คอลัมน์ คมคนคมคิด โดย จรัญ ยั่งยืน
ทุกวันนี้หากจะเหลียวหาร้านอาหารน่ารับประทานสักร้านหนึ่ง ชื่อของร้านอาหารร้านหนึ่งผ่านเข้ามาในสายตา นั่นคือ "13 เหรียญ" ร้านนี้ยืนยงมาแล้ว 28 ปี ด้วยสองมือของ "สมชาย นิติวนะกุล"
"...การที่ชีวิตคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องฝ่าฟันอุปสรรค และปัญหามามากขนาดไหน ฉะนั้นมุมมอง วิธีคิด ในชีวิตของคนเราจึงเป็นเรื่องสำคัญ"
ความจริง "สมชาย" ไม่ชอบเรียนหนังสือ และเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เขาก็กระหายการเรียนรู้ เขาเลยไปตายเอาดาบหน้าที่อเมริกา และที่นั่น ทำให้เกิดจุดพลิกผันในชีวิตครั้งสำคัญของคนชื่อ "สมชาย"
งานแรกที่เขาทำ คืองานล้างจานในภัตตาคารจีน ต่อด้วยผู้ช่วยพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม และภัตตาคารชื่อ "13 เหรียญ" ที่เขาประทับใจจนเอามาตั้งชื่อร้านของเขาในเมืองไทย แล้วเขาก็กลับเมืองไทยด้วยเงินก้อนหนึ่ง และความมั่นใจว่าจะทำร้านอาหารสไตล์ยุโรปเป็นของตัวเอง
"สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดร้านอาหาร หรือกำลังคิดจะขยายสาขาต่อไป การกู้แบงก์นั้นเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่คุณต้องใช้อย่างระมัดระวัง อย่าได้เฉไฉนำเงินไปใช้ผิดทางเด็ดขาด เพราะการทำร้านอาหารมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ใครๆ มักคิดว่าได้กำไร 50% แต่แท้จริงแล้วร้านอาหารทำกำไรแค่ 10%"
เพราะนอกจากมีลูกค้าไม่แน่นอน แล้วยังมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ ทั้งเงินลงทุน ดอกเบี้ยแบงก์ ค่าพนักงาน ค่าของเสียหาย ภาษี ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ สมชายยังบอกด้วยว่า "13 เหรียญคือโรงเรียน นี่คือโรงเรียนการทำอาหารที่เรียนฟรี และทำให้ฟรี ใครอยากรู้มา มาขอดูได้เลย ผมเปิด คุณอยากได้อะไร เรียนรู้อะไร เอาไป ผมไม่เคยหวง" เช่นเดียวกับลูกค้าที่มากินนั้น "สมชาย" ยินดีรับฟังคำแนะนำเสมอ
"คนเราจะต้องยอมรับความจริง และแก้ไขปรับปรุงเมื่อลูกค้าติ ตัวนี้ คือหัวใจ ลูกค้าติก็ต้องยิ้ม ไม่ใช่หน้าบึ้ง ถ้าทำอย่างนี้เจ๊งทันที เขาติเพื่อก่อก็ต้องฟัง แล้วนำคำติไปปรับปรุง" แต่สิ่งหนึ่งที่หนุนส่งให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ เป็นวิถีพุทธ ศีล สมาธิ ปัญญา
"ศีล ชีวิตผมไม่เคยทำความชั่ว
สมาธิ เมื่อผมไม่มีความชั่ว จิตใจผมก็ไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญา เมื่อผมไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญาผมก็เกิด"
หากใครอยากจะเอาเยี่ยงอย่างเขา เชื่อว่า "สมชาย นิติวนะกุล" ก็คงยินดี
(อ้างอิง ประชาชาติฉบับวันที่ 05 พฤษภาคม 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3685 (2885)
เครดิต จากคุณ : OnceInTheBlueMoon สมาชิกพันทิป ห้องสีลม)
บทความจากนิตยสาร ช่องทางสร้างอาชีพ
สมชาย นิติวนะกุล สร้าง 13 เหรียญ ด้วยสองมือ สู่ธุรกิจร้านอาหารนับสิบล้าน 31 สาขา
คุณสมชาย นิติวนะกุล เจ้าของร้านอาหารชื่อดังของเมืองไทย "13 เหรียญ" ใครเป็นนักชิมแล้วน้อยคนนักที่จะปฏิเสธว่าไม่เคยสัมผัสกับร้านอาหารสไตล์อเมริกันแห่งนี้ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติอาหารประเภทสเต๊ก ที่ถูกปากถูกลิ้นคนไทยจนเป็นที่เลื่องลือ ชีวิตการต่อสู้ของคุณสมชายน่าสนใจ และคลาสสิคไม่แพ้รสชาติอาหารที่ร้านของเขาเลยสักนิด
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2491 เป็นวันที่ชาวจีนในยุคนั้นถือเป็นวันดีอีกวันหนึ่งของพวกเขา เป็นคืนที่พระจันทร์สวยที่สุด เพราะตรงกับวันไหว้พระจันทร์พอดี เด็กชายคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น
"วันที่ผมเกิดตรงกับวันไหว้พระจันทร์พอดี พ่อผมเล่าว่า วันนั้นพระจันทร์สวยมากทีเดียว" คุณสมชายลืมตาดูโลกที่ย่านวัดแขก สีลม เป็นบุตรชายคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน ของครอบครัวชาวจีนไหหลำ "พ่อผมเป็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ พ่อผมเขาเป็นกุ๊ก ส่วนแม่ก็เป็นช่างเย็บผ้า" คุณสมชาย ย้อนอดีตให้ฟัง
แม้จะมีพี่สาวอีกหนึ่งคน แต่ตัวเขาก็มีศักดิ์เป็นลูกชายคนโตของบ้าน จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับการสนับสนุนด้านการเรียนจากครอบครัวอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเรื่องการเรียนกับเขาจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาไปเสียแล้ว เขาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ก่อนจะย้ายมาเรียนสายพาณิชย์ ที่โรงเรียนสหพาณิชย์ ย่านศาลาแดง ใกล้บ้าน ด้วยความเป็นคนมีอัธยาศัย ใจกว้าง มีเพื่อนฝูงมากมาย พอเริ่มเข้าสู่วัยแตกหนุ่มอายุได้เพียง 19 ปี ขณะที่เรียนเกือบจะจบพาณิชย์อยู่แล้ว เขาก็พบกับจุดหักเหในชีวิตครั้งใหญ่เข้าจนได้ วินาทีแห่งการเริ่มตำนานชีวิตอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในครั้งนั้น
บุกถิ่นลุงแซม
ด้วยความที่เป็นคนมีเพื่อนฝูงมากมาย เมื่อเพื่อนกลุ่มหนึ่งไปหากินอยู่ที่อเมริกาในยุคที่คนไทยนิยมบินไปขุดทองที่เมืองลุงแซมกัน จนเป็นแฟชั่นเมื่อเกือบ 30 กว่าปีก่อน คุณสมชายก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ตัดสินใจบินตามเพื่อนฝูงไปแสวงโชค ยังดินแดนเสรีแห่งนั้นด้วย
"ตอนนั้น ผมเพิ่งอายุ 19 ปีเท่านั้น เรียนก็ยังไม่ทันจบ แต่ว่าเพื่อนฝูงมันชวนให้ไปทำงานที่อเมริกาด้วยกัน เพราะว่ามีเพื่อนอยู่ที่โน่นแล้ว 4-5 คน ผมก็ตัดสินใจไปทันทีเหมือนกัน"
หนุ่มน้อยจากเมืองไทยเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องบินไปถึงเมืองลุงแซมแบบบินเดี่ยว มีจุดหมายปลายทางคือ เพื่อนพ้องที่รออยู่ที่อเมริกาเพียง 4-5 คน กับความหวังที่จะมีงานมีเงินเดือนดีๆ เป็นสิ่งตอบแทน
เขาจำต้องทิ้งครอบครัวและแผ่นดินแม่ ออกไปเผชิญโชคบนแผ่นดินใหม่ที่เขาเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน สวมวิญญาณของนักเสี่ยงโชคที่พกเอาหัวใจสู้มาด้วยแบบเต็มร้อย เป็นเสมือนทุนรอนเพียงอย่างเดียวที่เขาพกติดตัวไปจากเมืองไทย
"ผมนั่งเครื่องบินไปลงที่เมืองซีแอตเติ้ล รัฐวอชิงตัน ไปถึงโน่นก็พอดีเพื่อนเขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น ผมก็เลยได้โอกาสเสียบเข้าทำงานที่เพื่อนเคยทำอยู่ทันทีเหมือนกัน"
งานแรกในต่างแดนของเขาคือ ตำแหน่งพนักงานล้างจาน ได้ค่าแรงชั่วโมงละ 1.25 เหรียญ เวลาทำงานคือ 19.00-01.00 น. ทุกวัน แต่น่าเสียดายที่เขาทำอยู่ได้แค่ 7 วัน ก็ถูกเชิญออกเสียก่อน
"ผมไปทำงานครั้งแรกภาษาก็ยังไม่ดี โดนไอ้มืดมันด่าเสียๆ หายๆ ดีแต่ว่าผมฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ดีไปอย่าง ไม่งั้นคงมีเรื่องมีราวแน่ "
ในที่สุด คุณสมชายก็ต้องออกจากงานชิ้นแรกด้วยข้อหาล้างจานไม่สะอาด
"โอ้โฮ! คุณ สมัยนั้นน่ะมันเซฟค่าใช้จ่าย จ้างคนล้างจานคือผมคนเดียว แล้วที่นั่นมันเป็นร้านอาหารจีน เปิดขายตั้งแต่กลางวัน มันก็หมักถ้วยจานเอาไว้ตั้งแต่กลางวัน กว่าผมจะเข้าไปทำงานก็เป็นช่วงหนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว เศษอาหารมันก็เกาะติดจนแห้งกรัง ผมเอาเข้าเครื่องล้าง ล้างยังไงมันก็ไม่หมด"
ได้เงินค่าแรงมาเป็นทุนรอนก้อนหนึ่ง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษา พร้อมๆ กับเริ่มมองหางานใหม่ไปด้วย
ในที่สุด โชคก็เข้าข้างจนได้ เขาได้งานชิ้นใหม่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง คราวนี้ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยพนักงานเสิร์ฟ ทำอยู่ได้ 6 เดือน ลู่ทางงานใหม่ที่ให้รายได้ดีกว่าเริ่มปรากฏ
"ผมย้ายมาทำงานที่ใหม่เป็นภัตตาคารสเต๊กเฮ้าส์ รายได้ดีกว่าที่เก่าเยอะ ผมทำอยู่ที่นี่นาน 4 ปีครึ่งทีเดียว"
ระหว่างที่ทำงานอยู่ที่นี่รายได้ของเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าพอใจทีเดียว เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็กลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย
"อยู่เมืองนอกนานๆ มันทั้งเบื่อทั้งเหงาทีเดียว พอผมเก็บเงินได้ก็กลับมาบ้านเสียทีหนึ่ง พอเงินหมดหายคิดถึงบ้าน ก็กลับไปทำงานใหม่"
หลังจากชาร์จพลังใจจากบ้านเกิดพักหนึ่ง เขาก็กลับไปลุยเมืองลุงแซมต่ออีกครั้ง คราวนี้ได้งานใหม่เป็นกัปตันอยู่ที่เมืองดีมอย เมืองนี้อยู่ห่างจากซีแอตเติ้ลไปราว 30 กิโลเมตร ที่นี่เขาเข้าทำงานตำแหน่งกัปตันในภัตตาคารซีฟู้ด ชื่อ "วินจาเมอร์" ทำอยู่ได้ 6 เดือน ก็ขอเปลี่ยนหน้าที่ใหม่คือ ทำตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟด้วยเหตุผลหลักคือ รายได้ที่สูงกว่านั่นเอง
"พอดีผมไปเจอนายเก่า ก็เลยขอเขาเปลี่ยนไปทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟ เพราะมันได้ทิปมีรายได้มากกว่ากัปตันเยอะ เขาก็โอเค"
เขาใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์อยู่ที่ภัตตาคารแห่งนี้นานถึง 5 ปี ก่อนจะย้ายมาเสิร์ฟอยู่ที่ร้าน 13 เหรียญ ในอเมริกาอีก 2 ปี จนมาสิ้นสุดการขุดทองที่รัฐอลาสก้าเป็นแห่งสุดท้าย
"ผมไปอยู่อลาสก้า อยู่ที่เมือง ANCHORAGE เป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ที่ภัตตาคารในเมืองนั้นอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกลับเมืองไทย"
เปิด 13 เหรียญ แห่งแรกในดินแดนสยาม
ตลอดระยะเวลาที่ไปขุดทองที่เมืองลุงแซม คุณสมชายส่งเงินกลับมาให้ที่บ้านไม่เคยขาด กระทั่งสามารถนำเงินมาเซ้งตึกแถวละแวกหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงได้หนึ่งห้อง
"ผมกลับเมืองไทยปี 2519 ตอนนั้นก็เก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่งแล้วพอทำทุนได้ อาศัยว่าผมมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำอาหาร แล้วก็พอมีประสบการณ์จากการทำงานร้านอาหารมาตลอดในอเมริกาเป็นทุน ผมก็เลยตัดสินใจกลับเมืองไทยมาเปิดร้านอาหาร "13 เหรียญ" ขึ้นแห่งแรกที่หน้ารามฯ ด้วยเงินทุนที่ต้องเรียกว่าเทหมดกระเป๋าในขณะนั้น บวกกับความตั้งใจเต็มร้อยที่จะต้องทำร้านอาหารให้เป็นผลสำเร็จให้ได้
ร้านอาหาร 13 เหรียญ จึงถือกำเนิดขึ้นนับแต่นั้น ส่วนเหตุผลที่เลือกชื่อร้านอาหาร 13 เหรียญ มาใช้นั้น ก็เพราะความประทับใจในร้านอาหารแห่งนี้ เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสไปทำงานคลุกคลีใกล้ชิดเมื่อครั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกานั่นเอง
ช่วงแรกที่เปิดดำเนินการ ปรากฏว่าไม่ราบรื่นอย่างที่หวังเอาไว้นัก รายได้ของร้านในระยะแรกๆ อยู่ในราววันละไม่ถึง 1,000 บาท น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่คุณสมชายเคยได้รับขณะทำงานอยู่ในอเมริกา
"เปิดร้านแรกๆ ผมขายได้อย่างมากก็ 700-800 บาท เคยท้อเหมือนกัน เกือบจะถอดใจจนคิดจะกลับไปหากินอเมริกาอยู่แล้ว"
แต่ในที่สุด คุณสมชายก็ฮึดสู้จนสร้างชื่อให้ร้าน 13 เหรียญ ติดอันดับร้านยอดนิยมสำเร็จจนได้
"ผมต้องใช้เวลานาน 7-8 ปี ทีเดียว กว่าจะทำให้ชื่อ 13 เหรียญ เป็นร้านอาหารที่คนทั่วไปนิยมและยอมรับได้"
ช่วงแรกของการเปิดร้าน คุณสมชายลงมือทำอาหารเอง มีคุณพ่อซึ่งเป็นกุ๊กเก่ามาคอยช่วยอีกแรง พร้อมๆ กับพี่น้องทุกคนที่ลงมือลงแรงมาช่วยด้วยความเต็มใจ
"เรื่องเรียนผมอาจด้อยกว่าคนอื่น แต่สำหรับเรื่องทำอาหารแล้วผมไม่เป็นรองใครเหมือนกัน มันเป็นพรสวรรค์ที่ส่วนหนึ่งอาจได้มาจากการที่มีพ่อเป็นกุ๊กมือหนึ่งด้วยมั้ง"
ในที่สุด รสชาติของคุณสมชายก็เป็นที่ถูกปากถูกใจของบรรดาลูกค้าที่เข้ามาลิ้มลอง กระทั่งชื่อเสียงของร้านเริ่มกระจายไปในหมู่ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วลูกค้ากลุ่มแรก ๆ ก็มักจะเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั่นเอง
เมื่อรสชาติอาหารเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้า เสียงร่ำลือจากปากต่อปากก็เป็นเสมือนแรงโฆษณาที่ไม่ต้องลงทุน กระทั่งในที่สุด ชื่อเสียงของร้าน 13 เหรียญ เริ่มติดหูคนกระจายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ การเพิ่มสาขาของร้านจึงเกิดขึ้นตามมา จากหนึ่งเป็นสองและอีกหลายๆ สาขาที่เริ่มทยอยตามมา "ร้าน 13 เหรียญ ของผมมาบูมสุดๆ ก็ตอนที่ผมไปเปิดสาขาที่มาบุญครองนั่นแหละครับ"
มังกรผงาดฟ้า
ปัจจุบันนี้ มีทั้งหมด 31 สาขา ครอบคลุมทุกซอกทุกมุมของกรุงเทพมหานคร 30 แห่ง และที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 แห่ง
ในที่สุด วินาทีแห่งความสำเร็จก็เดินทางมาถึง กิจการร้านอาหาร 13 เหรียญ ของคุณสมชายดีวันดีคืนอย่างน่าชื่นใจ จากรายการอาหารที่มีบรรจุอยู่ในเมนู เมื่อครั้งแรกเปิดร้านเพียง 10 กว่ารายการ ปัจจุบัน เพิ่มขึ้นมากมายกว่า 30 ชนิด บุคลากรในร้านเมื่อเริ่มแรกที่ใช้แรงงานในครอบครัวและจ้างแรงงานเพิ่มอีกเพียง 5-6 คน ปัจจุบัน เฉพาะกุ๊กและผู้ช่วยยังไม่นับรวมถึงพนักงานเสิร์ฟและพนักงานแผนกอื่นๆ ก็ปาเข้าไป 300 กว่าคนแล้ว ร้านอาหาร 13 เหรียญ ของคุณสมชายเพิ่งจะเปิดสาขาที่ 31 ไปหมาดๆ ริมถนนพระราม 9 และที่น่าปลาบปลื้มเข้าไปอีกเมื่อชื่อของ 13 เหรียญ มีโอกาสแพร่กระจายไปไกลถึงบังกลาเทศด้วยการขายแฟรนไชส์ให้ เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นเหนือไปถึงเชียงใหม่ ก็สามารถหาอาหารอร่อยๆ ในร้าน 13 เหรียญ รับประทานได้รสชาติไม่ผิดเพี้ยนไปจากกรุงเทพฯ "ผมยังคงเทรนพ่อครัวเองอยู่ แต่ถ้าเป็นพวกซอสต่างๆ แล้ว เราจะมีศูนย์ใหญ่คือ ที่สาขารามคำแหง เป็นที่ซึ่งเราใช้ปรุงซอสเพื่อส่งไปยังสาขาต่างๆ เพื่อให้รสชาติอาหารออกมาไม่ผิดเพี้ยนไปมากนัก"
และด้วยเหตุนี้เองที่ปัจจุบันคุณสมชายได้คิดทำซอสต่างๆ บรรจุขวดออกขาย เพื่อเอาใจคนชอบรับประทานสเต๊กเสียเลย
"ผมเริ่มทำมาได้ 2-3 ปีแล้ว แต่วางขายเฉพาะในร้าน 13 เหรียญ ไปก่อน ซอสของผมได้ อย. มาเรียบร้อย แต่ที่ผมยังไม่โฆษณาและออกวางตลาดก็เพราะยังติดเรื่องโรงงานผลิตอยู่" ด้วยเหตุนี้หากใครที่อยากจะลิ้มรสชาติซอสสูตรเด็ดของคุณสมชาย ก็คงต้องลงทุนตามไปซื้อที่ร้านกันเอาเองก่อน แต่คุณสมชายบอกว่าในเวลาอีกไม่นานนักเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ซอสที่ติดยี่ห้อ 13 เหรียญจะต้องถูกนำออกจำหน่ายตามท้องตลาดอย่างแน่นอน "ซอสของผมนี่เป็นสูตรเดียวกับที่เมืองนอกเขาใช้ แต่ของนอกจะแพงกว่าของผมมาก ส่วนรสชาตินั้นผมการันตีได้ว่าไม่ผิดเพี้ยนไปจากของฝรั่งทั้งรสและกลิ่น" ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คงจะเป็นซอสพริกที่ถูกปากถูกลิ้นคนไทยจริงๆ นอกจากนี้ ยังมีน้ำตาลสดที่บรรจุกระป๋องไว้ให้ลองสั่งมาลิ้มรสกันอีก ส่วนรสชาติจะหวานหอมขนาดไหน เรื่องนี้ก็คงต้องติดตามไปชิมลิ้มรสกันเองเสียแล้วครับ
ครอบครัวที่อบอุ่น
แม้จะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนเสียนาน ถูกความเหงารุมเร้าอยู่ก็หลายปี แต่น่าแปลกที่คุณสมชายกลับครองตัวเป็นโสดได้ยาวนานร่วม 10 ปี แม้จะเป็นคนหนุ่มที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนเสรีอย่างอเมริกาก็ตาม
"หน้าตาผมคงไม่ค่อยหล่อสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง ถึงไม่ค่อยมีสาวๆ มายุ่งสักเท่าไร" คุณสมชายเล่าอย่างติดตลก
แต่เมื่อกลับมาเมืองไทย กามเทพก็แผลงศรรักปักอกเข้าอย่างจัง เมื่อเขาได้มีโอกาสพบกับคุณพัชรี จิวชัยศักดิ์ สาวน้อยแห่งเมืองสยาม "ผมกลับมาเมืองไทยได้ปีเดียวก็แต่งงานเลย แต่งเมื่อปี 2520" คุณสมชายย้อนอดีตให้ฟัง
แต่งงานอยู่กินกันจนมีพยานรักรวม 3 คน เป็นหญิง 2 ชาย 1 ปัจจุบันโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเกือบหมดแล้ว
"ลูกๆ ไม่มีใครเข้ามาช่วยงานหรอก มีแต่แฟนผมที่เขาช่วยดูแลเรื่องบัญชีการเงินมาตั้งแต่แรก ส่วนพี่ๆ น้องๆ ของผมก็มาช่วยงานในร้านกันทุกคน"
ชีวิตในปัจจุบันของคุณสมชายจึงนับว่าเป็นชีวิตที่มั่นคงสงบสุขแบบน่าอิจฉาทีเดียว "ทุกวันนี้ ผมก็ยึดหลักในการปกครองลูกน้องแบบพี่ปกครองน้อง พ่อปกครองลูก เพราะผมเองเคยเป็นลูกน้องเขามาก่อนย่อมเข้าใจจิตใจของพวกเขาดี ผมเคยลำบากมา ผมรู้รสชาติของความลำบากว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน"
ด้วยหลักในการทำงานที่ถึงลูกถึงคนของคุณสมชายนี่เอง ถึงแม้ว่าสาขาของ 13 เหรียญ จะเพิ่มทวีมากขึ้นพร้อมกับปัญหาที่เพิ่มเป็นเงาตามตัวสักเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าปัญหาทุกเรื่องนั้นจะมีทางแก้ไขได้เสมอ
"ผมก็อาศัยประสบการณ์จากการที่ได้เคยทำงานมาหลายแห่งหลายที่นั่นแหละ มาปรับประยุกต์ใช้แก้ไขเป็นหลักในการบริหารงานไป"
ปัจจุบัน ร้านอาหาร 13 เหรียญทุกสาขาจะต้องมีการประชุมกันเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อชี้แจงแนวนโยบายในการทำงาน ทุกสาขาจะมีผู้จัดการสาขาคอยดูแล และยังต้องมีผู้จัดการคุมสาขาอีกทอดหนึ่งดูแล เพื่อให้งานดำเนินไปสำเร็จตามเป้าหมายอีกด้วย
"ผมคิดเสมอว่า ลูกน้องของผมก็เหมือนพี่น้องกัน ครอบครัวของผมก็เลยกลายเป็นครอบครัวที่ใหญ่มากทีเดียว"
นี่คือ อีกหนึ่งตัวอย่างของคนสู้ชีวิต ที่ไม่เคยก้มหัวให้กับโชคชะตา ไม่ยอมให้ใครมาเป็นผู้ลิขิตชีวิตนอกจากตัวของตัวเอง ลูกผู้ชายเลือดมังกรผู้สร้างตำนานชีวิตอันยิ่งใหญ่เพื่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ร่วมศึกษาชีวิตที่ยิ่งกว่านิยายของเขา คุณสมชาย นิติวนะกุล เจ้าของกิจการร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความสำเร็จอยู่เพียงแค่ปลายมือเอื้อมคว้าเท่านั้น แต่จะคว้าได้หรือไม่ มันอยู่ที่ว่าคุณได้พยายามเอื้อมมือออกไปไขว่คว้าความสำเร็จนั้นหรือยังเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น