เนื้อหาในภาคที่ 3
จะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว มาถึงตอนแรก
ก็เป็นฉากที่สุกรีบุกลักลอบเข้าไปยังพระราชวังปราสาทขาว
เพื่อช่วยเหลืออมินตราออกมาจากวัง เนื่องจากเธอถูกจับได้ว่าหลบหนีมาอยู่บ้านของสุกรีที่แคว้นราโชทัย
และยังแอบมีบุตรด้วยกัน ทำให้มนัสกษัตรโกรธมาก
แต่การที่สุกรีบุกมาช่วยเหลืออมินตรานั้น เขาไม่ได้มาคนเดียว
มาพร้อมสมุนที่เป็นพวกอมนุษย์จากเผ่าปายะ และวนัสปตี อีกทั้งยังมีบิดาของตน
(ท้าวพิศาลสมุทร) ที่แอบติดตามมาช่วยเหลือด้วย โดยอำพรางตนเองด้วยชุมคลุมสีดำ
ปิดหน้าเอาไว้ โดยท้าวพิศาลสมุทรเป็นคนควบคุมตัวมนัสกษัตรเอาไว้ได้
ทำให้ฝ่ายมนัสกษัตร จำยอมปล่อยตัวอมินตรา แต่ถึงจะไม่จำยอม
ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ราบคาบอยู่แล้ว เนื่องจากกองกำลังของนวเกศ
ไม่อาจต้านทานกองกำลังของเผ่าปายะ และสุดยอดฝีมือทั้งหลายไม่ได้
สุกรีขอปรึกษาราชครูศรีอาท เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในนวเกศ
ที่สุกรีพอจะพูดคุยด้วยได้ เนื่องจากเคารพนับถือกัน ศรีอาทให้คำแนะนำต่อสุกรีว่า
น่าจะไปเชิญพระเจ้าปัณณฑัต องค์พระปิยเรศ กลับมาครองราชย์
จากนั้นจับกุมตัวมนัสกษัตรไปขังในคุกมืด ส่วนพระวิเศษศาสตรา
ที่แอบซ่อนร่างอยู่ในร่างของพราหมณ์หนุ่มที่เสียชีวิตก็ถูกเนรเทศออกจากนวเกศไป
แต่สุดท้ายพระวิเศษศาสตราก็สามารถเอาชีวิตหนีรอดไปได้
ส่วนอำมาตย์ราชสิงห์ถูกควบคุมตัวไปส่งคืนมหิศนาศรังสรรค์
เนื่องจากเป็นข้าในมหิศธินาศ ไม่ใช่คนของนวเกศ สุดท้ายพระเจ้าปัณณฑัต
ปูนบำเหน็จรางวัลให้สุกรีเป็นพระโอรสบุญธรรม และตั้งใจจะยกบัลลังก์ให้
แต่สุกรีไม่ต้องการ เพราะตนเองยังเป็น หน.เผ่าปายะ มีภารกิจที่ต้องสะสางอีกเยอะ ระหว่างกำลังจะออกเดินทางกลับ
ศรีอาทซึ่งไปลาออกจากพระเจ้าปัณณฑัต เพื่อขอติดตามเป็นข้ารับใช้สุกรี เพราะเห็นว่าสุกรี
มีลักษณะความเป็นผู้นำ และจะสามารถกอบกู้แผ่นดินได้
แม้เมื่อก่อนตนเองจะเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของสุกรีมาก่อน
แต่ว่าสุกรีตอนนี้เปลี่ยนแปลงสถานภาพไปเป็นถึง หน.เผ่าปายะแล้ว
จึงยอมสวามิภักดิ์ต่อสุกรีด้วยใจบริสุทธิ์ ทำให้สุกรีซาบซึ้งใจ ที่ราชครูศรีอาท
ยอมติดตามตนไปเป็นขุนพลข้างกาย
สุกรียกกองกำลังกลับจากนวเกศเพื่อจะกลับไปยังกรุงโลกา
ระหว่างทางไปเจอกองทัพครุฑซึ่งมีผู้นำคือพญาครุฑสีห์ จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น
เนื่องจากกองทัพครุฑกำลังบุกเข้ายึดกรุงโลกา ระหว่างการต่อสู้กันอยู่นั้น
ร่างทรงพญาครุฑสีห์เกิดออกจากร่างอย่างปัจจุบันทันด่วน
ทำให้ร่างของพญาครุฑสีห์ซึ่งก็คือเจ้าชายอธิกบุศย์ ล้มลง นอนหมดสติ
เมื่อสุกรีพบเห็น จึงมึนงงสงสัย พอถามแม่ทัพอัษฏาคม จึงทราบว่า
ที่แท้เจ้าชายอธิกบุศย์กลายเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์โดยถูกควบคุมโดยอำนาจของมหาครุฑทวยเทพ
โดยตัวขององค์ชายอธิกบุศย์ ไม่ได้มีเจตจำนงที่จะบุกยึดกรุงโลกาแต่อย่างใด
สุกรีจึงเข้าใจ พออธิกบุศย์ตื่นฟื้นขึ้นมา พบเห็นสุกรี จึงเกล่าวทักทาย
และต้องการอยากได้สุกรีมาเป็นพันธมิตรกัน
สุกรีซึ่งรู้จักกับเจ้าชายอธิกบุศย์ดีอยู่แล้ว
(เนื่องจากเป็นโอรสของราชินีรุจิเรขรัศมี) ผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของสุกรี
ทำให้สุกรีปวารณาตัวขอรับใช้เป็นข้าในเจ้าชายอธิกบุศย์
ท่ามกลางเสียงคัดค้านของบรรดาขุนพลคู่ใจของสุกรีทั้งหมด
ที่มองว่าสุกรีมีศักยภาพเป็นกษัตริย์
แต่เหตุไฉนจึงยอมตนเป็นข้าของเจ้าชายผู้อ่อนแอผู้นี้ได้ สุกรีต้องต่อสู้กับสภาพจิตใจตนเองและต่อสู้กับความคิดของบรรดาสมุนบริวารที่จงรักภักดีต่อเขา
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดผู้มีฝีมือ แต่ท้ายสุด สุกรีบอกกับพระครูศรีอาท
ที่ปรึกษาของตนว่า ถ้าเราไม่ช่วยเหลือพระเจ้าอธิกบุศย์
จะไม่มีใครเป็นผู้นำเพื่อรักษาอธิปไตยของอาณาจักรนิมิตนครไว้ได้ เพราะในเวลานั้น
พระเจ้าอติภพภูวนารถกับพระมหาเทพราชาต่างสิ้นพระชนม์ด้วยฤทธิ์เดชของมหาครุฑทวยเทพไปแล้ว
ส่วนที่นพธารานครก็เพิ่งสูญเสียพระเจ้าเอกสิทธาธิราชจากเงื้อมมือของพวกจาม,ขอมไปหมาดๆ
เวลานี้กลายเป็นว่าทั้ง 3 นครรัฐ
มีกษัตริย์เป็นวัยรุ่น 2 คือพระเจ้าอธิกบุศย์แห่งอมรเมฆาธานี
กับพระเจ้าเอกอนุเชษฐ์ธิราชแห่งนพธารานคร
ส่วนกรุงโลกาบรรณพิภพมีเพียงพระราชินีอุทัยวรรณรักษาการในตำแหน่งกษัตริย์
เนื่องจากองค์รัชทายาทเป็นหญิงคือเจ้าหญิงอรอนิน (ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว องค์รัชทายาทหากเป็นหญิงจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์)
ส่วนองค์รัชทายาทอีกคน หายสาบสูญ เวลานี้ยังไม่พบเจอตัว
ทำให้แผ่นดินของอาณาจักรนิมิตนคร ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง มีกษัติรย์เด็กที่ยังไม่มีศักยภาพและบารมีมากพอ
อีกทั้งกรุงโลกาเพิ่งบอบช้ำจากการถูกรุกรานจากพวกจามและขอม
ทำให้ในเวลานี้ปราศจากผู้นำที่จะประสานความสามัคคี ปรองดองต่อกัน
กลายเป็นปฏิปักษ์กันเอง
ซึ่งตัวอย่างที่พอจะยกให้เห็นก็คือมหาครุฑทวยเทพมีรับสั่งให้บุกยึดครองกรุงโลกาและนพธารา
เพื่อให้กลายเป็นปึกแผ่นเดียวกัน และรวมเรียกอาณาจักรนี้ใหม่ว่า ลิขิตเทพ
แต่มหาครุฑทวยเทพทำได้เพียงยึดครองกรุงโลกา
แต่ไม่สามารถเอาชนะและยึดครองนพธารานครได้
กองทัพครุฑพ่ายแพ้ต่อกองทัพนาคของนพธารานคร
สุดท้ายสุกรีให้คำปรึกษาพระเจ้าอธิกบุศย์ (ซึ่งในตอนนั้นเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์)
ว่าให้ถอนทัพ เพราะถ้ารบต่อไป จะสูญเสียกองกำลังไปมากกว่านี้
และมองเห็นว่าอย่างไรเสีย ศักยภาพของกองทัพครุฑไม่สามารถเอาชนะกองทัพนาคได้
ต่อให้สุกรีไปร่วมทำศึกด้วย ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะด้วยชัยภูมิที่พิสดารและได้เปรียบของนพธารา
(เป็นเกาะ 9 เกาะที่เคลื่อนไหวได้
อีกทั้งมีฝูงพญานาคพ่นไฟลอยตัวอยู่ในทะเลอีกจำนวนมาก ยังไม่นับรวมกองกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพของนพธารา
อย่างไรเสียรบไปก็แพ้ราบคาบ ไม่มีทางสู้ ยังไม่นับว่า
นพธารายังมีพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ เกจิอาจารย์ผู้เก่งกาจเรื่องคาถาอาคม
ที่ไม่มีใครต่อกรได้
ท้ายที่สุดอธิกบุศย์ก็ยอมเชื่อสุกรี
ถอนทัพที่เพิ่งสูญเสียไปเพียงครึ่งนึงของกองกำลังที่ยกพลไปรบกลับทั้งหมด
จากนั้นมหาครุฑทวยเทพกับพญาครุฑสีห์เสด็จอวตารกลับยังสรวงสวรรค์
ทำให้อธิกบุศย์กลับมาเป็นตัวของตัวเอง จากนั้นก็ทำพิธีฉลองอาณาจักรใหม่ที่ตนเองสถาปนาขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่าอาณาจักรลิขิตเทพ
(ครอบครอง 2 นครรัฐคือกรุงโลกากับอมรเมฆาธานี)
และเปลี่ยนพระนามเป็นพระเทพวาชะบุตร ตามคำแนะนำของพระเวฬุวันปุโรหิต
ระหว่างที่ทรงเสด็จด้วยนกมังกรไฟ เพื่อเสด็จเยี่ยมเยียนราษฏร
และต้องการชมทัศนียภาพอาณาเขตโดยรอบของราชอาณาจักร ปรากฏเรื่องไม่คาดฝัน
เมื่อมีศรธนูที่ไม่ทราบว่าเป็นของใคร และพุ่งมาจากทางไหน
พุ่งตรงเข้าเสียงกลางอกของพระเทพวาชะบุตร ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สุกรีเข้าไปช้อนร่างของพระองค์ไว้ได้ทัน จากนั้นนำตัวมารักษาที่อมรเมฆวิมาน
ไปกราบเรียนเชิญพระอาจารย์ใหญ่ฤษีอิสรดาบุถ กับพระเวฬุวันปุโรหิต มาช่วยดูพระอาการของพระองค์
ทั้ง 2 เกจิต่างลงความเห็นว่า ไม่มีทางรักษาโดยง่าย
เนื่องจากศรธนูที่ว่า ไม่สามารถดึงออกโดยพลการได้ เนื่องจากลงคาถาอาคมไว้
ต้องไปตามหาให้เจอว่าเป็นศรธนูของใคร แล้วให้เจ้าของศรธนุนั้น
มาบริกรรมคาถาเพื่อถอนฤทธิ์คาถาก่อน จึงนำศรธนูออกได้ มิเช่นนั้น
พระเทพวาชะบุตรจะต้องสิ้นพระชนม์หากถอนศรธนูออกมาเอง
เรื่องราวครั้งนี้
เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของสุกรี และมันทำให้เห็นว่าสุกรีนั้นใจมากๆ ให้กับพระเทพวาชะบุตร
(นายน้อยของผู้มีพระคุณของตน) จึงอาสาว่าจะออกตามหาเจ้าของศรธนูให้เจอตัว
และเอาตัวมาบริกรรมคาถาเพื่อถอนศรธนุออกให้ได้ แม้จะต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเพื่อออกตามหาก็จะยอมทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้
งานนี้เดือดร้อนสมุนบริวารของสุกรีหลายคนด้วย รวมถึงบิดาของสุกรี
ท้าวพิศาลสมุทรจำต้องมาทำหน้าที่ หน.เผ่าปายะ ระหว่างที่สุกรีไม่อยู่ ไปทำภารกิจออกตามหาเจ้าของศรธนู
เพื่อช่วยเหลือพระเทพวาชะบุตร ซึ่งมันมีระยะเวลาบีบอยู่ด้วย
คือต้องทำให้สำเร็จภายใน 1 เดือน ถ้าช้ากว่านั้น
พระเทพวาชะบุตรจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว อาจสิ้นพระชนม์ไปก่อน
เรื่องนี้จึงต้องทำเพื่อแข่งกับเวลาด้วย สุกรีดั้นด้นเดินทางไปหลายที่
ทั้งไปนพธารานคร ไปรัฐจาม จนกระทั่งรู้เบาะแสว่าควรจะต้องเดินทางไปยังรัฐกลิงคะ
เพราะศรธนูรูปแบบดังกล่าวมีแพร่หลายอยู่ในกลิงคะ
และการที่สุกรีเดินทางเข้าสู่กลิงคะ โดยได้พ่อค้าคนหนึ่งช่วยเหลือ
เมื่อเข้าสู่แผ่นดินกลิงคะก็เกิดเรื่องทันที เมื่อสุกรีไปเห็นการแข่งขันกีฬาระหว่าง
2 นครรัฐ ระหว่างกลิงคะกับศรีวิชัย
พบเห็นอลิสกาปูร์เป็นผู้ชนะจากการแข่งขันยิงธนูไกล
ทำให้สุกรีเข้าใจผิดคิดว่าอลิศกาปูร์น่าจะเป็นเจ้าของศรธนูนั่นจึงจับตัวอลิศกาปูร์มารีดข้อมูล
และข้อเท็จจริง แต่อลิศกาปูร์ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง และให้รีบปล่อยตัว
แต่สุกรีนึกว่าอลิศกาปูร์โยกโย้เพราะมีลูกเล่น จนทำให้อลิศกาปูร์โกรธ
พอหลบหนีมาได้ จึงไปร้องเรียนต่อเจ้าหญิงวิษธ์ราณี เจ้าหญิงผู้มีอำนาจในกลิงคะ
ที่อลิศกาปูร์ตอนนั้นเป็นกิ๊กของพระองค์อยู่ สุกรีถูกกับดักของกองกำลังทหารกลิงคะจนถูกจับกุมตัวไว้ได้
และถูกควบคุมตัวไปให้เจ้าหญิงวิษธ์ราณีสอบสวน ทันทีที่เจ้าหญิงวิษธ์ราณีเห็นสุกรี
ก็เกิดสะดุดตาและปิ๊ง อยากทำสามี จึงออกอุบายให้อลิศกาปูร์ออกจากตำหนักส่วนพระองค์ไปก่อน
จากนั้นก็ทรงสอบสวนสุกรี ว่าเป็นใคร มาจากไหน และมาทำอะไร
จนรู้จุดประสงค์ของสุกรีว่าต้องการมาหาผู้ที่เป็นศรธนูปริศนา
ที่ยิงไปถูกองค์เหนือหัวของตน เจ้าหญิงวิษธ์ราณี พอจะอนุมานได้ว่า
ศรธนูชนิดนี้มีอยู่จริงในกลิงคะ และผู้ใช้คาถาอาคมโดยการบริกรรมคาถาก่อนยิง
ต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดา ระดับอลิศกาปูร์ไม่มีทางจะทำเช่นนั้นได้
และในแผ่นดินก็มีเพียง 1-2 คนเท่านั้น ที่พอจะอยู่ในข่าย
และในเวลานี้ ทั้ง 2 คนกำลังอยู่ในกลิงคะแล้วด้วย
(ก็คือเจ้าชายนัชปาล น้องชายขององค์หญิงวิษธ์ราณี กับอีกคนเป็นนักบวชพราหมณ์/นักรบศรีวิชัย ที่มีนามว่า พิกัปป์มนู เป็นพระสหายของนัชปาล)
จากนั้นวิษธ์ราณีจึงยื่นเงื่อนไขให้สุกรีว่า
ถ้าตนสามารถพาสุกรีไปพบบุคคลต้องสงสัยยิงศรธนูนั้นได้
สุกรียินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์กับพระองค์อย่างเต็มใจหรือไม่ สุกรีตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า
เต็มใจ เพราะต้องการอยากช่วยเหลือพระเทพวาชะบุตร
จึงทำให้สุกรีถูกกระทำชำเราจากวิษณ์ราณีอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่อย่างว่า เกิดเป็นชาย
อย่างไรเสียก็ไม่สึกหรอในเรื่องพรรณ์นี้หรอก ขี้คร้านจะเปรมปรีด์เสียอีก
ต้องขอบใจองค์หญิงที่มอบความสุขนี้ให้
อย่างน้อยก็ผ่อนคลายความเครียดให้กับสุกรีได้เยอะเลย
พูดถึงผู้หญิงของสุกรี ในเรื่องมีผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของสุกรี
5 คน
ไม่ด้อยไปกว่าเตียบ่อกี้แห่งดาบมังกรหยกเลย
คนแรกคือภริยาพระราชทาน ก็คืออมินตรา คนนี้แม้จะไม่ชอบกันมาก่อน
แต่อยู่กินกันไปก็เกิดเป็นความรักขึ้นมา และมีโซ่ทองคล้องใจก็คือ สุอามิน คนที่ 2
คือคะฉิ่นน้อยหรืออุรามณี คนนี้สุกรีไม่ได้รักเพียงตกกระไดพลอยโจน
ทำให้ต้องรับเธอมาไว้เป็นข้ารับใช้ และเป็นเมียลับๆ
ที่ไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปได้รับรู้ คนที่ 3
ก็คือมยุราภาวดีหรือแม่หญิงนางพญา หน.เผ่าปายะ
คนนี้จะเรียกว่าเป็นคนรักของสุกรีได้มั๊ย เธอเป็นมากกว่านั้น
เธอเป็นอดีตคนรักของบิดา ที่บังเอิญมาพบเจอ จึงทำให้อยากมีอะไรกับสุกรี
เพียงเพราะว่าอยากได้สายเลือดเป็นสายเลือดเดียวกับบิดาของสุกรี
และภายหลังถ่ายทอดพลังวัจน์ให้กับสุกรีจนหมดสิ้น และยังมอบตำแหน่ง หน.เผ่า
และคำสั่งเสียสุดท้าย มอบอำนาจให้สุกรีจัดการภายในเผ่า
และช่วยดูแลบุตรที่เกิดจากมยุราภาวดีกับสุกรี ที่ชื่อ ภาวสุ จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
แล้วค่อยยกตำแหน่ง หน.เผ่าคืนกลับมายังบุตรของตน
คนที่ 4 ก็คือองค์หญิงวิษธ์ราณี
คนนี้ถ้านับเป็นผู้หญิงของสุกรีอีกคนนึง
แต่ก็ต้องถือว่าเป็นคนเดียวที่สุกรีไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด
แค่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันแค่นั้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย คนสุดท้ายก็คือ สุวีญาเทวี
คนนี้คือคนที่สุกรีรักที่สุด เป็นอดีตพระชายาของพระเจ้าปัณณฑัต
ที่ต้องสูญเสียทั้งพระสวามีและโอรสในท้อง
เนื่องจากเธอพลาดไปทำให้โอรสในท้องแท้งเสียก่อน ทำให้เธอเสียใจมาก
เพราะเท่ากับทำให้พระเจ้าปัณณฑัตหมดสิ้นองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์นวเกศ สุกรีซี่งตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
เพราะเข้ามากอบกู้บัลลังก์นวเกศให้กับพระเจ้าปัณณฑัต จึงต้องทำตามคำแนะนำของ
โจเซฟกฤษณ์ ประมุขแห่งคริสตจักร หรืออยู่ในฐานะของ
กุนซือและข้าราชบริพารเก่าแก่ที่สุดของนวเกศ
ที่แนะนำให้สุกรีมีอะไรกับสุวีญาเทวีไปเลย เพื่อให้สุวีญาเทวีตั้งครรภ์พระโอรสขึ้นมาใหม่
และให้โอรสที่เกิดใหม่รับช่วงเป็นองค์รัชทายาทที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปในอนาคต
โดยที่สุกรีจะไม่อยู่ในฐานะพระราชบิดา
แม้ในทางพฤตินัยจะใช่แต่ขอให้สุกรีและสุวีญาเทวี ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เพื่อไม่ให้พระเจ้าปัณณฑัตและสุวีญาเทวี ต้องเสื่อมเสียเกียรตยศและชื่อเสียง
และให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล สุกรีไม่ยินยอมทำตามโจเซฟกฤษณ์แต่แรก
และต่อว่าอย่างรุนแรงต่อโจเซฟกฤษณ์ แต่ท้ายที่สุด
ก็จำต้องทำตามคำแนะนำของโจเซฟกฤษณ์ เพราะเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้นวเกศ
ไม่สิ้นองค์รัชทายาทสืบทอดพระราชบัลลังก์ได้
ภาค 3 ในพาร์ทแรกจึงเป็นเรื่องราวของสุกรีที่ออกตามหาเจ้าของศรธนู
แต่ในพาร์ทหลัง จะเป็นเรื่องราวใด จะมาเล่าต่อในตอนหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น