วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

ถอดรหัสโมเดลธุรกิจ "เลสเตอร์ซิตี้" สโมสรที่มูลค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้นสูงสุดในลีกอังกฤษ




ต๊อบอัยยวัฒน์วางจิ๊กซอว์ให้เลสเตอร์ ซิตี้ต่อยอดธุรกิจคิง เพาเวอร์ ควบโปรโมตท่องเที่ยวไทยผ่านช่องทางพรีเมียร์ลีกทั่วโลก ชี้ปัจจุบันมูลค่าสโมสรคาดพุ่งทะลุ 1 หมื่นล้านบาท เฉพาะสปอนเซอร์ก็มูลค่าเกิน 5 พันล้านบาทแล้ว เดินหน้าอัดฉีดงบราว 2 พันล้านบาทลงทุนหานักเตะ พร้อมเล็งขยายสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยมเพิ่มเป็น 4.2 หมื่นที่นั่ง ด้านวิชัยขอเวลา 5 ปีตั้งหลัก ยืนหยัดในพรีเมียร์ลีก สร้างความแข็งแกร่ง  นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้  เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่าการที่สโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถนำทีมขึ้นสู่ชั้นพรีเมียร์ลีกและยังคงยืนหยัดอยู่ได้ จะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างมูลค่าของทีม ซึ่งจะส่งผลดีในการต่อยอดธุรกิจของคิง เพาเวอร์ กรุ๊ปเอง ควบคู่ไปกับการ มีส่วนช่วย ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่จะขยายฐานการโปรโมตออกสู่นานาชาติเพิ่มขึ้น ผ่านช่องต่างๆของพรีเมียร์ลีกทั่วโลก ทั้งนี้หากให้ประเมินมูลค่าของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ในปัจจุบัน ผมว่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากที่คิง เพาเวอร์ซื้อกิจการมาเมื่อปี 2553 ด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์หรือราวกว่า 5 พันล้านบาท ขณะนี้คาดว่ามูลค่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 1 หมื่นล้านบาท จากขนาดของสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม 3.2 หมื่นที่นั่งกับแฟนบอลขนาดนี้ รวมถึงสปอนเซอร์ที่มีมูลค่าก็เกิน 5 พันล้านบาทไปแล้ว  ขณะที่ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ ในปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่มีกำไรราว 3-4 ล้านปอนด์หรือราว 159-212 ล้านบาท ที่ก็ยังไม่ได้มากมาย  เพราะเพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการประสบความสำเร็จในแง่ของการเข้ามาทำธุรกิจด้านนี้  แต่หากสโมสรอยู่ในพรีเมียร์ลีกนานแค่ไหน เงินลงทุนที่เราใส่ไปมากแค่ไหนก็จะกลับมามากเท่านั้น ซึ่งปีนี้ผมมองว่าสโมสรน่าจะปิดกำไรได้เพิ่มเป็นกว่า 10 ล้านปอนด์หรือราว 530 ล้านบาท  


เรื่องของการลงทุนและผลตอบแทนที่ได้รับ ก็จัดว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากจะดูกันจริงๆ ผมบอกกับคุณพ่อ (วิชัย ศรีวัฒนประภา) ว่าจริงๆเงินลงทุน เราได้คืนมาตั้งแต่วันที่สโมสรได้ขึ้นชั้นพรีเมียร์ลีกแล้ว เพราะจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อให้คนที่อยู่ในเมืองเลสเตอร์ออกมาฉลองกันมากถึง 2 แสนคน มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ จะทำอย่างไรให้คนรู้ว่าทีมเลสเตอร์มีคนเชียร์เยอะขนาดนี้ เท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้เหมือนกัน และผมบอกคุณพ่อว่า ซื้อโรงแรมในลอนดอน 1 โรงแรมคนไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักคิง เพาเวอร์หรอก จะซื้ออีก 10 โรงแรมก็ไม่มีคนรู้จัก อาจจะมีคนรู้ก็แค่คนในวงการโรงแรม แต่การซื้อทีมฟุตบอลในราคาเท่ากัน รีเทิร์นแค่เรื่อง ประชาสัมพันธ์และมาร์เก็ตติ้งก็เกินไปแล้ว และถ้ายิ่งอยู่นาน เรื่องเงินก็ได้อีก  นอกจากนี้เขายังฉายภาพต่อว่าการรักษาชั้นพรีเมียร์ลีก ของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ยังมีส่วนในการต่อยอดธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ ที่เราจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ ยกตัวอย่าง แต่ก่อนคนรู้จักแบรนด์คิง เพาเวอร์ อาจจะแค่คนไทยหรือคนที่เดินทาง แต่ว่าตอนนี้กลายเป็นคนรู้จักแบรนด์คิง เพาเวอร์และประเทศไทยไปพร้อมๆกัน มีมากขึ้น เขารู้แล้วว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนของโลก  ผ่านเรื่องราวที่สื่อถึงความเป็นไทยในสนาม ซึ่งมีการถ่ายทอดทางทีวีไปทั่วโลก  เฉพาะคนจีนจะรู้จักเราเพิ่มขึ้น เพราะคนจีนดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ผมเชื่อว่าเกิน 500 ล้านคน เมื่อเขาดูมาก เห็นโฆษณาของคิง เพาเวอร์และแบรนด์อเมซิ่งไทยแลนด์ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ในสนามก็เหมือนกับการประชาสัมพันธ์ที่ทำให้ทราบถึงธุรกิจของคิงเพาเวอร์และความน่าสนใจของการท่องเที่ยวไทยและตัดสินใจซื้อสินค้าของคิงเพาเวอร์เมื่อเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดียวกับคนจากประเทศต่างๆในโลกหรือแม้แต่แฟนบอลในเลสเตอร์เองก็อยากมาเที่ยวเมืองไทย อีกทั้งแม้แต่ตอนนี้เวลาผมเดินทางไปประชุมกับซัพพลายเออร์แบรนด์สินค้าดังๆของโลกเช่นกุชชี่ชาแนลเขาไม่คุยเรื่องยอดขายของคิงเพาเวอร์แต่คุยเรื่องฟุตบอลก่อนแสดงว่าเขารู้ว่าคิงเพาเวอร์เป็นเจ้าของและมองว่าเราจริงจังกับการดำเนินธุรกิจในทุกด้านๆแสดงว่าแบรนด์คิงเพาเวอร์เป็นที่รู้จักไปแล้ว รวมทั้งยังจะมีการขยายไลน์สินค้า  ภายใต้แบรนด์เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีการพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น  เพื่อขยายรายได้จากการขายสินค้าที่ระลึกแบรนด์เลสเตอร์ ซิตี้ เช่น เสื้อ  ที่นอกเหนือจากช็อปขายสินค้าที่ระลึก ในสนามฟุตบอล เมืองเลสเตอร์แล้ว ก็ยังมีการขายในดิวตี้ฟรีและแท็กฟรี ของคิง เพาเวอร์ในไทย ทั้งดาวน์ทาวน์และในสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ก็ยังมีช็อป เลสเตอร์ ซิตี้ ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยามบีทีเอส สยามซึ่งจะรองรับกลุ่มแฟนคลับของเลสเตอร์ ซิตี้ ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันเฉพาะคนไทย มีผู้ติดตามเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ของเลสเตอร์ ซิตี้ แล้วถึง 1.6 แสนคน อย่างไรก็ตามปัจจุบันการขายเสื้อ หรือสินค้าที่ระลึกอื่นๆของแบรนด์สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ อาจจะยังไม่ใช่รายได้หลัก เพราะจริงๆรายได้หลักของสโมสรมาจากสปอนเซอร์ มูลค่าของตัวนักเตะ รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ซึ่งพรีเมียร์ลีก จะมีการเปิดประมูลใหม่ จากเดิมที่ให้อยู่ที่ 65 ล้านปอนด์ (3,445 ล้านบาท) เพิ่มมาเป็นเกือบ 100 ล้านปอนด์ (5,300 ล้านบาท) ก็จะทำให้สโมสรมีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น ส่วนการขายสินค้าที่ระลึก คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปีเมื่อทีมอยู่ในพรีเมียร์ลีกนานเท่าไหร่ แฟนคลับจะมากขึ้นเรื่อยๆ การขายเสื้อก็จะมากขึ้น ซึ่งรายได้ของสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ณ วันนี้ที่อยู่ในพรีเมียร์ลีก อยู่ที่ 120 ล้านปอนด์ หรือราว 6,360 ล้านบาท เพิ่มจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ในลีกแชมเปียนชิพ มีรายได้อยู่ที่ราว 10 ล้านปอนด์หรือราว 530 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็เพิ่มขึ้นมาหลายร้อยเท่าตัว   ดังนั้นการสร้างทีมให้ยืนหยัดอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้ จึงถือเป็นเป้าหมายในการบริหารทีมเลสเตอร์ ซึ่งผลการแข่งขันมีความสำคัญ ที่ต้องทำให้เต็มที่ โดยในปีนี้จะใช้งบลงทุนราว 30-40 ล้านปอนด์ (ราว 1,590 -2,120 ล้านบาทในการลงทุนกับตัวนักเตะ  ซึ่งก็เริ่มมองนักเตะที่มีความสามารถมากกว่านี้ รวมถึงนักเตะที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยในทีมมากขึ้น การปรับปรุงสนามที่ก็ต้องดำเนินการทุกปี รวมถึงการขยายการลงทุนขยายจำนวนที่นั่งในสนามฟุตบอลเพิ่มอีกราว 1 หมื่นที่นั่ง จาก 3.2 หมื่นคนเพิ่มเป็น 4.2 หมื่นคน ที่จะเริ่มขออนุญาตในปีหน้า ลงทุนราว 2-3 ล้านปอนด์ หรือราว 106 -159 ล้านบาท  ด้านนายวิชัย  ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้  กล่าวว่า ปีนี้เป็นแรกที่เข้ามาแข่งขันในพรีเมียร์ลีก ประสบการณ์การแข่งขันอาจจะน้อยกว่าคนอื่น ทำให้ผลการแข่งขันอาจจะทำให้คนไทยลุ้นว่าต้องหนีการตกชั้น แต่จากการแข่งขันที่เกิดขึ้นและการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ทำให้ทีมรู้แล้วว่าจุดอ่อนจุดแข็งอยู่ตรงไหน ดังนั้นแผนจากนี้คือขอเวลา 5 ปี เพื่อตั้งหลักก่อน ยืนหยัดในพรีเมียร์ลีก อยู่ในอันดับ 10 กว่าๆก็พอใจแล้วทำทีมให้แข็งแรงเพื่อให้เติบโตแบบยั่งยืนในพรีเมียร์ลีก เนื่องจากเราไม่ได้มีเงินมากเหมือนทีมอื่นๆที่จะไปซื้อนักเตะค่าตัวแพงๆ ส่วนใหญ่จะเน้นการพัฒนานักเตะจากศูนย์ฝึกเลสเตอร์ ซิตี้ อะคาเดมี่ ของสโมสรมากกว่า ทั้งยังให้โอกาสเด็กไทย 16 คนเข้ามาร่วมฝึกที่อคาเดมี่แห่งนี้ เพื่อหวังว่าอนาคตจะมีเด็กไทยเข้ามาเล่นในพรีเมียร์ ลีก  รวมถึงมองการหานักเตะที่มีประสบการณ์มาเสริมเข้ามาเสริม ที่ก็หารืออยู่ 4-5 คนซึ่งปีหน้าน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา  (เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากบทความ “คิงพาวเวอร์ โหน เลสเตอร์ ต่อยอดธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจออนไลน์, 9 มิถุนายน 2558)

ก่อนหน้านี้เมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบปัญหาทางการเงินหนักมาก่อนเช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลทีมอื่นๆ ของ อังกฤษ แต่ความสามารถในการบริหารจัดการอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่มีแผนระยะ 3 ปี เป็นตัวกำหนดทิศทางทั้งด้านการปรับสถานะทางการเงิน ทางธุรกิจ และผลงานการเงินของทีมดูจาก ประการแรก การที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ประสบความสำเร็จในฤดูกาล 2008-2009 ที่ผ่านมา จึงได้รับการปรับสถานะอัตโนมัติให้กลับไปอยู่ในกลุ่มแชมเปียนชิปได้ในที่สุด  ประการที่สอง สโมสรสามารถลดผลขาดทุนได้ถึง 57% จาก 6 ล้านปอนด์ ในปี 2009 และ 14 ล้านปอนด์ในปี 2008 มีความพยายามบริหารงานอย่างรอบคอบระมัดระวัง เมื่อมีการคาดหมายว่ายอดรับจะลดลง เนื่องจากรายรับจากการถ่ายทอดการแข่งขัน  ระดับรายรับรวมของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ลดลงจาก 14.1 ล้านปอนด์ในปี 2008 เหลือ 10.9 ล้านปอนด์ในปี 2009 ขณะที่ค่าใช้จ่ายประจำของสโมสรก็ลดลง ทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับนักเตะ  ประการที่สาม ภาระหนี้สินของสโมสรแห่งนี้ก็ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิหลังหักหนี้สินหมุนเวียนดีขึ้นจาก 10.9 ล้านปอนด์ เป็น 16.1 ล้านปอนด์ และสินทรัพย์รวมสุทธิก็เพิ่มขึ้นจาก 5.5 ล้านปอนด์ เป็น 13 ล้านปอนด์  ประการที่สี่ ประธานของสโมสรได้อัดฉีดเงินก้อนใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงสโมสรเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านปอนด์  ในบรรดาผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้ง 4 ประการข้างต้น ประเด็นที่ถือว่าทำให้สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ สามารถเรียกคืนภาพลักษณ์และชื่อเสียงได้ค่อนข้างมาก คือ ประเด็นเรื่องหนี้สินที่ลดลง ทั้งนี้เพราะแทบไม่มีสโมสรฟุตบอลอังกฤษรายใดเลยที่ทำได้ แม้ว่าโดยภาพรวมแล้วเลสเตอร์ ซิตี้ จะยังเป็นสโมสรที่ประสบกับผลขาดทุนโดยรวมก็ตาม นอกจากนั้น การที่รายรับโดยรวมของเลสเตอร์ ซิตี้ ลดลงไป ก็ไม่ใช่ว่าเกิดกับสโมสรนี้เพียงแห่งเดียว แต่เป็นผลกระทบจากความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นกับแทบทุกสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ และเป็นปัจจัยที่มาจากสภาพตลาดภายนอก ซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถในการควบคุมของสโมสรฟุตบอลเพียงรายใดรายหนึ่ง ทุกสโมสรจึงอยู่ในภาระจำยอมรับสภาพดังกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก การลดลงของรายได้ยังอาจมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีขึ้นมากนัก แฟนคลับจึงพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ดูได้จากจำนวนผู้ชมลีกโดยเฉลี่ยเหลือ 20,250 คนจาก 23,500 คน ในฤดูกาลก่อนหน้า และยอดการขายตั๋วในช่วงฤดูกาลก็ลดลงเป็น 11,600 ใบ จาก 13,965 ใบ ในช่วงฤดูกาลแข่งขันช่วงก่อนหน้านั้น  ฝ่ายปฏิบัติการของสโมสรที่ถือว่าเป็นหัวหอกสำคัญของการปรับปรุงการดำเนินงานครั้งนี้และทำงานอย่างหนักในการพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรักษาฐานรายได้ไว้เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานโดยรวมลดลงได้ตามความคาดหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับนักเตะลดลงถึง 3.3 ล้านปอนด์ เหลือ 11.2 ล้านปอนด์ จาก 14.5 ล้านปอนด์ ในปีก่อนหน้า ขณะที่สโมสรสามารถผลักดันให้มูลค่าทางการตลาดของตัวนักเตะเพิ่มขึ้นได้ ด้วยการสนับสนุนนักเตะหนุ่มที่มีพรสรรค์ในการพัฒนาเป็นนักเตะมืออาชีพและสร้างผลงานในระดับที่เป็นเลิศได้  สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ บริหารจัดการเรื่องของการพัฒนานักเตะที่เป็นเด็กสร้างของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม มีโปรแกรมที่ถือว่าเป็นโปรแกรมเสริมทักษะฟุตบอลที่จัดให้เป็นการเฉพาะกับทีมคนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสแก่นักเตะกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น  ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในเกณฑ์ที่โดดเด่นกว่าสโมสรฟุตบอลอังกฤษอีกหลายทีมก็คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องของการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างเอาจริงเอาจัง และการวางระบบควบคุมทางการเงินที่เข้มงวดเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าสโมสรจะกลับมาเป็นทีมที่มีความสามารถในการทำกำไรได้อีกครั้งหนึ่ง ภายใต้แผนกลยุทธ์พลิกฟื้นกิจการ 3 ปีที่กล่าวมาแล้ว  การใช้สภาวะความเป็นผู้นำในการบริหารสโมสรได้อย่างเหมาะสมทำให้ทุกคนในทีมมีความผูกพันและพันธะสัญญาร่วมกันที่จะทำให้สโมสรได้รับการยอมรับให้อยู่ในกลุ่มที่มี เสถียรภาพทางการเงินและการดำเนินงานที่เป็นโมเดลทางธุรกิจฟุตบอลที่ยั่งยืน และใช้ปัจจัยดังกล่าวนี้เป็นการส่งเสริมและสร้างความก้าวกระโดดของสโมสรไปสู่ระดับของพรีเมียร์ลีก สิ่งที่นักวิเคราะห์ทางการเงินและนักลงทุนพอใจต่อเลสเตอร์ ซิตี้ คือ การเน้นการวางแผนในระยะยาวแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ อย่างเดียว  จากงบการเงินจะเห็นว่า มูลค่าของสินทรัพย์ถาวรของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า แม้ว่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิจะยังเป็นลบเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาระหนี้สินที่มีระยะครบกำหนดภายใน 1 ปี อยู่ในเกณฑ์สูงถึง 17.2 ล้านปอนด์ แต่สินทรัพย์สุทธิหลังจากหักภาระหนี้สินระยะยาว ถ้าเปลี่ยนจากที่เคยติดลบ 5.5 ล้านปอนด์ เป็นบวก 13.0 ล้านปอนด์  นอกจากนั้นผลขาดทุนสะสมทางบัญชีที่ยังมีจำนวนสูงมากถึง 26.7 ล้านปอนด์ แม้ว่าส่วนของผู้ถือหุ้นจะเป็นบวก 13.0 ล้านปอนด์ จากที่เคยติดลบ 5.5 ล้านปอนด์  ภาระหนี้สินที่มียอดหนี้คงค้างสูงน่าเป็นเหตุผลให้สโมสรแห่งนี้ต้องการแสวงหานักลงทุนที่จะสามารถอัดฉีดเงินเข้ามาช่วยเหลือเพื่อลดยอดหนี้ได้ตามเงื่อนไข (เครดิตอ้างอิง : คัดลอกจากบทความ "กลุยุทธ์ 3 ปีฟื้นกิจการ พลิกสถานะการเงินทีมเลสเตอร์ ,ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์, 3 กันยายน 2553)  
ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น สำหรับกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ในการเข้าไปถือหุ้นใหญ่สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ของอังกฤษ จากนั้นก็พาทีมสุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์ไทย ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ลีก แชมเปียนชิพ ฤดูกาล 2013-14 พร้อมกับก้าวขึ้นสู่ศึกพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีในฤดูกาลหน้าได้เป็นที่เรียบร้อย


นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสร และนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร ได้ให้รางวัลกับนักเตะ ซึ่งนำโดยแคสเปอร์ ชไมเคิล นายทวารทีมชาติเดนมาร์ก ลูกชายของปีเตอร์ ชไมเคิล อดีตสุดยอดนายทวารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดวิด นูเจนท์ เจมี วาร์ดี และเวส มอร์แกน กัปตันทีม โดยมีไนเจล เพียร์สัน เป็นผู้จัดการทีม ที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดปี ด้วยการพามาพักผ่อนหย่อนใจที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต เมื่อระหว่างวันที่ 8-14 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งบรรดาผู้เล่นของทีมต่างแฮปปี้ถ้วนหน้าพร้อมกันนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ยังได้นำถ้วยแชมป์ลีก แชมเปียนชิพ มาให้เราได้ชื่นชมกันด้วย เพื่อขอบคุณที่ช่วยกันเชียร์และสนับสนุนทีมของชาวไทยมาตลอด  สำหรับอนาคตของทีมสุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์ไทยจากนี้ไป แน่นอนว่ามูลค่าของทีมจะมีสูงขึ้นทันที!!!  ด้วยเพราะพรีเมียร์ลีก เป็นที่ทราบดีว่า เป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีผู้ชมมากที่สุดในโลก เลสเตอร์ ซิตี้ จะได้ประชันฝีเท้ากับสุดยอดทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ปีล่าสุด ลิเวอร์พูล รองแชมป์ เชลซี อาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะนำมาซึ่งรายได้ที่มากมายมหาศาลหลายเท่าตัวนัก  รายได้หลักๆที่จะถีบตัวมากขึ้น จะมาจากค่าตั๋วเข้าชมจากแฟนบอล การจำหน่ายของที่ระลึก รายได้จากบริษัทผู้สนับสนุนสโมสร ที่จะหลั่งไหลเข้ามา ซึ่งจะครอบคลุมการขายลิขสิทธิ์ในการนำเครื่องหมายการค้าของสโมสรไปผลิตและจำหน่ายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆทั่วโลก ซึ่งก็จะสามารถนำเงินที่ได้มาจ้างผู้เล่นดีๆเข้าทีมมาเสริมความแข็งแกร่งได้อีก  ส่วนรางวัลและส่วนแบ่งจากลิขสิทธิ์การถ่าย ทอดสด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรายได้ ก็จะได้เข้าสโมสรอีกไม่น้อย โดยจากตัวเลขของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่เพิ่งจบไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รับเงินรางวัล 24 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด 98 ล้านปอนด์ ส่วนลิเวอร์พูล ได้เงินรางวัล 22 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด 99 ล้านปอนด์ ขณะที่คาร์ดิฟ ซิตี้ อันดับ 20 ได้เงินรางวัล 1.2 ล้านปอนด์ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดอีก 64 ล้านปอนด์  ที่สำคัญไปกว่านั้น การที่ทีมมีเจ้าของเป็นชาวไทย จะมีมูลค่าที่สูงแตกต่างออกไป ตรา คิง เพาเวอร์บริษัทของไทย ที่คาดอยู่ที่หน้าอกเสื้อแข่ง จะทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่ว ซึ่งตรงนี้ถือว่ามีส่วนเกี่ยวของกับไทยเราโดยตรง เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก  ขณะที่การประชาสัมพันธ์ สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ นายอัยยวัฒน์กล่าวว่า เราต้องการให้ชาวไทย ได้มีส่วนร่วมกับการสนับสนุนทีมสุนัขจิ้งจอกสายพันธุ์ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงได้เตรียมแผนประชาสัมพันธ์ไว้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแฟนเพจ และมีแผนที่จะให้เลสเตอร์ ซิตี้ มาโชว์ฝีเท้าในไทย ช่วงเดือน ก.ค.นี้ โดยจะมีทีมดังจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือสโมสรในยุโรปมาเป็นคู่ต่อสู้  ผมรู้ว่าแฟนบอลชาวไทย มีทีมในพรีเมียร์ลีก เชียร์เป็นหลักอยู่แล้ว แต่การที่เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมของคนไทย ก้าวขึ้นสู่ลีกสูงสุดของอังกฤษ ก็อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม อย่างน้อยขอให้เลสเตอร์เป็นทีมที่ 2 ที่แฟนบอลจะร่วมเชียร์ไปด้วยกัน ก็จะเป็นเรื่องดีทีเดียว เราจะค่อยๆสร้างแฟนคลับของทีมให้มีมากขึ้น คิดว่าถ้ามีแฟนบอลเชียร์เลสเตอร์ได้ 20 เปอร์เซ็นต์จากกว่า 10 ล้านคนที่ดูฟุตบอล ก็ถือว่าประสบความสำเร็จรองประธานเลสเตอร์ ซิตี้ กล่าว  “พาทีมขึ้นชั้นได้แล้ว จำนวนแฟนคลับที่ต้องการให้มีเพิ่มขึ้น ถือเป็นเป้าหมายต่อไปที่นับว่าท้าทายไม่น้อย...” 

ข้อมูลโดยสังเขปของทีม :

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี (อังกฤษ: Leicester City Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองเลสเตอร์ ในแคว้นเลสเตอร์เชอร์ ประเทศอังกฤษ ตามสถิติของสโมสร ส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ใน 2 ดิวิชั่นสูงสุดของอังกฤษ ยกเว้นเพียงปีเดียวในฤดูกาล 2008-09 ที่ตกชั้นจากฟุตบอลลีกแชมเปียนชิพไปเล่นในฟุตบอลลีกวัน แต่ก็ได้แชมป์และเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกแชมเปียนชิปในปีถัดมา สโมสรเคยมีอันดับสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของดิวิชัน 1 ในฤดูกาล 192829

เลสเตอร์ซิตีก่อตั้งในปี ค.ศ. 1884 ใช้ชื่อว่า เลสเตอร์ฟอสส์ (Leicester Fosse) ตามชื่อถนนที่สนามเหย้าในขณะนั้นตั้งอยู่  และเข้าร่วมสมาคมฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่ปี 1890  พร้อมกับย้ายมาใช้สนามที่ถนนฟิลเบิร์ต ตั้งแต่ปี 1891 สโมสรใช้สนามที่ถนนฟิลเบิร์ตเป็นสนามเหย้ามาเป็นเวลา 111 ปี  จึงย้ายมาอยู่ที่สนามฟิลเบิร์ตเวย์ ขนาด 32,500 ที่นั่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกันตั้งแต่ปี 2002 ปัจจุบันสนามแห่งนี้ใช้ชื่อว่า วอล์กเกอร์ส สเตเดี้ยม มาจากชื่อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว Walkers ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก และหลังจากการเข้าซื้อกิจการโดยกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์จากประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2010 ก็ได้มีโครงการขยายความจุของสนามเป็น 42,000 ที่นั่ง และเปลี่ยนชื่อเป็น "เดอะ คิงเพาเวอร์ สเตเดียม" สโมสรเคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ในปี 1949  และอีกสามครั้งในปี 1961, 1963, 1969  ไม่เคยได้รับตำแหน่งแชมป์ ในเดอะ แชมเปี้ยนส์ชิพ ฤดูกาลที่ 201314 เลสเตอร์ซิตีได้แชมป์ เดอะแชมเปี้ยนชิพ แต่ต่อมาในช่วงทัวร์ปรีซีซั่นที่เมืองไทยได้มีข่าวว่า ทอม ฮอปเปอร์, อดัม สมิธ และ เจมส์ เพียร์สัน มีเซ็กซ์กับหญิงชาวไทยและพูดเชิงเหยียดหยามเชื้อชาติ ที่สุดทางสโมสรต้องขับไล่นักฟุตบอลทั้ง 3 คนนี้ออกไป และต่อมาไม่นาน ทางสโมสรก็ได้ตัดสินใจปลด ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมออก เนื่องจากในฤดูกาล เลสเตอร์ซิตีอยู่ในตารางคะแนนลำดับท้าย ๆ นานถึง 140 วัน ถึงแม้ว่าเพียร์สันจะสามารถพาสโมสรชนะ 7 นัด จาก 9 นัดหลังสุดจนกระทั่งจบฤดูกาลด้วยอันดับ 14 ทำให้รอดพ้นจากการตกชั้นก็ตาม และได้แต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี ชาวอิตาเลียน อดีตผู้จัดการสโมสรเชลซี เข้ามารับตำแหน่ง ด้วยสัญญา 3 ปี  อดีตนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของสโมสร ได้แก่ กอร์ดอน แบงส์ (19591967), ปีเตอร์ ชิลตัน (19661974), แกรี ลินีเคอร์ (19781985), เอมิล เฮสกี (19942000) และร็อบบี้ ซาเวจ (19972002) สโมสรตั้งอยู่ในภาคมิดแลนด์สตะวันออกของอังกฤษ และถือว่าทีมคู่แข่งร่วมภูมิภาค ได้แก่ ดาร์บีเคาน์ตี และนอตติงแฮมฟอเรสต์ แต่ทีมที่ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญ คือโคเวนทรีซิตี ที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในภาคมิดแลนด์สตะวันตก ซึ่งถือว่าอยู่คนละภูมิภาคกันและอยู่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็อยู่ห่างออกไปเพียง 24 ไมล์ หรือประมาณ 38.6 กิโลเมตร และทั้งสองเมืองเชื่อมต่อกันด้วยทางหลวงสาย M69  สื่อจึงมักขนานนามการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมว่า เอ็ม 69 ดาร์บี้แมตช์
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น