วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 5


กาเหว่าอึกทึก


EP.5  คดีนายธรรม (พลทหารธรรม นโลดม)


ที่ห้องครัว หลังร้านเนื่องนวล ซึ่งในเวลานี้สารวัตรเดชกับทีมงาน ได้รุดมาดูศพของน.ส.หวา ที่ญาติได้โทร.มาแจ้งว่าพบศพอยู่ในเตาอบทำขนม สารวัตรเดช จึงได้ตามหมอแล็บ แพนด้า มาช่วยกันวิเคราะห์สภาพศพด้วย

“ฆาตกร มันช่างโหดเหี้ยมจริงๆ เหตุใดมันจึงต้องฆ่าแล้วหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ ด้วย ทำไปเพื่ออะไร”
“มันคงได้แรงบันดาลใจ มาจากคดีฆ่าหั่นศพ หลายๆ คดีที่เคยมีมาแน่ๆ และฆาตกรยังเชี่ยวชาญการผ่าตัดอีกด้วย”

“ยังไงเหรอหมอ”

“ก็ดูจากชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่หั่นออกมาแต่ละชิ้น ทำอย่างวิจิตรบรรจง รู้หลักทางกายวิภาคของมนุษย์ มันไม่ได้หั่นศพแบบคนที่ไม่รู้หลักวิชา เพราะชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ถูกเฉือนในจุดที่ไม่ทำให้เส้นเลือด เส้นประสาท และอวัยวะภายในเสียหายเลย ทำอย่างคนที่รู้หลักด้านศัลยแพทย์มาเป็นอย่างดี”

“แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ มูลเหตุจูงใจที่ทำให้มันต้องฆ่า น.ส.หวา นี่แหละ รวมถึงเพื่อนๆ ในร้านของเธอด้วย หายตัวไปทั้งกลุ่ม และยังไม่พบศพเช่นกัน”
จากนั้นหมวดแชนเดินเข้ามารายงานความคืบหน้า ในการสืบทางลับ เกี่ยวกับคดีนี้

“สารวัตรครับ ตอนนี้คุณนายละเมียด โทร.มายัง บช.น. มาแจ้งว่า พบคาบเลือด และถุงขยะที่มีคราบเลือดติดอยู่จำนวนมากบนบ้านของเธอครับ เลยให้ตำรวจที่ออกเวรแล้วรีบรุดไปดูก่อน”

“คราบเลือดงั้นเหรอ นี่อาจเป็นเบาะแสก็ได้ งั้นหมวดกบี่ไปกับผม ที่บ้านของคุณนายละเมียดเลย ทางนี้ หมวดแชน คุณรีบนำชิ้นส่วนของศพน.ส.หวา ไปยังนิติเวช ด่วนเลย หมอแล็บฝากดูแลศพนี้ให้ด้วยครับ”
ที่บ้านของนางละเมียด แถวชานเมือง เขตบางพลัด ที่ปล่อยร้างไว้ เดิมทีต้องการจะให้หมอปรีด์เปรมเช่าอยู่ เพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ แต่หมอปรีด์เปรมดันไปบอกต่อพะนอนิจว่า จะไม่ไปอยู่บ้านเช่าหลังนั้น พะนอนิจก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นายกล้าฟัง ทำให้นายกล้าคิดกุศโลบายจะใช้บ้านเช่าหลังนี้เป็นสถานที่วางแผนล่อ น.ส.หวามาสังหาร ตามแผนการที่ได้วางไว้


พอสารวัตรเดช กับหมวดกบี่ไปถึงบ้านของคุณนายละเมียด ก็รีบเข้าไปดูยังจุดเกิดเหตุ พบว่ายังมีคราบเลือด กองอยู่เต็มพื้น และรอยเลือดที่หยดอยู่ตามพื้น และมีร้อยเวร จนท.ตำรวจคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ นอนอยู่กับพื้น

“จ่า เป็นอะไร ใครทำอะไรคุณเหรอ”

“หมวด สารวัตร รีบตามไปเร็ว มันเพิ่งวิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้าน ใครกันหน่ะ”  ยังไม่ทันที่จะซักไซ้เอาความจากจ่าจุ้ย ให้รู้ว่าเป็นใคร หมวดกบี่ รีบกระโจนไปทางหลังบ้าน เพื่อวิ่งไล่ตามผู้ต้องสงสัยไป ซึ่งเป็นคนทำร้ายจ่าจุ้ย ได้รับบาดเจ็บ

“หยุดนะ ถ้าแกวิ่งอีกก้าวเดียว ฉันยิงแกแน่เลย หันหน้ามาซิ ฉันบอกให้หันมาไง....”

“คุณไม่กล้ายิงผมหรอก เพราะว่า ตำรวจจะยิงประชาชนได้อย่างไร ถ้าประชาชนไม่มีอาวุธ ไม่มีทางสู้”

“ที่แท้เป็นแกจริงๆ ด้วย นายกล้า ยอมมอบตัวซะดีๆ เถิด ตอนนี้มีหมายจับแกไปทั่วทั้งพระนครแล้ว”

“เอ้า....สารวัตรเดช มาด้วยเหมือนกันเหรอครับ”  กล้าแกล้งพูดเบนความสนใจ จนหมวดกบี่เอี้ยวหลังไปมองดู เป็นจังหวะที่นายกล้าหยิบหมามุ่ยออกมาจากกระเป๋า แล้วเขวี้ยงใส่หน้าของหมวดกบี่พอดี พอโดนหมามุ่ยที่คอและบนมือ ทำให้เกิดอาการคันขึ้นมา จนทำให้หมวดกบี่ต้องปัดป้องหมามุ่ยออกจากตัว เป็นจังหวะที่ทำให้กล้าวิ่งหนีไปจากจุดนั้นทันที กว่าที่หมวดกบี่จะรู้ตัวว่านายกล้าวิ่งหนีไปแล้ว จึงยกปืนขู่แล้วยิงขึ้นฟ้า เพื่อเป็นการปรามไม่ให้นายกล้าวิ่งหนี แต่นายกล้าก็ไม่ยอมหยุดฝีเท้า ยังคงวิ่งต่อไป ทำให้หมวดกบี่ ลั่นไกลยิงไปที่นายกล้า ที่กำลังวิ่งอยู่ โดยระยะห่างกว่า 50 เมตร แต่เป้าเคลื่อนที่ตลอด โดยไม่ทราบว่ายิงถูกหรือไม่ ก่อนที่นายกล้าจะกระโจนลงคลอง ผุดว่ายดำน้ำหายไป ส่วนสารวัตรเดชที่วิ่งตามมาก็สอบถามเอาความจากหมวดกบี่

“สารวัตรครับ ผมทำพลาด มันหนีไปได้ครับ ที่แท้มันก็คือนายกล้านั่นเอง”

“แสดงว่า มันคือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคราบเลือดในบ้านของคุณนายละเมียดแน่ๆ เพราะว่าเรายังพบถุงกระสอบที่มีคราบเลือด เศษชิ้นเนื้ออวัยวะมนุษย์ และเศษขนมกุฏีจีน ที่มาจากร้านเนื่องนวล ตกทิ้งอยู่จำนวนมาก”

“นี่แหละเป็นหลักฐานชิ้นดี ที่จะชี้ว่า นายกล้าคือคนที่ฆ่าหั่นศพ น.ส.หวาอย่างแน่นอนครับ รวมถึงรอยสักบนศพทั้ง 5 แห่งนั้นด้วยครับ”

“หมวดกบี่ กับจ่าจุ้ย พวกคุณเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งให้นิติเวช ทำการวิเคราะห์ด่วนเลยนะ ว่าเป็นชิ้นส่วนมาจากศพของ น.ส.หวาใช่หรือไม่ ถ้ามันตรงกัน แสดงว่า พวกมันลงมือฆาตกรรม น.ส.หวา กันที่บ้านของคุณนายละเมียด นี่แหละ และเอาชิ้นส่วนสำคัญที่มันหั่นออกเป็น 5 ชิ้น ไปฝังเอาไว้ในเตาอบทำขนม ในโรงครัวของร้านเนื่องนวลอีกที”

“นี่แสดงว่า พอมันหั่นศพเสร็จ ก็รีบเอาไปฝังไว้ที่เตาอบในโรงครัวร้านก่อน แล้วจึงวกกลับมาทำลายหลักฐาน เพราะคาดว่าตำรวจอาจไปมัวพะวงกันอยู่ที่ร้านเนื่องนวล แต่สายข่าวของเราเร็วกว่า จึงทำให้เราตามมันมาได้ทัน และเกือบจับกุมมันได้แล้ว แต่มันใช้ไหวพริบหนีรอดไปจนได้”

“มานี่สิ ดูนี่สิ คราบเลือด หยดตามพื้นหญ้า ไปจนถึงคลอง แสดงว่ามันถูกยิง จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะกระโจนลงคลองไป คงหนีไปได้ไม่ไกลหรอก รีบให้เจ้าหน้าที่ออกติดตามโดยเร็ว และให้สายตรวจทุกท้องที่ย่านแถบนี้ ไปตรวจสอบตามร้านขายยาในละแวกใกล้เคียงว่า มีใครต้องสงสัยมาซื้อยาเพื่อไปทำแผลหรือไม่ด้วย เราต้องตามจับตัวมันให้ได้ ก่อนที่มันจะไปฆ่าใครเพิ่มเติมอีก”
ที่ห้องประชุม กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนกลางพระนคร สารวัตรเดช ได้เรียกประชุมชุดทำคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าร่วมประชุมกว่า 20 นาย

“ตอนนี้เราได้ผลตรวจ ชันสูตรศพ และวิเคราะห์ชิ้นเนื้อ เศษอวัยวะมนุษย์ที่บ้านของคุณนายละเมียด เทียบกับ DNA ของเส้นผมของ น.ส.หวา ที่ตกหล่นอยู่ที่ร้านเนื่องนวล พบว่าตรงกัน เราจึงสรุปว่า มีการฆาตกรรม น.ส.หวา ที่บ้านของคุณนายละเมียดจริง โดยผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าน.ส.หวา มีทั้งนายกล้า และเพื่อนสาวของเธอทั้ง 4 คน ซึ่งตอนนี้ ทาง ต.ม. แจ้งมาว่าได้จับกุมตัวหญิงสาวคนหนึ่ง มีลักษณะใบหน้า และรูปพรรณสัณฐานคล้าย 1 ใน 4 เพื่อนสาวของ น.ส.หวา จึงได้จับกุมตัวมาสอบปากคำ ปรากฏว่าเธอยอมรับสารภาพ ว่าเป็น 1 ในเพื่อนสาวของ น.ส.หวาจริง ชื่อว่า น.ส.เอิ้น และให้การซัดทอดว่า ยังมีเพื่อนร่วมกันในขบวนการอีก 3 คน คือเปรียว แจ๋ และวสันต์ ซึ่งตอนนี้ตำรวจได้ตามรวบตัวได้หมดแล้ว ขณะกำลังหนีไปตามช่องทางธรรมชาติ ชายแดนที่แม่สอด ขณะเตรียมจะหลบหนีออกนอกประเทศ และผลจากการสอบปากคำของ จนท.ตำรวจในท้องที่ แม่สอด ได้แจ้งมาแล้วว่า ทั้งหมดยอมรับสารภาพว่าร่วมอยู่ในขบวนการเดียวกันจริง แต่ไม่ใช่ผู้ลงมือสังหารเหยื่อ ก็คือ น.ส.หวา แต่เป็นนายเกื้อ (ซึ่งก็คือนายกล้า ที่ปลอมแปลงบุคลิกและชื่อ เพื่ออำพรางตนตบตาตำรวจ) แต่พอให้ดูรูปและชี้ตัว ก็สามารถชีได้ตรงกันว่า เป็นนายกล้า ที่บงการและเป็นผู้ลงมือสังหารเหยื่อด้วยตนเอง โดยทั้ง 4 สาวยอมรับว่าเป็นเพื่อนสนิทของ น.ส.หวา และหลงผิดถูกนายกล้าหลอกให้เป็นสายส่งยาเสพติด แลกกับผลประโยชน์เงินก้อนโต แต่พอ น.ส.หวาล่วงรู้ถึงพฤติกรรมและแผนการของพวกตน ก็เตรียมจะไปแจ้งความกับตำรวจ จึงทำให้พวกตนไม่ทางเลือก ยอมทำตามนายกล้า ที่ขุ่ว่า หากไม่ร่วมกันสังหาร น.ส.หวา ก็จะทำให้พวกตนเดือดร้อนในที่สุด”

“สารวัตรครับ แล้วเราจะเชื่อถือพวกแก๊งค์ 4 สาวได้เหรอครับ ว่าไม่ได้มีส่วนร่วมกันฆาตกรรมน.ส.หวา”

“ตอนนี้มีนายผดุงศักดิ์อีกคน ที่มาให้ปากคำว่า ถูกนายกล้าหลอกเช่นกัน และทุกสิ่งเป็นนายเกื้อหรือก็คือนายกล้าที่ปลอมมาหลอกทุกคน ให้กระทำตามแผนการของตน เพื่อที่จะฆ่าเหยื่อก็คือ น.ส.หวา ดังนั้นเราจะกันทุกคนไว้เป็นพยาน ทั้งแก๊งค์ 4 สาว และนายผดุงศักดิ์ ส่วนมูลเหตุจูงใจที่ทำให้นายกล้าฆ่า น.ส.หวา คืออะไร ยังคงเป็นปริศนาอยู่ต่อไป”

จบคดี น.ส.ผวา (หรือน้องหวา)



เริ่มคดีนายธรรม (พลทหารธรรม นโลดม)

ที่บ้านของนายธรรม นโลดม นายกล้ากำลังนอนซมอยู่บนพื้นห้องนอนของบ้านนายธรรม เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงมา นายกล้าพอรู้สึกตัวตื่น ก็ผวาละเมอพูดอะไรออกมาด้วยความหวาดกลัว และพอลืมตาขึ้นมา ก็รู้สึกว่าสถานที่ ที่ตนเองมานอนอยู่นี้แปลกๆ ไม่คุ้นที่ และเหตุใดตนเองจึงมานอนสลบอยู่ที่แห่งนี้ได้

“ตื่นแล้วเหรอครับพี่ชาย ไม่ต้องกลัวนะ ที่นี่บ้านผมเอง ผมช่วยพี่ขึ้นมาจากคลองหน่ะ”

“แล้วนายเป็นใคร”

“ผมชื่อว่า นายธรรมครับ แล้วพี่ชายชื่อว่าอะไรเหรอครับ”

“ฉันชื่อแก้ว นายช่วยฉันไว้เหรอ ขอบคุณนายมากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่แก้ว แล้วพี่ ไปไงมาไง ถึงถูกยิงหล่ะจ๊ะ แล้วยังเกาะขอนไม้ลอยมาด้วย ฉันกำลังพายเรือกลับมาหายาย ก็มาเห็นพี่เข้า ก็เลยช่วยขึ้นมาบนบ้าน แล้วทำแผลให้หน่ะ”

“ฉันไปงานบุญที่วัดมา พอดีมันมีวัยรุ่นทะเลาะกัน ฉันโดนกระสุนปืนลูกหลงมา ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายตีกันอยู่ ฉันจึงตัดสินใจกระโดดลงคลอง แต่ฉันหมดแรงที่จะว่ายน้ำ ก็เลยเกาะขอนไม้ลอยมา”

“แล้วพี่จะไปหาหมอมั๊ยหล่ะจ๊ะ เดี๋ยวฉันพาไป”

“อ๋อ....ไม่ต้องหรอก แผลมันไม่ฉกรรจ์มากหรอก เดี๋ยวฉันรักษาเองได้”

“โอ้ว....ผมว่า มันฉกรรจ์มากนะ ถ้าไม่ไปหาหมอ ฉันเกรงว่าจะติดเชื้อได้นะ เชื่อฉันเถอะ”

“นายธรรม ขอบคุณนะที่นายหวังดี แต่ว่าฉันมีความรู้เรื่องแพทย์แผนโบราณหน่ะ เรื่องแค่นี้ฉันรักษาเองได้ ไม่ต้องห่วง ฉันรบกวนนายแค่ ซื้อยาฆ่าเชื้อ และก็พวกสำลี พลาสเตอร์ให้ฉันก็พอ แล้วฉันรักษาตัวซัก 2-3 วัน ฉันก็จะไปแล้ว ฉันไม่อยากรบกวนนายมากหรอก”

“เสียงใครหน่ะ.....มีคนมางั้นเหรอ”   นายธรรม ทำท่าจุ๊ปาก ต่อหน้านายเก่ง (หรือนายกล้า)

“อ๋อ.....ป้าอร ฉันเองหน่ะ”

“ไอ้ธรรมหรอกเหรอ แล้วแกคุยอยู่กับใครวะ เสียงพึมพำๆ ฉันได้ยินนะ ไม่ไช่คนหูหนวก”

“ป้า ฉันช่วยชีวิตพี่แก้วเอาไว้ เขาถูกยิงมา ก็เลยพยุงเข้ามาที่บ้านทำแผลหน่ะ”

“ใครวะ ชื่อแก้วเหรอ แกเป็นใครหน่ะ คนไม่รู้หัวนอนปลายตีน นี่มึงพามาบ้านได้ยังไงวะ ไอ้ธรรม”

“คือว่า....ป้า ฉันชื่อว่าแก้ว เป็นคนแถบพรานนกนี่เอง พอดีฉันไปงานบุญมาที่วัด พอดีมีวัยรุ่นมันตีกันที่วัด ฉันบังเอิญโดนกระสุนลูกหลง ระหว่างนั้น ฉันตกใจ จึงรีบกระโจนลงคลอง เพื่อเอาชีวิตรอด พอดีมาได้น้องธรรมช่วยไว้ ไม่งั้นฉันอาจเสียชีวิตไปแล้ว ต้องขอขอบคุณป้าอร กับน้องธรรม ที่ช่วยฉันไว้ ฉันขอพักรักษาอาการบาดเจ็บซัก 2-3 วันก็จะกลับแล้ว ไม่อยากรบกวนเลยจริงๆ นะป้าอร”

“อ๋อ....เป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็นึกว่าไอ้ธรรม มันไปพาเพื่อนกุ๊ยของมันมาบ้านอีกแล้ว ฉันเคยเตือนมันแล้วว่า อย่าไปคบกับไอ้พวกนักเลงหัวไม้ เดี๋ยวจะพลอยหาเรื่องมาใส่ตัว จะเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด นี่มันได้ไปเกณฑ์ทหาร ป้าก็แอบดีใจ จะได้หมดห่วงไปเปลาะหนึ่ง”

“ฮะ...น้องธรรม ต้องไปเกณฑ์ทหารเหรอครับ แล้ว....”

“จริงๆ ฉันจับได้ใบแดง ผลัด 1 แล้วตอนนี้ฝึกครบ 1 ปีแล้วด้วย พอดีฉันจบปริญญาหน่ะจ้ะ แต่พอดีห่วงป้าที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล จึงขอเจ้านาย ขอย้ายมาประจำกรมอู่ทหารเรือ เพื่อจะได้มาอยู่ใกล้ๆ บ้าน และจะแวะเวียนมาดูแล ปรนนิบัติป้าอรได้บ่อยๆ หน่ะจ้ะ”

“แล้ววันนี้...นายออกเวรมาเหรอ”

“พี่ ก็วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาให้ลากลับมาเยี่ยมครอบครัวได้ไงจ๊ะ”

“งั้นพรุ่งนี้ นายก็ต้องกลับเข้ากรมอู่แล้วสิ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ พี่แก้ว ป้าอรใจดี ท่านไม่ถือสาหรอก ก็ถือว่าพี่แก้วเป็นญาติอีกคนก็แล้วกัน หากขาดเหลืออะไรก็บอกป้าได้ แล้วเดี๋ยวฉันจะไปซื้อพวกยาและก็อะไรที่พี่อยากจะได้ ฉันจะซื้อหา จัดมาให้ไว้ ฉันจะกลับมาบ้านได้อีกทีก็อาทิตย์หน้านั่นแหละ”

“ขอบใจนายนะ นายธรรม ฉันจะไม่รบกวนอะไรอีก นอกจากรายการสั่งซื้อยาเหล่านั้น แต่ว่าปัญหาคือ กระเป๋าสตังค์ฉันมันหายไปแล้ว คงจมหายไปตอนตกคลองหน่ะ”

“อ๋อ...ไม่ต้องหรอก พี่แก้ว มาเป็นแขกบ้านฉัน ฉันก็ต้องจัดหาหยูกยาไว้ให้ ไม่ต้องห่วง ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เดี๋ยวฉันออกเอง”

“หน้าใหญ่ ใจโตนักนะ ทีกูเนี่ย เวลาเจ็บป่วย ไม่ยักขยันจะไปซื้อยาให้กูแบบนี้เลย”

“โถ่...ป้าอรจ๋า ธรรมก็ซื้อนะ แต่ถ้ายาบางอย่างมันมีอยู่แล้วที่บ้าน จะไปซื้อให้มันเสียตังค์ทำไมหล่ะป้า .....จะมาหาว่าฉัน ไม่ดูแลป้า ไม่ถูกนะ”

“เออๆๆ....กูขี้เกียจเถียงกับมึง เออ ไอ้เก่ง หากมึงต้องการอะไรก็บอกกูนะ เสื้อผ้า หมอนมุ้ง ของไอ้ธรรม หน่ะมีเหลือ เอาไปใส่ได้ มันไม่ว่าหรอก”

“ป้า เรื่องนั้น ฉันจัดการได้ ไม่ต้องห่วง”


ที่บ้านของ พ.ต.ท. สุนทรเทวา ขณะกำลังนั่งให้พะนอนิจ บีบนวดตัวอยู่ในห้องนอน

“นี่นิจ พี่มีเรื่องจะให้นิจ ช่วยวิเคราะห์คำเหล่านี้หน่อย มันสักอยู่บนตัวศพทุกรายที่นายกล้าฆ่า”

“ฮะ...ตกลงว่าฆาตกรต่อเนื่องคือนายกล้าเหรอค่ะ”

“ใช่แล้ว...วันก่อนเราเกือบจับนายกล้าได้แล้ว มันไปเก็บทำลายหลักฐานที่บ้านของคุณนายละเมียด พอหมวดกบี่ตามไปเจอ เกือบจะไล่จับมันทัน แต่มันวิ่งหนีกระโดดลงคอไปได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บถูกยิง”

“เป็นไปไม่ได้ ที่พี่กล้าจะทำเช่นนั้น”

"ฮะ...นี่นิจ รู้จักนายกล้างั้นเหรอ"

"ก็พี่กล้า เคยเป็นคนที่พ่อเก็บมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน แล้วฝากงานให้ทำ เป็นภารโรงของโรงเรียนค่ะ"

“มันเป็นไปแล้ว และนี่พี่ก็สงสัยว่าพ่อ (หมอปรีด์เปรม) จะมีส่วนรู้เห็นหรือบงการด้วย”

“เหตุใดพี่เดชถึงได้ปรักปรำคุณพ่อเช่นนี้คะ”

“ก็ยานอนหลับที่ใช้กับพระในกุฏิคณะ 11 ในคืนเกิดเหตุนำศพของสามเณรขวัญมาฝังเอาไว้ที่ใต้ฐานพระพุทธรูปในอุโบสถเก่าหลังเล็ก เป็นฝีมือนายกล้า แล้วพอพี่ตามสืบดูก็พบว่านายกล้าไม่ได้เบิกยานั้นเอง เป็นคุณพ่อที่เป็นคนเบิกให้นายกล้าเอามาใช้ แล้วนี่หมายความว่าอย่างไร วันพรุ่งนี้พี่จะขอไปเยี่ยมพ่อที่บ้านหน่อย และจะได้สอบถามพูดคุย กับคุณพ่อด้วย”

“คุณพ่อเป็นคนบงการอย่างนั้นเหรอ”


จากนั้น สารวัตรเดชพร้อมด้วย พะนอนิจ กับบุตรชายที่ชื่อ ด.ช.วินธัย ก็เดินทางไปเยี่ยมตา ก็คือหมอปรีด์เปรมที่บ้าน

“คุณพ่อสวัสดีค่ะ”

“เอาไปไงมาไงหล่ะ ถึงมาเยี่ยมพ่อได้ในวันนี้”

“พอดีหนอตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณพ่อ ประจวบกับพี่เดชมีเรื่องอยากจะสอบถามคุยกับคุณพ่อ ก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมคุณพ่อด้วยกัน”

“มีเรื่องจะคุยกับพ่องั้นเหรอ พ่อไม่มีอะไรจะคุยด้วยนี่”

“คุณพ่อครับ คุณพ่อเซ็นต์เบิกยาให้นายกล้า ไปทำอะไรหรือเปล่าครับ”

“เบิกยาอะไร ฉันจะไปเบิกยาให้มันทำไม .....นี่แกหมายความว่าอะไร”

“คุณพ่อเบิกยาสลบ ให้กล้า ไปลงมือวางยาสลล กับพระที่วัดประยูร เพื่ออะไรครับ”

“ยาสลบงั้นเหรอ แกคิดว่า....ไอ้กล้ามันเอาไปทำอะไรชั่วๆ ฉันต้องเกี่ยวข้องด้วยงั้นเหรอ มันมาขอให้ฉันเซ็นต์อนุมัติเบิกยา เพื่อไปไว้เป็นยาสามัญประจำโรงเรียน ฉันก็เลยเซ็นต์เบิกให้มัน จำเป็นด้วยเหรอ ที่ฉันต้องรู้เห็นกับการกระทำชั่วของมันด้วย”

“แต่คุณพ่อครับ ยาสลบ เป็นยาสามัญที่จำเป็นต้องมีในโรงเรียนประถมด้วยเหรอครับ”

“ก็ฉันบอกแล้ว ว่าฉันไม่รู้ มันจะเอาไปใช้ทำอะไร ก็เรื่องของมัน ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยเล่า นี่นายอย่ามากกล่าวหาฉันลอยๆ นะ อย่าคิดว่าเป็นตำรวจก็จะมาบังคับใช้กฎหมายได้ตามอำเภอใจนะ”

คุณพ่อครับ ถ้าท่านไม่ได้ทำ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องร้อนตัวเลยนี่ครับ......ถ้าอย่างนั้นผมกราบลาแล้วครับ”      “อย่างนั้น หนูก็กราบลาคุณพ่อด้วยเช่นกันค่ะ”

“นี่หน่ะเหรอ หนอ ที่บอกว่าตั้งใจจะมาเยี่ยมพ่อ”

“ไปลูกกลับบ้าน....”     “หนอ นี่พ่อยังไม่ได้อุ้มหลานเลยนะ”

“ไอ้สารวัตรเฮงซวย ไว้วันหนึ่ง กูจะต้องเอาลูกหนอของกู กลับมาอยู่กับกูให้ได้”


ที่กุฏิของพระมหาสุชีพ วันนี้สารวัตรเดช กับหมวดกบี่ มีโอกาสได้แวะไปกราบนมัสการเยี่ยม และถามไถ่ และบอกกล่าวความคืบหน้าของคดี

“กราบนมัสการ พระมหา วันนี้ผมกับกบี่ มาแจ้งความคืบหน้าของคดีครับ ตอนนี้พระมหาสฤษฏิ์ สามเณรโทน โดนจับสึก ออกมารับโทษในคดีแล้ว ส่วนนายเด่น กับนางปีย์ ถูกควบคุมตัวไปขึ้นศาลแล้วครับ ส่วนเรื่องเงินของทางวัด ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ ภายหลังจากที่คดีขึ้นสู่ศาล และมีการตัดสินแล้ว เงินที่อายัดไว้ในบัญชีของคนทั้ง 4 คน ก็จะถูกโอนคืนให้ทางวัดทุกบาททุกสตางค์ครับ”

“ต้องขอขอบใจ โยมตำรวจที่ติดตามและดำเนินการเรื่องคดีได้อย่างรวดเร็ว”

“แต่วันนี้ ไหนๆ ผมก็มาหาท่านแล้ว ผมจึงอยากเรียนสอบถามพระมหา ถึงคำปริศนารอยสัก ที่อยุ่บนศพของเหยื่อทั้ง 4 คน ว่า เราจะตีความว่าอย่างไรครับ

“ศพแรก เด็กหญิงแดง    ขี้ ไหล ฝน หมู ตก      เรียงคำใหม่เป็น  ฝนตกขี้หมูไหล
ศพที่ 2 สารเณรขวัญ   ไก่ ตาย จิก โอ่ง เด็ก   เรียงคำใหม่เป็น  ไก่จิกเด็กตาย (บนปาก)โอ่ง  
ศพที่ 3 นายยุติ (ลุงยุทธ)  ใด ได้ มา แต่ watch   เรียงคำใหม่เป็น  นาฬิกานี้ท่านได้แต่ใดมา หรืออาจแปลความได้อีกความหมายหนึ่งก็คือ  เฝ้าดู สิ่งนี้ ที่ท่านได้แต่ใดมา
ศพที่ 4 นางสาวผวา (น้องหวา)   ทิ้ง ไม่ เคย กัน เพื่อน   เรียงคำใหม่เป็น  เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน”

“อาตมาว่า ยากที่จะตีความว่า ฆาตกร ต้องการสื่อความหมายใด ให้กับผู้ใดทราบ เพราะคำแต่ละคำ เมื่อนำมาเรียงเป็นประโยคแล้ว มันเป็นทั้งสำนวนหรือภาษิตโบราณ หรือบางคำก็เป็นวลีสั้นๆหรือประโยคที่จับใจความไม่ได้ หากไม่มีบริบทมาล้อมรอบ บางทีอาจจะเป็นเพียงคำแสลง หรือประโยคบอกเล่า ที่ไม่ทราบที่มาที่ไป จึงยากที่จะตีความหมายได้  .....แต่สิ่งที่อาตมาอยากให้โยมตำรวจได้ดู และตั้งข้อสังเกตคือสิ่งนี้มากกว่า โยมตามอาตมามาทางนี้ก่อน....”  

หลังจากนั้นพระมหาสุชีพได้นำทางเดิน พาสารวัตรเดชและหมวดกบี่ ไปยังห้องพำนัก ภายในกุฏิของพระมหาสุชีพ พบว่ามีแผนที่ผืนใหญ่เขียนอยู่บนฝาผนัง เป็นภาพวาดผังเมือง หรือเค้าโครงแผนที่ของเกาะรัตนโกสินทร์ หรือพื้นที่โดยรอบพระนคร เชื่อมต่อฝั่งธนบุรี เป็นที่ตกตะลึง ตื่นตาของสารวัตรเดชกับหมวดกบี่เป็นอันมาก

“นี่มันแผนที่โดยรอบของพระนครนี่ครับ เหตุใด พระมหาจึงวาดขึ้นมาได้”

“อาตมาฟังความจาก เหตุการณ์ของคดี และสถานที่ที่เกิดเหตุของคดีทั้ง 4 คดีแล้ว จึงลองกำหนดจุด บนแผนผัง และวาดเป็นเค้าโครง ลงบนแผนที่โดยรอบของพระนคร พบว่า สถานที่เกิดเหตุของทั้ง 4 คดี อยู่ห่างกันเป็น 5 ทิศ คล้าย ดาว 5 แฉก แต่ละจุดเหตุการณ์ห่างกันในอัตราที่เท่าๆ กัน ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าวิเคราะห์ดีๆ อาตมาว่าฆาตกรมีเจตนาจงใจ กำหนดสถานที่ให้เหยื่อผู้ตาย ต้องตายบริเวณนั้นๆ แล้วสามารถวาดเส้นให้มาบรรจบกันได้ กลายเป็นรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า ลองขีดเส้นดูสิ โยมสารวัตร”


“คดีแรก ด.ญ.แดง เสียชีวิตที่ชุมชนวัดระฆัง ,คดีที่ 2 สามเณรขวัญ เสียชีวิตที่วัดประยูรฯ ,คดีที่ 3 นายยุติ (ลุงยุทธ)เสียชีวิตที่ตรอกมังกร เยาวราช ,คดีที่ 4 น.ส.ผวา (น้องหวา) เสียชีวิตที่ชุมชนวัดมหรรณพ ใกล้ พาณิชย์พระนคร” พอตรวจดูด้วยสายตาบนแผนที่ก็พบว่า “จริงๆ ด้วย แต่มันยังขาดอยู่อีกจุดหนึ่ง นั่นแสดงว่า....”

“แสดงว่าเหยื่อรายที่ 5 จะต้องเกิดบริเวณนี้ ก็คือแถบชุมชน วังเดิม ใกล้พรานนก”

“ถ้าอย่างนั้น เราน่าจะพอหาทางป้องกันเหยื่อรายที่ 5 ไว้ก่อนได้สิครับ”

“โยม.... แล้วโยมจะรู้ได้อย่างไรว่าใครจะเป็นเหยื่อเป้าหมาย ในเมื่อคนในชุมชนแถบนั้น มีกันเป็นร้อยๆ ครัวเรือน”


ที่บ้านสวนของป้าอรและนายธรรม แถบชุมชนวังเดิม นายกล้าภายหลังได้รับยาและอุปกรณ์ทำแผลจากนายธรรมที่ไปหาซื้อมาให้แล้ว ก็ปฐมพยาบาลตนเองจนสามารถลุกเดินเหิน และกินข้าวต้มได้แล้ว โดยมีนายธรรมคอยแวะเวียนมาเป็นเพื่อนเล่นหมากรุก โดยนายธรรมชวนให้นายธรรมเล่นหมารุกแก้เบื่อ เนื่องจากบริเวณบ้าน ไม่มีทีวีดู หรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้ ตกค่ำก็จะมืด ส่วนใหญ่คนในชุมชนจะนอนแต่หัวค่ำ เนื่องจากไฟของหมู่บ้าน ต้องพ่วงต่อมาจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านในละแวกนั้น ทำให้ต้องประหยัดไฟกันในชุมชน คนในบ้านจึงไม่มีกิจกรรมทำกันมากนัก ไม่จับกลุ่มพูดคุยกัน ก็จะออกไปเล่นเตะตระกร้อ หรือบ้างก็โขกหมากรุก หมากฮอตเล่นกัน

“พี่แก้ว เล่นเก่งสมชื่อเลยนะ ฉันแพ้พี่อีกตาแล้ว พี่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ฉันเลยเหรอ”

“ก็ถ้าฉันอ่อนข้อให้นาย นายก็จะไม่มีทางเล่นเก่งได้ ถือว่าฝีกปรือเอาค่าวิชาไป ตานี้นายแพ้แล้ว ก็ต้องกินเหล้าอีกกั๊กนึง นี่หมดไป 3 กั๊กแล้วนะ ไม่เหลือเอาไว้ให้ฉันหน่อยเลยเหรอ นายธรรม”

“ก็พี่เล่นไม่แพ้ฉันสักตาเลย กินแต่น้ำเปล่าอยู่นั่น”

พอเล่นกันไปจนดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว นายธรรมก็เมามาย จนนายแก้วต้องประคองให้ขึ้นไปนอนบนห้อง ส่วนป้าอร เมื่อได้ยินเสียงเอะอะ ของหลานชายที่เล่นหมากรุกเสียงดัง ก็เลยตื่นลงมาดู

“เอ้าไอ้ธรรม กับไอ้แก้ว เอ็งยังไม่นอนอีกเหรอ ใครหน่ะ......”

ป้าอร ประจันหน้ากับนางแก้ว โดยที่ตาของป้าอรมองไม่เห็น เนื่องจากสายตาฝ้าฟาง แต่มีสัมผัสพิเศษที่รู้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ไอ้ธรรมหลานชายของตนแน่ๆ อีกทั้งกลิ่นตัวก็จำได้ชัด

“แกคือไอ้แก้วใช่มั๊ย แกลงมาทำอะไร”

“ป้าหล่ะ ลงมาทำอะไร”

“แกอย่ามายอกย้อนกับฉัน ฉันก็ลงมาดูหน่ะสิ ว่าทำไมไอ้ธรรมถึงยังไม่นอน ดึกดื่นเทียงคืนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องไปเข้ากรมกองแต่เช้าแล้วมิใช่เหรอ”

“พอดี ไอ้ธรรมมันเล่นหมากรุกกับฉันแล้วแพ้ทุกตา มันเลยถูกทำโทษ กินเหล้าเข้าไป จนเมามายเล็กน้อย ฉันจึงพยุงมันไปเข้านอนแล้วหล่ะจ่ะป้า”

“มึงกับไอ้ธรรม เพิ่งรู้จักกันแค่ อาทิตย์เดียว ก็คุยกันถูกคอ ถึงขนาดกินเหล้าเมามายแล้วเหรอ กูรู้ว่าหลานของกูมันใสซื่อ แต่กูไม่ไว้ใจมึง มึงเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เอาหล่ะ ถ้ามึงดีกับหลานกู กูก็จะดีกับมึงเช่นกัน”

“ป้าอรครับ ผมรู้ว่าป้าอาจจะไม่ไว้ใจผม แต่ผมรับปากแล้วว่า ถ้าผมหายดี ผมก็จะกราบลา ขอบคุณที่ให้ข้าวให้น้ำ และให้ที่พักอาศัย ช่วยซื้อหยูกยารักษาผมครับ บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลือนเลย”

“เอาหล่ะ มึงไปนอนเถอะ เดี๋ยวกูก็จะขึ้นนอนเช่นกัน”  ป้าอรเดินขึ้นบันไดไปบนห้อง พอปิดประตูห้อง ก็ทอดถอนใจ และทำสีหน้าตื่นกลัวยิ่ง เพราะเหมือนได้กลิ่นไอของมัจจุราชที่สิงอยู่ในตัวของนายเก่ง ส่วนนายเก่ง พอมองเห็นป้าอรขึ้นห้องนอนไปแล้ว ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเฉย แววตาฉายแววดุดัน ภายในมือถือมีดสั้นกำแน่นไว้ แต่ไม่ได้ใช้


วันรุ่งขึ้นหลังเสร็จงาน พะนอนิจยังไม่กลับบ้าน มุ่งตรงไปที่บ้านของหมอปรีด์เปรม บิดาของตน เนื่องจากทราบจากเด็กรับใช้ที่บ้านของหมอปรีด์เปรม ว่าหมอมีธุระด่วนจึงต้องเดินทางไปที่ศิริราช พะนอนิจฉวยโอกาสที่หมอปรีด์เปรม ไม่อยู่บ้านจึงรีบเข้าไปค้นหาเอกสารอะไรบางอย่าง ซึ่งตรวจดูในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ก็ไม่พบ แต่เจอรูปถ่ายที่ หมอปรีด์เปรม ถ่ายรูปคู่กับโกตี๋ (บิดาของพะนอนิจ) และลุงน้ำฝน ซึ่งทั้ง 3 คน อดีตเป็นสหายสนิทกัน แต่ว่าพะนอนิจติดใจรูปของลุงน้ำฝน ที่เป็นอดีตนายตำรวจใหญ่ ที่ปรักปรำ และจับกุมโกตี๋ ในข้อหากบฏ เธอเก็บรูปนั้นไว้ แล้วรีบเดินทางออกจากบ้านของหมอปรีด์เปรมทันที และเดินทางต่อไปยังคลินิกของหมอปรีด์เปรม เพื่อจะไปค้นหาเอกสารนั้น เมื่อไปถึงคลินิกของหมอปรีด์เปรม เธอมีกุญแจสำรองที่เคยลักลอบทำไว้ เมื่อเปิดก็สามารถไขเข้าไปได้ เธอเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของหมอ เพื่อค้นหาเอกสารที่ต้องการ ปรากฏว่าเธอพบเอกสารนั้นแล้ว จึงดึงออกจากลิ้นชัก แต่นาทีนั้น หมอปรีด์เปรม ดันเสร็จธุระจากศิริราชเร็ว และมุ่งตรงมายังคลินิก พอเห็นประตูเปิดอยู่ จึงสงสัยว่าขโมยงัดเข้ามาหรือเปล่า แต่พอเปิดไฟเข้าไปถึงในห้องทำงานของตนก็พบว่าเป็น พะนอนิจ ลูกเลี้ยงของตนนั่นเอง

“หนอ นี่ลูกมาที่คลินิกพ่อทำไม”

“เอ่อ....หนู.....”

“ยังไง......พ่อถามว่า หนอมาคลินิกพ่อทำไม ตอบสิ”  หมอปรีด์เปรมกดดันจนพะนอนิจ เดินถอยหลังจนชิดกำแพง แต่พะนอนิจไม่ยอมตอบ”

“พ่อบอกว่า ลูกมาทำอะไรในห้องทำงานของพ่อ”  จากนั้นหมอปรีด์เปรม หยิบเอกสารจากมือของพะนอนิจมาได้ โดยรีบฉวยจากมือ จึงรู้ว่าที่แท้พะนอนิจ มาทำอะไรที่คลินิกของตน พะนอนิจฉวยจังหวะที่หมอปรีด์เปรมกำลังดูเอกสาร รีบผลักหมอปรีด์เปรมกระเด็นออกจากตัว แล้วรีบวิ่งหนีออกจากคลินิกให้เร็วที่สุด แต่เธอหนีไม่พ้น หมอปรีด์เปรมรีบคว้าเอวของพะนอนิจเอาไว้ เธอกรีดร้องเสียงหลง ในขณะที่หมอปรีด์เปรม เห็นเป็นจังหวะเหมาะ จึงคิดไม่ดีไม่ร้ายกับพะนอนิจอีกเหมือนเคย ตั้งใจจะข่มขืนพะนอนิจ ที่มาติดกับตนเองถึงที่ แต่แล้วยังไม่ทันที่หมอปรีด์เปรมจะทำอะไรไปมากกว่านี้ ท่อนไม้ก็กระแทกศีรษะของเขาจนล้มลงหมดสติ เป็นนายกล้าที่เข้ามาช่วยเหลือพะนอนิจเอาไว้ได้ทัน

“พี่กล้า ขอบคุณพี่มาก ที่มาทันเวลา ไม่เช่นนั้น มันข่มขืนหนูแน่ๆ”

“พี่บอกแล้วไงว่า คุณหนออย่าเพิ่งบุ่มบ่ามเข้าไปในคลินิกของคุณหมอ”

“แต่ว่า ถ้าไม่ลงมือวันนี้ ก็ไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้มันรู้แล้วนะ ว่าเราคิดจะทำอะไรกัน ต้องจัดการไอ้หมอปรีด์เปรมเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น มันต้องหาทางเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่เดชแน่ๆ”

“คุณหนอจะให้ทำอะไร”

“ทำอย่างไรก็ได้ ให้มันพูดอะไรไม่ได้”


จากนั้นเมื่อหมอปรีด์เปรมรู้สึกตัวตื่นขึ้น พบว่าตนเองถูกจับมัดมือไพร่หลังติดอยู่กับเก้าอี้ทำงานของตน ในขณะที่เผชิญหน้าอยู่กับพะนอนิจ โดยมีนายกล้าที่ยืนเคียงข้าง

“นี่เป็นแกหรอกเหรอ ไอ้กล้า กูมีบุญคุณกับมึง มึงกล้าทำร้ายกูงั้นเหรอ”

“บุญคุณงั้นเหรอ บุญคุณที่สามารถใช้คนอื่นเป็นทาสตัวเอง และใช้ลูกเลี้ยงมาเป็นนางบำเรองั้นเหรอ นี่หน่ะเหรอที่เรียกว่าบุญคุณ”

“หนอ นี่ลูกพูดอะไรหน่ะ พ่อรักลูกขนาดไหน ลูกก็รู้”

“มึงทำกับกูขนาดไหน กูยังไม่ได้คิดบัญชีแค้นมึง แต่วันนี้ มึงกำลังจะได้รับผลกรรมอันนั้น พี่กล้าลงมือเลย ยิงมันซะ”

“ฮะ หนอ หนอจะฆ่าพ่อเหรอ พ่อทำอะไรให้หล่ะ หรือว่าจะฆ่าปิดปากพ่อ” 

“พี่กล้า รออะไรอยู่ ลงมือเลยสิ”

“พี่ว่า ทำให้เป็นอัมพาตง่ายไป เราควรยิงเข้าตำแหน่งสำคัญ ที่ทำให้ท่านพูดไม่ได้ด้วย” จากนั้นกล้าใช้ปืนของหมอปรีด์เปรมเอง ยิงเข้าสู่ด้านข้างลำตัว ให้กระสุนวิ่งผ่านกระดกไขสันหลังไปตัดเส้นประสาทสำคัญที่ทำให้หมอปรีด์เปรม กลายเป็นอัมพาตและพูดไม่ได้ จากนั้นพะนอนิจ ทำทีเป็นโทร.แจ้งตำรวจ ให้มาช่วย โดยแจ้งต่อตำรวจว่า หมอปรีด์เปรม บิดาของตน ต้องการฆ่าตัวตาย โดยใช้ปืนยิงตนเองในห้องทำงานของคลินิก ตนเองมาพบเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบโทร.แจ้ง


วันรุ่งขึ้นสารวัตรเดช จึงมาเยี่ยมหมอปรีด์เปรมที่โรงพยาบาล พร้อมด้วยหมวดกบี่ หมอแล็บ และพะนอนิจกับเด็กชายวินธัย  

“เหตุใดพ่อจึงคิดฆ่าตัวตาย”

“ช่วงหลังๆ พ่อเครียด เป็นโรคซึมเศร้า และเคยเปรยๆ กับนิจว่า พ่อเบื่อ อยากตามไปอยู่กับแม่”

“คุณพ่อ ไม่น่าทำเช่นนี้เลย ถ้าผมเคยพูดจาให้ร้ายคุณพ่อ ก็ต้องขอโทษด้วยครับ”

“พี่เดช ขอนิจ อยู่คุยกับพ่อเป็นการส่วนตัวได้มั๊ยคะ”  จากนั้นสารวัตรเดช หมอแล็บ และหมวดกบี่ พร้อมด้วย ด.ช.วินธัย จึงเดินออกไปรอที่นอกห้องคนไข้  พะนอนิจเดินไปนั่งข้างเตียงคนไข้ มองดูหน้าของปรีด์เปรม ที่เวลานี้กลายเป็นคนไข้ติดเตียง ที่จมูกติดที่ช่วยหายใจ ท่อต่อออกซิเจน ส่วนสภาพร่างกายตั้งแต่ส่วนคอลงมากลายเป็นอัมพาต ส่วนใบหน้าก็ขยับไม่ได้ ต้องใส่เฝือกคอประคองศีรษะไว้ มีเพียงลูกตาที่กรอกไปมาได้เท่านั้น ไม่สามารถพูดอะไรตอบโต้ได้ แม้จะได้ยินเสียงทุกอย่าง

“แกคงไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ใช่มั๊ย ไอ้เปรม”

“แกเสือกทำกับฉัน แล้วก็ดันมารู้แผนการของฉัน ฉันก็เลยต้องจัดการกับแกก่อน”

“เอกสารนั่น คือรายชื่อคนไข้ของแก แต่มันเป็นรายชื่อเหยื่อของฉัน ที่มันจะไปอยู่ในมือของใครไม่ได้ นอกจากฉัน”


พะนอนิจ ในเวลานี้ ใบหน้าและแววตา แฝงแววดุร้าย คล้ายนางจิ้งจอกที่จ้องมองดูเหยื่อ ส่วนหมอปรีด์แปรมมองสีหน้าของลูกเลี้ยงตนด้วยความหวาดกลัว เศร้าใจ น้ำตาคลอไหลเอ่อออกมา ไม่คิดว่าเธอจะมีจิตใจโหดเหี้ยมดุร้าย ดูไป ไม่คล้าย ด.ญ.พะนอนิจ เมื่อครั้งที่ตนเองรับมาเลี้ยงไว้ภายในบ้านเลย


โปรดติดตามต่อใน EP. ต่อไป

ยังไม่จบคดีนายธรรม  เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนนี้ยาว มีเส้นเรื่องแทรก ปมของหมอปรีด์เปรม กับพะนอนิจ และนายกล้าเพิ่มเข้ามา





วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 4


กาเหว่าอึกทึก 


EP.4  คดีของนางสาวผวา (หรือน้องหวา)

ที่กองชันสูตรพลิกศพ นิติเวช กรมตำรวจ หมอแล็บแพนด้ากับสารวัตรเดช กำลังสนทนากันถึงศพของนายยุติ (หรือคุณลุงยุทธ)

“เป็นอย่างไรบ้าง ศพนี้ มีสาเหตุจากอะไร”

“ศพของผู้ตาย ถูกฟันและแทงหลายจุด แต่จุดที่น่าจะเป็นสาเหตุการตาย อยู่ที่บาดแผลตรงราวนม ถูกแทงเข้าที่จุดสำคัญ ซึ่งเป็นจุดตาย”

“จากคลิปที่มีผู้หวังดีส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตรวจดู พบว่า มันเป็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันมาตั้งแต่ต้นซอย โดยคุณลุงยุทธ ผู้ตายถูกกลุ่มเด็กวัยรุ่น 6 คน (จำเลย)แซว หาว่าเป็นชายพิการขาเป๋ ไม่เจียมตัว ทางคุณลุงยุทธก็โกรธที่เด็กกลุ่มนี้มาแซวตน จึงด่าทอกลับไป จนกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาท ชายพิการเห็นทีตนเองอาจจะถูกรุมทำร้าย จึงรีบขี่มอเตอร์ไซด์หนีกลับเข้าบ้าน กะว่าถ้าคู่กรณีตามมาถึงบ้าน ก็จะใช้มีดชาร์ปอันใหญ่ไล่ฟัน และก็เกิดเป็นจริง เมื่อ มอเตอร์ไซด์ของเด็กกลุ่มนี้ ไล่ตามมาถึงบ้าน 1 คัน มากัน 2 คน มาตะโกนด่าถึงหน้าบ้าน อ้างว่าถ้าไม่ออกมาขอโทษ จะยกพวกเข้าไปรุมกระทืบถึงในบ้าน แล้วโจ๋ 2 คนนี้ก็โทร.ไปตามพวกให้ตามมาอีก คุณลุงยุติ เห็นท่าไม่ดี กลัวว่าร้านทำขนมของตนจะได้รับผลกระทบ จึงยอมออกจากบ้านมาพูดคุยและกล่าวขอโทษเด็ก 2 คนนั้น แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน ระหว่างนั้น เพื่อนๆ ของ 2 โจ๋นั้นมาถึง ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าชายพิการจะทำร้ายเพื่อนตน เพราะเห็นถือดาบชาร์ปออกมา จึงได้ลงมือแทงกระซวกเข้าที่ลิ้นปี่ ใต้ราวนม จนลุงยุติ (ลุงยุทธ) ล้มลงกองกับพื้น แล้วลุงยุติก็ตอบโต้ด้วยการเอาดาบฟันเพื่อป้องกันตัว ก็เลยแก๊งค์วัยรุ่นโกรธ ที่โดนทำร้าย จึงรุมกันจ้วงแทง และฟันจนลุงยุทธสิ้นลมหายใจแน่นิ่งไป”

6 โจ๋เหล่านี้ อ้างว่าทำไปเพราะต้องการป้องกันตัว แต่ดูในคลิปแล้ว นายเอ จู่ๆ ตรงมาก็จ้วงแทงลุงยุทธโดยไม่ทันตั้งตัว อ้างว่านึกว่าลุงยุทธตั้งใจนำดาบมาทำร้ายเพื่อนของตน ทั้งๆ ที่การถือดาบเล่มนั้น เป็นเพียงการขู่ และเตรียมไว้ป้องกันตัว ลุงยุทธยังไม่ได้ทำร้ายฝ่ายโจ๋ก่อนเลย”

“พวกนี้อาจโดนข้อหาพยายามฆ่า ข้ออ้างที่ว่ากระทำไปเพราะป้องกันตัว ดูจากในคลิปแล้วไม่ใช่เลย”

“สารวัตรครับ มีเบาะแสเพิ่มเติมที่น่าสนใจครับ”

“เบาะแสอะไรเหรอ หมวดกบี่”

“มีพยานปากเอก อ้างว่าชื่อนายเต็ง จะมาขอให้ปากคำแก่ตำรวจ เรื่องคดีลุงยุทธครับ”

“ตอนนี้เขาอยู่ไหน”

“อยู่ที่ห้องสอบปากคำแล้วครับ”   “งั้นเราไปกัน......ขอบคุณหมอแล็บมากๆ ครับ ผมลาแล้วครับ”
พอมาถึงห้องสอบปากคำ ก็พบว่ามีชายหนุ่ม นามว่า นายเต็ง นั่งรออยู่ เพื่อให้ปากคำ

“นายเต็ง นายมีเบาะแสอะไร ที่จะบอกตำรวจงั้นเหรอ”

“คือว่าผมเป็น 1 ในกลุ่มเพื่อนของนายเอ 1 ใน 6 โจ๋ ที่รุมทำร้ายคุณลุงยุติ (หรือลุงยุทธ) คือว่าจริงๆ แล้ว ที่พวกเขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคุณลุงยุทธ ไม่ใช่เหตุบังเอิญครับ แต่เป็นความจงใจครับ พวกมันรับงานมาจากนายฮวดอีกทีครับ”

“หมายความว่าอย่างไรฮะ นายเต็ง”

“คือว่าเหตุมันเกิดจากลุงยุทธ แอบลักลอบได้เสียเป็นชุ้กับกิมท้อครับ ซึ่งกิมท้อคือเถ้าแก่เนี้ยลับๆ ของนายฮวด พอนายฮวดรู้ก็เลยลงโทษกิมท้อ ถูกจับไปกักขังไว้ และนายฮวดตั้งใจที่จะฆ่าลุงยุทธ แต่กิมท้อขอชีวิตเอาไว้ โดยเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยเหลือจนลุงยุทธหนีออกมาได้ แต่ว่านายฮวดไม่ยอมรามือ จึงสั่งให้ไอ้ลิ่ว ลูกน้องของตน ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ของวัยรุ่นขาโจ๋ประจำซอย โดยสั่งให้กลุ่มไอ้เอ ไปจัดการสร้างเรื่องยั่วยุให้ลุงยุทธโกรธ สร้างเรื่องทะเลาะวิวาท เพื่อจะได้ฉวยโอกาสลงมือฆ่าลุงยุทธแบบพลั้งมือ ไม่ได้เจตนา เวลาโดนจับกุมตัว ก็ให้อ้างเรื่องการป้องกันตัว ไม่ได้เจตนาฆ่า”

“จริงเหรอ เรื่องนี้เป็นแผนการของนายฮวดจริงๆ งั้นเหรอ แล้วนายเต็ง ทำไมถึงนำเรื่องนี้มาบอกตำรวจ ไม่กลัวพวกนายเอ จะคิดว่านายหักหลังพวกมันงั้นเหรอ”

“คือผมไปแอบได้ยินการสนทนากันของนายฮวด กับเฮียลิ่ว และเฮียลิ่วก็มาสั่งพวกไอ้เออีกที แต่ที่ผมยอมนำเรื่องนี้มาบอกต่อคุณตำรวจ ก็เพราะสงสารคุณลุงยุทธ ที่จะกลายเป็นเหยื่ออาฆาตของนายฮวดครับ คุณลุงยุทธเคยมีพระคุณกับผมครับ ผมเคยลำบากหาเงินไปซื้อยาให้แม่ที่ล้มป่วย แต่ตอนนั้นไม่มีเงินเลย จึงไปขอคุณลุงยุทธทำงานในร้านขนม คุณลุงแกเห็นใจก็เลยรับผมเข้าทำงาน โดยไม่ถามเลยว่าผมร้อนเงิน และอยากได้เงินไปทำอะไร และแกยอมให้ผมเบิกเงินล่วงหน้า 3 วันไปซื้อยาให้คุณแม่ผม จนคุณแม่ผมหายเป็นปกติ ผมจึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ถ้าครั้งนั้นคุณลุงยุทธแกไม่รับผมเข้าทำงานหรือให้ผมเบิกเงินล่วงหน้า แม่ผมก็อาจป่วยหนัก ไม่มีทางรักษาก็เป็นได้ พอผมเริ่มจบ ม.6 แล้ว แต่ไม่ได้ไปเรียนต่อ ผมก็ยังแวะเวียนไปช่วยงานที่ร้านขนมของคุณลุงยุทธบ้าง เป็นครั้งคราว ท่านก็ยังมีน้ำใจให้ขนมผมมากินที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ เรื่องนี้พวกไอ้เอ มันไม่เคยล่วงรู้หรอกครับว่าผมเคยเป็นลูกจ้างของคุณลุงยุทธมาก่อน”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะขอให้นายเต็งมาเป็นพยานฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ เราจะออกหมายเรียก นายฮวดมาสอบปากคำ รวมถึงหาหลักฐานให้ได้ว่า นางกิมท้อ ถูกจับไปกักขังทรมานจริงหรือไม่”
จากนั้นร้อยเวร ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล วิ่งเข้ามายังห้องสอบสวน แจ้งว่ามีแขกมาพบ

“สารวัตรครับ คุณนภา ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนสตรีวัดระฆัง หัวหน้างานของนายกล้ามาขอพบครับ”

“สวัสดีครับ ผอ.นภา”

“นี่ค่ะ น่าจะเป็นหลักฐานบางอย่างที่พอจะให้จะช่วยคุณตำรวจหาเบาะแสได้เพิ่มเติมนะคะ”

“นี่คืออะไรเหรอครับ คุณนภา”

“รายการเบิกจ่ายยา ของนายกล้า เพื่อเอามาใช้ในโรงเรียน”

“นี่มันภาษาอังกฤษหมดเลยนี่ครับ นายกล้า มีความรู้ขนาดอ่านภาษาอังกฤษออกเหรอครับ”

“ไม่ใช่คะ คนที่เขียนใบเบิกจ่าย ไม่ใช่นายกล้าค่ะ แต่เป็นคุณหมอค่ะ”

“ฮะ.....ไหนขอผมดูอีกทีสิครับ”  สารวัตรเดชเอาใบเบิกจ่ายจากมือคุณนภามาเปิดดูอีกครั้ง และดูด้านล่างขวา พบเป็นลายมือ และลงชือว่า หมอปรีด์เปรม เพลียธุระ ซึ่งก็คือพ่อตาของสารวัตรเดชเอง  จากนั้นหมวดกบี่ถือวิสาสะหยิบจากมือสารวัตรเดชไปดูบ้าง ก็เห็นเช่นกันว่าเป็นลายมือและลงชื่อโดย หมอปรีด์เปรม ส่วนหมวดแชน เห็นหมวดกบี่ ยืนตะลึงงัน จึงสงสัยว่าทำไมสารวัตรกับหมวดกบี่ งงอะไรกัน จึงหยิบใบเบิกยามาดูบ้าง ถึงกับอุทานออกมา “นี่มัน หมอปรีด์เปรม เป็นผู้เบิกจ่ายยานี่ครับ......แล้วท่านจะเบิกจ่ายยาสลบไปเพื่ออะไรกันครับ ในเมื่อในโรงเรียนก็มีแต่เด็กๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องมียาสลบไว้ใช้เลย น่าจะเป็นยาทาแผล ยาหม่องยาดม หรือยาแก้ปวดหัว ตัวร้อนมากกว่านะครับ”

“ฉันรู้แล้วว่าใคร คือคนวางยาสลบพระที่คณะ 11 แล้วลอบเข้าไปสักลายบนตัวศพ”

“ใครกันครับสารวัตร”

“ก็นายกล้าไงหล่ะ โดยที่หมอปรีด์เปรม น่าจะมีส่วนรู้เห็น หรือให้การช่วยเหลือนายกล้าอีกที”

“ฮะ....นี่คุณตำรวจ แน่ใจเหรอค่ะว่าเป็น นายกล้า ก็เมื่อกี๊ ดิฉันยังให้นายกล้าซ่อมโต๊ะทำงานดิฉันอยู่เลย”

“ดีครับ คุณนภา พาผมไปหานายกล้าหน่อยสิครับ”   พอนภาและสารวัตรเดช เดินไปถึงห้องทำงานของคุณครูนภา ก็ไม่พบนายกล้าอยู่ในตอนนี้แล้ว

“นี่ไงครับ....นายกล้ามันหนีไปแล้ว มันคงรู้ตัวแล้วว่า ตำรวจรู้แล้วว่าเป็นฝีมือมัน .....งั้นหมวดกบี่ติดประกาศ ออกหมายจับ นายกล้า ทันทีเลย เราต้องการตัวนายกล้ามาสอบปากคำ และป้องกันไม่ให้มันไปก่อคดีที่ 4 อีก ตอนนี้เรารู้แล้วว่า รอยสักบนศพล่าสุด ลุงยุทธ ก็คงเป็นฝีมือของมันด้วย”
ช่วงเย็น ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พระนคร สารวัตรเดชเรียกประชุมทีมทำงานกว่า 20 นาย วางแผนการว่าคืนนี้จะเข้าทำการปิดล้อมบ่อนนายฮวด ภายหลังสายสืบมารายงานว่า นางกิมท้อ ถูกกักขังไว้ในตึก 7 ชั้น ตึกใหม่เยาวราชจริง จึงจะมีการบุกเข้าไปช่วยเหลือ และจับกุมนายฮวด ในข้อหาผู้บงการสังหารนายยุติ (หรือลุงยุทธ) มูลเหตุจูงใจมาจากจำเลยแอบคบชู้กับกิมท้อ หญิงนางโลมในสังกัดของนายฮวด




คืนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกทลายบ่อน และสำนักโคมเขียว จับผู้ต้องหาคือนายฮวดและลูกน้องบริวารไว้ได้ทั้งหมด ในขณะที่ลูกค้าที่มาเที่ยวได้สอบปากคำแล้วปล่อยตัวไป ส่วนนางกิมท้อได้เป็นอิสระจากการเป็นทาสค้ากามให้แก่นายฮวดเสียที

จบคดีลุงยุติ (หรือลุงยุทธ) ตรอกมังกร เยาวราช



เริ่มคดีนางสาวผวา (หรือน้องหวา) 

ผดุงศักดิ์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของหลวงประพนธ์ธรรม ทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการ เป็นข้าราชการ ซี 4 เป็นคนไม่เอางานเอาการ มักเอาเวลาราชการไปเที่ยวเตร่ เล่นการพนัน เที่ยวซ่องโสเภณี และเป็นเสือผู้หญิงตัวยง พฤติกรรมสุดที่จะเอือมระอาของหลวงประพนธ์ธรรมมาก เพราะเวลามีเรื่องไปทะเลาะวิวาทกับใครก็จะพลอยถูกจับ แล้วพ่อต้องเอาตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเข้าไปรับรอง และเอาตัวลูกชายคนนี้ หวุดหวิดรอดคุกมาหลายหนแล้ว แต่คราวนี้โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ คราวเคราะห์กำลังจะมาตกกับใครที่พลอยต้องมาเกี่ยวข้องกับนายผดุงศักดิ์อีก




ผดุงศักดิ์แอบไปหลงรักแม่ค้าขายขนมอยู่แถบหน้าวัดมหรรณพ ซึ่งทำขนมกุฏีจีน เป็นที่เลื่องลือในพระนคร ขายดิบขายดีจนต้องต่อแถวซื้อ หรือบางครั้งขายดีจนของหมดก่อนที่จะถึงคิว ทำให้ผดุงศักดิ์มาเหมาซื้อในบางวัน ที่ไม่ต้องการให้ใครได้มีโอกาสมาใกล้ชิดกับ น.ส.หวา ที่ตนแอบชอบ และยังเป็นการซื้อใจล่วงหน้า เอาอกเอาใจ น้องหวา ไม่ให้ใครหน้าไหน คิดมาเป็นคู่แข่งหรือก้างขวางคอ แต่เหมือนจุดใต้ตอ เมื่อนายผดุงศักดิ์มีลูกพี่ลูกน้อง น้องชายที่เกิดจากเมียทาสของบิดาตน นามว่าพงศ์ศรี ก็มาแวะเวียนขายขนมจีบน้องหวาของตนเช่นกัน กลายเป็นศึก 2 พี่น้อง ที่รุมจีบผู้หญิงคนเดียวกัน จนถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งทั้ง 2 คนเคยชกกันต่อหน้าสาวมาแล้ว เพียงเพราะพงศ์ศรีพูดจาแดกดัน ยั่วยุให้ผดุงศักดิ์  “แน่จริงพี่ก็ให้คุณนายหญิงมาสู่ขอ น้องหวาไปเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเลยสิ”

“มึงก็รู้ว่า ท่านแม่ของกู ไม่มีทางที่จะยอมให้กูได้ลูกสะใภ้เป็นชาวบ้าน คนธรรมดาหรอก มีงไม่ต้องมายุกูเลย มึงมันขี้อิจฉา อยากจะได้แอ้มน้องหวาของกูหล่ะสิ ถ้ากูไม่ได้ มึงก็อย่าหมายจะได้แอ้มน้องหวาของกูหรอกเว้ย”

“แต่ฉันกับน้องหวา เราคบกันมาก่อน พี่เพิ่งมา และพี่ก็มีคู่หมั้นของพี่อยู่แล้ว จะมาแย่งของผมทำไม”

“ก็กูต้องการจะแย่งมึงไง อะไรที่มึงจะสมหวัง กูเห็นเป็นขวางหูขวางตากูยิ่งนัก ไอ้พงศ์ ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว มึงไสหัวไปเลยนะ อย่าให้กูเห็นมึงมาอี๋อ๋อกับแฟนกูอีก”

“แฟนเหรอ ถามน้องหวาเขาหรือยัง ว่าชอบใคร มาทีหลัง ยังมีหน้ามาตู่เป็นเจ้าของอีก”

“มึงว่าไงนะ หาว่ากูมาทีหลังมึง แล้วคิดจะแย่งมึงเหรอ”  จากนั้นผดุงศักดิ์ก็ปรี่เข้าไปชกหน้าพงศ์ศรี ส่วนพงศ์ศรีก็ไม่ยอม ก็ชกกลับเช่นกัน เลยกลายเป็นตะลุมบอน แต่ผดุงศักดิ์สติไม่สมประกอบ เวลาโมโห หรือของขึ้น จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เป็นโรคจิตอ่อนๆ เมื่อสู้ด้วยการชกมือเปล่าไม่ได้ จึงคว้าไม้หน้าสาม ตีไปทีศีรษะของพงศ์ศรีจนหัวแตก เลือดออกที่ศีรษะ และผดุงศักดิ์ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป รีบขย้ำเหยื่อต่อเนื่อง ด้วยการโหมเข้าไปตีรัวๆ ต่อพงศ์ศรีจนน่วม ดีที่ว่านายกล้าที่ปลอมตัวมาเป็นนายเกื้อ หลานของหมอปรีด์เปรม เข้ามาห้ามเอาไว้

“ผมขอเถอะครับ คุณผดุงศักดิ์ อย่าทำร้ายคุณพงศ์ศรีเลยครับ ปล่อยเธอไปเถอะ ยังไงคุณก็เป็นพี่น้องกัน”

“เฮ้ย....แกเป็นใครวะ รู้จักชื่อของฉันด้วย”

“โถ่เอ๊ย คุณผดุงศักดิ์ จำผมไม่ได้จริงๆ เหรอครับ ผมเกื้อไง เรารู้จักกันนานแล้วนะ”

“เกื้อไหนวะ กูไม่รู้จัก”

“ผมเกื้อ หลานของหมอปรีด์เปรมไง อาจารย์หมอที่รักษาคุณแม่ของคุณไง”

“ฮะ....อ๋อ คุณคือหลานของอาจารย์หมอปรีด์เปรม ที่ศิริราชเหรอ ฉันจำนายไม่ได้จริงๆ อ่ะ ....แล้วนายมาหาฉันเหรอ”

“ใช่แล้วครับ ผมมีธุรกิจจะคุยกับคุณผดุงศักดิ์ ผลประโยชน์งามมากๆ เลยนะครับ สนใจมั๊ย”

“ธุรกิจอะไร ไหนลองว่ามาซิ”

“ไม่ได้หรอกครับ คุณกันตรงนี้ มันล่อแหลม เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่าครับ”

“แล้วที่ไหนหล่ะ”

“วันนี้ ว่างมั๊ยครับ เดี๋ยวผมจะพาไป แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องธุรกิจนี้”

“อืมม์....ช่วงบ่ายฉันขอเข้าไปเซ็นต์ลากิจก่อน แล้วหลังจากนั้น ก็ฟรีเวย์ จะไปไหนหล่ะ”

“อยู่ชานเมืองซักหน่อยนะครับ คงต้องขับรถไป”


ที่บ้านร้างหลังหนึ่งชานเมืองกรุง แถบบางพลัด นายกล้าพาพดุงศักดิ์มาถึงบ้านร้างแห่งนี้ ซีงเป็นบ้านของนางละเมียดที่ให้หมอปรีด์เปรมเช่าไว้หลบภัย เวลาโดนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบตามมาทวงเงิน แต่หมอปรีด์เปรมไม่คิดไปอยู่ และโยนให้ลูกเลี้ยง คือ พะนอนิจ ไปอยู่แทน แต่พะนอนิจ ยังไม่อยากไป เรื่องนี้พะนอนิจจึงเอามาบอกนายกล้าว่า พ่อมีบ้านร้างที่คุณนายละเมียดอนุญาตให้เช่า แต่คุณพ่อยังไม่ยอมไปอยู่ นายกล้าจึงฉุกคิดเกิดไอเดียขึ้น จึงหวังใช้บ้านเช่าแห่งนี้เป็นสถานที่ทำธุรกิจกับนายผดุงศักดิ์แทน   

“นี่หน่ะเหรอบ้านนาย ดูใหญ่โตดีนี่”

“แล้วธุรกิจที่ว่าคืออะไร ทำไมต้องพามาถึงที่นี่ด้วย”

“ขนส่งยาบ้า กับยาไอซ์ล็อตใหญ่”

“ฮะ....ยาเสพติดงั้นเหรอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก นี่มันผิดกฎหมายนี่”

“คุณผดุงศักดิ์ คุณฟังก่อนนะ อย่าเพิ่งกลัว คุณไม่ต้องทำอะไรเลย นึกออกมั๊ย ผมไม่ได้ต้องการให้คุณเป็นคนไปส่งยา หรือรับยาเอง แต่คุณจะได้ผลประโยชน์ในฐานะคนชี้ช่อง”

“ยังไงนะ นายเกื้อ ฉันไม่เข้าใจ ถ้าฉันไม่ได้ทำอะไร จะได้เงินผลประโยชน์ด้วยเหรอ”

“ถูกต้อง...คุณทราบใช่มั๊ยว่า คุณหวา หรือน้องหวา ที่คุณตามจีบอยู่หน่ะ ที่บ้านเขา เขาอยู่กับบรรดาเพื่อนแม่ค้าของเขาอีก 3-4 คน พวกนี้แหละจะเป็นสายส่ง เด็กเดินยาให้กับเรา”

“เฮ้ย....ฉันไม่อยากให้น้องหวา เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับการค้าผิดกฎหมายนี้ ฉันกลัวเขาจะเดือดร้อน ไม่เอาดีกว่า”

“คุณผดุงศักดิ์  น้องหวาไม่มีทางรู้ ถ้าคุณไม่บอกเธอ และตอนนี้เพื่อนๆ ของน้องหวา รับปากกับผมแล้วว่าจะเอาด้วย กับธุรกิจนี้ เราจะดำเนินการกันเอง โดยที่น้องหวาเป็นคนเดียวที่จะไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้อะไรด้วย แล้วพองานเสร็จ เราก็แบ่งผลประโยชน์กัน”

“ทำไมต้องใช้พวกเพื่อนแม่ค้ามาเป็นเด็กส่งยาด้วย”

“ที่เราอาศัยพวกเขา เพราะมันง่ายต่อการส่งยา คิดดูนะพวกเขาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาดีทั้งหมด เป็นแม่ค้าทำขนม มันง่ายต่อการตบตาตำรวจ เวลาไปส่งของ ก็จะบอกกับตำรวจว่าลูกค้านัดให้ไปส่งขนม เราจะซุกซ่อนยาไว้ในกล่องขนม แล้วนัดลูกค้ามารับของที่บ้านของฉัน ส่งมอบของเสร็จรับเป็นเงินสดๆที่บ้านของฉัน”

“หากว่ามันตุกติกหล่ะ”  

“เราก็เก็บมันที่บ้านของฉัน ฝังมันไว้ที่ใต้ถุนบ้านนั่นแหละ นี่เป็นแผนการที่รัดกุม รอบคอบที่สุด”

“แล้วฉันทำหน้าที่อะไร”

“พอมีออเดอร์มา ฉันก็จะเตรียมแพ็คของ นายก็มีหน้าที่ไปสั่งขนมกับน้องหวา และส่งซิกบอกเพื่อนๆ น้องไว้ว่าให้ไปส่งขนมด้วยตามที่อยู่ของลูกค้า ก็คือบ้านของฉันไง ออเดอร์ล็อตแรกมาแล้ว เราจะส่งของกันวันพรุ่งนี้แล้ว”


เช้าวันรุ่งขึ้น ผดุงศักดิ์ก็ไปสั่งซื้อขนมตามที่ได้วางแผนกับเกื้อไว้ ว่าจะมีออเดอร์สั่งขนมให้ไปส่งที่บ้านลูกค้าคือคุณเกื้อ จำนวน 10 กล่อง จากนั้นกระบวนการก็คือ พอรับออเดอร์แล้ว น้องหวาก็รีบผลิตขนม โดยแจ้งต่อเพื่อนๆ ของเธอ ทั้งเปรียว แจ๋ เอิ้น วสันต์ (เป็นกระเทย) ให้เร่งผลิตขนม และให้ 2 ใน 4 คน เพื่อนของน้องหวาไปเป็นคนส่งขนมตามที่อยู่ลูกค้า

ระหว่างที่ เปรียว กับเอิ้น กำลังลำเลียงขนมขึ้นรถ ซึ่งจะไปแพ็คใส่กล่องกันอีกทีในรถบรรทุกส่งของ พอขึ้นรถบรรทุกด้านหลังซึ่งจะมีประตูปิด เปรียวกับเอิ้น ก็รีบเอายาเสพติดบรรจุลงในกล่องก่อน แล้วตามด้วยขนมปิดทับด้านบน จากนั้นแพ็คกล่องปิดสนิท ดูจากภายนอกที่เป็นช่องพลาสติกใส ก็จะเห็นว่าเป็นขนมทั้งกล่อง แต่ภายในบรรจุยาเสพติดเป็นยาบ้ากับไอซ์ พอบรรจุครบ 10 กล่องแล้ว เปรียวกับเอิ้นนั่งท้ายรถ ส่วนแจ๋เป็นคนขับรถ โดยมีคุณพยุงศักดิ์นั่งข้างๆ คอยบอกทางให้ในครั้งแรก จากนั้นรถก็มาถึงที่หมาย ก็คือบ้านเช่าที่นายเกื้อเช่าเอาไว้ กระบวนการส่งของมาถึง ผู้ซื้อที่เกื้อติดต่อไว้ก็มารับของ จ่ายเงินสดกันเสร็จจึงแยกย้าย นี่เป็นการส่งยาครั้งแรกที่ประสบผลสำเร็จ พยุงศักดิ์ได้รับเงินส่วนแบ่งไปทันที 300,000 บาท โดยไม่ต้องทำอะไร เขารู้สึกว่าธุรกิจนี้มันช่างทำกำไรได้มโหฬารยิ่งนักใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งวันงานก็เสร็จ ไม่ต้องเปลืองแรงมาก แถมรายได้ดีกว่านั่งทำงานในราชการทั้งปีเสียอีก  จากนั้นไม่นานเกื้อก็มีออเดอร์ล็อต 2 โทร.มาบอกให้เกื้อไปสั่งขนมตามเดิม ครั้งนี้ออเดอร์เยอะกว่าคราวที่แล้วถึง 3 เท่าตัว คือสั่งขนม 30 กล่อง ซึ่งน้องหวา เกรงว่าจะผลิตส่งให้ไม่ทัน จึงจำต้องปิดหน้าร้านทั้งวัน เพื่อเร่งทำของตามออเดอร์ของพยุงศักดิ์ก่อน โดยมีเพื่อนๆ ของเธอทั้ง 4 คนช่วยกันเร่งทำขนมให้เสร็จทัน เพราะลูกค้านัดให้ไปส่งตอนเที่ยงนี้แล้ว แต่ปรากฏว่าน้องหวาเกิดป่วยเป็นไข้ขึ้นมา เนื่องจากวันก่อนไปโดนฝน และพักผ่อนน้อย จึงอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำขนมได้ เปรียวจึงบอกให้หวาไปนอนพักเถิด พวกตนจะเร่งทำขนมให้เสร็จ ระหว่างที่หวานอนหลับไป เนื่องจากกินยาแก้ไข เธอเกิดปวดท้องเมนส์ขึ้นมา ก็เลยจะรีบลุกไปห้องน้ำ แต่บังเอิญเดินผ่านห้องเก็บของ เธอพบว่ามีขนมที่ผลิตเสร็จออกจากเตาแล้วจำนวนมาก วางจนเย็น แต่เหตุใดไม่ถูกนำไปบรรจุกล่องเพื่อจะไปส่งลูกค้า จึงเดินกะจะไปดูที่รถส่งของ เธอแอบเห็นเปรียว แจ๋ เอิ้น และวสันต์ (กระเทย) คุยกัน จึงรีบแอบอยู่มุมห้อง เพื่อฟังคำสนทนาของเพื่อนๆ

“เฮ้ย....หวามันไม่รู้หรอก รีบเอาบรรจุกล่องตอนนี้เลย ก่อนที่อีหวามันจะตื่นมา แล้วก็รีบเอาไปส่งให้ทัน ไม่งั้น เกิดลูกค้าไม่พอใจ ไม่จ่ายเงินขึ้นมา เราจะพลอยซวยไม่ได้ส่วนแบ่งไปด้วยนะมึง”

“เฮ้ย....แล้วถ้าหวามันตื่นมาเห็นขนมวางกองอยู่ แล้วไม่ได้เอาไปส่งนี่ มันไม่ถามเหรอวะ”

“มึงก็รีบเอาไปทิ้งซะให้หมดสิ หรือเอาไปแจกให้เด็กในโรงเรียนกินให้หมดก็สิ้นเรื่อง เดี๋ยวกูอยู่ทางนี้ จะรีบเคลียร์อุปกรณ์เก็บให้เรียบก่อนมันตื่นขึ้นมา เข้าใจ๊  รีบไปแพ็คของลงกล่องเลยมึง วันนี้เป็นคิวของมึงนะ อีวสันต์”


ภายในใจของหวาตอนนี้ เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่า เหตุใดลูกค้าสั่งขนม แต่ไม่ยอมเอาขนมไปบรรจุกล่อง แล้วเตรียมขึ้นรถ ถ้าไม่ใช่ว่าผลิตเกินออเดอร์ ก็ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่ เพราะเท่าที่ดู ขนมก็ไม่ได้เสีย หรือว่าชำรุด แตกหัก หรือเป็นขนมเสียแต่อย่างใด เพราะเธอก็ไม่เคยผลิตขนมขาย ที่มีออเดอร์สั่งเยอะขนาดนี้มาก่อน การผลิตเกินมากๆ แล้วต้องนำไปทิ้งหรือบริจาคให้เด็กนักเรียนกินฟรี มันก็ต้องเสียต้นทุนจำนวนมาก นี่มิใช่ความผิดพลาดของการคำนวณต้นทุนการผลิต ก็ต้องเป็นความสะเพร่าเลินเล่อของพวกเพื่อนๆ เธอเป็นแน่

“นี่พวกแก ทำไมเอาขนมไปบรรจุกล่อง ปล่อยวางไว้จนมันเย็นชืดหมดแล้วเนี่ย”

“เอ้า...หวาเพิ่งตื่นเหรอ พอดีว่าพวกเราเอาไปแพ็คลงกล่องเสร็จแล้วหล่ะ เดี๋ยววันนี้ อีแจ๋กับอีวสันต์จะเป็นคนไปส่งหน่ะ”

“แพ็คเสร็จแล้วเหรอ แล้วทำไมยังเหลือขนมเยอะบานเบอะขนาดนี้หล่ะ ผลิตเกินหรือไง”

“ใช่....คือว่า ลูกค้าสั่งแค่ 3 กล่อง แต่เราฟังผิดเป็น 30 กล่องหน่ะ ก็เลยผลิตเกินไปเยอะเลย”

“ฮะ...เป็นไปได้ไง ก็ฉันก็ได้ยินว่า 30 กล่องนี่ ฉันได้ยินกับหูฉันจริงๆ ตอนคุณผดุงศักดิ์บอกมาหน่ะ แกยังย้ำว่า ครั้งนี้จะสั่งเยอะกว่าคราวที่แล้ว ไม่ใช่เหรอ”

“หวา คือว่าคุณผดุงศักดิ์ แกฟังจากลูกค้ามาผิดเอง แกเพิ่งจะโทร.มาบอกเมื่อสักครู่นี้เอง จึงแก้ไขไม่ทันหน่ะ”

“ว๊า...ทำอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ย ถ้าเช่นนั้น ที่เหลือคุณผดุงศักดิ์ก็ต้องรับผิดชอบไปสิ ไม่เช่นนั้นเราขาดทุนเยอะนะเนี่ย มาฉันจะโทร.ไปถามคุณผดุงศักดิ์ให้รู้เรื่อง”

“หวา อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หน่อยเลย เหลือก็เก็บไว้กินเอง หรือไม่ก็เอาไปบริจาคเด็กนักเรียนกินบ้างก็ได้ นานๆ ที ไม่เห็นจะต้องเสียดายเลย เงินแค่นี้เล็กน้อยหน่ะ”

“ใช่สิ มันไม่ใช่เงินลงทุนของพวกแกนี่ แต่เป็นเงินของฉัน ฉันเป็นเจ้าของร้านนะ”

“ฮัลโหล....คุณผดุงศักดิ์ค่ะ เหตุใดคุณถึงสั่งออเดอร์เกินไปเยอะเลย แล้วที่เหลือคุณจะไม่รับผิดชอบเหรอค่ะ ก็ในเมื่อคุณเป็นคนฟังผิด และสั่งผิดหน่ะ”

“เดี๋ยวก่อนนะ  น้องหวา พี่เหรอสั่งผิด ก็พี่สั่งขนมเธอ 30 กล่องไง แล้วให้ไปส่งลูกค้าให้ทันเที่ยงนี้ ตกลงทำเสร็จหรือยังหล่ะ”

“เอ้า....ตกลงคุณสั่งถูกต้องแล้วเหรอค่ะ แล้วเหตุใด เปรียวกับเอิ้น มันบอกว่าจริงๆ แล้วลูกค้าสั่งแค่ 3 กล่อง มันบอกว่าคุณฟังผิดเอง ลูกค้าต้องการเพียงแค่ 3 กล่องเท่านั้น พวกมันเลยผลิตเกินเยอะแยะ ไม่ยอมเอาไปแพ็คลงกล่อง”

“ฮะ....นี่มันอะไรนะครับ งั้นผมขอสายเปรียวหรือเอิ้นหน่อยครับ”

“นี่เปรียว มึงเล่นอะไรของมึง หาว่ากูสั่งออเดอร์ผิดงั้นเหรอ กูสั่ง 30 กล่องหน่ะถูกแล้ว เพราะล็อตนี้ยามันเยอะ ต้องกระจายเป็นหลายๆ กล่อง เผื่อเจอด่านตำรวจมาตรวจ จะได้บอกว่ากำลังจะรีบไปส่งขนม นี่มึงขัดคำสั่งกูเหรอ ไปเลยนะ รีบเอาขนมลงกล่องโดยด่วน เพราะคนซื้อเขารออยู่ที่บ้านคุณเกื้อแล้วตอนนี้”  พอเปรียววางสายคุณผดุงศักดิ์เสร็จก็ต้องรีบมาแก้ตัวกับหวาใหม่

“เอิ่ม...คือหวา ฉันเข้าใจผิดเองแหละ ฉันนึกว่าแกสั่งคราวเดียว 30 กล่อง แต่ให้ไปส่งวันนี้แค่ 3 กล่องหน่ะ ฉันผิดเอง ฟังไม่เข้าใจเอง เฮ้ยพวกเรา รีบเอาขนมบรรจุกล่องเร็ว ลูกค้ารอให้ไปส่งอยู่”

“แล้วมันเย็นชืดหมดแล้ว ทำไมไม่ทำใหม่ให้ลูกค้าหล่ะ”

“ไม่ทันแล้วหวา ลูกค้าเดดไลน์ให้ไปส่งภายในเที่ยงนี้ ถ้ามัวมานั่งทำใหม่ก็เสร็จไม่ทันพอดี”

“งั้นฉันช่วยพวกแกแพ็คลงกล่อง”

“เฮ้ย...ไม่ต้อง ไปนอนพักเถิด แกป่วยขนาดนี้ พวกฉันทำเองได้ ไม่ต้องห่วง ไปนอนเถิดจะได้หายเร็วๆ”
ระหว่างที่ทั้ง 4 คนคือเปรียว แจ๋ เอิ้น และวสันต์ กำลังแพ็คยาเสพติดลงกล่อง แล้วแสร้งนำขนมโปะไปตรงส่วนบนของกล่อง เพื่ออำพรางว่าเป็นกล่องขนม เมื่อมองลอดจากช่องรูพลาสติกใส จะไม่มีทางรู้ว่าภายในบรรจุอะไร มีเพียงขนมปะหน้าให้เห็นว่าเป็นกล่องขนมเท่านั้น แต่หวาแอบแวบไปเปิดประตูรถด้านหน้าส่วนของคนขับ แล้วมองผ่านกระจกกั้นมายังด้านหลังรถ จึงเห็นว่าเพื่อนๆ ของเธอกำลังบรรจุยาเสพติดลงกล่องตอนล่าง แล้วโปะด้วยขนมตอนบน เพื่ออำพรางอะไรบางอย่าง เธอทำสีหน้าตกใจ และไม่คาดคิดว่าพวกเพื่อนๆ เธอกำลังริอาจทำสิ่งนี้ คือลักลอบขนยาเสพติด ระหว่างที่กำลังจะลงจากรถ เผลอสะดุดหกล้มลง ทำให้ด้านหลังรถได้ยินเสียง จึงอ้อมมาดู จึงรู้ว่าเป็นหวา ที่เพิ่งลงจากรถตอนหน้าส่วนของคนขับ นั่นแสดงว่าเธอได้เห็นเพื่อนๆ กำลังบรรจุยาเสพติดลงกล่องแล้วแน่ๆ

“เดี๋ยวก่อน หวา แกเห็นอะไร ทำไมต้องวิ่งด้วย เดี๋ยวก่อน หวาจะไปไหน? ....เฮ้ยเปรียว เอายังไงดีวะ อีหวา มันเห็นพวกเรากำลังบรรจุยาลงกล่องแล้ว”

“โถ่...อีบ้าเอ๊ยเสือกทำแผนกูแตกแล้ว รีบไปลากตัวมันมาขึ้นรถเดี๋ยวนี้ กูคิดว่ามันต้องไปโทรศัพท์บอกตำรวจแน่เลย”


ระหว่างที่หวากำลังจะไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอเพื่อโทร.บอกตำรวจ เอิ้นก็นำไม้หน้าสาม ตีเข้าที่ศีรษะของหวาจนสลบ แล้วประคองมาขึ้นรถ จากนั้นทุกคนก็ขับรถออกจากร้านไปยังที่หมาย ซี่งเป็นบ้านเช่าของเกื้อ จุดนัดพบที่ใช้เป็นสถานที่ส่งของกัน ภายหลังส่งของเสร็จ และผู้ซื้อกลับไปแล้ว ผดุงศักดิ์กับเกื้อกำลังเถียงกัน ว่าจะจัดการกับหวาอย่างไร ในเมื่อหวารู้แล้วว่า พวกตกำลังทำอะไรกัน

“ผดูงศักดิ์ ผมจะให้เงินคุณล็อตนี้เป็นเงินก้อนโต และเป็นครั้งสุดท้าย แลกกับการที่คุณต้องปิดปากเงียบ และกลับไป ไม่เช่นนั้น ผมจะให้การเป็นพยานร่วมกับหวา ว่าคุณมีส่วนร่วมในการค้ายาเสพติดในครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะต้องติดคุก และเสียประวัติอย่างแน่นอน”

“อย่านะ เกื้อ แกจะหักหลังฉันอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ ผมจะไม่หักหลังคุณ ถ้าคุณไม่ไปปากโป้งที่ไหน แล้วคุณต้องหยุดความสัมพันธ์กับน้องหวาทันที เพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าคุณเป็นตัวกลางค้ายาเสพติด หากคุณยังจะคบเธอ เธอไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ”

“แล้วแกจะให้ฉันทำอย่างไงดีหล่ะ”

“คุณกลับไปก่อน เดี๋ยวทางนี้ผมกลับแก๊งค์ 4 สาว เราจะคุยปรึกษาหาทางกันว่าจะทำอย่างไร นี่ผมกันคุณออกจากเรื่องนี้แล้วนะ คุณจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง หากเกินมีการฟ้องร้อง หรือติดตามคดีขึ้นมา ผมจะบอกว่าคุณไม่รู้ ไม่เห็นด้วย เชื่อผม! คุณผดุงศักดิ์ คุณกลับไปก่อน แล้วถ้าคุณทำตัวดี ผมจะรีบโอนเงินไปให้คุณทันที”    จากนั้นผดุงศักดิ์ก็รีบเดินทางออกจากบ้านเช่าของเกื้อไป
จากนั้นกล้าที่ปลอมมาเป็นเกื้อ ก็เรียก 4 สาวมาคุย (เปรียว,แจ๋,เอิ้น และวสันต์) พวกแกจะต้องจัดการหวา ให้เสร็จเรียบร้อยในวันนี้ ไม่เช่นนั้น ถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว หวามันโทร.ฟ้องตำรวจแน่ๆ ว่าพวกแกใช้สถานที่ร้านของมัน ทำการค้า ลักลอบขนยาเสพติด โดยใช้ขนมกุฏีจีนของร้านเธอมาตบตาเพื่อส่งมอบของให้กับลูกค้า

“ไม่นะ พี่กล้า ฉันฆ่าเพื่อนฉันไม่ได้นะ มันมีบุญคุณกับฉันจะตาย มันให้ข้าว ให้อาชีพ ให้ที่อยู่พวกฉันหน่ะ”

“ถ้าพวกแกไม่ฆ่ามัน พวกแกก็จะต้องตายอยู่ดี เพราะโทษยาเสพติด รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตเช่นกัน แล้วคิดเหรอว่า หวามันจะยอมใจอ่อน ปล่อยให้พวกแกลอยนวล ก็ถ้าหากผดุงศักดิ์มันเอาตัวรอด ไปฟ้องตำรวจขึ้นมา มันต้องให้หวา แฟนมันรอด กันไว้เป็นพยาน แล้วฟ้องว่าพวกแกนั่นแหละเป็นตัวการค้ายาเสพติด โดยอาศัยร้านของเธอ เป็นที่ลักลอบขนส่งยา แล้วถึงตอนนั้น มิตรภาพระหว่างพวกแก กับหวา จะมีทางที่หวามันจะช่วยแกได้เหรอ มันก็ต้องเชื่อและเลือกเอาผดุงศักดิ์แฟนของมันก่อน เพื่อให้หลุดพ้นจากคดีให้ได้ ดังนั้นถ้าพวกแกไม่ชิงลงมือก่อน สุดท้ายพวกแกนั่นแหละก็จะกลายเป็นแพะ หรือเป็นเหยื่อของไอ้ผดุงศักดิ์เอง โดยมีหวาเป็นพยานรู้เห็น เข้าใจหรือยังว่า ทำไมต้องจัดการกับหวา ไม่ให้รอดไปได้”


เปรียว เอิ้น แจ๋ กับวสันต์ หันมามองหน้ากัน แล้วร่ำไห้ เสียใจในการกระทำหลงผิดของตนเอง ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายได้ถึงเพียงนี้ พวกมันเข้าตาจน ถ้าไม่ชิงลงมือสังหารหวา ก็จะเป็นฝายถูกผดุงศักดิ์กับหวา เล่นงานพวกมันเสียเอง

ในเวลาต่อมาหวาจึงกลายเป็นศพ ถูกหั่นเป็นชิ้นส่วน หลายๆ ชิ้น เพื่อนำไปทิ้ง และฝังไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อทำลายศพ และหลักฐาน เพื่อไม่ให้ตำรวจตามหาศพเจอ และเพื่อไม่ให้สาวมาถึงพวกตนซึ่งเป็นฆาตกรได้


ที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนกลาง ขณะที่สารวัตรเดชกำลังนั่งดูแฟ้มคดีต่างๆ อยู่นั้นหมวดกบี่ ได้วิ่งเข้ามาเคาะประตูห้อง เพื่อมาตามสารวัตรเดชไปดูอะไรบางอย่าง

“สารวัตรครับ เราได้รับรายงานจากท้องที่เขตบางพลัดว่า มีเจ้าของบ้านชื่อคุณนายละเมียดมาแจ้งความว่า บ้านของตนเองถูกบุกรุกครับ วันก่อนท่านได้มาตรวจบ้าน เพื่อจะทำความสะอาดบ้าน แต่ปรากฏว่าภายในบ้านมีร่องรอยของคนบุกรุก มีเศพขนมกุฏีจีนตกหล่นอยู่เป็นจำนวนมาก และมีรอยเท้าของคนอยู่มากกว่า 1 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่จึงได้ทำการเก็บร่องรอยเท้า ลายนิ้วมือ จากพื้นบ้าน ที่เป็นบ้านไม้สักทั้งหลัง รวมถึงเศษขนมกุฏีจีน เพื่อนำไปตรวจดูครับ ว่าใช่ขนมจากร้านเนื่องนวลของ นางสาวผวา (หรือน้องหวา) หรือเปล่าครับ เพราะว่ามีการแจ้งความคนหายไว้ครับ ในท้องที่พระนครของเราเอง ว่านางสาวผวา (หรือน้องหวา) เจ้าของร้านขนมเนื่องนวล หายตัวไปเกิน 3 วันแล้วครับ รวมถึงเพื่อนๆ ลูกน้องในร้านด้วยครับ ไม่ปรากฏว่ามีใครหลงเหลืออยู่ที่ร้าน และร้านก็ปิดทำการมา 5 วันแล้วครับ ญาติๆ ของน้องหวาแจ้งว่า ตามปกติถ้าร้านปิด ก็จะมีการขึ้นป้ายบอกแก่ลูกค้าล่วงหน้า หรือหากมีธุระทางบ้าน หรือกับครอบครัว ทางครอบครัวก็จะต้องรู้ แต่นี่เธอไม่ได้ติดต่อบอกใครไว้ที่บ้านเลย เหมือนหายสาบสูญไปเฉยๆ โดยไม่ทราบว่าไปไหน”

“แล้วล่าสุดเธอติดต่อกับใครบ้าง เรียกมาสอบปากคำให้หมดทุกคน”

“ก็มีคุณผดุงศักดิ์ ข้าราชการ ซี 4 บุตรชายของหลวงประพนธ์ธรรมด้วยคนหนึ่ง เห็นคนแถวนั้นบอกว่ามาติดพันเจ้าของร้าน คล้ายๆ ว่ามาซื้อขนมบ่อยๆ ทำทีท่าว่าจะมาจีบครับ”
ซักพัก นายตำรวจร้อยเวรพื้นที่วิ่งหน้าตะเหลิดมาแต่ไกล วิ่งตรงมายังหมวดกบี่ที่กำลังยืนสนทนาอยู่กับสารวัตรเดชอยู่ในตอนนี้

“หมวดครับ สารวัตรครับ มีคนพบชิ้นศพของเหยื่อผู้ต้องสงสัยได้แล้วครับ คาดว่าเป็นศพของน.ส.หวา เจ้าของร้านเนื่องนวล ที่มีคนมาแจ้งความว่าหายตัวไปครับ”

“แล้วศพอยู่ไหน”

“อยู่ที่ร้านเนื่องนวลเองครับ”


จากนั้นสารวัตรเดชกับหมวดกบี่ ก็รีบเดินทางไปยังร้านเนื่องนวล เดินเข้าไปยังเตาอบขนมที่อยู่ในครัวหลังร้าน พอหมวดกบี่เปิดฝาหม้อเตาอบขนาดใหญ่ ก็ต้องผงะ! กับภาพที่เห็นตรงหน้า ซึ่งสภาพศพของ น.ส.หวาถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ประกอบกันอยู่ในเตาอบ และมีรอยสักอยู่ตามอวัยวะส่วนต่างๆ 5 ที่ด้วย”

“สารวัตรครับ เราเจอศพรอยสัก ศพที่ 4 แล้วครับ”

“รอยสักมีคำว่า  ทิ้ง ไม่ – เคย กัน เพื่อน” 



โปรดติดตามใน EP. ต่อไป

คดีที่ 4 คดีนางสาวผวา(หรือน้องหวา) ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจมาจาก คดีนางสาวเปรี้ยวกับพวกฆ่าหั่นศพนางสาวแอ๋ม ซึ่งเป็นคดีสะเทือนขวัญระดับประเทศ ในช่วงปีที่ผ่านมา