วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เศรษฐศาสตร์ชาตินิยม Nationalism Economics (Attitude Review Series)

ตอนที่ 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ค่าเงินในกระเป๋าเราลดลง และวิธีเพิ่มค่าเงินในกระเป๋าให้สูงขึ้น

เงินเฟ้อ
ค่าครองชีพ/ระดับราคาสินค้า
ค่าเงินบาท

ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันเคยอยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 300 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 35 บาทต่อลิตร (โซฮอลล์ 95) หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 300 บาท เราจะเติมน้ำมันได้เพียง 8.5 ลิตร ไม่ใช่ 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 350 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร

เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?

ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation

(1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 30 บาท เป็น 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้

ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย

(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

หมายเหตุ ตอนนี้ภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ที่ 3.5 % ข้อมูลเดือนมกราคม 2554 สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ค่าครองชีพ/ระดับราคาสินค้า

ความหมายจะคาบเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และมีปฏิสัมพันธ์กันแบบคู่ขนานไปกับภาวะเงินเฟ้อ เช่น ถ้าภาวะเงินเฟ้อสูงค่าครองชีพก็จะสูงหรือระดับราคาสินค้าก็จะสูงขึ้น หรือกลับด้านกัน ถ้าค่าครองชีพสูงขึ้น หรือระดับราคาสินค้าสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อก็จะสูงขึ้นตาม แต่จะเป็นไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปรตัวไหนเป็นตัวแปรคงที่และตัวไหนเป็นตัวแปรผันแปร ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะระบุไปแน่ชัดว่าช่วงเวลาใดปัจจัยตัวใดเป็นปัจจัยคงที่และตัวไหนผันแปร แต่นักวิชาการหรือนักเศรษฐศาสตร์สามารถระบุได้ เพราะทันทีที่รัฐบาลไทยส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศให้สูงขึ้น และปรับเงินเดือนให้กับข้าราชการและเงินเดือนนักการเมือง ก็ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นไปรอล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่ในฟากรัฐบาลก็อาจจะอ้างว่าที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวปรับราคาสูงขึ้นเป็นเพราะเมื่อปีที่แล้วประเทศเราเจอภัยธรรมชาติรุนแรง เช่น น้ำท่วม ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรมีจำนวนลดลง เช่น น้ำมันปาล์ม ทำให้ระดับราคาสินค้าเกษตรหลายตัวปรับตัวสูงขึ้น

ทีนี้ไม่ว่าตัวแปรตัวใดจะเป็นตัวแปรที่คงที่ แต่ตัวแปรตามคือระดับราคาสินค้าและค่าครองชีพดูเหมือนจะไปในทิศทางเดียวกันก็คือสูงขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ตราบใดที่เราไม่สามารถควบคุมเจ้าตัวแปรคงที่ให้มันอยู่เท่าเดิมหรือลดลงได้ ตัวแปรคงที่อย่างภัยธรรมชาติกับค่าแรงและเงินเดือน เราสามารถกำหนดให้มันลดลงได้มั๊ย มองแค่ตรงนี้เราก็พอจะได้คำตอบแล้วว่าแนวโน้มในอนาคตระดับราคาสินค้ามันจะลดลงหรือไม่



ค่าเงินบาท

ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในเอเซียตอนนี้ที่เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นเหมือนๆ กันนั้น มีการระบุกันว่าเกิดจากเงินทุนไหลเข้ามาในแถบนี้สูงมาก จนทำให้หลายๆประเทศต้องขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินทุนไหลบ่าท่วมระบบเศรษฐกิจ หรือเกิดจากมาตรการ QE 1 กับ QE 2 ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เงินดอลล่าร์ถล่มโลก ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ลดลง และทำให้ค่าเงินของสกุลอื่นๆ ทั่วโลกปรับตัวแข็งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ค่าเงินบาทก็ได้รับผลกระทบตามมาด้วย เมื่อปีที่แล้วนักวิชาการ นักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ยังฟันธงกันอยู่เลยว่าค่าเงินบาทไทยอาจจะแข็งค่าลงมาแตะถึง 28 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ แต่พอมาต้นปีนี้ค่าเงินบาทมีทีท่าว่าอาจจะอ่อนตัวมาอีกแล้ว ปัจจุบันอยู่ที่ 30 บาทกว่าๆ ต่อ 1 ดอลล่าร์ เป็นผลมาจากค่าเงินดอลล่าร์แข็งตัวขึ้น เพราะสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัว จากนโยบายอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างบ้าคลั่งของอเมริกาเอง ตอนนี้นักวิเคราะห์ และนักเศรษฐศาสตร์กำลังติดตามดูว่าเศรษฐกิจของสหรัฐมันฟื้นจริงหรือฟื้นหลอกกันแน่ หากฟื้นจริงกระแสเงินทุนที่ไหลบ่าเข้ามาในประเทศแถบเอเซียอาจทุเลาเบาบางลงบ้าง ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นมาก ภาวะเงินเฟ้อก็จะทุเลาลงได้ แต่หากการฟื้นคืนเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นเพียงภาพลวงตา และเป็นเงาทะมึนที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาอีกหล่ะก็ ถึงเวลานั้นภาวะความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกก็จะพังพินาศกันอีกครั้งนึง ถึงเวลานั้นประเทศไทยก็จะไม่ใช่เผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่อาจพ่วงด้วยภาวะเงินฝืด และเศรษฐกิจซบเซากันอีกครั้งนึงเหมือนเมื่อปี 2540 ที่เราเคยเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของเราเองขึ้นมาอีก แต่คราวนี้อาจหนักหนากว่ามาก เพราะมันเป็นกันทั้งโลก



หมายเหตุ ค่าเงินบาทเฉลี่ย 30.618 ต่อ 1 ดอลล่าร์ เว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 17 ก.พ. 2554



วิธีเพิ่มค่าเงินในกระเป๋าให้สูงขึ้น

การลงทุนคือวิธีที่สามารถเอาชนะค่าเงินในกระเป๋า เช่น การลงทุนในทองคำ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี เป็นต้น

เมื่อปีที่แล้ว 2553 ใครลงทุนใน 3 สิ่งนี้ คือ ทอง หุ้น อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี ก็อาจได้ผลตอบแทนที่สูงมาก ทีนี้เรามาดูรายละเอียดการลงทุนในแต่ละประเภทกันดีกว่า ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร และอะไรที่เหมาะแก่ท่านผู้อ่านมากที่สุด



ถ้าคิดจะลงทุนทองคำคงต้องถามตัวเองก่อนว่าชอบการลงทุนในรูปแบบไหน เพราะมีให้เลือกกันถึง 6 แบบ 6 สไตล์ (ข้อมูลที่มา : นสพ.โพสท์ ทูเดย์)



ทองรูปพรรณ



แม้ว่าทองรูปพรรณจะถูกตราหน้าว่าไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะกับการลงทุนนัก เพราะมีต้นทุนสูง แต่ไม่มีใครห้ามถ้าเครื่องประดับสีทองอร่ามจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือการออมที่สามารถนำออกมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีที่ต้องการเหมือนที่ปู่ ย่า ตา ยาย เขาทำกันมา



"ต้นทุน"ที่ทำให้ทองรูปพรรณอาจจะไม่ใช่การลงทุนทองคำที่ดีที่สุดคือ ค่ากำเหน็จหรือค่าแรงในการทำให้ทองคำแท่งกลายเป็นทองรูปพรรณที่มีความสวยงามในฐานะเครื่องประดับ ทำให้ราคาขายทองรูปพรรณสูงกว่าราคาขายทองคำแท่ง ขณะที่เมื่อนำไปขายทองรูปพรรณยังถูกกดราคามากกว่าทองคำแท่งอีก



ตัวอย่างราคาทองคำที่สมาคมค้าทองคำประกาศไว้เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ทองคำแท่ง ขายออก15,650 บาท และรับซื้อคืน 15,550 บาท มีส่วนต่างแค่ 100 บาท หรือไม่ถึง 1%



แต่ถ้าเป็นราคาทองรูปพรรณ ราคาขายออก16,050 บาท และรับซื้อคืน 15,326 บาท ราคาต่างกันถึง 724 บาท หรือคิดเป็นต้นทุน 4.72% ต่อทองคำ 1 บาท



นอกจากนี้ยังมี ค่าสึกหรอจากการใช้งานเพราะทองคำที่ผ่านการใช้งานจะมีน้ำหนักทองคำลดลงไปบ้าง เมื่อนำไปขายให้กับร้านทอง ทางร้านจะนำไปชั่งน้ำหนักแล้วตีราคาตามน้ำหนักทองที่เหลืออยู่ ทุนอาจจะไม่หายไปไหน แต่กำไรที่จะได้ก็หดไปเยอะเลย



ทองคำแท่ง



การลงทุนในทองคำแท่งน่าจะเป็นการลงทุนในทองคำที่น่าจะได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะซื้อง่ายขายสะดวกแล้ว ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หรือต้นทุนการลงทุนต่ำกว่าทองรูปพรรณ



โดยทั่วๆ ไปทองคำแท่งที่ลงทุนกันจะมี 2 แบบคือ ความบริสุทธิ์ 96.5% และ 99.99% ซึ่งประเทศไทยนิยมการลงทุนในทองคำ 96.5% ขณะที่ต่างประเทศจะนิยมลงทุนทองคำ 99.99%



ถ้าเป็นทองคำแท่ง 96.5% ขนาดเล็กที่สุดที่นิยมซื้อขายกันจะมีน้ำหนักทองคำ 5 บาท ขยับขึ้นเป็น10 บาท 20 บาท และ 50 บาท



แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักทองคำเริ่มต้นที่จะสามารถลงทุนได้อยู่ที่ 100 กรัม 10 บาท 20 บาท และ 1 กิโลกรัม แต่โดยมากมักจะลงทุนกันที่ 1 กิโลกรัม



ห้างทองแม่ทองสุกแนะนำนักลงทุนไว้ว่าสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในทองคำ 99.99% ควรจะเริ่มต้นจากทองคำแท่ง 96.5% เสียก่อน เพราะมีการประกาศราคาที่เป็นมาตรฐานจากสมาคมค้าทองคำ แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง 99.99% อาจจะเหมาะกับนักลงทุนที่คุ้นเคยกับการลงทุนทองคำแท่งอยู่แล้ว



นอกจากนี้ ทองคำแท่ง 99.99% ยังใช้เงินลงทุนสูงกว่าทองคำแท่ง 96.5% ซึ่งทางห้างทองแม่ทองสุกระบุว่า ถ้าจะลงทุนทองคำแท่ง 96.5% มีเงินสัก 2 แสนบาทก็สามารถทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็นทองคำแท่ง99.99% อาจจะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 1 ล้านบาท



เหรียญทองคำ



ถ้าพูดถึง "เหรียญทองคำ"นักลงทุนทองคำในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่ถ้าเป็นนักลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะนักสะสมทองคำจะนิยมการลงทุนในเหรียญทองคำ โดยเหรียญทองคำที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักสะสมเหรียญทองคำทั่วโลก เช่น South African Krugerrand,Canadian Maple Leaf, Australian Gold Nugget,American Gold Eagle หรือ U.S. Eagles



นั่นเพราะนอกจากจะซื้อขายเหรียญทองคำได้ตามน้ำหนักของเหรียญแล้ว นักสะสมยังจะได้กำไรจากความนิยมในตัวเหรียญอีกด้วย ทำให้เมื่อบวกกันแล้วเหรียญทองคำมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่าการลงทุนในทองคำแท่งเสียอีก



เหรียญทองคำของสหรัฐอเมริกาที่นักสะสมเรียกว่า Double Eagle ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1907 หรือ พ.ศ. 2450 ราคา 20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งในขณะนั้นทองคำซื้อขายกันอยู่แถวๆ 20 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์เช่นกัน



แต่วันนี้เหรียญทองคำ Double Eagle ซื้อขายกันอยู่ประมาณ 1,250 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ราคาทองคำแท่งยังลุ้นกันอยู่ว่าจะวิ่งไปถึง 1,000 เหรียญสหรัฐหรือไม่



ไม่ใช่เฉพาะเหรียญทองคำของต่างประเทศเท่านั้นที่จะเป็นการลงทุนทองคำที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนทองคำแท่ง เพราะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกชนิดทองคำ หรือเหรียญทองคำของไทยก็ให้ผลตอบแทนที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน



ร.ต.อ.กุศิก มโนธรรมนายกสมาคมเหรียญกษาปณ์แห่งประเทศไทย และจักรฤกษ์ ธรรมโชโตประธานชมรมนักสะสมเหรียญ เคยบอกไว้ตรงกันว่า การลงทุนเหรียญทองคำจะไม่มีขาดทุน เพราะมีทั้งราคาทองคำ และราคาหน้าเหรียญเป็นประกัน



"ลงทุนทองคำมีทั้งโอกาสกำไรและขาดทุน แต่ถ้าเป็นเหรียญทองคำต่อให้ราคาทองคำตกไปจากวันที่ซื้อ ก็ยังมีราคาหน้าเหรียญเป็นเครื่องค้ำประกัน แต่ถ้าราคาทองคำขึ้น ราคาเหรียญก็ขึ้นไปด้วย และมีโอกาสขึ้นได้มากกว่าราคาทองคำ"จักรฤกษ์ กล่าว



เหรียญกษาปณ์ทองคำที่ระลึกมหามงคลพระชนมพรรษา 60 พรรษา หรือเหรียญ 60 พรรษา ที่ออกมาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2530 น้ำหนักทองคำ 1 สลึงราคาหน้าเหรียญ 1,500 บาท พอมาถึงวันนี้ที่ราคาทองคำไปถึงบาทละมากกว่า 1.5 หมื่นบาท หรือสลึงละไม่ถึง 4,000 บาท แต่ในวงการนักสะสมเหรียญซื้อขายเหรียญนี้กันอยู่ที่ 8,000 บาท (อ้างอิงจากwww.mpcoin2007.com)



นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีเหรียญทองคำที่ร้านค้าทองคำเป็นผู้ผลิต ซึ่งแม้ว่าไม่ได้อยู่ในข่ายเดียวกับเหรียญทองคำที่ออกโดยรัฐบาล แต่น่าจะเหมาะกับนักลงทุนทองคำมือใหม่ ทุนน้อย แต่อยากลงทุนทองคำแท่ง เพราะสามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ทองคำน้ำหนัก 1 บาท และ 2 บาท ความบริสุทธิ์96.5%



บุญเลิศ สิริภัทรวณิชประธานกรรมการ บริษัทออสสิริส ผู้ผลิต "เหรียญออสสิริส"บอกว่า การผลิตเหรียญทองคำที่มีน้ำหนักน้อยออกมา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่ต้องการออมเงินในรูปของทองคำ



เหรียญทองคำเป็นกึ่งกลางระหว่างทองรูปพรรณที่สามารถใช้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นเครื่องประดับ และเป็นการลงทุนแบบทองคำแท่งแม้จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าทองคำแท่ง แต่ยังถูกกว่าทองรูปพรรณ



ถ้าเป็นเหรียญทองคำน้ำหนัก 1 บาท จะต้องบวกค่าธรรมเนียมจากราคาทองคำที่สมาคมค้าทองคำประกาศ 150-200 บาท และ 200-250 บาทสำหรับเหรียญขนาด 2 บาท



หุ้นเหมืองทอง



ในบางช่วงบางเวลาหุ้นเหมืองทอง (ในต่างประเทศ) เช่น Barrick Gold Anglogold หรือ IAMGOLD น่าสนใจกว่าการลงทุนทองคำโดยตรงแถมยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนทองคำเสียอีก เพราะต้นทุนการผลิตต่ำลง แต่ขายทองคำได้ราคาดีขึ้น



แต่ในประเทศไทยมี "หุ้นเหมืองทองคำ"เพียงตัวเดียวในตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์(THL) ซึ่งเป็นหุ้นในใจของนักลงทุนรายย่อยที่นิยมการซื้อขายทำกำไรระยะสั้น แต่นักลงทุนหลายคนกลับตั้งชื่อเล่นให้หุ้นตัวนี้ว่า "คาทุ่ง" บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ มีบริษัทลูกชื่อ ทุ่งคำ ที่ได้สัมปทานเหมืองทองใน จ.เลย แต่จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2552 ปรากฏว่าขาดทุน 61 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.08 บาท



แถมผู้ตรวจสอบบัญชียังไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินนี้ เพราะมีขอบเขตจำกัดในการสอบทาน



พอเข้าไปดูบทวิเคราะห์ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาในเว็บไซต์การเงินอันดับหนึ่ง settrade.com มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส เพียงแห่งเดียวที่ออกบทวิจัยหุ้นตัวนี้มา (เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2552) โดยแนะนำให้ "ขาย"โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 0.84 บาท ขณะที่ราคาปิดในกระดานเมื่อวันที่28 พ.ค. อยู่ที่ 1.26 บาท



พร้อมกับประมาณการกำไรปี 2552 ไว้ที่ 33 ล้านบาท และ 99 ล้านบาท ในปี 2553 โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.04 บาทในปีนี้ และ 0.13 บาทสำหรับปี 2553 ขณะที่มีราคาต่อกำไร (PE) สูงถึง31.5 เท่า



กองทุนทองคำ



กองทุนทองคำก็เหมือนกับกองทุนประเภทอื่นๆคือ รวบรวมเงินจากนักลงทุนรายเล็กรายน้อยแล้วนำไปซื้อทองคำมาเก็บไว้ แต่ไม่ได้คาดหวังจะซื้อขายทองคำแบบเก็งกำไร แต่จะทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวให้ใกล้เคียงกับราคาทองคำในตลาดโลกเท่านั้น



และเช่นเดียวกับกองทุนรวมอื่นๆ คือ ต้องจ่ายค่าจ้างในการบริหารจัดการกองทุน ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของกองทุนทองคำในประเทศไทย เพราะไม่มีกองทุนทองคำเป็นของตัวเอง จึงต้องจัดตั้งกองทุนขึ้นมาและนำเงินที่รวบรวมได้ไปลงทุนในกองทุนทองคำในต่างประเทศอีกต่อหนึ่ง ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อ ในอัตราประมาณ 1.3% - 2%



นอกจากนี้ แม้ว่าเราจะตัดสินใจซื้อกองทุนวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าราคาทองคำที่ซื้อได้เป็นเท่าไร เพราะต้องรออย่างน้อย 2 วัน หรือถ้าขายหน่วยลงทุนก็ยังไม่ได้รับเงินทันที ต้องรอเวลาเช่นเดียวกัน



แต่ข้อดีของกองทุนทองคำคือ ไม่ต้องเก็บทองไว้ให้นอนสะดุ้ง และมีเงินเพียงแค่หลักพันก็สามารถลงทุนได้แล้ว (สำหรับบางกองทุน) และถ้าอยากได้เงินปันผลซึ่งหาไม่ได้จากทองคำแท่ง บางกองทุนก็สามารถจัดให้ได้



ในตอนนี้มีกองทุนทองคำให้เลือกลงทุนอยู่ 5 กองทุน จาก 5 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ได้แก่ ทหารไทย โกลด์ ฟันด์(TMBGOLD) บลจ.ทหารไทย, เค โกลด์ (K-GOLD) บลจ.กสิกรไทย, เอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล โกลด์ ฟันด์ (IGOLD) บลจ.เอ็มเอฟซี, อยุธยา โกลด์ (AYFGOLD) บลจ.อยุธยา และ ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ (GOLDFUND) บลจ.ทิสโก้



ทั้ง 5 กองทุนลงทุนในกองทุนแม่กองทุนเดียวกันคือ SPDR Gold Trust กองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จัดตั้งและจัดการโดยสมาพันธ์ทองคำโลก (World Gold Council) จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง คือ นิวยอร์กสิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละตลาดจะมีเวลาการซื้อขายและสภาพคล่องแตกต่างกัน



แต่ไม่ใช่ว่าทั้ง 4 กองทุนจะเหมือนกันทั้งหมดเพราะแต่ละกองทุนจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป อาทิ ตลาดที่เข้าไปซื้อขาย และนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน



บลจ.ทหารไทย และอยุธยา ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในประเทศ



แต่บลจ.กสิกรไทย บลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.ทิสโก้ เปิดทางให้ผู้จัดการกองทุนเลือกที่จะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้



โกลด์ ฟิวเจอร์ส



ของเล่นใหม่ของนักลงทุน และแม้ว่าโกลด์ฟิวเจอร์สจะเป็นเรื่องใหม่ แต่นพ.กฤชรัตน์ บอกว่าในช่วงนี้มีปริมาณการซื้อขายในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สเพิ่มมากขึ้น และนักลงทุนที่นิยมทองคำแท่งก็เข้ามาในตลาดนี้มากขึ้นด้วย



ฟิวเจอร์สทองคำ (Gold Futuers) หรือโกลด์ฟิวเจอร์ส เป็นสัญญาซื้อขายทองคำที่มีทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% เป็นสินค้าอ้างอิง



โกลด์ ฟิวเจอร์สก็เหมือนกับฟิวเจอร์สชนิดอื่นๆคือ นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในเวลาที่ทองคำเป็นขาขึ้นและขาลง แถมยังใช้เงินลงทุนต่ำกว่าการลงทุนทองคำโดยตรง เพราะการลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินตามมูลค่าทองคำที่ลงทุน แต่จะใช้วิธีการวางเงินหลักประกัน หรือที่เรียกว่า Margin



แต่ข้อเสียของโกลด์ ฟิวเจอร์ส คือ เป็นการลงทุนระยะสั้น เพราะแต่ละสัญญาจะมีระยะเวลาครบกำหนด และหากต้องการลงทุนต่อไปอีกก็ต้องใช้วิธีการ Roll Over ทำให้มีต้นทุนในการลงทุนเพิ่มขึ้น



นอกจากนี้ ถ้าคิดจะเข้าไปลงทุนคงจะไม่สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปได้ ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเสียก่อน เพราะการลงทุนทองคำในรูปแบบนี้มีความซับซ้อนมากกว่าแค่การซื้อทองคำแท่งมาเก็บแล้วรอเวลาขายทำกำไร ซึ่งในโอกาสหน้าเราจะมาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่ง



การลงทุนในหุ้น ผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษาด้วยตนเองที่ http://www.set.mut.ac.th/investor/investor_EQ/TSI_e_LearningIEQ.htm

และที่ http://www.tasimplified.com/joomla/index.php?option=com_content&view=article&id=144&Itemid=312



หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนเอาชนะค่าเงินในกระเป๋าได้บ้าง แต่ก่อนจะตัดสินใจลงทุนหรือใช้จ่ายเงินใดๆ ควรจะศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบก่อน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อน ตามคำขวัญที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ นั่นเอง



การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผู้อ่านสามารถเข้าไปศึกษาด้วยตนเองได้ที่

http://moneygenius.blogspot.com/2007/05/10.html และที่

http://www.konbaan.com/ZoneInvestor/investor-article.php?id=14

http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?t=960

http://www.bizkons.com/index.php/Course/RN101.html



และข้อมูลทางอื่นอีกมากครับ



นี่คือส่วนเสี้ยวเดียวของการลงทุนเอาชนะค่าเงินในกระเป๋า ยังมีการลงทุนด้านอื่นอีก เช่น การเปิดร้าน ทำธุรกิจ sme ต่างๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้มานำเสนอ ขึ้นอยู่กับผู้อ่านจะสนใจด้านไหน และต้องหาข้อมูล ศึกษาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง เพราะในโลกนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ที่จะสามารถทำตามกันแล้วประสบความสำเร็จได้เหมือนกันเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งปัจจัยภายในส่วนตัวของแต่ละบุคคล และปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อีกมาก ขึ้นกับความสามารถในการวิเคราะห์ และตัดสินใจของคุณแต่ละบุคคลนั่นเอง พระเจ้าที่ไหนก็ช่วยไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น