วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

เมดิคัลฮับ ตอบโจทย์การแข่งขัน AEC แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ค่ารักษาพยาบาลแพง

ผู้เขียนเองเป็นผู้ป่วยที่ปีๆ นึงจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะมีโรคประจำตัวที่จะต้องเข้าไปโรงพยาบาลเพื่อรักษากับคุณหมอผู้ดูแลประจำตัว ที่โรงพยาบาลของรัฐ อีกทั้งก็ยังเป็นคนไข้ในส่วนของลูกค้าประกันตนของระบบประกันสังคมอีกด้วย จึงมีโอกาสได้ใช้บริการโรงพยาบาลของเอกชนควบคุ่กันไปด้วย จึงเห็นข้อแตกต่างระหว่างการบริการของโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน เมื่อในอดีตนั้นแตกต่างกันอย่างมาก แต่ในปัจจุบันโรงพยาบาลของรัฐมักมีการเปิดให้บริการคลินิกพิเศษตอนเย็นหรือวันเสาร์เพิ่มขึ้นมา ทำให้ได้เห็นพัฒนาการ การปรับปรุงการบริการที่ดีขึ้นมาก บางแห่งก็ไม่ด้อยกว่า รพ.เอกชนเท่าไรนัก (ในแง่การบริการจริงๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งถือว่าทัดเทียมกันแล้วในปัจจุบัน) และยิ่งล่าสุด ข่าวที่สะเทือนวงการรักษาพยาบาล ก็คือ รพ.ศิริราช เปิดตัว รพ.แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หรือ SiPH ด้วยการเปิดให้บริการแบบเดียวกับระบบเอกชน แต่บุคลากรด้านนายแพทย์ มาจากคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.ศิริราช แน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาลย่อมแพงกว่าของ รพ.ศิริราช เดิม แต่ยังไงก็ถูกกว่า รพ.เอกชนชื่อดัง แต่คุณภาพดีเทียบเท่าหรือดีกว่าแน่นอน เพราะอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยที่สุดในเอเซีย แบบนำเข้าเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยในระดับโลกกันเลยทีเดียว อีกด้านนึง รพ.รามาธิบดี เองก็เปิดศูนย์การแพทย์แห่งใหม่ไปแบบเงียบๆ ที่ชื่อว่า ศูนย์การแพทย์อาคารเทพรัตน์ ซึ่งเป็นอาคารหลังใหม่ เพื่อรองรับคนไข้นอก ซึ่งนับวันจะทวีความหนาแน่นมากขึ้น แต่อาคารหลังใหม่นี้ ทันทีที่คุณก้าวเข้าไปใช้บริการ คุณจะนึกไม่ถึงว่า นี่เรากำลังเข้าไปใช้บริการของ รพ.รามาธิบดี ผู้เขียนนึกว่ากำลังเข้าไปใช้บริการ รพ.บำรุงราษฏร์ ภายในมีร้านรวง เยอะแยะมากมาย ราวกับศุนย์การค้า อาคารกว้างขวาง โอ่โถง ใหญ่โต แน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาล และค่าบริการ มีการปรับขึ้นจากเดิมที่เราไปใช้บริการที่ตึกหลังเก่า นิดหน่อย แต่การบริการเทียบเท่า รพ.เอกชนชั้นนำเลยทีเดียว นี่คงเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ตัวอย่างของ รพ.ภาครัฐที่มีการปรับตัว พัฒนาการบริการเพื่อตอบโจทย์ การที่ประเทศไทยกำลังจะกลายไปเป็น เมดิคัลฮับ (ศูนย์กลางการรักษาพยาบาลของภูมิภาคเอเซีย) และเพื่อรองรับการเปิดเสรีของตลาดร่วมอาเซี่ยน หรือที่เรียกว่า AEC ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้แล้ว การปรับตัวหรือการแข่งขันในส่วนของ รพ.ภาคเอกชนนั้นมีมาอย่างต่อเนื่อง และอัตราเร่งที่มากกว่า รพ.ภาครัฐ อยู่ไกลโข เรามักจะได้ยินข่าวว่าเชน รพ.เอกชนขนาดใหญ่ ชื่อดัง นั้นได้เข้าไปซื้อกิจการ หรือควบรวม (M&A) กิจการโรงพยาบาลขนาดเล็ก หรือ รพ.ระดับภูมิภาค มาไว้ในเครือ เพื่อสร้างเครือข่าย ขยายฐาน สร้างอำนาจการต่อรอง และเป้าหมายที่สำคัญก็คือสร้างสเกล หรือขนาดของธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่ามาร์เก็ตแชร์ หรือ value ให้ใหญ่พอ ต่อการแข่งขันกับเครือโรงพยาบาลคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งเครือโรงพยาบาลจากต่างชาติ ที่จะเข้ามาช่วงชิงฐานลูกค้ากำลังซื้อสูง ซึ่งในขณะนี้ที่ถนนทุกสายจากทั่วเอเซีย และทั่วโลก กำลังมุ่งมาสู่ไทย ซึ่งเป็น Destination of Medical Hub in Asia ความที่ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของเราถูก แต่คุณภาพการรักษาเทียบเท่าระดับโลก รพ.บำรุงราษฏร์ ของไทยนั้นติดอันดับโลก ในระดับท็อปเท็นของโลก ด้านการรักษาพยาบาลในหลากหลายสาขา จึงมีมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกา บินมารักษาที่บ้านเรากันอย่างคึกคัก ซึ่งอานิสงส์ นี้ทำให้เครือ รพ.เอกชนของไทยอื่นๆ ก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วยเข่นกัน จากจำนวนคนไข้ชาวต่างชาติจำนวนมากที่เข้ามาทำการรักษาพยาบาลในเครือ รพ.เอกชนชื่อดัง ในอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี



นอกเหนือจาก รพ.บำรุงราษฏร์ (ซึ่งเป็นเบอร์ 1 ของ รพ.เอกชนในไทย) ประเทศไทยนั้นมีเครือ รพ.เอกชนใหญ่ๆ อยู่หลายกลุ่ม ด้วยกัน แบ่งเป็นกลุ่มของ รพ.กรุงเทพ (มีนายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ วิทยากร เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่มของ รพ.ปิยะเวท,รพ.ธนบุรี (มีนายแพทย์บุญ วนาสิน เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่มของ รพ.สมิติเวช ,กลุ่มของ รพ.พญาไท,เปาโล เมโมเรียล (มีนายวิชัย ทองแตง เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่ม รพ.บางกอกเชน ฮอสปิตอล,รพ.เกษมราษฎร์ (มีนายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์ เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่ม รพ.รามคำแหง,รพ.พระราม 9 (ของตระกูลชินวัตร คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร เป็นผู้บริหารใหญ่) กลุ่ม รพ.วิภาวดี (มีนายแพทย์ พร้อมพงษ์ พีระบูล เป็นผู้บริหารใหญ่)

ศิริราชโมเดล จุดกระแสการเปลี่ยนแปลง รพ.ไทย


การประกาศตัวให้บริการในรูปแบบเอกชนอย่างเต็มตัวของโรงพยาบาลศิริราช ถือเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของธุรกิจโรงพยาบาลในเมืองไทย และกลายเป็นโมเดลต้นแบบที่ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนจับตาดูอยู่ เพราะหากพูดถึงการให้บริการ รพ.รัฐ ต้องยอมรับว่า แทบไม่ต้องนึกถึงเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ เพราะเอาแค่บริการคนเจ็บป่วยให้ทันและเพียงพอก็นับว่าลำบากและสุดยอดมากแล้ว การประกาศตัวของ รพ.ศิริราช ในการให้บริการแบบเอกชน จึงเท่ากับเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมต่อวงการแพทย์เมืองไทยเป็นอย่างมาก ลำพังชื่อเสียงของ “ศิริราช” นั้นก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว การันตีคุณภาพเต็มร้อย ยิ่งเมือผนวกกับอัตราค่าบริการที่เบื้องต้นว่ากันว่า ราคาอาจจะย่อมเยากว่าเอกชนราว 20-30% งานนี้ก็ทำให้หลายคนในวงการมองว่าเป็นการจุดพลุให้การแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนเดือดพล่านยิ่งขึ้นไปอีก เพราะนั่นเท่ากับว่า รพ.เอกชนน้องใหม่รายนี้ จะเข้ามาร่วมเอี่ยวเค้กก้อนใหญ่ที่มีมูลค่าเกือบแสนล้านเพิ่มอีกรายนึง นักวิเคราห์บางคนบอกว่า อย่าไปตกใจ ถือเป็นมิติใหม่ของการก้าวเข้ามาสู่การเปลี่ยนแปลง แต่อย่ามองว่า ศิริราชจะเข้ามาแข่งขันกับเอกชนเลย ตรงกันข้ามมันเป็นการเตรียมตัวเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะการเปิดตลาดร่วม AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2015 มากกว่า ของโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐมากกว่า



การเปิดตัว โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) โรงพยาบาลแห่งใหม่ในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ซึ่งกำลังเป็นน้องใหม่ ในธุรกิจโรงพยาบาล แม่จะเป็นน้องใหม่ แต่ได้พ่อใหญ่อย่าง รพ.ศิริราช มาคอยช่วยดูแลทุกอย่างหรือ คอยซัพพอร์ท ทำให้โรงพยาบาลมีความพร้อมในทุกด้าน นอกจากนี้ การได้ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน มาเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ รพ. SiPH ทุกอย่างจึงดูง่ายขึ้น ด้วยประสบการณ์ของ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ในการเข้ามาบริหาร “The Heart by Siriraj หรือศูนย์ตรวจรักษาโรคหัวใจ ซึ่งศูนย์นี้จะทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นสูง ในรูปแบบการให้บริการที่ไม่ได้แตกต่าง จาก รพ.เอกชนเลยทีเดียว เรียกได้ว่า The Heart by Siriraj คือศุนย์ตั้นแบบในการบริหารงานของ SiPH โดย รศ.นพ.ประดิษฐ์ วางตำนหน่งของ SiPH ให้เป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบสนองความต้องการผู้ป่วยในปัจจุบัน โดยเน้นการให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่ SiPH ได้รับการบริการที่สะดวกรวดเร็ว เช่นเดียวกับบริการของ รพ.เอกชน ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งอยุ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถัดจาก รพ.ศิริราช ทำให้มีภูมิทัศน์ที่งดงาม ระบบการคานาคมสะดวกสบาย ตัวอาคารสูง 14 ชั้น มีพื้นที่จอดรถกว่า 1,000 คัน ภายในอาคารประกอบด้วยห้องบริการผู้ป่วยนอก 177 ห้อง ห้องผ่าตัด 17 ห้อง ห้องพักผู้ป่วย 284 ห้อง หอผู้ป่วยวิกฤต 61 ห้อง พื้นที่ใช้สอยรวม 165,270 ตารางเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ทั้งเครื่องตรวจวินิจฉัยโรค ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ,เครื่องเร่งอนุภาค (LINAC) หรือเครื่องฉายรังสีรักษาผู้ป่วยโรค มะเร็ง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและแม่นยำมากที่สุดในปัจจุบัน รวมทั้งยังมีศูนย์รักษาโรคครบวงจร เช่น ศูนย์อายุรกรรม ศูนย์ศัลยกรรม ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็ง ศูนย์รังสีรักษา ศูนย์รังสีวินิจฉัย ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์ไตเทียม ฯลฯ นอกจากนี้ SiPH ยังเป็นูศูนย์กลางในการรักษาโรคซับซ้อนที่รักษายาก เนื่องจาก รพ.มีบุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์สูง รวมทั้งเป็นหนึ่งในศูนยิวิจัยด้านการแพทย์ที่สำคัญของประเทศอีกด้วย SiPH จึงพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ และรับผู้ป่วยโรคซับซ้อนที่รักษายาก ที่ส่งตัวมาจาก รพ.อื่นๆ อีกด้วย ถ้าที่ศิริราชมีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พอก็สามารถมาใข้บริการที่นี่ได้ หรือคนไข้ของเราต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่ศิริราช ก็สามารถไปใช้บริการกับศิริราชได้ทันที ด้านมาตรฐานการรักษา ถือเป็นมาตรฐานเดียวกันกับ รพ.ศิริราช ในอัตราค่าบริการที่สูงกว่า รพ.ศิริราช แต่ถูกกว่า รพ.เอกชนโดยทั่วไป แต่ในบางบริการก็อาจจะเท่ากันหรือแพงกว่า อาทิ รพ.เอกชน คิดค่าบริการ 100 บาท มา SiPH จะคิดเพียง 75-80 บาท ทีมแพทย์เราเป็นระดับอาจารย์แพทย์ ที่ทำงานอยู่กับ รพ.ศิริราช แต่เราไม่รับเข้ามาทำงานแบบเต็มเวลา แพทย์เหล่านี้จะมาทำงานเป็นพาร์ตไทม์ คือ ช่วงเวลาเย็น (นอกเวลาราชการ) หรือ เสาร์ อาทิตย์ แต่ถ้าเป็นเวลาราชการ แพทย์เหล่านี้จะมาทำงานที่นี่ได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง เพื่อให้งานสอน งานตรวจ จะต้องไม่เสีย ส่วนแพทย์ที่จะลาออกมาจากศิริราช ออกมาเพื่อมาทำงานที่นี่ ก็ไม่รับ ซึ่งเป็นการป้องกัน ลดปัญหาแพทย์ที่จะออกไปทำงาน กับ รพ.เอกชนได้ ในส่วนของรายได้ของ SiPH จะนำมาเลี้ยงตัวเอง และช่วยผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ใน 4 ด้าน คือการบริการผู้ป่วยโดยรวม การศึกษาของแพทย์ การวิจัย และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่วา ผู้ปวยทีเข้ามาใช้บริการที่นี่จึงจะเป็นทั้ง ผู้รับการรักษา และเป็นทั้งผู้ให้ ในเวลาเดียวกันด้วย ปีนี้ SiPH พร้อมเปิดให้บริการในเฟสแรก 30% ของพื้นที่อาคารทั้งหมด ภายในปลายเดือนเมษายนนี้ โดยจะให้บริการในสาขาอายุรกรรม และศัลยกรรม และโรคเฉพาะทางในกลุ่มโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองและประสาท เบาหวาน ไต กระดูกและข้อ ทางเดืนอาหารและตับ ทางเดินปัสสาวะ ส่วนเฟสที่ 2 เปิดให้บริการอีก 50% ภายในปี 2556 และระยะสุดท้าย อีก 20% ทีเหลือจะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2558 นอกจากเป้าหมายในเรื่องของการรักษาโรคและการบริหารแล้ว ยังตั้งเป้าที่จะให้ SiPH เป็น รพ.ที่น่ายกย่องชืนชมมากที่สุดในประเทศในปี 2559 ให้ได้ เราคงต้องมาดูกันว่า ภารกิจที่ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ได้รับจะทำให้ได้ถึงฝั่งฝัน ที่ต้องการเป็น เมดิคัลฮับ อย่างที่วางเอาไว้ได้หรือเปล่า แต่เชื่อว่านับจากนี้ไป รพ.เอกชนคงต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ ทั้งในเรื่องของบุคลากรทางการแพทย์ที่อาจจะหาได้ยากขึ้น และคนจำนวนคนไข้ที่อยากจะเข้าไปใช้บริการจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ


นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการเครือ รพ.พญาไท และเปาโล เมโมเรียล กล่าว ยอมรับว่า แม้ผลพวงจากการขยับของศิริราช สู่เส้นทางธุรกิจ รพ.เอกชน ในวันนี้ อาจจะเข้ามาแย่งมาร์จิ้นไปส่วนหนึ่ง โดยสะท้อนได้จากราคาในตลาดหุ้นในช่วงนี้ แต่โดยภาพรวมไม่กระทบมากนัก อีกทั้งยังจะช่วยยกระดับและเพิ่มทางเลือกในวงกว้างมากขึ้น และเชื่อว่าจะส่งผลให้ธุรกิจสุขภาพจากนี้ไปจะเติบโตอย่างเด่นชัด สิ่งทีต้องจับตามองต่อไปจากก้าวย่างของศิริราชในครั้งนี้ คือ จะกระตุ้นให้โรงเรียนแพทย์ และ รพ.เอกชนต้องปรับตัวจากนี้ไป โดยเห็นว่า รพ.เอกชน ควรจะหันมาผนึกกำลังกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น และไม่อยากให้โฟกัสเฉพาะการแข่งขันในประเทศ ต้องมองไปถึงการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก เนื่องจากในอีก 3 ปีข้างหน้า AEC จะเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นจาก 70 ล้านคน เป็น 600 ล้านคน ดังนั้นทุกภาคส่วนจึงต้องเร่งปรับตัวรับมือสิ่งเหล่านี้ให้ทัน ดังเช่น การควบรวมกิจการในเครือ รพ.พญาไท เข้ากับ รพ.เปาโล เมโมเรียล และกรุงเทพดุสิตเวชการ ในปีที่ผ่านมา คุณวิชัย กล่าวว่า เป็นทั้งการปรับตัวและการขับเคลื่อน เพื่อเตรียมความพร้อมกับการแข่งขันในสนามรบที่กว้างขึ้น เพื่อรองรับตลาดมูลค่ามหาศาล และถือเป็นโมเดลที่ทุกประเทศในเอเซียแปซิฟิกกำลังจับตามอง เนื่องจาความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ รพ.ในเมืองไทย จะเห็นได้จากนักลงทุนหันมาสนใจซื้อหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น จนทำให้มาร์เก็ตแคปทะลุหุ้นกลุ่ม รพ.ของออสเตรเลียไปแล้ว คุณวิชัย ยังเชื่อว่า อนาคตจะเห็น ร.ร.แพทย์ และ รพ.รัฐ ปรับตัวลงมาให้บริการโมเดลแบบเดียวกับ รพ.ศิริราช มากขึ้น ส่วน รพ.เอกชน นอกจากแนวทางควบรวมกิจการแล้ว ยังต้องมองหาแนวทางเสริมศักยภาพเฉพาะของตนเองให้เด่นชัดด้วย อย่างการเป็นสเปเชียลลิสต์เฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น ร.พ.ตา ,หรือ หูคอจมูก เป็นต้น หรือการปรับตัวสู่การแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ก็เป็นสิ่งที่สามารถจะทำได้และเกิดได้เร็ว แม้การเคลื่อนไหวของศิริราชในครั้งนี้ จะสร้างแรงกระเพื่อมได้บ้าง แต่ปีนี้เครือ รพ.พญาไทและเปาโล ยังคงตั้งเป้าเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักอย่างแน่นอน ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากแนวทางการควบรวมกิจการที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ คุณวิชัยยืนยันว่า แผนหลังควบรวมกิจการครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เกิดความเข้มแข็งจนกลายเป็นเครือ รพ.กลุ่มใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแล้ว ความแข็งแกร่งนี้ยังช่วยให้มีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปซื้อธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในตอนนี้

ผู้เขียนคิดว่า โมเดลของ รพ. SiPH ในเครือ รพ.ศิริราช เป็นต้นแบบของ รพ.รัฐที่ออกนอกระบบราชการ เฉกเช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการนั่นเอง คือพยายามที่จะบริหารงานเป็นแบบเอกชน ใช้ต้นทุนของรัฐแต่หากำไรแบบเอกชน เพื่อที่จะมีรายได้มาหล่อเลี้ยงตัว รพ.แม่ส่วนหนึ่ง และเพื่อที่จะเป็นฐานรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงตนเองให้อยู่รอดได้ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณของภาครัฐที่ปีๆ นึงมีไม่มากนัก ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรคนไข้ และบุคลากรทางการแพทย์ที่จะต้องจ่ายค่าจ้างที่สูงมากพอที่จะทำให้พวกเขายังคงอยู่กับโรงพยาบาลต่อไป ส่วนอีกด้านนึง พวก รพ.เอกชนจำเป็นต้องควบรวมกิจการกันเองหรือผูกโยงกันเป็นเครือข่าย ให้มีขนาดกิจการที่ใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง และเป็นการลดต้นทุน อีกทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มของกิจการ หรือเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน ที่เรียกว่า synergy เพื่อที่จะต่อกรกับ รพ.รัฐที่ออกนอกระบบ ต่อกรกับ รพ.เอกชนด้วยกันเอง เครือ รพ.ใหญ่ ๆ จากต่างประเทศ หรือเพื่อรองรับการแข่งขันอย่างเสรี และรุนแรงจากเครือ รพ.เอกชนขนาดใหญ่ในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เครือ รพ.ของสิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารกิจการโรงพยาบาลเอง ที่จะบริหารกิจการอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและยังคงสร้างผลกำไรให้มากที่สุด แม้ว่าการขยายกิจการ เพิ่มมูลค่าตลาด ขนาดของธุรกิจใหญ่ขึ้น จะสามารถลดต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้มากมายเพียงใด แต่ไม่ได้หมายว่า เขาจะคำนึงถึงการตั้งราคาให้ต่ำที่สุดเพื่อผู้บริโภคหรือผู้ป่วยหรือคนไข้หรอกนะครับ ตรงกันข้ามเลย การลดต้นทุนให้ต่ำ และตั้งราคาให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นการตอบโจทย์หรือเป้าหมายในการสร้างผลกำไรมหาศาล เฉกเช่นธุรกิจทุกประเภทในระบบทุนนิยม เฉกเช่นบรรษัทธุรกิจขนาดใหญ่ในโลกนี้ มีมั๊ยที่จะขายสินค้าหรือบริการให้ผู้บริโภคในระดับราคาประหยัดหรือถูกลงมา มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง เราเคยสังเกตเห็นธุรกิจอะไรก็ตามก่อนทำการควบรวมกิจการก็จะอ้างว่า เมื่อควบรวมกิจการกันแล้วจะทำให้ลดต้นทุนลงอย่างมาก และเพื่อสร้างผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของกิจการได้มากขึ้นในระยะยาว แต่เขาจะไม่เคยพูดถึงผู้บริโภคหรือผู้ใช้ปลายทางของเขา อาทิ กิจการในเครือ ปตท.เมื่อควบรวมกิจการมากๆ เข้ากลายเป็นยิ่งทำกำไรได้อย่างมโหฬาร แต่ราคาพลังงานต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมที่จะปรับราคาลงมา ดูต้วอย่างของเคเบิ้ลทีวี เมื่อก่อนตอนที่เหลือเพียง UBC (เป็นการควบรวมกันระหว่าง IBC กับ UTV) ราคาก็ไม่ลดลงให้ผู้บริโภค เพราะว่าผูกขาดเหลืออยู่เจ้าเดียวแล้วในขณะนั้น แม้ว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนเป็น Truevision แล้วก็ตาม แม้ตลาดเคเบิ้ลทีวีมีหลายเจ้าแล้ว แต่เขายังคงตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งอยู่มาก ,ลองดูธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่างเครือเมเจอร์ซีนีเพล็ก (ไปซื้อกิจการ EGV คู่แข่งมาอยู่ในเครือ) หลังจากนั้นในเครือโรงหนังนี้ ไม่มีโรงหนังราคาประหยัดอีกเลย มีแต่พรีเมียม และพรีเมี่ยมกว่า เช่น พาราก้อนซีเนเพล็กซ์ เอสพลานาด ไอแม็กซ์ ปัจจุบันค่าตั๋วดูหนังสูงขึ้นเกือบทุกปี แล้วก็มักจะอ้างเงินเฟ้อ อ้างค่าครองชีพ อ้างต้นทุนนำเข้าภาพยนตร์มีราคาสูง ทำให้ต้องปรับราคา แต่ทำไมคู่แข่งอีกค่ายนึง SF กับทำราคาต่ำกว่าได้ หรืออย่างข้าวของเครื่องใช้ในร้านโชว์ห่วยติดแอร์อย่าง 7-11 ลองสังเกตุดูราคาสินค้าในร้านดูสิครับ ส่วนใหญ่มีราคาสุงกว่าในร้าน moderntrade (Big C, Tesco Lotus) มาก ทุกวันนี้เขาอยุ่ในฐานะกึ่งผูกขาดในตลาดร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว ทำให้ไม่มีคู่แข่ง จะตั้งราคาสินค้าสูงกว่าคนอื่นอย่างไรก็ได้ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่ข้ออ้างเรื่องการควบรวมกิจการ การลดต้นทุนต่างๆ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เขายอมลดมาร์จิ้นมาตั้งราคาขายต่ำๆ หรือถูกๆ ให้กับผู้บริโภคอย่างเราๆ หรอก เพราะโลกของทุนนิยม เขาว่ากันด้วยตัวเลขกำไร ใครทำได้มากกว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอามากกว่า คนนั้นคือผู้ชนะในเกมแข่งขันเสรี แล้วก็จะมีอำนาจต่อรองสูงขึ้นไปอีก และก็จะยิ่งตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งขันอื่นมากขึ้นไปอีก เป็นวงจรอุบาทว์ของความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

ข่าวการควบรวมกิจการ และซื้อหุ้นเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
 
ทันหุ้น - BGH ขยายลงทุนเข้าซื้อหุ้น BH เพิ่มอีก 6.05% สรุปถือหุ้นเป็น 20.28% หวังผลตอบแทนและดันรายได้เติบโตในอนาคต ฟากโบรกมองทิศทางธุรกิจ BGH ไปได้สวยจากการเติบโตลูกค้าผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงแผนขยายธุรกิจยาวเหยียดทั้งแผน ควบรวมกิจการ-เข้าซื้อกิจการ และแผนลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ชู BGH หุ้น Top Pick กลุ่มโรงพยาบาล แนะสอยเป้าหมาย 90.00 บาท นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BGH เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือBH ทั้งหมดจำนวน 44.2 ล้านหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.05 ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของ BH ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,234,854,865.53 บาท จึงเป็นผลให้บริษัทถือหุ้นใน BH รวมทั้งสิ้น 148,027,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.28 ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของ BH โดยการเข้าลงทุนดังกล่าวใช้แหล่งเงินทุนจากเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการและแหล่งเงินทุนภายนอกจากสถาบันการเงิน ภายหลังจากรายการดังกล่าวBH จะกลายเป็นบริษัทร่วมของบริษัทซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานของ BH ตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียในงบการเงินรวมของบริษัทได้ ทั้งนี้ เริ่มจากวันที่บริษัทเข้าถือหุ้นใน BH เกินกว่าร้อยละ 20 บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ"ซื้อ" BGH ราคาเป้าหมาย 90.00 บาทต่อหุ้น โดยระบุว่า การเติบโตของรายได้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 15%เทียบกับเป้าของบริษัท 11% ในปี2555 จากปัจจัยขับเคลื่อนคือลูกค้าผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ ส่วนจากการควบรวมกิจการโรงพยาบาลพญาไทและเปาโลยังคงไม่สิ้นสุด BGH จะร่วมมือกับโรงพยาบาลพญาไทในการให้บริการด้านหัวใจที่โรงพยาบาลพญาไท 3 โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ในขณะเดียวกัน BGH จะร่วมมือกับโรงพยาบาลเปาโลในการเปิดหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลเปาโล นวมินทร์ ในปีนี้BGH จะส่งทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากร ช่วยสนับสนุนการให้บริการดังกล่าว กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ BGH สามารถเพิ่ม Asset Utilization และการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวผ่านจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และราคาการให้บริการที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ BGH อยู่ระหว่างหาโอกาสที่จะลงทุนในโรงพยาบาลแห่งใหม่ และมีแผนเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลภายในประเทศ ขณะที่โรงพยาบาลสมิติเวช (บริษัทในเครือของBGH) มีการบริหารโรงพยาบาลหนึ่งแห่งในพม่า ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูง BGH มีแผนที่จะลงทุนในพม่าในอนาคตเมื่อประเทศเริ่มเปิดมากขึ้น อย่างไรก็ดี BGH คาดการเปิดโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) ของโรงพยาบาลศิริราช จะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อBGH เนื่องจาก BGH รับแพทย์จากทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนรวมถึงโรงพยาบาลในต่างประเทศดังนั้น บริษัทคาดการเปิดของSiPH จะไม่กระทบต่ออุปทานของแพทย์ ทางด้านอุปสงค์การบริการทางการแพทย์ในประเทศมีการเติบโตหลังรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิต ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BGH ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มโรงพยาบาล ราคาเป้าหมาย 90 บาทต้อหุ้น โดยประมาณการให้ 3 ปี EPS CAGR 17% เทียบกับ BH 8% และKH 15% ในขณะที่ PEG 1.0 เท่า ในปี 2555 ถูกที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลและต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่2.4 เท่า



KH พุ่ง 6.82% บอร์ดยอมรับมีแผนควบรวมกิจการ รพ.อื่น แต่ขอรอดูจังหวะก่อน


ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2553 11:28:31 น.
หุ้น KH ราคาวิ่งขึ้น 6.82% มาอยู่ที่ 7.05 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท มูลค่าซื้อขาย 188.68 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น. โดยเปิดตลาดที่ 6.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 7.35 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 6.75 บาท
ล่าสุดเมื่อ 11.12 น.หุ้น KH อยู่ที่ 6.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท(+5.30%)มูลค่าซื้อขาย 211.46 ล้านบาท
นายไพบูรณ์ นาโคศิริ กรรมการ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล(KH)กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯสนใจแนวทางการควบรวมกิจการกับโรงพยาบาลอื่นในอนาคตเหมือนกัน แต่คงต้องรอดูจังหวะที่เหมาะสมก่อน ซึ่งก็เป็นแนวทางที่จะช่วยขยายธุรกิจตามปกติ
"อนาคตแผนการควบรวมกิจการก็มีส่วนเหมือนกัน แต่ต้องรอดูจังหวะ ก่อนหน้านี้เราก็เคยคุยในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่คุย ซึ่งทิศทางการขยายธุรกิจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เห็นเขาทำแล้วเราจะทำตาม"นายไพบูรณ์ กล่าว
กรรมการ KH กล่าวว่า ไม่แปลกใจกับการที่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ(BGH)ซื้อกิจการเครือโรงพยาบาลพญาไทและเครือโรงพยาบาลเปาโล เพราะเดิม BGH ถือหุ้น รพ.พญาไท อยู่แล้วประมาณเกือบ 20% โดยซื้อจากแบงก์เจ้าหนี้ของทางบมจ.ประสิทธิพัฒนา(PYT)ในช่วงรพ.พญาไทมีปัญหาด้านการเงิน จากนั้นก็มาคิดต่อว่าหากอยากมีส่วนร่วมในการบริหารงานด้วยก็ต้องถือหุ้นเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความเคลื่อนไหวของ BGH คงไม่กระทบกับ KH มากนัก เพราะต้องมองว่าตลาดธุรกิจโรงพยาบาลของ KH กับ BGH อยู่คนละตลาดกัน โดย KH จะเป็นตลาดเงินสด และจับลูกค้าระดับกลาง
นายไพบูรณ์ กล่าวต่อว่า เดิมบริษัทฯมีสัดส่วนที่เป็นผู้ถือบัตรประกันสังคม 25% และผู้ที่จ่ายเงินสด 60% และมีส่วนของผู้ที่อยู่ในโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติ(UC) 15% นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมาได้ยกเลิกในส่วนของ UC ไป ดังนั้นจึงตั้งเป้าหมายว่าปีหน้าสัดส่วนในส่วนผู้ประกันตนจะมี 30% และส่วนลูค้าเงินสดจะเพิ่มเป็น 70%  ปัจจุบัน รพ.ในเครือมีทั้งหมด 6 สาขา และกำลังก่อสร้างอีก 1 สาขาที่แจ้งวัฒนะ ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะดูแลผู้ป่วยเงินสดเท่านั้น ดังนั้น จึงจะใช้ชื่อที่แตกต่างออกไป เป็นชื่อ "The World Medical Center"คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในต้นปี 55  สำหรับผลการดำเนินงานของปีนี้บอกได้แต่เพียงว่า ทำรายได้ และกำไร ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น