เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์ผู้นำที่เป็นหนึ่งในเรื่องนวัตกรรมกีฬา
“ไนกี้” เป็นแบรนด์ต้นๆ
ที่คนส่วนใหญ่คิดถึง ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน
นวัตกรรมแรกของไนกี้ได้ถือกำเนิดขึ้นจากประกายความคิดของ “บิล บาวเวอร์แมน”
สุดยอดโค้ชทีมวิ่งระดับตำนานของมหาวิทยาลัยโอเรกอนและของโลก
ผู้ปั้นนักวิ่งซึ่งต่อมามีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์กีฬาวิ่งของโลกหลายต่อหลายคน บาวเวอร์แมนยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งไนกี้และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดและผลักดันเป้าหมายสูงสุดของแบรนด์ในการนำเสนอนวัตกรรมและแรงบันดาลใจให้แก่นักกีฬาทุกคนในโลกนี้
ในปี
พ.ศ.2514 ขณะที่บิล บาวเวอร์แมน
กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่กับภรรยา เขาเกิดความคิดแหวกแนวอย่างหนึ่งขึ้นมา
วาฟเฟิลในจานไม่ได้ดูเหมือนแค่อาหารเช้า เพราะจากรูปแบบตารางช่องๆ ของวาฟเฟิล ทำให้เขาเกิดไอเดียขึ้น
เขามองเห็นอนาคตของรองเท้าวิ่งที่จะมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะ
และการเร่งความเร็วที่ดี
เขาได้ทดสอบทฤษฏีที่คิดค้นนี้โดยนำยางมาเทลงในเครื่องทำวาฟเฟิล
เมื่อยางแข็งตัวเขาจึงได้พื้นรองเท้าแบบใหม่
รองเท้าโอเรกอน วาฟเฟิลรุ่นแรก ประกอบไปด้วยโลโก้ “Swoosh” บนพื้นแดง
และเป็นรองเท้าแบบแรก ในตลาดที่มีพื้นรองเท้าแบบวาฟเฟิล มีน้ำหนักเบา
ซึ่งเหมาะสำหรับการแข่งขันหรือการฝึกซ้อม นับจากนั้น
ลายวาฟเฟิลได้กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของรองเท้าวิ่งรุ่นต่างๆ ของไนกี้ ไนกี้ยังคงคิดค้นพัฒนาต่อไป
จนกระทั่งคิดค้นเทคโนโลยีที่มาแทนวาฟเฟิลในไม่กี่ปีให้หลัง
เรื่องราวประวัติศาสตร์ความผูกพันระหว่างแบรนด์ไนกี้และกีฬาวิ่งคงจะไม่สมบูรณ์
ถ้าเราไม่ได้พูดถึงยอดนักวิ่งแห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอนและทีมชาติสหรัฐอเมริกาในยุคทศวรรษที่
70 ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น
“จิตวิญญาณของไนกี้” เขาคือ “สตีฟ
พรีฟอนเทน” ในยุคนั้น “พรี” (ชื่อเล่นที่ทุกคนใช้เรียกเขา) เป็นสุดยอดนักวิ่งของสหรัฐอเมริกา
ที่คว้าอันดับ 1
จากเกือบทุกสนามที่ลงแข่ง
เป็นเจ้าของทุกสถิติของสหรัฐอเมริกาสำหรับการวิ่งระยะทางตั้งแต่ 2 ถึง 6 ไมล์ ตลอดช่วงเวลาที่ลงแข่งขัน เขาทำลายสถิติวิ่งของตนเองและของสหรัฐอเมริกาถึง
14 ครั้ง เขาเป็นขวัญใจของคนดูในสนาม
โดยทุกคนจะลุกขึ้นและตะโกนชื่อเขาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าทุกครั้งที่จบการแข่งขัน
ไนกี้ยังคงยึดเรื่องของกีฬาและนวัตกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ใส่พลังความแปลกใหม่ที่หลากหลายเข้าไปเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้หลงใหลในแฟชั่นและสไตล์ ตัวอย่างเช่น คอลเลคชั่นฤดูหนาวเมื่อปี 2006 คอลเลคชั่นที่ชื่อ “สปอร์ต เฮริเทจ”
มีไฮไลต์สำคัญคือ รองเท้าโอเรกอน วาฟเฟิล
ดีไซน์ ย้อนยุคที่ยังคงเอกลักษณ์ของไนกี้เอาไว้ และแจ็คเก็ต “วินด์รันเนอร์”
ที่มีจุดเด่นคือดีไซน์ รูปตัววี 26 องศา ออกแบบโดยเจฟฟ์ โฮลิสเตอร์
(ภายหลังไปสร้างแบรนด์โฮลิสเตอร์เป็นของตนเอง)
อดีตนักวิ่งลูกศิษย์ของโค้ชบิล บาวเวอร์แมน ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน
และเป็นผู้ชักชวนพรีฟอนเทนให้มาร่วมงานกับไนกี้เป็นครั้งแรก
ในปี 1948 บิลล์ บาวเวอร์แมนซึ่งเป็นโค้ชให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน มีผลงานอย่างในการแข่งขัน NCAA outdoor championships ในปี 1962, 1964, 1965 และ 1970
เขายังทำให้ทีมชาติอเมริกาสามารถพิชิตถึง 6 เหรียญทอง ในโอลิมปิก และฟิล
ไนต์ได้รู้จักกับบาวเวอร์แมนในขณะที่เขาเป็นนักวิ่งให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน
ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการรองเท้าคุณภาพเยี่ยมที่มีความเบาและทนทานสำหรับการแข่งขัน จนในปี
1962 ไนต์ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลและพบว่ารองเท้ากีฬาจากประเทศญี่ปุ่นมีคุณภาพดี
และมีราคาถูกกว่าสินค้ากีฬาจากประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นผู้นำตลาดในอเมริกาอยู่ขณะนั้น
และหลังจากที่ไนต์เรียนจบด้าน MBA จึงได้ออกเดินทางไปทั่วโลก
และไปที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเขาได้มีโอกาสพบกับ Onitsuka Tiger Company โรงงานผลิตรองเท้ากีฬาของญี่ปุ่น และชักชวนให้ Tiger ขยายตลาดเข้ามาในอเมริกา ไนต์ใช้ชื่อสินค้าว่า
“Blue Ribbon Sports” หรือ BRS ซึ่งเป็นชื่อเดิมของไนกี้
และได้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับบาวเวอร์แมนที่ชื่อ BRS Inc.ขึ้น
โดย ไนต์ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านการเงินและการตลาด ส่วนบาวเวอร์แมน
ดูแลทางด้านการพัฒนาออกแบบรองเท้ากีฬา
ต่อมาในปี 1970 บาวเวอร์แมนทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวาฟเฟิล (Waffle) ของภรรยาเขา ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำหรับรองเท้ากีฬา
ที่พื้นรองเท้าเป็นแบบที่เห็นในทุกวันนี้ ถัดมาในปี 1971
บาวเวอร์แมนจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ชื่อว่า Nike Inc. ในปีถัดมา
BRS Inc. และ Onitsuka Tiger ได้แยกบริษัทออกจากกันอันเนื่องจากความขัดแย้งกันทางธุรกิจ
ในปีนี้เองได้ออกแบรนด์ไนกี้เพื่อเจาะกลุ่มนักกีฬากรีฑาในโอลิมปิก ต่อมาในปี 1981 BRS
Inc. และ Nike Inc. ได้รวมบริษัทเข้าด้วยกัน ในปี 1984 ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อดังได้มาร่วมงานกับไนกี้ ซึ่งทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด
โดยมีผลิตภัณฑ์ ที่ใช้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อ "Jordan" และในปี 1997 สินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของ “M.J.” แตกไลน์ออกไปโดยใช้ชื่อ "12-Star products" (ในปีนั้นไมเคิล จอร์แดนได้รับเป็นผู้เล่น All-Star Game ถึง 12 ครั้ง) และไนกี้ยังประสบความสำเร็จกับแคมเปญ โฆษณาชุด “Just
Do It” อีกด้วย
ปัจจุบัน Nike Inc. มีพนักงาน 23,000 คนทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ 2
แห่ง คือที่เมืองโอเรกอน ประเทศอเมริกา และประเทศเนเธอร์แลนด์
กีฬาสำคัญที่ไนกี้ได้ให้การสนับสนุน คือ บาสเกตบอล เบสบอล อเมริกันฟุตบอล และเทนนิส ฯลฯ
แคมเปญ โฆษณา
ไนกี้เริ่มทำโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม
2525 สำหรับการออกอากาศในการถ่ายทอดการแข่งขันนิวยอร์กมาราธอน สร้างโดย บริษัท Wieden+Kennedy
โดยคำขวัญที่ว่า Just do it ซึ่งได้รับการยกย่องจาก
แอดเวอร์ไทซิ่ง เอจ ว่าเป็นหนึ่งในห้าสโลแกนแห่งศตวรรษที่ 20 การใช้นักกีฬาในการเป็น Brand Endorser
ทางไนกี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2521 โดยเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักเทนนิสชาวโรมาเนียชื่อ IIie Nastase ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
และนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ นักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน ไมเคิล จอร์แดน
ซึงไนกี้เป็นสปอนเซอร์ตั้งแต่ปี 2527 และผลิตภัณฑ์สำหรับกีฬาบาสเกตบอลไลน์จอร์แดน
ยังทำรายได้ให้ไนกี้มหาศาล สำหรับแคมเปญการตลาดต่าง
ๆ ของ ไนกี้ ได้รับการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สมิทโซเนียน ปัจจุบัน ไนกี้ ได้เข้าสู่ตลาดกอล์ฟ โดยใช้ Tiger
Woods เป็น Brand Ambassader (TAK MBA ABAC)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น