วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 2


กาเหว่าอึกทึก 


EP.2  คดีสามเณรขวัญ


ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.ท.สุนทรเทวา หรือสาวัตรเดช ได้มีการเรียกประชุมทีมสอบสวนคดีของเด็กหญิงแดง เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี และในวันนี้หมวดแชน จะเข้ามารายงานความคืบหน้าในการลงไปสืบสวนให้ได้รับทราบ

หมวดแชน  :  “สารวัตรครับ ผมได้เข้าไปสอดแนม และทราบมาว่า นายฉมเข้าบ่อนการพนันของนายฮวด เนื่องเนื่องจากการชักชวนของนายกล้า แต่ที่นายฉมเป็นหนี้มากมาย เพราะต้องการอยากได้เงินมาเคลียร์หนี้ที่นางเรือนไปกู้ยืมนายฮวดมา เพราะพ่อแม่ของนางเรือนต้องการไถ่ที่ดินคืนจากนายทุนโรงสี แต่ไม่มีเงินไปใช้คืนนายฮวด บวกกับนายฉมเล่นพนันเสียเพิ่มอีก นายฮวดจึงยื่นคำขาดให้นายฉมเอาลูกสาวมาขายใช้หนี้นายฮวด แต่นายฉมไม่ยินยอม จึงเครียดและติดเหล้า กลายเป็นคนสำมะเรเทเมา แม้แต่งานการ ที่เคยเป็นภารโรงอยู่ที่โรงเรียน ก็ขาดจากงานหลายวัน จน ผอ.โรงเรียนไล่ออก แล้วที่นายฉมกับนางเรือนไม่กล้ามาปรากฏตัว เพราะกลัวว่าจะถูกลูกน้องของนายฮวดตามเล่นงาน และทวงหนี้”

หมวดกบี่  :  “ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องเรียกตัวนายกล้า มาสอบปากคำ ว่ารู้เห็นหรือให้การช่วยเหลือนายฉมหรือไม่”

สารวัตรเดช  :  “งั้นหมวดกบี่ ลองไปติดตามเรียกตัวนายกล้ามาสอบปากคำดูซิ ว่าจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมหรือไม่”

หมวดกบี่  :  “ครับผม”

นายกล้า  :  “ผมไม่ได้ชวนมันเข้าบ่อนนะครับ เพราะผมเล่นการพนันไม่เป็น แต่นายฉมมาถามผมว่า พอจะรู้มั๊ยว่า มีบ่อนแถวนี้ ที่พอจะเข้าไปเล่นหากะตังค์ได้ที่ไหนบ้าง ผมก็เลยแนะนำไปว่า มี ที่บ่อนเฮียฮวด อยู่ชั้น 7 ตึกใหม่แถวเยาวราช”

หมวดกบี่ วิ่งเข้ามายังกองบัญชาการตำรวจนครบาลอีกครั้ง เพื่อพบกับสารวัตรเดชอีกครั้ง

“สารวัตรครับ เราตามจับกุมตัว 4 วัยรุ่นขาโจ๋ ที่ร่วมกันข่มขืนและทำร้ายร่างกายของเด็กหญิงแดงกับนายดำ ได้แล้วครับ มันเป็นเพื่อนบ้านละแวกบ้านเดียวกัน และก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกับนายดำนั่นแหละ พวกมันรับสารภาพแล้วว่า มูลเหตุจูงใจเกิดจากเล่นพนันกับนายดำว่า ถ้านายดำแพ้ จะต้องยินยอมให้เด็กหญิงแดงเป็นแฟนกับเพื่อนในกลุ่มทุกคน หรือไปร่วมหลับนอนด้วย แต่นายดำไม่ยินยอม ทำให้พวกมันวางแผน ลวงนายดำกับเด็กหญิงแดงไปข่มขืน แต่เกิดกลัวความผิด เรื่องมันบานปลาย กลายเป็นการฆ่าปิดปากเพื่อนทั้ง 2 คน เพื่อไม่ให้ทั้ง 2 คนไปแจ้งความ”

“แล้วเรื่องรอยสักบนตัวนายดำหล่ะ”

“พวกมันทั้ง 4 คนบอกไม่ทราบ พวกมันไม่ได้ทำ และเพิ่งรู้จากตำรวจนี่แหละว่า ศพนายดำมีรอยสักอยู่ 5 แห่ง แต่ก่อนหน้านี้นายดำก็ไม่มีรอยสักตามจุดดังกล่าว มีเพียงตามลำตัวและหัวไหล่เท่านั้น”

“แสดงว่ามีคนลักลอบไปสักคำเหล่านั้น ภายหลังจากนายดำเสียชีวิตแล้ว แม้แต่เด็กหญิงแดงก็ไม่เห็นงั้นเหรอ”

“ใช่ครับ เด็กหญิงแดงบอกว่า ระหว่างที่ตนเองกับนายดำถูกฝังอยู่นั้น นายดำไม่มีรอยสักใหม่ดังกล่าว จนตำรวจมาพบศพแล้ว ภายหลังจากที่เด็กหญิงแดงได้รับความช่วยเหลือจากคุณลุงหมาย จึงพากันไปแจ้งความที่ สน.เกิดเหตุ”


จบคดีเด็กหญิงแดง  ณ ชุมชนแถบวัดระฆัง





ณ วัดประยูรวงศาวาส  บรรดาพระภิกษุ สามเณร กำลังทำวัตร สวดมนต์ในช่วงทำวัตรเย็น เมื่อเสร็จกิจ 
ลงจากศาลาการเปรียญแล้ว พระภิกษุต่างแยกย้ายไปตามกุฏิที่พักของแต่ละรูป

วันรุ่งขึ้น ช่วงบ่ายแก่ๆ ระหว่างที่พระมหาสุชีพกำลังนั่งอ่านหนังสือและพักผ่อนส่วนด้ว มีนายตำรวจ 3-4 นายเดินเข้ามายังกุฏิ เพื่อจะมาสอบปากคำพระมหาสุชีพ ที่ไปแจ้งความว่า มีสามเณรลูกวัดหายไปจากวัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว โดยที่ไม่มีใครทราบ และไม่ได้แจ้งว่าหายไปไหน เนื่องจากสามเณรขวัญ 
เป็นพระลูกวัดในกุฏิของพระมหาสุชีพ แม้ว่าในอดีตสามเณรขวัญเคยเกเรอยู่บ้าง และเคยแอบหนีกลับบ้านไป ไม่แจ้งให้ใครทราบ จนผู้ปกครองต้องพามาส่งที่กุฏิ แต่นั่นก็นานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยยังบวชเป็นเณร ไม่รู้ประสีประสา แต่ว่าพอบวชเป็นสามเณร อยู่จำวัดหลายพรรษา และบวกกับได้เรียนธรรมมากขึ้น ก็มีพฤติกรรมที่ดี เปลี่ยนแปลงไป และจัดเป็นสามเณรที่มีผลการเรียนปริยัติธรรมได้คะแนนสูงสุดของวัด และยังเป็นศิษย์เอกของพระมหาสุชีพอีกด้วย สั่งสอนเป็นพระพี่เลี้ยงมานับแต่ยังบวชเณรอยู่ และยังเป็นญาติห่างๆ ของพระมหาสุชีพอีกด้วย

“ขอพบพระมหาสุชีพครับ”

“อาตมา คือพระมหาสุชีพ”

“กระผมคือพ.ต.ท.สุนทรเทวา หรือเรียกว่าสารวัตรเดช และคนนี้คือหมวดกบี่ กับหมวดแชน  เรามาเพื่อขอสอบปากคำพระมหาสุชีพเกี่ยวกับการสูญหายตัวไปของสามเณรขวัญ... โดยปกติแล้วสามเณรขวัญ เวลาไปไหนจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าหรือเปล่าครับ”

“แจ้งตลอด เขาเป็นพระสามเณรที่มีวินัย และปัจจุบันอาตมายังคอยให้เขาเรียนรู้การเป็นเหรัญญิกของวัด เรียนรู้การจดบันทึกทุกสิ่งอย่างภายในวัด ไม่ว่าจะเป็น บัญชีรับจ่ายของวัด ค่าน้ำไฟ เงินบริจาคของญาติโยม รวมถึงทำบัญชีงบดุล งบแสดงฐานะการเงินของวัดทุกอย่าง แล้วติดประกาศให้ญาติโยมได้ดู แม้แต่หมายกำหนดการของท่านเจ้าอาวาส และท่านรองเจ้าอาวาสทุกคน มีกิจธุระไปไหน วันไหน เวลาใด เขายังสามารถจดบันทึก และทำเป็นปฏิทินบอกให้พระลูกวัดทุกคนได้ทราบอย่างละเอียด”

“ดูๆ ไปสามเณรขวัญ ไม่ใช่คนที่เหลวไหล ไปมาลาไหว้ ถ้าจำต้องเดินทางออกนอกวัด อย่างน้อยก็น่าจะต้องบอกกล่าวต่อพระมหาสุชีพได้รู้ทุกครั้ง ทุกเรื่อง ถูกต้องมั๊ยครับ”

“แต่ช่วงหลังๆ มานี้ อาตมาเห็นความผิดปกติบางอย่าง ดูเหมือนเขาจะมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่กล้าบอกอาตมา พอสอบถามก็มีท่าทีหลุกหลิก พูดจาอ้อมค้อม กำกวม ดูลุกลี้ลุกลน และผิดปกติจากนิสัยเดิมของเขา จะเป็นคนพูดจาชัดเจน มีหลักการ และใจเย็น แต่ช่วงหลัง เขามักทำอะไรลุกลี้ลุกลน ดูสะเพร่ามากขึ้น ดูไม่ค่อยมีสติ พูดผิดพูดถูก ดูแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย”

“แล้วพอจะสันนิษฐานได้มั๊ยครับว่า สามเณรขวัญมีปัญหาอะไร ทำไมถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ เปลี่ยนแปลงไป”

“อาตมาไม่ทราบจริงๆ เพราะช่วงหลัง เขาไม่ได้พักในกุฏิของอาตมาแล้ว เขาต้องไปเป็นหน้าห้องทำหน้าที่เลขานุการให้กับท่านเจ้าอาวาส เลยพักอยู่ที่กุฏิใหญ่ เลยไม่ค่อยได้พูดคุยกันมาได้ซัก 2-3 เดือนแล้ว แต่มีคนมาเล่าให้อาตมาฟังว่า สามเณรขวัญรู้สึกอึดอัดอะไรบางอย่าง แต่พูดไม่ได้”

“หรือว่าสามเณรขวัญจะแอบเสพยาหรือเปล่าครับ”

“เฮ้ย...หมวดแชน อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า”

“ก็เท่าที่ฟังดู อากัปกิริยของสามเณรขวัญ มีลักษณะเหมือนคนอยากยามากๆ เลยครับ เด็กวัยรุ่นแถวบ้านผมเป็นกันเยอะเลย”

“พระมหาสุชีพ อย่าถือสาหมวดแชนเลยนะครับ เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน แล้วจริงๆ สามเณรขวัญเคยมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติดหรือเปล่าครับ”

“เท่าที่อาตมาอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยระแคะระคายว่า เขาจะข้องแวะกับยาเสพติด และเขาเป็นคนที่เกลียดและต่อต้านเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ครอบครัวเขาก็ฝากฝังอาตมาให้ดูแลเขาเป็นอย่างดี เพราะกลัวในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องพวกยาเสพติดแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องผู้หญิง สามเณรขวัญก่อนมาบวช นี่เคยมีข้องแวะกับสีกาท่านใดเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

“ตอนเด็กๆ อาจมีบ้าง แต่เป็นตามประสาเด็กๆ แต่ครอบครัวเขานำเขามาบวชตั้งแต่ช่วงเป็นเณรและมีเว้นระยะไปเล่าเรียนหนังสือช่วงก่อนโตบ้าง ซึ่งในช่วงเวลานั้นอาตมาไม่รู้ประวัติ แต่ภายหลังอายุ 14 ปี ก็มาบวชเป็นสามเณรอยู่กับอาตมา เขาแทบไม่มีช่วงชีวิตวัยรุ่นในแบบฆราวาสเลยนะโยม จะเอาเวลาที่ไหนไปข้องแวะกับสีกาได้”

“ผมต้องขอประทานอภัยด้วยครับ เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เพื่อให้เราสามารถล้อมวงให้แคบลงครับ”

“มีอยู่เรื่องนึงที่อาตมาว่า อาจจะพอเป็นเบาะแสได้ก็คือ ช่วงหลังๆ เขามักบ่นๆว่า ไม่ชอบทำบัญชี ปวดหัวกับตัวเลข และต้องการขอลาออกจากตำแหน่งเลขานุการท่านเจ้าอาวาส เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเงินทอง และตัวเลขอีกแล้ว อาตมาเห็นว่าภายในวัดก็ไม่มีใครมีความรู้ด้านบัญชี ตัวเลขดีเท่าเขา จึงขอให้เขาทำหน้าที่ไปก่อน จนกว่าจะหาคนอื่นที่เหมาะสมมาแทนให้”

“แล้วเหรัญญิกวัดหล่ะครับเป็นใคร”

“ก็เป็นนายเด่น กับนางปีย์ ศิษย์ฆราวาสของท่านเจ้าคุณแช่ม เจ้าอาวาสวัดนั่นแหละ”

“เรื่องนี้ ผมว่าต้องมีลับลมคมใน อะไรแน่ๆ ผมคงต้องส่งสายสืบ ตามสืบอีกที งั้นวันนี้ผมกับคณะ ต้องขอตัวก่อน ขอบคุณท่านมหาสุชีพที่ให้ความร่วมมือในการให้ปากคำ ผมลาแล้วครับ”

“พระมหา มีคนเจอนายเลี่ยมแล้วครับ มันถูกตีหัว นอนสลบอยู่ใกล้สวนหลังวัดครับ”

“ไปดูกัน”

“นายเลี่ยมเป็นใครครับ”

“เขาเป็นศิษย์วัดหน่ะ สติไม่ค่อยสมประกอบ อาตมาจึงให้คอยทำหน้าที่ดูแลและให้อาหารสุนัขภายในวัด วันก่อนเห็นหายตัวไปอีกคน”

“พระมหาครับ ท่านเจ้าอาวาสเรียกประชุมพระลูกวัดทุกรูปด่วน ที่ศาลาการเปรียญใหญ่ครับ”

“วันนี้ หลวงพ่อมีเรื่องใหญ่จะแจ้งให้ทราบว่า เงินบริจาคในบัญชีเงินกองทุนสมทบทุนสร้างอุโบสถ และปฏิสังขรณ์ศาลา เจดีย์ สถูป สิ่งปลูกสร้างภายในวัด 11 แห่ง รวมแล้วกว่า 57 ล้านบาทหายไปจากบัญชี หลวงพ่อจึงได้ตั้งกรรมการฆราวาสร่วมกับบรรพชิต ในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของวัดดังกล่าวทุกบัญชี และนี่มีใครรู้บ้างว่า สามเณรขวัญหายตัวไปไหน เพราะเขาเป็นคนรับผิดชอบในการทำบัญชีทรัพย์สินของวัด”

“หลวงพ่อครับ มีคนที่ดูแลบัญชีทรัพย์สินของวัดกี่คนครับ นอกเหนือจากสามเณรขวัญแล้ว”

“ผม พ.ต.ท.สุนทรเทวา สารวัตรฝ่ายสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ดูแลคดีการหายตัวไปของสามเณรขวัญครับ”

“ก็ยังมีพระมหาสฤษฏิ์ กับสามเณรโทน รวมถึงเหรัญญิกวัด นายเด่น กับนางปีย์อีก 2 คน”

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอนุญาติเชิญตัวทุกท่านที่เอ่ยนามเมื่อสักครู่ ไปสอบปากคำที่นครบาลด้วยครับ”

“มันเรื่องอะไรของคุณตำรวจด้วยหล่ะครับ สามเณรรูปนึงหายตัวไป จะมาสอบพวกผม ก็พวกผมไม่รับรู้นี่ครับ ว่าเขาหายไปไหน ทางที่ดีไปสอบพระมหาสุชีพดีกว่าครับ อดีตพระพี่เลี้ยงของสามเณร”

“คือผมได้สอบปากคำพระมหาสุชีพเสร็จแล้วครับ จึงขอเรียนเชิญท่านที่เหลือก็คือพระมหาสฤษฏิ์ สามเณรโทน คุณพี่เด่น คุณพี่ปีย์ ไปที่นครบาลตอนนี้เลยครับ”


จากนั้นสารวัตรเดช กับพวก ได้เชิญคนทั้ง 4 นั่งโดยสารรถตู้ไปยังนครบาล เพื่อสอบปากคำทั้ง 4 คน โดยถูกแยกสอบคนละห้อง จนถึงช่วงค่ำ ที่สารวัตรเดชกลับจากที่ทำงานถึงบ้านแล้ว พระมหาสุชีพก็ได้โทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องของสารวัตรเดช

“สารวัตรครับ อาตมาพระมหาสุชีพนะ อาตมาอยากจะเชิญสารวัตรมายังวัดโดยด่วน ตอนนี้เลย”

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ ต้องตอนนี้เลยเหรอครับ”

“พอดีศิษย์วัดคนหนึ่งจับขโมย ที่แอบเข้ามาขโมยพระ และเงินทำบุญใต้ฐานพระประธานในอุโบสถหลังเล็กได้ ปรากฏว่า มันร้องว่าเจอ.....?

“เจออะไรเหรอครับ”

“อาตมา อยากให้สารวัตรเดช มาดูเอง”

จากนั้นสารวัตรเดช ตามหมวดกบี่ เดินทางไปยังวัดประยูรฯ ในช่วงกลางดึก ซึ่งพระมหาสุชีพยืนรออำนวยความสะดวกอยู่ก่อนแล้ว และพาไปชี้ยังฐานพระประธานในอุโบสถหลังเล็ก

“นี่มันชิ้นส่วนของมนุษย์นี่ครับ”

“อาตมาได้ให้พระลูกวัด และศิษย์วัดช่วยกันขุดขึ้นมาแล้ว พบว่าเป็น....เชิญทางนี้ครับ อาตมาเกรงว่า จะมีคนอื่นรู้ และเรื่องนี้ไม่อยากให้ใครในวัดได้ล่วงรู้ก่อนตำรวจ อาตมาจึงได้เอาผ้าคลุมเอาไว้ก่อน นี่ครับ เชิญเปิดดูได้”


เมื่อหมวดกบี่ เปิดผ้าคลุมขึ้น ก็พบว่าเป็นศพมนุษย์ที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง เหม็นอืด คล้ายเสียชีวิตมานานกว่า 1 สัปดาห์ รูปพรรณสัณฐานดูไม่ออกว่าเป็นใคร  “นี่คือศพใครครับ พระมหา”

“อาตมาจำได้แม่น ไม่มีผิด นี่คือศพของสามเณรขวัญ บุคคลที่อาตมาตามหาอยู่ และได้ไปแจ้งความนั่นเอง”

“นี่เหรอสามเณรขวัญ เหตุใดจึงนำศพมาฝังอยู่ใต้พระประธานเช่นนี้ งั้นผมต้องขออายัดศพไว้ไปตรวจชันสูตรศพที่นิติเวชก่อน”

“สารวัตรเดช อาตมาขอให้ช่วยดำเนินการสืบสวนสอบสวน หาฆาตกรที่สังหารสามเณรขวัญให้ได้ เพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวของเขาด้วย”

“ไม่ต้องห่วงครับ พระมหาสุชีพ เรื่องนี้ต้องเป็นคดีใหญ่ โด่งดังไปทั่วพระนครแน่ๆ ผมจะลากคอฆาตกรที่ลงมือออกมาให้ได้”


“สารวัตรครับ เจอรอยสักบนตัวศพอีกแล้วครับ”


“ไก่ ตาย จิก โอ่ง เด็ก”


โปรดติดตามใน EP. ต่อไป

คดีของสามเณรขวัญ ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจาก คดีฆาตกรรมสามเณรปลื้ม และฝังโบกปูนอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป พัวพันผลประโยชน์เงินมหาศาล ที่วัดท่าวังตะวันตก อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบค้นคดีมหากาพย์เงินทอนวัด ซึ่งกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญและทำลายวิกฤติศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก   


                                          
      



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น