วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

กาเหว่าอึกทึก EP. 6


กาเหว่าอึกทึก


EP.6  คดีนายธรรม  ต่อ


ที่สวนหลังบ้านของป้าอรกับนายธรรม นายกล้าเห็นคุณหนูพะนอนิจเดินเลาะสวนเข้ามาเกือบถึงตัวบ้านแล้ว จึงรีบไปดักไว้ก่อน แล้วพาไปหลังสวน เพื่อพูดคุยกัน

“คุณหนูมาทำไมครับที่นี่ แล้วมีใครตามมาหรือเปล่า”

“ไม่มี .....ฉันระแวดระวังเป็นอย่างดี ฉันจะมาบอกพี่กล้าว่า ตอนนี้ตำรวจได้ออกประกาศและหมายจับตัวพี่ไปทั่วพระนครแล้ว ทางที่ดี พี่กล้าต้องรีบลงมือได้แล้ว ก่อนที่ตำรวจมันจะแกะรอยสืบมาถึงที่นี่เสียก่อน”

“แต่ว่า คุณหนู ตอนนี้ ผมยังหาเหยื่อไม่ได้ ขอเวลาผมอีกซักหน่อยเถอะครับ”

“พี่กล้า ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ไอ้ทัพ หมอผีนั่นตายแล้ว แผนการเดิมเราพังแล้ว เราต้องหาเหยื่อใหม่มาทดแทน ซึ่งตอนนี้ ก็ไม่มีใครเหมาะสมเท่า ครอบครัวนี้........ นายธรรม”

“ไม่ได้นะ คุณหนู น้องธรรม เป็นคนดี เขาช่วยชีวิตพี่เอาไว้ พี่ฆ่าเขาไม่ได้หรอก”


ระหว่างที่นายกล้า กับพะนอนิจ กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พอดีนายธรรม ลาราชการทหารกลับมาที่บ้านพอดี กำลังเดินลัดเลาะเข้ามาทางสวนหลังบ้าน แต่เหลือบเห็นมาแต่ไกลว่า มีผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งกำลังยืนสนทนาอยู่กับใครคนหนึ่ง ซึ่งยืนหันหลังให้ เขาจึงก้มหลบเพื่อแอบดู จึงพบว่าผู้หญิงคนดังกล่าว กำลังยืนสนทนาอยู่กับพี่เก่ง คนที่ตนเองช่วยเหลือให้รอดจากการถูกยิง แล้วกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่ว่าธรรมกำลังสงสัยว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครและคุยอะไรกับพี่เก่ง ดูท่าทีโกรธเกรี้ยว และได้ยินคำๆหนึ่ง ดังมาแต่ไกล แว่วๆ ว่า “ต้องฆ่ามัน”  ทันที  ซึ่งธรรมเองก็รู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าบทสนทนาของคนทั้ง 2 คนนั้น จะมีคำว่าฆ่าแกงกันด้วย และไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันด้วยเรื่องอะไร เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ธรรมฉุกคิดขึ้นได้จึงรีบก้าวเดินจากไปโดยเร็ว แต่พลันเดินไปสะดุดขอนไม้ ทำให้มันกระเด็นตกน้ำคลองไป จึงเกิดเสียงดังขึ้น ทั้งพะนอนิจและนายกล้า หันไปตามเสียง โดยมิได้นัดหมาย

“มีคนแอบฟังเราคุยกัน”

“เดี๋ยว ผมวิ่งไปดู แป๊บนึง” นายกล้ารีบวิ่งไปดูตามเสียง เหมือนมีสิ่งใดอยู่แถวๆ พุ่มไม้ใกล้ๆ ลำคลอง แต่เมื่อวิ่งไปถึงก็ไม่พบเจอใคร มีเพียงรอยเท้า ซึ่งมีลักษณะเหมือนรองเท้าท็อปบู๊ต ซึ่งเป็นรอยฝังอยู่บนดินโคลน ไม่ใช่ลักษณะรอยเท้า หรือรอยของรองเท้า โดยทั่วไป ทำให้นายกล้าสงสัยไปถึงนายธรรม ซึ่งเป็นพลทหาร ซึ่งในละแวกนี้ ก็ไม่มีใครรับราชการทหาร นอกจากนายธรรม และวันนี้ ก็เป็นวันถึงกำหนดที่เขาจะกลับมาเยี่ยมป้าอร

“คุณหนู กลับไปก่อน ไว้เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”

“พี่กล้า ปล่อยไว้ไม่ได้นะ มันได้ยินเราสนทนากัน และพบเห็นฉันแล้วด้วย หากมันไปฟ้องตำรวจ พวกเราเสร็จ แผนการที่ทำกันมาก็ต้องล้มเหลวทั้งหมด....พี่กล้าต้องรับปากฉันก่อนว่าจะจัดการนายธรรมทันที ไม่เช่นนั้น หนอไม่กลับอย่างเด็ดขาด”

“ก็ได้ ผมมีวิธีแล้ว คุณหนูกลับไปก่อน แล้วเมื่อเสร็จงาน ผมจะไปหาคุณหนูเอง”

นายธรรม เมื่อกลับถึงบ้าน ก็รีบถอดรองเท้าบู๊ตทหารออก และรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ขึ้นไปกราบป้าอรทันที
“เอ้า...ไอ้ธรรม แกกลับมาแล้วเหรอ”

“ครับป้า” 

“ไปอาบน้ำ อาบท่าก่อนสิ แล้วกินอะไรมาหรือยังหล่ะ”

“ยังครับ ผมไม่หิวจ้ะ”

“เออ....ป้าเพิ่งจะคุยกับไอ้เก่งมันว่า จะให้มันอาศัยอยู่ที่นี่ไปซักพัก จนกว่ามันจะหาบ้านเช่าได้”

“ป้าๆ ฉันว่า ให้พี่เก่งเขาออกจากบ้านเราไปอ่ะดีแล้ว อย่าไปรั้งเขาไว้เลย.....”

“เอ้า....มึงเป็นห่าอะไรของมึง สัปดาห์ก่อน มึงยังมาขอร้องกูอยู่เลยว่า ให้ไอ้เก่งมันพักอยู่ที่บ้านแบบไม่มีกำหนดเถอะนะ สงสารพี่เก่งมัน เห็นว่าไม่มีญาติที่ไหน และกำลังรอหางานทำอยู่ ถ้าได้งาน ก็คงตกเบิกเงินค่าจ้าง ไปจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านได้ แล้วถึงตอนนั้นค่อยไป”

“เอ่อ....ก็ตอนนั้น ฉันยังไม่ได้มีใครมาอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนป้านี่จ๊ะ แต่ตอนนี้ ฉันว่าจะเอาเพื่อนที่อยู่กรมอู่ด้วยกัน มานอนที่บ้านด้วย มันบอกว่าจะมาช่วยออกแรงซ่อมบ้านให้เรา ฉันก็เลยชวนมันพักอยู่ด้วยกันไปเลย ไม่ต้องเดินทางไปมา”

“เอ้า....ตกลงนี่มึงจะไปเอาใครมาพักที่บ้านอีกเหรอ”

“ก็เพื่อนของฉันที่เกณฑ์ทหารมาด้วยกัน คุยถูกคอ เลยจะขอให้มันมาช่วยแรงฉันซ่อมบ้านไง”

“นี่มึงก็เลยจะอัปเปหิ ให้ไอ้เก่ง ออกไปเลยเหรอ ไหนมึงบอกว่ามันน่าสงสารไง แล้วมันจะไปอยู่ที่ไหนหล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับป้าอร ผมอาจจะไปอยู่ที่บ้านของนายเก่าผมก่อน ท่านคงเมตตาผมได้หน่ะครับ ธรรม พี่ขอเวลาอีกซัก 2-3 วันนะ แล้วพี่จะไปเอง”

“เอ่อ....พี่เก่ง ผมไม่ได้ไล่พี่นะ พอดีว่าผมมีเพื่อนที่จะมาพักค้างแรม เขาจะมาช่วยฉันเป็นลูกมือซ่อมบ้านหน่ะ”

“ฉันเข้าใจ...ยังไงฉันก็ต้องไปอยู่ดี แล้วนี่นายกินอะไรมาหรือยัง ฉันหุงข้าวเอาไว้ และมีแกงเหลืออยู่ 1 ถุง เอาไปกินสิ”

“ไม่หรอกครับ ผมทานมาแล้ว ผมไม่หิว พี่เก็บไว้ทานเถอะ”


จากคำพูดคำจา และท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ป้าอร เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติของนายธรรม หลานของตนเอง ที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีที่สนิทสนมกับนายเก่ง ดูราวกับเป็นเพื่อนซี้ คบกันมานาน แต่วันนี้ดูมีท่าทีเปลี่ยนไป ราวกับมีเรื่องระหองระแหง โกรธกันหรือเปล่า ซึ่งป้าอรก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจ ไม่กล้าเอ่ยถามคนทั้ง 2  ส่วนนายกล้า (ในคราบของเก่ง) ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า นายธรรมคงจะแอบได้ยินการสนทนาระหว่างตนกับพะนอนิจ ทำให้เริ่มระแวงสงสัย และเปลี่ยนแปลงท่าทีไปเลย จากที่เคยสนิทสนม คุยเล่นด้วย เป็นวางมาดขรึม ไม่ค่อยพูดจา และดูมีท่าทีระวังตัวอยู่ตลอดเวลา


คืนนั้น นายกล้า ที่นอนอยู่ในห้องนอนเดียวกับนายธรรม เมื่อถึงกลางดึก จึงลุกขึ้น แล้วเดินออกไปให้ไกลจากบ้านของป้าอรและนายธรรม พอพ้นจากเขตที่จะทำให้ผู้คนได้ยิน หรือแอบตามสะกดรอยตามมาได้ กล้าโทรศัพท์ไปหาใครบางคน

“พี่คล้ายใช่มั๊ย ฉันไอ้กล้านะ จำได้มั๊ย”

“เอ้า...ไอ้กล้า เป็นอย่างไรบ้าง แกหายไปนานเลยนะ ตั้งแต่ออกจากคุกมาด้วยกัน แกไม่เคยติดต่อพี่ไปสังสรรค์เฮฮากันเลยนะ”

“ก็นี่ไง ฉันโทร.มาแล้ว ฉันอยากนัดเจอพี่แถวหน้าตลาดพรานนก เราต้องอำพรางตัวนิดหน่อยนะ”

“เอ้าทำไมหล่ะ มีเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรเหรอ น้องชาย”

“ฉันมีงานให้พี่ทำ ถ้าสำเร็จ ฉันมีสินจ้างรางวัลให้แก่พี่ด้วย”

“เรื่องอะไรวะ”

“พี่มาเจอฉันก่อน แล้วฉันค่อยบอกรายละเอียดอีกที”


หลังจากวางสายไป วันรุ่งขึ้น นายกล้าก็ไปพบเจอกับนายคล้าย ตามสถานที่ที่ได้นัดหมายไว้ และมีการพูดคุยเจรจากัน จากนั้นนายกล้าก็กลับมาถึงเรือนป้าอร พบเห็นป้าอรกำลังก้าวลงบันไดมาข้างล่าง และกำลังตะโกนเรียกนายธรรม อยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับจากนายธรรมกลับมา

“ไอ้ธรรม มึงไปไหนของมึงวะ ช่วงนี้ดูแปลกๆ นะมึง ปกติ ตอนเช้าจะมาบีบนวดเอาอกเอาใจกู นี่แม่งหายหัวไปไหนแต่เช้าก็ไม่รู้”

“ป้าอรครับ ให้ผมนวดให้ป้าแทนได้มั๊ยครับ ผมว่างอยู่พอดี”

“เอ้า....ไอ้เก่งหรอกเหรอ มึงเห็นไอ้ธรรมมั๊ย ทำไมมันหายหัวไป ไม่ตอบกูเลย”

“อ๋อ .....เมื่อเช้า ผมเห็นธรรม มันรีบร้อนแต่งตัวด้วยชุดทหาร สงสัยเขาเรียกให้กลับกรมกอง มันก็เลยรีบไป โดยไม่ได้บอกป้าอรหน่ะ”

“แหม ไอ้หลานเวรนี่ จะบอกกล่าวให้กูรู้ซักหน่อย ก็ไม่ได้”

“สงสัย ธรรม มันเห็นป้าอรยังไม่ตื่น ก็เลยไม่ได้บอกกล่าว เพราะธรรมมันมีท่าทีเร่งรีบมากเลย”

“อืมม์...ถ้างั้น มึงมานวดให้กูหน่อยก็ดี กูเมื่อยหลังเต็มทนแล้ว”


ที่กองบัญชาการสืบสวน สอบสวนกลาง พระนคร วันนี้หมวดแชน เข้ามารายงานผลการสืบคดีฆาตกรต่อเนื่องที่เกี่ยวเนื่องกับคดีของน.ส.หวา ให้สารวัตรเดช ได้รับทราบ

“เอาหล่ะ ขอบใจนายมาก และนั่นคือขนมที่เมียฉันทำ เอามาฝาก ให้พวกนายได้ชิมดู”

“ขนมกุฏีจีน อีกแล้วเหรอครับเนี่ย ผมเห็นศพ น.ส.หวาที่อยู่ในเตาอบ ภาพยังจำติดตาผมอยู่เลยครับ สารวัตร แล้วนี่ยังเอาขนมกุฏีจีน มาให้ผมทานอีกเหรอครับ”

“ทำไม กินไม่ลงงั้นเหรอ โอเค งั้นนายมีตัวช่วยแล้ว เด็กอ้วนนั่นกินขนมแกซะเกือบหมดแล้วนั่น”

“ฮะ...เฮ้ยไอ้อ้วน นี่แกเป็นใครวะ มาแย่งขนมฉันกิน พ่อแม่มึงเป็นใครกัน มึงรู้มั๊ยแย่งขนมตำรวจกิน มึงจะต้องโดนข้อหา ลักขโมยนะ”

“ผมไม่รู้ ไม่ใช่พ่อผมนี่ ขนมอร่อยๆ วางไว้จนเย็นชืด เสียของเปล่าๆ เอามาลงท้องดีกว่า คนให้จะได้ไม่เสียกำลังใจ”

“เฮ้ย....ไอ้เด็กเปรตคนนี้ มันลูกใครครับ สารวัตร”

“ฉันก็ยังไม่รู้ คงลูกของจ่า หรือ หมวดคนใดในนี้ พามาเที่ยวเล่นที่ทำงานหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ครับ ผมคือด้วง ศิษย์ของหลวงตาน้ำฝนครับ ท่านให้มาตามสารวัตร ไปหาที่กุฏิวัดครับ”

“ฮะ....หลวงตาน้ำฝน ให้แกมาตามฉันไปหา มีธุระอะไรเหรอ พ่อหนูน้อย”

“ไม่ทราบครับ ท่านไม่ได้บอก ท่านบอกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีความที่สารวัตรกำลังตามสืบอยู่”
ครับ”

“แล้วหลวงตาอยู่ที่ไหนหล่ะ”

“วัดโพธิ์ ท่าเตียนครับ”


จากนั้นสารวัตรเดช พร้อมด้วยหมวดกบี่ รีบรุดเดินทางไปยังวัดโพธิ์ หรือก็คือวัดเชตุพนวิมลมังคลารามวรวิหาร ซึ่งพอไปถึง สารวัตรได้แนะนำตัวแล้วแจ้งความประสงค์แก่พระลูกวัด ว่าจะมาขอพบหลวงตาน้ำฝน

“เชิญทางนี้ครับ หลวงตารออยู่ในกุฏิ หลังนู้นเรียบร้อยแล้วครับ”

“กราบนมัสการหลวงตาน้ำฝน กระผม พ.ต.ท.สุนทรเทวา หรือสารวัตรเดช และท่านนี้หมวดกบี่ ตามที่ท่านให้เด็กไปตามกระผมมาพบครับ ไม่ทราบว่าหลวงตา เรียกผมมาพบมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“เกี่ยวกับกลโคลง และรอยสัก บนตัวศพเหยื่อทั้ง 4 คดี ที่ท่านกำลังสืบสวนอยุ่ไง อาตมาเห็นว่าชักช้าไม่ได้การณ์ อาจจะช่วยเหลือคนไม่ทัน จึงถือวิสาสะ จะช่วยเป็นที่ปรึกษาแก้กลโคลงและรอยสักปริศนาให้ จะได้ช่วยคลี่คลายคดีให้กระจ่างได้โดยไว”

“หลวงตารู้เรื่องกลโคลง และรอยสักปริศนาด้วยเหรอครับ”

“อาตมา ไม่อยากออกตัวว่าเป็นผุ้เชี่ยวชาญหรอกนะ แต่ว่าก็เคยศึกษาเรื่องนี้ พอจะเข้าใจอยู่บ้าง สมัยที่เพิ่งย้ายมาจำวัดที่วัดโพธิ์แห่งนี้ ก็ได้มาเห็นจารึกกลโคลงของวัด แล้วสนใจ จึงได้สอบถามจากพระอาจารย์รุ่นเก่าๆ และศึกษาจนรู้ว่ามันคืออะไร”

..... กลโคลง เป็นการแต่งโคลงสี่ในรูปแบบพิเศษ ทำเป็นกลซ่อนเอาไว้ในรูปต่างๆเช่นเส้นสาย กล่องสี่เหลี่ยมบรรจุคำ รูปพญานาค รูปดวง รูปยันต์ รูปดอกบัว สารพัดรูปแบบที่กวีจะคิดหลอกลอทำเป็นกลไว้  ในนั้นมีถ้อยคำซึ่งผู้เล่นกลจะต้องถอดออกมาให้ได้รูปโคลงสี่สุภาพ ตามที่กวีบรรจุคำ เป็นการประชันไหวพริบปฏิภาณระหว่างกวีและคนอ่าน ให้ทันๆกัน  กลโคลงมีอยู่ในจารึกวัดพระเชตุพนในรัชกาลที่ ๓ และอยู่ในสมุดไทยในหอสมุดแห่งชาติ........คนโบราณเก็บเอาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลาน ได้สืบสานอนุรักษ์ไว้ต่อๆ กันไป

“แต่ว่า มันมาเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องได้อย่างไรกันครับ”

“มันเกี่ยวสิ ก็คนที่ทำเนี่ย เขาต้องการสื่อความ ให้ใครก็ตาม ที่เขาอยากจะสื่อได้รับรู้ว่า เขาทำไปเพื่ออะไร หรือมีมูลเหตุจูงใจอะไร ถึงได้ก่อคดีเหล่านั้นขึ้น”

“เขาใช้วิธีป่าวประกาศไม่ได้เหรอครับ”

“มันก็ไม่อึกทึกครึกโครมสิ โยมสารวัตร การก่อคดีฆาตกรรม นัยนึงก็คือสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เพื่อให้ผู้คนทั้งประเทศหันมาสนใจ นั่นคือจุดมุ่งหมายของฆาตกรหล่ะ มันเป็นวิธีที่จะเรียกความสนใจของคนหมู่มาก ซึ่งในเมืองนอกเขาพิสูจน์มาแล้ว ว่ามันคือวิธีที่ได้ผลที่สุด”

“โดยผ่านการฆาตกรรม และใช้เหยื่อคนบริสุทธิ์นี่หน่ะเหรอครับ มาเป็นเครื่องมือ”

“ก็โยมสารวัตรดูสิ ว่าเหยื่อแต่ละคนคือคนที่กระทำความผิด หรือมีบาปอยู่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น นายดำ , สามเณรขวัญ , นายยุติ จนมาถึง น.ส.หวา”

“แต่เรื่องของสามเณรขวัญ กับ นางสาวหวา นี่ผมขอเถียงนะครับ หลวงตา ทั้ง 2 คนนั้น ไม่ได้กระทำความผิดอะไรเลย เพียงแต่ไปล่วงรู้การกระทำความผิดของฆาตกร จึงตกเป็นเหยื่อ ถูกสังหารเพื่อปิดปากมากกว่าครับ”

“ถ้าเช่นนั้น วิธีการเลือกเหยื่อของฆาตกร ก็ไม่ได้ดูเพียงแค่ว่า คนๆ นั้นมีความผิดบาปอะไร แต่อาจจะเลือกโดยใช้วิธีการอื่นแทน”

“ไหนโยมสารวัตร ลองเอาคำของรอยสักปริศนาทั้งหมด มาวางเรียงกันซิ เพื่อจะวิเคราะห์ร่วมกัน”

 ศพแรก นายดำ มีคำว่า   ขี้ ไหล ฝน หมู ตก      เรียงคำใหม่เป็น  ฝนตกขี้หมูไหล

ศพที่ 2 สารเณรขวัญ  มีคำว่า   ไก่ ตาย จิก โอ่ง เด็ก   เรียงคำใหม่เป็น  ไก่จิกเด็กตาย (บนปาก)โอ่ง  

ศพที่ 3 นายยุติ (ลุงยุทธ) มีคำว่า  ใด ได้ มา แต่ watch   เรียงคำใหม่เป็น  นาฬิกานี้ท่านได้แต่ใด มา
ศพที่ 4 นางสาวผวา (น้องหวา)  มีคำว่า   ทิ้ง ไม่ เคย กัน เพื่อน   เรียงคำใหม่เป็น  เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน

“ฝนตกขี้หมูไหล เป็นสำนวน ที่แปลว่า การมารวมตัวกันทำสิ่งที่ไม่ดี  มีนัยยะตรงตัว กลุ่มคำๆ นี้  สำนวนต่อมา  ไก่จิกเด็กตาย (บนปาก) โอ่ง  โดยละคำว่า บนปาก เอาไว้  และตามด้วยคำว่าโอ่ง  อาตมาขออธิบายสำนวนแรกที่โยงกับคดีแรกก่อนนะ  คดีแรก เป็นคดี เด็กหญิงแดง แต่ผู้ตายคือนายดำ แฟนหนุ่มของเด็กหญิงแดง  มันตรงกับสำนวนเป๊ะเลย ฝนตกขี้หมูไหล  ผุ้ตายถูกล่อลวงจากกลุ่มเพื่อนของตน มาพร้อมแฟน โดยกลุ่มเพื่อนตั้งใจจะมาข่มขืนเด็กหญิงแดง ต่อหน้านายดำ จากนั้นก็สังหารเพื่อปิดปาก  ตรงกับสำนวนมั๊ย ฝนตกขี้หมูไหล  การมารวมตัวกันเพื่อฆ่านายดำ”

“ตรงมากๆ ครับ หลวงตา แล้วคดีที่ 2 หล่ะครับ”

“ไก่ จิก เด็ก ตาย บนปาก โอ่ง นัยยะความหมายนี้ก็ตรงกับคดีที่ 2 คือคดีสามเณรขวัญ , ไก่ นี่แทนความหมายของลูกบ้าน และยังมีความหมายถึงคนรักสวยรักงามก็คือผู้หญิง ในที่นี้ก็คือ ศิษย์ฆราวาสที่เป็นผุ้หญิง ก็คือ นางปีย์ พ่วงนายเดชเข้าไปด้วย , จิก เป็นกิริยา ที่แปลว่าทำร้ายก็ได้ ,เด็ก ก็ตรงตัว หมายถึงสามเณรขวัญ ที่ยังเป็นผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ  , ส่วนโอ่ง หมายถึงที่เก็บน้ำ โบราณว่า น้ำคือทรัพย์ หรือเงินทอง นั่นเอง  ดังนั้น ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง ย่อมหมายถึง ศิษย์ฆราวาสและรวมถึงพระลูกวัดคนอื่นๆ (ซึ่งในดคีนี้มีจำเลยอยู่ 4 คน) สังหารสามเณรขวัญตาย ด้วยสาเหตุคือทรัพย์สินของวัด หรือเรื่องผลประโยชน์เงินๆ ทองๆ  ชัดมั๊ยโยม”

“อันนี้ก็ตรงมากครับ หลวงตา ทำไมผมถึงคิดไม่ได้ ขอรับ”

“ส่วนสำนวน ที่ 3 ที่โยมเขียนมาว่า นาฬิกานี้ท่านได้แต่ใดมา  อาตมามองต่างจากโยมนะ คำว่า watch ไม่ได้แปลได้ความหมายเดียวว่านาฬิกา แต่อาจหมายถึง การเฝ้าดู ด้วย  ดังนั้น สำนวนนี้จริงๆ น่าจะหมายถึง การเฝ้าดู ใครสักคน ที่ได้ อะไร มาซักอย่าง โดยที่เจ้าของ เขาสงสัย ซึ่งก็ตรงกับคดีที่ 3 นายยุติ  ไปมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนางกิมท้อ ซึ่งเป็นเมียเก็บลับๆ ของเถ้าแก่ฮวด ทำให้เถ้าแก่ฮวดผูกใจเจ็บ จึงออกอุบายให้เด็กวัยรุ่นไปแกล้งยั่วยุ หยอกล้อให้โกรธ และกระทำการฆาตกรรมหมู่ โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว มิได้เจตนา เพื่ออำพรางการเจตนาจงใจฆ่าที่ซ่อนอยู่ ของนายฮวดเอาไว้”

“จะสังเกตเห็นว่า ทั้ง 3 คดีนี้ ฆาตกรที่ลงมือสังหารเหยื่อ มิใช่ฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงเลย เป็นเพียงแต่ฉวยโอกาส เอาจากเหยื่อ เพื่อสักคำปริศนา ไว้บนศพเหยื่อเท่านั้น แล้วหยิบฉวยเอาประโยชน์จากศพ มาเป็นนัยยะปริศนาของตน”

“ถูกต้องแล้ว โยมสารวัตรพูดถูก”

“แสดงว่า ฆาตกรที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องฆ่าเหยื่อด้วยตนเอง เพียงแต่หยิบฉวยประโยชน์จากศพที่สมควรต้องตายอยู่แล้ว มาเป็นแผนการของตน อย่างนั้นเหรอ”   หมวดกบี่ อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นบ้าง

“ถูกต้องแล้ว หมวดกบี่ แต่ก็มีบางศพ จำเป็นต้องลงมือเอง เพราะว่า ไม่เช่นนั้นจะเกิดความยุ่งยาก และไม่เป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้”

“ยังไงครับหลวงตา.....”

“ก็ดูอย่างสำนวนที่ 4 สิ  เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน ซึ่งตรงกับคดีของ น.ส.หวา  ซึ่งเพื่อนทั้ง 4 คนของเหยื่อ ลักลอบขนยาเสพติด โดยอาศัยร้านทำขนมของ น.ส.หวาบังหน้า และใช้เป็นที่ขนถ่ายสินค้ากัน พอ น.ส.หวาล่วงรู้ ก็เกิดการขัดแย้งกัน ในที่สุด เพื่อนทั้ง 4 คน ตกเป็นเครื่องมือของผู้บงการลวงเหยื่อ ก็คือ น.ส.หวาไปฆ่าปิดปาก เนื่องจาก ถ้าปล่อยให้เพื่อนทั้ง 4 คนลงมือเอง เรื่องจะบานปลาย ไม่จบ และกระทบกันเงื่อนไขเวลา ซึ่งอาจจะไม่ทันการณ์ ผู้บงการจึงผลักให้เพื่อนทั้ง 4 คนเป็นเพียงผู้ร่วมก่อการ และรู้เห็น แต่ไม่ให้ลงมือ และผลักไสให้หลบหนีไป เพื่อความสะดวกของผู้บงการจะได้ลงมือชำแหละหั่นศพด้วยตนเอง เนื่องจากเพื่อนทั้ง 4 คน ไม่มีความเชียวชาญในการผ่าตัดชำแหละศพ เกรงว่าจะเสียเวลา และทำให้แผนการเสีย  คำว่า เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน ต้องนำกลับไปเรียงใหม่ เป็น ทิ้ง ไม่ เคย กัน เพื่อน  ถึงจะถูก  เพราะเพื่อนทั้ง 4 คน ทิ้งให้หวาถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา โดยไม่ช่วยเหลือ และยังหลบหนีไปอีกด้วย จนภายหลังถูกจับได้ และถูกกันไว้เป็นพยานในที่สุด”

“หลวงตาครับ ช่างลึกล้ำอย่างยิ่งครับ”

“แต่ว่า....ต้องมีคดีที่ 5 เกิดขึ้น จิ๊กซอว์แผนผังของผู้บงการจึงจะครบสมบูรณ์”

“ทำไมหลวงตาถึงคิดเช่นนั้นครับ”

“ก็เพราะว่า มองจากจุดที่อาตมายืนอยู่นี้ คือวัดโพธิ์ แล้วมองไปยังสถานที่เสียชีวิตของเหยื่อแต่ละรายแล้ว พบว่ามันคือ 5 ทิศ ชัดๆ เลย แล้วตอนนี้เรารู้ 4 ทิศไปแล้ว เหลือทิศที่ 5 ที่ยังไม่เกิดคดี”

“ฮะ...หลวงตา พูดเหมือนกับพระมหาสุชีพเลย เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมกับหมวดกบี่ได้ไปหาพระมหาสุชีพที่วัดประยูรวงศาวาส ท่านได้พาผมกับหมวดไปดูแผนผังรูปวาดแผนที่เกาะรัตนโกสินทร์ และท่านได้ตั้งสมมติฐานว่า คดีฆาตกรรมเหล่านี้ น่าจะยึดโยงกับสถานที่ของเหยื่อผู้ตาย ก็คือ ที่ชุมชนวัดระฆัง , วัดประยูรฯ , ตรอกมังกร เยาวราช , ชมชนวัดมหรรณพ พระนคร ซึ่งแต่ละสถานที่อยู่กันคนละทิศ เมื่อขีดเส้นยึดโยง จะปรากฏเป็นดาวห้าแฉก หรือรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่า ระยะทางแต่ละสถานที่อยู่ห่างกันในระยะทางที่เท่าๆ กัน พอโยงไปถึงจุดที่ 5 ก็พบว่า สถานที่ฆาตกรรมของคดีที่ 5 น่าจะอยู่แถบๆ วังเดิม หรือชุมชนวังเดิม ฝั่งธนบุรี แต่ผมยังไม่สามารถสืบรู้ได้ว่า ใครน่าจะเป็นเหยื่อรายต่อไป เพราะยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า วิธีการเลือกเหยื่อของฆาตกร ยึดหลักอะไรกันแน่”

“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเหยื่อจะต้องตายที่วังเดิม ตอนนี้ต้องมาวิเคราะห์ว่า แล้วใครน่าจะเป็นเหยื่อรายที่ 5  เราจะวิเคราะห์จากอะไร คดียังไม่เกิด คำปริศนาก็จะยังไม่เกิด สำนวนก็ไม่มีทางรู้ ดังนั้น อาตมาจึงคิดว่า เอาชื่อของเหยื่อมาวิเคราะห์จะดีกว่า มีใครบ้าง......ว่าไป   1.นายดำ ,2.สามเณรขวัญ ,3.นายยุติ 4.น.ส.หวา  ถ้าวิเคราะห์เอาจาก 4 ชื่อนี้ อาตมาพอเห็นเงื่อนงำอะไรบางอย่างแล้ว”

“ยังไงครับหลวงตา....?

“.....  ดำ ขวัญ ยุติ หวา  อาตมาขอถามโยมสารวัตรหน่อยสิ  แต่ละคนมีชื่อจริง นามสกุลจริงว่าอย่างไร ขอเต็มๆ เลยนะ”

“นายดำ ชื่อจริงคือ สรศักดิ์ อินมาก  , สามเณรขวัญ มีชื่อจริงว่า ขวัญชัย ใจอุดม  ,นายยุติ มีชื่อจริงว่า  ยุติ  เขมะภิมุข    และ น.ส.หวา  มีชื่อจริงว่า  น.ส.ผวา  เกิดแต้ม...... ตามนี้ครับ”

“งั้นอาตมา พอมองออกแล้ว  คนแรก นายดำ  ชื่อจริงและนามสกุลของเขา ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลย ใช้เพียงชื่อเล่น คือ นายดำ  ดำคำเดียว มีความหมายถึง ด้านมืด ความมืดบอด หรืออยุติธรรมก็ได้ คนต่อมา สามเณรขวัญ  ถูกนำมาใช้เพียงแค่คำว่าขวัญ คำเดียวก็พอ  ขวัญ มีความหมายตรงๆ ตัวก็คือ ขวัญเอ๋ย ขวัญมา หรือกำลังใจก็ได้  , คนต่อมา นายยุติ  แปลกมาก ปกติ คำๆ นี้อยู่โดดๆ ไม่ได้ต้องมีคำมาต่อ จึงจะดูสละสลวย เช่น ยุติธรรม ยุติบทบาท พอเป็นคำเดียวสั้นๆ จึงแปลความได้แค่ว่า หมายถึงหยุด อะไรสักอย่าง  และคนสุดท้าย น.ส.ผวา  อันนี้สิ ทำให้อาตมา วาดภาพออกทั้งหมดเลย”

“ยังไงครับ หลวงตา แค่คำว่า ผวา คำเดียวเนี่ยนะ”

“ลองนำชื่อของเหยื่อทั้ง 4 คนมาวางใหม่  ดำ ขวัญ ยุติ ผวา  จะเรียงลำดับใหม่เป็น  ยุติ....ดำ ขวัญ ผวา   พอจะมองออกหรือยังโยมสารวัตร”

“ยุติ ต้องมีคำมาต่อ แล้วตามด้วย ดำ ขวัญ ผวา”

“อาตมาเดาว่า คำที่มาต่อจากคำว่า ยุติ น่าจะเป็นธรรม จึงจะทำให้สำนวนนี้หรือประโยคนี้สมบูรณ์ มีความหมายขึ้น  ประโยคเต็มๆ ของมันก็คือ  ความยุติธรรมอันมืดบอด (ดำสนิท) จะทำให้ประชาชนขวัญผวา ยังไงหล่ะโยม”

“ถ้าอย่างนั้น เรากำลังหาคนที่ชื่อว่า ธรรม มืดหรือบอด หรือไม่ก็ประชาชน ใช่มั๊ยครับ”

“มืดบอด ถูกสรุปเป็นคำว่าดำ คำเดียวแล้ว ตัดไป ส่วนคำว่าประชาชน ถูกละไว้ในฐานที่เข้าใจ เหมือนสำนวน ไก่จิกเด็กตาย (บนปาก) โอ่ง เราละคำว่าบนปากออกไป  คล้ายๆ ประโยคนี้ เราก็ละคำว่า ประชาชนออกไป จึงเหลือแต่คำว่า ธรรม คำเดียวโดดๆ เลย”

“ใช่แล้วครับ หลวงตา มีการเล่นคำด้วย ยุติ..ธรรม  เราต้องหยุดไม่ให้มันฆ่า คนที่ชื่อธรรมให้ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น เรารู้แล้ว เหยื่อรายที่ 5 ต้องชื่อว่าธรรม แน่นอน.......หมวดกบี่ ระดมเจ้าหน้าที่ออกตามหา คนที่ชื่อธรรม ที่อยู่ในย่านวังเดิม ให้ได้ เดี๋ยวนี้เลย”

“โยมสารวัตร อาตมาจะเอาใจช่วย”

“ได้ครับ งั้นวันนี้ ผมต้องกราบลา หลวงตา แต่เพียงเท่านี้ แล้วจะแจ้งความคืบหน้าอีกครั้งครับ”


ที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนกลาง ขณะสารวัตรเดช กลับไปยังที่ทำงานเพื่อจะไปเก็บข้าวของส่วนตัว และจะติดตามหมวดกบี่ไปยังท้องที่ สน.พรานนกและเขตชุมชนวังเดิม ในภายหลัง  
ขณะจ่าจุ้ยสวมชุดนอกเครื่องแบบ กำลังนั่งเต๊ะจุ๊ย อยู่บนเก้าอี้ ขณะทำหน้าที่เป็นร้อยเวรประจำหน่วย และกำลังเปิดดูทีวีอยู่  สารวัตรเดชโผล่เข้ามาในสำนักงานแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง จ่าจุ้ยตกกระใจ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตะเบ๊ะทำท่าเคารพสารวัตรเดช แต่สารรูปยังอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ สวมเสื้อคอกลมของตำรวจ แต่กางเกงเป็นกางเกงสั้นลำลองครึ่งท่อน ไม่ยอมสวมเครื่องแบบ

“จ่าจุ้ย เหตุใดแต่งกายแบบนี้ วิดพื้น 50 ที ปฏิบัติ”  สารวัตรเดชสั่งทำโทษลูกน้องที่แต่งกายไม่เรียบร้อยในสถานที่ทำงาน แม้เป็นเวลานอกทำการของราชการแล้ว แต่ยังอยู่ในสถานที่ราชการ
เสียงรายงานข่าวในทีวีดังขึ้น เมื่อมีการรายงานข่าวเข้ามาว่า มีรายงานว่า   “......พลทหารธรรม นโลดม ทหารเกณฑ์ประจำกรมอู่ทหารเรือ ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ก่อนจะสิ้นใจ เสียชีวิตลง ทางผู้บังคับบัญชาของทหารเกณฑ์รายนี้ แจ้งต่อผู้สื่อข่าวว่า พลทหารธรรมถูกรุ่นพี่ธำรงวินัย เนื่องจากกระทำความผิด เดินเข้าไปในเขตบังคับของรุ่นพี่ อีกทั้งยังมีพฤติกรรมโต้เถียง และหย่อนวินัย จึงถูกรุ่นพี่ธำรงวินัยเกือบทั้งคืน แต่เนื่องจากพลทหารธรรมร่างกายอ่อนแอ บวกกับมิได้รับประทานอาหารตั้งแต่ช่วงเช้า อากาศร้อนจัด จึงเกิดอาการช็อค และไตวายเฉียบพลัน ถูกหามส่งโรงพยาบาลศิริราช แต่แพทย์ก็ยื้อชีวิตเอาไว้ไม่ทัน ตอนนี้ยังไม่มีญาติมาติดต่อรับศพ แต่ทางนิติเวช ขออายัดศพไว้ชันสูตรก่อน ....สมศรี อ่อนตระกูล ข่าวช่อง 8 รายงานสดจากโรงพยาบาลศิริราชค่ะ


สารวัตรเดช หันไปมองทีวีทันที แม้ไม่ทันได้ตั้งใจฟังอย่างสนอกสนใจ แต่เมื่อสักครู่ได้ยินชัดกับหูตนเองว่า พลทหารเกณฑ์นามว่า พลทหารธรรม นโลดม ถูกรุ่นพี่ในค่ายทหารธำรงวินัยจนเสียชีวิต ถ้าเป็นนายธรรมคนเดียวกับที่ตนเองกำลังตามหาอยู่ละก็ นับว่าเขาไม่สามารถช่วยเหลือเหยื่อรายที่ 5 ได้ทัน และกำลังจะรับรู้ว่าเกิดฆาตกรรมรายที่ 5 ขึ้นแล้ว


โปรดติดตามใน EP. ต่อไป


คดีนายธรรม ผุ้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจาก คดีน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา และโด่งดังมาก เป็นข่าวรายวันอย่างต่อเนื่อง และเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างมากอยู่นาน ในช่วงปลายปี 60 คาบเกี่ยวมาถึงปัจจุบัน คดีนี้ก็ยังไม่คืบหน้า ยังคงหาสาเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของน้องเมยกันต่อไป


  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น