างจึงกลับไปสู่จุดเดิมที่เราไม่เคยมีใคร

เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่อาจเข้าใจกับคำว่ารัก  ดังนั้น รักคืออะไรเหรอ ได้โปรดอย่ามาถามฉันอีกเลย

เพราะฉันเองก็ไม่เคยรู้จักมันดีซักกะครั้งเลย

แล้วประโยคเหล่านี้มันก็เกิดขึ้นมา

                 "ฉันขอโทษ นับจากนี้ เราคงเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น"
                 "ขอหยุดความสัมพันธ์กันไว้แต่เพียงเท่านี้นะ ไม่รู้สิ เพราะคุณยังไม่ใช่อ่ะ"
                 "เพราะคุณเป็นคนดีเกินไป ฉันไม่อยากที่จะทำให้คุณเสียใจไปมากกว่านี้"