วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

จิตใต้สำนึกและการเลี้ยงดูที่ดีจะเป็นตัวผลักดันความสำเร็จในชีวิต

ช่วงนี้ตัวผู้เขียนจะดูทีวีบ่อยมาก มากกว่าสื่ออื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ ภาพยนตร์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ทำให้เป็นโรคติดทีวีไปแบบไม่รู้ตัว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อจะติดตามหาข้อมูล หรือประเด็นใหม่ๆ มาไว้ใช้เขียนบทความหรืออย่างน้อยไว้ติดตามข่าวสารบ้านเมือง เพื่อให้รู้เท่าทันสถานการณ์โลกภายนอกเสียหน่อยว่าเป็นเช่นไร แต่ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางด้านเคเบิ้ลทีวีมากกว่าฟรีทีวี เพราะมีรายการที่หลากหลายกว่า และเจาะลึกเนื้อหาประเด็นได้มากกว่า ปริมาณเนื้อหาการออกอากาศมีมากกว่า โฆษณาน้อยกว่า นี่คือเหตุผลที่เลือกดูเคเบิ้ลทีวีหรือทีวีดาวเทียม แต่ประเด็นที่จะเขียนในบทความชิ้นนี้กลับได้จากรายการทีวี 3 รายการ จากช่องฟรีทีวี นั่นคือ รายการเช้าดูวู้ดดี้ สรยุทธ์เจาะข่าวเด่น และ เดอะสตาร์ค้นฟ้าคว้าดาว และได้ดูข่าวที่ บัวขาว ป.ประมุข นักมวยไทยที่เก่งที่สุดของยุคนี้ หนีออกจากค่าย ป.ประมุข แหกกฏของค่าย ต้องการฉีกสัญญาจ้าง ต้องการเป็นอิสระจากพันธะสัญญาของผู้ใหญ่ ไม่ต่างอะไรจากตอนที่ จา พนม หนีออกจากสหมงคลฟิมล์ หนีหน้าเสี่ยงเจียง ไปปลีกวิเวก อ้างต้องการทำสมาธิ ทั้งๆ ที่ติดสัญญาถ่ายหนังให้เสี่ยเจียงเรื่ององก์บาก 2 อยู่ยังไม่เสร็จ จนเป็นเรื่องเป็นราว ถึงขั้นจะตัดหางปล่อยวัด แล้วยังไงไม่ทราบก็กลับมาอยู่ในครรลองได้ตามระบบของเสี่ยเจียงเดิมอีก ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา สามารถนำมาผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกันได้ ภายใต้ประเด็นหัวข้อที่ว่า “จิตใต้สำนึกและการเลี้ยงดูที่ดีจะเป็นตัวผลักดันความสำเร็จในชีวิต” ของคนได้มากจริงๆ




สืบเนื่องจากผู้เขียนได้ชมรายการ “เช้าดูวู้ดดี้” เทปล่าสุดที่ออกอากาศเมื่อเช้าวันที่ 20 เม.ย.2555 ที่มีแขกรับเชิญชื่อ ครูเงาะ ชื่อจริงรสสุคนธ์ กองเกตุ ครูแอ็คติ้งโค้ชชื่อดังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์การแสดงด้วยการใช้การบำบัดที่จิตใต้สำนึก หริอที่เรียกว่ารวมศาสตร์การแสดงกับการสะกดจิต แขกรับเชิญผู้นี้ได้พูดถึงคนทุกๆ คนในโลกนี้สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตในแบบของตนได้ทุกคน เช่น เป็นเศรษฐีพันล้าน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง หรือทำให้คนบางคนไปได้ไม่ไกลจากความสำเร็จ หรือเคยประสบความสำเร็จแล้วพังครืนลงมาก็คือปมที่อยู่ในจิตใจ ที่คนผู้นั้นบางทีไม่รู้ตัวว่าตนเองมีปมในใจ ซึ่งต้องอาศัยการบำบัด หรือเข้าไปค้นหาที่ระดับจิตใต้สำนึก แล้วแก้ไขเสีย เมื่อแก้ไขได้แล้ว จะทำให้ปมในใจของเรานั้นถูกเปิด และเมื่อทำสิ่งใดในชีวิตจะมีความรู้สึกเชื่อมั่นและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นแบบยั่งยืน อันนี้คือคีย์เวิร์ดที่เธอเปิดประเด็นขึ้นมาในรายการ คนบางคนถูกครอบครัวเลี้ยงดูมาแบบผิดๆ ถูกพ่อแม่สปอยด์ไปในทางลบๆ ทำให้เด็กถูกสั่งสมความเชื่อแบบผิดๆ มาจนกระทั่งโตหรือเกือบทั้งชีวิต เช่น แกมันโง่ ทำอะไรก็ไม่ได้ดี , บางคนสปอยด์ตัวเองแบบผิดๆ มาทั้งชีวิต คิดว่าตัวเองไม่สวย อ้วน หน้าตาไม่ดี เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก หรือเรียนไม่เก่ง จนขาดความมั่นใจมาตั้งแต่เด็กๆ




รายการ สรยุทธ์เจาะข่าวเด่น ช่วงสัมภาษณ์ตอนท้ายของเรื่องเด่นเย็นนี้ (ข่าวช่วงเย็นช่อง 3) ได้เชิญน้อง ณดล จูทะสมพากร แชมป์ดีดกีต้าร์คลาสสิกระดับโลก ที่มีโปรไฟล์น่าสนใจ คว้าแชมป์ดีดกีต้าร์คลาสสิคมาหลายรายการ ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ถือเป็นเด็กอัจฉริยะอีกคนนึงของไทย ดูจากการสัมภาษณ์นั้น ตัวน้องมีพรสวรรค์ส่วนนึง แต่ครอบครัวนั้นช่วยเติมเต็มและส่งเสริมในส่วนของพรแสวงให้น้อง คือเมื่อคุณพ่อรู้ว่าน้องมีทักษะ พรสวรรค์เกินวัย จึงรีบพาน้องไปฝึกปรือ เรียนกับครูที่เก่งที่สุดในเมืองไทย ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเมื่อครูเห็นแววเก่งจึงผลักดันต่อ หลังจากเรียนเพียง 3 เดือนก็ส่งประกวดในระดับโลก แล้วก็คว้าแชมป์มาได้เลย หลังจากนั้นน้องก็พยายามเรียนรู้ ฝึกซ้อม พัฒนาทักษะการดีดกีต้าร์มาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของครอบครัวและครู ก็พยายามส่งเสริมให้น้องไปประกวดในหลายๆ ที่ จนได้แชมป์อีกหลายรายการ ในขณะที่ตอนนี้น้องมีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เป็นแชมป์กีต้าร์ฝีมือดีที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมี และผลการเรียนอย่างอื่นก็ไม่ตก อยุ่ในระดับหัวกะทิ เกียรตินิยมเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ด้าน I.Q.ที่เป็นเลิศ แล้ว ด้าน E.Q. ที่เป็นส่วนที่สำคัญของเด็กยุคนี้ก็ไม่ขาด และอยู่ในเกณฑ์ดีเสียด้วย คือน้องเป็นคนมีบุคลิกร่าเริง แจ่มใส พูดเก่ง คล้ายๆ อีกคนที่จะพูดถึงต่อไป

รายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 8 มีผู้เข้าแข่งขันคนนึงที่ป็อปปูล่าร์มากในซีซั่นนี้ ชื่อ น้องแกงส้ม มาจากครอบครัวคุณพ่อชื่อสุรศักดิ์ ชัยอรรถ เป็นทั้งนักแสดงและนักธุรกิจ นอกจากความสามารถด้านการร้อง การแต่งเพลง ของตัวน้องแกงส้มที่สะสมประสบการณ์มาหลายปี ตั้งแต่เด็ก นอกเหนือจากรูปร่าง หน้าตา บุคลิกภาพที่ดีแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ทัศนคติ การวางตัว การพูดคุยไม่ว่าจะกับเพื่อนๆ ในบ้าน ,บรรดาครู หรือทีมงาน ผู้ใหญ่ ,คุยกับสื่อหรือแฟนคลับ การแสดงความคิดเห็นของน้องนั้นโต้ตอบได้ฉะฉาน มีความมันใจในตัวเอง มีการจัดระบบความคิดที่ดี ทั้งหมดนี้มาจากผลพวงของการเลี้ยงดูน้องแกงส้มจากครอบครัวที่บ้านแน่ๆ เป็นสำคัญ การให้ความเป็นอิสระ เป็นกันเอง ผู้เขียนเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณพ่อเกี่ยวกับน้องแกงส้ม ว่าเลี้ยงดูเหมือนเพื่อน มีอะไรจะคุยกันได้ทุกเรื่อง จะคอยบอก คอยเตือนกันแบบผู้ใหญ่ ส่วนนึงตัวน้องแกงส้มก็เป็นเด็กดีด้วย คือจะเชื่อฟังคำสอนของคุณพ่อคุณแม่ และคนรอบข้างเป็นอย่างดี อีกคุณสมบัติที่ดีอีกประการนึงในตัวน้องก็คือเป็นคนมุมานะ มีระเบียบวินัย ต่อตนเองอย่างสูงมาก สังเกตได้จากผลการเรียนในระดับดีมาก ถึงขั้นสามารถเรียนแพทย์ได้แต่ตัวน้องเลือกที่จะเรียนสถาปัตย์มากกว่า เพราะมีใจชอบด้านนี้ ส่วนอีกด้านคือด้านดนตรี ซึ่งก็ใช้เวลาส่วนที่เหลือจากการเรียนมาฝึกปรือผีมือ เคยไปประกวดและเรียนร้องเพลงกับครูอ้วน มณีนุช เป็นรองแชมป์ในรายการ CISA 2 ก่อนมาประกวดเดอะสตาร์ปี 8 ก็ได้เตรียมตัวมาประกวดด้วยการลดน้ำหนักตนเองลงมาจาก 90 ลงมาเหลือ 70 ก.ก. ซึ่งแสดงถึงการวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี ณ ตอนที่เขียนนี้ ผู้เขียนยังไม่รู้ว่าน้องจะไปได้ไกลถึงดวงดาวหรือไม่ แต่หยิบเอาประเด็นในด้านความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวของน้องแกงส้ม มาเพื่อที่จะบอกว่ามีผลต่อความสำเร็จอย่างยิ่งยวดครับ

ดูๆ ไปแล้ว น้องแกงส้มอาจจะเปรียบได้กับ น้อง ณดล ในภาคของวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งทั้ง 2 คนนี้คือเพชร ที่รอการเจียระไน ยังมีอณาคตได้อีกไกลโข ขึ้นอยู่กับพี่เลี้ยงของเขาจะช่วยกันเจียระไนผลักดันให้ไปได้ไกลแค่ไหน และจะรักษาระดับความสำเร็จไปได้นานแค่ไหน ผู้เขียนคิดว่าเขาไม่ใช่แค่สตาร์แต่เป็นซุปเปอร์สตาร์แน่ๆ ในอนาคต เพราะเชื่อว่าฐานของน้องทั้ง 2 คนนั้นแข็งแกร่งมาก นั่นคือพื้นฐานของครอบครัว และการศึกษาที่ดีด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่จะเป็นตัวผลักดันให้เขาไปได้สุดจริงๆ นั่นคือเรื่องของจิตใต้สำนึกอีกตัวแปรนึง พลังของจิตใต้สำนึกและกฏแห่งแรงดึงดูด จะเป็นตัวแปรใหญ่ที่จะทำให้น้องทั้ง 2 คนยืนบนฐานที่แน่นและประสบความสำเร็จได้อย่างยาวนาน เหมือนพี่เบิร์ด หรือซุปเปอร์สตาร์คนอื่นๆ ที่ยกตัวอย่างน้องทั้ง 2 คนนี้ ที่อยู่ในแวดวงดนตรี ไม่ได้หมายความว่าสาขาวิชาชีพอื่นๆ จะไม่มีอัจฉริยะนะครับ มีอีกมากมายในประเทศนี้ หลักคิดเดียวกัน วิธีคิดเหมือนกัน ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน ในแนวทางอาชีพแต่ละแบบ เพียงแต่ยกตัวอย่างนี้เพราะสาขาอาชีพนักดนตรี นักร้อง มันเอนเตอร์เทนคนดูได้ด้วยไง คือเขาสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปกับเขาได้ด้วยนั่นเอง

มาดูในส่วนของ บัวขาว ป.ประมุข และก็จา พนม ยีรัมย์ 2 ท่านนี้เป็นตัวอย่างไอด้อลฮีโร่ ด้านการต่อสู้ คนนึงมาในสาขานักมวยอาชีพเงินล้าน ดังในระดับโลกไปแล้ว อีกคนนึงมาในทางสายนักแสดง และก็ดังในระดับโลกเช่นกัน เป็นฮีโร่ด้านการต่อสู้ที่เก่งที่สุด เท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา และจริงๆ ตัวผู้เขียนก็ชื่นชอบมากด้วยทั้ง 2 คน จากที่ได้ตามข่าวทั้ง 2 ท่านนี้มา ก็ทราบว่าทั้ง 2 คนไม่ได้มาจากครอบครัวที่อบอุ่นนัก มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนมากๆ ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนด้านการศึกษานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่เรียนให้จบถึงระดับปริญญาตรีได้ก็ต้องถือว่าเจ๋งแล้ว ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันมากนั่นก็คือ มีความมุมานะ อดทน ขยัน สู้ชีวิตด้วยความมานะบากบั่นด้วยตนเอง โตด้วยลำแข้งของตนเองจริงๆ ใช้ทักษะทางด้านร่างกายของตนเองหากินเลี้ยงครอบครัวมาได้ ต้องต่อสู้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ไม่เคยได้รับความสุข ความบันเทิงใจในวัยเด็กเหมือนคนอื่นหรือเด็กในวัยเดียวกันพึงจะมี ทั้งคู่ต้องอาศัยแรงกาย หยาดเหงื่อของตนเอง เข้าแลกกับเงินหรือรายได้เพื่อประทังชีวิต ซึ่งเป็นคนละด้านกับน้องณดล และน้องแกงส้ม ซึ่งเด็ก 2 คนนั้นใช้ทักษะด้านสมองเป็นส่วนใหญ่ ด้านแรงกายแทบไม่มี แต่ใช่ว่าบัวขาวและ จา พนม จะไม่มีทักษะด้านสมอง หรือความฉลาดน้อยนะครับ คือคนที่จะเป็นนักสู้ในระดับนี้ได้นั้น เขาจะต้องมีความฉลาด ปฏิภาณ ไหวพริบในระดับเทพด้วยเช่นกัน เพราะไม่งั้นคงจะไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้คนอื่นมาได้จนมายืนในระดับนี้ได้หรอก ด้านอารมณ์นั้น ทั้งคู่ก็ดูเป็นคนมีนิสัยร่าเริง อารมณ์ดีเช่นกัน โดยเฉพาะบัวขาวดูจะเป็นคนมีบุคลิกคุยเก่ง และ friendly มากกว่าจาพนมนิดนึง จาพนม อาจเป็นคนมีบุคลิกขรึม ๆ เงียบๆ มากกว่าบัวขาว แต่ทั้ง 2 คนเดาได้เลยว่าเป็นคนมีปมในใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในจิตใจ ตั้งแต่วัยเด็ก บัวขาวนั้นแสดงออกมาให้เห็นแล้วตอนนี้ ด้วยการที่เขาเป็นกบฏต่อค่าย ป.ประมุข ปฏิเสธที่จะไปร่วมงานกับทางค่าย มันเป็นแผลหรือความรู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่างที่สะสมมานาน เราจะไม่พูดว่าทางค่ายต้นสังกัดเขานั้นเอาเปรียบบัวขาวยังไง แต่บอกได้คำเดียวว่าระบบพี่เลี้ยงของเขาต้องมีปัญหาแน่ๆ คือคนดูแลจัดสรรผลประโยชน์ไม่เก่ง (แนะให้ไปดูงานที่คุณบอย ณ เอ็กแซ็กท์นะครับ อันนั้นเขาชำนาญเป็นพิเศษ อ๊ะๆ ล้อเล่นนะครับคุณบอย) ส่วนรายของจา พนม ยีรัมย์ นั้นคงเป็นองค์ประกอบที่มากไปกว่านั้น ความที่โลกส่วนตัวสูง ติสท์แตก การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันระหว่าง เสี่ยเจียง คุณปรัชญา ปิ่นแก้ว(คนกลางประสาน) และตัวคุณจา พนมเอง ปัจจุบันคงไม่มีปัญหากันแล้วมั๊ง 2 คนนี้ถ้าเข้าไปแก้ปมในระดับจิตใต้สำนึกได้แล้ว เขาจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ฮีโร่ของไทยไปอีกนาน และไปเสริมในจุดที่เขาขาดนั่นก็คือ ความรักความอบอุ่น ความเอาใจใส่ และก็ด้านการศึกษา ระบบความคิดที่ดี รวมถึงทัศนคติการมองโลกด้วย ซึ่งก็คือสลับขั้วด้านตรงข้ามกับเด็กอีก 2 คนนั้นที่เขามีในส่วนนี้ล้นเหลือ และก็กำลังตามหาไอ้เจ้าสิ่งที่บัวขาวและจาพนมมี นั่นก็คือความเป็นซุปเปอร์สตาร์ หรือฮีโร่ของคนไทยทั้งประเทศนั่นเอง

เส้นทางชีวิตน้อง ณดล จูทะสมพากร (บทสัมภาษณ์น้องใน นสพ.ประชาชาติธุรกิจ)


เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว โลกได้จารึกชื่อของคนไทยอย่าง "เอกชัย เจียรกุล" ไว้ในวงการกีตาร์คลาสสิกระดับโลก แต่ในช่วง 1-2 ปีมานี้กลับมีอีกชื่อหนึ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างน่าประหลาดใจ และน่าประทับใจ นั่นก็คือ "ณดล จูทะสมพากร" นักกีตาร์คลาสสิกระดับโลกที่มีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เด็กน้อยผู้มากความสามารถกวาดแชมป์จากต่างประเทศ และในประเทศมาแล้วอย่างมากมาย แม้ว่าหลายคนจะเคยรู้จักและได้สัมผัสกับฝีไม้ลายมือของหนูน้อยอัจฉริยะคนนี้มาบ้างแล้ว แต่เชื่อว่าก็น่าจะมีอีกหลายกลุ่มที่ยังไม่รู้จักเด็กชาย คนนี้ ทั้งก่อนและหลังที่เด็กชายตัวน้อยกลายเป็นผู้โด่งดังไปทั่วโลก ชีวิตของเขาเป็นไปและเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง มาฟังเรื่องราวของเด็กดังจากปากเจ้าตัวกันดีกว่า

ทีมงาน "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับเชิญให้เข้าไปพูดคุยถึงในบ้าน เด็กชาย ณดลและครอบครัวที่ช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวของมุมมองชีวิตจากเด็กธรรมดาสู่เส้นทางที่ไม่ธรรมดา พร้อมกับบรรเลงกีตาร์คลาสสิก สลับเสียงเปียโนแสนหวานคลอเคล้าตลอดการพูดคุยในครั้งนี้

ก่อนเริ่มการสนทนา เสียงเพลง "โรแมนซ์" อันแสนนุ่มนวลจากกีตาร์คลาสสิกของน้องณดลก็ดังขึ้นหนึ่งท่อน ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาในเส้นทางสายนี้ให้เราฟัง "ตอนอายุ 6 ขวบ ผมเห็นคุณพ่อเล่นกีตาร์คลาสสิกอยู่ ก็รู้สึกว่าอยากเล่น เลยขอเล่นบ้าง และตั้งแต่ตอนนั้นก็เล่นมาเรื่อย ๆ จนอายุ 10 ขวบ" น้องณดลได้เล่าย้อนให้เราฟังถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองเลือกจับกีตาร์คลาสสิกเป็นครั้งแรก หลังจากที่ณดลเริ่มเล่นกีตาร์มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว พ่อของณดลก็ตัดสินใจที่จะพาเขาไปหัดเรียนอย่างจริง ๆ จัง ๆ กับอาจารย์กมล อัจฉริยะศาสตร์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์สอนกีตาร์คลาสสิกคนแรกของเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่เด็กคนหนึ่งจะได้เรียนกับปรมาจารย์ เพราะขณะนั้นเขาอายุได้เพียงแค่ 6-7 ปีเท่านั้นเอง นับว่าเป็นช่วงอายุที่น้อยเกินกว่าที่จะเรียนได้ แต่สุดท้ายเมื่อณดลได้ลองแสดงฝีมือกีตาร์ คลาสสิกให้ฟัง อาจารย์กมลก็เกิดเปลี่ยนใจและตกลงรับสอนเขาทันที จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไป ณดลได้มีโอกาสมาพบกับอาจารย์โน้ต-ณัฐวุฒิ รัตนกาญจน์ ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของอาจารย์กมล เส้นทางชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากอาจารย์โน้ตได้ชักชวนกึ่งรบเร้าแกมขอร้องให้คุณพ่อและคุณแม่ของณดล อนุญาตให้เขาลงแข่งขันกีตาร์คลาสสิกในรายการ Kyznecov"s International Competition 2010 ที่เมืองมะนิโตกอร์ส ประเทศรัสเซีย จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันเวทีแรกมาได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่มีเวลาฝึกซ้อมเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ก่อนการเดินทางไปแข่งขันที่รัสเซีย ณดลเกากีตาร์คลาสสิกในมืออย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะเล่าต่อว่า "ตอนที่ไปแข่งที่รัสเซีย อากาศหนาวมาก ติดลบ 3 องศา หนาวจนมือแข็งนิ้วแข็งไปหมด แต่โชคดีที่โรงแรมที่จัดการแข่งมีฮีตเตอร์ก็เลยเอามือไปอุ่นก่อนเล่น อีกอย่างหนึ่งตอนที่แข่งผมก็รู้สึกกังวลเหมือนกันว่า ถ้าไม่ชนะจะทำยังไง เพราะคุณพ่อก็เสียเงินไปเยอะกับค่าใช้จ่ายในการแข่งขัน แต่พอถึงตอนนั้นผมก็เล่นได้และชนะกลับมา"

ภายหลังจากที่น้องณดลคว้ารางวัลชนะเลิศจากประเทศรัสเซียมาแล้ว หนุ่มน้อยมากพรสวรรค์ผู้นี้ก็ได้รับรางวัลชิงชนะเลิศอีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น Thailand International Guitar Festival 2010, Bangkok Guitar Festival 2010 และ Mario Egido 2011 ที่ประเทศสเปน เสียงกีตาร์คลาสสิกแสนนุ่มนวลของณดลเริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กชายวัย 10 ปีคนนี้ติดอกติดใจ และมุ่งมั่นที่จะอยู่บนเส้นทางสายนี้ "ผมเลือกเล่นกีตาร์คลาสสิกเพราะเสียงมันเพราะ เวลาเล่นออกมาเสียงมันจะนุ่มน่าฟัง แต่ถ้าเป็นกีตาร์โปร่ง เวลาที่เราเล่นเสียงจะเป็นเหล็ก ฟังแล้วไม่รู้สึกนุ่ม คือผมชอบอะไรที่เสียงมันนุ่ม ๆ จากนั้นเป็นต้นมากีตาร์คลาสสิกก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมจะขาดไปไม่ได้เลย" นี่คือคำบอกเล่าของหนูน้อยวัย 10 ขวบ แชมป์กีตาร์คลาสสิกระดับโลก ส่วนเบื้องหลังความสำเร็จ บนเส้นทางสายดนตรีของณดล นอกจากพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับ "คุณพ่อชูศักดิ์ จูทะพากร" และ "คุณแม่อริยา บัณฑิตยานนท์" ที่คอยผลักดัน สนับสนุน ปลูกฝังหัวใจแห่งดนตรี และวินัยในการใช้ชีวิตของ ณดล จนหล่อหลอมให้เกิดแชมป์กีตาร์คลาสสิกระดับโลกคนนี้ขึ้นมาได้ พ่อชูศักดิ์เล่าให้ฟังว่า ที่สนับสนุนให้ณดลเล่นดนตรีนั้น ส่วนหนึ่งมาจากความชอบส่วนตัวของเขา และอีกส่วนหนึ่งก็ต้องการใช้ "ดนตรี" เป็นเครื่องมือในการแย่งเวลาในการทำสิ่งไร้สาระของณดล หรือเด็กในสมัยนี้ออกไป เช่น การเล่นคอมพิวเตอร์ หรือการดูโทรทัศน์ อีกอย่างดนตรีสามารถทำให้เขาคลายเครียด และพัฒนาเรื่องของสมาธิได้เป็นอย่างดี "การที่ณดลเล่นดนตรียังช่วยให้เขาพัฒนาในเรื่องของสมาธิ สมอง และการจดจำ ซึ่งส่งผลไปถึงเรื่องการเรียนของเขาที่ทำออกมาได้ดีทุกปี ทั้ง ๆ ที่ในเวลาปกติที่อยู่บ้านจะไม่ค่อยได้มีเวลาทบทวนบทเรียนมากสักเท่าไรนัก

อีกอย่างดนตรีเป็นสิ่งที่ต้องทำซ้ำ ๆ ทุกวัน จุดนี้เองจะช่วยให้เขาเกิดสิ่งที่เรียกว่าระเบียบวินัยในตัวเองขึ้นมา" คาดว่าอีกไม่กี่ปี เมืองไทยจะมีครูสอนดนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลก ตามที่เด็กอัจฉริยะผู้นี้ยืนยันว่า "โตขึ้นผมอยากเป็นครูสอนกีตาร์คลาสสิกและเปียโน"




ประวัติของบัวขาว ป.ประมุข นักชกชื่อดังขวัญใจชาวไทย

บัวขาว ป.ประมุข เกิดเมื่ิอ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 เป็นนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการการต่อสู้ระดับสากล โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นนักมวยไทยสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข ส่วนสูง 174 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม บัวขาวจัดเป็นหนึ่งในนักกีฬาอาชีพไทยที่ทำรายได้สูง โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการชกมวยที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์ไทยเรื่องซามูไร อโยธยา


บัวขาวยังเคยได้รับเชิญในงานสัมมนาที่ประเทศฮ่องกงสำหรับการเผยแพร่ศิลปะมวยไทย ณ วันที่ 19 และ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 โดยมี อลัน เอ็นกาลานี่ ให้การต้อนรับที่อิมแพคยิม และใน พ.ศ. 2554 เขาได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการไทยไฟท์ ที่ประเทศไทย ในรุ่น 70 กก. ซึ่งเขาได้เป็นแชมป์ของการแข่งขันครั้งนี้อีกด้วย

สมบัติ บัญชาเมฆ หรือบัวขาว เกิดและเริ่มชีวิตอาชีพมวยไทย ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ที่จังหวัดสุรินทร์ เข้ากรุงเทพมาสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข เมื่ออายุได้ 15 ปี บัวขาวได้รับเข็มขัดแชมป์มาครองเป็นจำนวนมากภายหลังเริ่มอาชีพมวยไทยที่กรุงเทพ ได้แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอร์เวท แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอร์เวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท ในปี พ.ศ. 2545 บัวขาวชนะเลิศมวยไทยมาราธอนโตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่สนามมวยลุมพินี ชนะโคบายาชินักชกชาวญี่ปุ่น

พ.ศ. 2547 บัวขาวชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะ จอห์น เวย์น พาร์ นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย โคะฮิรุยมาคิ และมาซาโตะแชมป์เก่าชาวญี่ปุ่น และในปีต่อมา บัวขาวเกือบที่จะรักษาแชมป์รายการ เค-วัน ได้ โดยแพ้คะแนน แอนดี้ ซอเยอร์ ในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่ากังขา
พ.ศ. 2549 บัวขาวเข้าชิงชนะเลิศรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง โดยเป็นนักมวยคนแรกในรายการนี้ที่ชนะเลิศสองสมัย
พ.ศ. 2550 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 บัวขาวสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายโดยชนะคะแนน Nieky “The Natural” Holtzken นักชกชาวฮอลแลนด์
พ.ศ. 2551 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยบัวขาวแพ้น็อกให้กับ โยชิฮิโร่ ซาโตะ นักมวยชาวญี่ปุ่น แฟนมวยบางส่วนกังขาว่ามีการล้มมวยหรือไม่ แต่พิจารณาแล้วพบว่าบัวขาวแพ้น็อกจริงๆ ด้วยเข่าของซาโตะทำให้จุกและโดนหมัดฮุคเข้ากกหูสลบคาเวที เป็นความเสียใจของคนไทยครั้งหนึ่ง
พ.ศ. 2552 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ โดยคราวนี้สามารถเข้าถึงรอบ 4 คนสุดท้าย แต่ต้องมาแพ้คะแนนให้แอนดี้ ซาวเวอร์ คู่ปรับเก่าอย่างน่ากังขาอีกหน บัวขาวถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้กรรมการชี้แจงผลการตัดสิน แฟนมวยเควันต่างพากันเห็นใจบัวขาวโดยมีหลักฐานคือผลโหวตนักสู้เค-วันแม็กซ์ของปีนี้ บัวขาวได้เป็นอันดับ 2 ด้อยกว่าเพียง จอร์จิโอ เปโตรเซียน แชมเปี้ยนรายการเควันปีนี้เท่านั้น
ใน พ.ศ. 2554 บัวขาวได้เข้าแข่งขันในรายการไทยไฟท์ โดยเขาเป็นฝ่ายชนะน็อค ไมเคิล พิซิเทโล่ ซึ่งเป็นนักมวยไทยชาวฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ และได้พบกับแฟร้งค์ จอร์จี้ จากประเทศออสเตรเลียในรอบชิงชนะเลิศที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 18 ธันวาคม ของปีเดียวกันนี้ ซึ่งบัวขาวเป็นฝ่ายชนะ และครองแชมป์ในการแข่งขันครั้งนี้

เกียรติประวัติ

อดีตแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่น 126 ปอนด์
อดีตแชมป์ประเทศไทย มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์
อดีตแชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นไลท์เวท
แชมป์มวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ในพ.ศ. 2545
แชมป์ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2004 ในพ.ศ. 2547
รองแชมป์ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2005 ในพ.ศ. 2548
S1 ซูเปอร์เวลเธอร์เวท เวิลด์แชมเปี้ยน
WMC มิดเดิ้ลเวทเวิลด์แชมเปี้ยน
แชมป์ เค-วัน เวิลด์แมกซ์ 2006 ในพ.ศ. 2549
พ.ศ. 2554 แชมป์ไทยไฟท์ 2011 (70 กก.)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น