วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

One Up on SET เหนือกว่าตลาดหุ้นไทย

เงินมากอาจไม่ได้เปรียบเสมอไป


เงินที่ตามกลิ่นไว จะเป็นผู้ชนะ


ในช่วง 1-2 ปีมานี้ ตลาดหุ้นไทยเรากลับมาพีคหรือขึ้นสูงสุดอีกครั้งในรอบ 14 ปี ไม่ใช่เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานเราดีกว่าประเทศอื่นแต่เป็นเพราะกระแสเงินสดไหลเข้าจากต่างประเทศที่หลั่งไหลกันเข้ามาหาผลตอบแทนในฝั่งเอเซีย และประเทศไทยเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางนั้น




จำได้ว่าซัก 2-3 ปีที่แล้ว แผงหนังสือตามร้านหนังสือใหญ่ๆ ชั้นนำ แทบไม่มีหนังสือเกี่ยวกับหุ้น หรือกราฟเทคนิคต่างๆ ให้เห็นกันเลย จะมีก็แต่หนังสือประเภท How to ทำยังไงให้รวย การสร้างธุรกิจ ทำธุรกิจอย่างไรให้รวย และหนังสือประเภท against ความรวยด้วยซ้ำออกมา เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤติค่าเงิน หายนะจากปี 2012 หรือหายนะจากภัยโลกร้อน หายนะจากวิกฤติการเงินโลกหรือซับไพร์ม แต่ผ่านมาไม่ถึง 2 ปี กระแสตีกลับมาเทให้กับการลงทุนทุกรูปแบบอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทอง น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ตราสารอนุพันธ์ประเภทฟิวเจอร์ กำลังจะบอกว่าคนไทยหรือแม้แต่คนทั้งโลกยังไม่เข็ดอีกเหรอ ทั้งๆ ที่ผลพวงจากวิกฤติการเงินโลกทั้งซับไพร์ม ซีดีโอ ยังลุกลามอยู่เลย ตัวอย่างหลายประเทศในยุโรปก็ยังเผชิญปัญหาอยู่ แล้วเหตุไฉนคนไทยและคนทั่วโลกทำเป็นไม่สนใจ และยังทำตัวแบบเดิมๆ คือไล่ลงทุนมันดะ ปั่นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกตัว สินค้าด้านการลงทุนทุกตัวล้วนปรับราคาสูงกันขึ้นมา เพื่อหลอกล่อแมงเม่าฝูงใหญ่ เพื่อรอที่จะเขมือบเป็นการใหญ่ แท้ที่จริงแล้วคงเป็นความโลภ ต้องการเกาะกระแสเงินไหลบ่ารอบใหญ่นี้ โดยไม่คิดว่าตนเองจะเป็นแมงเม่าฝูงสุดท้ายที่บินเข้ากองไฟ คงมีฝูงอื่นละอ่อนกว่าบินตามหลังเรามา แล้วเราคงบินหนีออกไปได้ทัน ซึ่งสมมติฐานนี้ตั้งอยู่บนความเสี่ยงล้วนๆ คงไม่มีคำเตือนใดๆ จะเหมาะสมกว่าคำว่า เงินเมื่อมันอยู่ในกระเป๋าเรา มันยังคงเป็นของเรา แต่หากมันโบยบินออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว จะไปดึงกลับมา จะมีมือคนอื่นยุบยับเลย มาแย่งชิงเอาไป เราพร้อมจะไปสู้รบตบมือหรือแย่งยื้อกับเขามั๊ย

กระแสเงินที่ไหลบ่าท่วมตลาดเงินตลาดทุนรอบนี้ คล้ายๆ น้ำไหลบ่าท่วมภาคใต้นั่นแหละ คือมันมาเร็ว มาแรง และมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าเรามีการเตรียมตัวพร้อมรับสถานการณ์ไว้ดีแล้ว เช่น สร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ยามแห้งแล้ง หรือนำไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรหรือปั่นเป็นกระแสไฟ ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาล แต่หากไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหายนะอย่างที่เห็นในภาพข่าวคือความเสียหายมากมายทิ้งไว้แต่ซากปรักหักพัง และความสูญเสียทั้งด้านทรัพย์สินและชีวิตทีเดียว กระแสเงินไหลบ่าในตลาดเงินตลาดทุนก็เช่นเดียวกันไม่มีทางที่เราจะไปต้านทานมันไว้ได้ เพราะเราเป็นประเทศทุนนิยมในยุคโลกาภิวัฒน์ มีทางเดียวคือรู้เท่าทันและเล่นไปตามเกมส์ ตามกระแส และฉกฉวยโอกาส หาผลประโยชน์ ทำกำไรไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ใช่ว่ามีเงินเยอะ แล้วจะเอาชนะในเกมส์นี้ได้ง่ายๆ มันต้องมีวิชา มีความรู้ และตามกลิ่นเงินให้ได้ไวกว่าคนอื่นหรือเท่าทันคนอื่น จึงจะเอาตัวรอดในดงเสือ สิงห์ กระทิง แรดนี้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจกลายเป็น ม้าลาย กวาง หรือสมันน้อยให้เขาขย้ำได้อย่างง่ายๆ ฟังดูแล้วการหากำไรในตลาดเงิน ตลาดทุน หรือการลงทุนทุกประเภทจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแน่นอน หากคุณไม่มี money ไม่มี knowledge และไม่มี know how คือ เงิน ความรู้ และเทคนิควิธีการ



ผมขอจัดกลุ่มนักลงทุนที่กำชัยชนะหรือคุมชะตากรรมของตลาดหุ้น ไว้เป็นกลุ่มๆ ดังนี้ เพื่อง่ายต่อการวางแผนสู้ ได้ทุกทิศ ทุกแนวรบ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย หรือหากตกเป็นเหยื่อแล้วไม่เพลี่ยงพล้ำถึงขั้นเสียชีวิต จะมีวิธีเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร


กลุ่มแรกนี้ขอเรียกว่า กลุ่มรายย่อยพันธุ์แท้ หมายรวมทั้งพวกมือใหม่หัดเล่น และแมงเม่ามืออาชีพไว้ด้วย กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่ 0- 1 ล้านบาท บางคนเริ่มลงทุนตั้งแต่หลักพัน หลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน สามารถทำกำไร หรือขาดทุนได้ทั้งนั้น ในตลาดหุ้นขาขึ้น แต่หากเป็นตลาดหุ้นขาลง พบว่านักลงทุนกลุ่มนี้มักขาดทุนสบักสบอมกันไปตามๆ กัน และพอร์ตหุ้นไม่ค่อยโตไปตามภาวะตลาดเท่าที่ควร เพราะขาดการวางแผนการลงทุน และไม่มีวินัยในการลงทุน ความมั่งคั่งในพอร์ตต่ำกว่าอัตราการเติบโตของตลาดโดยรวม กลุ่มนี้จะกลายเป็นเหยื่อของนักลงทุนทุกกลุ่มที่เหลือนั่นเอง (ตัวผู้เขียนเองก็น่าจัดอยู่ในกลุ่มนี้เหมือนกัน)

กลุ่มที่ 2 ขอเรียกว่ากลุ่มรายย่อยพันธุ์เขี้ยวลากหรือหนังเหนียว เป็นแมว 9 ชีวิต สามารถตายแล้วฟื้นใหม่ เอาตัวรอดมาได้เสมอเหมือนผีลืมหลุม กลุ่มนี้ขอหมายรวมเอาพวก VI (Value Investor) แบบทุนไม่ใหญ่เอาไว้ด้วย กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาทจนถึง 99 ล้านบาท กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาบ้าง มีความรู้ และวิธีการระดับนึงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จกับตลาดเท่าที่ควร และมีบทเรียนกับความเจ็บปวดในตลาดหุ้นมาทุกรูปแบบหมดแล้ว จึงรู้ลูกล่อลูกชน รู้จังหวะการลงทุนพอสมควร รู้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคอลเป็นอย่างดี พวกนี้ยังตามกลิ่นเงินได้ไวเป็นกลุ่มแรกด้วย บางคนยังมีพฤติกรรมเป็นแมงเม่ามืออาชีพ ชอบเล่นหุ้นปั่นตัวเล็ก ๆ จึงยังมีโอกาสเจ็บตัวได้อีก และอาจได้รับบทเรียนซ้ำซากเหมือนเดิม ไม่สามารถพัฒนาตนเองไปเป็นนักลงทุนที่พัฒนาแล้วได้ นักลงทุนกลุ่มนี้จึงยังแพ้ให้กับนักลงทุนรายใหญ่ (เซียนหุ้น) และนักลงทุนประเภทสถาบัน โบรกเกอร์ กองทุนจากต่างประเทศ และนักการเมือง หรือบรรดานอมินีของ VIP หรือ somebody ทั้งหลายได้

กลุ่มที่ 3 ขอเรียกว่าขาใหญ่หรือเซียนหุ้น ในวงการบ้านเรา ผมไม่รู้จำนวนแน่นอน แต่ที่ได้ยินชื่อเสียงอยู่บ้างมีนับ 10 คนขึ้นไป มีทั้งกลุ่ม high profile (อาทิเสี่ยปู่ หมอยง เจ๊ศรีฟ้า เสี่ยป๋อง หมอบุญ เสี่ยกมล คุณพายัพ ดร.นิเวศน์ เอกยุทธ) และกลุ่ม low profile รวมถึงบรรดาเจ้าสัวใหญ่ๆ ระดับประเทศทั้งหลายก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย กลุ่มนี้ต้องมีเงินแน่ๆ แต่จะมีความรู้หรือวิธีการด้วยหรือไม่ อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะบางคนใช้มืออาชีพบริหารพอร์ตให้ที่เรียกว่า นอมินี บางคนก็ทั้งลงทุนและตัดสินใจเอง ไม่มีตัวแทน บางคนใช้มืออาชีพ คือธนาคารบริหารกองทุนส่วนบุคคลให้ กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่หลักร้อยล้าน จนถึงระดับ หมื่นล้านบาท เทียบเท่ากองทุนของสถาบัน หรือกองทุนรวมใหญ่ๆ ก็มี ขึ้นอยู่กับระดับความมั่งคั่งที่มี อาทิ เจ้าสัวเจริญ เจ้าสัวเฉลียว เจ้าสัวธนินทร์ รวมถึงคุณทักษิณและเครือญาติ พวกนี้คุณผู้อ่านคิดว่าเขามีกองทุนมากเทียบเท่าหรือใหญ่กว่าพวกบรรดากองทุนบางแห่งมั๊ยหล่ะครับ แต่นักลงทุนกลุ่มนี้เราขอ scope ลงมาที่พอร์ตระดับร้อยล้านถึงพันล้านก็พอ พวกนี้ก็ผ่านการไต่เต้ามาจากนักลงทุนกลุ่มที่ 2 มาก่อนทั้งสิ้น แต่ใครจะก้าวมาถึงระดับนี้ได้คงต้องมีมากกว่าความรู้ ประสบการณ์ และวิธีการ นั่นคือจิตใจ และวินัยในการลงทุนที่เคร่งครัด แต่นักลงทุนกลุ่มนี้ใช่ว่าจะชนะตลาดเสมอไป บางครั้งก็พลาดท่าให้กับภาวะตลาดที่ไม่คาดคิด พลาดให้กับภาวะเศรษฐกิจ การเมือง หรือภาวะสงครามได้เช่นกัน เพียงแต่พวกนี้พลาดแล้วปรับตัวทัน เพลี่ยงพล้ำแล้วถอยเป็น เหมือนกบที่จำศีลเป็น เหมือนราชสีห์ที่คอยเหยื่อได้ เหมือนจระเข้ที่นอนนิ่งรอเหยื่อ เหมือนนกอินทรีย์ที่บินสูงมองไกลเพื่อหาโอกาสมาโฉบเหยื่อไปกิน กลุ่มนี้คุณไม่มีทางที่จะไปเอาชนะเขาได้ง่ายๆ และถ้าเป็นไปได้ทำตัวเป็นเห็บเหาคอยเกาะไปกับเขาก็จะดีมาก เมื่อไรเขาขยับ เราขยับด้วย

กลุ่มที่ 4 ขอเรียกว่าพวกกองทุน สถาบัน หรือพอร์ตโบรกเกอร์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นกองทุนหรือองค์กรในประเทศทั้งหมด จะอยู่ในกลุ่มนี้ บริหารพอร์ตโดยมืออาชีพด้านการบริหารกองทุน กลุ่มนี้จึงมีทั้งทุน ความรู้ และวิธีการ มีระบบระเบียบการลงทุนสูง แต่จุดอ่อนก็อยู่ที่ขาดความคล่องตัวในการตัดสินใจ หากไปเจอสถานการณ์ตลาดที่ไม่คาดฝัน การปรับพอร์ตจะไม่ทันนักลงทุนรายย่อยหรือขาใหญ่อยู่ดี แต่ได้เปรียบเรื่องข้อมูล ข่าวสารหรือ inside ข้อมูลแบบเจาะลึก ซึ่งยากที่รายย่อยหรือขาใหญ่จะรู้ทัน กลุ่มนี้มีเงินลงทุนตั้งแต่ระดับ 1 พันล้านจนถึง ระดับหมื่นล้านบาท และมักลงทุนในหุ้นกลุ่ม set 50 หรือไม่เกิน set 100 เพราะขนาดของเม็ดเงินจำนวนมาก และปัจจัยพื้นฐานการลงทุนที่กำหนดกรอบการลงทุนอยู่

กลุ่มที่ 5 ขอเรียกว่าพวกกองทุนต่างประเทศตาน้ำข้าว ไม่ว่าจะเป็นกองทุนอีแร้งอย่างเฮดจ์ฟันด์หรือกองทุนขนาดใหญ่ลงทุนยาวหรือไม่ คล้ายๆ กลุ่มที่ 4 แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก และเป็นต่างชาติล้วนๆ มีบทวิเคราะห์ ฐานข้อมูลเป็นของตนเอง มีมุมมองเป็นของตนเอง เพราะกำหนดทิศทางการขึ้นลงของตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่แล้ว แม้กระทั่ง msci moody’s หรือ s&p ก็มาจากพวกนิวยอร์คคอนเนคชั่นกลุ่มนี้ (ยิวเจ้าโลก) ภายหลังมีกองทุนจากพวกแขกตะวันออกกลาง และกองทุนจากฝั่งเอเซีย เช่น จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ พวกนี้จัดอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด ไม่นับพวกนอมินีนักการเมืองทั้งหลายที่ไปเปิดพอร์ตที่สิงคโปร์ หรือฮ่องกงทำคำสั่งซื้อมาที่ไทย พวกนี้ผมจัดเป็นกลุ่มที่ 3 อยู่แล้ว แต่ทำเนียนหวังหลอกคนไทย สันดานและใจมันบาปยิ่งนัก คือมันจะหลอกประชาชนคนไทยทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่จะลงทุนมันยังหลอกเลย กลุ่มนี้คงไม่ต้องบอกถึงฐานเงินทุน มีตั้งแต่ระดับหลักหมื่นล้านเป็นอย่างน้อยไปจนถึงระดับแสนล้าน ล้านล้านบาท พวกนี้บางครั้งอยากมาลงทุนในไทย แต่มาร์เก็ตแค็ปของตลาดไทยมันเล็กกว่าเงินลงทุนของเขา บางครั้งเขาเลี่ยงไปลงทุนที่อื่น หรือลงทุนเฉพาะตลาดเงินคือตลาดพันธบัตรหรือตลาดตราสารหนี้เท่านั้นก็มี ในอนาคตถ้าตลาดหุ้นไทยใหญ่มากพอ พวกนี้เข้ามาเมื่อไหร่ กองทุนสถาบันในไทยหรือบรรดาขาใหญ่ในประเทศอาจเน่าสนิทไปเลยก็ได้ เพราะของจริงมา คงเป็นสงครามสู้กันของกระแสเงินที่ต่างก็ไม่ยอมกันแน่ๆ แต่เงินใหญ่ของฝรั่งช่วง 2-3 ปีมานี้ ไม่ค่อยได้เปรียบคนไทยมากนัก เนื่องจากเข้ามาตอนต้นทุนสูง และคนไทยฉลาดขึ้น เพราะกลุ่ม 2 ของเรา รวมกับกลุ่ม 3 มีจำนวนมากขึ้น และรู้เท่าทันทั้งกองทุน สถาบันในประเทศและต่างประเทศ การลงทุนเป็นรอบจึงเอาชนะนักลงทุนไทยได้ยากขึ้น (ไม่ได้บอกว่าต่างชาติไม่ได้กำไรจากตลาดหุ้นไทยนะ แต่ไม่ง่าย) เว้นแต่บรรดากองทุนที่มาลงทุนยาว และลงในตลาดไทยมาตั้งแต่ยุควิกฤติต้มยำกุ้งจะได้เปรียบเรื่องต้นทุน เพราะนักลงทุนไทยเดี๋ยวนี้รู้จักจังหวะการลงทุน ผ่อนสั้นผ่อนยาว เล่นสั้นเป็นรอบเป็น ไม่เหมือนแต่ก่อน เป็นหมูให้ฝรั่งเชือดง่ายๆ

กลยุทธุ์เล่นหุ้นสู้ศึก 10 ทิศ สู้ทุกแนวรบ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

1.ตีหัวเข้าบ้าน เล่นสั้น เข้าไว ออกไว ตามกลิ่นเงินของกองทุนต่างประเทศ สถาบัน หรือนักลงทุนขาใหญ่ให้ทัน เข้าไปดักซื้อก่อนหรือพร้อมๆ กับพวกเขา แต่ต้องออกให้ทัน หรืออาจจะออกก่อน ไม่งั้นอาจเสียชีวิตได้

2.เล่นตามแนวโน้มขาขึ้น ระยะกลาง ถึงยาว โดยดูกระแสเงิน (เช่นรอบนี้) ดูวอลุ่มตลาด , p/e ของหุ้น กลุ่ม และตลาด ,ดูกราฟทางเทคนิคช่วย ซื้อหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิค break up แล้วขายเมื่อพอใจ ได้กำไรพอสมควรหรือ ดูสัญญาณเป็นขาลง หรือ break down

3.ใช้ความรู้มาช่วย เช่น ดูงบการเงินเป็น ดูพื้นฐานบริษัท กลุ่มอุตสาหกรรม การเติบโต การทำกำไร ภาวะเศรษฐิจ ปัจจัยตัวแปรเศรษฐกิจระดับโลก (เช่น ค่าเงิน ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น การประท้วงสู้รบในmiddle east ,ตะวันออกกลาง) เศรษฐกิจจุลภาค มหภาค ภาวะการเมือง ภัยธรรมชาติ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี เป็นต้น

4. อันนี้คงไม่ได้หาง่ายๆ ข่าววงใน insider และผิดกฏหมาย แต่หากคุณบังเอิญไปอยู่ในแวดวงของข่าววงใน ไม่ใช่ข่าวรั่วข่าวปล่อยที่จงใจปล่อยออกมาเพื่อลากหุ้น หรือปั่นหุ้น นะครับ คุณก็จะมีสิทธิได้เปรียบจากจังหวะการเข้าซื้อหรือทำกำไรได้อย่างมาก

5.นอกจากคุณจะต้องมีเงิน มีความรู้ มีเทคนิควิธีการแล้ว พรสวรรค์และจิตวิทยาการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมากในตลาดหุ้น เพราะเป็นการสู้กันระหว่างความโลภกับความกลัว และวินัยในการลงทุนที่ยืดหยุ่น ช่วยได้ในทุกสถานการณ์ จงคิดเสมอเหมือนว่าเราเป็นหมาป่าที่หนีสิงโต และเสือได้ทุกเมื่อ บางครั้งก็รุมทึ้งเสือให้ล่าถอยไปได้ด้วย เพราะสัญชาตญาณของหมาป่าก็คือกูไม่กลัวมึง เนื้อก้อนนี้กูเจอก่อน มันต้องเป็นของกูเท่านั้น เสือและสิงโต ถ้ามึงแน่จริงก็มาชิงเอาไป



เพราะโลกของทุนนิยม ไม่มีคำว่าเกรงใจ หรือปราณีใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งคำว่า เสียใจ หรือขอโทษ ด้วย

ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดี



หมายเหตุ ความคิดเห็นในบทความชิ้นนี้ เป็นของผู้เขียนเอง ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อถือในข้อมูลของบทความชิ้นนี้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและสังเคราะห์ด้วยตัวท่านเอง เนื่องจากการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ท่านต้องลงไปศึกษาโดยถ่องแท้ด้วยตัวของท่านเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น