วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 7 (สุกรีออกตามหาศรธนูที่ทำร้ายพระเทพวาชะบุตร และผู้หญิงทั้ง 5 ของสุกรี)



เนื้อหาในภาคที่ 3 จะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว มาถึงตอนแรก ก็เป็นฉากที่สุกรีบุกลักลอบเข้าไปยังพระราชวังปราสาทขาว เพื่อช่วยเหลืออมินตราออกมาจากวัง เนื่องจากเธอถูกจับได้ว่าหลบหนีมาอยู่บ้านของสุกรีที่แคว้นราโชทัย และยังแอบมีบุตรด้วยกัน ทำให้มนัสกษัตรโกรธมาก แต่การที่สุกรีบุกมาช่วยเหลืออมินตรานั้น เขาไม่ได้มาคนเดียว มาพร้อมสมุนที่เป็นพวกอมนุษย์จากเผ่าปายะ และวนัสปตี อีกทั้งยังมีบิดาของตน (ท้าวพิศาลสมุทร) ที่แอบติดตามมาช่วยเหลือด้วย โดยอำพรางตนเองด้วยชุมคลุมสีดำ ปิดหน้าเอาไว้ โดยท้าวพิศาลสมุทรเป็นคนควบคุมตัวมนัสกษัตรเอาไว้ได้ ทำให้ฝ่ายมนัสกษัตร จำยอมปล่อยตัวอมินตรา แต่ถึงจะไม่จำยอม ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ราบคาบอยู่แล้ว เนื่องจากกองกำลังของนวเกศ ไม่อาจต้านทานกองกำลังของเผ่าปายะ และสุดยอดฝีมือทั้งหลายไม่ได้ สุกรีขอปรึกษาราชครูศรีอาท เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในนวเกศ ที่สุกรีพอจะพูดคุยด้วยได้ เนื่องจากเคารพนับถือกัน ศรีอาทให้คำแนะนำต่อสุกรีว่า น่าจะไปเชิญพระเจ้าปัณณฑัต องค์พระปิยเรศ กลับมาครองราชย์ จากนั้นจับกุมตัวมนัสกษัตรไปขังในคุกมืด ส่วนพระวิเศษศาสตรา ที่แอบซ่อนร่างอยู่ในร่างของพราหมณ์หนุ่มที่เสียชีวิตก็ถูกเนรเทศออกจากนวเกศไป แต่สุดท้ายพระวิเศษศาสตราก็สามารถเอาชีวิตหนีรอดไปได้ ส่วนอำมาตย์ราชสิงห์ถูกควบคุมตัวไปส่งคืนมหิศนาศรังสรรค์ เนื่องจากเป็นข้าในมหิศธินาศ ไม่ใช่คนของนวเกศ สุดท้ายพระเจ้าปัณณฑัต ปูนบำเหน็จรางวัลให้สุกรีเป็นพระโอรสบุญธรรม และตั้งใจจะยกบัลลังก์ให้ แต่สุกรีไม่ต้องการ เพราะตนเองยังเป็น หน.เผ่าปายะ มีภารกิจที่ต้องสะสางอีกเยอะ  ระหว่างกำลังจะออกเดินทางกลับ ศรีอาทซึ่งไปลาออกจากพระเจ้าปัณณฑัต เพื่อขอติดตามเป็นข้ารับใช้สุกรี เพราะเห็นว่าสุกรี มีลักษณะความเป็นผู้นำ และจะสามารถกอบกู้แผ่นดินได้ แม้เมื่อก่อนตนเองจะเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของสุกรีมาก่อน แต่ว่าสุกรีตอนนี้เปลี่ยนแปลงสถานภาพไปเป็นถึง หน.เผ่าปายะแล้ว จึงยอมสวามิภักดิ์ต่อสุกรีด้วยใจบริสุทธิ์ ทำให้สุกรีซาบซึ้งใจ ที่ราชครูศรีอาท ยอมติดตามตนไปเป็นขุนพลข้างกาย 

สุกรียกกองกำลังกลับจากนวเกศเพื่อจะกลับไปยังกรุงโลกา ระหว่างทางไปเจอกองทัพครุฑซึ่งมีผู้นำคือพญาครุฑสีห์ จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น เนื่องจากกองทัพครุฑกำลังบุกเข้ายึดกรุงโลกา ระหว่างการต่อสู้กันอยู่นั้น ร่างทรงพญาครุฑสีห์เกิดออกจากร่างอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้ร่างของพญาครุฑสีห์ซึ่งก็คือเจ้าชายอธิกบุศย์ ล้มลง นอนหมดสติ เมื่อสุกรีพบเห็น จึงมึนงงสงสัย พอถามแม่ทัพอัษฏาคม จึงทราบว่า ที่แท้เจ้าชายอธิกบุศย์กลายเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์โดยถูกควบคุมโดยอำนาจของมหาครุฑทวยเทพ โดยตัวขององค์ชายอธิกบุศย์ ไม่ได้มีเจตจำนงที่จะบุกยึดกรุงโลกาแต่อย่างใด สุกรีจึงเข้าใจ พออธิกบุศย์ตื่นฟื้นขึ้นมา พบเห็นสุกรี จึงเกล่าวทักทาย และต้องการอยากได้สุกรีมาเป็นพันธมิตรกัน สุกรีซึ่งรู้จักกับเจ้าชายอธิกบุศย์ดีอยู่แล้ว (เนื่องจากเป็นโอรสของราชินีรุจิเรขรัศมี) ผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของสุกรี ทำให้สุกรีปวารณาตัวขอรับใช้เป็นข้าในเจ้าชายอธิกบุศย์ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของบรรดาขุนพลคู่ใจของสุกรีทั้งหมด ที่มองว่าสุกรีมีศักยภาพเป็นกษัตริย์ แต่เหตุไฉนจึงยอมตนเป็นข้าของเจ้าชายผู้อ่อนแอผู้นี้ได้ สุกรีต้องต่อสู้กับสภาพจิตใจตนเองและต่อสู้กับความคิดของบรรดาสมุนบริวารที่จงรักภักดีต่อเขา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดผู้มีฝีมือ แต่ท้ายสุด สุกรีบอกกับพระครูศรีอาท ที่ปรึกษาของตนว่า ถ้าเราไม่ช่วยเหลือพระเจ้าอธิกบุศย์ จะไม่มีใครเป็นผู้นำเพื่อรักษาอธิปไตยของอาณาจักรนิมิตนครไว้ได้ เพราะในเวลานั้น พระเจ้าอติภพภูวนารถกับพระมหาเทพราชาต่างสิ้นพระชนม์ด้วยฤทธิ์เดชของมหาครุฑทวยเทพไปแล้ว ส่วนที่นพธารานครก็เพิ่งสูญเสียพระเจ้าเอกสิทธาธิราชจากเงื้อมมือของพวกจาม,ขอมไปหมาดๆ เวลานี้กลายเป็นว่าทั้ง 3 นครรัฐ มีกษัตริย์เป็นวัยรุ่น 2 คือพระเจ้าอธิกบุศย์แห่งอมรเมฆาธานี กับพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราชแห่งนพธารานคร ส่วนกรุงโลกาบรรณพิภพมีเพียงพระราชินีอุทัยวรรณรักษาการในตำแหน่งกษัตริย์ เนื่องจากองค์รัชทายาทเป็นหญิงคือเจ้าหญิงอรอนิน (ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว องค์รัชทายาทหากเป็นหญิงจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์) ส่วนองค์รัชทายาทอีกคน หายสาบสูญ เวลานี้ยังไม่พบเจอตัว ทำให้แผ่นดินของอาณาจักรนิมิตนคร ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง มีกษัติรย์เด็กที่ยังไม่มีศักยภาพและบารมีมากพอ อีกทั้งกรุงโลกาเพิ่งบอบช้ำจากการถูกรุกรานจากพวกจามและขอม ทำให้ในเวลานี้ปราศจากผู้นำที่จะประสานความสามัคคี ปรองดองต่อกัน กลายเป็นปฏิปักษ์กันเอง ซึ่งตัวอย่างที่พอจะยกให้เห็นก็คือมหาครุฑทวยเทพมีรับสั่งให้บุกยึดครองกรุงโลกาและนพธารา เพื่อให้กลายเป็นปึกแผ่นเดียวกัน และรวมเรียกอาณาจักรนี้ใหม่ว่า ลิขิตเทพ แต่มหาครุฑทวยเทพทำได้เพียงยึดครองกรุงโลกา แต่ไม่สามารถเอาชนะและยึดครองนพธารานครได้ กองทัพครุฑพ่ายแพ้ต่อกองทัพนาคของนพธารานคร สุดท้ายสุกรีให้คำปรึกษาพระเจ้าอธิกบุศย์ (ซึ่งในตอนนั้นเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์) ว่าให้ถอนทัพ เพราะถ้ารบต่อไป จะสูญเสียกองกำลังไปมากกว่านี้ และมองเห็นว่าอย่างไรเสีย ศักยภาพของกองทัพครุฑไม่สามารถเอาชนะกองทัพนาคได้ ต่อให้สุกรีไปร่วมทำศึกด้วย ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะด้วยชัยภูมิที่พิสดารและได้เปรียบของนพธารา (เป็นเกาะ 9 เกาะที่เคลื่อนไหวได้ อีกทั้งมีฝูงพญานาคพ่นไฟลอยตัวอยู่ในทะเลอีกจำนวนมาก ยังไม่นับรวมกองกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพของนพธารา อย่างไรเสียรบไปก็แพ้ราบคาบ ไม่มีทางสู้ ยังไม่นับว่า นพธารายังมีพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ เกจิอาจารย์ผู้เก่งกาจเรื่องคาถาอาคม ที่ไม่มีใครต่อกรได้  ท้ายที่สุดอธิกบุศย์ก็ยอมเชื่อสุกรี ถอนทัพที่เพิ่งสูญเสียไปเพียงครึ่งนึงของกองกำลังที่ยกพลไปรบกลับทั้งหมด จากนั้นมหาครุฑทวยเทพกับพญาครุฑสีห์เสด็จอวตารกลับยังสรวงสวรรค์ ทำให้อธิกบุศย์กลับมาเป็นตัวของตัวเอง จากนั้นก็ทำพิธีฉลองอาณาจักรใหม่ที่ตนเองสถาปนาขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่าอาณาจักรลิขิตเทพ (ครอบครอง 2 นครรัฐคือกรุงโลกากับอมรเมฆาธานี) และเปลี่ยนพระนามเป็นพระเทพวาชะบุตร ตามคำแนะนำของพระเวฬุวันปุโรหิต ระหว่างที่ทรงเสด็จด้วยนกมังกรไฟ เพื่อเสด็จเยี่ยมเยียนราษฏร และต้องการชมทัศนียภาพอาณาเขตโดยรอบของราชอาณาจักร ปรากฏเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อมีศรธนูที่ไม่ทราบว่าเป็นของใคร และพุ่งมาจากทางไหน พุ่งตรงเข้าเสียงกลางอกของพระเทพวาชะบุตร ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส สุกรีเข้าไปช้อนร่างของพระองค์ไว้ได้ทัน จากนั้นนำตัวมารักษาที่อมรเมฆวิมาน ไปกราบเรียนเชิญพระอาจารย์ใหญ่ฤษีอิสรดาบุถ กับพระเวฬุวันปุโรหิต มาช่วยดูพระอาการของพระองค์ ทั้ง 2 เกจิต่างลงความเห็นว่า ไม่มีทางรักษาโดยง่าย เนื่องจากศรธนูที่ว่า ไม่สามารถดึงออกโดยพลการได้ เนื่องจากลงคาถาอาคมไว้ ต้องไปตามหาให้เจอว่าเป็นศรธนูของใคร แล้วให้เจ้าของศรธนุนั้น มาบริกรรมคาถาเพื่อถอนฤทธิ์คาถาก่อน จึงนำศรธนูออกได้ มิเช่นนั้น พระเทพวาชะบุตรจะต้องสิ้นพระชนม์หากถอนศรธนูออกมาเอง





เรื่องราวครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของสุกรี และมันทำให้เห็นว่าสุกรีนั้นใจมากๆ ให้กับพระเทพวาชะบุตร (นายน้อยของผู้มีพระคุณของตน) จึงอาสาว่าจะออกตามหาเจ้าของศรธนูให้เจอตัว และเอาตัวมาบริกรรมคาถาเพื่อถอนศรธนุออกให้ได้ แม้จะต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเพื่อออกตามหาก็จะยอมทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ งานนี้เดือดร้อนสมุนบริวารของสุกรีหลายคนด้วย รวมถึงบิดาของสุกรี ท้าวพิศาลสมุทรจำต้องมาทำหน้าที่ หน.เผ่าปายะ ระหว่างที่สุกรีไม่อยู่ ไปทำภารกิจออกตามหาเจ้าของศรธนู เพื่อช่วยเหลือพระเทพวาชะบุตร ซึ่งมันมีระยะเวลาบีบอยู่ด้วย คือต้องทำให้สำเร็จภายใน 1 เดือน ถ้าช้ากว่านั้น พระเทพวาชะบุตรจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว อาจสิ้นพระชนม์ไปก่อน เรื่องนี้จึงต้องทำเพื่อแข่งกับเวลาด้วย สุกรีดั้นด้นเดินทางไปหลายที่ ทั้งไปนพธารานคร ไปรัฐจาม จนกระทั่งรู้เบาะแสว่าควรจะต้องเดินทางไปยังรัฐกลิงคะ เพราะศรธนูรูปแบบดังกล่าวมีแพร่หลายอยู่ในกลิงคะ และการที่สุกรีเดินทางเข้าสู่กลิงคะ โดยได้พ่อค้าคนหนึ่งช่วยเหลือ เมื่อเข้าสู่แผ่นดินกลิงคะก็เกิดเรื่องทันที เมื่อสุกรีไปเห็นการแข่งขันกีฬาระหว่าง 2 นครรัฐ ระหว่างกลิงคะกับศรีวิชัย พบเห็นอลิสกาปูร์เป็นผู้ชนะจากการแข่งขันยิงธนูไกล ทำให้สุกรีเข้าใจผิดคิดว่าอลิศกาปูร์น่าจะเป็นเจ้าของศรธนูนั่นจึงจับตัวอลิศกาปูร์มารีดข้อมูล และข้อเท็จจริง แต่อลิศกาปูร์ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง และให้รีบปล่อยตัว แต่สุกรีนึกว่าอลิศกาปูร์โยกโย้เพราะมีลูกเล่น จนทำให้อลิศกาปูร์โกรธ พอหลบหนีมาได้ จึงไปร้องเรียนต่อเจ้าหญิงวิษธ์ราณี เจ้าหญิงผู้มีอำนาจในกลิงคะ ที่อลิศกาปูร์ตอนนั้นเป็นกิ๊กของพระองค์อยู่ สุกรีถูกกับดักของกองกำลังทหารกลิงคะจนถูกจับกุมตัวไว้ได้ และถูกควบคุมตัวไปให้เจ้าหญิงวิษธ์ราณีสอบสวน ทันทีที่เจ้าหญิงวิษธ์ราณีเห็นสุกรี ก็เกิดสะดุดตาและปิ๊ง อยากทำสามี จึงออกอุบายให้อลิศกาปูร์ออกจากตำหนักส่วนพระองค์ไปก่อน จากนั้นก็ทรงสอบสวนสุกรี ว่าเป็นใคร มาจากไหน และมาทำอะไร จนรู้จุดประสงค์ของสุกรีว่าต้องการมาหาผู้ที่เป็นศรธนูปริศนา ที่ยิงไปถูกองค์เหนือหัวของตน เจ้าหญิงวิษธ์ราณี พอจะอนุมานได้ว่า ศรธนูชนิดนี้มีอยู่จริงในกลิงคะ และผู้ใช้คาถาอาคมโดยการบริกรรมคาถาก่อนยิง ต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดา ระดับอลิศกาปูร์ไม่มีทางจะทำเช่นนั้นได้ และในแผ่นดินก็มีเพียง 1-2 คนเท่านั้น ที่พอจะอยู่ในข่าย และในเวลานี้ ทั้ง 2 คนกำลังอยู่ในกลิงคะแล้วด้วย (ก็คือเจ้าชายนัชปาล น้องชายขององค์หญิงวิษธ์ราณี กับอีกคนเป็นนักบวชพราหมณ์/นักรบศรีวิชัย ที่มีนามว่า พิกัปป์มนู เป็นพระสหายของนัชปาล) จากนั้นวิษธ์ราณีจึงยื่นเงื่อนไขให้สุกรีว่า ถ้าตนสามารถพาสุกรีไปพบบุคคลต้องสงสัยยิงศรธนูนั้นได้ สุกรียินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กับพระองค์อย่างเต็มใจหรือไม่ สุกรีตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า เต็มใจ เพราะต้องการอยากช่วยเหลือพระเทพวาชะบุตร จึงทำให้สุกรีถูกกระทำชำเราจากวิษณ์ราณีอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่อย่างว่า เกิดเป็นชาย อย่างไรเสียก็ไม่สึกหรอในเรื่องพรรณ์นี้หรอก ขี้คร้านจะเปรมปรีด์เสียอีก ต้องขอบใจองค์หญิงที่มอบความสุขนี้ให้ อย่างน้อยก็ผ่อนคลายความเครียดให้กับสุกรีได้เยอะเลย




พูดถึงผู้หญิงของสุกรี ในเรื่องมีผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของสุกรี 5 คน ไม่ด้อยไปกว่าเตียบ่อกี้แห่งดาบมังกรหยกเลย  คนแรกคือภริยาพระราชทาน ก็คืออมินตรา คนนี้แม้จะไม่ชอบกันมาก่อน แต่อยู่กินกันไปก็เกิดเป็นความรักขึ้นมา และมีโซ่ทองคล้องใจก็คือ สุอามิน คนที่ 2 คือคะฉิ่นน้อยหรืออุรามณี คนนี้สุกรีไม่ได้รักเพียงตกกระไดพลอยโจน ทำให้ต้องรับเธอมาไว้เป็นข้ารับใช้ และเป็นเมียลับๆ ที่ไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปได้รับรู้  คนที่ 3 ก็คือมยุราภาวดีหรือแม่หญิงนางพญา หน.เผ่าปายะ คนนี้จะเรียกว่าเป็นคนรักของสุกรีได้มั๊ย เธอเป็นมากกว่านั้น เธอเป็นอดีตคนรักของบิดา ที่บังเอิญมาพบเจอ จึงทำให้อยากมีอะไรกับสุกรี เพียงเพราะว่าอยากได้สายเลือดเป็นสายเลือดเดียวกับบิดาของสุกรี และภายหลังถ่ายทอดพลังวัจน์ให้กับสุกรีจนหมดสิ้น และยังมอบตำแหน่ง หน.เผ่า และคำสั่งเสียสุดท้าย มอบอำนาจให้สุกรีจัดการภายในเผ่า และช่วยดูแลบุตรที่เกิดจากมยุราภาวดีกับสุกรี ที่ชื่อ ภาวสุ จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ แล้วค่อยยกตำแหน่ง หน.เผ่าคืนกลับมายังบุตรของตน  คนที่ 4 ก็คือองค์หญิงวิษธ์ราณี คนนี้ถ้านับเป็นผู้หญิงของสุกรีอีกคนนึง แต่ก็ต้องถือว่าเป็นคนเดียวที่สุกรีไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด แค่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันแค่นั้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย  คนสุดท้ายก็คือ สุวีญาเทวี คนนี้คือคนที่สุกรีรักที่สุด เป็นอดีตพระชายาของพระเจ้าปัณณฑัต ที่ต้องสูญเสียทั้งพระสวามีและโอรสในท้อง เนื่องจากเธอพลาดไปทำให้โอรสในท้องแท้งเสียก่อน ทำให้เธอเสียใจมาก เพราะเท่ากับทำให้พระเจ้าปัณณฑัตหมดสิ้นองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์นวเกศ สุกรีซี่งตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะเข้ามากอบกู้บัลลังก์นวเกศให้กับพระเจ้าปัณณฑัต จึงต้องทำตามคำแนะนำของ โจเซฟกฤษณ์ ประมุขแห่งคริสตจักร หรืออยู่ในฐานะของ กุนซือและข้าราชบริพารเก่าแก่ที่สุดของนวเกศ ที่แนะนำให้สุกรีมีอะไรกับสุวีญาเทวีไปเลย เพื่อให้สุวีญาเทวีตั้งครรภ์พระโอรสขึ้นมาใหม่ และให้โอรสที่เกิดใหม่รับช่วงเป็นองค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปในอนาคต โดยที่สุกรีจะไม่อยู่ในฐานะพระราชบิดา แม้ในทางพฤตินัยจะใช่แต่ขอให้สุกรีและสุวีญาเทวี ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อไม่ให้พระเจ้าปัณณฑัตและสุวีญาเทวี ต้องเสื่อมเสียเกียรตยศและชื่อเสียง และให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล สุกรีไม่ยินยอมทำตามโจเซฟกฤษณ์แต่แรก และต่อว่าอย่างรุนแรงต่อโจเซฟกฤษณ์ แต่ท้ายที่สุด ก็จำต้องทำตามคำแนะนำของโจเซฟกฤษณ์ เพราะเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้นวเกศ ไม่สิ้นองค์รัชทายาทสืบทอดพระราชบัลลังก์ได้

ภาค 3 ในพาร์ทแรกจึงเป็นเรื่องราวของสุกรีที่ออกตามหาเจ้าของศรธนู แต่ในพาร์ทหลัง จะเป็นเรื่องราวใด จะมาเล่าต่อในตอนหน้า

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ตอนที่ 1 ไม่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์


นี่ไม่ใช่ชื่อหนังสือของคุณวีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ จากผลงานเรื่องสั้นชื่อเดียวกัน แต่นี่คือ ภาพสะท้อนของสังคมไทยในเวลานี้ ที่คนในสังคมเหมือนไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต คือทุกคนกำลังเดือดร้อน เหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้าลวก พยายามหาทางดิ้นหนีตาย หรือกระดื๊บๆ คืบคลาน เพื่อหาทางออกจากวังวนเขาวงกต แต่ทำยังไงก็ออกจากปัญหาไปไม่ได้ วนกลับมาในจุดเดิม แล้วก็หาทางออกอะไรไม่ได้สักเรื่อง


ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การคมนาคมขนส่ง สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาครอบครัว ความเสื่อมของสังคมศาสนา บลาๆๆ ยังไม่นับว่าเรากำลังเผชิญปัญหาในเชิงโครงสร้างใหญ่อย่างปัญหาสงครามการค้า การครอบงำทางวัฒนธรรม การแทรกแซงทางการเมืองจากประเทศมหาอำนาจ การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ (A.I.,Big Data,5G) เงินทุนใหญ่ จากบรรษัทขนาดใหญ่ หรือรัฐบาลต่างชาติ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เร็วแบบก้าวกระโดด จนเกิดสภาวะที่เรียกว่า Disruption ที่ทำให้ทั้งตัวเราและธุรกิจของเราปรับตัวไม่ได้ ล้มหายตายจากกันไปมากมาย  ประเทศของเรา ในกลุ่มของผู้บริหาร ผู้ปกครอง ยังนั่งมะงุมมะงาหรากับปัญหาเน่าๆ ที่เกิดจากรากเหง้าทางโครงสร้างภายในที่ไม่มีใครคิดจะแก้ในแบบ ถอนรากถอนโคน หรือรื้อโครงสร้าง แล้วปฏิรูปเลยซักเรื่อง ยังคงทำงานกันแบบไฟไหม้ฟาง , วัวหายแล้วล้อมคอก , ลูบหน้าปะจมูก , เออน่า หยวนๆ กัน , ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย ,ใครทำผิดก็แค่โยกย้ายไปนั่งในหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะ พอเรื่องเงียบก็ย้ายกลับมาใหม่ , ถนัดตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือศึกษา แต่ไม่เคยลงมือทำจริงๆให้ได้ผล , คนชั่ว คนผิดล้นคุก แต่ไม่มีการแก้ปัญหาเชิงรุกเพื่อให้คนกระทำความผิดลดลง , การไม่บังคับกฎหมายอย่างจริงจัง ,กฎหมายอ่อน , การมีระบบอุปถัมภ์ คอร์รัปชั่น รับเงินใต้โต๊ะ ค่าน้ำร้อนน้ำชา แป๊ะเจ๊ยะ คอมมิชชั่น ค่าโง่ เส้นสาย เด็กใคร เด็กนาย ลูกท่านหลานเธอ มาตรฐานตัวชี้วัด มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณ ความรับผิดชอบทางสังคม มีอยู่น้อยนิด คำถามคือลูกหลานเราจะไปสู้รบปรบมือกับใครได้ ในเมื่อผู้บริหารบ้านเมือง นักปกครองไม่ยอมเสียสละ ที่จะทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง และไม่เคยรับผิดชอบกับการกระทำความผิดของตนเอง พอทำผิด จับได้ ก็หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ เนี่ยหน่ะเหรอ ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่จะเป็นตัวอย่างของเยาวชน คนรุ่นหลังได้ 

ผู้เขียนจึงไม่มีความหวัง อะไรเลยกับบ้านนี้เมืองนี้ ไม่ว่าจะเรื่องใด ตราบใดที่ประเทศนี้ยังมีผู้บริหารประเทศ หรือนักปกครอง ผู้นำประเทศ ที่ไม่เคยเสียสละ ผ่าตัดใหญ่ให้กับประเทศได้เลยซักเรื่อง เราคงต้องเป็นใส้เดือนตาบอดในเขาวงกตต่อไป แบบหาทางออกไม่เจอ

บทความโดย หยิกแกมหยอก

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 6 (ตัวละครร้ายในจักรวาลของพิภพราชา)


เก็บตกไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องราวภาค 2 ปริศนาผู้เสวยราชย์ กับ 2 ตัวละครที่เหลือที่ยังไม่ได้กล่าวถึง นั่นก็คือ

4.นาคามิน กลายเป็นแพะรับบาป  จะว่าไปนาคามินเป็นอีกตัวละครนึงที่มีชาติกำเนิดคลุมเครือ และรอการเฉลย ซึ่งในฉบับนิยาย จะไปเฉลยกันในภาคสุดท้ายคือ ภาคที่ 4 นู่นเลย อันเป็นผลแห่งพินัยกรรมของกรุงโลกาบรรณพิภพ ซี่งไว้ค่อยกล่าวถึงในประเด็นนี้เมื่อเข้าสู่เนื้อภาคที่ 4 แล้ว กลับมาที่นาคามิน ตัวละครที่ไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ในภาคที่ 1 ตามคำสั่งของพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ นั่นก็คือปฏิบัติการลับ 2 ผอบ  ผอบแรกคือไปวางเพลิงเผาป่าใกล้พระราชวังปราสาททองของนครรัฐจามปา กับผอบสอง คือเอาเชื้ออหิวาต์ไปแพร่ในราชสำนักของขอม ซึ่งทั้ง 2กรณี ทำเอาป่วนราชสำนักของจามและขอม จนเรียกว่าทำเอาดิ้นพล่านไปทั้งราชสำนัก ไม่มีกะจิตกะใจ จะเสพสุขสำราญกันได้เลย สำหรับพระราชาของ 2 นครรัฐแห่งนั้น ซึ่งการทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัดไม้ข่มนาม และต้องการชี้ให้เห็นว่า การที่ท่านส่งกองกำลังไปรุกรานแผ่นดินอื่น ในขณะที่แผ่นดินของท่านก็กำลังประสบทุกขพิษ เภทภัย ย่อมไม่เป็นการสมควร สุดท้าย ทั้ง 2 นครรัฐนั้นก็เลยต้องยอมถอนกำลังทัพกลับ ทั้งๆ ที่บุกยึดกรุงโลกาสำเร็จแล้วก็ตาม แต่ภายหลังเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร หรือวูเฟอั๊กเทีย แห่งจามปา ล่วงรู้ถึงแผนการร้ายนี้ ที่ทำให้ตนเองต้องยอมถอนทัพ ในศึกกรุงโลกาครั้งที่ 1 ก็โกรธแค้น และมุ่งเป้าไปที่นาคามิน ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นสปายสายลับของกรุงโลกา ที่ถูกส่งมาบ่อนทำลายนครรัฐของตน จึงต้องการแก้แค้น ตอบโต้ พอสืบทราบว่า นาคามิน ทำงานเป็นองครักษ์ประจำตัวพระเจ้าเอกสิทธาธิราช แห่งนพธารานคร จึงส่งกองกำลังไปโจมตีเกาะนพธารา เพื่อหวังให้พระเจ้าเอกสิทธา ส่งตัวนาคามินออกมาให้ตนนำไปสำเร็จโทษ แต่ในขณะนั้นนาคามิน ไม่อยู่ในนพธารานคร ยังอยู่ในช่วงเดินทางกลับจากไปศึกษาเล่าเรียนที่เนราญนารายณ์ ดังนั้นพระเจ้าเอกสิทธาจึงออกอุบาย ยอมให้ตนเองเป็นองค์ประกัน ให้ฝ่ายจามจับตัวควบคุมตัวไป เพื่อแลกกับการที่จามปาจะไม่โจมตีนพธารานคร ให้เกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้ จากนั้นแผนปฏิบัติการชิงตัวองค์ประกันก็ตามมา โดยบริวารคนสำคัญของนพธารานคร หลายคน รวมถึงนาคามินด้วย แต่นั่นก็เป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างจามกับนพธารานคร ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าเอกสิทธาธิราช ถูกลอบทำร้ายจนภายหลังสิ้นพระชนม์ แล้วบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย ต้องไปกราบทูลขอให้เจ้าชายอนุเชษฐ์ เสด็จขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อ เพื่อฟื้นฟูนพธารานครกลับคืนมา




5.ตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ก็คือ พราหมณ์น้อย (เจ้าชายอนุเชษฐ์) พระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้าเอกสิทธาธิราช เนื่องด้วยวัยเด็กสูญเสียพระมารดาไปอย่างน่าเวทนา ทำให้พระองค์ปวารณาตัวว่าอยากจะขอบวชพราหมณ์ถือศีล และขอสละราชบัลลังก์ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับทางราชสำนักอีก ต้องการเดินในสายผู้ถือศีลบวช จนเมื่อเติบโตขึ้น ได้ออกเผชิญโลกกว้าง ได้ไปประสบพบเจอผู้คน และมองเห็นปัญหาความทุกข์ยากของราษฏร บวกกับพระราชบิดาได้มาสิ้นพระชนม์ในช่วงที่เกิดภัยสงครามและความมั่นคงต่อราชอาณาจักร ทำให้สุดท้ายแล้วจึงทรงตัดสินใจลาผนวช แล้วยอมทำตามข้าราชบริพารที่มาร้องขอ ให้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัริย์ เพื่อจะได้ปกครองนพธารานคร เพื่อสร้างความผาสุกให้กับราษฏร์ ซึ่งจะทำประโยชน์ได้มากกว่าการเป็นนักบวช จึงทำให้พระองค์ทรงยอมละทิ้งอุดมการณ์ส่วนตัวว่าจะถือศีลบวชตลอดชีวิตลงได้ แต่จุดเปลี่ยนอีกอย่างก็คือ การที่มีผู้หญิงมาพัวพันพระองค์แล้วทรงสลัดไม่หลุด ในขณะที่ตอนนั้นยังทรงเป็นพราหมณ์หนุ่มน้อยรูปงามอยู่ ผู้หญงคนนั้นมาทำให้จิตใจของพระองค์หวั่นไหว หรือเสียพรหมจรรย์ (ตบะแตก) นั่นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็คือ เจ้าหญิงเฟยาเลียแห่งจามปา แรกๆ ก็คือ เฟยาเลียมองเห็นพราหมณ์อนุเชษฐ์ เป็นชายรูปงามตนหนึ่ง จึงเกิดความลุ่มหลงชมชอบ และอยากได้เป็นสามี โดยไม่ได้สนใจว่าอนุเชษฐ์จะเป็นนักบวชหรือมียศถาบรรดาศักดิ์อะไร เธอเพียงแต่ทำไปตามหัวใจปรารถนา ยอมทำผิดศีลธรรม ด้วยการล่อลวงอนุเชษฐ์มาหลับนอน ด้วยการใส่ยาเลิฟ หรือยาเสียหนุ่ม (ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับยาเสียสาว ก็คือประเภทเดียวกับยาปลุกกำหนัด) เพียงเพราะคำว่ารัก ลุ่มหลง ชมชอบแค่นั้น ไม่ได้คำนึงถึงว่าสิ่งที่เธอทำนั้นได้ทำให้คนๆ หนึ่งต้องสูญสิ้นความศรัทธาในตัวเอง และต้องเสียพรหมจรรย์ ไม่เพียงพรหมจรรย์ในทางกาย แต่ยังเป็นการเสียพรหมจรรย์ในฐานะนักบวชด้วย ซึ่งเธอเป็นต้นตอที่ทำให้อนุเชษฐ์ตัดสินใจที่จะต้องยอมสึกจากผนวช เพื่อมาเป็นฆราวาส และเมื่อภายหลังยิ่งรู้ว่าอนุเชษฐ์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักบวชเท่านั้น เขายังเป็นถึงองค์รัชทายาทคนสำคัญที่ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าเอกสิทธาธิราช ราชสำนักนพธารานคร ซึ่งเป็นอริราชศัตรูกับพระราชบิดา และพระเชษฐาของตนเอง ยิ่งทำให้เฟยาเลียตกอยู่ในที่นั่งลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเข้าข้างฝ่ายใด ด้านหนึ่งก็หลงรักในตัวอนุเชษฐ์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น อีกด้านหนึ่งก็ต้องเชื่อฟังพระราชบิดาและองค์พระเชษฐา ที่กีดกันมิให้ความรักของคนทั้งคู่ก้าวเข้าสู่ประตูสวรรค์ได้ ภายหลังจึงเกิดแผนการร้าย กุศโลบายที่ต้องการกีดกันเฟยาเลียออกจากอนุเชษฐ์ ด้วยการบังคับให้เฟยาเลียต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าชายนัชปาลแห่งนครรัฐกลิงคะ โดยอ้างเรื่องความสัมพันธ์ทางการเมือง การทหาร และการค้า ที่มีต่อกันระหว่าง 2 นครรัฐ ทำให้เฟยาเลีย จำต้องผิดหวังในชีวิต จนแทบอยากฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายชะตากรรมก็เล่นงานเฟยาเลีย ให้ไม่สมหวังในชีวิตแต่งงาน ด้วยเคราะห์กรรมที่เธอทำให้อนุเชษฐ์ต้องกลายเป็นบุรุษที่เสียพรหมจรรย์ ภายหลังอนุเชษฐ์ได้พบรักกับหญิงสาวที่เพียงพร้อมกว่าเฟยาเลีย และกลายเป็นรักแท้ของอนุเชษฐ์อย่างแท้จริง ซึ่งเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในภาคที่ 3
ได้สาธยายตัวละครเอกสำคัญ ฝ่ายพระเอก ครบทั้ง 5 คนแล้ว ทีนี้มาว่าถึงตัวละครฝ่ายผู้ร้ายกันบ้าง ว่ามีตัวละคร อะไรบ้าง



1.เจ้าชาย/พระราชามนัสกษัตร ตัวนี้มีบุคลิกลักษณะ คาแร็กเตอร์ เป็นไปตามแบบผู้ร้ายในอุดมคติ ก็คือครบตามคุณสมบัติที่ผุ้ร้ายพึงจะมีทุกประการ ไม่ว่าจะเป็น เป็นคนโลภโมโทสันต์ เอาแต่ใจตนเอง บ้าอำนาจ บ้าเรื่องเซ็กส์ กิจกรรมทางเพศ (ได้ทั้งชาย-หญิง) ใช้อำนาจแบบเผด็จการเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ของตนเอง โดยบางครั้งไม่ฟังเหตุผลอะไร ชอบคบแต่คนพาล คือไม่นิยมคบบัณฑิต สั่งฆ่าผู้รู้ นักปราชญ์ ที่ไม่สามารถสนองตอบด้านจิตใจหรืออารมณ์ของพระองค์เองได้ เปลี่ยนคู่ไปตามอารมณ์ปรารถนา ไม่เคยรักใครจริงจัง ชอบคนประจบสอพลอ และพูดจาสรรเสริญให้รู้สึกว่าตนเองดี ตนเองเก่ง อยากได้อยากมี ถ้ารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น ก็จะพยายามไปแก่งแย่ง เอาสิ่งที่ผู้อื่นมีมาเป็นของตัวเอง ถามว่าแล้วเขามีส่วนดีบ้างมั๊ย คนๆ นี้ ก็ขอบอกเลยว่า คนๆ นี้ ถ้าใครทำดีต่อเขา แบบถวายหัว หรือจงรักภักดี ยอมพลีชีพให้ได้ เขาจะตบรางวัลให้อย่างสาสม และไม่เคยลืมที่จะให้หรือตอบแทนคุณลูกน้องอย่างเต็มกำลังหรือเท่าที่ลูกน้องอยากได้ ฟังดูแล้วเหมือนนักการเมืองคนดังของสาระขัณฑ์บางคนเหมือนกันนะ  บอกเลยคนแบบนี้มีจริงอยู่ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกในนิยาย เพราะมันผ่านการพิสูจน์หรือบันทึกทางประวัติศาสตร์มาช้านานแล้วว่า ทรราชย์ก็คือเจ้านายที่ดีของข้ารับใช้ที่จงรักภักดี แต่ก็เป็นนายที่เลวของข้าที่คิดคดทรยศหรือทหารเลวเสมอ




2.พระวิเศษศาสตรา  ตัวละครคนนี้ มีความเป็นมนุษย์มากที่สุดในนิยายเรื่องนี้ คือเขามีทั้งด้านดีและด้านเลวอยู่ในตัว พอๆ กัน เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นคนดีหรือคนเลวแบบ ที่เรามักเคยเจอในโลกนิยายโดยทั่วไป เพียงแต่ในช่วงชีวิตวัยเด็กและวัยหนุ่ม เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของศิษย์เอกของสำนักภิธาน ซึ่งเป็นสำนักนักบวชพราหมณ์ นิกายไวษณะวะ ที่ฝึกวิชาอาคมแก่กล้า แต่มีเหตุให้ก่อนจะจบการศึกษา มีเหตุขัดแย้งกับพระอาจารย์ปุราณะภิธาน เจ้าสำนัก จึงขอลาขาดจากการเป็นศิษย์ของสำนัก ไปตั้งสำนักพราหมณ์เป็นของตนเอง และไปทำหน้าที่เป็นโหรพราหมณ์อยู่ที่นวเกศเศรษฐี รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของพระเจ้าปัณณฑัต แต่ภายหลังได้เป็นพระราชครู คอยดูแลฝึกสอนเจ้าชายมนัสกษัตร จนเกิดเป็นความสนิทสนม พอพระเจ้ามนัสกษัตรขึ้นครองราชย์ ก็ทำให้พระวิเศษศาสตรา กลายเป็นข้ารับใช้ที่จงรักภักดี ต่อมนัสกษัตร และยอมทำความชั่วเพื่อเอาใจนาย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ การรับคำสั่งพระบัญชา หากเป็นคำสั่งที่ผิด หรือไม่มีธรรมาภิบาล ก็จะทัดทานหรือทักท้วงมนัสกษัตรบ้าง แต่ภายหลังก็ยอมเออออทำตามพระบัญชา เพียงเพื่อเอาใจ และยอมเป็นข้ารับใช้ที่จงรักภักดี เพราะเห็นแก่มนัสกษัตรที่ให้โอกาสตนได้ มีตำแหน่งและมีอำนาจ เงินทองอย่างเต็มกำลังอยูในนวเกศเศรษฐี ด้านวิชาอาคมนั้น จัดว่าเป็นสุดยอดฝีมือระดับต้นๆ คนหนี่งของนวนิยายเรื่องนี้เลย ซึ่งสุกรีเคยจะขอเป็นศิษย์ แต่พอเห็นว่าพระวิเศษศาสตรา มาทางสายมนต์ดำ วิชาอาคมสายมืด ทำให้สุกรีฉุกคิด ขอไม่เรียนวิชากับแกดีกว่า และเลือกที่จะฝึกฝนวิชาอาคมกับบิดาตนเองแทน




3.เจ้าชายศิระติกาล หน.กลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ บุคคลคนนี้ มีอุปนิสัยคล้ายมนัสกษัตร เพียงแต่ว่า เขาไม่มีวาสนาไปถึงจุดที่เรียกว่าได้เป็นกษัตริย์เหมือนกับคนอื่นๆ ด้วยเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อน โลภโมโทสันต์ และหยิ่งผยองในอำนาจ เคยคิดว่าตนเองจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระมหาเทพราชา พระเชษฐาของตนเอง เนื่องจากพระมหาเทพราชาไม่มีโอรส มีแต่ธิดา ส่วนเขาเป็นพระอนุชาที่เกิดจากพระมเหสีเอกเช่นกัน แต่โชคชะตาฟ้าลิขิต พอมหาครุฑทวยเทพ และพญาครุฑสีห์เสด็จลงมายังอมรเมฆาธานี ความฝันของขาก็พังทลายลง เมื่อคำสั่งเสียสุดท้ายของพระเทพราหู ซึ่งเป็นองค์พระปิยเรศ ของทั้งมหาเทพราชา และศิระติกาล ต้องการให้เจ้าชายอธิกบุศย์ได้ขึ้นครองราชย์  แม้แต่เจ้าตัว (อธิกบุศย์) ก็ยังไม่ เคยคิดฝันมาก่อน ว่าจะได้เป็นพระราชาของอมรเมฆาธานี  ทำให้ศิระติกาลผูกใจเจ็บ เคียดแค้นอธิกบุศย์ ที่กลายเป็นตาอยู่ มาคว้าพุงปลามันไปกินนั่นเอง ด้านวิชาอาคมของเจ้าชายศิระติกาล ก็เรียกได้ว่าเอกอุในปฐพีเช่นกัน มาทางเดืยวกับพระวิเศษศาสตรา คือมาสายมนต์ดำสายมืดเหมือนกัน ภายหลังกลายเป็นสหายสนิทกับพระวิเศษศาตรา เพราะมีอุดมการณ์ตรงกัน ฟังดูเหมือนพวกฝั่งซ้ายสายฮาร์ดคอร์ แกนนำของการเมืองบางขั้วของประเทศสาระขัณฑ์เหมือนกัน ที่เป็นพวกซ้ายอกหักเหมือนๆ กัน

4.เจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร หรือวูเฟอั๊กเทีย แห่งนครรัฐจามปา คนผู้นี้จะว่าไป ระดับความร้ายกาจและมันสมองความฉลาดนั้นอยู่เหนือกว่า มนัสกษัตรและศิระติกาลรวมกันเสียอีก คือ 2 เท่าของพวกนั้น เพราะว่า 2 คนนั้น อย่างมากก็เพียงต้องการอำนาจแค่ในราชบัลลังก์ราชวงศ์ของตนเท่านั้น แต่อัทธิ์ถิรวารต้องการใหญ่กว่านั้น คือต้องการครอบครองทั้งราชอาณาจักร หรือต้องการตีเมืองขึ้น ไปในหลายนครรัฐ โดยต้องการเป็นราชาของราชาอีกที แต่ด้วยเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างใดไม่ทราบ ไม่ได้ประเมินศักยภาพตนเองว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ อีกทั้งหยิ่งทะนง หยิ่งผยองในกองทัพที่มีขนาดใหญ่ของตน และทุนทรัพย์ที่มากมายของตนเอง จะทำให้ตนสามารถเสกอภินิหารกองทัพ เข้ายาตราทัพยึดครองกรุงโลกาบรรณพิภพได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีการประเมินความเสียง จุดแข็งจุดอ่อน รู้เขารู้เรา วางยุทธศาสตร์การรบมาอย่างดีแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่อัทธิ์ถิรวาร มักพลาดท่าเสียทีนั้น คืออาวุธลับสำคัญที่เขากลับมองข้ามไป หรือไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยก็คือ กรุงโลกาบรรณพิภพ ที่เขาต้องการจะครอบครองนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่ง หรือ 1 ใน 3 แผ่นดินของอาณาจักรนิมิตนคร  คือถ้าเขาต้องการยึดตัวกรุงโลกา เขาต้องยึดให้ได้ทั้งหมด คือทั้ง 3 นครรัฐนั้น ซึ่งอีก 2 นครรรัฐนั้น นครรัฐนึงเป็นก้อนเมฆอยู่บนฟ้า อีกนครรัฐนึงเป็นเกาะ 9 เกาะอยู่ในทะเล นครรัฐที่อยู่บนฟ้านั้น มีเทพคือครุฑปกครองอยู่ ส่วนอีกนครรัฐนึงเป็นเกาะกลางมหาสมุทรที่มีเทพเป็นพญานาคปกครองอยู่เช่นกัน ลำพังนครรัฐที่เป็นก้อนเมฆมีกองทัพครุฑ เข้าโจมตีนพธารานครที่มีพญานาคปกครองอยู่ ยังไม่สามารถเอาชนะได้เลย นั่นแสดงว่า นพธารานครคือนครรัฐที่เก่งกาจที่สุด ที่ไม่มีใครสามารถทำลายหรือยึดครองได้ เพราะเกาะทั้ง 9 เคลื่อนตัวได้ใช่มั๊ย ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะนพธารานครมีพระอาจารย์ที่ชื่อ ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ เป็นสุดยอดกุนซือของพระราชาอยู่ และมีศิษย์เอกอย่างนาคามิน ที่ฝึกวิชาจนถึงขั้นสุดยอด สามารถกลืนลูกไฟลาวาลงท้องได้ 18 ลูก ยังไม่นับสุดยอดฝีมือของเกาะนี้อีกมาก แล้วยังไม่นับว่า ชัยภูมิของอาณาจักรนิมิตนคร มีทั้งอยู่บนฟ้า บนบก และในน้ำทะเล สามารถโจมตีได้จาก 3 ทาง ยากที่กองทัพได้จะสามารถต่อกรกับอาณาจักรนิมิตนครได้  เพราะได้ถูกออกแบบมาอย่างดีแล้ว จากปฐมกษัตริย์ยอดนักรบของพวกเขา และการที่อัทธิ์ถิรวารพ่ายแพ้ต่อศึกกรุงโลกาทั้ง 2 ครั้ง และศึกชิงตัวองค์ประกันทั้ง 2 ครั้ง ก็มาจากมันสมองของพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์และบริวารของเขาทั้งสิ้น เรียกได้ว่า เกิดมาเพื่อแพ้ทาง ให้กับนพธารานคร ไม่ว่าจะไปเตะทั้งเหย้าหรือเยือน ก็พ่ายแพ้ย่อยยับกลับมาทุกแมตช์ กล่าวโดยการเปรียบเปรยให้ฟัง





ยังมีตัวละครผุ้ร้ายอีกหลายตัว ที่ไม่ขอลงในรายละเอียด เพราะเนื้อที่ไม่พอ เดี๋ยวจะยาวไป แต่บางคนมีบุคลิกคล้ายกับตัวละครร้ายข้างต้นที่กล่าวมา หรือบางคนมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว แต่ก็มีความคิดและพฤติกรรมที่ร้ายไปคนละแบบเช่นกัน บางตัวมีด้านดีอยู่บ้าง อาทิ พระครูกฤษดาอารยัน (พระครูจากรัฐจาม,ลูกน้องสนิทของอัทธิ์ถิรวาร)  วนัสปตี (พราหมณ์นอกรีต อดีตคนของเผ่าปายะที่ทรยศหักหลังสุกรี โดยจับบุตรของสุกรีแล้วหลบหนีไป)  มังกระยอเปี๊ยะ (น้องชาย หน.แคว้นสวัลญา ที่เป็นปฺฏิปักษ์กับมหิทธินาศรังสรรค์ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเจ้าชายฤทธีรา  ,อำมาตย์ราชสิงห์ ,เจ้านฤทธิ์นรเดช , พระมเหสีเพ็ญพิมาศ ,พระนางเจ้ากฤษณาราชาวดี , พระเวฬุวันปุโรหิต ,พระเจ้าวูเฟบันดง , อลิศกาปูร์  เป็นต้น
บางคนเรารู้หน้า พอจะรู้ใจ คือเป็นคนร้ายที่สามารถดูออก เพราะสีหน้า ท่าทางและการแสดงออกไปในทิศทางเดียวกับภายในจิตใจ แต่กลับบางคน เป็นคนร้ายที่ซ่อนอยู่ในภาพลักษณ์ของคนดี คนแบบนี้สิน่ากลัว เพราะเขาแสดงออกเหมือนคนดี ปกติทั่วไป เพียงแต่จิตใจเขา และความคิดของเขา เราไม่สามารถอ่านออก และเขากระทำเลวในที่ลับ อำพราง ที่ไม่ให้เรารู้ เราจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี กว่าจะรู้ ก็ต่อเมื่อเขาได้จนมุม หรือวาระสุดท้าย ที่จะต้องแสดงออกให้เราเห็นแล้ว หรือเราจับได้ทีหลัง ซึ่งถึงตอนนั้น เราจะไม่สามารถหาทางป้องกัน การกระทำเลวของเขาได้ ต้องเผชิญหน้าต่อสู้กันไป แต่เชื่อเถอะว่า คนเลว สุดท้ายจะแพ้ทางคนทำดีวันยังค่ำ เพราะคนทำชั่ว อย่างไรเสีย ต้องทิ้งร่องรอย ไว้ให้คนดีได้สืบสวน เอาผิดจนได้

ตอนหน้า จะเข้าสู่เนื้อหาของภาคที่ 3 ต่อไป

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 5 (ตัวละครเอกสำคัญในจักรวาลของพิภพราชา)


เก็บตกไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องราวภาค 2 ปริศนาผู้เสวยราชย์ กับ 5 ตัวละครที่สำคัญของเรื่องนี้ ขอไล่ไปทีละคน ดังนี้



1 คนแรก ชะตากรรมของสุกรีกับครอบครัว อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า สุกรีเป็นตัวละครเอก ที่มีปูมหลังเรื่องชาติกำเนิดของตน อยู่มาวันหนึ่งก็ไปสมัครเป็นทหารที่เมืองนวเกศ จนได้รับการคัดเลือก และก็ได้รับของขวัญพระราชทานเป็น ภริยาพระราชทาน นามว่า อมินตรา (อดีตนางกำนัลคนโปรดของพระราชามนัสกษัตร) และได้รับการแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์แทน พาลี ที่ถูกปลดออกไป เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด (ไม่สามารถคล้องช้างพลายเผือก เชือกนึงที่ทรงอยากได้) และเนื่องจากทรงเห็นฝีไม้ลายมือ การต่อสู้ของสุกรี ที่ไม่ธรรมดา สามารถล้มคู่ต่อสู้ และราชองครักษ์ของพระองค์ได้ทุกคน จนวันนึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ ติดตามราชครูศรีอาท ไปปราบแคว้นคะฉิ่น แคว้นบริวารที่ก่อการเป็นปฏิปักษ์ และต้องการปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของนวเกศ แต่สุกรีขัดพระบัญชา ด้วยการไม่สังหารเด็ก สตรี และคนชรา เนื่องจากเห็นว่า แค่สังหารเหล่าบรรดาผุ้นำและแม่ทัพคนสำคัญก็เพียงพอแล้ว และที่เหลือจับมาเป็นเชลย จองจำไว้ เพื่อวันหน้าจะเกลี้ยกล่อมให้ยอมสวามิภักด์เป็นทาสเชลยของนวเกศ เผื่อไว้ใช้งาน และเห็นแก่มนุษยธรรม แต่ราชครูศรีอาทเอาเรื่องนี้ไปฟ้องต่อมนัสกษัตร ทำให้สุกรีถูกสั่งลงทัณฑ์ เฆี่ยนตี และนำตัวไปจองจำขังไว้ในคุกเป็นเวลา 5 วัน แต่ในช่วงที่อยู่ในคุก สุกรีได้ไปพบเจอคะฉิ่นน้อย ที่อาสามาช่วยดูแลบาดแผล และรักษาพยาบาลสุกรี เนื่องจากจำได้ว่าสุกรี คือคนที่ระงับคำสั่งไม่ให้สังหารมารดาและย่าของตน บวกกับตนเองมีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง จึงช่วยทำแผลให้สุกรี แต่การใช้สุราในการระงับความเจ็บปวด ก็พลอยทำให้สุกรีเมามาย และปลุกปล้ำคะฉิ่นน้อย จนได้เสียกัน และเมื่อสร่างเมา คะฉิ่นน้อยบอกกับสุกรีว่า ตนได้เสียตัวให้สุกรีแล้ว สุกรีควรจะต้องรับผิดชอบในตัวเธอด้วย ทำให้สุกรีจำต้องรับคะฉิ่นน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านในฐานะคนรับใช้ และเหตุการณ์ในภาค 2 ก็เริ่มต้นขึ้นที่ริมลำธารใกล้สวนพฤกษศาสตร์ภายในเขตราชสำนัก เมื่ออมินตราบอกกับสุกรีว่า เธอได้ตั้งท้องขึ้นแล้ว กว่า 4 เดือน ซึ่งสุกรีก็แสดงความดีใจล้นเหลือ แต่อมินตรากลับไม่คิดเช่นนั้น เธอเกรงว่า หากมนัสกษัตรล่วงรู้ว่าเธอมีครรภ์ ภายภาคหน้าเกิดคลอดออกมาแล้ว มนัสกษัตรอาจจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ขอบุตรของตนมาเป็นพระโอรสของพระองค์ก็เป็นได้ จึงปรึกษากับสุกรีว่า จะทำอย่างไร ทำให้สุกรีคิดวางแผน นำตัวอมินตรามาหลบอาศัยอยู่ที่บ้านของตนที่หมู่บ้านเกษตร โดยไม่ให้พระราชามนัสกษัตรทรงล่วงรู้ โดยให้คะฉิ่นน้อยเข้าวังและแปลงโฉมเป็นนางในคนใหม่ เพื่อมาทำหน้าที่ของอมินตราแทน และเปลี่ยนชื่อของคะฉิ่นน้อยเป็น อุรามณี  เมื่อเวลาที่มนัสกษัตรอยากพบเจอหน้าของอมินตรา สุกรีก็จะให้อุรามณีมาปรนนิบัติแทน แล้วโกหกว่าอมินตราคบชู้กับชายคนใหม่ พร้อมหลบหนีออกจากวังไปแล้ว ซึ่งตอนแรกมนัสกษัตรก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าอมินตราอาจมีใจให้ชายอื่นจริง อย่างที่สุกรีเพ็ดทูล  แต่นานๆ เข้ามนัสกษัตรเริ่มจับสังเกตพฤติกรรมของสุกรีว่า ไม่อนาทรร้อนใจเรื่องที่อมินตราหลบหนีไปกับชายอื่น จึงทำให้เริ่มสงสัยว่า จะจริงหรือที่อมินตราจะหนีตามชายอื่นไป โดยที่สุกรี ไม่เห็นออกตามหาเลย จึงให้ราชครูศรีอาท คอยจับผิด และสะกดรอยตามสุกรี เพื่อดูพฤติกรรมว่า วันๆ หนึ่ง ไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไรบ้าง แล้วมารายงาน



สำนวนที่วา “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม ดูหน้าไม่รู้ใจ” นั้นถูกนำมาใช้ในตอนนี้  เมื่อศรีอาทสะกดรอยตามสุกรีไปจนล่วงรู้ว่า สุกรีมีบ้านอยู่ที่แคว้นราโชทัย เป็นบ้านหลังนึง ในหมู่บ้านเกษตรกรรม และที่บ้านแห่งนั้น กลับพบว่า มีช้างพลายเผือก เชือกที่มนัสกษัตรเคยอยากได้ ถูกเลี้ยงไว้อย่างดีในคอกเลี้ยงสัตว์ที่มีสัตว์หลากหลายประเภทมาก คล้ายฟาร์มปศุสัตว์ของผู้มีอันจะกินพอสมควร จึงรีบกลับไปรายงานมนัสกษัตรว่า พบช้างพลายเผือก เชือกดังกล่าวอยู่ที่บ้านของสุกรี และสุกรีก็ไม่ใช่คนพื้นถิ่น อยู่ในนวเกศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มนัสกษัตร คลางแคลงใจ และเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจสุกรี มองว่าสุกรีอาจจะเป็นสายที่ปลอมตัวมาเป็นทหารในนวเกศ เพราะพื้นเพสุกรี กลับอาศัยอยู่ในกรุงโลกา จึงได้รับสั่งให้ศรีอาทนำกองกำลังไปคล้องช้างพลายเผือกกลับมา แต่คล้อยหลังศรีอาท มนัสกษัตรกลับไม่ไว้วางใจศรีอาทว่าจะทำสำเร็จ จึงสั่งการให้พระวิเศษศาสตรา ติดตามไปห่างๆ หากว่าศรีอาททำการไม่สำเร็จ ก็ให้พระวิเศษศาสตรา เป็นผู้นำช้างพลายเผือกกลับมาให้ได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่กลายเป็นโศกนาฏกรรมเลย ถ้าพระวิเศษศาสตราไม่ได้ติดตามมาด้วย เพราะทันทีที่พระครูศรีอาทถึงบ้านสุกรี ตอนนั้นสุกรีไม่อยู่ แต่ศรีอาทกลับไปพบอมินตรากำลังให้นมเด็กทารกน้อยคนหนี่ง จึงชวนให้สงสัยว่า เหตุใดอมินตราถึงมาหลบอาศัยอยู่ที่บ้านของสุกรี แล้วเด็กทารกที่อุ้มอยู่คือใคร ก็เพราะศรีอาทรับรู้เพียงว่าเธอหนีตามชายชู้ออกจากวังไปแล้ว นี่แสดงว่าสุกรีโกหกเรื่องขึ้นมาทั้งหมด ในเมื่อเรื่องมันแดงขึ้นมาแล้ว อมินตราจึงขอร้องศรีอาทว่า ให้ปล่อยเด็กทารกซึ่งเป็นบุตรของเธอกับสุกรีไป เธอยินยอมถูกจับกุมตัวไปรับโทษที่วังเอง และขอให้ศรีอาทช่วยปกปิดความลับนี้ของเธอกับสุกรีไว้ อย่าบอกต่อมนัสกษัตร ซึ่งศรีอาทก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ใจนึงก็เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อสุกรี จึงรับปากว่าจะไม่บอกความจริงเรื่องลูกแก่มนัสกษัตร จากนั้นจึงนำตัวอมินตรากลับไป มธุรสเทวีจึงเอาเด็กทารกน้อย นามว่าสุอามิน มาอุ้มไว้แทน  คล้อยหลังไม่นาน พระวิเศษศาสตราก็โผล่มาที่บ้านของสุกรีอีก โดยอ้างว่า จะมานำช้างพลายเผือกกลับไป มธุรสเทวีแจ้งต่อพระวิเศษศาสตราว่า ตนไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสุกรี เป็นแต่เพียงผู้ดูแลบ้านแห่งนี้เท่านั้น จากนั้นพระวิเศษศาสตราจึงนำกองกำลังกลับไป แต่พอเดินทางกลับไปได้ซักพัก จึงฉุกคิดขึ้นได้ว่า หญิงวัยกลางคนๆ นั้น อุ้มเด็กทารกไว้คนนึง จึงเริ่มวิเคราะห์ว่าเด็กทารกคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอมินตราหรือไม่ ในเมื่ออมินตราถูกพระครูศรีอาทนำตัวกลับไป แล้วเหตุใด หญิงวัยกลางคนจึงอุ้มเด็กทารกไว้ เธอไม่น่าจะใช่มารดาของเด็ก น่าจะเป็นอมินตรามากกว่า แล้วจากการรับรู้คือ อมินตราหนีตามชายชู้ออกนอกวัง แต่กลับมาอยู่ที่บ้านของสุกรี แสดงว่า เด็กทารกคนนี้น่าจะเป็นบุตรที่เกิดจากอมินตรากับสุกรีหรือเปล่า จึงวกกลับมาที่บ้านสุกรีอีกครั้ง แต่ว่า มธุรสเทวีได้พาหลานสุอามินหลบหนีไปแล้ว พระวิเศษศาสตราจึงรีบยกกองกำลังออกไล่ตามมธุรสเทวีเพื่อไปเอาเด็กทารกกลับไปให้มนัสกษัตรให้ได้ แต่ว่า นามโป ได้พยายามขัดขวาง และพยายามยื้อเวลา เพื่อให้ย่าและหลานหนีไปให้ได้ไกลจากเงื้อมมือของทหารจากนวเกศให้ได้นานที่สุด สุดท้ายนามโปต้องถูกทำร้ายโดยกองกำลังทหารของนวเกศปางตาย นอนหายใจรวยรินอยู่บนแคร่ไม้ ถามว่าแล้วขณะนั้น สุกรีหายไปไหน สุกรีได้ถูกพวกอมนุษย์จับตัวไป ระหว่างเดินทางออกจากบ้าน เพื่อกำลังจะกลับไปนวเกศ แต่ระหว่างทางโดนพวกอมนุษย์วางกับดัก จับกุมตัวไปให้วนัสปตี ซึ่งวนัสปตี เป็นพราหมณ์นอกรีต ที่มีอาชีพค้ามนุษย์ จับคนมาชำแหละขายอวัยวะ หรือถ้ารุปร่างสมบูรณ์ดีก็นำไปขายเป็นทาสเชลย ให้กับแม่หญิงนางพญาฝูงนกยูง ซึ่งกรณีของสุกรีนั้นถูกนำมาขายเป็นทาสเชลยให้แม่หญิงนางพญา แม่หญิงนางพญาพอเห็นสุกรีครั้งแรก ก็รู้สึกถูกชะตา พอเห็นรอยสักและแผลเป็นบางส่วนบนร่างกาย ก็รู้สึกว่าคล้ายคนรักเก่าของตน จึงเลือกซื้อสุกรีไว้คนเดียวจากที่วนัสปตี เอามาเสนอ 3 คน (รวมเจ้าชายนัชมุลลากับไตรกริณด้วย) โดยข้อตกลงที่สุกรีทำกับแม่หญิงนางพญา เพื่อแลกกับการให้แม่หญิงยอมปล่อยตัวเจ้าชายนัชมุลลากับไตรกริณก็คือ สุกรีต้องยอมร่วมเพศกับแม่หญิง เพื่อให้สามารถสืบทอดเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไป โดยก่อนหน้านี้เธอได้ทดสอบดูแล้วเห็นว่า สุกรีมิใช่มนุษย์ แต่เป็นอมนุษย์ ประเภทนึง เหมือนกันเธอ เธอได้ยอมถ่ายทอดพลังทั้งหมดในตัวเธอให้กับสุกรี เพราะเห็นแล้วว่าสุกรี น่าจะเป็นทายาทของอดีตคนรักเก่าของเธอ ที่หายสาบสูญไป สุกรีไม่มีทางเลือก เพราะต้องการช่วยเชลยทาสทั้ง 2 คนให้รอดออกไปได้ จากนั้นสุกรีก็ยอมเป็นเชลยทาสแทน วันนึงจึงยอมทำตามสัญญากับแม่หญิง ยอมมีอะไรกับแม่หญิง จนเธอตั้งครรภ์ขึ้นมา เมื่อคลอดแล้ว แม่หญิงก็หมดอายุขัย ก่อนจะสิ้นใจ ได้สั่งเสียกับสุกรีว่า ขอให้สุกรีเลี้ยงดูลูกที่เกิดกับเขา ให้เติบโต แล้วเป็นทายาทสือทอดเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไป ระหว่างนี้ขอร้องให้สุกรีรับอาสาเป็น หน.เผ่าของเธอไปก่อนจนกว่าบุตรจะโต จึงส่งไม้ต่อ ทำให้สุกรีได้กลายเป็น หน.เผ่าปายะ ในเวลาต่อมา มีบริวารเป็นอมนุษย์จำนวนมาก และคนในเผ่าปายะ จำนวนหนี่ง  พระครูศรีอาทเมื่อนำตัวอมินตรากลับไปให้มนัสกษัตรลงโทษแล้ว เขาก็วกกลับมาเพื่อตามหาสุกรี พอสืบทราบว่าสุกรีกลายเป็น หน.เผ่าปายะแล้ว จึงบอกความจริงเรื่อง อมินตรา และชะตากรรมของครอบครัวของสุกรีให้ทราบ สุกรีจึงรีบเดินทางกลับมาที่บ้าน เพื่อพบความจริงที่ว่า พี่ชายคนสนิทของตนเอง อย่าง นามโป ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ส่วนแม่กับบุตรของตนเอง หายสาบสูญ ภายหลังสุกรีได้ไปพบเจอทั้งแม่ บุตรของตน และก็พ่อของตนที่หายสาบสูญไปเมื่อวัยเด็ก ที่ป่าผีเสื้อใกล้วังของราชินีรุจิเรขรัศมี  เพราะว่าในขณะที่พระวิเศษศาสตราออกติดตามไปจับกุมตัวแม่ ที่อุ้มหลาน ไปจนพบเจอตัว และกำลังจะเอาตัวหลานกลับไป ปรากฏชายนิรนามเข้ามาขัดขวางการจับกุมตัว และเกิดการต่อสู้กันขึ้น ชายนิรนามสามารถทำร้ายจนร่างของพระวิเศษศาสตรามอดไหม้เป็นจุณณ์ และจำแลงร่างหนีไปได้ ชายนิรนามคนดังกล่าวก็คือท้าวพิศาลสมุทร บิดาของสุกรีนั่นเอง จึงทำให้สุกรีได้ทราบชาตกำเนิดของตนเสียทีว่า ที่แท้เขาเป็นบุตรที่เกิดจากท้าวพิศาลสมุทรกับมธุรสเทวี ซึ่งท้าวพิศาลสมุทรหายสาบสูญไปเพราะต้องหลบหนีความผิด และถูกตามล่าจับกุมตัวโดยพระเจ้าอติภพภูวนารถ แล้ววันนึง บิดาของตนก็มาปรากฏกายช่วยเหลือมารดากับหลานสำเร็จ สุกรีเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้นามโปตาย จึงปฏิญาณตนว่า จะกลับไปแก้แค้น และเอาตัวอมินตรากลับมาให้ได้



จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้สุกรี ได้มีพลังอำนาจฮึกเหิมขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงนายทหารตัวเล็กๆ คนนึงก็คือ การได้มาพบเจอกับมยุราภาวดี หรือแม่หญิงนางพญาแห่งรังฝูงนกยูงนั่นเอง เพราะมยุราภาวดี คืออดีตคนรักเก่าของท้าวพิศาลสมุทร ที่เคยแอบหลงรักกัน สมัยที่ท้าวพิศาลสมุทรทำศึกหนีทหารมาหลบอยู่ในรังฝูงนกยูง ได้มยุราภาวดีช่วยเหลือไว้ จนเกิดเป็นความรัก ในตอนนั้นท้าวพิศาลสมุทรไม่ได้คิดอะไรมาก พอเจอมยุราภาวดีก็เกิดเป็นความรักที่บริสุทธิ์ครั้งแรกโดยไม่รู้ว่านั่นเรียกกว่าความใคร่เสน่หาเป็นเพียงความใกล้ชิดกันแต่กลับให้ความหวังนาง บอกว่าวันนึงจะกลับมาขอแต่งงาน แต่ตนเองต้องจำต้องกลับทัพไปช่วยเหลือพระอติภพภูวนารถ นายเหนือหัวของตนก่อน แต่ภายหลังจากนั้นท้าวพิศาลสมุทรมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระสนมนามว่ามธุรสเทวี ครั้งนี้เป็นความรักจริงๆขึ้นมา ถึงขนาดมีอะไรด้วยกัน และสุดท้ายหนีออกจากวังตามกันมา เพราะรู้ว่าพระอติภพภูวนารถเริ่มสงสัยจับได้ ล้ว เธอยังคงรอว่าเมื่อไรท้าวพิศาลสมุทรจะกลับมา โดยรอมานานเกือบ 40 ช่วงอายุขัย (5 เดือนของมนุษย์เท่ากับ 1 ปีของอมนุษย์ประเภทนกยูง) แล้ววันนึง ได้มาเจอสุกรี ที่มีใบหน้าทั้งคล้าย รูปร่างคล้าย มีรูปพรรณสัณฐานคล้าย มีรอยสัก และแผลเป็นเหมือนกับท้าวพิศาลสมุทร ทุกประการ ทำให้มยุราภาวดี ไม่รอที่จะต้องเจอท้าวพิศาลสมุทรอีก จึงตัดสินใจว่าจะขอให้สุกรียินยอมมีอะไรกับเธอด้วย เพื่อให้เธอได้สืบทอดเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไป เพราะรู้ว่าอายุขัยของเธอใกล้หมดแล้ว อยู่ในวัยชราแล้ว พอมีบุตรกับสุกรีได้ ก็พอดีกับสิ้นอายุขัย การที่สุกรีได้รับการถ่ายทอดพลังทั้งหมดของมุยราภาวดีให้ (ถ้าเป็นหนังจีน ก็คือพลังวัตรในตัวทั้งหมด) บวกกับวิชาการต่อสู้ที่ได้รับจากบิดาคือท้าวพิศาลสมุทร รวมถึงครูพักลักจำมาจากพระครูศรีอาทบ้าง และพระวิเศษศาสตราบ้าง ทำให้สุกรียกระดับ ความก้าวหน้าด้านวิทยายุทธ์ของตนไปแบบก้าวกระโดด ทำให้มีพละกำลัง สามารถต่อกรกับกองกำลังทหารธรรมดาได้นับร้อย หรือถ้าเป็นอมนุษย์ด้วยกันได้อย่างสบายมือ ที่บอกว่าสุกรีเป็นอมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ซะทีเดียวก็เพราะว่า บิดาของสุกรี หรือท้าวพิศาลสมุทร สืบเชื้อสายมาจากพญานาคตนหนึ่ง เรื่องราวในภาคนี้ เราจึงจะได้เห็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของสุกรี ที่เนื้อหาในภาคนี้ สุกรีแทบกลายเป็นพระเอกของเรื่องทั้งหมด






2.พระราชาน้อย (เจ้าชายปรเมศฤทธี) กลับมาตายรัง ภายหลังจากที่ภาคแรก พออำมาตย์ราชสิงห์ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากพระราชามนัสกษัตรกับพระวิเศษศาตราได้อีก เพราะในตอนนั้นกองกำลังของนวเกศถูกส่งไปช่วยเหลือร่วมรบกับพันธมิตรจากจามและขอม และเกิดการสูญเสียกำลังคนไปส่วนหนี่ง พอกลับมา พระราชามนัสกษัตรก็ทรงกริ้วมาก ที่ไปเป็นพันธมิตรร่วมรบแล้ว ไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรกลับมาเลย อีกทั้งยังสูญเสียกองกำลังทหารไปฟรีๆ อีกทั้งมาทราบว่าฝ่ายพันธมิตรร่วมรบเป็นฝ่ายถอนกำลังกลับ ทั้งๆ ที่เผด็จศึกได้แล้ว ก็ยิ่งทำให้ทรงไม่พอพระทัย จึงไม่แยแสที่อยากจะช่วยอำมาตย์ราชสิงห์ในการบุกยึดเอาอำนาจคืนจากโรจนาถราชา บวกกับตอนนั้นสุกรีนำกองกำลังจากเผ่าปายะมาบุกช่วยอมินตรา และได้พ่อตนเอง คือท้าวพิศาลสมุทร กับอมนุษย์ กลุ่มของวนัสปตี ซึ่งแต่ละคนคือยอดฝีมือทั้งนั้น บุกมาช่วยเหลืออมินตรา ต่อสู้กับพวกมนัสกษัตร จนสามารถเอาชนะ และจับกุมตัวฝ่ายนวเกศได้ทั้งหมด และไปเชิญ พระเจ้าปัณณฑัตกลับมาครองราชย์อีกครั้ง มนัสกษัตรถูกจับขังในคุกมืด พระวิเศษศาตรากับอำมาตย์ราชสิงห์ถูกจับกุมตัว โดยพระวิเศษศาสราถูกเนรเทศออกจากเมือง ส่วนอำมาตย์ราชสิงห์ถูกนำตัวกลับไปรับโทษทัณฑ์ที่มหิทธินาศ พระครูศรีอาทยอมแปรพักตร์เข้าพวกสุกรี โดยขอเป็นข้ารับใช้สุกรี เพื่อกอบกู้ราชอาณาจักรต่อไป ส่วนพระราชาน้อย (เจ้าชายปรเมศฤทธี) ทรงคิดได้ กลับไปขอรับโทษทัณฑ์ ยอมให้พระบิดาจับตัวไปคุมขัง และปลดจากราชนิกูลลงมาเป็นราษฏรสามัญชน แต่ด้วยความที่โรจนาถราชา ยังมีความรักและเอ็นดูพระโอรสองค์นี้อยู่มาก จึงไม่คุมขัง ให้ไปเป็นทหารไพร่ราบ คอยติดตามขุนไกรสิทธิเดช และทำความดี ค่อยๆ ไต่เต้ากลับขึ้นมาใหม่ โดยไม่ได้รับอภิสิทธิ์ใดๆ เหมือนเมื่อก่อน ภายหลังเจ้าชายพระองค์นี้ เรียกได้ว่า เปลี่ยนแปลงบุคลิก นิสัยใหม่หมด จนกลายเป็นคนเก่ง คนขยัน และฝึกปรือฝีมือ การยุทธ์ การทหารด้วยพระองค์เอง โดยไปเข้าโครงการรับสมัครฝึกฝนเป็น หน่วยรบพิเศษ อภิบาลกระฏุมพี จนสามารถจบหลักสูตร และทำความดีไถ่โทษ ในเหตุการณ์ไปเจรจาสงบศึกเมืองบริวารแข็งข้อ ทั้ง 5 เมือง และสามารถสังหารแม่ทัพคนสำคัญของเมืองสวัลญาได้ จนทำให้พระเจ้าโรจนาถราชา ปูนบำเหน็จให้เจ้าชายปรเมศฤทธี กลับมาสู่สถานะศักดิ์เป็นองค์ชายได้ตามเดิม และให้ตำแหน่ง เทียบเท่าพระยากลาโหม เป็นรองเพียงแค่ อำมาตย์ไกรสิทธิเดช เท่านั้น  และระหว่างที่ทรงไปฝึกเป็นหน่วยรบพิเศษ ก็ได้ไปเจออดีตคนรักเก่าวัยเด็ก ที่เป็นลูกสาวของนายทหารองครักษ์ พันเอกเเทพฤทธิ์  มาประจำการอยู่ในหน่วยเป็นนางพยาบาล จึงเกิดการช่วยเหลือดูแลกัน ทำให้เจ้าชายฤทธีรา ทรงประทับใจ ภายหลังทรงอภิเษกสมรสกับนางสร้อยแก้วคนนี้ กลายเป็นพระชายานั่นเอง  



3.เจ้าชายอธิกบุศย์ กลายเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์ เรื่องนี้มีที่มาได้อย่างไร จู่ๆ เจ้าชายอธิกบุศย์ กลายมาเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์ได้อย่างไร ก็มีอยู่มาวันหนึ่ง ผืนแผ่นดินบนก้อนเมฆ หรือที่เรียกว่า อมรเมฆาธานี เกิดถูกปกคลุมด้วย นกครุฑเต็มพรึดไปหมด และอากาศก็หนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ตอนแรกไม่มีใครบนอมรเมฆาล่วงรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น ภายหลังพอพระเทพราหูสิ้นพระชนม์ เนื่องจากอากาศเย็นจัดจนตัวแข็งแล้ว จึงล่วงรู้ว่ามหาครุฑทวยเทพ เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ โดยทุกๆ 5,000 ปีจะเสด็จลงมา 1 ครั้งเพื่อโปรดสัตว์มนุษย์บนโลก (ทรงเป็นเทพปกรณัมที่เป็นพาหนะขององค์วิษณุเทพ) เรื่องราวทั้งหมดผ่านการจัดการโดยพระเวฬุวันปุโรหิต ข้าราชการที่ใกล้ชิด และเก่าแก่ที่สุดของราชสำนัก ซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถสื่อสารกับมหาครุฑทวยเทพได้ พระเวฬุวันปุโรหิตบอกต่อพระมหาเทพราชาให้ล่วงรู้ และยอมลงจากราชบัลลังก์ แต่พระมหาเทพราชาไม่ทรงยินยอม จึงเกิดการต่อสู้กับมหาครุฑทวยเทพ และพญาครุฑสีห์ ซึ่งมหาครุฑทวยเทพอาศัยร่างของพระเทพราหูเป็นที่อาศัย และพญาครุฑสีห์อาศัยร่างของเจ้าชายอธิกบุศย์เป็นที่อาศัย  และการที่ได้เป็นร่างทรงนี้เอง ที่ทำให้เจ้าชายอธิกบุศย์ได้รับพลังวิเศษสิงอยู่ในร่างอย่างถาวร ภายหลังพวกเหล่าอเวนเจอร์ เอ๊ยไม่ใช่เหล่าเทพปกรณัมครุฑจะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว พลังวิเศษนี้ก็ยังอยู่ในร่างของเจ้าชายอธิกบุศย์ ทำให้คล้ายๆ สุกรี คือมีพลังวัตรแฝงอยู่ในร่าง ทำให้เจ้าชายอธิกบุศย์มีพละกำลังเพิ่มในตัวหลายเท่า สามารถต่อกรกับกองกำลังทหารนับร้อยได้อย่างสบายหรือกับผู้เยี่ยมยุทธ์อย่าง เจ้าชายศิระติกาลได้อย่างสูสี ทัดเทียม ซึงผิดกับเมื่อสมัยยังละอ่อน ที่เป็นฝ่ายถูกรังแกทำร้ายจากพระเชษฐาต่างมารดาอยู่เสมอ บวกกับวิชาการยุทธ์ที่ทรงได้ศึกษาร่ำเรียนเพิ่มเติมมาจากเนราญนารายณ์ ทำให้เจ้าชายอธิกบุศย์ ก็มีฝีมือรุดหน้าแบบก้าวกระโดดยอีกคนนึง เดี๋ยวตอนหน้ามาพูดถึงอีก 2 ตัวละครที่เหลือ นั่นคือ นาคามิน กับพราหมณ์น้อย-เจ้าชายอนุเชษฐ์ และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาของภาคที่ 3 กันต่อไป




วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 4 (การผจญภัยขององค์รัชทายาท และปริศนาผู้เสวยราชย์)





บทเกริ่นนำ


นับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ หรือก้าวเข้าสู่ยุค 2000 มานี้ พัฒนาการของหนังจีนกำลังภายในหรือนิยายกำลังภายในยุคใหม่ ช่างแตกต่างจากในยุคก่อน (กิมย้ง/โกวเล้ง/หวงอี้) เอามากๆ ในความรู้สึกของผู้เขียน คือเต็มไปด้วย อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เวทมนต์ ที่มันฟุ้งเฟ้อ ล้ำจินตนาการมากเกินไป เต็มไปด้วยพล็อตที่มันหาตรรกะ เหตุผล ความน่าเชื่อถือได้น้อยลง  ข้อสังเกตง่ายๆ เมื่อก่อนเราดูหรืออ่านนิยายกำลังภายใน อย่างเก่ง ก็คือการต่อสู้กันด้วย ทักษะ เชิงยุทธ์ เพลงกระบี่ หรือวิชาการต่อสู้ ผ่านการฝึกฝนของตัวละคร หรือขโมยเคล็บลับวิชามาฝึกกัน แล้วเอาชนะกันด้วยเคล็ดวิชา ท่วงท่า เพลงกระบี่ ที่เหนือกว่า ใครเก่งกว่าก็เอาชนะได้ ใครแพ้ ถ้าไม่เสียชีวิตก็พิการ หรือถูกทำลายวรยุทธ์ หรือตัดเส้นเอ็น อะไรประมาณนี้ แต่ว่าหนังจีนกำลังภายใน หรือนิยายกำลังภายในยุคใหม่ มันมีขั้นที่เหนือกว่าวรยุทธ์ ขึ้นไปอีกสเต็ปนึงก็คือ มีชั้นเทพ เพิ่มขึ้นมา คือถ้าคุณเก่งวรยุทธ์เป็นระดับเซียนกระบี่มือ 1 แต่พอมาเจอขั้นเทพ คุณจะสู้พวกเทพนี้ไม่ได้ ต้องก้าวขึ้นไปฝึกวิชาเทพอีกระดับนึง คือต้องแอดว๊านซ์ขึ้นไปสู่ชนชั้นวรรณะเทพ จึงจะสามารถไปต่อกรได้ แล้วก็เลยเป็นแนวทางใหม่ๆ ของโลกยุทธภพไปแล้วหรือไม่ ช่วงหลังๆ เราจึงพบเจอกับนิยายกำลังภายในที่มีพวกเทพขึ้นมาอีกสับเซตนึง ซึ่งมาผสมโรงกับพวกจอมยุทธ์ ซึ่งก็ยังคงมีอยู่ในยุทธนิยายแบบเดิมและแบบใหม่ เพิ่มเติมคือพวกเหล่าจอมเทพ,เซียน,จอมปราชญ์ และการเปิดโลกน่านน้ำสีน้ำเงินของยุทธนิยายให้มีพวกเทพ,เซียน,ปราชญ์เพิ่มขึ้นมานี้แหละ ที่ทำให้มนต์เสน่ห์ของนิยายจีนกำลังภายในหรือหนังจีนกำลังภายในมันขาดมนต์ขลังไป เพราะพอมีกลุ่มพวกจอมเทพ,เซียนมาในหนังจีนหรือนิยายกันมากๆ ราวกับซีรีส์เทพเจ้าอินเดีย  กลุ่มคนพวกนี้มันจะทำอะไรก็ได้ ในระดับทำลายล้าง ไร้ตรรกะ (ความน่าเชื่อถือ) ถือเป็นการทำลายมนต์เสน่ห์ของนิยายกำลังภายในแบบเดิมๆ ไปเสียสิ้น (แต่คนรุ่นใหม่ อาจจะชอบแนวนี้ก็เป็นได้ แต่ในฐานะผู้เขียนเคยเสพแต่นิยายกำลังภายในแบบเก่ายุคกิมย้ง,โกวเล้ง,หวงอี้) ทำให้ไม่อินกับแนวพวกจอมเทพ,เซียนของยุคใหม่ 





ที่กำลังสนใจดูอยู่อย่าง สยบฟ้าพิชิตปฐพี (นิยายของนักเขียนรุ่นใหม่ เมานี่)  เป็นตัวอย่างของนิยายยุคใหม่ที่มีกลุ่มพวกจอมเทพ,เซียน,ปราชญ์  ผู้เขียนชอบบุคลิกของตัวละครเอกคือ หนิงเชวีย พระเอกของเรื่องที่เป็นพวก Loser มีปมอดีตที่เป็นปริศนา แม้พระเอกจะฝึกฝนวิทยายุทธ์จนเก่งขนาดไหน จนได้รับฉายา จอมสังหาร “คนตัดฟืนแห่งทะเลสาบซูปี้”  ถ้าเป็นในโลกนิยายกำลังภายในแบบยุคเดิมๆ ความเก่งระดับนี้ของหนิงเชวีย ต้องสามารถตะลุยยุทธภพ ต่อสู้ปราบเหล่าอธรรมได้สบาย แต่ในเรื่องนี้ ฝีมือของพระเอกกลายเป็นระดับกิ๊กก๊อกไปเลย เมื่อไปเจอกับเหล่าผู้มีฝีมือในสาย จอมเทพ,จอมปราชญ์ทั้งหลาย ทำให้ในเรื่อง พระเอกต้องต่อสู้เพื่อให้ตัวเองเข้าไปสู่สำนักจอมปราชญ์ เพื่อฝึกปรือฝีมือก้าวขึ้นไปสู่ระดับเดียวกับพวกจอมเทพให้ได้ คือต้องนับหนึ่งใหม่สำหรับการเริ่มต้นฝึกวิชากันเลยทีเดียว 




ซึ่งผุ้เขียนก็เข้าใจนะครับ ว่าโลกต้องมีการเปลี่ยนแปลง แนวทางเดิมของยุทธนิยายแบบโลกเก่า อาจไม่มีอะไรใหม่หรือทำให้สนุกตื่นเต้นเท่าการเปิดประตูสู่โลกใหม่ของยุทธนิยายจีนยุคนี้ เหมือนคนยุคก่อนที่ไม่เข้าใจ ไม่เปิดรับโลกโซเชียลอินเตอร์เน็ต ยังชอบอยู่ในโลกยุคออฟไลน์แบบเดิมๆ ก็จะไม่เข้าใจว่าโลกโซเชียลมีมิติใหม่ๆ อะไรที่น่าค้นหา และมีข้อดีของมันอยู่ แต่ก็เห็นๆ กันว่า โลกโซเชียลด้านที่มันร้าย มันก็สามารถทำลายให้คนเราย่อยยับได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเหมือนกัน หากเราไม่สามารถแยกแยะ หรือเรียนรู้เอาด้านดีของมันออกมาใช้ เฉกเช่นเดียวกับ การที่นักเขียนรุ่นใหม่เลือกสร้างโลกใหม่ให้ยุทธนิยาย มีตัวละครแบบเหล่าจอมเทพโผล่เข้ามาเยอะๆ โดยที่คุณไม่สร้างตรระกะรองรับ หรือนำตัวละครมาใช้อย่างเหมาะสม สมเหตุผล เหมาะกับเหตุการณ์ มันอาจทำลายคุณค่าของนิยายกำลังภายในไปแบบชนิด อีกหน่อยเราอาจมองยุทธนิยายจีนเป็นเพียงหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ฉาบด้วยเครื่องแต่งกายจีนแบบกำลังภายในโบราณก็เป็นได้ แล้วถึงตอนนั้น เราก็อาจโหยหา อยากออกจากโลกโซเชียลสู่โลกความเป็นจริง ออกจากโลกยุทธนิยายอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มาสู่โลกยุทธนิยายแบบจอมยุทธ์ที่ฝึกปรือวิชาด้วย 2 มือเปล่าไปต่อสู้เพื่อผดุงความเป็นธรรมจะดีกว่า  

เข้าสู่เนื้อหาพิภพราชา ในตอนนี้ จะเข้าสู่เนื้อหาของ ภาค 2 ชื่อตอน ปริศนาผู้เสวยราชย์ ฟังดูอาจจะงงๆ ว่า ปริศนาที่ว่าคือปริศนาอะไร และเป็นปริศนาของผู้เสวยราชย์ท่านใด คำว่าเสวยราชย์ คืออะไร ใช่ความหมายเดียวกับ การขึ้นครองราชย์มั๊ย แล้วใครคือผู้เสวยราชย์ ชักงงแล้วสิ ก่อนจะไปอรรถาธิบายพวกคำเหล่านี้  ขอย้อนไปภาคแรกนิดนึง คือภาคแรก ชื่อตอน ชะตากรรมแห่งองค์รัชทายาท ชื่อก็ค่อนข้างชัดเจน ดังนั้น ในภาคแรก จุดโฟกัส จึงเป็นเรื่องขององค์รัชทายาท ที่ชื่อเจ้าชายอัศวเทพ แห่งมหิทธินาศรังสรรค์นคร ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบภาคแรก คือเส้นเรื่องค่อนข้างชัดเจน แม้จะมีเส้นเรื่องรองเพิ่มเติมมาในส่วนของ ตัวละครอื่นๆ บ้าง 

แต่พอมาภาค 2 แม้จะชื่อตอน ปริศนาผู้เสวยราชย์ แต่เนื้อหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ที่แยกจากกันชัดเจน คือส่วนที่ 1 เป็นพาร์ทผจญภัยของเหล่าบรรดารัชทายาทวัยรุ่นจากนครรัฐต่างๆ (พาร์ทนี้ สามารถแยกเป็นตอน หรือเรื่องอีกเรื่องนึงได้เลย) มูลเหตุของการที่เหล่าบรรดารัชทายาทวัยรุ่นเหล่านั้น คือ 19 ราย มารวมตัวกันอยู่ที่เนราญนารายณ์ ก็เพราะเป็นกุศโลบายของพระอาจารย์ฤษีอิสรดาบถ ร่วมกับพระเจ้าเอกสิทธาธิราช แห่งนพธารานคร ที่มองเห็นปัญหาที่ทำให้นครรัฐต่างๆ ต่างรุกรานดินแดนซึ่งกันและกัน เป็นเพราะไม่เคยมีการเชื่อมไมตรี หรือสานสัมพันธไมตรีกันมาก่อน จึงออกอุบายที่เชิญบรรดาเจ้านครรัฐต่างๆ มาประชุมกัน ที่นพธารานคร แล้วออกปฏิญญาร่วมกัน ที่จะให้ตัวแทน ซี่งเป็นองค์รัชทายาทสำคัญที่จะได้ขึ้นครองราชย์ในอนาคต มาอยู่รวมกัน ศึกษาเล่าเรียน และผูกสัมพันธ์ เป็นพระสหายกันในคลาสเรียน ที่วิทยาลัยเนราญนารายณ์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติ เอ๊ยไม่ใช่ เป็นเหมือนโรงเรียน บ่มเพาะ ที่ประสาทวิชา เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ระหว่างบรรดาพระสหายจากนครรัฐต่างๆ เผื่อวันหน้า หากคิดจะรบราฆ่าฟันกัน จะได้หันหน้ามาเจรจากันแทน เพราะดินแดนที่คุณจะรุกรานอยู่นั้น มีพระสหายของคุณที่เคยเรียนร่วมกันมา เป็นผู้ปกครองนครรัฐนั้นอยู่  ส่วนที่ 2 เป็นพาร์ทของปริศนาผู้เสวยราชย์  คำว่าปริศนา ก็ไม่มีอะไรมาก คือเรายังไม่เฉลยในตอนนี้ว่า คนที่ได้ขึ้นครองราชย์ในนครรัฐแห่งหนึ่ง ไม่ได้ถูกวางตัวเป็นองค์รัชทายาท หรือแคนดิเดทที่จะได้ขึ้นครองราชย์ แต่แล้วจู่ๆ ก็ถูกสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์แบบงงๆ หรือเซอร์ไพร์ซ และมันมีเรื่องราวความวุ่นวายหลังจากนั้นตามมาอีกมาก ทั้งต่อตัวผู้เสวยราชย์พระองค์นั้น และต่อคนรอบข้างของเขาด้วย ส่วนคนๆ นั้นเป็นใคร ก็ต้องเข้าไปอ่านในพิภพราชา ภาค 2 เอาเอง  ใบ้ให้ก็ได้ ผู้เสวยราชย์พระองค์นี้ ก็เป็น 1 ใน 19 พระสหาย ที่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่เนราญนารายณ์ด้วย

ไฮไลท์ของพาร์ท ผจญภัยของเหล่าบรรดาองค์รัชทายาททั้ง 19 พระสหาย นี้อยู่ตรง พวกเขาไปเรียนวิชาการอะไรกันบ้าง ใครอยู่ในกลุ่มตั้งใจเรียนบ้าง  ใครไม่ได้ตั่งใจมาเรียน แต่มาเพราะพ่อแม่ให้มาเรียนก็มา (เอ๊ะ นี่ไม่ได้แขวะเด็กวัยรุ่นยุคนี้นะ แต่มันก็มีอยู่ในทุกสังคมนั่นแหละ) และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ บรรดาคณาจารย์ที่มาสอนเด็กๆ วัยรุ่นกลุ่มนี้ เป็นใคร มาจากไหนกันบ้าง บางคนมาเจอโจทก์เก่าของตนเอง คือไม่ถูกกัน มาก่อน อันนี้ไม่ขอสปอยด์นะ และที่มันสนุกมากก็คือ มันจำลองสังคมของเหล่าวัยรุ่น ที่ทุกสังคม ต้องมีทั้งคนดี คนเลว คนที่มีบุคลิกร่าเริง ชอบเป็นผู้นำหรือกล้าแสดงออก บางคนมีบุคลิกเงียบขรึม ชอบเก็บตัว ไม่คบหาหรือสุงสิงกับใคร และบางคนเป็นเด็กมีปัญหา บางคนดูภายนอกเป็นคนดี แต่ภายในจิตใจหรือเบื้องหลังนี่แสบมาก ร้ายกว่าเด็กที่ดูภายนอกแบดๆ ก็มี  พอคนเหล่านี้ต้องมาอยู่รวมกัน คุณคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่า มันต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ ได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ในชีวิต เป็น coming of age 

พาร์ทนี้ บอกเลย ผู้เขียนตั้งใจเขียนให้มันมีข้อคิดอะไรดีๆ สำหรับคนอ่าน (เด็กวัยรุ่น) ด้วย แต่แปลกมาก ภาค 2 เป็นภาคที่คุณผู้อ่านให้ความสนใจอ่านน้อยที่สุดในบรรดา 4 ภาค คือมีคนเข้ามาอ่านน้อยสุด (นี่คือข้อมูลสถิติจากเว็บเด็กดี ที่ผู้เขียนเอานิยายเรื่องนี้ไปลงไว้) ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อาจเป็นเพราะชื่อตอนที่มันไม่น่าสนใจ หรือว่า คิดว่ามันคงเป็นเนื้อหาที่ไม่เข้มข้น คนส่วนใหญ่พออ่านภาคแรกแล้ว จึงข้ามไปอ่านภาคสุดท้ายเลย ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ อาจจะทำได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผู้เขียนขอบอกว่า คุณจะพลาดฉากสำคัญไปมากทีเดียว เพราะทุกภาคของพิภพราชา ผู้เขียนใส่รายละเอียดทีสำคัญลงไปในสัดส่วนเท่าๆ กัน และไม่ฉากไฮไลต์หรือไคลแม็กซ์ในทุกภาค จึงอ่านแบบข้ามๆ ไป จะไม่สามารถเก็บรายละเอียด และพลาดในส่วนพัฒนาการของตัวละครสำคัญไปอย่างแน่นอน

อีกส่วนหนี่งก็คือ ภาคนี้ จะมีฉากไฮไลต์ที่สำคัญๆ ปรากฏอยู่ในส่วนที่ 2 หรือพาร์ทปริศนาผู้เสวยราชย์ หลายฉาก ยกตัวอย่างแรก ฉากเฉลยว่าตัวละครตัวหนี่งเป็นลูกใคร แล้วนั่นเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาได้ขึ้นครองราชย์  กล่าวคือเรื่องนี้ จะมีตัวละครสำคัญที่มีปริศนาชาติกำเนิดอยู่ 3 ตัว ด้วยกัน บอกเลยสูตรสำเร็จในการแต่งนิยาย ถ้านิยายเรื่องใดก็ตาม มีตัวละครที่มีปริศนาเรื่องชาติกำเนิดที่คลุมเครือ ไม่รู้แน่ชัดนะ ไม่ว่าตัวใดก็ตาม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า นี่คือพระเอกของเรื่อง หรือเป็นกลุ่มตัวละครเอก ของเรื่องนั้น มีความสำคัญต่อเนื้อหาและโครงเรื่อง แต่ผู้เขียนไม่อาจจะบอกตรงๆ กับคนอ่านได้ในช่วงแรก เพราะจะทำให้มีผลต่อโครงเรื่องหรือพล็อตที่วางเอาไว้ แต่จะไปเฉลยอีกทีในภายหลังเมื่อถึงจังหวะเวลาที่สมควรแล้ว  ถามว่าแล้วผู้แต่งจะทำให้มันมีความลับซับซ้อนไปเพื่ออะไร ก็เพราะว่า ต้องการให้ผู้อ่านคาดเดาหรือติดตามเนื้อหาต่อไปไง ถ้าเฉลยหมด มันจะสนุกอะไรหล่ะ แล้วบางทีการเก็บปริศนาเอาไว้ มันไปมีผลต่อจุดเปลี่ยนของเรื่อง หรือเหตุการณ์พลิกผันของเรื่องด้วย เหมือนที่ ในพาร์ทนี้ จะมีตัวละคร 1 ใน 3 ตัวละครหลัก ที่มีปูมเรืองชาติกำเนิดไม่แน่ชัด นี่แหละ จะถูกเฉลยในภาคนี้ ว่าคือผู้เสวยราชย์ ในนครรัฐแห่งหนึ่ง ไม่บอกว่าใคร ต้องไปอ่านเอาเอง  ยกตัวอย่างสอง มีอยู่ฉากหนึ่งจะเป็นการเผยให้เห็น มูลเหตุ หรือชนวนสำคัญที่ทำให้ นครรัฐจามกับขอม โกรธเคือง เมื่อรู้ว่า ถูกหลอกให้ถอนทัพ ในศึกถล่มกรุงโลกาบรรณพิภพ ครั้งที่  1 เพราะถูกใครคนหนึ่ง บุกมาวางเพลิงเผาป่าใกล้วังของตน และแอบมาปล่อยเชื้ออหิวาห์ ซึ่งเป็นโรคติดต่อ ที่ทำให้ขอมต้องย้ายราชธานี หนีโรคร้าย พอทราบว่าถูกเล่นงาน จึงเกิดเป็นชนวนที่จะทำให้พวกเขาต้องเอาคืน ฝ่ายที่ทำให้พวกเขาต้องถอนทัพ ซึ่งชนวนความขัดแย้งนี้ จะนำไปสู่เหตุการณ์ในภาค 3 ต่อไป อีก ซี่งเรื่องราวมันจะเข้มข้น และมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของตัวละครหลัก ไว้ตอนหน้ามาเล่าให้ฟังกันต่อ 

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 3 (การทรยศหักหลังกันเองในอาณาจักรนิมิตรนคร)



ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนฉายภาพให้เห็นภาพปัญหาภายในของ 2 นครรัฐก็คือมหิทธินาศรังสรรค์ กับนวเกศเศรษฐี ซึ่งรวมเรียกว่า อาณาจักรมหิทธิเกศ  อันนั้นต้องถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับ อาณาจักรนิมิตรนคร ที่เป็นราชอาณาจักรใหญ่กว่า เป็นศูนย์กลางมหาอำนาจของพื้นพิภพในเรื่อง หรือที่เรียกว่า “พิภพราชา” นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดในนวนิยายเรื่องนี้

ที่มาที่ไป ต้นกำเนิดของอาณาจักรแห่งนี้ ต้องเล่าย้อนไปในยุคล่าดินแดน ต้นพุทธศกราชที่ 10 (ก่อนเหตุการณ์ในช่วงปัจจุบันของนวนิยาย)  ดูไทม์ไลน์ต่อไปนี้ เพื่อความเข้าใจง่ายๆ ดังนี้



ไทม์ไลน์ 1.ช่วงยุคการล่าดินแดน (ช่วงปี พ.ศ. 994-1181)  เป็นยุคที่มีการรบพุ่งกันของแคว้นหรือนครรัฐต่างๆ ยังไม่มีการรวบรวมเป็นราชอาณาจักรใหญ่ๆ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ เหนือดินแดนที่ตนเองยึดครอง ขึ้นอยู่กับใครมีกองกำลังทหารหรืออาวุธ ไพร่พลมากกว่า ก็อ้างสิทธิ์ปกครองเหนือดินแดนของตน ยุคนี้ไม่มีความมั่นคง ผู้นำมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และยังไม่มีกฏ กติกาที่ชัดเจน จัดอยู่ในยุคมืด

ไทม์ไลน์ 2.ช่วงยุคการสถาปนานครรัฐ หรือราชอาณาจักร (ช่วงปี พ.ศ.1181-1470)  เป็นยุคที่มีการครอบครองดินแดน มีการแบ่งอาณาเขตของดินแดนอย่างชัดเจน มีการสถาปนาผู้นำเป็นกษัตริย์หรือพระราชาเพื่อปกครองดินแดน ยุคนี้ ก็คือยุคก่อเกิด อาณาจักรนิมิตนคร (ละโว้) ,อาณาจักรมหิทธิเกศ (เวียงปรึกษา-หิรัญเงินยางฯ),อาณาจักรศรีวิชัย,อาณาจักรขอม, อาณาจักรจามปา,อาณาจักรกลิงคะ ,อาณาจักรศรีเกษตร เป็นต้น

ไทมไลน์ 3 ช่วงยุคสถาปนาดินแดนสุวรรณภูมิ (ช่วงปี พ.ศ.1467 เป็นต้นมา) มีการส่งต่อราชอาณาจักรละโว้ ไปยังอาณาจักรสุพรรณภูมิ ก่อนจะพัฒนาไปสู่อาณาจักรสุโขทัย  ในส่วนของศรีวิชัย ส่งต่อไปยังอาณาจักรตามพรลิงค์ และพัฒนาต่อไปยังลังกาสุกะ และมลายูในปัจจุบัน  ด้านอาณาจักรหิรัญเงินยาง ส่งต่อไปยังอาณาจักรล้านนา และดินแดนทางตอนเหนือของอาณาจักรสยามในปัจจุบัน

อาณาจักรนิมิตนคร เกิดจากการการต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันในตอนกลางของพิภพราชา ในยุคมืดหรือยุคล่าดินแดน โดย 3 นักรบที่เป็น 3 สหายสนิทกัน คือ พระเจ้าเพียร (นายเพียร) แห่งแคว้นบรรณฑป ,พญาสมุทรโลกา (นายสมุทร) เป็นแม่ทัพสำคัญคนหนึ่งในกองทัพขอม (สืบเชื้อสายขอม) และ พระเจ้าเทวาสุรบดินทร์ (นายสุระกาปูร์) เป็นนายทหารจากแคว้นโจฬะที่แปรพักตร์มาเข้าร่วมฝ่ายขอม  คือทั้ง 3 คนต่างเป็นผู้นำทหารในแนวหน้าจาก 3 ฝ่ายที่รบกันโดยไม่ทราบว่ารบไปเพื่ออะไร พีน้องล้มตายไป แต่เจ้าผู้ปกครองนครรัฐเหล่านั้นต่างได้ดินแดน พวกเขาต้องสูญเสียคนรัก ครอบครัวและบ้านเกิด วันหนึ่งจึงมาเจรจาสงบศึกกัน และสาบานเป็นพี่น้อง ว่าจะร่วมต่อสู้เอาดินแดนเป็นของตนเอง จะร่วมต่อสู้กับพวกโจฬะ (ชาวเผ่าฮินดูจากดินแดนภารต ที่ส่งกองกำลังมารุกราน หมายจะยึดครองดินแดนอุษาคเณย์ และจะต่อสู้ทำศึกกับพวกอาณาจักรขอม ที่แผ่อิทธิพลปกครองในดินแดนแถบนี้มานาน จึงทำการรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกันมาร่วมรบ ท้ายที่สุดแล้ว 3 สหาย ทำการปราบปรามชนเผ่าโจฬะจากดินแดนภารต และแปรทัพ ตัดความสัมพันธ์กับรัฐขอม เพื่อประกาศตนเป็นเอกเทศ หรือตั้งตนเป็นรัฐอิสระปกครองดินแดนแถบนี้เสียเอง จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งอาณาจักรนิมิตนคร ขึ้น

เมื่อสถาปนาอาณาจักรนิมิตนครแล้ว จำเป็นต้องหาผู้นำสูงสุดของราชอาณาจักร จึงทำสัญญาตกลงกันว่า จะผลัดกันเป็นผู้นำสูงสุดปกครองราชอาณาจักร โดยเวียนจากผู้อาวุโสสูงสุดก่อน ก็คือพระเจ้าเพียร แล้วต่อมาก็เป็นพญาสมุทรโลกา แล้วค่อยเป็นพระเจ้าเทวาสุรบดินทร์   ทีนี้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มาอยู่รวมกันในดินแดนเดียวกัน ย่อมเหมือนราชสีห์หรือพยัคฆ์ 3 ตัวมาอยู่ในป่าเดียวกัน ย่อมตีกันตาย จึงจำเป็นต้องแยกดินแดนย่อยให้ปกครอง โดยพระเจ้าเพียร ในฐานะประมุขของราชอาณาจักร ได้รับฉันทามติจากกองทัพและสหายร่วมรบ ให้ปกครองดินแดนผืนแผ่นดินใหญ่ ที่เรียกว่า โลกาบรรณพิภพ และให้สถานปนาเป็นนครรัฐ มีนามว่า กรุงโลกาบรรณพิภพ  ด้านพญาสมุทรโลกา มีพื้นเพมาจากชาวประมง จึงให้ปกครองดินแดนที่เป็นเกาะแก่ง หรือ 9 เกาะในอาณัติปกครอง โดยให้สถาปนาเป็นนครรัฐนพธารานคร ส่วนพระเจ้าเทวาสุรบดินทร์สืบเชื้อสายฮินดูนับถือเทพ จึงให้ปกครองดินแดนที่เป็นก้อนเมฆ และให้สถาปนาเป็นอมรเมฆาธานี  ทั้ง 3 นครรัฐให้มีกองกำลังเป็นเอกเทศ และมีอำนาจปกครองตนเองได้ แต่ให้ขึ้นตรงต่ออาณาจักรนิมิตนคร และภายหลังก็มีดินแดนในปกครองเพิ่มขึ้นตามมาอีก อาทิ แคว้นราโชทัย ชนเผ่าไทลื้อ ชนเผ่ายักษ์สดึก ชนเผ่าปายะ เป็นต้น

เรื่องราวของการก่อร่างสร้างอาณาจักรนิมิตนคร หรือตัวละครปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรนิมิตนคร ผุ้เขียนสามารถเขียนเป็นอีก 1 ภาค เป็นภาคแยกไปได้อีก เพราะมีเรื่องราวน่าสนใจอีกมากเหมือนกัน แต่ก็ต้องขอตัดออกไปจากฉบับนิยาย มิเช่นนั้นจะยาวไปเป็น 7-8 เล่ม ซึ่งยากจะโฟกัสประเด็นหรือตัวละครหลักได้

ทีนี้พอทราบต้นกำเนิดของอาณาจักรนิมิตนครแล้ว ก็ขอลงในรายละเอียดของแต่ละนครรัฐ โดยเริ่มต้นที่



1.กรุงโลกาบรรณพิภพ เป็นดินแดนที่อยู่บนพื้นดิน เป็นพื้นแผ่นดินใหญ่ ใครๆ ก็ต้องการครอบครอง อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และชัยภูมิยังเป็นจุดศูนย์กลางของอุษาคเณย์ด้วย ในท้องเรื่อง ณ ปัจจุบัน มีพระเจ้าอติภพภูวนารถ เป็นกษัตริย์ปกครอง มีพระมเหสีนามว่า อุทัยวรรณ อัครชายา และสนมเอกนามว่า มธุรสเทวี มีทหารเอกมือซ้ายนามว่า ท้าวพิศาลสมุทร กับทหารเอกมือขวา นามว่า พิชิตสังขลาทร  ปัญหาของอติภพภูวนารถ ก็คือ ทหารคนสนิททั้ง 2 คิดไม่ซื่อ ตีท้ายครัวตนเอง ทั้ง 2 คนเลย ในขณะที่อติภพภูวนารถ หมกมุ่นอยู่กับการจัดกองกำลังทหาร การฝึกกำลังพล สู้รบ จึงไม่มีเวลาสนใจพระมเหสีกับพระสนม  ทั้ง 2 นาง มีความสวยในระดับหญิงงามเมืองทั้งคู่ และไม่คิดว่าทหารเอกคู่ใจของตนทั้ง 2 จะทรยศหักหลังตนเองด้วยการเป็นชู้กับคนรักของตน กรณีของมเหสีอุทัยวรรณ ทรงแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับหลวงพิชิตสังขลาทร ตั้งแต่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระยา และอำมาตย์ในเวลาต่อมา จนมีพระโอรสลับๆ ด้วยกันนามว่า เจ้าชายเศกปนัท ที่หายสาบสูญไป โดยมเหสีอุทัยวรรณกลัวว่าอติภพภูวนารถ จะล่วงรู้ว่าไม่ใช่โอรสที่เกิดกับตน จึงให้พิชิตสังขลาทร สั่งให้แม่นมเอาไปทิ้ง โดยให้ลอยไปกับเรือลำหนึ่ง ไม่สังหารทิ้ง โดยหวังว่า โอรสจะถูกชาวบ้านเอาไปเลี้ยงดู เพราะตัดใจฆ่าโอรสของตนไม่ลง ส่วนกรณีของสนมมธุรสเทวี แอบลักลอบเป็นชู้กับท้าวพิศาลสมุทร จนมีลูกด้วยกัน นามว่าสุกรี โดยไม่มีศักดิ์เป็นโอรส เพราะว่าถูกจับได้เสียก่อนว่า ลักลอบเป็นชู้กัน ซี่งต่างจาก เศกปนัท ที่จนอติภพภูวนารถสิ้นพระชนม์ก็ยังไม่รู้ว่า โอรสที่ตนเองคิดว่าหายสาบสูญ ไม่ใช่โอรสที่มีเชื้อสายของตนเลย แต่อติภพภูวนารถกับมเหสีอุทัยวรรณ มีพระธิดาร่วมกัน นามว่า เจ้าหญิงอรอนิน ที่มีรูปโฉมงดงาม เป็นกษัตริย์ที่น่าสงสาร ถูกสวมเขาจนแม้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับโอรสของตน เข้าทำนอง เก่งงานนอกบ้าน หาเงินเข้าบ้านเก่ง แต่ปัญหาหลังบ้าน ความรักในครอบครัวล้มเหลว เมียที่ตนเองรัก 2 คน นอกใจทั้งคู่ ในช่วงที่มีปัญหาทำศึกกับอริราชศัตรูจากกองทัพจามกับขอม แม้ภายหลังจะสามารถกอบกู้ราชอาณาจักรกลับมาได้ แต่ก็บอบช้ำ ล้มป่วยลง เพราะไม่มีคนที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง

2.นพธารานคร  เป็นดินแดนที่แยกเป็นเกาะแก่ง รวมกันถึง 9 เกาะ มีพระเจ้าเอกสิทธาธิราช เป็นพระราชาองค์ปัจจุบัน รายนี้ก็เจอปัญหาเรื่องครอบครัวหนักหนาไม่ต่างจากอติภพภูวนารถ มีพระมเหสีคนแรก ก็ประสบอุบัติเหตุจมน้ำจากการประทับเรือพระที่นั่งเพื่อชมวิว แต่เรือรั่ว มีคนสันนิษฐานว่า ท่านถูกพระสนมคนหนึ่งกลั่นแกล้ง แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด  พระมเหสีคนต่อมาก็สิ้นพระชนม์ลง ภายหลังคลอดพระโอรสนามว่า เอกอนุเชษฐ์ แล้วเป็นโรคร้ายเกี่ยวกับผิวหนัง ทรงรับสภาพรูปโฉมที่อัปลักษณ์ของตนไม่ได้ จึงทำอัตวินิบาตกรรม (ผูกคอตาย) ภายหลังพระมเหสีคนนี้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระเจ้าเอกสิทธาธิราช ก็ทรงตั้งปฏิญาณว่าจะไม่ขอมีพระมเหสีอีก แม้แต่สนมก็ไม่ขอมี ทรงทุ่มเทให้กับงานพัฒนาบ้านเมือง ส่งเสริมการศาสนา (พราหมณ์) และปลดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฏรเพียงอย่างเดียว ข้อดีของเอกสิทธาธิราชที่นครรัฐอื่นควรอิจฉาก็คือ ทรงมีบริวาร ลูกน้อง ข้าราชบริพาร ที่จงรักภักดี และมีความสามารถ นับตั้งแต่โหรพราหมณ์ พระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ เป็นราชครูที่ปรึกษาสูงสุด (หรือกุนซือ) มีแม่ทัพมือขวาที่เก่งกาจด้านการรบอย่าง หลวงทิตย์พลาศัย มีทหารราชองครักษ์เก่งอย่าง ขุนหลวงปรายเสล หรือแม้แต่ นาคามิน ลูกศิษย์ของอาจารย์ปู่ ก็เป็นทั้งสายลับ และทหารองครักษ์คนสำคัญของเอกสิทธาธิราช ที่ช่วยกันค้ำจุนอำนาจของนพธารานครให้แข็งแกร่ง มั่นคง ยากที่ใครจะต่อกรได้ง่ายๆ

3.อมรเมฆาธานี  เป็นนครบนก้อนเมฆ ดูด้วยตาเปล่า อาจมองว่า พื้นที่คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าก้าวขึ้นไปแตะ หรือสัมผัสบนแผ่นดินนั้นจริงๆ ก็จะพบว่า มีอาณาเขตที่ใหญ่พอๆ กับดินแดนแคว้นขนาดกลางๆ แคว้นนึงบนพื้นพิภพเลย คือเป็นดินแดนไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ขนาดกำลังดี แต่มีกองกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพมาก ปกครองโดย พระเทพราหู ต่อมาเป็นพระเทพราชา (โอรสองค์โต) ปัญหาของนครรัฐนี้ก็คือ ตัวพระเทพราหู กับเจ้าชายศิระติกาล (โอรสองค์เล็ก) ต้องการให้พระเทพราชา ช่วงชิงการนำ เป็นใหญ่ในอาณาจักรนิมิตนคร เนื่องจากเล็งเห็นถึงความอ่อนแอของพระเจ้าอติภพภูวนารถ ที่ไม่สามารถนำพาอาณาจักรนิมิตรนคร ต่อต้านการรุกรานจากอริราชศัตรูได้ จึงต้องการช่วงชิงการเป็นประมุขเสียเอง แต่พระเทพราชาไม่เห็นด้วย เพราะต้องการรักษากฎ กติกาที่ให้มีการเวียนกันเป็นประมุขอาณาจักรคนละ 1 สมัย (ขอบอกก่อนว่า  1 สมัยของการเป็นประมุขอาณาจักรนิมิตนคร ต่างจาก 1 สมัยของการเป็นนายกประเทศสาระขัณฑ์ เพราะ 1 สมัยของนายกสาระขัณฑ์เท่ากับ 4 ปีโดยประมาณ แต่ 1 สมัยของประมุขอาณาจักรนิมิตรนคร คือ 1 ชั่วชีวิตของประมุขคนนั้น หมายความว่า ถ้าประมุขคนนั้นไม่ตาย จะไม่มีการเปลี่ยนประมุขคนใหม่ของอาณาจักรนิมิตรนคร เว้นแต่ว่า มีมติที่ประชุมของสมาชิกสำคัญของอาณาจักรประชุมกันและมีฉันทามติเลือกประมุขคนใหม่ ในสถานการณ์พิเศษ ซึ่งกรณีนี้ยังไม่เคยมีในประวัติศาสตร์) ทำให้พระเทพราชา ต้องแตกหักกับน้องชายตนเอง ก็คือเจ้าชายศิระติกาล ที่แยกตนเองออกไปตั้งกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ และแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู ก็คือฝ่ายจาม,ขอม โดยวางแผนกันเข้ายึดครองกรุงโลกาบรรณพิภพ โดยเจ้าชายศิระติกาล คือหนอนบ่อนไส้ หรือไส้ศึกตัวใหญ่ที่เอาข้อมูล และจุดอ่อนต่างๆ ของอาณาจักรนิมิตนคร ไปบอกต่อเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร แห่งรัฐจามและเจ้าชายอภิมันตราแห่งรัฐขอม และวางแผนร่วมกันที่จะนำกองทัพบุกกรุงโลกาบรรณพิภพ โดยที่ก่อนหน้านี้เจ้าชายอัทธิถิรวารกับเจ้าชายอภิม้นตรา ได้นำสายสืบและนายทหารองครักษ์มีฝีมือ เข้ามาสอดแนมและฝังตัวอยู่ในกรุงโลกาบรรณพิภพอยู่ก่อนแล้วกว่า 2 ปี เพื่อหาข่าวและศึกษาหาข้อมูล ว่าจะทำศึกอย่างไรให้ชนะ แต่พอเจ้าชายศิระติกาลเสนอตัวมาร่วมเป็นพันธมิตรและคอยให้ข้อมูล ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารกับพวก กลายเป็นเสือติดปีก  ในขณะที่พระวิเศษศาสตราที่จำแลงร่างติดตามเจ้าชายศิระติกาล มาเพื่อสืบข่าว ว่าเป็นใคร มาทำอะไรในกรุงโลกา พอรู้ว่าเป็นกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ และมีจุดมุ่งหมายเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกองทัพจามกับขอม จึงนำความกลับไปกราบทูลมนัสกษัตร ทำให้มนัสกษัตรที่คิดการณ์ใหญ่ อย่างแผ่อิทธิพลเข้าไปยังกรุงโลกาด้วยเช่นกัน จึงออกอุบายให้พระวิเศษศาสตรา เป็นทูตไปทอดไมตรี เพื่อขอสานสัมพันธ์เข้าเป็นพวก หรือพันธมิตรกับฝ่ายจามกับขอม นี่จึงเป็นที่มาของการจับมือกันหรืองานชุมนุมคนโฉด ทรราชย์แห่งหลายนครรัฐ (วลีฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมารวมกันมันมีมาแต่โบราณแล้ว)



ในหนังจีนกำลังภายในมักมีสำนวน วิญญูชนจอมปลอม โผล่มาในหลายๆ เรื่อง หลายๆ ตัวละครให้เราได้เห็น ถามว่าในเรื่องนี้มีมั๊ย บอกเลย มีครับ แต่ยังไม่โผล่มาเลยในภาคต้นนี้ จะยังไม่ขอบอกว่าคือคนไหน คุณผู้อ่านต้องลองไปอ่านดูเอาเอง ถ้าเฉลยก็ไม่สนุก  ถามว่าแล้วไอ้ตัวโกง สารเลว ที่ได้กล่าวมาเมื่อซักครู่นี้ มันไม่มีใครเป็นวิญญูชนจอมปลอมเลยเหรอ จะบอกว่า พวกนี้เป็นคนชั่วที่ มันเดินออกมา เราจะรู้เลย สามารถชี้หน้ามันได้เลยว่า ไอ้นี้ชั่วนี่หว่า คือเห็นหน้าก็อุทานได้เลยว่า ไอ้นี่ชั่ว ไอ้นี่เลว แต่ไอ้ประเภทวิญญูชนจอมปลอมนี่ เราจะไม่รู้เลย จนกว่าใกล้จะจบ ตอนท้ายเรื่องแล้ว ถึงได้รู้ว่า เอ้า! ไอ้นี่มันชั่วนี่หว่า คนแบบนี้แหละ ที่น่ากลัว และมันสามารถทำชั่วได้มหันต์กว่าคนชั่วโดยทั่วไปหลายเท่านัก
ในท้องเรื่อง พิภพราชา ภาคที่ 1 ชะตากรรมแห่งองค์รัชทายาท ในพาร์ทหลังจากเกมไล่ล่าองค์รัชทายาท แล้ว ก็เป็นพาร์ทของการช่วยชีวิตองค์รัชทายาท และพาร์ทสุดท้ายคือพาร์ทศึกกรุงโลกาบรรณพิภพครั้งที่ 1  ซึ่งพาร์ทช่วยชีวิตองค์รัชทายาท ก็ไม่มีอะไรมาก คงพอจะเดาได้ไม่ยากว่า ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือชีวิตองค์รัชทายาทน้อย เจ้าชายอัศวเทพ ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ โดยฝีมือของพระอาจารย์ฤษีอิสรดาบถ แห่งเนราญนารายณ์ครุหอาศรม ในระหว่างทางนั้น กรุงโลกาก็เผชิญศึกใหญ่จากกองทัพมหึมาของพันธมิตรจาม,ขอม,กลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ จนราบเป็นหน้ากอง แม้วาฝ่ายของอาณาจักรนิมิตนคร จะมีกองกำลังช่วยเหลือจากอมรเมฆาธานี,ภูตผีเสื้อและยักษ์สดึก แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังจากทัพใหญ่ของฝายศัตรูได้ อาศัยฤทธิ์เดชของพระเทพราชา ที่ใช้เวทมนตร์คาถา เรียกลม เรียกฝน เรียกพายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม จึงจะทำลายกองทัพมหึมาของฝ่ายศัตรูได้ไปกว่าครึ่ง ในขณะที่แผ่นดินบนเกาะมชุรยาทฉิมพลี ที่ใช้เป็นที่ลำเลียงคนอพยพ และเป็นคลังเสบียงของกองทัพ ก็ถูกนักรบฉลามวาฬ โจมตีจนกองกำลังบนเกาะล้มตายไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงอภินิหารการเคลื่อนของเกาะนพเก้า ทำให้กองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่สถานการณ์การสู้รบ กองกำลังของจามและขอมก็สามารถทำศึกชนะ บุกยึดถึงพระราชวังแห่งกรุงโลกาได้สำเร็จ และจับกุมอติภพภูวนารถ กับพวกเป็นเชลยได้ จากนั้น บรรดา 3 เจ้าชายโฉด ต่างก็เจรจาแบ่งแยกทรัพย์สินที่ยึดครองกันเป็นที่สนุกสนาน เรื่องร้อนถึงพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์แห่งนพธารานคร ต้องออกอุบายให้นาคามิน ศิษย์รักนำผอบ 2 ใบ ที่ภายในมีภารกิจที่สำคัญให้นาคามินไปทำ  1 ก็คือวางเพลิงเผาป่าใกล้วังของพวกจาม กับ 2 เอาพาหะเชื้อโรคร้าย (ไข้อหิวาต์) ไปปล่อยแพร่ระบาดในพระนครของรัฐขอม เพื่อให้ภายในราชสำนักของฝายศัตรูเกินความวุ่นวาย จากนั้นนำหนังสือของพระเจ้าเอกสิทธาธิราช ไปแจ้งต่อพระเจ้าวูเฟบันดงว่าให้รับสั่งถอนกองกำลังของตนกลับมาช่วยดับไฟ และร่วมแก้ปัญหาโรคระบาดในรัฐขอม ท้ายที่สุดเจ้าชายโฉดทั้ง 3 จึงยอมถอนทัพกลับ จึงทำให้กรุงโลกาบรรณพิภพรอดจากการถูกยึดครองลงได้ เป็นศึกครั้งแรกที่สงบลงอย่างมีเลศนัย ด้านมเหสีสรวงสุดาได้พบเจอกับองค์รัชทายาทน้อย พระยาลิขิตเมธี และพัดเศวก จากนั้นจึงเดินทางกลับมหิทธินาศรังสรรค์นคร ภาคแรกจบลงตรงนี้

ตอนหน้า มาดูไทม์ไลน์ของเนื้อหาว่าดำเนินต่อไปอย่างไรต่อ และมีตัวละครใหม่ๆ เพิ่มมาอีก ที่มีผลต่อเนื้อหาที่เข้มข้นต่อไป