วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

Coming Soon! 4



ตอนต่อของนิยายเรื่อง รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนปฏิบัติการหักเหลี่ยมทรชน

ซึ่งผู้เขียนได้แต่งเรื่องนี้ค้างเอาไว้ถึงตอนที่ 10 แล้วได้หยุดเขียนไป

เนื่องจากต้องการปรับเปลี่ยนเส้นเรื่องของนิยาย และกระทบต่อตัวละครและพล็อต แต่ก็ยังคิดอะไรไม่ออก (ตื้อ,ตันไอเดียไปซะดื้อๆ และคิดอะไรไม่ออกเลย ไปต่อไม่ได้ อีกทั้งขาดแรงบันดาลใจ) จึงได้หยุดเขียนเรื่องราวของนิยายเรื่องนี้ไปแบบไม่มีกำหนด

แต่เนื่องจากผู้เขียนมีพล็อตนิยายเรื่องใหม่ จ่อรออยู่อีก 3-4 เรื่องแล้ว แต่หากยังคั่งค้างนิยายเรื่องนี้อยู่ ก็รู้สึกผิดต่อผู้อ่าน และตนเองก็ไม่สบายใจที่จะเขียนเรื่องใหม่ๆ ได้ จึงขออนุญาติกลับมาปิดจ็อบ นิยายเรื่องนี้ให้จบชุดไปเสียที

เพื่อจะได้ก้าวต่อไป ในงานเขียนเรื่องอื่นๆ ต่อได้

ดังนั้น นิยายเรื่อง รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนปฏิบัติการหักเหลี่ยมทรชน ตอนที่ 11-ตอนจบ จะกลับมาเร็วๆ นี้

โปรดติดตาม




ลิ้งค์เข้าไปอ่านย้อนหลังรหัสสังหาร ภาค ตอนเก่า ล่าสุด ตั้งแต่ ep.1-10

รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนหักเหลี่ยมทรชน ep.1-2  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน  
http://yikgamyok.blogspot.com/2016/01/1-2.html

รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนหักเหลี่ยมทรชน ep.3-4  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน  

รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนหักเหลี่ยมทรชน ep.5-6  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน
http://yikgamyok.blogspot.com/2016/02/5-6.html?zx=2806ecb1a263496e

รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนหักเหลี่ยมทรชน ep.7-8  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน
http://yikgamyok.blogspot.com/2016/03/7-8.html

รหัสสังหาร ภาค 2 ตอนหักเหลี่ยมทรชน ep.9-10  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน
http://yikgamyok.blogspot.com/2016/04/9-10.html?zx=103769f53c65688a


ลิ้งค์เข้าไปอ่านย้อนหลังรหัสสังหาร ภาค 1 เจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ตั้งแต่ ep.1-21

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.1-2  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน  http://yikgamyok.blogspot.com/2015/06/1.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.3-4  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน   http://yikgamyok.blogspot.com/2015/06/3-4.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.5-6  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน   http://yikgamyok.blogspot.com/2015/07/5-6_8.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.7-8  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน   http://yikgamyok.blogspot.com/2015/07/7-8.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.9-10  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน  http://yikgamyok.blogspot.com/2015/07/9-10.html                                   

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.11-12  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน  http://yikgamyok.blogspot.com/2015/08/11-12.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.13-14  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน  http://yikgamyok.blogspot.com/2015/08/13-14.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.15-16  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน   http://yikgamyok.blogspot.com/2015/08/15-16.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.17-18  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน   http://yikgamyok.blogspot.com/2015/09/17-18.html

รหัสสังหาร ภาค 1 ตอนเจาะตำนานวีรบุรุษซามูไร ep.19-21 (จบภาคแรก)  ลิ้งค์เข้าไปอ่าน   http://yikgamyok.blogspot.com/2015/10/19-20.html?zx=1b19213f45ce98a8




วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเดินทางของชีวิต (4) และอิสรภาพ ชุดที่ 4 ลูกตุ้มแห่งชีวิต (์Newton's Cradle or Momentum)






ผู้เขียนเกิดมาในยุคที่ ผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ของผู้เขียน ตลอดจนค่านิยมของคนในสังคมมักให้ลูกหลานเรียนหนังสือให้จบปริญญา (จะตรีหรือโทก็ยิ่งดี) จบแล้วให้ไปสมัครทำงาน ไม่เป็นข้าราชการก็ไปสมัครเป็นพนักงานบริษัทเอกชนกินเงินเดือน ใครอยากได้ดิบได้ดี ต้องรับราชการหรือไม่ก็ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียง มีเงินเดือนสูงๆ ครอบครัวคนจีนฐานะปานกลางค่อนไปทางยากจน อย่างครอบครัวผู้เขียนก็หนีไม่พ้นที่จะเดินตามสูตรนี้ คือในบรรดาพี่น้องของผุ้เขียนมีทั้งพี่ๆ ที่รับราชการ และน้องๆ ที่ทำงานบริษัทเอกชน จนวันนึง เราต่างตระหนักได้ถึงความยากลำบากของค่าครองชีพที่นับวันสูงขึ้นเรื่อยๆ พอใครในบรรดาพี่ๆน้องๆ มีครอบครัว ต่างประสบปัญหากันหมด คือรายได้ไม่พอประทัง แม้ว่าทั้งตัวฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างทำงานด้วยกันทั้งคู่ แต่พอเริ่มมีลูก ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายมันกลับเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และเป็นไปแบบก้าวกระโดด

แต่ในบรรดาพี่น้องของผู้เขียน มีพี่ชายคนโตที่หาญกล้าออกมาจากระบบลูกจ้าง และออกมาทำกิจการเป็นของตนเอง จนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นต้นแบบโมเดลให้น้องๆ เดินตาม หรือดูเป็นแบบอย่าง

แม้ว่าบรรดาน้องๆ ทุกคน อยากจะทำตามพี่ใหญ่ คือออกมาทำกิจการส่วนตัว แต่ก็ไม่มีใครหาญกล้าหรือมีความพร้อมที่จะออกมาลุยทำธุรกิจส่วนตัวได้ซักคน มีแต่ชิมลาง เริ่มต้นด้วยทำงานเสริมเพื่อหารายได้ เพื่อประทังชีวิต แบบทำไปตามความถนัดของตน ว่ามีความเกี่ยวข้อง สนใจ หรืออยากจะหยิบจับทำธุรกิจอะไรเพื่อหารายได้เสริม เนื่องจากบรรดาน้องๆ ทุกคนต่างอยู่ใน comfort zone ที่อยากจะยอมเดินก้าวออกมา หรือไม่กล้าที่จะออกไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของชีวิต และพิษเศรษฐกิจที่เล่นงานครอบครัวมาอย่างต่อเนื่อง

ในยุคช่วงกลางของการทำงาน คือผ่าน 5-10 ปีของการทำงานของผู้เขียน กระแสการอยากเป็นเถ้าแก่เริ่มเข้ามาอยู่ในหัวแล้ว (สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า sme,start up อะไรเลย และโลกยังไม่เข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต) แม้ว่าคอมพิวเตอร์เข้ามาสู่ชีวิตการทำงานแล้ว แต่ยังคงเป็นการทำงานบนโปรแกรมสำเร็จรูป และตัวผู้เขียนเองก็ไม่ค่อยจะชำนาญกับการใช้คอมพิวเตอร์ หรือยังอยู่ในยุคเพิ่งเริ่มเรียนรู้ (สมัยนั้นผู้เขียนต้องลงคอร์สเรียนคอมที่สถาบัน ECC เรียนพวกโปรแกรมยุคแรกๆ เช่น Lotus,Dbase ,โปรแกรม word ยังต้องเรียนของ จุฬาเวิร์ดอยู่เลย แต่ที่ทำงานกลับใช้ สหวิริยาเวิร์ด โอ้! พระเจ้าชีวิตตอนนั้นช่างลำบากลำบนมาก) การทำงานในตอนนั้น เอกสารธุรการต้องทำในระบบ manual ทั้งหมด พอผ่านมาถึงยุคปี 2000 (ยุคมิลเลนเนียม ที่มีข่าวว่าคอมพ์ทั่วโลกจะหยุดทำงาน เพราะไม่ได้แก้ digit ปี ค.ศ.ตรง 2 ตัวท้าย ที่เรียกว่า Y2K กลายเป็นถูกฝรั่งมันหลอกขายโปรแกรมเพื่อแก้ไขให้สามารถทำงานได้ แต่ภายหลังจึงมาตาสว่างกันทั่วโลกว่า ยังไงมันก็ทำงานได้ ไม่ถึงกับจอดับ หรือข้อมูลหาย เป็นเพียงกุศโลบายของฝรั่งมัน ที่ต้องการขายของเท่านั้น) นั่นแหละ มีการปฏิวัติการทำงาน อินเตอร์เน็ตถูกนำมาใช้ในสำนักงานแทบจะทุกแห่ง และตอนนั้น ผู้เขียนต้องมานั่งศึกษาคอมพิวเตอร์ใหม่หมด เพราะไอ้ที่เรียนมาก่อนทั้งหมดกลายเป็นสิ่งล้าหลัง แผ่นโปรแกรมคอมพ์แบบ floppy disc ขนาด 3.5,5 นิ้ว ต้องเอาไปโยนทิ้งทั้งหมด เพราะมีระบบปฏิบัติการ windows ที่ก้าวเข้ามาใช้แทนระบบปฏิบัติการของ dos แทนทั้งหมด และทุกองค์กร ทุกบริษัทในโลกตอนนั้น ก็ตอบรับใช้โปรแกรม windows กันทั้งโลก รวมทั้งบ้านเราด้วย

ต่างกับยุคนี้ ที่ดูเหมือนทุกอย่างมันเอื้ออำนวยให้ผู้คนสามารถศึกษาหาความรู้ได้เพียงแค่มีสมาร์ทโฟน เพียงแค่ปลายนิ้วมือ เสิร์ชกูเกิ้ล ก็จะมีข้อมูลมาป้อนให้อย่างมากมาย ผิดกับยุคของผู้เขียนที่ไม่มีที่ปรึกษาส่วนตัว ทุกอย่างคลำทางด้วยตนเอง อยากรู้อะไร ก็ลงไปหาประสบการณ์ด้วยตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ลองผิดลองถูก อยากเก่งภาษาอังกฤษ ก็ไปสมัครเรียนไว้ที่นึง โดยไม่ปรึกษาใคร ปรากฏว่า กลายเป็นเหยื่อถูกหลอก จากสถาบันสอนภาษาแห่งนี้ เพราะวิธีการหาลูกค้าของเขาคล้ายระบบ MLM คือหาสมาชิกเข้ามาเรียนเยอะๆ โน้มน้าวให้เราจ่ายเงินล่วงหน้าไว้หลายๆ คอร์ส หรือจ่ายล่วงหน้า pass ชั้น ไประดับ advance เลย  แล้วเอาส่วนลดมาล่อ แต่พอปรากฏไปเรียนจริงๆ คลาสเรียนเป็นคลาสรวม จำนวนคนเยอะ และการสอน ไม่เน้นสอนทีละคน ไม่เป็นไปอย่างตอนที่ได้โฆษณา หรือที่สอบถามไว้ตอนสมัคร ปรากฏพอหันไปถามเพื่อนร่วมคลาส ปรากฏว่าทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกับเรา คือถูกหลอกให้สมัครจ่ายเงินล่วงหน้าหลายๆ คลาส แต่พอมาเรียนจริง แม้แต่อุปกรณ์การเรียน การสอน ก็ไม่ครบ แบบ 1 ต่อ 1 อย่างที่ได้โฆษณาไว้ จึงรวมตัวกับเพื่อนๆ ในรุ่นนั้นกว่า 30 ชีวิตไปฟ้องทั้ง สคบ.และสน.ลุมพินี แต่สถาบันสอนภาษาแห่งนี้ ใช้วิธีปิดหนี ทุกวันนี้ ไม่ทราบความคืบหน้า เพราะผู้เขียนไม่ได้ตามต่อ ยอมเสียเงินก้อนนั้นไป เพราะตัวเองลงแค่คอร์สเดียว ความเสียหายไม่เยอะเท่าเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่เสียกันหลักหมื่น หลักแสน แต่ผู้เขียนโชคดีที่ตั้งงบไว้จำกัด เลยลงแค่คอร์สเดียว เสียหายไปไม่ถึงหมื่น แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่ยังจำมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าเราจะไม่ยอมไปเสียเงินให้กับคอร์สการเรียน การสอนอะไรอีก ถ้าไม่จำเป็นในชีวิตอีก นี่ขนาดว่าสถาบันภาษาแห่งนี้ มันเปิดโอกาสให้เราไปนั่งทดลองเรียนฟรีดูก่อนแล้วนะ 1-2 ครั้ง ถ้าชอบก็เรียนต่อ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องสมัคร (แต่ห้องทดลองเรียนมันจะสอนแบบดูน่าไปเรียนจริงๆ แต่ภายหลังจากนั้น พอเริ่มเรียนจริงๆ มันจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ อีกทั้งเขาเน้นให้เรียนกับแผ่นซีดีรอม เป็นต้น


ลูกตุ้มแห่งชีวิต คืออะไร

ในมิติแรกที่ผู้เขียนอยากจะพูดถึงก็คือ กระแส start up หรือการสร้างธุรกิจสำหรับคนรุ่นใหม่กำลังเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก กับอีกกระแสนึง คือ กระแสการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดูเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว หรืออย่างประเทศไทย ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ เราให้ความสำคัญกับกระแสคนรุ่นใหม่ ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เป็น start up กำลังเป็นกระแสหลักที่ระบาดหนัก ในยุค Thailand 4.0  ซึ่งภาครัฐเป็นผู้ผลักดัน ส่งเสริมเองกับมือ เพราะคงเข้าใจว่าประเทศจะต้องขับเคลื่อนด้วยคนยุคใหม่ อันนี้ก็เป็นความจริงในอุดมคติของสังคมแบบทุนนิยม แต่ทุกอย่างมีเหรียญ 2 ด้าน โมเมนตัมของประเทศเรากลับให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุน้อยเกินไปหรือไม่ ทั้งๆ ที่ฐานใหญ่ ของประชากรในประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และนับวันแนวโน้มฐานประชากรก็จะประกอบไปด้วยผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ และถ้าสำรวจกันดีๆ กลุ่มผู้สูงอายุก็มีการจัดแบ่ง segment ออกไปอีกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่เคยทำงานแล้วเกณียนอายุไป (พวกนี้จะมีเงินเก็บ หรือมีฐานรายได้สูง เรียกว่า เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่าพวกคนรุ่นใหม่เสียด้วยซ้ำ กับกลุ่มผู้สูงอายุในภาคเกษตรหรือชนบท กลุ่มนี้เมื่อพ้นวัยเกษียน จะขาดรายได้ เพราะไม่ได้อยู่ในวัยทำงานแล้ว หยุดทำงานแล้ว แต่ยังต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ กลุ่มนี้คาดว่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศ และเป็นภาระทางสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกลุ่มนี้แหละที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามจูงใจให้ไปลงทะเบียนคนจน และออก กม.ให้มีเบี้ยคนชรา รวมไปถึงคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วย

ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ภาครัฐหรือแม้แต่กระแสสังคมให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ไม่เป็นเรื่องที่ผิด หรือเกินคาดหมาย แต่ภาครัฐและสังคม ควรจะหันมาคิดทบทวนใหม่ว่า ผู้สูงอายุจำนวนมาก หรือหลายคน ยังมีกำลังวังชา และยังอยู่ในสภาวะที่ยังทำงานหารายได้ แม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้ว อย่าไปปิดกั้นโอกาสพวกเขา เพียงเพราะขีดเส้นนิยามว่าเขาเป็นกลุ่มคนสูงอายุแล้ว คิดว่าเขาคงทำงานไม่ได้ หรืออยู่ในวัยใกล้ฝั่ง ควรพักผ่อน ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ที่ตกยุคแล้ว ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว เขาเริ่มหันกลับมามองกลุ่มคนผู้สูงอายุ ที่ยังแข็งแรง และรับเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ โดยไม่มีข้อกำหนด ข้อแม้ใดๆ ขอเพียงสุขภาพยังพอทำงานไหว และให้รายได้เทียบเท่ากับคนหนุ่มสาว ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็ในเมื่อความก้าวหน้าทางวิทยาการหรือเทคโนโลยี ทำให้คนมีอายุยืนขึ้น มีสุขภาพยืนยาว หรือพูดเข้าใจง่ายๆ ก็คือ แก่ง่าย ตายช้า คนกลุ่มนี้ยังต้องมีชีวิตอยู่บนโลกอีกนานหลายปี กว่าจะลาโลกไป หรือแม้แต่ตัวผู้เขียนเอง หรือคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน วันข้างหน้าคุณก็ต้องกลายเป็นกลุ่มคนผู้สูงอายุเช่นกัน ไม่มีใครหลีกหนีพ้น แล้วเพราะเหตุใด เราจึงไม่ขยายโอกาสให้คนที่มีช่วงอายุมากขึ้น มีโอกาส มีช่วงชีวิตที่จะทำงานได้นานมากขึ้น อย่างน้อยเขาจะได้มีรายได้ประทังชีวิตไปจนถึงบั้นปลาย แก่เฒ่าได้ โดยไม่ไปเป็นภาระให้ครอบครัวหรือสังคมต่อไป ลำพังสวัสดิการที่กระท่อนกระแท่นของภาครัฐที่มีให้นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป อีกทั้งทำไมเราต้องผลักผู้สูงอายุเหล่านั้นให้กลายไปเป็นโรคซึมเศร้า เหงา เปล่าเปลี่ยว จากการที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว หรืออยู่ในบ้านพักคนชรา ทั้งๆ ที่บางคนยังแข็งแรง สามารถทำงานได้ ลูกตุ้มลูกแรกนี้จึงไม่ควรถูกเหวี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่ง โดยให้น้ำหนักด้านนั้นมากเกินไป  เพราะแรงกระแทกไปยังลูกตุ้มลูกอื่นๆ (หรือหมายถึงคนรุ่นต่อๆ ไป) เวลาถูกเหวี่ยงกลับมันจะกระแทกกลับมาในอานุภาพที่รุนแรงไม่แพ้กัน

มิติที่ 2 ทัศนคติของคนยุคดิจิตอล ไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานทางครอบครัวเป็นมาอย่างไร การศึกษาดีขนาดไหน ฐานะทางครอบครัวเป็นอย่างไร อยู่ในอาชีพอะไร ทัศนคติสามารถล่อหลอมให้คนๆ นั้นก้าวเดินไปในชีวิตได้อย่างถูกครรลองคลองธรรม หรือปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข และปลอดภัย ผู้เขียนกำลังหมายถึง ทัศนคติด้านการเมือง ทัศนคติเรื่องการแบ่งชนชั้นวรรณะ ทัศนคติด้านเชื้อชาติ ศาสนา ทัศนคติเกี่ยวกับการอนุรักษ์หรือทำลายสิ่งแวดล้อม และทัศนคติด้านความเท่าเทียมกันทางเพศ ยุคนี้แล้ว ไม่ควรสุดขั้วไปด้านใด ด้านนึง เพราะมันไม่ก่อให้เกิดผลดี ต่อทั้งตัวของเราเอง และสังคม เหมือนลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงไปตกกระทบกับลูกตุ้มลูกถัดไป (ไปตกกระทบกับกลุ่มบุคคล,สถาบัน,องค์กร,ประเทศ,เชื้อชาติ) แรงกระทบจะรุนแรง แผ่ขยาย ส่งแรงผลักต่อๆ กันไป มันก็จะถูกเหวี่ยงกลับมาอย่างรุนแรง จากกฎของนิวตัน

การเป็นฝ่ายซ้ายจัด ขวาจัด อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว หรือเสรีนิยมสุดขั้ว แม้ทำให้เรารู้จุดยืนของคนๆ นั้น แต่บันทึกทางประวัติศาสตร์มันได้ผ่านการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีฝ่ายใดถูกต้องเสมอไป หรือแม้แต่ระบบประชาธิปไตยกับสังคมนิยม ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าอย่างไรดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับบริบทของสังคมนั้นๆ ว่าจะเหมาะสมกับระบบใด การแบ่งชนชั้นวรรณะ เหยียดเชื้อชาติ ศาสนา หรือการเหยียดเพศ แบบสุดโต่ง ก็ทำให้สังคมนั้นๆ เกิดความแตกแยก แบ่งแยก และบาดหมาง สังคมนั้นๆ จะไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่ต้องการได้ และก็จะกินแหนงแคลงใจไปตลอด ทัศนคติที่สุดโต่งเหล่านี้เองที่สร้างความแตกแยก แตกความสามัคคี และที่กล่าวมานั้น คือตัวการของปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จนถึงทุกวันนี้

มิติที่ 3 ผู้เขียนคิดว่าลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงออกไปจากแกนกลาง เป็นสัญลักษณ์ของโอกาสในชีวิตคน บางช่วงเวลาโอกาสวิ่งเข้ามาหาเราแล้ว แต่เรามองข้ามมันไป หรือไม่ได้ไขว่คว้ามันเอาไว้ ปล่อยโอกาสดีๆ หลุดมือไป กว่าที่มันจะเหวี่ยงมาหาเราอีก อาจนานเกินช่วงอายุคน หรือไม่มีโอกาสอีกเลยก็เป็นได้ ทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นในทางร้ายหรือดี เราต้องใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบคอบ หากเป็นโอกาสในทางดี ก็ต้องรีบหยิบฉวยเอาไว้ อย่าปล่อยพลาดไป แต่หากเป็นโอกาสในทางร้าย ไม่มีผลดีต่อชีวิต ก็ปล่อยวาง ให้มันผ่านไป


ตอนนี้โมเมนตัมของโลก (ลูกตุ้ม) เหวี่ยงมาที่ภูมิภาคเอเชีย และประเทศไทยก็อยู่ในจุดศูนย์กลางของความเจริญ การคมนาคม การหลั่งไหลของผู้คน จราจร การเดินทางท่องเที่ยวจากคนทั่วโลก เวลามันเหวี่ยงมาตกกระทบจะมีมาทั้งด้านดีและด้านร้ายพร้อมๆ กัน ถ้ามองแต่ด้านดีมันเปิดโอกาสมากๆ ให้คนยุคนี้สามารถพัฒนาตนเอง ให้ก้าวหน้า จากหลายๆ ด้าน (ไม่เพียงวัตถุอย่างเดียว แต่รวมถึงการพัฒนาด้านจิตใจด้วย) ฟ้าเปิดแล้ว ให้ทุกชีวิตบนโลกนี้ และในประเทศไทย มีช่องทางทำมาหากิน พัฒนาตนเอง และความก้าวหน้าส่วนบุคคลในทุกๆ ด้าน ขึ้นอยู่กับว่าลูกตุ้มมันเหวี่ยงมาแล้ว คุณคว้ามันเอาไว้ได้หรือเปล่า แต่ด้านร้ายที่เหวี่ยงมา เหมือนเหรียญมี 2 ด้าน เราก็ต้องตั้งรับ เผชิญปัญหา และหาทางแก้ไข ในสิ่งที่เป็นกระแสโลกาภิวัตน์ที่เป็นด้านไม่ดีด้วย และหาทางรณรงค์ต่อต้าน กีดกัน หาทางป้องกัน ป้องปราม สิ่งไม่ดีที่มันมากับแรงเหวี่ยงโมเมนตัมของโลกด้วย อาทิเช่น การก่อการร้าย,กระแสการบริโภคนิยมสุดโต่งที่ไม่ประมาณตนหรือรายได้ตนเอง,ด้านมืดของกระแสโลกโซเชียล,พฤติกรรมทางเพศที่วิปริตผิดมนุษย์มนา,ค่านิยมแบบผิดๆ ที่ไม่เหมาะกับสังคมไทย,อาชญากรรมที่มากับโลกดิจิตอลอินเตอร์เน็ต เป็นต้น


บทความที่เกี่ยวข้อง ตามลิ้งค์นี้

-ความหมายของโมเมนตัม https://aomsupannika.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%99/

-เปลของนิวตัน http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=2039&Itemid=4

-กฏของนิวตัน https://www.gotoknow.org/posts/506758 , http://portal.edu.chula.ac.th/lesa_cd/assets/document/lesa212/2/law_orbit/newton/newton.html


วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเดินทางของชีวิต (3) และอิสรภาพ ชุดที่ 3 เวลาและนาฬิกาทราย (Time and Hourglass)








ณ ขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นึกถึงอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก เวลากับคนสองคน (กรณีข่าวกอล์ฟเลิกกับขวัญ หรือข่าวเจ ธนาธิปเลิกกับเมย์ พิชญ์นาฏ)  หรือเพลงก้อนหินกับนาฬิกา ซึ่งเป็นเพลงโปรดทั้ง 2 เพลงของผู้เขียน กับเรื่องที่ 2 นิติกรรมอำพรางกรณีนาฬิกาหรู 25 เรือนของบิ๊กป้อม ที่เอามือปิดฟ้าไม่มิด ผู้เขียนได้สัจธรรมอยู่ข้อนึงว่า เวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถไปควบคุม กำหนดมันได้ เวลาเป็นสิ่งที่เที่ยงตรงที่สุด ยิ่งกว่าศาลไหนๆ เวลาไม่เคยปลิ้นปล้อนหลอกลวงสรรพสิ่งใดๆ ได้  ทุกคนสามารพูดโกหก หรือจะก่อพฤติกรรมอำพรางใดๆ ก็ได้ แต่ไม่สามารถโกหกหรือหลอกลวง ตัดต่อเวลาได้ เพราะเวลามันเดินของมันอย่างเที่ยงตรงไปทุกก้าว ไม่มีใครจะสามารถไปเหนี่ยวรั้ง ดึงเวลา สั่งกดปุ่ม ให้เวลาหยุดได้

จึงมีสัจธรรมที่บอกว่า เราสามารถแก้ไขนิสัย ใจคอ พฤติกรรมของเราในปัจจุบันได้ แต่ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอดีต หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ เช่น ประวัติ ภูมิหลัง พฤติกรรม ผลงาน เรื่องราวไม่ดี ในอดีตของตน แต่เราสามารถสร้างคุณงามความดี หรือทำสิ่งดีๆ ในปัจจุบันให้ดีได้ 

เรื่องราวที่อยู่เบื้องหน้า ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน บางครั้งไม่สามารถบอกได้ว่า คนๆ นั้นเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะเขาสามารถปกปิด อำพราง สร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดีได้ แต่หากสืบย้อนไปในอดีต ถึงปูมหลัง พฤติกรรมในอดีต จะสามารถนำมาพินิจพิเคราะห์ถึงพฤติกรรมในปัจจุบันของเขาได้ อันนี้เป็นศาสตร์ของคนที่เรียนมาทาง พฤติกรรมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ จิตวิทยา  เรื่องราวของมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน เข้าใจยาก แต่เรื่องราวของเวลานั้น มีนักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ระดับรางวัลโนเบลของโลก ได้ศึกษาเอาไว้ ค้นคว้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนจนเข้าใจยากเท่ากับเรื่องของจิตใจมนุษย์เลย

เอาง่ายๆ เรื่องความรัก เป็นเรื่องของเวลา หรือจิตใจมนุษย์ ตอบว่าจิตใจมนุษย์ นี่จึงเป็นคำตอบว่า เหตุใดมีข่าวเรื่องคนดัง รักๆ เลิกๆ กันอยู่ให้เห็นบ่อยๆ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะว่าจิตใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเป็นรายวินาที เปรียบเสมือนที่พระพุทธเจ้าเคยเทศนาสั่งสอนบรรดาสาวกเอาไว้ว่า จิตมนุษย์เกิดๆ ดับๆ เป็นรายวินาที เป็นที่มาของการสอน เรื่อง การเจริญสติ กำหนดจิตให้เป็นปัจจุบันขณะ เป็นหลักการเจริญสติ ทำสมาธิ และวิปัสสนาเบื้องต้น ที่ชาวพุทธทราบกันดี หากว่าความรัก ไม่มีอะไรไปเกี่ยวเนื่องกับจิตใจมนุษย์ แต่ไปผูกโยงกับเวลาเพียงอย่างเดียว จะพบว่า ความรักนั้นจะยั่งยืนอยู่ยั้งเป็นอนันตกาลอย่างถาวรตลอดไป  (ผู้อ่านอาจจะเถียงและด่าผู้เขียนว่า จะบ้าเหรอ ความรักมันจะไปเกี่ยวกับเวลาได้อย่างไรกัน ถ้ามันเกี่ยวกันได้ ก็ไม่เรียกว่าความรักแล้วสิ) ผู้เขียนเพียงตั้งสมมติฐานหรือยกตัวอย่าง เปรียบเทียบดูเล่นๆ

ในความรู้สึกของผู้เขียนและคนโดยทั่วไปจะมอง “เวลา” เป็นเส้นตรง คือเวลาจะเดินหน้าอย่างเดียว คงไม่เดินถอยหลัง หรือเดินๆ-ถอยๆ อยู่อย่างนั้น จนงง ก็ตั้งแต่คนเราเกิดมา ก็นับอายุขัยแบบเดินไปข้างหน้า ที่เรียกว่าอายุ นั่นแหละ ก็เพราะมนุษย์โดยทั่วไป มองมิติของเวลาเป็นแบบเส้นตรงและแนวตั้งด้วย
แต่เมื่อซัก 100 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง โลกมีนักฟิสิกส์ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ผู้บุกเบิกแนวคิดเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกและเวลา อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (เจ้าของทฤษฏีสัมพัทธภาพ) และอีกหลายๆ คน 

พัฒนาต่อยอดแนวคิดของไอน์สไตน์ จนเป็นที่มาของทฤษฏีควอนตัม ไอน์สไตน์ค้นพบว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง จึงเป็นที่มาที่ทำให้ค้นพบว่า เวลากลายเป็นมิติที่ 4 (3มิติคือกว้างยาวลึก) และเวลาไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงเฉกเช่นแสงที่เดินทางเป็นเส้นโค้ง เวลาอาจเดินทางเป็นเส้นคดเคี้ยว 

เรื่องของเวลาเดินทางเป็นเส้นคดเคี้ยว เคยทำให้ผู้อ่านงงมาก ถ้าเอาแบบอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ก็คือ เวลามันไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงแนวตั้ง แต่อาจเป็นเส้นคดโค้งและอาจเดินทางมาในลักษณะแนวนอน กล่าวคือเวลาไม่สามารถบ่งบอกได้ว่า เรากำลังอยู่ในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต แต่เรามักจะรู้สึกไปเองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ณ ปัจจุบันขณะ คือปัจจุบัน  ซึ่งจริงๆ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดกับเรา ณ ตอนนี้อาจเป็นอนาคตของอดีตของเรา หรืออาจเป็นอดีตของอนาคตก็เป็นได้ ยิ่งอธิบายยิ่งงงไปกันใหญ่ แต่ลองนำเอาตัวอย่างของภาพยนตร์มาวิเคราะห์ดู

ผู้เขียนเคยมีความรู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ สถานที่ และผู้คน มาก่อน เช่น เคยไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวนึงเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นั้นมากๆ ราวกับว่าเคยอยู่หรือเคยมาเที่ยวที่นี่มาแล้ว ความรู้สึกมันคุ้นชินจริงๆ หรือเคยมั๊ยที่พบเห็นคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มีความรู้สึกเหมือนว่าเรารู้จักเขาเป็นอย่างดี หรือเคยรู้จักกันมาก่อนเป็นเวลานานแล้ว แต่คิดเท่าไรก็นึกไม่ออกซักทีว่า ทำไมเราถึงคุ้นเคยกับคนๆ นี้จัง หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์บางอย่างที่เราไปประสบพบเห็นมา เราก็คุ้นๆ ว่า เราเคยประสบเหตุการณ์นี้มาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ ตอนไหน แต่มันคุ้นว่าเคยเกิดกับเรามาแล้ว เป็นต้น ใช่แล้วครับ ลักษณะแบบนี้ คล้าย เดจาวู หรือเป็นเหตุการณ์ระลึกชาติ อะไรเทือกนั้น

ผู้อ่านเคยดูหนังเรื่อง Edge of Tomorrow (ที่นำแสดงโดยทอม ครู๊ซ) ตัวเอกพบว่าเขาเผชิญสถานการณ์การสู้รบในเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ ตายแล้วเกิดใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้นับสิบครั้ง แต่เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะไม่ทำสิ่งเดิมๆ ลองเปลี่ยนการกระทำ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเขายังคงตายเหมือนเดิม แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป เขาสามารถช่วยชีวิตคนอื่นไม่ให้ตายได้ หรืออย่าง Interstella (ที่นำแสดงโดยแม็ทธิว แม็คคอนนาเฮย์) ตัวพระเอกกับครอบครัวพยายามเดินทางไปค้นหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่จะทำให้รอดชีวิตจากภาวะวิกฤตพืชไร่บนโลก โดยค้นพบยานอวกาศที่จะสามารถเดินทางข้ามมิติได้ โดยผ่านรูหนอน โดยได้รับคำชี้แนะจากนักวิทยาศาสตร์นาซ่า โดยอาศัยทฤษฏีแรงโน้มถ่วง , Back to The Future (ที่นำแสดงโดยไมเคิล เจ.ฟ็อกซ์) เป็นเรื่องราวของศาสตราจารย์สติเฟื่องคิดค้นยานไทม์แมชชีน ที่สามารถเดินทางย้อนกลับไปในอดีตได้ โดยการตั้งเวลาให้ย้อนกลับไปยังปี ค.ศ.และสถานที่ที่ต้องการ แต่จะต้องกลับมาให้ทันเวลาก่อนที่เวลาจะเดินทางกลับมาสู่เวลาปกติ ฯลฯ 

นี่เป็นตัวอย่างของหนังที่พูดถึงการเดินทางย้อนเวลา เราแทบไม่เชื่อว่าคนในสมัยปัจจุบันสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ แต่ในอนาคตกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เมื่อวิวัฒนาการความก้าวหน้าของวิทยาการ เดินทางมาถึงจุดที่สามารถไขความลับเรื่องของมิติที่ 5 หรือมิติด้านเวลาได้อย่างสมบูรณ์ และเทคโนโลยีทุกอย่างได้วิวัฒนามาไกลจนสามารถมีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะสามารถเดินทางไปพิสูจน์ได้

นักวิทยาศาสตร์ควอนตัม ยังได้พูดไปถึงการหายตัวได้ ของคนหรือสสารต่างๆ ซึ่งได้ถูกคิดค้นขึ้นในทฤษฏีที่ว่าด้วย Quantum Teleportation หรือเรียกทางศัพท์วิชาการว่า การเคลื่อนย้ายสถานะทางควอนตัม

ที่คนเราพูดถึงเวลากันนั้น มักพูดกันในมิติของเวลาที่เป็นเส้นตรงเสียเป็นส่วนใหญ่ คือเวลามักเดินหมุนไป เวลาไม่คอยใคร คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน พระเจ้าได้มอบทรัพยากรทางธรรมชาติให้แก่มนุษย์ที่เท่าเทียมและยุติธรรมกัน เฉพาะในเรื่องของเวลา ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชนชาติใด ศาสนาใด เพศใด สถานะทางสังคม สถานะทางเศรษฐกิจเป็นเช่นใด อยู่ในวรรณะอะไร อยู่ในภูมิศาสตร์ หรือภูมิอากาศแบบไหนก็ตาม คุณได้เวลาเท่ากันทั้งหมดคือวันละ 24 ชั่วโมง ที่จะนำไปบริหารจัดการชีวิต โดยที่มนุษย์ไม่สามารถอ้างได้ว่า ฉันได้เปรียบ เสียเปรียบใคร ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าของมนุษย์เรื่องเวลา จึงฟังไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฉันไม่มีเวลาให้ครอบครัว ฉันไม่มีเวลาที่จะออกกำลังกาย ฉันไม่มีเวลาที่จะมาถกเถียงหรือรับฟังปัญหาของคุณ บลาๆๆ

มนุษย์เริ่มตระหนักถึงภัยธรรมชาติ หรือความวิกฤติแปรปรวนทางภูมิอากาศ หรือ climate change ซึ่งเพิ่งจะมาตระหนักกันไม่กี่สิบปีมานี้เอง เรื่องโลกร้อน และภาวะอากาศวิกฤติแปรปรวนรุนแรง

นาฬิกาทรายเป็นสัญลักษณ์ของการนับเวลาถอยหลังของเวลา หรือเวลากำลังสิ้นสุดลง ของเหตุการณ์ หรือสถานการณ์อะไรก็ตามแต่ เช่น นับถอยหลังวิกฤติโลกร้อน ที่น้ำแข็งขั้วโลก บริเวณแอนตาร์กติก จะละลายกลายเป็นมวลน้ำในมหาสมุทร ,นับถอยหลังการก้าวเข้าสู่สังคมของมนุษย์แอนดรอยด์ หรือสังคมหุ่นยนต์ เป็นต้น

ผู้เขียนเอาเรื่องเวลามาพูดถึง ฟังดูเป็นนามธรรมเอามากๆ แต่ไม่ใช่เพราะเวลาหรอกเหรอ ที่ทำให้มนุษย์ต้องมาแข่งขัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน และเวลากำลังเป็นตัวกำหนด ตัดสิน ความเป็น ความตาย ตลอดจนการอยู่รอดของมนุษย์ในโลกยุคปัจจุบัน จนกว่ามนุษย์จะมีเครื่องมือเครื่องไม้ที่สามารถคลี่คลายปริศนาตัวที่ 5 มิติด้านเวลาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อนั้นผู้เขียนจะขอหายตัวไปปลีกวิเวกชั่วคราวที่ดาวนพเคราะห์ซักดวง อันไกลโพ้น หลบหนีความวุ่นวายบนโลกนี้ชั่วคราว ซัก 500 ปีแสง แล้วค่อยกลับมา (อันนี้ต้องตายแล้วเกิดใหม่อีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ จึงจะเป็นเช่นนั้นได้)

แต่ความก้าวหน้าของจิตมนุษย์สามารถทำได้ตั้งนานแล้ว นับแต่สมัยพุทธกาล เพราะจิตสามารถเดินทางได้เหนือกาล อันนี้เป็นความเยี่ยมยอดที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังทึ่งต่อหลักพุทธ ที่สามารถทำได้ และอธิบายให้คนเข้าใจได้ยากยิ่ง

https://www.ted.com/talks/jim_al_khalili_how_quantum_biology_might_explain_life_s_biggest_questions/transcript?share=19f3f967df&language=th

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง ได้ตามลิ้งค์นี้

-113 ปี ฟิสิกส์ควอนตัมที่ทำให้โลกเป็นอย่างทุกวันนี้ http://www.manager.co.th/science/viewnews.aspx?NewsID=9560000130370

-ทฤษฏีสัมพัทธภาพ                                                        
http://www.scimath.org/lesson-physics/item/7220-2017-06-11-05-36-38


-การทดลองข้ามทศวรรษยืนยันอีกครั้ง ไอน์สไตน์ถูกต้องhttps://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000062665






โผรายชื่อ ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 90 (2018) มาแล้ว

                                           


โผรายชื่อ ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 90 (2018) ออกแล้ว แต่ละสาขามีดังนี้
Oscar Nominations 2018: The Complete List

Best Picture: สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่
“Call Me by Your Name”
“Darkest Hour”
“Dunkirk”
“Get Out”
“Lady Bird”
“Phantom Thread”
“The Post”
“The Shape of Water”
“Three Billboards Outside Ebbing, Missouri”

Lead Actor: สาขานักแสดงนำชาย ได้แก่
Timothée Chalamet, “Call Me by Your Name”
Daniel Day-Lewis, “Phantom Thread”
Daniel Kaluuya, “Get Out”
Gary Oldman, “Darkest Hour”
Denzel Washington, “Roman J. Israel, Esq.”

Lead Actress: สาขานักแสดงนำหญิง ได้แก่
Sally Hawkins, “The Shape of Water”
Frances McDormand, “Three Billboards Outside Ebbing, Missouri”
Margot Robbie, “I, Tonya”
Saoirse Ronan, “Lady Bird”
Meryl Streep, “The Post”

Supporting Actor: สาขานักแสดงสมทบชาย ได้แก่
Willem Dafoe, “The Florida Project”
Woody Harrelson, “Three Billboards Outside Ebbing, Missouri”
Richard Jenkins, “The Shape of Water”
Christopher Plummer, “All the Money in the World”
Sam Rockwell, “Three Billboards Outside Ebbing, Missouri”

Supporting Actress: สาขานักแสดงสมทบหญิง ได้แก่
Mary J. Blige, “Mudbound”
Allison Janney, “I, Tonya”
Lesley Manville, “Phantom Thread”
Laurie Metcalf, “Lady Bird”
Octavia Spencer, “The Shape of Water”

Director: สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ได้แก่
“Dunkirk,” Christopher Nolan
“Get Out,” Jordan Peele
“Lady Bird,” Greta Gerwig
“Phantom Thread,” Paul Thomas Anderson
“The Shape of Water,” Guillermo del Toro

Animated Feature: สาขาภ.แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม ได้แก่
“The Boss Baby,” Tom McGrath, Ramsey Ann Naito
“The Breadwinner,” Nora Twomey, Anthony Leo
“Coco,” Lee Unkrich, Darla K. Anderson
“Ferdinand,” Carlos Saldanha
“Loving Vincent,” Dorota Kobiela, Hugh Welchman, Sean Bobbitt, Ivan Mactaggart, Hugh Welchman

Animated Short: สาขาภ.แอนิเมชั่นขนาดสั้น ได้แก่
“Dear Basketball,” Glen Keane, Kobe Bryant
“Garden Party,” Victor Caire, Gabriel Grapperon
“Lou,” Dave Mullins, Dana Murray
“Negative Space,” Max Porter, Ru Kuwahata
“Revolting Rhymes,” Jakob Schuh, Jan Lachauer

Adapted Screenplay: สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ได้แก่
“Call Me by Your Name,” James Ivory
“The Disaster Artist,” Scott Neustadter & Michael H. Weber
“Logan,” Scott Frank & James Mangold and Michael Green
“Molly’s Game,” Aaron Sorkin
“Mudbound,” Virgil Williams and Dee Rees

Original Screenplay: สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ได้แก่
“The Big Sick,” Emily V. Gordon & Kumail Nanjiani
“Get Out,” Jordan Peele
“Lady Bird,” Greta Gerwig
“The Shape of Water,” Guillermo del Toro, Vanessa Taylor
“Three Billboards Outside Ebbing, Missouri,” Martin McDonagh

Cinematography: สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม ได้แก่
“Blade Runner 2049,” Roger Deakins
“Darkest Hour,” Bruno Delbonnel
“Dunkirk,” Hoyte van Hoytema
“Mudbound,” Rachel Morrison
“The Shape of Water,” Dan Laustsen

Best Documentary Feature: สาขาภ.สารคดียอดเยี่ยม
“Abacus: Small Enough to Jail,” Steve James, Mark Mitten, Julie Goldman
“Faces Places,” JR, Agnès Varda, Rosalie Varda
“Icarus,” Bryan Fogel, Dan Cogan
“Last Men in Aleppo,” Feras Fayyad, Kareem Abeed, Soren Steen Jepersen
“Strong Island,” Yance Ford, Joslyn Barnes

Best Documentary Short Subject: สาขาภ.สารคดีขนาดสั้นยอดเยี่ยม ได้แก่
“Edith+Eddie,” Laura Checkoway, Thomas Lee Wright
“Heaven is a Traffic Jam on the 405,” Frank Stiefel
“Heroin(e),” Elaine McMillion Sheldon, Kerrin Sheldon
“Knife Skills,” Thomas Lennon
“Traffic Stop,” Kate Davis, David Heilbroner

Best Live Action Short Film: สาขาภ.สารคดีขนาดสั้น(อัตชีวประวัติบุคคลมีชื่อเสียง)ยอดเยี่ยม ได้แก่
“DeKalb Elementary,” Reed Van Dyk
“The Eleven O’Clock,” Derin Seale, Josh Lawson
“My Nephew Emmett,” Kevin Wilson, Jr.
“The Silent Child,” Chris Overton, Rachel Shenton
“Watu Wote/All of Us,” Katja Benrath, Tobias Rosen

Best Foreign Language Film: สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ได้แก่
“A Fantastic Woman” (Chile)
“The Insult” (Lebanon)
“Loveless” (Russia)
“On Body and Soul (Hungary)
“The Square” (Sweden)

Film Editing: สาขาตัดต่อและลำดับภาพยอดเยี่ยม ได้แก่
“Baby Driver,” Jonathan Amos, Paul Machliss
“Dunkirk,” Lee Smith
“I, Tonya,” Tatiana S. Riegel
“The Shape of Water,” Sidney Wolinsky
“Three Billboards Outside Ebbing, Missouri,” Jon Gregory

Sound Editing: สาขาตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม ได้แก่
“Baby Driver,” Julian Slater
“Blade Runner 2049,” Mark Mangini, Theo Green
“Dunkirk,” Alex Gibson, Richard King
“The Shape of Water,” Nathan Robitaille, Nelson Ferreira
“Star Wars: The Last Jedi,” Ren Klyce, Matthew Wood

Sound Mixing: สาขาเทคนิคผสมเสียงยอดเยี่ยม ได้แก่
“Baby Driver,” Mary H. Ellis, Julian Slater, Tim Cavagin
“Blade Runner 2049,” Mac Ruth, Ron Bartlett, Doug Hephill
“Dunkirk,” Mark Weingarten, Gregg Landaker, Gary A. Rizzo
“The Shape of Water,” Glen Gauthier, Christian Cooke, Brad Zoern
“Star Wars: The Last Jedi,” Stuart Wilson, Ren Klyce, David Parker, Michael Semanick

Production Design: สาขาออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมได้แก่
“Beauty and the Beast,” Sarah Greenwood; Katie Spencer
“Blade Runner 2049,” Dennis Gassner, Alessandra Querzola
“Darkest Hour,” Sarah Greenwood, Katie Spencer
“Dunkirk,” Nathan Crowley, Gary Fettis
“The Shape of Water,” Paul D. Austerberry, Jeffrey A. Melvin, Shane Vieau

Original Score: สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่
“Dunkirk,” Hans Zimmer
“Phantom Thread,” Jonny Greenwood
“The Shape of Water,” Alexandre Desplat
“Star Wars: The Last Jedi,” John Williams
“Three Billboards Outside Ebbing, Missouri,” Carter Burwell

Original Song: สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่
“Mighty River” from “Mudbound,” Mary J. Blige
“Mystery of Love” from “Call Me by Your Name,” Sufjan Stevens
“Remember Me” from “Coco,” Kristen Anderson-Lopez, Robert Lopez
“Stand Up for Something” from “Marshall,” Diane Warren, Common
“This Is Me” from “The Greatest Showman,” Benj Pasek, Justin Paul

Makeup and Hair: สาขาแต่งหน้าและออกแบบทรงผมยอดเยี่ยม ได้แก่
“Darkest Hour,” Kazuhiro Tsuji, David Malinowski, Lucy Sibbick
“Victoria and Abdul,” Daniel Phillips and Lou Sheppard
“Wonder,” Arjen Tuiten

Costume Design: สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ได้แก่
“Beauty and the Beast,” Jacqueline Durran
“Darkest Hour,” Jacqueline Durran
“Phantom Thread,” Mark Bridges
“The Shape of Water,” Luis Sequeira
“Victoria and Abdul,” Consolata Boyle

Visual Effects: สาขาเทคนิคด้านภาพยอดเยี่ยม ได้แก่
“Blade Runner 2049,” John Nelson, Paul Lambert, Richard R. Hoover, Gerd Nefzer
“Guardians of the Galaxy Vol. 2,” Christopher Townsend, Guy Williams, Jonathan Fawkner, Dan Sudick
“Kong: Skull Island,” Stephen Rosenbaum, Jeff White, Scott Benza, Mike Meinardus
“Star Wars: The Last Jedi,” Ben Morris, Mike Mulholland, Chris Corbould, Neal Scanlan
“War for the Planet of the Apes,” Joe Letteri, Dan Lemmon, Daniel Barrett, Joel Whist

credit source : variety.com
เครดิตข้อมูลและภาพจาก เว็บไซต์วาไรตี้ดอทคอม


วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเดินทางของชีวิต (2) และอิสรภาพ ชุดที่ 2 เข็มทิศ และหางเสือ (Compass & Helm)





มีคำถามประมาณว่า เคยตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไรบ้างมั๊ย หรือตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าอยากเป็นอะไรมั๊ย สำหรับผู้เขียนแล้ว คำถามนี้ ไม่เคยมีใครถาม แต่มีอยู่ในความคิดของเราเอง อยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน และตลอดทาง ระหว่างการทำงาน เสมอมา

ผู้เขียนจะคอยคิดทบทวนตัวเอง อยู่ตลอดเวลา ว่าเรายังสนุกกับการทำงานนั้นๆ อยู่หรือไม่ และเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานเป็นอย่างไร ซึ่งจะว่าไปคนในยุคของผู้เขียน ไม่ค่อยคิดอะไรในเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ เราไม่มีค่านิยม หรือวัฒนธรรม แบบพวกครอบครัวคนมีฐานะที่เขาจะวางแผนการดำเนินชีวิตกันมาตั้งแต่เรียนอนุบาล ประถมอะไรเลย

ผู้เขียนเติบโตมาในครอบครัวลูกคนจีนที่มีฐานะค่อนข้างยากจน ที่บ้านมีข้าวให้กินครบ 3 มื้อ มีตังค์ให้ไปโรงเรียน และที่สำคัญ มีโอกาสได้ไปเรียนหนังสือเหมือนลูกคนอื่นเขา ก็นับว่าบุญโขแล้ว เพราะในครอบครัวของผู้เขียน พี่ชายกับพี่สาวคนโตของผู้เขียนได้เรียนหนังสือแค่จบ ป.4 แล้วก็ต้องออกไปช่วยพ่อแม่ทำมาหากินแล้ว ส่วนพี่ๆ ที่เหลือมีโอกาสเรียนได้ถึงแค่ มศ.3 (สมัยก่อนเรียก มศ.จริง ยังอยู่ในระบบเก่าอยู่) ผู้เขียนเป็นคนสุดท้อง ได้เรียนมากที่สุดในครอบครัวแล้ว แต่ก็แค่จบ.ปวส. (อาชีวะ) ก็ต้องออกมาหางานทำแล้ว เพราะรู้สึกว่าสงสารพ่อแม่ที่ต้องหาเลี้ยงเรา และท่านอายุมากแล้ว ผู้เขียนเลือกที่จะไม่ไปร่ำเรียนในระบบมหาวิทยาลัย ที่ต้องใช้เวลาเรียนอีก 4 ปี ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะสามารถเอ็นทรานซ์ติดมหาลัยรัฐหรือไม่ (สมัยผู้เขียนยังใช้ระบบเอ็นทรานซ์) จึงเบนเข็มไปเรียนอาชีวะดีกว่า เพื่อจบมาจะได้หางานได้เร็วและง่ายกว่า ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทันทีที่ผู้เขียนยังไม่ทันเรียนจบเทอมสุดท้ายในช่วง ปวส.ก็มีสถาบันการเงินชั้นนำมาจองตัว และเชิญให้ไปสมัครทำงานแล้ว ทำให้ผู้เขียนได้ทำงานเร็ว คือเรียนจบก็ได้งานทำเลย ไม่มีช่วงว่างของการไปเดินสมัครหางาน เดินเตะฝุ่น เหมือนเพื่อนๆ คนอื่นเขา

และเพราะสถานที่ทำงานแรกนี้เอง ที่ได้ฟูมฟัก หล่อหลอม สร้างชีวิตให้ผู้เขียนได้มีรายได้ มีทักษะการทำงาน ได้รับความรู้ ประสบการณ์ การมีระเบียยวินัยในตนเอง การประพฤติตนเป็นผู้ใหญ่ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมเป็นกับเขาเหมือนกัน ที่สำคัญผู้เขียนได้มิตรภาพที่ดีในที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานดี มีน้ำใจ หลายคนยังคบเป็นเพื่อนสนิทมาจนถึงปัจจุบัน การมีหัวหน้า เจ้านายที่ดี และมีลูกค้าที่เอ็นดู และคอยอุปถัมภ์ค้ำจุนเป็นอย่างดี  นี่เป็นสาเหตุทีทำให้ผู้เขียนมีช่วงชีวิตในการทำงานประจำ หรือเป็นมนุษย์เงินเดือนในที่ทำงานแห่งนี้อย่างยาวนานถึง 13 ปี กลายเป็นหนูติดจั่น มีชีวิตการทำงานโดยภาพรวมถือว่าค่อนข้างมีความสุข โดยไม่เคยคิดว่ามันคือหลุมพรางของความเคยชิน ด้านชา ขาดความกระตือรือร้น ที่จะทะเยอทะยาน หรือคิดนอกกรอบ ออกจากคอมฟอร์ตโซน อันใหญ่โตและอบอุ่นนี้ไป เสมือนหนูถีบจั่น มีอาหารให้กินทุกมื้อ แต่ต้องแลกด้วยการทำงานอย่างหนักและยากขึ้นทุกปี เพื่อแลกกับเงินเดือนที่นายจ้างมอบให้ ถ้าวันใดหรือช่วงเวลาใด หนูตัวนี้ขี้เกียจ ก็จะถูกลดอาหาร หรือไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนไม่ขึ้น และถูกโยกย้ายไปในตำแหน่งงานที่ตนเองไม่คุ้นชิน และทำงานยาก เต็มไปด้วยปัญหาท้าทายมากมาย แต่ครั้นต้องการที่จะออกจากสภาพปัญหา ความกดดันของนายจ้างก็ไม่ทันเสียแล้ว เปรียบเปรยแล้วเหมือนหนูติดจั่น นั่นเอง

ผู้เขียนตระหนักถึงปัญหาของตนเอง นับตั้งแต่ตอนที่ตนเองมีอายุการทำงานเข้าสู่ปีที่ 11 แล้ว พยายาม หาทางออกของชีวิตอยู่หลายรูปแบบ เช่น ต้องการเปลี่ยนงาน แอบไปสมัครงานทิ้งไว้ ไปสัมภาษณ์งานในที่ทำงานแห่งใหม่ที่ตนเองไปสมัครทิ้งไว้ ระหว่างทางของการทำงานก็ไปศึกษาต่อปริญญาตรีภาคพิเศษเพื่อให้ตนเองมีวุฒิปริญญาตรี และในเวลาต่อมาที่จบปริญญาตรีมาแล้วซักพัก ก็ไปเข้าคอร์สเรียนกวดวิชาเพื่อสอบต่อปริญญาโท จากนั้นจึงไปสอบเรียนต่อปริญญาโทหลายครั้ง ใน 2-3 สถาบัน สุดท้ายก็สามารถสอบติดในสถาบันแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นจังหวะเวลาที่พอดิบพอดีกับช่วงรอยต่อ จุดหักเหสำคัญ ที่ผู้เขียนต้องการเปลียนงานพอดิบพอดี และเริ่มอิ่มตัว และไม่ค่อยพอใจกับการทำงานในที่ทำงานแห่งเดิมนี้แล้ว (อย่าลืมว่าผู้เขียนเรียนจบและทำงานอยู่ที่ทำงานแห่งนี้แห่งเดียว ไม่เคยเปลี่ยนงานเลยเป็นเวลายาวนานกว่า 13 ปี)

ผู้เขียนจะไม่ขอเล่าว่า ตนเองประสบปัญหาอะไรในที่ทำงานแห่งนี้ และอะไรเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานเดิม (เดี๋ยวเล่าไปจะรู้เอง) และเว้นระยะเวลาไป 1 ปีเต็มๆ ที่ไปเรียนหนังสือ (ปริญญาโท) เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำงานประจำ แล้วจึงกลับมาทำงานในที่ทำงานแห่งใหม่ เมื่อเข้าสู่การเรียนปริญญาโทในช่วงขึ้นปีที่ 2 แล้ว ซึ่งมันส่งผลดีต่อผู้เขียน เพราะว่าการเรียนโทของผู้เขียน ในปีแรกถือว่าหนัก เพราะว่าผู้เขียนต้องต่อสู้กับการเดินทางไปเรียนให้ทันในช่วงเย็น ในขณะที่ยังทำงานประจำอยู่ แล้วงานยังไม่เสร็จ เต็มไปด้วยปัญหาที่ต้องเคลียร์งานกับหัวหน้างาน กับเพื่อนร่วมงานที่เทงานมาให้เรารับผิดชอบเพียงคนเดียว และสำทับด้วยปัญหาของลูกค้าที่รอการแก้ปัญหาจากเราเพียงคนเดียว พอกว่าจะเคลียร์งานเสร็จ กว่าจะฝ่าการจราจรรถติดของกรุงเทพไปหาเพื่อนๆ ที่นัดแนะกันทำรายงานกลุ่ม กลายเป็นว่าเราไปไม่ทัน หรือบางครั้งไปถึง เขาประชุมกันเสร็จแล้ว เรากลายเป็นตัวถ่วงของเพื่อนในกลุ่มไป นี่คือปัญหาที่ทำให้ผู้เขียนเกิดความล้มเหลว ทั้งในด้านการงานและการเรียน เพราะเราไม่สามารถทำ 2 สิ่งนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีไปพร้อมกันในระยะเวลาเดียวกัน

การที่ผู้เขียนได้ไปเรียนต่อโท เหมือนกับการได้ไปเปิดโลกทรรศน์ใหม่ให้กับตนเอง ได้ไปเจอเพื่อนๆ จากหลากหลายสาขาอาชีพ หลากหลายนิสัยใจคอ หลากหลายฐานะชนชั้น เปรียบเสมือนย่อสังคมของคนมีฝันเล็กๆ เอามาไว้อยู่ร่วมกัน ยังไม่นับรวมวิชาความรู้ ที่ได้จากการมาศึกษาต่อ แม้นว่าปลายทางแล้ว ผู้เขียนเพิ่งมาตกผลึกทีหลังว่า รู้สึกว่าเงินทุนที่ใช้ในการมาศึกษาต่อปริญญาโทนั้น ไม่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้เท่าไหร่ หากว่าเป็นในสมัยนี้ ผู้เขียนอาจเลือกที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์อย่างอื่นแทนจะดีกว่า เพราะมันมีช่องทางที่จะเราจะศึกษาหาความรู้แบบที่ได้จากการเรียนโท ได้จากสื่ออินเตอร์เน็ต โซเชียล ได้หมดแล้ว และความรู้ที่ได้จากการเรียนมา ในขณะนี้ หากเราไม่ update มันกลายเป็นความรู้ที่ตกยุค ตกสมัยไปหมดแล้ว ใช้การไม่ได้ ในโลกยุคปัจจุบัน เหมือนความรู้ที่เรียนมาบางอย่างต้องเอาไปโยนทิ้งเสีย แต่สิ่งที่ได้จริงๆ ก็คือมิตรภาพที่แท้จริงๆ จากเพื่อนๆ สังคมเพื่อนฝูงที่เรียนโทด้วยกันมา ส่วนเรื่องคอนเนคชั่นนั้น พูดยาก มันขึ้นอยู่กับ เราได้ไปคลุกคลีตีโมงกับใคร คนไหน ไอ้คำว่าคอนเนคชั่น เป็นเพียงมายาคติ ที่จับต้องไม่ได้ และมันก็ไม่ยั่งยืนเสมอไป ฟังดูโดยรวมแล้วเป็นนามธรรมมากๆ สำหรับผู้เขียน

ผู้เขียนไม่ได้มีความคิดต่อต้านการเรียนโทนะ แต่ว่า ใครมีตังค์ อยากเรียนก็เรียนไป แต่ถ้าผู้เขียนย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่ยอมเสียเงินไปเรียนโทอย่างเด็ดขาด ผู้เขียนยอมรับว่าตนเองหลงไปกับค่านิยมว่า การเรียนโทจะทำให้นำมาปรับวุฒิ อัพสถานะที่ทำงานได้ หรือเรียนโทแล้วจะทำให้เรามีคอนเนคชั่นที่ดี ไว้ติดต่องาน มีเครือข่าย พันธมิตรมาเอื้อกับธุรกิจ กิจการของเราได้  ผู้เขียนบอกเลย ถ้าคุณคิดจะตัดสินใจว่าอยากเรียนโท ขอให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า คุณอยากได้ความรู้จริงๆ ของการเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนถ้าไปเรียนโทเพียงเพื่ออยากได้คอนเนคชั่น ไปหาเอาจากการเข้าชมรม สมาคม หรือคอร์สเรียนอะไรอย่างอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเป็นหลักหลายๆ แสน เพื่อแลกกับการได้คอนเนคชั่นลมๆ แล้งๆ อะไรจากการเรียนโทเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันได้แค่มิตรภาพดีๆ กับใครไม่กี่คนเท่านั้นเอง จริงๆ

เข้าสู่หัวข้อเสียที สาธยายเรื่องประสบการณ์ทำงานกับการเรียนโท เสียยืดยาว ไม่เกี่ยวอะไรกับหัวข้อก็คือ “เข็มทิศ และหางเสือ”  เลย






เข็มทิศ ก็คือเครื่องมือที่ทำให้เรารู้ว่าทิศไหนอยู่ตรงไหน เหมือนเรามีแผนที่ หากเราต้องการเดินทางไปในทิศไหน แล้วมีเจ้าเข็มทิศนี้ เราก็จะเดินทางไปได้ถูกทิศถูกทาง เปรียบเสมือน เรารู้ว่าเรามีเป้าหมายอยู่ตรงนี้ เรารู้ว่าถ้าเราจะไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ต้องเดินไปในทิศทางนี้นะ จะออกนอกลู่นอกทางไปทิศอื่น ก็จะไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ หรือท้ายสุด คุณต้องเสียเวลาเดินย้อนกลับมาที่ทิศทางที่ถูกต้องอยู่ดี จึงจะถึงเป้าหมาย

ส่วนหางเสือ ก็คือเครื่องมือที่คอยบังคับทิศทางให้เรือไปในทิศทางที่กำหนด หางเสือจึงเป็นเครื่องช่วยบังคับทิศทางเฉยๆ ไม่ให้ล่องลอยไปอย่างสะเปะสะปะ เหมือนเอาเรือแจวไปลอยล่องอยู่ในทะเลมหาสมุทร คุณคิดว่าอีกกี่ชาติ กว่าคุณจะพายเรือไปถึงเป้าหมาย หากไม่มีเรือที่มีเครื่องยนต์ เป็นพาหนะขับเคลื่อนไป และเรือเครื่องยนต์ทุกชนิดจะต้องมีพวงมาลัยไว้บังคับหางเสือเรือ ซึ่งเป็นตัวบังคับทิศทางให้เรือเคลื่อนไป หากเป็นเรือหางยาว จะใช้ท่อปลายยาวของเครื่องยนต์ที่มีปลายท่อเป็นใบพัด นั่นแหละใช้แทนหางเสือเรือไปในตัว   

มีเข็มทิศ ก็เสมือนมีแผนที่ หรือมีความรู้ คัมภีร์หลักคิด ที่บอกคุณว่า ถ้าเราตั้งเป้าว่าต้องการเป็นอะไร เช่น ต้องการเป็นเถ้าแก่ มีกิจการเป็นของตนเอง ,ต้องการเรียนจบปริญญาโท ,ต้องการมีครอบครัว ,ต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง ที่ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง เป็นต้น เราต้องเดินไปในแนวทางนี้นะ ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ทำงานหาเงินอย่างไรให้ได้มากพอ ไปในทิศทางใด จึงจะถึงเป้าหมาย แต่การมีหางเสือเรือ ก็เสมือนเราจะต้องมีวินัย มีทักษะอะไรบางอย่างที่สำคัญและจำเป็นใช้หาเลี้ยงชีพตน ที่จะบังคับอะไร (ก็บังคับตัวเรานั่นแหละ) ให้เดินไปในทิศทางที่ถูกที่ควร ไปในทิศทางที่ตรงกับเป้าหมายนั้น ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เช่นนั้นก็จะไปไม่ถึงดวงดาว หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้

ผู้เขียนคิดว่า คนเราจำเป็นต้องมีทั้งเข็มทิศและหางเสือ จึงจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เพราะว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของกรอบความคิดที่ว่า ปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ

เข็มทิศคือตัวบอกทาง แต่บอกทางแล้วไง ถ้าคุณไม่ผลักดันขับเคลื่อนด้วยตัวคุณเอง นั่นคือมีหางเสือเรือ เป็นตัวขับเคลื่อน บังคับทิศทาง หรือตัวคุณ ให้ก้าวเดินไป


เอกสารอ้างอิงประกอบบทความ
หนังสือพ่อรวยสอนลูก http://textbookfree55.blogspot.com/2017/03/1-download-free-pdf-e-book.html

บทความการตั้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคไปสู่จุดหมาย http://besterlife.com/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95/

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเดินทางของชีวิต (1) และอิสรภาพ ชุดที่ 1 หลักคิด (Mindset)



Mindset ส่งผลต่อชีวิตผู้เขียนอย่างไร

คำๆ นี้ แปลว่าอะไรกันแน่ ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจ แต่เข้าใจเอาเองว่า น่าจะหมายถึง จิตเป็นตัวกำหนด หรือ ความคิดเป็นตัวกำหนด  ถามว่ากำหนดอะไร ก็กำหนดพฤติกรรม หรือการแสดงออกของเรานั่นแหละ
ผู้เขียนเพิ่งมารู้จักคำๆ นี้เมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะได้ยินเอาจากบรรดานักวิชาการ กูรู ผู้รอบรู้ทางด้านธุรกิจ หรือ การดำเนินชีวิต มักจะกล่าวถึงคำๆ นี้ให้ได้ยินบ่อยๆ ผ่านสื่อต่างๆ ในระยะหลัง
ในวัยเด็ก ต้องบอกว่า ผู้เขียนใช้ชีวิตแบบเล่นสนุกไปวันๆ ไม่มีกรอบความคิด หรือการวางแผนชีวิตอะไรใดๆ ทั้งสิ้น 

ความคิด ทัศนคติ จิตใจ พฤติกรรม การแสดงออก ล้วนเป็นสิ่งที่สั่งสมมาจากการเรียนรู้ ประสบการณ์ในชีวิตของตนเอง สิ่งใดที่เคยทำผิดพลาดพลั้งไป เราก็จะจำ หมั่นคิดทบทวน หรือพยายามศึกษา หาคำตอบ มาเป็นบทเรียนให้แก่ตนเอง ไม่ให้ทำผิดพลาดในเรื่องนั้นซ้ำอีก แต่หากเป็นเรื่องดี เราก็จะนำมาคิดทบทวน และคิดต่อยอด หรือนำมาเป็นแรงบันดาลใจ กำลังใจ ให้ก้าวเดินต่อไปในทางที่ถูกต้อง และหมั่นทำสิ่งนั้นสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก

ผู้เขียนมีชีวิตในวัยเด็กอยู่ในช่วงยุค 70’s วัยร่ำเรียนหนังสืออยู่ในยุค 80’s  และเริ่มชีวิตการทำงานในยุค 90’s ซึ่งมันเป็นช่วงชีวิตที่ผู้เขียนรู้สึกว่า มีความสนุกสนาน มีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขั้นสุด ราวกับวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ จนมีคนค่อนขอดว่ายุค 80’s-90’s เป็นยุคโลกสวย ที่ทุกสิ่งในโลกเต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะวงการอะไร มนุษย์ผู้คนยังไม่มีการแข่งขันกันมากมาย เอาเป็นเอาตายเหมือนยุคดิจิตอลในยุคนี้  สิ่งประดิษฐ์ ของสะสม เรื่องราวไร้สาระแต่มีสาระสำหรับคนยุคนนั้น ล้วนเกิดในช่วงยุคนั้นทั้งสิ้น อาทิ  เกมบอย เพจเจอร์ รถทามิยา ทามาก็อตจิ ของเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตา โมเดลหุ่นยนต์ ซุปเปอร์ฮีโร่ แฟชั่นแต่งกายกางเกงขาบาน รองเท้าส้นตึก เสื้อสายเดี่ยว เกราะอก ของสะสมพวกการ์ด เหรียญ แสตมป์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แม้กระทั่งตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ ก็เกิดในยุคนั้น  ฯลฯ

คิดดูว่ามนุษย์แบบผู้เขียนหรือคนที่มีชีวิตในยุคเดียวกัน จะมีความสุข กลายเป็นมนุษย์สุขนิยมขนาดไหน เพราะถูกหล่อหลอมมาด้วยเรื่องราวที่อยู่ในยุคโลกสวย






แต่พอผ่านชีวิตมาจนถึงยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้มา ฆ่าทำลาย สิ่งต่างๆ ที่เคยมีอยู่ในยุคโลกสวย (ขอใช้คำนี้แทนคำว่ายุคอนาล็อกแทน) จนเกือบหมดสิ้น แม้ว่าผู้เขียนไม่ได้ต่อต้านสิ่งที่มาใหม่ แต่ก็รู้สึกใจหาย และก็รู้สึกว่าตนเองต้องปรับตัวเป็นอันมาก เพื่อให้สามารถอยู่บนโลกที่มีการเปลียนแปลงอยู่ตลอดเวลาในยุคนี้ให้ได้

บางครั้งคนที่เกิดมาในยุคดิจิตอล ก็มีข้อดี ข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าคนยุคก่อนเป็นอันมาก เช่น เรียนรู้เทคโนโลยีได้ไวกว่า เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เกมคอมพิวเตอร์ ไลฟ์สไตล์ที่เป็นปัจเจกและแปลกแยก แตกต่างจากคนยุคก่อน แต่ก็มีบางอย่างที่คนยุคก่อนได้เปรียบและเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตในยุคโลกสวยมาก่อน ซึ่งไม่อาจหาซื้อได้ด้วยเงิน หรือย้อนเวลากลับไปได้  

ช่วงชีวิตนึง ผู้เขียนรู้สึกว่าตนเองเคยตัดสินใจผิดพลาด ทั้งๆ ที่ตนเองมีโอกาสที่จะได้เรียนสายวิทย์-คณิต และได้เข้าเรียนต่อ ม.4 ได้เลย (เนื่องจากอยู่ห้องคิง เพราะเรียนดี,ความประพฤติดี) ในสถาบันการศึกษาเดิม แต่กลับเลือกที่จะไปสอบเรียนต่อสายศิลป์ (อาชีวะ) ตามเพื่อน ในอีกสถาบันนึง นี่เป็นจุดหักเหแรก ที่ผิดพลาดของผู้เขียน ซึ่งผุ้เขียนคิดว่า ถ้าตอนนั้นเลือกที่จะเรียนต่อสายวิทย์-คณิต ตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์แนะแนว ได้แนะนำไว้ ชีวิตการทำงานของผู้เขียนในปัจจุบันก็น่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (นี่คือความคิดที่เคยกล่าวโทษตนเองในอดีตที่ผ่านมา) ส่วนอีกจุดผิดพลาดนึง ซึ่งเป็นจุดหักเหในครั้งที่ 2 (ซึ่งผู้เขียนถือว่าเป็นจุดผิดพลาดมหันต์ครั้งใหญ่ของตนเอง) ก็คือนำเงินเก็บส่วนนึงไปลงทุนเล่นหุ้น แบบเก็งกำไร โดยไม่มีการประมาณตนหรือระมัดระวังเพียงพอ ทำให้เกิดความเสียหายจนหมดตัวและเป็นหนี้ตามมาอีกมาก จุดผิดพลาดในครั้งที่ 3 ก็คือ เลือกที่จะเอาเงินเก็บก้อนนึงของตนเอง (ที่สะสมมาจากการทำงานได้ระยะหนึ่ง) ไปเรียนต่อปริญญาโท แทนที่จะเอาไปลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนที่มีโอกาสทำกำไร และได้มีโอกาสเริ่มในการทำธุรกิจส่วนตัว มีประสบการณ์ทำธุรกิจด้วยตนเอง จุดผิดพลาดครั้งที่ 4 คือถูกเพื่อนที่ทำงานหลอกให้เข้าสู่ธุรกิจ MLM โดยอ้างว่าเป็นธุรกิจที่สามารถทำที่บ้านได้ โดยอาศัยอินเตอร์เน็ต แต่พอเข้าไปอบรมสัมมนาก็ถูกโน้มน้าวให้สมัครเป็นสมาชิก โดยช่วงแรกเขาจะพูดแต่ด้านดีของผลิตภัณฑ์ และผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่พอสมัครเข้าไปทำซักพัก เขาก็จะโน้มน้าวให้เราซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อทำยอดให้ได้ระดับ supervisor แล้วจะได้ส่วนลดในการสั่งซื้อจำนวนมากในฐานะ supervisor ก็เลยหลวมตัวทำตามไป มารู้ทีหลังว่ามันเป็นธุรกิจที่หาคนมาเป็นฐานต่อจากเราไปเรื่อยๆ จึงจะเติบโต สุดท้ายก็ต้องยอมถอนตัว คืนสินค้าไป แต่ก็ได้รับเงินกลับมาไม่ครบ กลายเป็นความสูญเสียครั้งที่ 4 แบบชนิดซื้อความรู้ด้วยความโง่และเสียเงินเป็นค่าสังเวยความโง่ไปอีก

ทั้งหลายเหล่านี้คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดในชีวิตของผู้เขียน ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตตามมา หรือทำให้ชีวิตพลิกผันไปในทางเลวร้าย ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดจากการที่ไม่มีหลักคิด หรือกรอบแนวคิดที่ถูกต้องมากำกับ หรือไม่มีข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ได้มีข้อมูลที่ดีพอ หรือมากพอ ให้เห็นภาพผลดี ผลร้าย หรือโทษมหันต์ หากว่าตัดสินใจไปในแนวทางใด แนวทางหนึ่ง อย่างไม่รอบคอบ ซึ่งก็คือไมมี Mindset ที่ดี นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนได้ผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาแล้ว จึงนำเรื่องนี้มาบอกเล่าเป็นอุทธาหรณ์ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงผลที่จะติดตามมา ผู้เขียนขอไม่เล่าไปถึงว่า ผู้เขียนต้องเผชิญอะไรบ้าง จากการตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียด แต่ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า มันส่งผลแน่ๆ ต่อชีวิตเรา หลังจากนั้น หากว่าการตัดสินใจนั้น ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของเรา

กลับมาที่คำว่า Mindset อีกที  ถามว่าคนเราจำเป็นต้องมี Mindset เป็นกรอบการดำเนินชีวิตหรือไม่
ผู้เขียนขอตอบแบบคนโง่ๆ ที่ไม่ได้มีภูมิความรู้อะไรว่า เคยคิดนะครับว่า มันไม่จำเป็น สำหรับคนในยุคก่อนนะ แต่ถ้าเป็นคนที่เกิดมาในยุคดิจิตอลแล้ว จำเป็นจะต้องมีครับ เพราะว่าโลกทุกวันนี้ มันสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก แบบไม่รู้กี่เท่า สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรามันพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง พลวัตต่างๆ กระแสโลกาภิวัฒน์ ข่าวสาร และเทคโนโลยีมันหมุนเร็วมาก ถ้าเรามีกรอบหรือระบบความคิดที่ดี มันจะสามารถทำให้เรามีหลักชัย ที่จะคิด ตัดสินใจ หรือก้าวเดิน ไปในทางที่ถูกต้อง เหมาะสม และไม่พลั้งพลาดได้ง่าย หรือบางคนอาจจะมีที่ปรึกษาไว้คอยช่วยเหลือปรึกษาก็ได้ เป็นตัวช่วยเรื่อง Mindset ก็ได้เหมือนกัน แต่หากเรามี Mindset เป็นของตนเองจะดีกว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ปรึกษาของเรา หรือคนไหน ที่มันเก่งจริง และคอยเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ทุกเรื่อง ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม (และยิ่งบางคนไปพึ่งพาหมอดู หมอเดาอะไรพวกนี้ ผู้เขียนไม่แนะนำครับ เพราะเกรงว่าจะถูกหลอกเอาเงินเสียมากกว่า)

คนเราสามารถเปลี่ยนแปลง Mindset หรือกรอบความคิดของเราได้ทุกเมื่อ หากเรามี Mindset ที่ดี ที่ถุูกต้องแล้ว เราจะอยู่ได้ในโลกที่วุ่นวาย สับสน ในยุคนี้ได้ครับ แบบที่ว่าสามารถปรับตัว รับกับสถานการณ์ความเลวร้ายได้ทุกเรื่อง อย่างมีสติ ไม่พลุ่งพล่านไปกับกระแส หรือคนรอบข้างอย่างแน่นอน



อ้างอิงบทความใกล้เคียงจากลิ้งค์นี้  https://kindlestartup.com/mindset%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/