กาเหว่าอึกทึก
EP.4 คดีของนางสาวผวา (หรือน้องหวา)
ที่กองชันสูตรพลิกศพ
นิติเวช กรมตำรวจ หมอแล็บแพนด้ากับสารวัตรเดช กำลังสนทนากันถึงศพของนายยุติ
(หรือคุณลุงยุทธ)
“เป็นอย่างไรบ้าง ศพนี้
มีสาเหตุจากอะไร”
“ศพของผู้ตาย ถูกฟันและแทงหลายจุด
แต่จุดที่น่าจะเป็นสาเหตุการตาย อยู่ที่บาดแผลตรงราวนม ถูกแทงเข้าที่จุดสำคัญ
ซึ่งเป็นจุดตาย”
“จากคลิปที่มีผู้หวังดีส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตรวจดู
พบว่า มันเป็นเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันมาตั้งแต่ต้นซอย โดยคุณลุงยุทธ
ผู้ตายถูกกลุ่มเด็กวัยรุ่น 6 คน
(จำเลย)แซว หาว่าเป็นชายพิการขาเป๋ ไม่เจียมตัว
ทางคุณลุงยุทธก็โกรธที่เด็กกลุ่มนี้มาแซวตน จึงด่าทอกลับไป
จนกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาท ชายพิการเห็นทีตนเองอาจจะถูกรุมทำร้าย
จึงรีบขี่มอเตอร์ไซด์หนีกลับเข้าบ้าน กะว่าถ้าคู่กรณีตามมาถึงบ้าน
ก็จะใช้มีดชาร์ปอันใหญ่ไล่ฟัน และก็เกิดเป็นจริง เมื่อ มอเตอร์ไซด์ของเด็กกลุ่มนี้
ไล่ตามมาถึงบ้าน 1 คัน มากัน 2 คน
มาตะโกนด่าถึงหน้าบ้าน อ้างว่าถ้าไม่ออกมาขอโทษ จะยกพวกเข้าไปรุมกระทืบถึงในบ้าน
แล้วโจ๋ 2 คนนี้ก็โทร.ไปตามพวกให้ตามมาอีก คุณลุงยุติ
เห็นท่าไม่ดี กลัวว่าร้านทำขนมของตนจะได้รับผลกระทบ
จึงยอมออกจากบ้านมาพูดคุยและกล่าวขอโทษเด็ก 2 คนนั้น
แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน ระหว่างนั้น เพื่อนๆ ของ 2 โจ๋นั้นมาถึง
ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าชายพิการจะทำร้ายเพื่อนตน เพราะเห็นถือดาบชาร์ปออกมา
จึงได้ลงมือแทงกระซวกเข้าที่ลิ้นปี่ ใต้ราวนม จนลุงยุติ (ลุงยุทธ) ล้มลงกองกับพื้น
แล้วลุงยุติก็ตอบโต้ด้วยการเอาดาบฟันเพื่อป้องกันตัว ก็เลยแก๊งค์วัยรุ่นโกรธ
ที่โดนทำร้าย จึงรุมกันจ้วงแทง และฟันจนลุงยุทธสิ้นลมหายใจแน่นิ่งไป”
“6 โจ๋เหล่านี้
อ้างว่าทำไปเพราะต้องการป้องกันตัว แต่ดูในคลิปแล้ว นายเอ จู่ๆ ตรงมาก็จ้วงแทงลุงยุทธโดยไม่ทันตั้งตัว
อ้างว่านึกว่าลุงยุทธตั้งใจนำดาบมาทำร้ายเพื่อนของตน ทั้งๆ ที่การถือดาบเล่มนั้น
เป็นเพียงการขู่ และเตรียมไว้ป้องกันตัว ลุงยุทธยังไม่ได้ทำร้ายฝ่ายโจ๋ก่อนเลย”
“พวกนี้อาจโดนข้อหาพยายามฆ่า
ข้ออ้างที่ว่ากระทำไปเพราะป้องกันตัว ดูจากในคลิปแล้วไม่ใช่เลย”
“สารวัตรครับ
มีเบาะแสเพิ่มเติมที่น่าสนใจครับ”
“เบาะแสอะไรเหรอ
หมวดกบี่”
“มีพยานปากเอก อ้างว่าชื่อนายเต็ง
จะมาขอให้ปากคำแก่ตำรวจ เรื่องคดีลุงยุทธครับ”
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“อยู่ที่ห้องสอบปากคำแล้วครับ” “งั้นเราไปกัน......ขอบคุณหมอแล็บมากๆ ครับ
ผมลาแล้วครับ”
พอมาถึงห้องสอบปากคำ
ก็พบว่ามีชายหนุ่ม นามว่า นายเต็ง นั่งรออยู่ เพื่อให้ปากคำ
“นายเต็ง
นายมีเบาะแสอะไร ที่จะบอกตำรวจงั้นเหรอ”
“คือว่าผมเป็น 1 ในกลุ่มเพื่อนของนายเอ 1 ใน 6 โจ๋ ที่รุมทำร้ายคุณลุงยุติ (หรือลุงยุทธ)
คือว่าจริงๆ แล้ว ที่พวกเขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคุณลุงยุทธ
ไม่ใช่เหตุบังเอิญครับ แต่เป็นความจงใจครับ พวกมันรับงานมาจากนายฮวดอีกทีครับ”
“หมายความว่าอย่างไรฮะ
นายเต็ง”
“คือว่าเหตุมันเกิดจากลุงยุทธ
แอบลักลอบได้เสียเป็นชุ้กับกิมท้อครับ ซึ่งกิมท้อคือเถ้าแก่เนี้ยลับๆ ของนายฮวด
พอนายฮวดรู้ก็เลยลงโทษกิมท้อ ถูกจับไปกักขังไว้ และนายฮวดตั้งใจที่จะฆ่าลุงยุทธ
แต่กิมท้อขอชีวิตเอาไว้ โดยเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยเหลือจนลุงยุทธหนีออกมาได้
แต่ว่านายฮวดไม่ยอมรามือ จึงสั่งให้ไอ้ลิ่ว ลูกน้องของตน
ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ของวัยรุ่นขาโจ๋ประจำซอย โดยสั่งให้กลุ่มไอ้เอ
ไปจัดการสร้างเรื่องยั่วยุให้ลุงยุทธโกรธ สร้างเรื่องทะเลาะวิวาท
เพื่อจะได้ฉวยโอกาสลงมือฆ่าลุงยุทธแบบพลั้งมือ ไม่ได้เจตนา เวลาโดนจับกุมตัว
ก็ให้อ้างเรื่องการป้องกันตัว ไม่ได้เจตนาฆ่า”
“จริงเหรอ
เรื่องนี้เป็นแผนการของนายฮวดจริงๆ งั้นเหรอ แล้วนายเต็ง
ทำไมถึงนำเรื่องนี้มาบอกตำรวจ ไม่กลัวพวกนายเอ จะคิดว่านายหักหลังพวกมันงั้นเหรอ”
“คือผมไปแอบได้ยินการสนทนากันของนายฮวด
กับเฮียลิ่ว และเฮียลิ่วก็มาสั่งพวกไอ้เออีกที
แต่ที่ผมยอมนำเรื่องนี้มาบอกต่อคุณตำรวจ ก็เพราะสงสารคุณลุงยุทธ
ที่จะกลายเป็นเหยื่ออาฆาตของนายฮวดครับ คุณลุงยุทธเคยมีพระคุณกับผมครับ
ผมเคยลำบากหาเงินไปซื้อยาให้แม่ที่ล้มป่วย แต่ตอนนั้นไม่มีเงินเลย
จึงไปขอคุณลุงยุทธทำงานในร้านขนม คุณลุงแกเห็นใจก็เลยรับผมเข้าทำงาน
โดยไม่ถามเลยว่าผมร้อนเงิน และอยากได้เงินไปทำอะไร และแกยอมให้ผมเบิกเงินล่วงหน้า 3 วันไปซื้อยาให้คุณแม่ผม
จนคุณแม่ผมหายเป็นปกติ ผมจึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ
ถ้าครั้งนั้นคุณลุงยุทธแกไม่รับผมเข้าทำงานหรือให้ผมเบิกเงินล่วงหน้า
แม่ผมก็อาจป่วยหนัก ไม่มีทางรักษาก็เป็นได้ พอผมเริ่มจบ ม.6 แล้ว
แต่ไม่ได้ไปเรียนต่อ ผมก็ยังแวะเวียนไปช่วยงานที่ร้านขนมของคุณลุงยุทธบ้าง
เป็นครั้งคราว ท่านก็ยังมีน้ำใจให้ขนมผมมากินที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ
เรื่องนี้พวกไอ้เอ
มันไม่เคยล่วงรู้หรอกครับว่าผมเคยเป็นลูกจ้างของคุณลุงยุทธมาก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น
ฉันจะขอให้นายเต็งมาเป็นพยานฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ เราจะออกหมายเรียก นายฮวดมาสอบปากคำ
รวมถึงหาหลักฐานให้ได้ว่า นางกิมท้อ ถูกจับไปกักขังทรมานจริงหรือไม่”
จากนั้นร้อยเวร
ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล วิ่งเข้ามายังห้องสอบสวน แจ้งว่ามีแขกมาพบ
“สารวัตรครับ คุณนภา
ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนสตรีวัดระฆัง หัวหน้างานของนายกล้ามาขอพบครับ”
“สวัสดีครับ ผอ.นภา”
“นี่ค่ะ
น่าจะเป็นหลักฐานบางอย่างที่พอจะให้จะช่วยคุณตำรวจหาเบาะแสได้เพิ่มเติมนะคะ”
“นี่คืออะไรเหรอครับ
คุณนภา”
“รายการเบิกจ่ายยา ของนายกล้า เพื่อเอามาใช้ในโรงเรียน”
“นี่มันภาษาอังกฤษหมดเลยนี่ครับ นายกล้า
มีความรู้ขนาดอ่านภาษาอังกฤษออกเหรอครับ”
“ไม่ใช่คะ คนที่เขียนใบเบิกจ่าย ไม่ใช่นายกล้าค่ะ
แต่เป็นคุณหมอค่ะ”
“ฮะ.....ไหนขอผมดูอีกทีสิครับ”
สารวัตรเดชเอาใบเบิกจ่ายจากมือคุณนภามาเปิดดูอีกครั้ง และดูด้านล่างขวา
พบเป็นลายมือ และลงชือว่า หมอปรีด์เปรม เพลียธุระ
ซึ่งก็คือพ่อตาของสารวัตรเดชเอง
จากนั้นหมวดกบี่ถือวิสาสะหยิบจากมือสารวัตรเดชไปดูบ้าง
ก็เห็นเช่นกันว่าเป็นลายมือและลงชื่อโดย หมอปรีด์เปรม ส่วนหมวดแชน เห็นหมวดกบี่
ยืนตะลึงงัน จึงสงสัยว่าทำไมสารวัตรกับหมวดกบี่ งงอะไรกัน จึงหยิบใบเบิกยามาดูบ้าง
ถึงกับอุทานออกมา “นี่มัน หมอปรีด์เปรม เป็นผู้เบิกจ่ายยานี่ครับ......แล้วท่านจะเบิกจ่ายยาสลบไปเพื่ออะไรกันครับ
ในเมื่อในโรงเรียนก็มีแต่เด็กๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องมียาสลบไว้ใช้เลย
น่าจะเป็นยาทาแผล ยาหม่องยาดม หรือยาแก้ปวดหัว ตัวร้อนมากกว่านะครับ”
“ฉันรู้แล้วว่าใคร คือคนวางยาสลบพระที่คณะ 11 แล้วลอบเข้าไปสักลายบนตัวศพ”
“ใครกันครับสารวัตร”
“ก็นายกล้าไงหล่ะ โดยที่หมอปรีด์เปรม น่าจะมีส่วนรู้เห็น
หรือให้การช่วยเหลือนายกล้าอีกที”
“ฮะ....นี่คุณตำรวจ แน่ใจเหรอค่ะว่าเป็น นายกล้า ก็เมื่อกี๊
ดิฉันยังให้นายกล้าซ่อมโต๊ะทำงานดิฉันอยู่เลย”
“ดีครับ คุณนภา พาผมไปหานายกล้าหน่อยสิครับ” พอนภาและสารวัตรเดช
เดินไปถึงห้องทำงานของคุณครูนภา ก็ไม่พบนายกล้าอยู่ในตอนนี้แล้ว
“นี่ไงครับ....นายกล้ามันหนีไปแล้ว มันคงรู้ตัวแล้วว่า
ตำรวจรู้แล้วว่าเป็นฝีมือมัน .....งั้นหมวดกบี่ติดประกาศ ออกหมายจับ นายกล้า
ทันทีเลย เราต้องการตัวนายกล้ามาสอบปากคำ และป้องกันไม่ให้มันไปก่อคดีที่ 4 อีก ตอนนี้เรารู้แล้วว่า รอยสักบนศพล่าสุด
ลุงยุทธ ก็คงเป็นฝีมือของมันด้วย”
ช่วงเย็น ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พระนคร
สารวัตรเดชเรียกประชุมทีมทำงานกว่า 20 นาย วางแผนการว่าคืนนี้จะเข้าทำการปิดล้อมบ่อนนายฮวด
ภายหลังสายสืบมารายงานว่า นางกิมท้อ ถูกกักขังไว้ในตึก 7 ชั้น
ตึกใหม่เยาวราชจริง จึงจะมีการบุกเข้าไปช่วยเหลือ และจับกุมนายฮวด
ในข้อหาผู้บงการสังหารนายยุติ (หรือลุงยุทธ)
มูลเหตุจูงใจมาจากจำเลยแอบคบชู้กับกิมท้อ หญิงนางโลมในสังกัดของนายฮวด
คืนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกทลายบ่อน และสำนักโคมเขียว
จับผู้ต้องหาคือนายฮวดและลูกน้องบริวารไว้ได้ทั้งหมด
ในขณะที่ลูกค้าที่มาเที่ยวได้สอบปากคำแล้วปล่อยตัวไป ส่วนนางกิมท้อได้เป็นอิสระจากการเป็นทาสค้ากามให้แก่นายฮวดเสียที
จบคดีลุงยุติ (หรือลุงยุทธ) ตรอกมังกร เยาวราช
เริ่มคดีนางสาวผวา (หรือน้องหวา)
ผดุงศักดิ์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของหลวงประพนธ์ธรรม
ทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการ เป็นข้าราชการ ซี 4 เป็นคนไม่เอางานเอาการ มักเอาเวลาราชการไปเที่ยวเตร่ เล่นการพนัน
เที่ยวซ่องโสเภณี และเป็นเสือผู้หญิงตัวยง
พฤติกรรมสุดที่จะเอือมระอาของหลวงประพนธ์ธรรมมาก เพราะเวลามีเรื่องไปทะเลาะวิวาทกับใครก็จะพลอยถูกจับ
แล้วพ่อต้องเอาตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเข้าไปรับรอง และเอาตัวลูกชายคนนี้
หวุดหวิดรอดคุกมาหลายหนแล้ว แต่คราวนี้โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ
คราวเคราะห์กำลังจะมาตกกับใครที่พลอยต้องมาเกี่ยวข้องกับนายผดุงศักดิ์อีก
ผดุงศักดิ์แอบไปหลงรักแม่ค้าขายขนมอยู่แถบหน้าวัดมหรรณพ
ซึ่งทำขนมกุฏีจีน เป็นที่เลื่องลือในพระนคร ขายดิบขายดีจนต้องต่อแถวซื้อ
หรือบางครั้งขายดีจนของหมดก่อนที่จะถึงคิว ทำให้ผดุงศักดิ์มาเหมาซื้อในบางวัน
ที่ไม่ต้องการให้ใครได้มีโอกาสมาใกล้ชิดกับ น.ส.หวา ที่ตนแอบชอบ และยังเป็นการซื้อใจล่วงหน้า
เอาอกเอาใจ น้องหวา ไม่ให้ใครหน้าไหน คิดมาเป็นคู่แข่งหรือก้างขวางคอ
แต่เหมือนจุดใต้ตอ เมื่อนายผดุงศักดิ์มีลูกพี่ลูกน้อง
น้องชายที่เกิดจากเมียทาสของบิดาตน นามว่าพงศ์ศรี
ก็มาแวะเวียนขายขนมจีบน้องหวาของตนเช่นกัน กลายเป็นศึก 2 พี่น้อง ที่รุมจีบผู้หญิงคนเดียวกัน
จนถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งทั้ง 2 คนเคยชกกันต่อหน้าสาวมาแล้ว
เพียงเพราะพงศ์ศรีพูดจาแดกดัน ยั่วยุให้ผดุงศักดิ์ “แน่จริงพี่ก็ให้คุณนายหญิงมาสู่ขอ
น้องหวาไปเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเลยสิ”
“มึงก็รู้ว่า ท่านแม่ของกู ไม่มีทางที่จะยอมให้กูได้ลูกสะใภ้เป็นชาวบ้าน
คนธรรมดาหรอก มีงไม่ต้องมายุกูเลย มึงมันขี้อิจฉา อยากจะได้แอ้มน้องหวาของกูหล่ะสิ
ถ้ากูไม่ได้ มึงก็อย่าหมายจะได้แอ้มน้องหวาของกูหรอกเว้ย”
“แต่ฉันกับน้องหวา เราคบกันมาก่อน พี่เพิ่งมา
และพี่ก็มีคู่หมั้นของพี่อยู่แล้ว จะมาแย่งของผมทำไม”
“ก็กูต้องการจะแย่งมึงไง อะไรที่มึงจะสมหวัง
กูเห็นเป็นขวางหูขวางตากูยิ่งนัก ไอ้พงศ์ ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว มึงไสหัวไปเลยนะ
อย่าให้กูเห็นมึงมาอี๋อ๋อกับแฟนกูอีก”
“แฟนเหรอ ถามน้องหวาเขาหรือยัง ว่าชอบใคร มาทีหลัง
ยังมีหน้ามาตู่เป็นเจ้าของอีก”
“มึงว่าไงนะ หาว่ากูมาทีหลังมึง แล้วคิดจะแย่งมึงเหรอ” จากนั้นผดุงศักดิ์ก็ปรี่เข้าไปชกหน้าพงศ์ศรี
ส่วนพงศ์ศรีก็ไม่ยอม ก็ชกกลับเช่นกัน เลยกลายเป็นตะลุมบอน
แต่ผดุงศักดิ์สติไม่สมประกอบ เวลาโมโห หรือของขึ้น จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เป็นโรคจิตอ่อนๆ
เมื่อสู้ด้วยการชกมือเปล่าไม่ได้ จึงคว้าไม้หน้าสาม ตีไปทีศีรษะของพงศ์ศรีจนหัวแตก
เลือดออกที่ศีรษะ และผดุงศักดิ์ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป รีบขย้ำเหยื่อต่อเนื่อง
ด้วยการโหมเข้าไปตีรัวๆ ต่อพงศ์ศรีจนน่วม ดีที่ว่านายกล้าที่ปลอมตัวมาเป็นนายเกื้อ
หลานของหมอปรีด์เปรม เข้ามาห้ามเอาไว้
“ผมขอเถอะครับ คุณผดุงศักดิ์ อย่าทำร้ายคุณพงศ์ศรีเลยครับ
ปล่อยเธอไปเถอะ ยังไงคุณก็เป็นพี่น้องกัน”
“เฮ้ย....แกเป็นใครวะ รู้จักชื่อของฉันด้วย”
“โถ่เอ๊ย คุณผดุงศักดิ์ จำผมไม่ได้จริงๆ เหรอครับ ผมเกื้อไง
เรารู้จักกันนานแล้วนะ”
“เกื้อไหนวะ กูไม่รู้จัก”
“ผมเกื้อ หลานของหมอปรีด์เปรมไง
อาจารย์หมอที่รักษาคุณแม่ของคุณไง”
“ฮะ....อ๋อ คุณคือหลานของอาจารย์หมอปรีด์เปรม
ที่ศิริราชเหรอ ฉันจำนายไม่ได้จริงๆ อ่ะ ....แล้วนายมาหาฉันเหรอ”
“ใช่แล้วครับ ผมมีธุรกิจจะคุยกับคุณผดุงศักดิ์
ผลประโยชน์งามมากๆ เลยนะครับ สนใจมั๊ย”
“ธุรกิจอะไร ไหนลองว่ามาซิ”
“ไม่ได้หรอกครับ คุณกันตรงนี้ มันล่อแหลม เราไปหาที่เงียบๆ
คุยกันดีกว่าครับ”
“แล้วที่ไหนหล่ะ”
“วันนี้ ว่างมั๊ยครับ เดี๋ยวผมจะพาไป
แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องธุรกิจนี้”
“อืมม์....ช่วงบ่ายฉันขอเข้าไปเซ็นต์ลากิจก่อน
แล้วหลังจากนั้น ก็ฟรีเวย์ จะไปไหนหล่ะ”
“อยู่ชานเมืองซักหน่อยนะครับ คงต้องขับรถไป”
ที่บ้านร้างหลังหนึ่งชานเมืองกรุง แถบบางพลัด
นายกล้าพาพดุงศักดิ์มาถึงบ้านร้างแห่งนี้
ซีงเป็นบ้านของนางละเมียดที่ให้หมอปรีด์เปรมเช่าไว้หลบภัย
เวลาโดนเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบตามมาทวงเงิน แต่หมอปรีด์เปรมไม่คิดไปอยู่
และโยนให้ลูกเลี้ยง คือ พะนอนิจ ไปอยู่แทน แต่พะนอนิจ ยังไม่อยากไป
เรื่องนี้พะนอนิจจึงเอามาบอกนายกล้าว่า
พ่อมีบ้านร้างที่คุณนายละเมียดอนุญาตให้เช่า แต่คุณพ่อยังไม่ยอมไปอยู่
นายกล้าจึงฉุกคิดเกิดไอเดียขึ้น จึงหวังใช้บ้านเช่าแห่งนี้เป็นสถานที่ทำธุรกิจกับนายผดุงศักดิ์แทน
“นี่หน่ะเหรอบ้านนาย ดูใหญ่โตดีนี่”
“แล้วธุรกิจที่ว่าคืออะไร ทำไมต้องพามาถึงที่นี่ด้วย”
“ขนส่งยาบ้า กับยาไอซ์ล็อตใหญ่”
“ฮะ....ยาเสพติดงั้นเหรอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก
นี่มันผิดกฎหมายนี่”
“คุณผดุงศักดิ์ คุณฟังก่อนนะ อย่าเพิ่งกลัว
คุณไม่ต้องทำอะไรเลย นึกออกมั๊ย ผมไม่ได้ต้องการให้คุณเป็นคนไปส่งยา หรือรับยาเอง
แต่คุณจะได้ผลประโยชน์ในฐานะคนชี้ช่อง”
“ยังไงนะ นายเกื้อ ฉันไม่เข้าใจ ถ้าฉันไม่ได้ทำอะไร
จะได้เงินผลประโยชน์ด้วยเหรอ”
“ถูกต้อง...คุณทราบใช่มั๊ยว่า คุณหวา หรือน้องหวา ที่คุณตามจีบอยู่หน่ะ
ที่บ้านเขา เขาอยู่กับบรรดาเพื่อนแม่ค้าของเขาอีก 3-4 คน พวกนี้แหละจะเป็นสายส่ง เด็กเดินยาให้กับเรา”
“เฮ้ย....ฉันไม่อยากให้น้องหวา เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับการค้าผิดกฎหมายนี้
ฉันกลัวเขาจะเดือดร้อน ไม่เอาดีกว่า”
“คุณผดุงศักดิ์ น้องหวาไม่มีทางรู้
ถ้าคุณไม่บอกเธอ และตอนนี้เพื่อนๆ ของน้องหวา รับปากกับผมแล้วว่าจะเอาด้วย
กับธุรกิจนี้ เราจะดำเนินการกันเอง โดยที่น้องหวาเป็นคนเดียวที่จะไม่เกี่ยวข้อง
ไม่รู้อะไรด้วย แล้วพองานเสร็จ เราก็แบ่งผลประโยชน์กัน”
“ทำไมต้องใช้พวกเพื่อนแม่ค้ามาเป็นเด็กส่งยาด้วย”
“ที่เราอาศัยพวกเขา เพราะมันง่ายต่อการส่งยา
คิดดูนะพวกเขาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาดีทั้งหมด เป็นแม่ค้าทำขนม
มันง่ายต่อการตบตาตำรวจ เวลาไปส่งของ ก็จะบอกกับตำรวจว่าลูกค้านัดให้ไปส่งขนม
เราจะซุกซ่อนยาไว้ในกล่องขนม แล้วนัดลูกค้ามารับของที่บ้านของฉัน
ส่งมอบของเสร็จรับเป็นเงินสดๆที่บ้านของฉัน”
“หากว่ามันตุกติกหล่ะ”
“เราก็เก็บมันที่บ้านของฉัน ฝังมันไว้ที่ใต้ถุนบ้านนั่นแหละ
นี่เป็นแผนการที่รัดกุม รอบคอบที่สุด”
“แล้วฉันทำหน้าที่อะไร”
“พอมีออเดอร์มา ฉันก็จะเตรียมแพ็คของ นายก็มีหน้าที่ไปสั่งขนมกับน้องหวา
และส่งซิกบอกเพื่อนๆ น้องไว้ว่าให้ไปส่งขนมด้วยตามที่อยู่ของลูกค้า
ก็คือบ้านของฉันไง ออเดอร์ล็อตแรกมาแล้ว เราจะส่งของกันวันพรุ่งนี้แล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น ผดุงศักดิ์ก็ไปสั่งซื้อขนมตามที่ได้วางแผนกับเกื้อไว้
ว่าจะมีออเดอร์สั่งขนมให้ไปส่งที่บ้านลูกค้าคือคุณเกื้อ จำนวน 10 กล่อง จากนั้นกระบวนการก็คือ
พอรับออเดอร์แล้ว น้องหวาก็รีบผลิตขนม โดยแจ้งต่อเพื่อนๆ ของเธอ ทั้งเปรียว แจ๋
เอิ้น วสันต์ (เป็นกระเทย) ให้เร่งผลิตขนม และให้ 2 ใน 4
คน เพื่อนของน้องหวาไปเป็นคนส่งขนมตามที่อยู่ลูกค้า
ระหว่างที่ เปรียว กับเอิ้น กำลังลำเลียงขนมขึ้นรถ
ซึ่งจะไปแพ็คใส่กล่องกันอีกทีในรถบรรทุกส่งของ พอขึ้นรถบรรทุกด้านหลังซึ่งจะมีประตูปิด
เปรียวกับเอิ้น ก็รีบเอายาเสพติดบรรจุลงในกล่องก่อน แล้วตามด้วยขนมปิดทับด้านบน
จากนั้นแพ็คกล่องปิดสนิท ดูจากภายนอกที่เป็นช่องพลาสติกใส
ก็จะเห็นว่าเป็นขนมทั้งกล่อง แต่ภายในบรรจุยาเสพติดเป็นยาบ้ากับไอซ์ พอบรรจุครบ 10 กล่องแล้ว เปรียวกับเอิ้นนั่งท้ายรถ ส่วนแจ๋เป็นคนขับรถ
โดยมีคุณพยุงศักดิ์นั่งข้างๆ คอยบอกทางให้ในครั้งแรก จากนั้นรถก็มาถึงที่หมาย
ก็คือบ้านเช่าที่นายเกื้อเช่าเอาไว้ กระบวนการส่งของมาถึง
ผู้ซื้อที่เกื้อติดต่อไว้ก็มารับของ จ่ายเงินสดกันเสร็จจึงแยกย้าย
นี่เป็นการส่งยาครั้งแรกที่ประสบผลสำเร็จ พยุงศักดิ์ได้รับเงินส่วนแบ่งไปทันที 300,000
บาท โดยไม่ต้องทำอะไร เขารู้สึกว่าธุรกิจนี้มันช่างทำกำไรได้มโหฬารยิ่งนักใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งวันงานก็เสร็จ
ไม่ต้องเปลืองแรงมาก แถมรายได้ดีกว่านั่งทำงานในราชการทั้งปีเสียอีก จากนั้นไม่นานเกื้อก็มีออเดอร์ล็อต 2 โทร.มาบอกให้เกื้อไปสั่งขนมตามเดิม ครั้งนี้ออเดอร์เยอะกว่าคราวที่แล้วถึง
3 เท่าตัว คือสั่งขนม 30 กล่อง
ซึ่งน้องหวา เกรงว่าจะผลิตส่งให้ไม่ทัน จึงจำต้องปิดหน้าร้านทั้งวัน
เพื่อเร่งทำของตามออเดอร์ของพยุงศักดิ์ก่อน โดยมีเพื่อนๆ ของเธอทั้ง 4 คนช่วยกันเร่งทำขนมให้เสร็จทัน เพราะลูกค้านัดให้ไปส่งตอนเที่ยงนี้แล้ว
แต่ปรากฏว่าน้องหวาเกิดป่วยเป็นไข้ขึ้นมา เนื่องจากวันก่อนไปโดนฝน และพักผ่อนน้อย
จึงอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำขนมได้ เปรียวจึงบอกให้หวาไปนอนพักเถิด
พวกตนจะเร่งทำขนมให้เสร็จ ระหว่างที่หวานอนหลับไป เนื่องจากกินยาแก้ไข
เธอเกิดปวดท้องเมนส์ขึ้นมา ก็เลยจะรีบลุกไปห้องน้ำ แต่บังเอิญเดินผ่านห้องเก็บของ
เธอพบว่ามีขนมที่ผลิตเสร็จออกจากเตาแล้วจำนวนมาก วางจนเย็น แต่เหตุใดไม่ถูกนำไปบรรจุกล่องเพื่อจะไปส่งลูกค้า
จึงเดินกะจะไปดูที่รถส่งของ เธอแอบเห็นเปรียว แจ๋ เอิ้น และวสันต์ (กระเทย) คุยกัน
จึงรีบแอบอยู่มุมห้อง เพื่อฟังคำสนทนาของเพื่อนๆ
“เฮ้ย....หวามันไม่รู้หรอก รีบเอาบรรจุกล่องตอนนี้เลย ก่อนที่อีหวามันจะตื่นมา
แล้วก็รีบเอาไปส่งให้ทัน ไม่งั้น เกิดลูกค้าไม่พอใจ ไม่จ่ายเงินขึ้นมา เราจะพลอยซวยไม่ได้ส่วนแบ่งไปด้วยนะมึง”
“เฮ้ย....แล้วถ้าหวามันตื่นมาเห็นขนมวางกองอยู่ แล้วไม่ได้เอาไปส่งนี่
มันไม่ถามเหรอวะ”
“มึงก็รีบเอาไปทิ้งซะให้หมดสิ
หรือเอาไปแจกให้เด็กในโรงเรียนกินให้หมดก็สิ้นเรื่อง เดี๋ยวกูอยู่ทางนี้
จะรีบเคลียร์อุปกรณ์เก็บให้เรียบก่อนมันตื่นขึ้นมา เข้าใจ๊ รีบไปแพ็คของลงกล่องเลยมึง
วันนี้เป็นคิวของมึงนะ อีวสันต์”
ภายในใจของหวาตอนนี้ เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่า เหตุใดลูกค้าสั่งขนม
แต่ไม่ยอมเอาขนมไปบรรจุกล่อง แล้วเตรียมขึ้นรถ ถ้าไม่ใช่ว่าผลิตเกินออเดอร์
ก็ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่ เพราะเท่าที่ดู ขนมก็ไม่ได้เสีย หรือว่าชำรุด แตกหัก
หรือเป็นขนมเสียแต่อย่างใด เพราะเธอก็ไม่เคยผลิตขนมขาย
ที่มีออเดอร์สั่งเยอะขนาดนี้มาก่อน การผลิตเกินมากๆ
แล้วต้องนำไปทิ้งหรือบริจาคให้เด็กนักเรียนกินฟรี มันก็ต้องเสียต้นทุนจำนวนมาก
นี่มิใช่ความผิดพลาดของการคำนวณต้นทุนการผลิต ก็ต้องเป็นความสะเพร่าเลินเล่อของพวกเพื่อนๆ
เธอเป็นแน่
“นี่พวกแก ทำไมเอาขนมไปบรรจุกล่อง ปล่อยวางไว้จนมันเย็นชืดหมดแล้วเนี่ย”
“เอ้า...หวาเพิ่งตื่นเหรอ พอดีว่าพวกเราเอาไปแพ็คลงกล่องเสร็จแล้วหล่ะ
เดี๋ยววันนี้ อีแจ๋กับอีวสันต์จะเป็นคนไปส่งหน่ะ”
“แพ็คเสร็จแล้วเหรอ แล้วทำไมยังเหลือขนมเยอะบานเบอะขนาดนี้หล่ะ ผลิตเกินหรือไง”
“ใช่....คือว่า ลูกค้าสั่งแค่ 3 กล่อง แต่เราฟังผิดเป็น 30 กล่องหน่ะ
ก็เลยผลิตเกินไปเยอะเลย”
“ฮะ...เป็นไปได้ไง ก็ฉันก็ได้ยินว่า 30 กล่องนี่ ฉันได้ยินกับหูฉันจริงๆ ตอนคุณผดุงศักดิ์บอกมาหน่ะ แกยังย้ำว่า
ครั้งนี้จะสั่งเยอะกว่าคราวที่แล้ว ไม่ใช่เหรอ”
“หวา คือว่าคุณผดุงศักดิ์ แกฟังจากลูกค้ามาผิดเอง แกเพิ่งจะโทร.มาบอกเมื่อสักครู่นี้เอง
จึงแก้ไขไม่ทันหน่ะ”
“ว๊า...ทำอย่างนี้ได้ยังไงเนี่ย ถ้าเช่นนั้น
ที่เหลือคุณผดุงศักดิ์ก็ต้องรับผิดชอบไปสิ ไม่เช่นนั้นเราขาดทุนเยอะนะเนี่ย
มาฉันจะโทร.ไปถามคุณผดุงศักดิ์ให้รู้เรื่อง”
“หวา อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หน่อยเลย เหลือก็เก็บไว้กินเอง
หรือไม่ก็เอาไปบริจาคเด็กนักเรียนกินบ้างก็ได้ นานๆ ที ไม่เห็นจะต้องเสียดายเลย
เงินแค่นี้เล็กน้อยหน่ะ”
“ใช่สิ มันไม่ใช่เงินลงทุนของพวกแกนี่ แต่เป็นเงินของฉัน ฉันเป็นเจ้าของร้านนะ”
“ฮัลโหล....คุณผดุงศักดิ์ค่ะ เหตุใดคุณถึงสั่งออเดอร์เกินไปเยอะเลย
แล้วที่เหลือคุณจะไม่รับผิดชอบเหรอค่ะ ก็ในเมื่อคุณเป็นคนฟังผิด และสั่งผิดหน่ะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ น้องหวา พี่เหรอสั่งผิด
ก็พี่สั่งขนมเธอ 30 กล่องไง
แล้วให้ไปส่งลูกค้าให้ทันเที่ยงนี้ ตกลงทำเสร็จหรือยังหล่ะ”
“เอ้า....ตกลงคุณสั่งถูกต้องแล้วเหรอค่ะ แล้วเหตุใด เปรียวกับเอิ้น
มันบอกว่าจริงๆ แล้วลูกค้าสั่งแค่ 3 กล่อง มันบอกว่าคุณฟังผิดเอง ลูกค้าต้องการเพียงแค่ 3 กล่องเท่านั้น พวกมันเลยผลิตเกินเยอะแยะ ไม่ยอมเอาไปแพ็คลงกล่อง”
“ฮะ....นี่มันอะไรนะครับ งั้นผมขอสายเปรียวหรือเอิ้นหน่อยครับ”
“นี่เปรียว มึงเล่นอะไรของมึง หาว่ากูสั่งออเดอร์ผิดงั้นเหรอ กูสั่ง 30 กล่องหน่ะถูกแล้ว เพราะล็อตนี้ยามันเยอะ
ต้องกระจายเป็นหลายๆ กล่อง เผื่อเจอด่านตำรวจมาตรวจ จะได้บอกว่ากำลังจะรีบไปส่งขนม
นี่มึงขัดคำสั่งกูเหรอ ไปเลยนะ รีบเอาขนมลงกล่องโดยด่วน
เพราะคนซื้อเขารออยู่ที่บ้านคุณเกื้อแล้วตอนนี้”
พอเปรียววางสายคุณผดุงศักดิ์เสร็จก็ต้องรีบมาแก้ตัวกับหวาใหม่
“เอิ่ม...คือหวา ฉันเข้าใจผิดเองแหละ ฉันนึกว่าแกสั่งคราวเดียว 30 กล่อง แต่ให้ไปส่งวันนี้แค่ 3 กล่องหน่ะ ฉันผิดเอง ฟังไม่เข้าใจเอง เฮ้ยพวกเรา รีบเอาขนมบรรจุกล่องเร็ว
ลูกค้ารอให้ไปส่งอยู่”
“แล้วมันเย็นชืดหมดแล้ว ทำไมไม่ทำใหม่ให้ลูกค้าหล่ะ”
“ไม่ทันแล้วหวา ลูกค้าเดดไลน์ให้ไปส่งภายในเที่ยงนี้
ถ้ามัวมานั่งทำใหม่ก็เสร็จไม่ทันพอดี”
“งั้นฉันช่วยพวกแกแพ็คลงกล่อง”
“เฮ้ย...ไม่ต้อง ไปนอนพักเถิด แกป่วยขนาดนี้ พวกฉันทำเองได้ ไม่ต้องห่วง
ไปนอนเถิดจะได้หายเร็วๆ”
ระหว่างที่ทั้ง 4 คนคือเปรียว
แจ๋ เอิ้น และวสันต์ กำลังแพ็คยาเสพติดลงกล่อง
แล้วแสร้งนำขนมโปะไปตรงส่วนบนของกล่อง เพื่ออำพรางว่าเป็นกล่องขนม
เมื่อมองลอดจากช่องรูพลาสติกใส จะไม่มีทางรู้ว่าภายในบรรจุอะไร
มีเพียงขนมปะหน้าให้เห็นว่าเป็นกล่องขนมเท่านั้น
แต่หวาแอบแวบไปเปิดประตูรถด้านหน้าส่วนของคนขับ
แล้วมองผ่านกระจกกั้นมายังด้านหลังรถ จึงเห็นว่าเพื่อนๆ
ของเธอกำลังบรรจุยาเสพติดลงกล่องตอนล่าง แล้วโปะด้วยขนมตอนบน
เพื่ออำพรางอะไรบางอย่าง เธอทำสีหน้าตกใจ และไม่คาดคิดว่าพวกเพื่อนๆ
เธอกำลังริอาจทำสิ่งนี้ คือลักลอบขนยาเสพติด ระหว่างที่กำลังจะลงจากรถ
เผลอสะดุดหกล้มลง ทำให้ด้านหลังรถได้ยินเสียง จึงอ้อมมาดู จึงรู้ว่าเป็นหวา
ที่เพิ่งลงจากรถตอนหน้าส่วนของคนขับ นั่นแสดงว่าเธอได้เห็นเพื่อนๆ
กำลังบรรจุยาเสพติดลงกล่องแล้วแน่ๆ
“เดี๋ยวก่อน หวา แกเห็นอะไร ทำไมต้องวิ่งด้วย เดี๋ยวก่อน หวาจะไปไหน? ....เฮ้ยเปรียว เอายังไงดีวะ อีหวา
มันเห็นพวกเรากำลังบรรจุยาลงกล่องแล้ว”
“โถ่...อีบ้าเอ๊ยเสือกทำแผนกูแตกแล้ว รีบไปลากตัวมันมาขึ้นรถเดี๋ยวนี้
กูคิดว่ามันต้องไปโทรศัพท์บอกตำรวจแน่เลย”
ระหว่างที่หวากำลังจะไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอเพื่อโทร.บอกตำรวจ
เอิ้นก็นำไม้หน้าสาม ตีเข้าที่ศีรษะของหวาจนสลบ แล้วประคองมาขึ้นรถ
จากนั้นทุกคนก็ขับรถออกจากร้านไปยังที่หมาย ซี่งเป็นบ้านเช่าของเกื้อ
จุดนัดพบที่ใช้เป็นสถานที่ส่งของกัน ภายหลังส่งของเสร็จ และผู้ซื้อกลับไปแล้ว
ผดุงศักดิ์กับเกื้อกำลังเถียงกัน ว่าจะจัดการกับหวาอย่างไร ในเมื่อหวารู้แล้วว่า
พวกตกำลังทำอะไรกัน
“ผดูงศักดิ์ ผมจะให้เงินคุณล็อตนี้เป็นเงินก้อนโต และเป็นครั้งสุดท้าย
แลกกับการที่คุณต้องปิดปากเงียบ และกลับไป ไม่เช่นนั้น
ผมจะให้การเป็นพยานร่วมกับหวา ว่าคุณมีส่วนร่วมในการค้ายาเสพติดในครั้งนี้
แล้วคุณอาจจะต้องติดคุก และเสียประวัติอย่างแน่นอน”
“อย่านะ เกื้อ แกจะหักหลังฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ผมจะไม่หักหลังคุณ ถ้าคุณไม่ไปปากโป้งที่ไหน
แล้วคุณต้องหยุดความสัมพันธ์กับน้องหวาทันที
เพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าคุณเป็นตัวกลางค้ายาเสพติด หากคุณยังจะคบเธอ
เธอไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ”
“แล้วแกจะให้ฉันทำอย่างไงดีหล่ะ”
“คุณกลับไปก่อน เดี๋ยวทางนี้ผมกลับแก๊งค์ 4 สาว เราจะคุยปรึกษาหาทางกันว่าจะทำอย่างไร
นี่ผมกันคุณออกจากเรื่องนี้แล้วนะ คุณจะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง
หากเกินมีการฟ้องร้อง หรือติดตามคดีขึ้นมา ผมจะบอกว่าคุณไม่รู้ ไม่เห็นด้วย เชื่อผม!
คุณผดุงศักดิ์ คุณกลับไปก่อน แล้วถ้าคุณทำตัวดี
ผมจะรีบโอนเงินไปให้คุณทันที”
จากนั้นผดุงศักดิ์ก็รีบเดินทางออกจากบ้านเช่าของเกื้อไป
จากนั้นกล้าที่ปลอมมาเป็นเกื้อ ก็เรียก 4 สาวมาคุย (เปรียว,แจ๋,เอิ้น และวสันต์) พวกแกจะต้องจัดการหวา
ให้เสร็จเรียบร้อยในวันนี้ ไม่เช่นนั้น ถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว
หวามันโทร.ฟ้องตำรวจแน่ๆ ว่าพวกแกใช้สถานที่ร้านของมัน ทำการค้า ลักลอบขนยาเสพติด
โดยใช้ขนมกุฏีจีนของร้านเธอมาตบตาเพื่อส่งมอบของให้กับลูกค้า
“ไม่นะ พี่กล้า ฉันฆ่าเพื่อนฉันไม่ได้นะ มันมีบุญคุณกับฉันจะตาย มันให้ข้าว
ให้อาชีพ ให้ที่อยู่พวกฉันหน่ะ”
“ถ้าพวกแกไม่ฆ่ามัน พวกแกก็จะต้องตายอยู่ดี เพราะโทษยาเสพติด
รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตเช่นกัน แล้วคิดเหรอว่า หวามันจะยอมใจอ่อน
ปล่อยให้พวกแกลอยนวล ก็ถ้าหากผดุงศักดิ์มันเอาตัวรอด ไปฟ้องตำรวจขึ้นมา
มันต้องให้หวา แฟนมันรอด กันไว้เป็นพยาน
แล้วฟ้องว่าพวกแกนั่นแหละเป็นตัวการค้ายาเสพติด โดยอาศัยร้านของเธอ
เป็นที่ลักลอบขนส่งยา แล้วถึงตอนนั้น มิตรภาพระหว่างพวกแก กับหวา จะมีทางที่หวามันจะช่วยแกได้เหรอ
มันก็ต้องเชื่อและเลือกเอาผดุงศักดิ์แฟนของมันก่อน เพื่อให้หลุดพ้นจากคดีให้ได้
ดังนั้นถ้าพวกแกไม่ชิงลงมือก่อน สุดท้ายพวกแกนั่นแหละก็จะกลายเป็นแพะ
หรือเป็นเหยื่อของไอ้ผดุงศักดิ์เอง โดยมีหวาเป็นพยานรู้เห็น เข้าใจหรือยังว่า
ทำไมต้องจัดการกับหวา ไม่ให้รอดไปได้”
เปรียว เอิ้น แจ๋ กับวสันต์ หันมามองหน้ากัน แล้วร่ำไห้
เสียใจในการกระทำหลงผิดของตนเอง ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายได้ถึงเพียงนี้
พวกมันเข้าตาจน ถ้าไม่ชิงลงมือสังหารหวา ก็จะเป็นฝายถูกผดุงศักดิ์กับหวา
เล่นงานพวกมันเสียเอง
ในเวลาต่อมาหวาจึงกลายเป็นศพ ถูกหั่นเป็นชิ้นส่วน หลายๆ ชิ้น เพื่อนำไปทิ้ง
และฝังไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อทำลายศพ และหลักฐาน เพื่อไม่ให้ตำรวจตามหาศพเจอ
และเพื่อไม่ให้สาวมาถึงพวกตนซึ่งเป็นฆาตกรได้
ที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนกลาง ขณะที่สารวัตรเดชกำลังนั่งดูแฟ้มคดีต่างๆ อยู่นั้นหมวดกบี่
ได้วิ่งเข้ามาเคาะประตูห้อง เพื่อมาตามสารวัตรเดชไปดูอะไรบางอย่าง
“สารวัตรครับ เราได้รับรายงานจากท้องที่เขตบางพลัดว่า
มีเจ้าของบ้านชื่อคุณนายละเมียดมาแจ้งความว่า บ้านของตนเองถูกบุกรุกครับ
วันก่อนท่านได้มาตรวจบ้าน เพื่อจะทำความสะอาดบ้าน
แต่ปรากฏว่าภายในบ้านมีร่องรอยของคนบุกรุก มีเศพขนมกุฏีจีนตกหล่นอยู่เป็นจำนวนมาก และมีรอยเท้าของคนอยู่มากกว่า
1 คน
เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่จึงได้ทำการเก็บร่องรอยเท้า ลายนิ้วมือ จากพื้นบ้าน
ที่เป็นบ้านไม้สักทั้งหลัง รวมถึงเศษขนมกุฏีจีน เพื่อนำไปตรวจดูครับ
ว่าใช่ขนมจากร้านเนื่องนวลของ นางสาวผวา (หรือน้องหวา) หรือเปล่าครับ เพราะว่ามีการแจ้งความคนหายไว้ครับ
ในท้องที่พระนครของเราเอง ว่านางสาวผวา (หรือน้องหวา) เจ้าของร้านขนมเนื่องนวล
หายตัวไปเกิน 3 วันแล้วครับ รวมถึงเพื่อนๆ
ลูกน้องในร้านด้วยครับ ไม่ปรากฏว่ามีใครหลงเหลืออยู่ที่ร้าน และร้านก็ปิดทำการมา 5
วันแล้วครับ ญาติๆ ของน้องหวาแจ้งว่า ตามปกติถ้าร้านปิด
ก็จะมีการขึ้นป้ายบอกแก่ลูกค้าล่วงหน้า หรือหากมีธุระทางบ้าน หรือกับครอบครัว
ทางครอบครัวก็จะต้องรู้ แต่นี่เธอไม่ได้ติดต่อบอกใครไว้ที่บ้านเลย
เหมือนหายสาบสูญไปเฉยๆ โดยไม่ทราบว่าไปไหน”
“แล้วล่าสุดเธอติดต่อกับใครบ้าง เรียกมาสอบปากคำให้หมดทุกคน”
“ก็มีคุณผดุงศักดิ์ ข้าราชการ ซี 4 บุตรชายของหลวงประพนธ์ธรรมด้วยคนหนึ่ง เห็นคนแถวนั้นบอกว่ามาติดพันเจ้าของร้าน
คล้ายๆ ว่ามาซื้อขนมบ่อยๆ ทำทีท่าว่าจะมาจีบครับ”
ซักพัก นายตำรวจร้อยเวรพื้นที่วิ่งหน้าตะเหลิดมาแต่ไกล
วิ่งตรงมายังหมวดกบี่ที่กำลังยืนสนทนาอยู่กับสารวัตรเดชอยู่ในตอนนี้
“หมวดครับ สารวัตรครับ มีคนพบชิ้นศพของเหยื่อผู้ต้องสงสัยได้แล้วครับ คาดว่าเป็นศพของน.ส.หวา
เจ้าของร้านเนื่องนวล ที่มีคนมาแจ้งความว่าหายตัวไปครับ”
“แล้วศพอยู่ไหน”
“อยู่ที่ร้านเนื่องนวลเองครับ”
จากนั้นสารวัตรเดชกับหมวดกบี่ ก็รีบเดินทางไปยังร้านเนื่องนวล เดินเข้าไปยังเตาอบขนมที่อยู่ในครัวหลังร้าน
พอหมวดกบี่เปิดฝาหม้อเตาอบขนาดใหญ่ ก็ต้องผงะ! กับภาพที่เห็นตรงหน้า ซึ่งสภาพศพของ น.ส.หวาถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
ประกอบกันอยู่ในเตาอบ และมีรอยสักอยู่ตามอวัยวะส่วนต่างๆ 5
ที่ด้วย”
“สารวัตรครับ เราเจอศพรอยสัก ศพที่ 4 แล้วครับ”
“รอยสักมีคำว่า ทิ้ง – ไม่ – เคย – กัน – เพื่อน”
โปรดติดตามใน EP. ต่อไป
คดีที่ 4 คดีนางสาวผวา(หรือน้องหวา)
ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจมาจาก คดีนางสาวเปรี้ยวกับพวกฆ่าหั่นศพนางสาวแอ๋ม
ซึ่งเป็นคดีสะเทือนขวัญระดับประเทศ ในช่วงปีที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น