ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนฉายภาพให้เห็นภาพปัญหาภายในของ
2 นครรัฐก็คือมหิทธินาศรังสรรค์
กับนวเกศเศรษฐี ซึ่งรวมเรียกว่า อาณาจักรมหิทธิเกศ อันนั้นต้องถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับ
อาณาจักรนิมิตรนคร ที่เป็นราชอาณาจักรใหญ่กว่า เป็นศูนย์กลางมหาอำนาจของพื้นพิภพในเรื่อง
หรือที่เรียกว่า “พิภพราชา” นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดในนวนิยายเรื่องนี้
ที่มาที่ไป ต้นกำเนิดของอาณาจักรแห่งนี้
ต้องเล่าย้อนไปในยุคล่าดินแดน ต้นพุทธศกราชที่ 10 (ก่อนเหตุการณ์ในช่วงปัจจุบันของนวนิยาย) ดูไทม์ไลน์ต่อไปนี้ เพื่อความเข้าใจง่ายๆ
ดังนี้
ไทม์ไลน์ 1.ช่วงยุคการล่าดินแดน
(ช่วงปี พ.ศ. 994-1181) เป็นยุคที่มีการรบพุ่งกันของแคว้นหรือนครรัฐต่างๆ
ยังไม่มีการรวบรวมเป็นราชอาณาจักรใหญ่ๆ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์
เหนือดินแดนที่ตนเองยึดครอง ขึ้นอยู่กับใครมีกองกำลังทหารหรืออาวุธ ไพร่พลมากกว่า
ก็อ้างสิทธิ์ปกครองเหนือดินแดนของตน ยุคนี้ไม่มีความมั่นคง ผู้นำมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
และยังไม่มีกฏ กติกาที่ชัดเจน จัดอยู่ในยุคมืด
ไทม์ไลน์ 2.ช่วงยุคการสถาปนานครรัฐ
หรือราชอาณาจักร (ช่วงปี พ.ศ.1181-1470)
เป็นยุคที่มีการครอบครองดินแดน
มีการแบ่งอาณาเขตของดินแดนอย่างชัดเจน
มีการสถาปนาผู้นำเป็นกษัตริย์หรือพระราชาเพื่อปกครองดินแดน ยุคนี้ ก็คือยุคก่อเกิด
อาณาจักรนิมิตนคร (ละโว้) ,อาณาจักรมหิทธิเกศ (เวียงปรึกษา-หิรัญเงินยางฯ),อาณาจักรศรีวิชัย,อาณาจักรขอม,
อาณาจักรจามปา,อาณาจักรกลิงคะ ,อาณาจักรศรีเกษตร เป็นต้น
ไทมไลน์ 3 ช่วงยุคสถาปนาดินแดนสุวรรณภูมิ (ช่วงปี พ.ศ.1467 เป็นต้นมา) มีการส่งต่อราชอาณาจักรละโว้ ไปยังอาณาจักรสุพรรณภูมิ ก่อนจะพัฒนาไปสู่อาณาจักรสุโขทัย ในส่วนของศรีวิชัย
ส่งต่อไปยังอาณาจักรตามพรลิงค์ และพัฒนาต่อไปยังลังกาสุกะ และมลายูในปัจจุบัน ด้านอาณาจักรหิรัญเงินยาง
ส่งต่อไปยังอาณาจักรล้านนา และดินแดนทางตอนเหนือของอาณาจักรสยามในปัจจุบัน
อาณาจักรนิมิตนคร เกิดจากการการต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันในตอนกลางของพิภพราชา
ในยุคมืดหรือยุคล่าดินแดน โดย 3 นักรบที่เป็น
3 สหายสนิทกัน คือ พระเจ้าเพียร (นายเพียร) แห่งแคว้นบรรณฑป
,พญาสมุทรโลกา (นายสมุทร) เป็นแม่ทัพสำคัญคนหนึ่งในกองทัพขอม (สืบเชื้อสายขอม) และ
พระเจ้าเทวาสุรบดินทร์ (นายสุระกาปูร์) เป็นนายทหารจากแคว้นโจฬะที่แปรพักตร์มาเข้าร่วมฝ่ายขอม คือทั้ง 3 คนต่างเป็นผู้นำทหารในแนวหน้าจาก
3 ฝ่ายที่รบกันโดยไม่ทราบว่ารบไปเพื่ออะไร พีน้องล้มตายไป
แต่เจ้าผู้ปกครองนครรัฐเหล่านั้นต่างได้ดินแดน พวกเขาต้องสูญเสียคนรัก
ครอบครัวและบ้านเกิด วันหนึ่งจึงมาเจรจาสงบศึกกัน และสาบานเป็นพี่น้อง ว่าจะร่วมต่อสู้เอาดินแดนเป็นของตนเอง
จะร่วมต่อสู้กับพวกโจฬะ (ชาวเผ่าฮินดูจากดินแดนภารต ที่ส่งกองกำลังมารุกราน
หมายจะยึดครองดินแดนอุษาคเณย์ และจะต่อสู้ทำศึกกับพวกอาณาจักรขอม
ที่แผ่อิทธิพลปกครองในดินแดนแถบนี้มานาน
จึงทำการรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกันมาร่วมรบ ท้ายที่สุดแล้ว 3 สหาย ทำการปราบปรามชนเผ่าโจฬะจากดินแดนภารต และแปรทัพ
ตัดความสัมพันธ์กับรัฐขอม เพื่อประกาศตนเป็นเอกเทศ หรือตั้งตนเป็นรัฐอิสระปกครองดินแดนแถบนี้เสียเอง จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งอาณาจักรนิมิตนคร ขึ้น
เมื่อสถาปนาอาณาจักรนิมิตนครแล้ว
จำเป็นต้องหาผู้นำสูงสุดของราชอาณาจักร จึงทำสัญญาตกลงกันว่า จะผลัดกันเป็นผู้นำสูงสุดปกครองราชอาณาจักร
โดยเวียนจากผู้อาวุโสสูงสุดก่อน ก็คือพระเจ้าเพียร แล้วต่อมาก็เป็นพญาสมุทรโลกา
แล้วค่อยเป็นพระเจ้าเทวาสุรบดินทร์ ทีนี้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มาอยู่รวมกันในดินแดนเดียวกัน
ย่อมเหมือนราชสีห์หรือพยัคฆ์ 3 ตัวมาอยู่ในป่าเดียวกัน
ย่อมตีกันตาย จึงจำเป็นต้องแยกดินแดนย่อยให้ปกครอง โดยพระเจ้าเพียร
ในฐานะประมุขของราชอาณาจักร ได้รับฉันทามติจากกองทัพและสหายร่วมรบ
ให้ปกครองดินแดนผืนแผ่นดินใหญ่ ที่เรียกว่า โลกาบรรณพิภพ และให้สถานปนาเป็นนครรัฐ
มีนามว่า กรุงโลกาบรรณพิภพ
ด้านพญาสมุทรโลกา มีพื้นเพมาจากชาวประมง จึงให้ปกครองดินแดนที่เป็นเกาะแก่ง
หรือ 9 เกาะในอาณัติปกครอง โดยให้สถาปนาเป็นนครรัฐนพธารานคร
ส่วนพระเจ้าเทวาสุรบดินทร์สืบเชื้อสายฮินดูนับถือเทพ จึงให้ปกครองดินแดนที่เป็นก้อนเมฆ
และให้สถาปนาเป็นอมรเมฆาธานี ทั้ง 3
นครรัฐให้มีกองกำลังเป็นเอกเทศ และมีอำนาจปกครองตนเองได้
แต่ให้ขึ้นตรงต่ออาณาจักรนิมิตนคร และภายหลังก็มีดินแดนในปกครองเพิ่มขึ้นตามมาอีก
อาทิ แคว้นราโชทัย ชนเผ่าไทลื้อ ชนเผ่ายักษ์สดึก ชนเผ่าปายะ เป็นต้น
เรื่องราวของการก่อร่างสร้างอาณาจักรนิมิตนคร
หรือตัวละครปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรนิมิตนคร ผุ้เขียนสามารถเขียนเป็นอีก 1
ภาค เป็นภาคแยกไปได้อีก เพราะมีเรื่องราวน่าสนใจอีกมากเหมือนกัน
แต่ก็ต้องขอตัดออกไปจากฉบับนิยาย มิเช่นนั้นจะยาวไปเป็น 7-8 เล่ม
ซึ่งยากจะโฟกัสประเด็นหรือตัวละครหลักได้
ทีนี้พอทราบต้นกำเนิดของอาณาจักรนิมิตนครแล้ว
ก็ขอลงในรายละเอียดของแต่ละนครรัฐ โดยเริ่มต้นที่
1.กรุงโลกาบรรณพิภพ
เป็นดินแดนที่อยู่บนพื้นดิน เป็นพื้นแผ่นดินใหญ่ ใครๆ ก็ต้องการครอบครอง
อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และชัยภูมิยังเป็นจุดศูนย์กลางของอุษาคเณย์ด้วย
ในท้องเรื่อง ณ ปัจจุบัน มีพระเจ้าอติภพภูวนารถ เป็นกษัตริย์ปกครอง
มีพระมเหสีนามว่า อุทัยวรรณ อัครชายา และสนมเอกนามว่า มธุรสเทวี
มีทหารเอกมือซ้ายนามว่า ท้าวพิศาลสมุทร กับทหารเอกมือขวา นามว่า พิชิตสังขลาทร ปัญหาของอติภพภูวนารถ ก็คือ ทหารคนสนิททั้ง 2
คิดไม่ซื่อ ตีท้ายครัวตนเอง ทั้ง 2 คนเลย
ในขณะที่อติภพภูวนารถ หมกมุ่นอยู่กับการจัดกองกำลังทหาร การฝึกกำลังพล สู้รบ
จึงไม่มีเวลาสนใจพระมเหสีกับพระสนม ทั้ง 2
นาง มีความสวยในระดับหญิงงามเมืองทั้งคู่
และไม่คิดว่าทหารเอกคู่ใจของตนทั้ง 2 จะทรยศหักหลังตนเองด้วยการเป็นชู้กับคนรักของตน
กรณีของมเหสีอุทัยวรรณ ทรงแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับหลวงพิชิตสังขลาทร ตั้งแต่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระยา
และอำมาตย์ในเวลาต่อมา จนมีพระโอรสลับๆ ด้วยกันนามว่า เจ้าชายเศกปนัท
ที่หายสาบสูญไป โดยมเหสีอุทัยวรรณกลัวว่าอติภพภูวนารถ
จะล่วงรู้ว่าไม่ใช่โอรสที่เกิดกับตน จึงให้พิชิตสังขลาทร สั่งให้แม่นมเอาไปทิ้ง
โดยให้ลอยไปกับเรือลำหนึ่ง ไม่สังหารทิ้ง โดยหวังว่า
โอรสจะถูกชาวบ้านเอาไปเลี้ยงดู เพราะตัดใจฆ่าโอรสของตนไม่ลง ส่วนกรณีของสนมมธุรสเทวี
แอบลักลอบเป็นชู้กับท้าวพิศาลสมุทร จนมีลูกด้วยกัน นามว่าสุกรี โดยไม่มีศักดิ์เป็นโอรส
เพราะว่าถูกจับได้เสียก่อนว่า ลักลอบเป็นชู้กัน ซี่งต่างจาก เศกปนัท
ที่จนอติภพภูวนารถสิ้นพระชนม์ก็ยังไม่รู้ว่า โอรสที่ตนเองคิดว่าหายสาบสูญ
ไม่ใช่โอรสที่มีเชื้อสายของตนเลย แต่อติภพภูวนารถกับมเหสีอุทัยวรรณ
มีพระธิดาร่วมกัน นามว่า เจ้าหญิงอรอนิน ที่มีรูปโฉมงดงาม เป็นกษัตริย์ที่น่าสงสาร
ถูกสวมเขาจนแม้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับโอรสของตน เข้าทำนอง
เก่งงานนอกบ้าน หาเงินเข้าบ้านเก่ง แต่ปัญหาหลังบ้าน ความรักในครอบครัวล้มเหลว
เมียที่ตนเองรัก 2 คน นอกใจทั้งคู่ ในช่วงที่มีปัญหาทำศึกกับอริราชศัตรูจากกองทัพจามกับขอม
แม้ภายหลังจะสามารถกอบกู้ราชอาณาจักรกลับมาได้ แต่ก็บอบช้ำ ล้มป่วยลง
เพราะไม่มีคนที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง
2.นพธารานคร เป็นดินแดนที่แยกเป็นเกาะแก่ง รวมกันถึง 9
เกาะ มีพระเจ้าเอกสิทธาธิราช เป็นพระราชาองค์ปัจจุบัน
รายนี้ก็เจอปัญหาเรื่องครอบครัวหนักหนาไม่ต่างจากอติภพภูวนารถ มีพระมเหสีคนแรก
ก็ประสบอุบัติเหตุจมน้ำจากการประทับเรือพระที่นั่งเพื่อชมวิว แต่เรือรั่ว
มีคนสันนิษฐานว่า ท่านถูกพระสนมคนหนึ่งกลั่นแกล้ง แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด พระมเหสีคนต่อมาก็สิ้นพระชนม์ลง
ภายหลังคลอดพระโอรสนามว่า เอกอนุเชษฐ์ แล้วเป็นโรคร้ายเกี่ยวกับผิวหนัง
ทรงรับสภาพรูปโฉมที่อัปลักษณ์ของตนไม่ได้ จึงทำอัตวินิบาตกรรม (ผูกคอตาย)
ภายหลังพระมเหสีคนนี้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระเจ้าเอกสิทธาธิราช
ก็ทรงตั้งปฏิญาณว่าจะไม่ขอมีพระมเหสีอีก แม้แต่สนมก็ไม่ขอมี
ทรงทุ่มเทให้กับงานพัฒนาบ้านเมือง ส่งเสริมการศาสนา (พราหมณ์)
และปลดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฏรเพียงอย่างเดียว ข้อดีของเอกสิทธาธิราชที่นครรัฐอื่นควรอิจฉาก็คือ
ทรงมีบริวาร ลูกน้อง ข้าราชบริพาร ที่จงรักภักดี และมีความสามารถ นับตั้งแต่โหรพราหมณ์
พระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์ เป็นราชครูที่ปรึกษาสูงสุด (หรือกุนซือ)
มีแม่ทัพมือขวาที่เก่งกาจด้านการรบอย่าง หลวงทิตย์พลาศัย
มีทหารราชองครักษ์เก่งอย่าง ขุนหลวงปรายเสล หรือแม้แต่ นาคามิน ลูกศิษย์ของอาจารย์ปู่
ก็เป็นทั้งสายลับ และทหารองครักษ์คนสำคัญของเอกสิทธาธิราช
ที่ช่วยกันค้ำจุนอำนาจของนพธารานครให้แข็งแกร่ง มั่นคง ยากที่ใครจะต่อกรได้ง่ายๆ
3.อมรเมฆาธานี เป็นนครบนก้อนเมฆ ดูด้วยตาเปล่า อาจมองว่า
พื้นที่คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าก้าวขึ้นไปแตะ หรือสัมผัสบนแผ่นดินนั้นจริงๆ
ก็จะพบว่า มีอาณาเขตที่ใหญ่พอๆ กับดินแดนแคว้นขนาดกลางๆ แคว้นนึงบนพื้นพิภพเลย
คือเป็นดินแดนไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ขนาดกำลังดี แต่มีกองกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพมาก
ปกครองโดย พระเทพราหู ต่อมาเป็นพระเทพราชา (โอรสองค์โต) ปัญหาของนครรัฐนี้ก็คือ
ตัวพระเทพราหู กับเจ้าชายศิระติกาล (โอรสองค์เล็ก) ต้องการให้พระเทพราชา
ช่วงชิงการนำ เป็นใหญ่ในอาณาจักรนิมิตนคร เนื่องจากเล็งเห็นถึงความอ่อนแอของพระเจ้าอติภพภูวนารถ
ที่ไม่สามารถนำพาอาณาจักรนิมิตรนคร ต่อต้านการรุกรานจากอริราชศัตรูได้
จึงต้องการช่วงชิงการเป็นประมุขเสียเอง แต่พระเทพราชาไม่เห็นด้วย
เพราะต้องการรักษากฎ กติกาที่ให้มีการเวียนกันเป็นประมุขอาณาจักรคนละ 1 สมัย (ขอบอกก่อนว่า 1 สมัยของการเป็นประมุขอาณาจักรนิมิตนคร ต่างจาก 1 สมัยของการเป็นนายกประเทศสาระขัณฑ์
เพราะ 1 สมัยของนายกสาระขัณฑ์เท่ากับ 4 ปีโดยประมาณ แต่ 1 สมัยของประมุขอาณาจักรนิมิตรนคร
คือ 1 ชั่วชีวิตของประมุขคนนั้น หมายความว่า
ถ้าประมุขคนนั้นไม่ตาย จะไม่มีการเปลี่ยนประมุขคนใหม่ของอาณาจักรนิมิตรนคร เว้นแต่ว่า
มีมติที่ประชุมของสมาชิกสำคัญของอาณาจักรประชุมกันและมีฉันทามติเลือกประมุขคนใหม่
ในสถานการณ์พิเศษ ซึ่งกรณีนี้ยังไม่เคยมีในประวัติศาสตร์) ทำให้พระเทพราชา
ต้องแตกหักกับน้องชายตนเอง ก็คือเจ้าชายศิระติกาล ที่แยกตนเองออกไปตั้งกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ
และแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู ก็คือฝ่ายจาม,ขอม โดยวางแผนกันเข้ายึดครองกรุงโลกาบรรณพิภพ
โดยเจ้าชายศิระติกาล คือหนอนบ่อนไส้ หรือไส้ศึกตัวใหญ่ที่เอาข้อมูล
และจุดอ่อนต่างๆ ของอาณาจักรนิมิตนคร ไปบอกต่อเจ้าชายอัทธิ์ถิรวาร แห่งรัฐจามและเจ้าชายอภิมันตราแห่งรัฐขอม
และวางแผนร่วมกันที่จะนำกองทัพบุกกรุงโลกาบรรณพิภพ
โดยที่ก่อนหน้านี้เจ้าชายอัทธิถิรวารกับเจ้าชายอภิม้นตรา ได้นำสายสืบและนายทหารองครักษ์มีฝีมือ
เข้ามาสอดแนมและฝังตัวอยู่ในกรุงโลกาบรรณพิภพอยู่ก่อนแล้วกว่า 2 ปี เพื่อหาข่าวและศึกษาหาข้อมูล ว่าจะทำศึกอย่างไรให้ชนะ
แต่พอเจ้าชายศิระติกาลเสนอตัวมาร่วมเป็นพันธมิตรและคอยให้ข้อมูล ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายของเจ้าชายอัทธิ์ถิรวารกับพวก
กลายเป็นเสือติดปีก ในขณะที่พระวิเศษศาสตราที่จำแลงร่างติดตามเจ้าชายศิระติกาล
มาเพื่อสืบข่าว ว่าเป็นใคร มาทำอะไรในกรุงโลกา พอรู้ว่าเป็นกลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ
และมีจุดมุ่งหมายเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกองทัพจามกับขอม
จึงนำความกลับไปกราบทูลมนัสกษัตร ทำให้มนัสกษัตรที่คิดการณ์ใหญ่
อย่างแผ่อิทธิพลเข้าไปยังกรุงโลกาด้วยเช่นกัน จึงออกอุบายให้พระวิเศษศาสตรา เป็นทูตไปทอดไมตรี
เพื่อขอสานสัมพันธ์เข้าเป็นพวก หรือพันธมิตรกับฝ่ายจามกับขอม นี่จึงเป็นที่มาของการจับมือกันหรืองานชุมนุมคนโฉด
ทรราชย์แห่งหลายนครรัฐ (วลีฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมารวมกันมันมีมาแต่โบราณแล้ว)
ในหนังจีนกำลังภายในมักมีสำนวน วิญญูชนจอมปลอม
โผล่มาในหลายๆ เรื่อง หลายๆ ตัวละครให้เราได้เห็น ถามว่าในเรื่องนี้มีมั๊ย บอกเลย
มีครับ แต่ยังไม่โผล่มาเลยในภาคต้นนี้ จะยังไม่ขอบอกว่าคือคนไหน
คุณผู้อ่านต้องลองไปอ่านดูเอาเอง ถ้าเฉลยก็ไม่สนุก ถามว่าแล้วไอ้ตัวโกง สารเลว ที่ได้กล่าวมาเมื่อซักครู่นี้
มันไม่มีใครเป็นวิญญูชนจอมปลอมเลยเหรอ จะบอกว่า พวกนี้เป็นคนชั่วที่ มันเดินออกมา
เราจะรู้เลย สามารถชี้หน้ามันได้เลยว่า ไอ้นี้ชั่วนี่หว่า คือเห็นหน้าก็อุทานได้เลยว่า
ไอ้นี่ชั่ว ไอ้นี่เลว แต่ไอ้ประเภทวิญญูชนจอมปลอมนี่ เราจะไม่รู้เลย จนกว่าใกล้จะจบ
ตอนท้ายเรื่องแล้ว ถึงได้รู้ว่า เอ้า! ไอ้นี่มันชั่วนี่หว่า
คนแบบนี้แหละ ที่น่ากลัว และมันสามารถทำชั่วได้มหันต์กว่าคนชั่วโดยทั่วไปหลายเท่านัก
ในท้องเรื่อง พิภพราชา ภาคที่ 1
ชะตากรรมแห่งองค์รัชทายาท ในพาร์ทหลังจากเกมไล่ล่าองค์รัชทายาท แล้ว
ก็เป็นพาร์ทของการช่วยชีวิตองค์รัชทายาท
และพาร์ทสุดท้ายคือพาร์ทศึกกรุงโลกาบรรณพิภพครั้งที่ 1 ซึ่งพาร์ทช่วยชีวิตองค์รัชทายาท
ก็ไม่มีอะไรมาก คงพอจะเดาได้ไม่ยากว่า ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือชีวิตองค์รัชทายาทน้อย
เจ้าชายอัศวเทพ ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ โดยฝีมือของพระอาจารย์ฤษีอิสรดาบถ แห่งเนราญนารายณ์ครุหอาศรม
ในระหว่างทางนั้น
กรุงโลกาก็เผชิญศึกใหญ่จากกองทัพมหึมาของพันธมิตรจาม,ขอม,กลุ่มกบฏฟ้าทมิฬ
จนราบเป็นหน้ากอง แม้วาฝ่ายของอาณาจักรนิมิตนคร จะมีกองกำลังช่วยเหลือจากอมรเมฆาธานี,ภูตผีเสื้อและยักษ์สดึก
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังจากทัพใหญ่ของฝายศัตรูได้
อาศัยฤทธิ์เดชของพระเทพราชา ที่ใช้เวทมนตร์คาถา เรียกลม เรียกฝน เรียกพายุ
แผ่นดินไหว น้ำท่วม จึงจะทำลายกองทัพมหึมาของฝ่ายศัตรูได้ไปกว่าครึ่ง
ในขณะที่แผ่นดินบนเกาะมชุรยาทฉิมพลี ที่ใช้เป็นที่ลำเลียงคนอพยพ
และเป็นคลังเสบียงของกองทัพ ก็ถูกนักรบฉลามวาฬ โจมตีจนกองกำลังบนเกาะล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
รวมถึงอภินิหารการเคลื่อนของเกาะนพเก้า ทำให้กองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายล้มตายเป็นจำนวนมาก
แต่สถานการณ์การสู้รบ กองกำลังของจามและขอมก็สามารถทำศึกชนะ
บุกยึดถึงพระราชวังแห่งกรุงโลกาได้สำเร็จ และจับกุมอติภพภูวนารถ กับพวกเป็นเชลยได้
จากนั้น บรรดา 3 เจ้าชายโฉด
ต่างก็เจรจาแบ่งแยกทรัพย์สินที่ยึดครองกันเป็นที่สนุกสนาน
เรื่องร้อนถึงพระอาจารย์ปู่ฤษีเขื่อนขันธ์แห่งนพธารานคร ต้องออกอุบายให้นาคามิน
ศิษย์รักนำผอบ 2 ใบ ที่ภายในมีภารกิจที่สำคัญให้นาคามินไปทำ 1 ก็คือวางเพลิงเผาป่าใกล้วังของพวกจาม
กับ 2 เอาพาหะเชื้อโรคร้าย (ไข้อหิวาต์)
ไปปล่อยแพร่ระบาดในพระนครของรัฐขอม
เพื่อให้ภายในราชสำนักของฝายศัตรูเกินความวุ่นวาย จากนั้นนำหนังสือของพระเจ้าเอกสิทธาธิราช
ไปแจ้งต่อพระเจ้าวูเฟบันดงว่าให้รับสั่งถอนกองกำลังของตนกลับมาช่วยดับไฟ
และร่วมแก้ปัญหาโรคระบาดในรัฐขอม ท้ายที่สุดเจ้าชายโฉดทั้ง 3 จึงยอมถอนทัพกลับ จึงทำให้กรุงโลกาบรรณพิภพรอดจากการถูกยึดครองลงได้
เป็นศึกครั้งแรกที่สงบลงอย่างมีเลศนัย
ด้านมเหสีสรวงสุดาได้พบเจอกับองค์รัชทายาทน้อย พระยาลิขิตเมธี และพัดเศวก
จากนั้นจึงเดินทางกลับมหิทธินาศรังสรรค์นคร ภาคแรกจบลงตรงนี้
ตอนหน้า
มาดูไทม์ไลน์ของเนื้อหาว่าดำเนินต่อไปอย่างไรต่อ และมีตัวละครใหม่ๆ เพิ่มมาอีก
ที่มีผลต่อเนื้อหาที่เข้มข้นต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น