วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

พิภพราชา ภาคขยาย ตอนที่ 5 (ตัวละครเอกสำคัญในจักรวาลของพิภพราชา)


เก็บตกไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องราวภาค 2 ปริศนาผู้เสวยราชย์ กับ 5 ตัวละครที่สำคัญของเรื่องนี้ ขอไล่ไปทีละคน ดังนี้



1 คนแรก ชะตากรรมของสุกรีกับครอบครัว อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า สุกรีเป็นตัวละครเอก ที่มีปูมหลังเรื่องชาติกำเนิดของตน อยู่มาวันหนึ่งก็ไปสมัครเป็นทหารที่เมืองนวเกศ จนได้รับการคัดเลือก และก็ได้รับของขวัญพระราชทานเป็น ภริยาพระราชทาน นามว่า อมินตรา (อดีตนางกำนัลคนโปรดของพระราชามนัสกษัตร) และได้รับการแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์แทน พาลี ที่ถูกปลดออกไป เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด (ไม่สามารถคล้องช้างพลายเผือก เชือกนึงที่ทรงอยากได้) และเนื่องจากทรงเห็นฝีไม้ลายมือ การต่อสู้ของสุกรี ที่ไม่ธรรมดา สามารถล้มคู่ต่อสู้ และราชองครักษ์ของพระองค์ได้ทุกคน จนวันนึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ ติดตามราชครูศรีอาท ไปปราบแคว้นคะฉิ่น แคว้นบริวารที่ก่อการเป็นปฏิปักษ์ และต้องการปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของนวเกศ แต่สุกรีขัดพระบัญชา ด้วยการไม่สังหารเด็ก สตรี และคนชรา เนื่องจากเห็นว่า แค่สังหารเหล่าบรรดาผุ้นำและแม่ทัพคนสำคัญก็เพียงพอแล้ว และที่เหลือจับมาเป็นเชลย จองจำไว้ เพื่อวันหน้าจะเกลี้ยกล่อมให้ยอมสวามิภักด์เป็นทาสเชลยของนวเกศ เผื่อไว้ใช้งาน และเห็นแก่มนุษยธรรม แต่ราชครูศรีอาทเอาเรื่องนี้ไปฟ้องต่อมนัสกษัตร ทำให้สุกรีถูกสั่งลงทัณฑ์ เฆี่ยนตี และนำตัวไปจองจำขังไว้ในคุกเป็นเวลา 5 วัน แต่ในช่วงที่อยู่ในคุก สุกรีได้ไปพบเจอคะฉิ่นน้อย ที่อาสามาช่วยดูแลบาดแผล และรักษาพยาบาลสุกรี เนื่องจากจำได้ว่าสุกรี คือคนที่ระงับคำสั่งไม่ให้สังหารมารดาและย่าของตน บวกกับตนเองมีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง จึงช่วยทำแผลให้สุกรี แต่การใช้สุราในการระงับความเจ็บปวด ก็พลอยทำให้สุกรีเมามาย และปลุกปล้ำคะฉิ่นน้อย จนได้เสียกัน และเมื่อสร่างเมา คะฉิ่นน้อยบอกกับสุกรีว่า ตนได้เสียตัวให้สุกรีแล้ว สุกรีควรจะต้องรับผิดชอบในตัวเธอด้วย ทำให้สุกรีจำต้องรับคะฉิ่นน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านในฐานะคนรับใช้ และเหตุการณ์ในภาค 2 ก็เริ่มต้นขึ้นที่ริมลำธารใกล้สวนพฤกษศาสตร์ภายในเขตราชสำนัก เมื่ออมินตราบอกกับสุกรีว่า เธอได้ตั้งท้องขึ้นแล้ว กว่า 4 เดือน ซึ่งสุกรีก็แสดงความดีใจล้นเหลือ แต่อมินตรากลับไม่คิดเช่นนั้น เธอเกรงว่า หากมนัสกษัตรล่วงรู้ว่าเธอมีครรภ์ ภายภาคหน้าเกิดคลอดออกมาแล้ว มนัสกษัตรอาจจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ขอบุตรของตนมาเป็นพระโอรสของพระองค์ก็เป็นได้ จึงปรึกษากับสุกรีว่า จะทำอย่างไร ทำให้สุกรีคิดวางแผน นำตัวอมินตรามาหลบอาศัยอยู่ที่บ้านของตนที่หมู่บ้านเกษตร โดยไม่ให้พระราชามนัสกษัตรทรงล่วงรู้ โดยให้คะฉิ่นน้อยเข้าวังและแปลงโฉมเป็นนางในคนใหม่ เพื่อมาทำหน้าที่ของอมินตราแทน และเปลี่ยนชื่อของคะฉิ่นน้อยเป็น อุรามณี  เมื่อเวลาที่มนัสกษัตรอยากพบเจอหน้าของอมินตรา สุกรีก็จะให้อุรามณีมาปรนนิบัติแทน แล้วโกหกว่าอมินตราคบชู้กับชายคนใหม่ พร้อมหลบหนีออกจากวังไปแล้ว ซึ่งตอนแรกมนัสกษัตรก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าอมินตราอาจมีใจให้ชายอื่นจริง อย่างที่สุกรีเพ็ดทูล  แต่นานๆ เข้ามนัสกษัตรเริ่มจับสังเกตพฤติกรรมของสุกรีว่า ไม่อนาทรร้อนใจเรื่องที่อมินตราหลบหนีไปกับชายอื่น จึงทำให้เริ่มสงสัยว่า จะจริงหรือที่อมินตราจะหนีตามชายอื่นไป โดยที่สุกรี ไม่เห็นออกตามหาเลย จึงให้ราชครูศรีอาท คอยจับผิด และสะกดรอยตามสุกรี เพื่อดูพฤติกรรมว่า วันๆ หนึ่ง ไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไรบ้าง แล้วมารายงาน



สำนวนที่วา “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม ดูหน้าไม่รู้ใจ” นั้นถูกนำมาใช้ในตอนนี้  เมื่อศรีอาทสะกดรอยตามสุกรีไปจนล่วงรู้ว่า สุกรีมีบ้านอยู่ที่แคว้นราโชทัย เป็นบ้านหลังนึง ในหมู่บ้านเกษตรกรรม และที่บ้านแห่งนั้น กลับพบว่า มีช้างพลายเผือก เชือกที่มนัสกษัตรเคยอยากได้ ถูกเลี้ยงไว้อย่างดีในคอกเลี้ยงสัตว์ที่มีสัตว์หลากหลายประเภทมาก คล้ายฟาร์มปศุสัตว์ของผู้มีอันจะกินพอสมควร จึงรีบกลับไปรายงานมนัสกษัตรว่า พบช้างพลายเผือก เชือกดังกล่าวอยู่ที่บ้านของสุกรี และสุกรีก็ไม่ใช่คนพื้นถิ่น อยู่ในนวเกศ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มนัสกษัตร คลางแคลงใจ และเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจสุกรี มองว่าสุกรีอาจจะเป็นสายที่ปลอมตัวมาเป็นทหารในนวเกศ เพราะพื้นเพสุกรี กลับอาศัยอยู่ในกรุงโลกา จึงได้รับสั่งให้ศรีอาทนำกองกำลังไปคล้องช้างพลายเผือกกลับมา แต่คล้อยหลังศรีอาท มนัสกษัตรกลับไม่ไว้วางใจศรีอาทว่าจะทำสำเร็จ จึงสั่งการให้พระวิเศษศาสตรา ติดตามไปห่างๆ หากว่าศรีอาททำการไม่สำเร็จ ก็ให้พระวิเศษศาสตรา เป็นผู้นำช้างพลายเผือกกลับมาให้ได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่กลายเป็นโศกนาฏกรรมเลย ถ้าพระวิเศษศาสตราไม่ได้ติดตามมาด้วย เพราะทันทีที่พระครูศรีอาทถึงบ้านสุกรี ตอนนั้นสุกรีไม่อยู่ แต่ศรีอาทกลับไปพบอมินตรากำลังให้นมเด็กทารกน้อยคนหนี่ง จึงชวนให้สงสัยว่า เหตุใดอมินตราถึงมาหลบอาศัยอยู่ที่บ้านของสุกรี แล้วเด็กทารกที่อุ้มอยู่คือใคร ก็เพราะศรีอาทรับรู้เพียงว่าเธอหนีตามชายชู้ออกจากวังไปแล้ว นี่แสดงว่าสุกรีโกหกเรื่องขึ้นมาทั้งหมด ในเมื่อเรื่องมันแดงขึ้นมาแล้ว อมินตราจึงขอร้องศรีอาทว่า ให้ปล่อยเด็กทารกซึ่งเป็นบุตรของเธอกับสุกรีไป เธอยินยอมถูกจับกุมตัวไปรับโทษที่วังเอง และขอให้ศรีอาทช่วยปกปิดความลับนี้ของเธอกับสุกรีไว้ อย่าบอกต่อมนัสกษัตร ซึ่งศรีอาทก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ใจนึงก็เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อสุกรี จึงรับปากว่าจะไม่บอกความจริงเรื่องลูกแก่มนัสกษัตร จากนั้นจึงนำตัวอมินตรากลับไป มธุรสเทวีจึงเอาเด็กทารกน้อย นามว่าสุอามิน มาอุ้มไว้แทน  คล้อยหลังไม่นาน พระวิเศษศาสตราก็โผล่มาที่บ้านของสุกรีอีก โดยอ้างว่า จะมานำช้างพลายเผือกกลับไป มธุรสเทวีแจ้งต่อพระวิเศษศาสตราว่า ตนไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสุกรี เป็นแต่เพียงผู้ดูแลบ้านแห่งนี้เท่านั้น จากนั้นพระวิเศษศาสตราจึงนำกองกำลังกลับไป แต่พอเดินทางกลับไปได้ซักพัก จึงฉุกคิดขึ้นได้ว่า หญิงวัยกลางคนๆ นั้น อุ้มเด็กทารกไว้คนนึง จึงเริ่มวิเคราะห์ว่าเด็กทารกคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอมินตราหรือไม่ ในเมื่ออมินตราถูกพระครูศรีอาทนำตัวกลับไป แล้วเหตุใด หญิงวัยกลางคนจึงอุ้มเด็กทารกไว้ เธอไม่น่าจะใช่มารดาของเด็ก น่าจะเป็นอมินตรามากกว่า แล้วจากการรับรู้คือ อมินตราหนีตามชายชู้ออกนอกวัง แต่กลับมาอยู่ที่บ้านของสุกรี แสดงว่า เด็กทารกคนนี้น่าจะเป็นบุตรที่เกิดจากอมินตรากับสุกรีหรือเปล่า จึงวกกลับมาที่บ้านสุกรีอีกครั้ง แต่ว่า มธุรสเทวีได้พาหลานสุอามินหลบหนีไปแล้ว พระวิเศษศาสตราจึงรีบยกกองกำลังออกไล่ตามมธุรสเทวีเพื่อไปเอาเด็กทารกกลับไปให้มนัสกษัตรให้ได้ แต่ว่า นามโป ได้พยายามขัดขวาง และพยายามยื้อเวลา เพื่อให้ย่าและหลานหนีไปให้ได้ไกลจากเงื้อมมือของทหารจากนวเกศให้ได้นานที่สุด สุดท้ายนามโปต้องถูกทำร้ายโดยกองกำลังทหารของนวเกศปางตาย นอนหายใจรวยรินอยู่บนแคร่ไม้ ถามว่าแล้วขณะนั้น สุกรีหายไปไหน สุกรีได้ถูกพวกอมนุษย์จับตัวไป ระหว่างเดินทางออกจากบ้าน เพื่อกำลังจะกลับไปนวเกศ แต่ระหว่างทางโดนพวกอมนุษย์วางกับดัก จับกุมตัวไปให้วนัสปตี ซึ่งวนัสปตี เป็นพราหมณ์นอกรีต ที่มีอาชีพค้ามนุษย์ จับคนมาชำแหละขายอวัยวะ หรือถ้ารุปร่างสมบูรณ์ดีก็นำไปขายเป็นทาสเชลย ให้กับแม่หญิงนางพญาฝูงนกยูง ซึ่งกรณีของสุกรีนั้นถูกนำมาขายเป็นทาสเชลยให้แม่หญิงนางพญา แม่หญิงนางพญาพอเห็นสุกรีครั้งแรก ก็รู้สึกถูกชะตา พอเห็นรอยสักและแผลเป็นบางส่วนบนร่างกาย ก็รู้สึกว่าคล้ายคนรักเก่าของตน จึงเลือกซื้อสุกรีไว้คนเดียวจากที่วนัสปตี เอามาเสนอ 3 คน (รวมเจ้าชายนัชมุลลากับไตรกริณด้วย) โดยข้อตกลงที่สุกรีทำกับแม่หญิงนางพญา เพื่อแลกกับการให้แม่หญิงยอมปล่อยตัวเจ้าชายนัชมุลลากับไตรกริณก็คือ สุกรีต้องยอมร่วมเพศกับแม่หญิง เพื่อให้สามารถสืบทอดเชื้อสายเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไป โดยก่อนหน้านี้เธอได้ทดสอบดูแล้วเห็นว่า สุกรีมิใช่มนุษย์ แต่เป็นอมนุษย์ ประเภทนึง เหมือนกันเธอ เธอได้ยอมถ่ายทอดพลังทั้งหมดในตัวเธอให้กับสุกรี เพราะเห็นแล้วว่าสุกรี น่าจะเป็นทายาทของอดีตคนรักเก่าของเธอ ที่หายสาบสูญไป สุกรีไม่มีทางเลือก เพราะต้องการช่วยเชลยทาสทั้ง 2 คนให้รอดออกไปได้ จากนั้นสุกรีก็ยอมเป็นเชลยทาสแทน วันนึงจึงยอมทำตามสัญญากับแม่หญิง ยอมมีอะไรกับแม่หญิง จนเธอตั้งครรภ์ขึ้นมา เมื่อคลอดแล้ว แม่หญิงก็หมดอายุขัย ก่อนจะสิ้นใจ ได้สั่งเสียกับสุกรีว่า ขอให้สุกรีเลี้ยงดูลูกที่เกิดกับเขา ให้เติบโต แล้วเป็นทายาทสือทอดเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไป ระหว่างนี้ขอร้องให้สุกรีรับอาสาเป็น หน.เผ่าของเธอไปก่อนจนกว่าบุตรจะโต จึงส่งไม้ต่อ ทำให้สุกรีได้กลายเป็น หน.เผ่าปายะ ในเวลาต่อมา มีบริวารเป็นอมนุษย์จำนวนมาก และคนในเผ่าปายะ จำนวนหนี่ง  พระครูศรีอาทเมื่อนำตัวอมินตรากลับไปให้มนัสกษัตรลงโทษแล้ว เขาก็วกกลับมาเพื่อตามหาสุกรี พอสืบทราบว่าสุกรีกลายเป็น หน.เผ่าปายะแล้ว จึงบอกความจริงเรื่อง อมินตรา และชะตากรรมของครอบครัวของสุกรีให้ทราบ สุกรีจึงรีบเดินทางกลับมาที่บ้าน เพื่อพบความจริงที่ว่า พี่ชายคนสนิทของตนเอง อย่าง นามโป ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ส่วนแม่กับบุตรของตนเอง หายสาบสูญ ภายหลังสุกรีได้ไปพบเจอทั้งแม่ บุตรของตน และก็พ่อของตนที่หายสาบสูญไปเมื่อวัยเด็ก ที่ป่าผีเสื้อใกล้วังของราชินีรุจิเรขรัศมี  เพราะว่าในขณะที่พระวิเศษศาสตราออกติดตามไปจับกุมตัวแม่ ที่อุ้มหลาน ไปจนพบเจอตัว และกำลังจะเอาตัวหลานกลับไป ปรากฏชายนิรนามเข้ามาขัดขวางการจับกุมตัว และเกิดการต่อสู้กันขึ้น ชายนิรนามสามารถทำร้ายจนร่างของพระวิเศษศาสตรามอดไหม้เป็นจุณณ์ และจำแลงร่างหนีไปได้ ชายนิรนามคนดังกล่าวก็คือท้าวพิศาลสมุทร บิดาของสุกรีนั่นเอง จึงทำให้สุกรีได้ทราบชาตกำเนิดของตนเสียทีว่า ที่แท้เขาเป็นบุตรที่เกิดจากท้าวพิศาลสมุทรกับมธุรสเทวี ซึ่งท้าวพิศาลสมุทรหายสาบสูญไปเพราะต้องหลบหนีความผิด และถูกตามล่าจับกุมตัวโดยพระเจ้าอติภพภูวนารถ แล้ววันนึง บิดาของตนก็มาปรากฏกายช่วยเหลือมารดากับหลานสำเร็จ สุกรีเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้นามโปตาย จึงปฏิญาณตนว่า จะกลับไปแก้แค้น และเอาตัวอมินตรากลับมาให้ได้



จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้สุกรี ได้มีพลังอำนาจฮึกเหิมขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงนายทหารตัวเล็กๆ คนนึงก็คือ การได้มาพบเจอกับมยุราภาวดี หรือแม่หญิงนางพญาแห่งรังฝูงนกยูงนั่นเอง เพราะมยุราภาวดี คืออดีตคนรักเก่าของท้าวพิศาลสมุทร ที่เคยแอบหลงรักกัน สมัยที่ท้าวพิศาลสมุทรทำศึกหนีทหารมาหลบอยู่ในรังฝูงนกยูง ได้มยุราภาวดีช่วยเหลือไว้ จนเกิดเป็นความรัก ในตอนนั้นท้าวพิศาลสมุทรไม่ได้คิดอะไรมาก พอเจอมยุราภาวดีก็เกิดเป็นความรักที่บริสุทธิ์ครั้งแรกโดยไม่รู้ว่านั่นเรียกกว่าความใคร่เสน่หาเป็นเพียงความใกล้ชิดกันแต่กลับให้ความหวังนาง บอกว่าวันนึงจะกลับมาขอแต่งงาน แต่ตนเองต้องจำต้องกลับทัพไปช่วยเหลือพระอติภพภูวนารถ นายเหนือหัวของตนก่อน แต่ภายหลังจากนั้นท้าวพิศาลสมุทรมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระสนมนามว่ามธุรสเทวี ครั้งนี้เป็นความรักจริงๆขึ้นมา ถึงขนาดมีอะไรด้วยกัน และสุดท้ายหนีออกจากวังตามกันมา เพราะรู้ว่าพระอติภพภูวนารถเริ่มสงสัยจับได้ ล้ว เธอยังคงรอว่าเมื่อไรท้าวพิศาลสมุทรจะกลับมา โดยรอมานานเกือบ 40 ช่วงอายุขัย (5 เดือนของมนุษย์เท่ากับ 1 ปีของอมนุษย์ประเภทนกยูง) แล้ววันนึง ได้มาเจอสุกรี ที่มีใบหน้าทั้งคล้าย รูปร่างคล้าย มีรูปพรรณสัณฐานคล้าย มีรอยสัก และแผลเป็นเหมือนกับท้าวพิศาลสมุทร ทุกประการ ทำให้มยุราภาวดี ไม่รอที่จะต้องเจอท้าวพิศาลสมุทรอีก จึงตัดสินใจว่าจะขอให้สุกรียินยอมมีอะไรกับเธอด้วย เพื่อให้เธอได้สืบทอดเผ่าพันธุ์ของเธอต่อไป เพราะรู้ว่าอายุขัยของเธอใกล้หมดแล้ว อยู่ในวัยชราแล้ว พอมีบุตรกับสุกรีได้ ก็พอดีกับสิ้นอายุขัย การที่สุกรีได้รับการถ่ายทอดพลังทั้งหมดของมุยราภาวดีให้ (ถ้าเป็นหนังจีน ก็คือพลังวัตรในตัวทั้งหมด) บวกกับวิชาการต่อสู้ที่ได้รับจากบิดาคือท้าวพิศาลสมุทร รวมถึงครูพักลักจำมาจากพระครูศรีอาทบ้าง และพระวิเศษศาสตราบ้าง ทำให้สุกรียกระดับ ความก้าวหน้าด้านวิทยายุทธ์ของตนไปแบบก้าวกระโดด ทำให้มีพละกำลัง สามารถต่อกรกับกองกำลังทหารธรรมดาได้นับร้อย หรือถ้าเป็นอมนุษย์ด้วยกันได้อย่างสบายมือ ที่บอกว่าสุกรีเป็นอมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ซะทีเดียวก็เพราะว่า บิดาของสุกรี หรือท้าวพิศาลสมุทร สืบเชื้อสายมาจากพญานาคตนหนึ่ง เรื่องราวในภาคนี้ เราจึงจะได้เห็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของสุกรี ที่เนื้อหาในภาคนี้ สุกรีแทบกลายเป็นพระเอกของเรื่องทั้งหมด






2.พระราชาน้อย (เจ้าชายปรเมศฤทธี) กลับมาตายรัง ภายหลังจากที่ภาคแรก พออำมาตย์ราชสิงห์ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากพระราชามนัสกษัตรกับพระวิเศษศาตราได้อีก เพราะในตอนนั้นกองกำลังของนวเกศถูกส่งไปช่วยเหลือร่วมรบกับพันธมิตรจากจามและขอม และเกิดการสูญเสียกำลังคนไปส่วนหนี่ง พอกลับมา พระราชามนัสกษัตรก็ทรงกริ้วมาก ที่ไปเป็นพันธมิตรร่วมรบแล้ว ไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรกลับมาเลย อีกทั้งยังสูญเสียกองกำลังทหารไปฟรีๆ อีกทั้งมาทราบว่าฝ่ายพันธมิตรร่วมรบเป็นฝ่ายถอนกำลังกลับ ทั้งๆ ที่เผด็จศึกได้แล้ว ก็ยิ่งทำให้ทรงไม่พอพระทัย จึงไม่แยแสที่อยากจะช่วยอำมาตย์ราชสิงห์ในการบุกยึดเอาอำนาจคืนจากโรจนาถราชา บวกกับตอนนั้นสุกรีนำกองกำลังจากเผ่าปายะมาบุกช่วยอมินตรา และได้พ่อตนเอง คือท้าวพิศาลสมุทร กับอมนุษย์ กลุ่มของวนัสปตี ซึ่งแต่ละคนคือยอดฝีมือทั้งนั้น บุกมาช่วยเหลืออมินตรา ต่อสู้กับพวกมนัสกษัตร จนสามารถเอาชนะ และจับกุมตัวฝ่ายนวเกศได้ทั้งหมด และไปเชิญ พระเจ้าปัณณฑัตกลับมาครองราชย์อีกครั้ง มนัสกษัตรถูกจับขังในคุกมืด พระวิเศษศาตรากับอำมาตย์ราชสิงห์ถูกจับกุมตัว โดยพระวิเศษศาสราถูกเนรเทศออกจากเมือง ส่วนอำมาตย์ราชสิงห์ถูกนำตัวกลับไปรับโทษทัณฑ์ที่มหิทธินาศ พระครูศรีอาทยอมแปรพักตร์เข้าพวกสุกรี โดยขอเป็นข้ารับใช้สุกรี เพื่อกอบกู้ราชอาณาจักรต่อไป ส่วนพระราชาน้อย (เจ้าชายปรเมศฤทธี) ทรงคิดได้ กลับไปขอรับโทษทัณฑ์ ยอมให้พระบิดาจับตัวไปคุมขัง และปลดจากราชนิกูลลงมาเป็นราษฏรสามัญชน แต่ด้วยความที่โรจนาถราชา ยังมีความรักและเอ็นดูพระโอรสองค์นี้อยู่มาก จึงไม่คุมขัง ให้ไปเป็นทหารไพร่ราบ คอยติดตามขุนไกรสิทธิเดช และทำความดี ค่อยๆ ไต่เต้ากลับขึ้นมาใหม่ โดยไม่ได้รับอภิสิทธิ์ใดๆ เหมือนเมื่อก่อน ภายหลังเจ้าชายพระองค์นี้ เรียกได้ว่า เปลี่ยนแปลงบุคลิก นิสัยใหม่หมด จนกลายเป็นคนเก่ง คนขยัน และฝึกปรือฝีมือ การยุทธ์ การทหารด้วยพระองค์เอง โดยไปเข้าโครงการรับสมัครฝึกฝนเป็น หน่วยรบพิเศษ อภิบาลกระฏุมพี จนสามารถจบหลักสูตร และทำความดีไถ่โทษ ในเหตุการณ์ไปเจรจาสงบศึกเมืองบริวารแข็งข้อ ทั้ง 5 เมือง และสามารถสังหารแม่ทัพคนสำคัญของเมืองสวัลญาได้ จนทำให้พระเจ้าโรจนาถราชา ปูนบำเหน็จให้เจ้าชายปรเมศฤทธี กลับมาสู่สถานะศักดิ์เป็นองค์ชายได้ตามเดิม และให้ตำแหน่ง เทียบเท่าพระยากลาโหม เป็นรองเพียงแค่ อำมาตย์ไกรสิทธิเดช เท่านั้น  และระหว่างที่ทรงไปฝึกเป็นหน่วยรบพิเศษ ก็ได้ไปเจออดีตคนรักเก่าวัยเด็ก ที่เป็นลูกสาวของนายทหารองครักษ์ พันเอกเเทพฤทธิ์  มาประจำการอยู่ในหน่วยเป็นนางพยาบาล จึงเกิดการช่วยเหลือดูแลกัน ทำให้เจ้าชายฤทธีรา ทรงประทับใจ ภายหลังทรงอภิเษกสมรสกับนางสร้อยแก้วคนนี้ กลายเป็นพระชายานั่นเอง  



3.เจ้าชายอธิกบุศย์ กลายเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์ เรื่องนี้มีที่มาได้อย่างไร จู่ๆ เจ้าชายอธิกบุศย์ กลายมาเป็นร่างทรงของพญาครุฑสีห์ได้อย่างไร ก็มีอยู่มาวันหนึ่ง ผืนแผ่นดินบนก้อนเมฆ หรือที่เรียกว่า อมรเมฆาธานี เกิดถูกปกคลุมด้วย นกครุฑเต็มพรึดไปหมด และอากาศก็หนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ตอนแรกไม่มีใครบนอมรเมฆาล่วงรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น ภายหลังพอพระเทพราหูสิ้นพระชนม์ เนื่องจากอากาศเย็นจัดจนตัวแข็งแล้ว จึงล่วงรู้ว่ามหาครุฑทวยเทพ เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ โดยทุกๆ 5,000 ปีจะเสด็จลงมา 1 ครั้งเพื่อโปรดสัตว์มนุษย์บนโลก (ทรงเป็นเทพปกรณัมที่เป็นพาหนะขององค์วิษณุเทพ) เรื่องราวทั้งหมดผ่านการจัดการโดยพระเวฬุวันปุโรหิต ข้าราชการที่ใกล้ชิด และเก่าแก่ที่สุดของราชสำนัก ซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถสื่อสารกับมหาครุฑทวยเทพได้ พระเวฬุวันปุโรหิตบอกต่อพระมหาเทพราชาให้ล่วงรู้ และยอมลงจากราชบัลลังก์ แต่พระมหาเทพราชาไม่ทรงยินยอม จึงเกิดการต่อสู้กับมหาครุฑทวยเทพ และพญาครุฑสีห์ ซึ่งมหาครุฑทวยเทพอาศัยร่างของพระเทพราหูเป็นที่อาศัย และพญาครุฑสีห์อาศัยร่างของเจ้าชายอธิกบุศย์เป็นที่อาศัย  และการที่ได้เป็นร่างทรงนี้เอง ที่ทำให้เจ้าชายอธิกบุศย์ได้รับพลังวิเศษสิงอยู่ในร่างอย่างถาวร ภายหลังพวกเหล่าอเวนเจอร์ เอ๊ยไม่ใช่เหล่าเทพปกรณัมครุฑจะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว พลังวิเศษนี้ก็ยังอยู่ในร่างของเจ้าชายอธิกบุศย์ ทำให้คล้ายๆ สุกรี คือมีพลังวัตรแฝงอยู่ในร่าง ทำให้เจ้าชายอธิกบุศย์มีพละกำลังเพิ่มในตัวหลายเท่า สามารถต่อกรกับกองกำลังทหารนับร้อยได้อย่างสบายหรือกับผู้เยี่ยมยุทธ์อย่าง เจ้าชายศิระติกาลได้อย่างสูสี ทัดเทียม ซึงผิดกับเมื่อสมัยยังละอ่อน ที่เป็นฝ่ายถูกรังแกทำร้ายจากพระเชษฐาต่างมารดาอยู่เสมอ บวกกับวิชาการยุทธ์ที่ทรงได้ศึกษาร่ำเรียนเพิ่มเติมมาจากเนราญนารายณ์ ทำให้เจ้าชายอธิกบุศย์ ก็มีฝีมือรุดหน้าแบบก้าวกระโดดยอีกคนนึง เดี๋ยวตอนหน้ามาพูดถึงอีก 2 ตัวละครที่เหลือ นั่นคือ นาคามิน กับพราหมณ์น้อย-เจ้าชายอนุเชษฐ์ และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาของภาคที่ 3 กันต่อไป




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น