วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

ตอน ตลาดกระทิงที่หมีเป็นผู้ล่าเหยื่อ


เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสรับชมสารคดีชีวิตสัตว์ ซึ่งฉายอยู่ทางสถานีโทรทัศน์ชNHK ของญี่ปุ่น ผ่านระบบเคเบิลทีวี ด้วยความบังเอิญเปลี่ยนช่องไปเจอเข้าพอดี ทีแรกก็นึกว่าเป็นสารคดีสัตว์ใต้ทะเล เพราะเป็นคนชอบดูสารคดีของสัตว์ใต้ทะเล ประเภท ปลาชนิดต่างๆ ปะการัง ปลาฉลาม ฯลฯ อะไรประเภทนี้อยู่แล้ว ภาพสวย และยิ่งถ่ายทำเกี่ยวกับปลาหลากหลายสี ยังดีใจว่าคงได้ดูปลาสวยๆ ชนิดหาดูยากแน่ๆ ปรากฏว่าภาพก็ถ่ายฝูงปลาว่ายไปมาเป็นฝูงอยู่บนผิวน้ำ เห็นตัวปลาชัดเจน มันว่ายอยู่บนผิวน้ำ ลำธาร ตื้นๆ และก็มีน้ำตกซึ่งเป็นเนินชั้นเตี้ยๆ ไหลลงมาสู่ลำธารอีกที น้ำใสมากจนเห็นว่าเป็นปลาแซลม่อนบ้าง และก็ปลาชนิดอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนอาจจะเรียกชื่อไม่ถูก เพราะไม่ทราบว่าปลาชนิดใด อีกด้านนึงของลำธารก็มีฝูงหมีป่าตัวใหญ่กำลังเล่นน้ำ กันอยู่ 3-4 ตัว ทันทีที่ฝูงปลาเหล่านั้นว่ายมาถึงใกล้ตัวพวกมัน มันก็คว้าหมับตะปบปลาเหล่านั้นขึ้นมากิน เป็นภาพที่ผู้เขียนเองก็ช็อกไปเลย ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กำลังดูปลาแหวกว่ายในสายน้ำเพลินๆ อยู่ จากนั้นเจ้าหมีป่าทั้ง 3-4 ตัว ก็พยายามจะตะปบเหยื่อนั่นก็คือฝูงปลาแซลม่อน จับขึ้นมากินเป็นอาหาร บางตัวก็ว่ายหลบหนีไปได้ทัน เนื่องจากหมีป่า ทำอะไรดูเชื่องช้า แม้แต่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าแล้ว มันยังต้องใช้ความสามารถในการจับเหยื่อที่ว่ายเร็ว ไม่สามารถจับได้ทุกตัว และหมีป่ามันก็เริ่มเรียนรู้ที่จะจับเหยื่อให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น บางทีมันใช้ 2 มือของมันโอบจับเหยื่อพร้อมกัน ปลาจึงหลุดรอดไปได้ยาก บางทีมันก็จ้องมองดูปลาตัวที่ว่ายช้าและหาจังหวะจับโดยใช้มือหนึ่งตบไปที่เหยื่อก่อนให้ได้รับบาดเจ็บ แล้วจึงใช้อีกมือจับให้มั่น มีอยู่ตัวนึงมันฉลาดมาก ไปดักรอตรงสายน้ำตกที่น้ำจะตกจากเนินชั้นบนสู่ลำธาร ซึ่งจะมีปลาที่ว่ายมาติดกับเจ้าหมีพอดี ก็คือมันจะว่ายมาและตกลงยังลำธาร ในจังหวะนั้นหมีป่าก็จะตะปบเจ้าปลาที่เป็นเหยื่อไว้อย่างง่ายดาย และเมื่อหมีตัวอื่นเห็นก็จะทำตาม คือมาดักรอตรงบริเวณต้นทางของสายน้ำตก ไม่รู้ว่า 1 มื้อของเจ้าหมีป่าตัวใหญ่ มันรับประทานเหยื่อหรืออาหาร ซึ่งก็คือปลาแซลม่อนตัวใหญ่ แต่ละตัวอ้วนพีทุกตัว น้ำหนักน่าจะเกิน 5 กิโลกรัมทุกตัว ความยาวที่กะด้วยสายตาอยู่ราวๆ 1 ฟุตเป็นอย่างน้อย เราคิดว่าน้ำหนักตัวของหมีที่จะต้องรับประทานอาหารให้ได้ 1 มื้อ มันก็น่าจะจับเหยื่อกินได้ ต่อหมี1ตัวจะกินเหยื่อไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัว ต่อ 1 มื้อ ได้อย่างสบายๆ แต่จะอิ่มหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เท่าที่ดูในสารคดีนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าหมีป่าที่มันฉลาดที่จะเรียนรู้วิธีการล่าเหยื่อเท่านั้น เหยื่อของมันอย่างปลาก็ฉลาดที่จะเรียนรู้การถูกล่าเช่นกัน คื่อมันจะเรียนรู้วิธีหลบหลีก คือ เมื่อมันว่ายมาเป็นฝูง พอพบผู้ล่าเหยื่อ มันจะว่ายแตกแยกเป็นหลายๆ ทาง และมีบางตัวว่ายลงต่ำไปกว่าผิวน้ำ หรือว่ายให้ต่ำที่สุดให้ติดพื้น่ เพื่อหลบหลีกหนีจากการถูกล่า เราจึงเห็นว่าหมีป่าตัวใหญ๋ สามารถจับปลากินได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับฝูงปลาจำนวนมากที่แหวกว่ายหลุดเข้ามาในลำธารแห่งนี้ หมีป่า 2 ตัวถึงขนาดแย่งชิงเหยื่อตัวเดียวกัน และใครที่แข็งแรงกว่าก็ได้เหยื่อไป ซึ่งมีปลาอยู่ตัวนึงซึ่งเป็นเหยื่อตัวใหญ่ว่ายตกลงมาจากน้ำตก และมีหมี 2 ตัวยืนอยู่ใกล้กัน เห็นเหยื่อพร้อมกันจึงแก่งแย่งกัน เมื่อมีตัวนึงตะปบเหยื่อได้ อีกตัวนึงเข้ามาแย่งกับมือ มันจึงฉีกร่างของปลาตัวนั้นออกเป็น 2 เสี่ยง หมีตัวใหญ๋กว่าได้ปลาตั้งแต่ส่วนหัวจนถึงกลางลำตัวไปได้ อีกตัวนึงได้ส่วนหางและลำตัวปลาค่อนไปทางหางเอาไว้ได้ ไมเพียงเท่านั้นในลำธารแห่งนี้ยังมีผู้ล่าอีกกลุ่มนึงยืนเฝ้ามองผู้ล่าขนาดใหญ่ โดยได้แต่ยืนน้ำลายไหล แต่ยังไม่สามารถเข้าไปยื้อแย่งเหยื่อได้ เพราะมันถือว่ามีพละกำลังที่น้อยกว่าและยำเกรงเจ้าหมีป่าอยู่บ้าง นั่นก็คือเจ้าหมาป่า ฝูงหมาป่ามันจะรอจนกว่าหมีป่ากินอิ่มจนหนำใจและค่อยๆ ผละจากลำธารไปแล้ว มันจึงจะชิงลงมือล่าเหยื่อต่อจากหมีป่า ดูจากลำธารแห่งนี้น่าจะเป็นแหล่งอาหารที่ชุกชุม ตามระบบนิเวศวิทยาทางธรรมชาติของชีวิตสัตว์ เพราะผู้ล่าไม่ใช่มีเพียงเจ้าหมีป่า ยังมีหมาป่า และนกแร้งที่บางครั้งก็บินมาโฉบเหยื่อไปอย่างรวดเร็ว และก็แม่นยำมาก เจ้าหมาป่ามันคงคาดผิดไป เพราะทันทีที่ฝูงหมีป่าล่าถ่อยไปแล้ว เจ้าฝูงหมาป่าเมื่อลงมาในลำธารนั้นก็ไม่พบฝูงปลาที่เป็นเหยื่อหลงเหลืออยู่เลย หรือว่ามันจะว่ายผ่านออกจากลำธารแห่งนั้นไปหมดแล้ว หรืออาจเป็นความบังเอิญที่เจ้าหมีป่ามันรู้ว่าฝูงปลาว่ายผ่านทางน้ำมาในลำธารเวลาใดจึงมาดักรอ แต่เจ้าฝูงหมาป่ามันไม่ทราบ และคงต้องศึกษาเรียนรู้อีกต่อไป ในเมื่อไม่มีเหยื่อให้มันล่าแล้ว มันก็เลยจำต้องกินเศษเนื้อของเหยื่อที่เจ้าหมีป่ากินทิ้ง กินขว้างตกหล่นอยู่ในลำธารเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ จากการบริโภคของหมีป่า และบางส่วนเสี้ยวของอวัยวะร่างกายของเหยื่อที่โดนเจ้าหมีป่าตะปบไว้มากมาย เกลื่อนกลาด ซึ่งหมีป่ามันก็เลือกที่จะกินตัวสดๆ ในมือของพวกมันมากกว่าชิ้นเนื้อที่ตกจากมือของมันลงไปในลำธารแล้ว ผมดูสารคดีชุดนี้ด้วยความตื่นเต้นและสนใจในวงจรชีวิตสัตว์เหล่านี้ เหมือนๆ กับที่เราดูสารคดีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่เคยดูมา แต่มีบางห้วงอารมณ์นึงรู้สึกหดหู่และสงสารเจ้าปลาที่เป็นเหยื่อเหมือนกัน และยิ่งเป็นปลาแซลม่อนที่มนุษย์อย่างพวกเราก็นิยมชมชอบที่จะกินมันด้วยก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ แต่บางอารมณ์ก็รู้สึกอิจฉาเจ้าหมีป่าที่มันโชคดีได้กินอาหารอันโอชะ และเป็นอาหารชั้นดีที่แม้แต่มนุษย์ก็ยังชอบ เป็นอาหารที่มีราคาแพงเสียด้วย เจ้าหมีพวกนี้มันจะรู้มั๊ยว่ามันโชคดีที่ได้รับประทานอาหารแบบเดียวกับมนุษย์ แต่มันกินฟรีไม่ต้องเสียเงิน และเลือกกินแบบบุฟเฟ่ต์เสียด้วย เข้ามาสู่โหมดเศร้าของผู้เขียนต่อดีกว่า สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนฉุกคิดขึ้นมาได้ก็คือธรรมชาตินั่นแหละที่งดงามและก็ฉลาดที่สุด เพราะธรรรมชาติได้รังสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิตเอาไว้อย่างดีแล้ว สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยย่อมเป็นเหยื่อของสัตว์ที่ใหญ่กว่าเสมอ เป็นลำดับชั้นของมันไป และมันมีวิธีที่จะรักษาและแพร่พันธุ์ของมันไปโดยสามารถอยู่รอดในธรรมชาติได้โดยไม่สูญพันธุ์ มีแต่มนุษย์นั่นแหละที่อย่าได้เข้าไปยุ่งกับระบบนิเวศน์ของมันเลย เพราะเมื่อใดมนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการล่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้วยแล้ว มันอาจจะสูญพันธุ์ได้ง่ายกว่า เร็วกว่า จริงอยู่ว่ามีสัตว์หลากหลายชนิด หลายพันธุ์ที่มนุษย์เป็นผู้รักษาและช่วยมันในการสืบพันธุ์ต่อไปได้ ไม่ให้ต้องสูญพันธุ์ แต่กลุ่มที่จ้องจะทำลายมีมากกว่า ดังนั้น ทางที่ดีก็คือหากเราไม่มีส่วนร่วมในการที่จะอนุรักษ์รักษาเจ้าสิ่งมีชิวตเหล่านั้น เราก็อย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำลายสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเลย ที่กล่าวมาไม่ได้หมายความว่าจะห้ามไม่ให้ผู้อ่านเลิกทานปลาหรือสัตว์ที่เรานำมารับประทานอยู่เป็นประจำนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่าเราควรทานมันในปริมาณที่น้อยลง เท่าที่จำเป็นต่อร่างกาย และถ้ามีทางเลือกหรือโอกาสที่จะละ เลิก ทานอาหารสัตว์ไปได้อย่างถาวรก็จะเป็นการดีต่อทั้งสุขภาพร่างกายและเป็นการทำบุญไถ่บาปให้กับตนเองได้อีกด้วย


ผมได้รับข้อคิดดีๆ สัจจธรรมบางอย่างจากการได้ชมสารคดีชุดนี้ นอกเหนือจากเรื่องการละ ลด เลิกทานอาหารสัตว์แล้ว ยังมีเรื่องของวงจรชีวิตของผู้ล่าและผู้ถูกล่าอีกด้วย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับตลาดทุนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นได้อีกด้วย ผมรู้สึกถึงว่า ไม่ว่าจะตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาวะใด จะเป็นตลาดกระทิง หรือตลาดหมีก็ตาม แมงเม่าอย่างพวกนักลงทุนทั่วไป ก็คือผู้ถูกล่าอยู่ดี เพราะไม่ว่าเราจะลงทุนในสภาวะตลาดหุ้นกระทิง(ขาขึ้น) ตลาดหุ้นหมี(ขาลง) ตลาดหุ้นแมว (ไซด์เวย์ กรอบแคบๆ) นักลงทุนรายย่อยก็ต้องตกอยู่ในสถานภาพเป็นผู้ถูกล่าอยู่ดี เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเรามีพละกำลังที่อ่อนด้อยกว่าผู้ล่า (ซึ่งผู้ล่าก็ได้แก่ พวกนักลงทุนสถาบัน/กองทุนในประเทศ,สถาบัน/กองทุนต่างประเทศ,นักลงทุนรายใหญ่หรือพวกเจ้ามือ,พวก prop.trader หรือพวก mkt.maker) เพราะทรัพยากรที่เรามีสู้เขาไม่ได้ ไม่วาจะเป็นเงินทุนในหน้าตัก,การเข้าถึงข้อมูลความรู้บางอย่าง,ข่าววงใน,สิทธิพิเศษบางอย่าง เป็นต้น อีกทั้งการลับลวงพราง ในวงการนี้ยังมีอยู่สูงในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยข่าวลือ ข่าวร้ายทำลายหุ้น การทุบหุ้น การยืมหุ้นมาขาย(short sales) การสร้างข่าวสร้างสตอรี่ การเก็บหุ้นดันราคา การควบรวมกิจการ การเทคโอเวอร์ การเพิ่มทุน การลดทุน การออกวอร์แร้นต์ การแตกพาร์ ลดพาร์ การขายธุรกิจ การเข้าไปร่วมธุรกิจเป็นพาร์ตเนอร์ การก้าวข้ามcross ธุรกิจไปยังอีกธุรกิจหนึ่ง การล้มละลายปิดกิจการ การไซฟ่อนเงินอำพรางบัญชี การตกแต่งบัญชี เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้ทำให้นักลงทุนรายย่อยตกเป็นเหยื่อตามไม่ทันกลโกงหรือปัจจัยสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในส่วนของข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับหุ้น(บริษัท)ที่ลงทุน ยังไม่นับรวมปัจจัยภายนอกที่มากระทบกับบรรยากาศการลงทุน หรือ sentiment ปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยภายนอกประเทศ เฉพาะปัจจัยภายในประเทศก็มีหลากหลายตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ ค่าเงิน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ นโยบายของรัฐ กฎระเบียบของ กลต. หรือกฎระเบียบของตลาด ฯลฯ ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศ ก็ควรจะต้องพิจารณาหลักๆ ได้แก่ ราคาน้ำมัน ราคาทอง ราคาโภคภัณฑ์ทุกตัว ค่าระวางเรือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลักๆ โดยเฉพาะดอลล่าร์ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะดาวน์โจนส์กับฮั่งเส็ง มาตรการทางการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา (หัวหอกทุนนิยม) มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เป็นต้น

ที่กล่าวมาเพียงเพื่อจะบอกว่าภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้และเกือบทั้งโลก อยู่ในสภาวะเดียวกัน คือ 3 วันดี 4 วันไข้ คือขึ้นๆ ลงๆ เป็น side way และมีแนวโน้มจะเป็นขาลง สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป เพราะเราอ้างอิงเขาอยู่ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะสวนทางกับตลาดโลกบ้าง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานบ้านเรายังดีอยู่ บริษัทจดทะเบียนของไทยยังคงเติบโตอยู่ มีกำไรมีเงินปันผลที่สูงอยู่ น่าลงทุน ตลาดหุ้นไทยจึงควรอยู่ในภาวะขาขึ้นหรือตลาดกระทิงในระยะยาว แต่ภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นโลกอันเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของทั้งอเมริกาและยุโรป เป็นตัวกดดันซึ่งทำให้ตลาดหุ้นของไทยไม่ไปไหน คาดคะเนตลาดได้ยากในแต่ละวัน การลงทุนจึงมีความเสี่ยงสูงมากในสภาวะตลาดแบบนี้ ทางออกของนักลงทุนจึงควรถือเงินสดให้มากที่สุด หรือหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยหรือเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งไม่ใช่ทองเพียงอย่างเดียว อาจมีตราสารหนี้อย่างอื่น พันธบัตร กองทุนรวมบางประเภท อสังหาริมทรัพย์บางชนิด หรือแม้แต่เงินฝากดอกเบี้ยสูงก็ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นสภาวะตลาดแบบนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีความพร้อม ไม่เสี่ยง อดทนได้ที่จะเป็นผู้ล่าเหยื่อ ไม่ตกไปเป็นผู้ถูกล่าโดยไม่จำเป็น จึงจะเป็นการรักษาชีวิตรอดได้ในนิเวศวิทยาของการลงทุน หรือตลาดทุนโลกได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น