รอยเตอร์
- กองทัพเรือสหรัฐฯ มีแผนจะส่งเรือออกลาดตระเวนภายในรัศมี 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะเทียมของปักกิ่งในทะเลจีนใต้ประมาณ
2 ครั้งทุกๆ 3 เดือน
เพื่อย้ำเตือนให้จีนและชาติอื่นๆ ตระหนักถึงสิทธิของสหรัฐฯ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เจ้าหน้าที่เพนตากอนเผยวานนี้ (2 พ.ย.)
“เราจะส่งเรือออกไปไตรมาสละ 2 ครั้ง หรืออาจจะบ่อยกว่านั้นเล็กน้อย” เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้นำแผนปฏิบัติการของกองทัพเรือออกมาเผยต่อสาธารณชน
ระบุ “ความถี่ระดับนี้ถือว่ากำลังพอดี
ไม่เป็นการยั่วยุจนเกินไป และสอดคล้องกับเป้าหมายของเราที่ต้องการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เพื่อเตือนให้จีนหรือชาติอื่นๆ ตระหนักในมุมมองของเรา” เบน โรดส์
รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงภายในของสหรัฐฯ เผยวานนี้ (2) ว่า
กองทัพสหรัฐฯ จะมีการแสดงออกเพิ่มเติม เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการปกป้องเสรีภาพการเดินเรือในทะเลจีนใต้ “เรามีผลประโยชน์อยู่ที่นั่น...
การแสดงออกเช่นนี้ก็เพื่อรักษาไว้ซึ่งหลักเสรีภาพในการเดินเรือ” โรดส์ กล่าวในงานอีเวนต์ซึ่งจัดโดยสำนักข่าว ดีเฟนซ์ วัน เมื่อวันอังคารที่ 27 ต.ค.
เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี ยูเอสเอส แลสเซน
ได้ล่องเข้าไปเฉียดเกาะเทียมที่ปักกิ่งสร้างขึ้นในทะเลจีนใต้
ทำให้ผู้บัญชาการทหารเรือจีนต้องแจ้งเตือนไปยังฝ่ายสหรัฐฯ ว่า เหตุการณ์เล็กๆ
เช่นนี้อาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามทางเรือในทะเลจีนใต้
หากวอชิงตันไม่หยุดการกระทำยั่วยุในเขตน่านน้ำพิพาท ภารกิจลาดตระเวนของเรือพิฆาต
ยูเอสเอส แลสเซน ถือเป็นการส่งสัญญาณท้าทายอธิปไตยของจีนในเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะเทียมที่ถูกสร้างขึ้นในบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้
ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางเรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในแต่ละปี ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน
ก็อ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกับจีนอยู่
พล.ร.ท. จอห์น อาควิลิโน
รองหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งรับผิดชอบดูแลปฏิบัติการ แผน
และยุทธศาสตร์ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า
การลาดตระเวนใกล้เกาะเทียมของจีนจะมีขึ้นอีกเมื่อใด “เรามีการส่งเรือออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นนี้ตลอดเวลาทั่วโลก
และจะยังคงดำเนินต่อไป” อาควิลิโน ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ เจ้าหน้าที่เพนตากอน เผยว่า
แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
อาจไปตรวจเยี่ยมเรือรบระหว่างเดินทางเยือนเอเชียเร็วๆ นี้
แต่คงจะไม่ขึ้นไปอยู่บนเรือขณะที่ออกลาดตระเวนเพื่อประกาศเสรีภาพในการใช้น่านน้ำทะเลจีนใต้
เอเอฟพี – เจมส์
แคลปเปอร์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ แถลงวานนี้ (2 พ.ย.) ว่า ตนยังไม่ได้รับข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า
เหตุเครื่องบินโดยสารของรัสเซียตกในอียิปต์จนผู้โดยสารและลูกเรือ 224 คนเสียชีวิตยกลำเป็นฝีมือกลุ่มก่อการร้าย แม้เครือข่ายกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม
(ไอเอส) จะออกมาอ้างความรับผิดชอบก็ตาม
ในงานเสวนาด้านกลาโหมที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แคลปเปอร์
ชี้ว่า “ไม่น่าเป็นไปได้” ที่กลุ่มติดอาวุธอย่างไอเอสจะมีศักยภาพในการโจมตีถึงขั้นนั้น
“แต่เราก็ยังไม่ตัดประเด็นนี้ออกไป” “เรายังไม่พบหลักฐานโดยตรงที่จะยืนยันได้ว่า
เรื่องนี้พัวพันการก่อการร้าย” เครือข่ายไอเอสในอียิปต์อ้างว่าได้ยิงเครื่องบินโดยสารรัสเซียที่ออกเดินทางจากเมือง
ชาร์ม เอล ชัยค์ เพื่อไปยังนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตกเมื่อวันเสาร์ (31 ต.ค.) ทว่ารัฐบาลไคโรและมอสโกยังไม่ปักใจเชื่อ “ไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบ...
แต่เราก็ยังสรุปไม่ได้ว่าจริงหรือไม่” แคลปเปอร์ กล่าว
พร้อมระบุว่า เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลกล่องดำแล้ว “อาจจะทราบอะไรมากขึ้น” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนอื่นๆ
ก็พูดไปในทางเดียวกันว่า
ยังเร็วเกินไปที่จะเชื่อมโยงโศกนาฏกรรมทางการบินครั้งนี้กับการก่อการร้าย นิโคลัส
ราสมุสเซน ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านก่อการร้ายแห่งชาติสหรัฐฯ
กล่าวในเวทีเสวนากลาโหมว่า
กระบวนการสอบสวนกรณีเครื่องบินรัสเซียตกในเขตคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ยังไม่เสร็จสิ้น
“แต่ ณ ขณะนี้เรายังไม่ได้รับข่าวกรองใดๆ
ที่จะเชื่อมโยงกับลัทธิก่อการร้าย”
“เราไม่ได้รับรายงานใดๆ ที่สนับสนุนสมมติฐานข้อนี้เลย”
เอลิซาเบธ ทรูโด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเสริม เจ้าหน้าที่เพนตากอนอีกคนหนึ่งยอมรับว่า
ตนยังไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องก่อการร้าย
เพราะขีปนาวุธที่จะสามารถยิงเครื่องบินโดยสารซึ่งอยู่สูงหลายหมื่นฟุตได้มีแต่ “รัฐ” เท่านั้นที่เป็นเจ้าของ สายการบินโคกาลีมาเวีย (Kogalymavia)
ของรัสเซีย ระบุว่า แอร์บัส เอ 321 ลำนี้น่าจะตกเพราะ
“ปัจจัยภายนอก” และไม่มีเหตุขัดข้องทางเทคนิคใดๆ
ที่จะเป็นต้นเหตุให้เครื่องบินแตกกระจายกลางอากาศได้ ทีมสอบสวนซึ่งนำโดยอียิปต์ได้เดินทางเข้าไปยังจุดตกของเครื่องบินบนคาบสมุทรไซนายเพื่อสืบหาสาเหตุที่เป็นไปได้
โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากรัสเซีย แอร์บัส และไอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่เครื่องบินลำนี้จดทะเบียน
เข้าร่วมตรวจสอบด้วย
รอยเตอร์
-
เครื่องบินโดยสารรัสเซียที่ตกในอียิปต์ไม่ได้ถูกกระทบจากภายนอกและนักบินไม่ได้ส่งสัญญาณแจ้งเหตุร้ายก่อนมันหายไปจากจอเรดาร์
แหล่งข่าวในคณะกรรมการที่กำลังวิเคราะห์กล่องดำเปิดเผยในวันจันทร์(2พ.ย.)
หลังจากก่อนหน้านี้สายการบินโคกาลีมาเวีย แถลงว่าเครื่องบินลำดังกล่าวแตกเป็นเสี่ยงๆกลางอากาศและไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคหรือความบกพร่องของมนุษย์
แหล่งข่าวปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม
แต่จากความเห็นของเขามาจากการตรวจสอบเบื้องต้นกล่องดำที่เก็บกู้มาได้จากซากเครื่องบินแอร์บัส
เอ321 ที่ตกในแถบคาบสมุทรไซนายเมื่อวันเสาร์(31ต.ค.) คร่ายกลำ 224 ชีวิต ในนั้น 214 คนเป็นชาวรัสเซีย ชาวยูเครนอย่างน้อย 3 คนและมีชาวเบลารุสรวมอยู่ด้วย
1 คน อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวด้านการบินพลเรือนรายหนึ่งเปิดเผยว่าคณะสืบสวนของอียิปต์ภายใต้ความช่วยเหลือจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากรัสเซียและฝรั่งเศสยังไม่เสร็จสิ้นการตรวจสอบกล่องดำทั้ง
2 กล่อง เจ้าหน้าที่รัสเซียบอกว่าเครื่องบิน ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจากเมืองชาร์ม
เอล-ชีค ดินแดนตากอากาศริมทะเลแดง มุ่งหน้าสู่เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
น่าจะระเบิดกลางอากาศ แต่ระบุยังเร็วเกินไปที่จะสรุปถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมคราวนี้ ศพชุดแรกที่เก็บกู้จากบริเวณเศษซากเครื่องถูกนำขึ้นเครื่องบินรัฐบาลรัสเซีย
เดินทางกลับถึงท่าอากาศยานพูลโคโว ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยผู้สื่อข่าวรอยเตอร์รายงานว่าเห็นรถบรรทุกสีขาวขับออกไปจากสนามบินภายใต้การอารักขาของรถตำรวจ
มุ่งหน้าไปยังโรงเก็บศพแห่งหนึ่ง เพื่อดำเนินการระบุเอกลักษณ์บุคคลต่อไป สำนักข่าวต่างๆของรัสเซียรายงานว่าเครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกศพมาทั้งหมด
144 ศพ ส่วนเครื่องบินของรัฐบาลลำที่ 2 มีกำหนดออกเดินทางจากกรุงไคโรในตอนค่ำวันจันทร์(2พ.ย.) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
ซึ่งประกาศให้เมื่อวันอาทิตย์(1พ.ย.)
เป็นวันไว้ทุกข์ทั่วประเทศ กล่าวในวันจันทร์(2พ.ย.)
ว่าเหตุการณ์นี้เป็นโศกนาฏกรรมใหญ่หลวง "ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
เราต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้ภาพแห่งความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฎขึ้น"
ปูตินกล่าว "ดังนั้นเราก็จะทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่" เมื่อถูกถามว่ามันอาจเป็นการโจตีก่อการร้ายหรือไม่
นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของประธานาธิบดีปูิน บอกว่ายังไม่มีการตัดสมมุติฐานใดออกไป ในวันเสาร์(31ต.ค.)ที่ผ่านมา กลุ่มนักรบอียิปต์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐอิสลาม(ไอเอส)
ออกมาอ้างว่าเป็นคนยิงเครื่องบินลำนี้ตก
ตอบโต้ที่รัสเซียปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมหลายร้อยคนบนแผ่นดินซีเรีย
ทว่าทางรัฐมนตรคมนาคมมอสโกปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้ อเล็กซานเดอร์ สมีร์นอฟ
รองผู้อำนวยการใหญ่ของสายการบินโคกาลีมาเวีย ที่ดำเนินงานภายใต้แบรนด์เมโทรเจ็ต
บอกว่ามีเพียงประเด็นทางเทคนิคและการกระทำจากภายนอกที่อาจทำให้เครื่องบินแตกเป็นเสี่ยงกลางอากาศ
"เครื่องบินอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยม" เขากล่าวในมอสโก "
เราตัดประเด็นความบกพร่องผิดทางทางเทคนิคและความผิดพลาดของลูกเรือ" ความเห็นของเขามีขึ้นท่ามกลางหลักฐานที่ชี้ชัดมากขึ้นว่าเครื่องบินผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย
ส่วนลูกเรือก็ผ่านการทดสอบด้านการแพทย์แล้ว ขณะที่อันเดรย์ อาเวอร์ยานอฟ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายวิศวกรรม
ของสายการบินโคกาลีมาเวีย
ยืนยันว่าเครื่องยนต์ของเครื่องบินเพิ่งได้รับการตรวจสอบตามรอบระยะเวลาปกติในกรุงมอสโกเมื่อวันที่
26 ตุลาคม ซึ่งไม่พบมีปัญหาใดๆ และในเที่ยวบิน 5 เที่ยวก่อนหน้าประสบอุบัติเหตุ พวกลูกเรือก็บันทึกลงในปูมประจำเครื่องบินว่าไม่มีปัญหาทางเทคนิคใดๆ
ทั้งสิ้น รัสเซีย
ซึ่งเป็นพันธมิตรกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
เริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มกลุ่มฝ่ายต่อต้านในซีเรีย
ในนั้นรวมถึงพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) เมื่อวันที่ 30 กันยายน
กระตุ้นให้ไอเอส ซึ่งบุกยึดดินแดนอันกว้างขวางในอิรักและซีเรีย
เรียกร้องสมุนทำสงครามกับทั้งมอสโกและสหรัฐฯ
เพื่อแก้แค้นที่พวกเขาโจมตีอากาศในซีเรีย สำหรับ ไซนาย เป็นฉากแห่งความไม่สงบจากฝีมือพวกนักรบที่มีความใกล้ชิดกับไอเอส
ซึ่งเข่นฆ่าทหารและตำรวจอียิปต์ไปหลายร้อยนายและยังโจมตีเป้าหมายตะวันตกหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญไม่เชื่อว่าพวกนักรบในพื้นที่จะมีขีปนาวุธที่มีแสนยานุภาพยิงเครื่องบินที่บินอยู่
ณ ระดับความสูง 30,000 ฟุตได้
เอเอฟพี/รอยเตอร์
– สายการบินรัสเซียที่เครื่องบินโดยสารแตกเป็นเสี่ยงๆกลางอากาศและตกในอียิปต์
ทำให้ผู้โดยสารกับลูกเรือเสียชีวิตหมดทั้งลำ แถลงในวันนี้ (2 พ.ย.) ว่า
สาเหตุของการโหม่งโลกคราวนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคหรือความบกพร่องของมนุษย์
จึงน่าจะมาจากปัจจัย “ภายนอก” เท่านั้น
“ไม่มีความบกพร่องผิดทางทางเทคนิคใดๆ
ซึ่งสามารถนำไปสู่การที่เครื่องบินแตกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศได้เลย” อเล็กซานเดอร์ สมีร์นอฟ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายเที่ยวบิน
ของสายการบินเช่าเหมาลำ “โคกาลีมาเวีย” กล่าวต่อที่ประชุมแถลงข่าวในกรุงมอสโก เขาแถลงต่อไปว่า “คำอธิบายมีเพียงประการเดียว นั่นคือ การกระทำจากภายนอกบางอย่างบางประการ”
แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากไปกว่านี้ สมีร์นอฟระบุว่า
เครื่องบินลำนี้เริ่มตกลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
โดยนักบินก็ไม่มีเวลาที่จะรายงานว่าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น “พวกลูกเรืออยู่ในสภาพสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
และด้วยเหตุผลนี้เองจึงไม่มีใครสักคนพยายามที่จะติดต่อทางวิทยุ
และรายงานสถานการณ์อุบัติเหตุบนเครื่องบิน” เขาอธิบาย “เครื่องบิน “กำลังบินไปโดยควบคุมไม่ได้ มันไม่ใช่กำลังบินหรอก มันกำลังตกลงมา” เขากล่าว “ดูเหมือนว่าในชั่วขณะนั้นเครื่องบินได้รับความเสียหายอย่างสำคัญถึงระดับโครงสร้างของมัน
จนไม่อนุญาตให้มันสามารถทำการบินต่อไปได้”
ขณะที่กล่าวย้ำว่าจำเป็นต้องรอคอยสิ่งที่จะออกมาจากการสอบสวนกันก่อน
แต่สมีร์นอฟปฏิเสธหนักแน่นว่า ไม่ได้มีปัญหาความผิดพลาดทางเทคนิคหรือความบกพร่องของมนุษย์ “เราขอปฏิเสธว่าไม่ได้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคของตัวเครื่องบิน
และเราขอปฏิเสธว่าไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของนักบินหรือลูกเรือ
ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า ปัจจัยด้านมนุษย์” เขาแจกแจง เขากล่าวว่า
เครื่องบินลำนี้อยู่ใน “สภาพทางเทคนิคที่ดีเยี่ยม” ในขณะที่ประสบอุบัติเหตุตกลงในคาบสมุทรไซนายเมื่อวันเสาร์ (31 ต.ค.) ทางด้าน อันเดรย์ อาเวอร์ยานอฟ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายวิศวกรรม
ของสายการบินโคกาลีมาเวีย แถลงว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2001 ซึ่งขณะนั้นเครื่องบินลำนี้ยังเป็นของเจ้าของเดิม
โดยส่วนหางของเครื่องบินได้กระแทกกับรันเวย์ขณะร่อนลงนั้น
ได้รับการซ่อมแซมเสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปแล้ว
และไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยหนึ่งของการตกคราวนี้ได้ เขาบอกด้วยว่า
เครื่องยนต์ของเครื่องบินก็ได้รับการตรวจสอบตามรอบระยะเวลาปกติในกรุงมอสโกเมื่อวันที่
26 ตุลาคม ซึ่งไม่พบมีปัญหาใดๆ และในเที่ยวบิน 5 เที่ยวก่อนหน้าประสบอุบัติเหตุ
พวกลูกเรือก็บันทึกลงในปูมประจำเครื่องบินว่าไม่มีปัญหาทางเทคนิคใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่ โอคซานา โกโลวินา
ผู้แทนของบริษัทโฮลดิ้งคอมปานีที่เป็นบริษัทผู้ควบคุมสายการบินโคกาลีมาเวีย
บอกกับที่ประชุมแถลงข่าวว่า สายการบินแห่งนี้ไม่ได้เคยมีปัญหาการเงินใดๆ
ที่อาจส่งผลต่อเรื่องความปลอดภัยในการบิน
เดลีเมล สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(1)
ว่า หลังจากที่กลุ่มติดอาวุธ IS ได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางทวิตเตอร์อ้างว่า
ทางกลุ่มติดอาวุธรับผิดชอบการตกของเครื่องบินสัญชาติรัสเซีย ล่าสุดก่อการร้าย IS
ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปที่ยังไม่ได้รับการยืนยันผ่านอินเตอร์เนตในวันที่
31 ตค. จากการรายงานของสื่ออังกฤษและบีบีซีอเมริกา
ที่มีความยาวของวิดีโอคลิปราว 1.09 นาที
แสดงภาพเครื่องบินระเบิดลุกโชนกลางอากาศและมีควันดำขโมงเหนือคาบสมุทรไซนาย แต่อย่างไรก็ตาม
ทั้งอียิปต์และมอสโกต่างปฎิเสธคำอ้างของกลุ่มก่อการร้าย IS ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครื่องบินสายการบินเมโทรเจ็ต
A-321 ตก ที่มีคนทั้งหมด 224 ชีวิตอยู่บนนั้น
รวมไปถึงทางรกอายุ 10 เดือน นอกจากนี้บีบีซี สื่ออังกฤษ
ยังได้วิเคราะห์วิดีโอคลิปชิ้นนี้ที่เผยแพร่ออกมาว่า วิดีโอคลิปเครื่องบินตกไม่ได้เป็นวิดีโอคลิปอย่างเป็นทางการของสื่อ
IS และไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการของกลุ่มติดอาวุธ
IS ซึ่งสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีคมนาคมรัสเซีย
มัคซิม โซโคลอฟ(Maksim Sokolov)ให้สัมภาษณ์ว่า
"ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเครื่องบินรัสเซียตกเป็นเป้า
และตลอดจนภาพถ่ายและวิดีโอคลิปที่ปรากฎในเวลานี้ไม่ได้ถูกกลุ่มก่อการร้าย IS
เป็นผู้ถ่าย" ด้านดิอินดีเพนเดนต์
สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า กลุ่มติดอาวุธ Wilayat Sinai ที่มีเครือข่ายโยงใยกับกลุ่ม IS มีรายงานออกปฎิบัติการอยู่ในบริเวณที่เครื่องบินโดยสารรัสเซียตก
โดยใช้ระเบิดฆ่าตัวตายต่อกำลังเจ้าหน้าที่อียิปต์ ซึ่งจากแถลงการณ์ที่ออกมาโดยกลุ่มติอาวุธ IS ระบุว่า
"นักรบของสาธารณรัฐอิสลามทำให้เครื่องบินรัสเซียเหนือจังหวัดไซนายตก
ซึ่งบรรทุกชาวรัสเซียจำนวนกว่า 220 คน
โดยคนทั้งหมดบนเครื่องถูกสังหารทั้งสิ้น ขอขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า" ดิอินดีเพนเดนต์รายงานในวันเสาร์ (31 ตค.) นอกจากนี้ดิอินดีเพนเดนต์ยังระบุว่า
ในแถลงการณ์ ไม่ได้กล่าวถึงวิธีที่ทำให้เครื่องบินโดยสารรัสเซียตก
แต่ผู้สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธได้เผยแพร่วิดีโอคลิปที่แสดงให้เห็นขณะกำลังตกโดยระเบิดกลางอากาศก่อนมีควันดำพวยพุ่ง
ที่วิดีโอคลิปนี้มีผู้ชมจำนวนมากต่างอ้างว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องจริง ดิอินดีเพนเดนต์ยังรายงานเพิ่มเติมต่อว่า
แต่อย่างไรก็ตาม จากการรายงานของบีบีซีพบว่า Wilayat Sinai นั้นมีอาวุธ
RPG แบบประทับบ่าอยู่จริงที่เรียกว่า Manpads แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ไม่มีศักยภาพสามารถยิงเครื่องบินระดับ 31,000
ฟุตได้ ซึ่งล่าสุดจากการรายงานของ MSNBC News สื่อสหรัฐฯในวันอาทิตย์(1)ว่า วิคเตอร์ โซโรเชนโก (Viktor Sorochenko) เจ้าหน้าที่กรรมาธิการระหว่างหน่วยงานด้านการบินรัสเซียยืนยันว่า
เที่ยวบิน 7K-9268 ที่เดินทางออกมาจากท่าอากาศยานเมืองตากอากาศริมฝั่งทะเลแดง
ชาร์ม เอล-ชีคห์ บนคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ไปยังปลายทางที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซียนั้นระเบิดกลางอากาศแยกออกเป็น
2 ส่วนก่อนที่จะตก
แต่อย่างไรก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญรัสเซียปฎิเสธที่จะชี้เฉพาะเจาะจงลงไปถึงการตกครั้งนี้โดยอ้างว่า
ต้องรวบรวมข้อมูลให้ได้มากกว่านี้ โดยโชโรเชนโกให้สัมภาษณ์ในขณะได้เดินทางลงพื้นที่ไปยังจุดตกบนคาบสมุทรไซนาย
อียิปต์ และสอดคล้องกับการให้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอีกคนของรัสเซีย
อเล็กซานเดอร์ นาราดค์ (Alexander Neradk)ผู้อำนวยงานสำนักงานการบินรัสเซียที่กล่าวว่า
เชื่อว่าเครื่องบินโดยสารลำนี้แยกชิ้นส่วนด้วยระดับเพดาบินอัลติจูดสูง
จากหลักฐานที่ชิ้นส่วนของเครื่องบินเมโทรเจ็ตถูกค้นพบกระจัดกระจายในบริเวณกว้าง เดลีเมลรายงานต่อว่า
มีรายงานเปิดเผยว่า
ซากเครื่องบินโดยสารรัสเซียถูกค้นพบห่างไปจากบริเวณจุดออกบินไปราว 200 กม.ทางทิศเหนือ ซึ่งวิเคราะห์ว่าในขณะนั้น ระดับเพดานการบินสูงถึง 31,000
ฟุต และสื่ออังกฤษยังชี้ว่า เป็นที่เข้าใจว่า
ในขณะนี้ยังไม่พบว่ากลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธจะมียุทโธปกรณ์ที่สามารถยิงอากาศยานบินในระดับความสูงนี้ได้ โดยศาสตราจารย์ ไมเคิล คล๊าก (Michael
Clarke) ผู้อำนวยการใหญ่แห่งสถาบัน Royal United Services วิเคราะห์ว่า เครื่องบินเมโทรเจ็ต A-321 นั้นน่าจะเกิดมาจากระเบิดที่ซุกอยู่ในตัวเครื่องมากกว่า โดยให้เหตุผลกับบีบีซี
สื่ออังกฤษว่า “กลุ่มติดอาวุธมีอาวุธ RPG แบบยิงประทับบ่า ซึ่งมีศักยภาพสามารถทำลายเครื่องบินที่กำลังแหล่นลงจอด
หรือในขณะกำลังบินขึ้นได้ แต่ทว่าในระดับความสูงเหนือกว่า 8,000 หรือ 9,000 ฟุตนั้นพ้นจากความสามารถของอาวุธที่กลุ่มก่อการร้ายมีในขณะนี้”
คล๊ากกล่าว นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ยังชี้ว่า ถึงแม้เครื่องบินโดยสารรัสเซียจะตกในบริเวณปฎิบัติการของกลุ่มติดอาวุธที่โยงใยกับกลุ่มก่อการร้าย
IS แต่ทว่ายังไม่มีเหตุหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่า
อาวุธของกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นจะมีส่วนเกี่ยวของกับการตกของเมโทรเจ็ต A-321
ในวันเสาร์(31 ตค.) ด้าน ฮอสซาม คาเมล (Hossam
Kamal)รัฐมนตรีการบินพลเรือนอียิปต์แถลงว่า จากการรายงานพบว่า
การติดต่อระหว่างหอควบคุมการบิน และนักบินเที่ยวบิน 7K-9268 นั้นทุกอย่างดูเป็น”ปกติ” ก่อนที่จะเกิดโศกนาฎกรรมขึ้น
และอีกทั้งนักบินคนขับไม่ได้ร้องขอเปลี่ยนเส้นทางการบินแต่อย่างใด
และหอบังคับการบินไม่ได้มีบันทึกการร้องขอฉุกเฉิน ซึ่งการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของคาเมลขัดแย้งกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า
นักบินเมโทรเจ็ตได้แจ้งเรื่องปัญหาทางเทคนิก
และแจ้งความประสงค์ต้องการจะลงจอดยังสนามบินที่ใกล้ที่สุดในเวลานั้น นอกจากนี้ ในวันอาทิตย์(1)สายการบินลุฟต์ฮันซาประกาศระงับการบินเหนือคาบสมุทรไซนายหากยังไม่ปรากฎว่าสาเหตุของเครื่องบินโดยสารรัสเซียลำนี้ตกเพราะอะไร
โดยโฆษกหญิงลุฟต์ฮันซาชี้แจงว่า “ความปลอดภัยถือเป็นหัวใจหลักของลุฟต์ฮันซา”
และกล่าวต่อว่า ทางบริษัทจะใช้เส้นทางอ้อมไปยังท่าอากาศยานอื่นที่อยู่ในย่านนั้น เอพีรายงานเพิ่มเติมว่า
กระทรวงคมนาคมเยอรมันได้ออกคำสั่งด่วนเตือนเมื่อวานนี้(1)ไปยังทุกบริษัทสายการบินของเยอรมันไม่ให้ใช้เส้นทางการบินของสายการบินเมโทรเจ็ตที่เกิดปัญหา และมาถึงขณะนี้พบว่า
นอกจากสายการบินลุฟต์ฮันซาที่ระงับการบินในบริเวณนี้แล้ว สายการบินแอร์ฟรานซ์
และสายการบินสัญชาติดูไบ เอมิเรตส์
ออกประกาศระงบการบินเหนือคาบสมุทรไซนายเช่นกันจนกว่าสาเหตุการตกของเครื่องบินโดยสารรัสเซียจะถูกระบุอย่างเป็นทางการ ในขณะที่สายการบินบริติชแอร์เวย์
อีซีเจ็ต และเวอร์จินแอตแลนติก
ต่างยืนยันจะยังคงให้บริการบินต่อไปในบริเวณโดยไม่มีการระงับ จากการรายงานของเอพี
แต่ทว่าเดลีเมล สื่ออังกฤษรายงานว่า ในวันอาทิตย์(1)นักบินของบริษัทบริติชแอร์เวย์ได้เปิดเผยว่า
มีคำสั่งด่วนให้เลี่ยงการใช้เพดานบินต่ำเหนืออียิปต์หลังเกิดเหตุโศกนาฎกรรมครั้งนี้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมา ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่า พิสัยการยิงของปืนยิงขีปนาวุธแบบประทับบ่า หรือ RPG
จากภาคพื้นสู่อากาศไม่เกิน 25,000 ฟุต และเดลีเมลยังรายงานเพิ่มเติมว่า
มีการค้นพบว่านักบินอังกฤษต่างได้รับคำเตือนในเรื่องการปลอดภัยโดยไม่ให้บินในระดับเพดานการบินต่ำเหนือจุดตกบนคาบสมุทรไซนายตั้งแต่วันที่
9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งในคำเตือนระบุพบว่า
ได้มีการเตือนไม่ให้นักบินทำการบินต่ำกว่า 25,000 ฟุตครอบคลุมพื้นที่
14,000 ตารางไมล์ เพื่อป้องกันไม่ให้โดนถูกยิงจากอาวุธแบบยิงภาคพื้นสู่อากาศ แต่อย่างไรก็ตาม
สื่ออังกฤษไม่ได้เปิดเผยในรายละเอียดถึงหน่วยงานที่ออกคำสั่งนี้ไปยังนักบินอังกฤษ
ทั้งนี้พบว่าคำเตือนถึง Airmen (NOTAM) นั้นถูกสั่งในวันที่ 9 กันยายน 2015 เวลา 8.50 น.จะยังคงมีผลไปจนถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2015 ที่คาดว่าจะค้นพบสาเหตุการตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดลีเมลรายงานว่า ในคำสั่งนี้ระบุให้นักบินไม่ให้บินในระดับต่ำกว่า 25,000 ฟุตครอบคลุมพื้นที่ 14,000 ตารางไมล์เหนือพื้นที่คาบสมุทรไซนายเหนือเมื่อบินเข้าไปยังชาร์ม เอล-ชีคห์ ซึ่งในคำสั่งนี้กล่าวว่า “สถานการณ์อันตรายเหนือท้องฟ้าอียิปต์บริเวณไซนายเหนือ นั้นสามารถเป็นอันตายต่อเครื่องบินที่บินผ่านในบริเวณนี้ที่มีเพดานบินต่ำกว่า 25,000 ฟุต ที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน” และในคำเตือนยังกล่าวต่อว่า “ขอให้ผู้บังคับการเครื่องไตร่ตรองให้รอบคอบในความเสี่ยงถึงชีวิตที่อาจเกิดขึ้น และรวมไปถึงการตัดสินใจการเปลี่ยนเส้นทางการบิน” และสื่ออังกฤษชี้ว่า สายการบินสัญชาติอังกฤษยังได้รับคำแนะนำให้ติดต่อกระทรวงคมนาคมอังกฤษในรายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้
ทั้งนี้พบว่าคำเตือนถึง Airmen (NOTAM) นั้นถูกสั่งในวันที่ 9 กันยายน 2015 เวลา 8.50 น.จะยังคงมีผลไปจนถึงวันที่ 2 ธันวาคม 2015 ที่คาดว่าจะค้นพบสาเหตุการตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดลีเมลรายงานว่า ในคำสั่งนี้ระบุให้นักบินไม่ให้บินในระดับต่ำกว่า 25,000 ฟุตครอบคลุมพื้นที่ 14,000 ตารางไมล์เหนือพื้นที่คาบสมุทรไซนายเหนือเมื่อบินเข้าไปยังชาร์ม เอล-ชีคห์ ซึ่งในคำสั่งนี้กล่าวว่า “สถานการณ์อันตรายเหนือท้องฟ้าอียิปต์บริเวณไซนายเหนือ นั้นสามารถเป็นอันตายต่อเครื่องบินที่บินผ่านในบริเวณนี้ที่มีเพดานบินต่ำกว่า 25,000 ฟุต ที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน” และในคำเตือนยังกล่าวต่อว่า “ขอให้ผู้บังคับการเครื่องไตร่ตรองให้รอบคอบในความเสี่ยงถึงชีวิตที่อาจเกิดขึ้น และรวมไปถึงการตัดสินใจการเปลี่ยนเส้นทางการบิน” และสื่ออังกฤษชี้ว่า สายการบินสัญชาติอังกฤษยังได้รับคำแนะนำให้ติดต่อกระทรวงคมนาคมอังกฤษในรายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้
รอยเตอร์ – ผู้นำหมายเลขหนึ่งคนปัจจุบันของกลุ่มอัลกออิดะห์
“อัยมาน อัล-ซอวาฮิรี” ออกมาเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนชาวมุสลิมทั้งหลายร่วมมือกัน
เพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากฝ่ายตะวันตกและรัสเซียในซีเรียและอิรัก
นับเป็นคลิปบันทึกเสียงชิ้นล่าสุดซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพิ่มขึ้นมาก
ระหว่าง “อัลกออิดะห์” กับ กลุ่ม “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) “พวกอเมริกัน,
พวกรัสเซีย, พวกอิหร่าน, พวกอาลาวิต, และพวกฮิซบอลเลาะห์
กำลังร่วมมือประสานงานกันในการทำสงครามของพวกเขาซึ่งต่อต้านเล่นงานพวกเรา
แล้วพวกเราล่ะ ไม่สามารถหรือ ที่จะยุติการสู้รบกันเองในระหว่างพวกเรา
เพื่อที่พวกเราจะได้สามารถทุ่มเทความพยายามของพวกเราทั้งหมดหันไปต่อสู้เล่นงานพวกเขา?”
ซอวาฮิรี
กล่าวในคลิปเสียงซึ่งถูกนำออกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตเมื่อวันอาทิตย์ (1 พ.ย.) ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าคลิปเสียงนี้ทำการบันทึกไว้เมื่อใด
แต่จากเนื้อหาที่ผู้นำหมายเลขหนึ่งของอัลกออิดะห์ผู้นี้พูดถึงการรุกรานของรัสเซีย
บ่งบอกให้เห็นว่าคงจะทำขึ้นหลังจากรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีบาชาร์
อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย เปิดฉากทำการถล่มโจมตีทางอากาศเล่นงานกลุ่มฝ่ายค้านต่างๆ
ในซีเรีย รวมทั้งกลุ่มไอเอสด้วย ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ในคลิปเสียงอีกคลิปหนึ่งซึ่งนำออกเผยแพร่ในเดือนกันยายน
ซอวาฮิรีได้ปฏิเสธไม่ยอมรับฐานะของกลุ่มรัฐอิสลาม และ อบู บาคร์ อัล-แบกดาดี
ผู้นำของกลุ่มนี้ แต่ก็กล่าวว่าสาวกของอัลกออิดะห์ควรที่จะเข้าร่วมกับไอเอส
ในการสู้รบกับกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยฝ่ายตะวันตกในอิรักและซีเรีย
ถ้าหากสามารถที่จะกระทำเช่นนั้นได้
“พี่น้องนักรบมูจาฮีดีนของเราในทุกหนทุกแห่ง และของทุกๆ
กลุ่ม ... เรากำลังเผชิญการรุกรานจากอเมริกา, ยุโรป, และรัสเซีย ... ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับพวกเราที่จะต้องยืนหยัดร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว
ตั้งแต่เตอร์กิสถานตะวันออก ไปจนกระทั่งถึงโมร็อกโก” ซอวาฮิรี
เรียกร้องในคลิปล่าสุด ไอเอส
กลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งซึ่งเวลานี้สามารถควบคุมพื้นที่ผืนใหญ่ๆ
หลายผืนในอิรักและซีเรีย
ก็ได้ออกมาเรียกร้องชาวมุสลิมทั้งหลายให้ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้เล่นงานทั้งรัสเซียและสหรัฐฯ
เพื่อเป็นการตอบโต้การที่มอสโกและวอชิงตันเข้าถล่มโจมตีทางอากาศใส่นักรบไอเอสในซีเรีย ถ้าหาก อัลกออิดะห์ และ ไอเอส
มีความร่วมมือกันใดๆ ขึ้นมา
ย่อมเพิ่มความยุ่งยากซับซ้อนให้แก่ความพยายามในการสร้างเสถียรภาพในตะวันออกกลาง
หลังจากที่ภูมิภาคนี้ถูกกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ แผ่อิทธิพลบารมี
รวมทั้งเปิดการโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เกิดกระแส “อาหรับสปริง”
ในปี 2011 ซึ่งมีการโค่นล้มพวกผู้นำเผด็จการรวบอำนาจของหลายชาติในตะวันออกกลาง
ที่เคยมีบทบาทในการควบคุมพวกหัวรุนแรงเหล่านี้
เอเจนซีส์ –
อดีตผู้ว่าการรัฐฟลอริดา เจบ บุช
ต้องตกที่นั่งลำบากอีกครั้งท่ามกลางมรสุมการเงินหลังจาก คริสติน ชิโกเน (Christine
Ciccone) ผู้จัดการทีมหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016
ประจำสำนักงานใหญ่ลาออกในวันศุกร์(30 ตค.)
ซึ่งถือเป็นผู้ช่วยของเจบที่มีตำแหน่งสำคัญเป็นคนแรกที่ได้ลาออกจากตำแหน่ง NBC News สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(1)ว่า คริสติน ชิโกเน (Christine Ciccone) ผู้จัดการทีมหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
2016 ประจำสำนักงานใหญ่ของเจบ บุช
ลาออกจากตำแหน่งในวันศุกร์(30 ตค.) โดยแหล่งข่าวที่ปรึกษาของเจบ
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิหารประจำวันให้ข้อมูลกับสื่อสหรัฐฯว่า “ชิโกเนถือเป็นคนสำคัญมากๆ
ซึ่งถือได้ว่าอยู่ในตำแหน่งคีย์แมนในฝ่ายบริหารทีมหาเสียงของเจบ
โดยชิโกเนนั่งตำแหน่งบริหารสำนักงานหาเสียงต่างๆ” สื่อสหรัฐฯรายงานว่า
ชิโกเนได้รับเงินเดือนในการรับบริหารงานให้เจบ บุชด้วยตัวเลขสูงกว่า 12,000
ดอลลาร์ต่อเดือนเล็กน้อย อ้างอิงข้อมูลจาก FEC แต่ทว่าชิโกเนตกที่นั่งลำบากเหมือนเจ้าหน้าที่ทีมหาเสียงคนอื่นๆส่วนใหญ่ของเจบซึ่งเงินเดือนถูกปรับลดนับตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา “เราต่างรู้สึกยิดีที่ได้ชิโกเนมาร่วมทีม
เรานับถิอเธอมาก” โฆษกประจำทีมหาเสียงของเจบ บุช แถลงกับ NBC
News ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานหาเสียงของเจบ
บุชได้ออกบันทึกความเข้าใจภายในในการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ท่ามกลางปัญหาด้านการเงินที่รุมเร้า
ซึ่งรวมไปถึงการเลิกจ้างพนักงาน รวมไปถึงการลดขนาดสำนักงานหาเสียงในเมืองไมอามี
รัฐฟลอลิดา และการลดค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างพนักงานลดลงอีก 40% และนอกไปจากนี้ในที่ประชุมผู้สนับสนุนการเงินที่เมืองดัลลัส
รัฐเทกซัสในสัปดาห์ที่แล้ว เจบพยายามที่จะทำให้บรรดาผู้บริจาคต่างคลายกังวลถึงตัวเลขความนิยมรั้งท้ายโพลของเขา
และในที่ประชุมนี้เจบได้ให้สัญญาจะเปลี่ยนแปลงให้สถานการณ์ดีขึ้น
พร้อมสัญญาที่จะทำให้กลายเป็นผู้สมัครตัวเต็งแถวหน้าให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม
สื่อสหรัฐฯชี้ว่า สถานการณ์ของเจบดูจะไม่กระเตื้องขึ้นเมื่อดูจากผลการดีเบตครั้งที่
3 ของพรรครีพับลิกันในวันพุธ(28 ตค.)ที่ผ่านมา
ซึ่งการโจมตีของเจบต่ออดีตที่ปรึกษา ซึ่งปัจจุบันเป็นคู่แข่ง มาร์โก รูบิโอ
สว.รัฐฟลอลิดาดูจะไม่มีน้ำหนัก และพบว่าใช่วงเริ่มต้นของการดีเบต
เจบแทบไม่มีโอกาสได้พูดอะไรออกมาเลย
NBC News รายงานเพิ่มเติมว่า เจบ บุช
ประกาศตัวเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วยความคาดหวังที่สูงจากหลายฝ่ายเมื่อดูได้จากบรรดาผู้บริจาคกระเป๋าหนักต่างรุมเข้าไปหา
และเจบมีโอกาสคัดเลือกผู้มีชื่อเสียงจากในพรรครีพับลิกันให้มาช่วยงาน แต่ทว่าเจบ
กลับยังไม่สามารถทำให้ผู้บริจาคเหล่านั้นพึงพอใจได้ด้วยคะแนนนิยมตัวเลขสองหลักจากผลโพลสำนักต่างๆล่าสุดได้ทั้งๆที่โฆษณาหาเสียงการเมืองของเขาออกอากาศถี่ยิบเกือบทุกวัน
ซึ่งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ MSNBC ช่วง Meet the
Press ในวันอาทิตย์(1)เจบรับรู้ถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากพร้อมยอมรับว่าผู้จัดการทีมหาเสียงได้ลาออกแล้ว
แต่เขายังประกาศยืนยันจะสู้ต่อ
และประกาศว่าคนที่ปรามาสเขาเหล่านั้นยังไม่รู้จักเขาดี ซึ่งสื่อสหรัฐฯวิเคราะห์ว่า
เจบ บุช ยังต้องหาทางแก้ปัญหาว่า จะแก้ปัญหาในสถานการณ์การเงินได้อย่างไร
จะสู้ต่อไปอย่างไร และในรูปแบบไหน ทั้งนี้คริสติน
ชิโกเนมีความสัมพันธ์ยาวนานกับครอบครัวบุช
ซึ่งเธอเคยทำงานในสมัยของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช
ในตำแหน่งผู้ประสานงานวุฒิสมาชิก
และยังเป็นล็อบบี้ยิสต์ให้กับบริษัทคอนซัลแทนต์ในวอชิงตัน Sphere
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น