วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

แม็ตช์คลาสสิก "เอล กลาซิโก้" บาร์ซ่า vs มาดริด


2 ทีมนี้เจอกันทีไรก็สนุกทุกทีครับ จะเรียกได้ว่าเป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ก็ว่าได้ เพราะมี 2 ซุปเปอร์สตาร์ตัวเก่งของทีมอันดับ 1 กับ 2 ของโลกอยู่ในฝั่งละทีม และมีหน.โค้ชหรือผู้ฝึกสอน(รวมผู้จัดการทีมเข้าไปด้วย) ที่เก่งอันดับ 1 ของโลกไว้ทั้ง 2 ทีมเช่นเดียวกัน เราจะเรียกแม็ทช์ที่ 2 สุดยอดทีมมาเจอกันว่า แม็ทช์คลาสสิก หรือที่คนสเปนเรียกว่า “เอล กลาซิโก” สถิติที่ 2 ทีมเคยโคจรมาเจอกันทั้งหมด มีดังนี้


-ศึก ''เอล กลาซิโก้'' ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 218 ทุกรายการที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า เอาชนะไป 85 ครั้งซัดไป 351 ประตู ขณะที่ เรอัล มาดริด เอาชนะไป 86 ครั้งซัดไป 364 ประตูและเสมอกัน 46 ครั้ง แต่หากนับเฉพาะลีกถือเป็นการเจอกันครั้งที่ 164 โดยก่อนหน้านี้ ''ราชันชุดขาว'' เอาชนะได้ 68 ครั้งยิงได้ 264 ลูก ''เจ้าบุญทุ่ม'' เอาชนะได้ 64 ครั้งยิงได้ 255 ลูกและเสมอกันไป 31 ครั้ง

-มีอยู่หนึ่งสถิติซึ่งน่าเหลือเชื่อมากตรงที่ 163 ครั้งในลา ลีกาที่ผ่านมาการเจอกันของทั้งคู่จบลงด้วยการเสมอ 0-0 เพียงแค่ 8 เกมเท่านั้นแค่สถิติตรงนี้ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าโอกาสที่ เอล กลาซิโก้ จะลงเอยแบบโนสกอร์เกิดขึ้นนั้นยากมาก

-การพบกันตลอด 10 ครั้งหลังสุด โชเซ่ มูรินโญ่ สามารถนำ เรอัล มาดริด เอาชนะ บาร์เซโลน่า ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงของการต่อเวลาพิเศษเกม โกปา เดล เรย์ นัดชิงชนะเลิศจากประตูชัยของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองส่วนที่เหลืออีก 9 ครั้งแบ่งเป็นแพ้ 5 และเสมอ 4 แต่หากนับในเวลา 90 นาทีปกติแล้วเท่ากับว่า มูรินโญ่ ยังไม่สามารถนำทีมเอาชนะ บาร์ซ่า ได้เลย

-ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเหนือมนุษย์ของ บาร์เซโลน่า มีสถิติการยิงประตูค่อนข้างถูกโฉลกเหลือเกินในการพบกับ เรอัล มาดริด หลังจากซัดไปแล้วทั้งสิ้น 13 เม็ดติดทำเนียบดาวยิงอันดับ 6 ที่ทำประตูได้มากที่สุดในเกม ''เอล กลาซิโก้'' ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาผู้เล่นชุดปัจจุบันของทั้งสองทีมโดย เมสซี่ ต้องการอีก 5 ประตูเพื่อขึ้นไปเทียบเท่าเบอร์หนึ่งอย่าง อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ตำนานดาวยิง ''ราชันชุดขาว'' ที่ทำเอาไว้ 18 ลูกซึ่งเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาบวกกับอายุความสามารถแล้วไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย

-การพบกัน 10 ครั้งหลังสุดมีใบแดงเกิดขึ้นถึง 9 ใบโดยเป็นทางฝั่ง เรอัล มาดริด ที่ได้ไป 7 ใบและ บาร์เซโลน่า 2 ใบ


(หมายเหตุ ข้อมูลนี้อ้างอิงจากเว็บไซต์ของสยามกีฬา ขอขอบคุณครับ)


นอกจากการที่ทั้ง 2 ยอดทีมจะต้องแข่งขันขับเคี่ยวแย่งชิงกันเป็นแชมป์ลาลีกาสเปน ในฤดูกาลนี้ให้ได้กันแล้ว ซึ่งคะแนนห่างกันไม่มาก นั่นคือ บาร์เซโลน่า ยังตามหลังทีมจ่าฝูง เรอัลมาดริดอยู่ถึง 4 คะแนน ถ้าบาร์ซ่าชนะนัดนี้จะทำให้ผลห่างของคะแนนตามหลังมาดริดเพียงแค่ 1 คะแนน และจะมีสิทธิ์ลุ้นเป็นแชมป์ได้ง่าย ๆ เพราะเหลืออีกเพียงไม่กี่นัดต่อจากนี้ ทำให้แม็ทช์นี้มีความสำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นทีมใหญ่ ศักดิ์ศรีของโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 ทีม และยังมีเรื่องของแฟนคลับอีก เรอัลมาดริดหมายมั่นปั้นมือมากในฤดูกาลนี้ ที่จะต้องเป็นแชมป์ให้ได้ เพื่อแก้มือจากปีก่อนที่ถูกบาร์เซโลน่าแย่งแชมป์ไป และยังสร้างความยิ่งใหญ่ในเวทียูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกอีก ตัวนักเตะทรงคุณค่าอย่างลีโอเนล เมสซี่ก็ยังได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม(บัลลงดอร์) จากฟีฟ่าไปหลายปีซ้อนแล้ว แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้แค่รองมาหลายปีติด ปีนี้จึงเหมือนการล้างตา หรือทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นที่หนึ่งกลับมาจากบาร์เซโลน่าให้จงได้


การเปรียบเทียบขุมกำลังของทั้ง 2 ทีม มีดังนี้

ทีมบาร์เซโลน่า มี เปป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้ฝึกสอน

นัดนี้จะยังไม่มี ดาวิด บีญ่า และอิบราฮิม อเฟลลาย ที่ยังไม่ฟิต และเอริก อบิดัล ที่จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับ ส่วนนักเตะกำลังหลักอื่นๆ ยังคงอยู่ครบ โดยในแนวรับยังมี เคราร์ด ปิเก ,คาร์เลส ปูโยล และอาร์เวียร์ มาสเคราโน คุมเกม ส่วนแดนกลาง ก็จะประกอบไปด้วย ซาบี เออร์นันเดซ , อันเดรส อิเนียสตา ขณะที่แนวรุกก็ยังคงเป็นคนเดิมคือ ลีโอเนล เมสซี่ นำทัพเช่นเดิม บาร์เซ จะเล่นในระบบ 3-4-3 มี บิคตอร์ บัลเดส เป็นนายทวารเฝ้าเสา แนวรับจะประกอบไปด้วย ฮาเวียร์ มาสเคราโน ,คาร์เลส ปูโยล และเคราร์ด ปิเก แดนกลาง มี ดาเนียล อัลเวส ,เซร์ดิโอ บุลเกตส์ ,ซาบี เออร์นันเดซ , และเชส ฟาเบรกัส สำหรับ 3 แนวรุก จะเป็น อเล็กซิส ซานเชช ,ลิโอเนล เมสซี่ และอันเดรส อิเนียสตา

ทีม เรอัลมาดริด มี โฮเซ มูริญโญ่ เป็นผู้ฝึกสอน ค่อนข้างฟูลทีม เพราะจะได้ซาบี อลองโซ กลับมาหลังจากติดโทษแบน และจะกลับมาคุมเกมในแดนกลางอีกครั้ง ในขณะที่แนวรุก ก็จะประกอบไปด้วย คริสเตียโน่ โรนัลโด ,เมซุต โอซิล ,อังเดส ดิ มาเรีย รวมทั้ง คาริม เบนเซมา ตัวปิดสกอร์ ส่วนในแนวรับ มาร์เซโล (ซึ่งถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง ในเกมแชมป์เปี้ยนลีก) จะได้กลับมาเป็นแบ็คซ้ายตัวจริง แทน ฟาบิโอ โคเอนเทรา อีกครั้ง โดยเกมนี้ มาดริดจะเล่นในระบบ 4-2-3-1 โดยมี อิเกร์ กาซิยาส เป็นนายทวารเฝ้าเสา แนวรับ 4 ตน ประกอบด้วย อัลบาโร อาร์ เบลัว , เซร์คิโอ รามอส , เปเป้ , และมาร์เซโล ส่วนแดนกลางมี ซาบี อลองโซ กับซามี เคดิรา ยืนเป็นห้องเครื่อง ขณะที่อังเคล ดิ มาเรีย ,เมซุต โอซิล และคริสเตียโน โรนัลโด จะเล่นเป็นตัวรุก อยู่ด้านหลัง คาริม เบนเซมา ที่เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า

รูปเกมน่าจะออกมาคู่คี่สูสี สุดๆ โอกาสแพ้ชนะ มีด้วยกันทั้งคู่แบบ 50: 50 และผลแพ้ชนะ หรือเสมอก็มีความเป็นไปได้เท่าๆ กัน ขึ้นอยู่กับการแก้เกมของโค้ช หรือใครจะผิดพลาดให้เห็นก่อนกัน และสุดท้ายจุดพลิกผันของเกมจะอยู่ที่ความสามารถเฉพาะตัวของบรรดาซุปเปอร์สตาร์ของแต่ละทีมจะเล่นได้เข้าขา ลงตัว และท็อปฟอร์มเพียงใด คืนนี้รู้ผลแน่ รับชมได้ทางทรูวิชั่น,ช่อง 3 เวลา 01.00 น. คืนวันที่ 21-22 เม.ย.นี้ แข่งกันที่ แคมป์นู บ้านของบาร์เซโลน่าครับ

โจเซ่ มูรินโญ่ผู้จัดการทีมเพื่อนน้อยของเรอัล มาดริดใช้คำพูดประโยคหนึ่งของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพมาเป็นการกระตุ้นให้พวกเขาเอาชนะบาร์เซโลน่า เรอัล มาดริดเพิ่งจะเก็บชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลเหนือบาร์เซโลน่าเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโคลป้า เดล เรย์
"ปกติผมเป็นคนที่ชอบกระตุ้นคนอื่นอยู่แล้ว ก่อนที่จะไปกระตุ้นพวกคุณ ผมต้องจัดการกับตัวเองซะก่อน"
"เมื่อผมมีแรงจูงใจแล้ว มันก็ง่ายมากขึ้นในการชักจูงเหล่านักเตะของผม"
"แต่ผมก็เป็นคนที่พูดจูงใจคนเดียวกับคนที่ทำทีมแพ้ 5-0 ต่อบาร์เซโลน่า ผมไม่ได้มีน้ำยาวิเศษอะไรหรอกนะ"
"ผมบอกกับนักเตะของผมง่ายๆ มันไม่ใช่คำพูดของผมหรอก มันเป็นคำพูดของคนคนหนึ่งที่ชื่อว่าอัลเบิร์ต - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"
"มีพลังงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าพลังงานไอน้ำ , แข็งแกร่งกว่าพลังงานไฟฟ้าและปรมาณู พลังงานนั้นก็คือความพยายามของมนุษย์"
"อัลเบิร์ตคนนี้ไม่ใช่คนโง่ ด้วยความพยายามของคุณแล้ว คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้"
หลังจากมูริณโญ่กล่าวคำพูดนี้จบ ทุกๆคนในห้องต่างยืนตะลึง

ชูเซบ "เป๊ป" กวาร์ดีโอลา อี ซาลา (คาตาลัน: Josep "Pep" Guardiola i Sala) เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1971 ที่เมืองซันต์เปดอร์ จังหวัดบาร์เซโลนา แคว้นคาตาโลเนีย เป็นผู้จัดการฟุตบอลและนักฟุตบอลชาวสเปน กวาร์ดีโอลาเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรับ และเล่นกับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาเป็นหลัก เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมของ โยฮัน ครัฟฟ์ ที่นำทีมบาร์เซโลนาชนะการแข่งขันยูโรเปียนคัพครั้งแรก กวาร์ดีโอลายังเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเบรสเซีย, สโมสรฟุตบอลโรมา, Al-Ahli และสโมสรฟุตบอลโดราโดสเดอซีนาโลอา ส่วนในการแข่งขันระดับนานาชาติ เขาเป็นตัวแทนของฟุตบอลทีมชาติสเปน และในบางครั้งยังเล่นในนัดกระชับมิตรใหักับฟุตบอลทีมชาติคาตาโลเนียอีกด้วย


หลังจากที่เขาเกษียนจากการเป็นนักเตะ กวาร์ดีโอลาได้เป็นโค้ชให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาทีมบี และเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ประธานสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ควน บาหอร์ตา ประกาศว่ากวาร์ดีโอลาจะแทน แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ในตำแหน่งผู้จัดการทีมแรก เขาเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2008[1] ในฤดูกาลแรกในฐานะผู้จัดการทีม บาร์เซโลนาชนะ 3 ตำแหน่งคือ ลาลีกา, โคปาเดลเรย์ และแชมเปียนส์ลีก ในการที่เขานำทีมชนะยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาเป็นผู้จัดการทีมที่อายุน้อยที่สุด และในฤดูกาลต่อมา กวาร์ดีโอลานำทีมบาร์เซโลนาชนะในซูเปร์โกปาเดเอสปาญา (Supercopa de España) โดยชนะสโมสรแอทเลติกบิลเบา และชนะในยูฟ่าซูเปอร์คัพ โดยชนะสโมสรฟุตบอลชาคห์ตาร์โดเนตสค์ และชนะในฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ โดยชนะสโมสรฟุตบอลเอสตูดีอันเตส (Estudiantes) ทำให้เขาเป้นผู้จัดการที่นำถ้วยรางวัลชนะเลิศให้กับทีม 6 ถ้วยในการแข่งขันเพียงปีเดียว

นับตั้งแต่โชเซ่ มูรินโญ่ย้ายมากุมบังเหียนเรอัล มาดริด แม็ตช์ที่มีชื่อเรียกตามภาษาเมืองกระทิงว่า "เอล กลาซิโก้" เปลี่ยนจากเกมฟุตบอลกลายเป็น "สงคราม" ทั้งในและนอกสนามชนิดเต็มรูปแบบแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง ผู้ชนะก็ยังเป็นบาร์เซโลน่าอยู่นั่นเอง
จึงอาจบอกได้ว่าแม้ฟ้าจะส่ง "สเปเชี่ยล วัน" มาเกิด แต่ฟ้าก็ประทาน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้ทำหน้าที่กำราบความหยิ่งยะโสโอหังของมูรินโญ่เช่นกัน จากซีซั่นแรกกับราชันชุดขาวซึ่งกุนซือโปรตุกีสพาทีมคว้าได้เพียงแชมป์ โกปา เดล เรย์ หนึ่งใบ คาดว่าในซีซั่นหน้าเฮียมูน่าจะเจองานหนักอีกตามเคยสำหรับภารกิจอันแสนสาหัสกับการฉุดยักษ์กาตาลันให้ร่วงลงมาจากบัลลังก์ ทั้งนี้เพราะในการหยั่งเชิง (กันแบบเอาเป็นเอาตาย) สองนัดของศึก สแปนิช ซูเปอร์คัพ ปรากฏว่า บาร์ซ่า ยังข่ม เรอัล มาดริด อยู่นั่นเอง ไม่ว่าราชันชุดขาวจะใช้แทคติกแบบไหน รวมไปถึงการเตะติดดาบก็ไม่อาจทำให้คู่แค้นค่ายคัมป์นูระส่ำระสายได้ ต่อให้มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ในสังกัด แต่บาร์ซ่าทีมที่ดีที่สุดในโลกยุคนี้ก็มี ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกยุคนี้อยู่ในชายคา แม้หลายคนอาจชี้นิ้วว่าทีมของกวาร์ดิโอล่ามีจุดอ่อนอยู่ที่แนวรับ แต่เอาเข้าจริงแผงหลังของเรอัล มาดริดนั่นแหละที่มีช่องโหว่เยอะกว่า และเป็นจุดบอดของทีมอันทำให้ต้องเพลี่ยงพล้ำอีกตามเคย
อีกอย่างที่ต้องยอมรับกันก็คือราชันชุดขาวยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อนที่เคยได้รับฉายาว่า "กาลาคติกอส" อีกแล้ว
กล่าวคือทีมของมูรินโญ่ไม่มีพ่อค้าแข้งในระดับ ซีเนดีน ซีดาน , โรนัลโด้ , เดวิด เบ็คแฮม , โคล้ด มาเกเลเล่ , โรแบร์โต้ คาร์ลอส และฯลฯ
ต่างไปจากขุนพลของบาร์ซ่าซึ่งอันตรายและจัดจ้านทุกราย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเฉพาะตัว ตลอดจนรูปแบบการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ไม่มีทีมไหนเสมอเหมือน และยากต่อการลอกเลียนแบบ ถึงตรงนี้ กวาร์ดิโอล่ายังข่มมูรินโญ่ได้อย่างยอดเยี่ยม และเขากลายเป็นตำนานหน้าใหม่ของคัมป์นูไปแล้วเมื่อนับรวมถ้วยแชมป์ เพียงในเวลาไม่กี่ปีที่กระโดดขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ พี่เป๊ปพาบาร์ซ่ากวาดโทรฟี่ได้รวมสิบใบ มากกว่าอดีตกุนซือเทวดาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ไปแล้ว ฉะนั้น หากจะเรียกกวาร์ดิโอล่าว่าโค้ชขั้นเทพก็ไม่น่าจะเกินจริงแต่ประการใด
โดยเฉพาะหากในซีซั่นใหม่ เขายังขวางทางยิ่งใหญ่ของมูรินโญ่ ยัดเยียดให้โค้ชฝอยทองรับประทานแห้วได้อีกปี





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น