วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (13) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 13

เรื่องที่ 13  สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR) ขบวนการผู้ทรงอิทธิพลที่ครอบครองโลก

บทความชุดนี้เกิดขึ้น (20 เรื่องที่เราควรรู้ เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก) จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ชมรายการ “มองโลก มองเรา” ทางสถานีวิทยุผ่านดาวเทียม news1  มีอยู่ตอนนึงที่พูดถึงเครือข่ายโยงใย ขององค์กรโลกบาล ต่างๆ ที่มีอเมริกาหนุนหลังหรือบงการอยู่ ซึ่งพฤติกรรมและเบื้องหลังขององค์กรเหล่านี้มันชั่วร้ายมาก เคยคิดว่ามันมีอยู่แต่ในหนังฮอลลีวู้ด แต่นี่เป็นเรื่องจริง จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนรวบรวมข้อมูล จัดหนัก 20 บทความที่จะมาเปิดเผยสันดาน และชำแหละประเทศสารเลว ประเทศนี้ ที่อยู่เบื้องหลังสารพัดเหตุการณ์บนโลกใบนี้ ที่ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป เกิดจากอเมริกาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น แต่ไม่ได้เหมารวมเป็นการกล่าวร้ายคนอเมริกันทั้งประเทศนะครับ ในที่นี้คงหมายถึงรัฐบาลหรือผู้นำ หรือองค์กรที่อยู่เบื้องหลัง หรือมีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกันเสียมากกว่า ซึ่งมันชั่วได้ใจจริงๆ ครับท่านผู้อ่าน นี่เป็นเพียงเรื่องเดียว แต่คงเป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของบทความชุดนี้ทั้ง 20 ตอน ก่อนอื่น ไปหาความหมายของคำว่า CFR กันก่อน ครับ

Council On Foreign Relations (CFR) สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

CFR คือองค์กรที่พวกยิวไซออนิสต์ก่อตั้งขึ้น เป็นขบวนการที่มีผู้ทรงอิทธิพลในแต่ละสาชาอาชีพด้านการเงิน การค้า การเมือง รวมตัวกันด้วยเป้าหมายที่ต้องการเป็น  "ศูนย์กลางอำนาจบังคับบัญชาโลก"

CFR. ปัจจุบันเป็นองค์กรที่มีศักยภาพและมีอิทธิพลสูงสุดในการควบคุมโลกยุคนี้ มีการทํางานอย่างเป็นระบบระเบียบ มีสมาชิกที่เป็นผู้นําประเทศ รัฐมนตรี นายทหาร นายธนาคาร ฯลฯ ที่อยู่ตามรัฐบาลต่างๆทั่วโลก สูงถึง 4,000 คน

ขบวนการปั่นโลก เดินบทบาทผ่านตำแหน่งประธานที่ปรึกษา  คาร์ลไลส์กรุ๊ป ที่เข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจการเงิน โทรคมนาคม และ พลังงาน ของประเทศต่างๆ และในส่วนขององค์การการค้าโลก เอ็นจีโอ ธนาคารกลางสหรัฐที่เรียกว่า เฟด ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก แม้กระทั่ง ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นิวสวีก และซีเอ็นเอ็น ล้วนเป็นองค์กรที่เกิดขึ้น ภายใต้การควบคุม-ชักใยของขบวนการ CFR ทั้งสิ้นและปัจจุบันมี..บุช-ผู้พ่อ เป็นประธานใหญ่ของ CFR   จะว่าไปแล้ว กิจการใหญ่ๆ ร้อยละ 70-80 จากสินค้า-ธุรกิจทั้งหมด จากสหรัฐ-ยุโรป ที่ครองโลกอยู่ขณะนี้อยู่ในอาณัติของCFR เกือบทั้งสิ้น "สงครามเศรษฐกิจ-การเงิน และ สงครามพลังงาน" ที่ป่วนโลกอยู่เวลานี้ ก็เช่นกัน เกิดจากความจงใจส่งสัญญาณจากCFR เพื่อสร้างเงื่อนไข นำไปสู่ New World Order ในศตวรรษที่ ๒๑. นั่นเอง  CFR จัดตั้งเมื่อ พ.ศ.2464 โดยมี พันเอกเอ็ดเวิร์ด เอ็ม เฮาส์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ขอเงินสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจเซซิล โรดส์, กลุ่มเจพี มอร์แกน, กลุ่มโรธส์ไชลด์, กลุ่มคาร์เนกี และกลุ่มร็อคกีเฟลเลอร์

จุดประสงค์ที่CFR แถลงต่อสาธารชนอย่างเป็นทางการคือ  CFR เป็นองค์กรที่สนับสนุน การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ที่ทุกชาติจะเดินทางไปในแนวทางเดียวกัน และจับมือกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นองค์รวมในระดับนานาชาติ  CFR เป็นฝ่ายประสานงานระหว่างประเทศของ องค์กรลับ ที่จัดตั้งมานานนับศตวรรษ และองค์กรลับใหม่ๆ ซึ่งมีอิทธิพลระดับประเทศและระดับภูมิภาค กลุ่มองค์กรที่ทำงานรับใช้ขบวนการยิวไซออนิสต์โดยเปิดเผย คือ

(1) องค์กรความร่วมมือของยิวสากล

(2) สมัชชาชาวยิวสากล

(3) สหพันธ์นักหนังสือพิมพ์ยิวระหว่างประเทศ

(4) สภาที่ปรึกษาสำหรับชาวยิว

(5) สหภาพคนงานและผู้ฟื้นฟูโบราณสถาน

(6) สหภาพชาวยิวแห่งพระเจ้า

ส่วนองค์กรลับของชาวยิว อีกส่วนหนี่งได้แก่

(1) องค์การฟรีแมสสัน

(2) องค์กรบิลเดอร์เบิร์ก

(3) องค์กรอิลลูมินาติ

(4) สมาคมสกัลล์แอนด์โบนส์ (สมาคมหัวกะโหลกกระดูกไขว้)

(5) สมาคมลับไทรเลตเทอรอล คอมมิสชัน

(6) สโมสรโรตารีและไลออนส์

องค์การฟรีเมสสัน( Freemasson)

ปัจจุบันขบวนการนี้ไม่ได้เป็นขบวนการลับอีกต่อไป หลังจากมีผู้เปิดโปงขบวนการนี้ออกมาสู่สาธารณชน เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ขบวนการนี้เป็นองค์กรหนึ่งที่ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างลับๆ โดยพวกยิว เพื่อบรรลุถึงผลประโยชน์ / อุดมการณ์ของพวกเขา ฟรีเมสสันดำเนินแผนการต่างๆที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐยิวใหม่ เพื่อครอบครองโลกต่อไป  สโมสรโรตารีและไลออนส์( Rotary & Lion Clubs )  หลังจากความลับในเรื่องของขบวนการฟรีเมสสันได้ถูกเปิดเผยออกมา จึงได้มีการจัดตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาแทนองค์กรเดิม คือ สโมสรโรตารีและไลออนส์  คำว่า โรตารี แปลว่า กลับมา สื่อความถึง การกลับคืนสู่ปาเลสไตน์และสถาปนารัฐยิวขึ้นมาเพื่อปกครองโลก  สโมสร โรตารีและไลออนส์  มีการขยายสาขาไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกมุสลิม และดินแดนอื่นๆ ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆในด้านวัฒนธรรม การกีฬา และ ความบันเทิง ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการล้างสมองเยาวชนคนหนุ่มสาวเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมของเยาวชนคนหนุ่มสาวให้ หลงใหล คลั่งไคล้กับกระแสที่ชั่วร้ายต่างๆได้เป็นอย่างดี

(เครดิต อ้างอิง-คัดลอกข้อมูลจาก หน้าเพจของคุณจงเจริญ กลุ่มพลังเงียบมหาชน บล็อกโอเคเนชั่น ,บทความชื่อ CFR คือใคร ทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน ทำไม อย่างไร ,วันที่ 17 มิถุนายน 2555) 

และนี่เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวเอาไว้ในรายการคนเคาะข่าว สถานีโทรทัศน์ astv ซึ่งถอดความจาก   บทความ “นักวิเคราะห์ต่างชาติตีแผ่คำ “สนธิ” แฉทุนมะกันหนุนหลังแก๊งค์ล้มเจ้า

แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สนธิ ลิ้มทองกุลเจ้าของสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ออกมากล่าวเกี่ยวกับบทบาทของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR), องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย (NED), องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID), ฮิวแมนไรต์ วอตช์ (HRW) องค์การนิรโทษกรรมสากล และหน่วยงานอื่นๆ ของสหรัฐฯ ที่เป็นตัวการบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย   สนธิ เปิดใจชี้แจงทุกคำถามอย่างตรงไปตรงมา หลังจากนั้น คำกล่าวโดยละเอียดก็ถูกนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Manager.co.th พร้อมภาพกราฟิกแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนต่างชาติและพวกยุยงปลุกปั่นในไทยที่ทำงานร่วมกับพวกเขา  บทวิเคราะห์ของ สนธิ นอกจากจะครอบคลุมที่มาของวิกฤตการเมืองไทยตลอด 6 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังพุ่งประเด็นไปที่อดีตผู้นำซึ่งเป็นตัวแทนของลอนดอนและวอลล์สตรีทอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ด้วย  ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยตั้งแต่ปี 2001 จนกระทั่งถูกรัฐประหารเมื่อปี 2006 เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ Carlyle Group ของอเมริกา และส่งรายงานถึง CFR ในนครนิวยอร์กก่อนจะถูกปฏิวัติเพียง 1 วัน ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ทักษิณ พยายามผลักดันสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ แม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาก็ตาม และเมื่อเดือนเมษายนปี 2011แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ได้เดินทางไปยังสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) ซึ่งมีส่วนสนับสนุนสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีเมื่อปี 2004 ด้วย
    
สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ประกอบด้วย บริษัทใหญ่ๆ เช่น 3M, Bechtel, Boeing, Cargill, Citigroup, General Electric, IBM, Monsanto และล่าสุดยังรวมถึง Goldman Sachs และ JR Morgan, Lockheed Martin, Raytheon, Chevron, Exxon, BP, Glaxo Smith Kline, Merck, Northrop Grumman, Syngenta และ Philip Morris ซึ่งถ้าจะว่ากันแล้ว กลุ่มบริษัทเหล่านี้ดูจะมีความเชื่อมโยงกับคำว่า สังหารหมู่, ทุจริตคอร์รัปชัน, สงคราม และความทุกข์ทรมานของมนุษย์ มากกว่านโยบาย ประชาธิปไตยและ สังคมเปิดที่ ทักษิณ สัญญาว่าจะสร้างให้เกิดมีขึ้นในประเทศไทย
    
หลังการปฏิวัติปี 2006 เป็นต้นมา นักการเงินจากบริษัทล็อบบี้ยิสต์อเมริกันจำนวนมากอาสาเป็นปากเสียงให้กับทักษิณ เช่น เคนเนธ เอเดลแมน จากบริษัทโฆษณา Edelman, เจมส์ เบก จาก Baker Botts (CFR), โรเบิร์ต แบล็กวิลล์ จาก Barbour Griffith & Rogers (CFR), Kobre&Kim และล่าสุด โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้รับแรงเชียร์จากเอ็นจีโอที่สหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ เช่น ประชาไท เป็นต้น  ไม่นานมานี้ ทักษิณ ยังผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาในนามพรรคเพื่อไทย โดยได้แรงสนับสนุนจากสื่อตะวันตกอย่างล้นหลาม รวมไปถึงคำขู่จาก CFR ที่ต้องการให้พรรคของทักษิณได้ขึ้นสู่อำนาจอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยคว้าชัยชนะมาได้ด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 35 จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด และแม้จะได้อำนาจมาครองก็จริง ทว่าฐานเสียงและความชอบธรรมที่ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดก็เริ่มปรากฎชัดเจน อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ยังต้องเผชิญแรงเสียดทานจากกลุ่มผู้มีอำนาจและกองทัพด้วย
    
ข้อมูลเชิงลึกซึ่งแต่เดิมจะถูกจำกัดอยู่ในแวดวงสื่อทางเลือก ถูกเผยแพร่ไปตามสื่อกระแสหลักของไทยผ่านบทวิเคราะห์ของ สนธิ เมื่อวันศุกร์ (27) ที่ผ่านมา ซึ่งจากการสำรวจของ Alexa พบว่า เว็บไซต์ Manager.co.th เป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 14 ของประเทศ และมีฐานผู้อ่านพอๆ กับเว็บข่าว RT ของรัสเซีย   สนธิ ยังกล่าวถึงแนวคิด ศตวรรษแห่งแปซิฟิกของสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่เพียงการยกระดับอาเซียนให้เป็นคู่แข่งในภูมิภาคกับจีนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการหลอมรวมเอเชียทั้งหมดให้เข้าอยู่ในระเบียบสากลที่ สนธิ เรียกว่า ฉันทามติวอชิงตัน” (Washington Concensus)
    
หลังคำกล่าวของสนธิถูกเผยแพร่ออกไป เว็บไซต์ประชาไท ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้ทันที โดยระบุว่า เงินจำนวนหลายล้านบาทต่อปี ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มอบผ่าน NED นั้น ไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อข่าวที่นำเสนอทั้งที่บทบาทของ NED ในการบ่อนทำลายและโค่นล้มรัฐบาลอาหรับตลอดปี 2011 ที่ผ่านมานั้นเป็นที่ทราบกันดี ยังไม่รวมถ้อยแถลงยอมรับที่เผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส ในหัวข้อ องค์กรสหรัฐฯสนับสนุนการปฏิวัติในโลกอาหรับซึ่งมีใจความว่า   กลุ่มและบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติและปฏิรูปทั่วภูมิภาคอาหรับ เช่น ขบวนการเยาวชน 6 เมษายนในอียิปต์, สถาบันสิทธิมนุษยชนในบาห์เรน รวมถึงนักเคลื่อนไหวรากหญ้าอย่าง เอ็นซาร์ กอดี ผู้นำเยาวชนในเยเมน ล้วนได้รับการฝึกฝนและสนับสนุนเงินทุนจากองค์กรของสหรัฐฯ เช่น สถาบันรีพับลิกันนานาชาติ, สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ และ ฟรีดอม เฮาส์ ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่แสวงหาผลกำไรในวอชิงตัน
    
สถาบันรีพับลิกันและประชาธิปไตยมีสายสัมพันธ์ห่างๆ กับพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต องค์กรทั้งสองก่อตั้งและได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย (NED) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1983 เพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา NED ได้รับงบประมาณราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีจากสภาคองเกรส ในขณะที่ ฟรีดอม เฮาส์ ได้รับทุนสนับสนุนส่วนใหญ่จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
  ความหน้าไหว้หลังหลอกของ NED ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะเมื่อปี 1993 โนม ชอมสกี นักภาษาศาสตร์และนักเคลื่อนไหวชื่อก้องของสหรัฐฯ ก็เคยวิจารณ์การรณรงค์ประชาธิปไตยของ NED ในนิคารากัว ว่า นี่คือสิ่งที่คาดเดาได้จากการรณรงค์ประชาธิปไตยแบบ 2 ขั้ว มันคือความพยายามยัดเยียดสิ่งที่คุณเรียกว่าประชาธิปไตย ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเพียงการปกครองโดยกลุ่มคนร่ำรวยและมีอำนาจ โดยปราศจากม็อบมาคอยรบกวน และยังอยู่ในกรอบของการเลือกตั้งเท่านั้น
    
ในการเสวนาเรื่อง “Activating Human Rights & Peace” ณ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น ครอสส์ ของออสเตรเลีย ยังกล่าวถึงบทบาทของ NED ว่า ทำหน้าที่หลายอย่างที่แต่เดิมเป็นภารกิจของ ซีไอเอ”  และเมื่อพิจารณาบอร์ดบริหารของ NED ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่มีแนวความคิดฟาสซิสม์, อนุรักษ์นิยมใหม่ และนิยมการปกครองโดยชนชั้นสูงซึ่งกระหายสงครามแล้ว ก็ยิ่งน่าประหลาดใจว่า เหตุใดกลุ่มที่อ้างตัวเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง อิสระอย่างประชาไทจึงยอมรับเงินจากคนเหล่านี้ แม้ว่าการรับเงินจะ ไม่มีอิทธิพลใดๆต่อข่าวที่นำเสนอก็ตาม  แน่นอนว่ายังมีคำถามอีกมากมายที่ประชาไทและเอ็นจีโอซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกันกับพวกเขาจะต้องตอบให้ได้  สนธิ ไม่เพียงเปิดโปงเบื้องหลังของประชาไท แต่ยังเผยธาตุแท้ของแผนโกลบอลลิสต์ที่ต้องการรุกรานประเทศไทย โดยมีประชาไทเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ขณะนี้จึงถือเป็นช่วงอันตรายสำหรับไทยและทั่วโลก เพราะเมื่อหลายประเทศเริ่มรับรู้แผนการของพวกเขาแล้ว นายทุนเหล่านี้จึงเหลือทางเดินเพียงแค่ 2 ทาง คือ โจมตีหรือไม่ก็ หนีแต่เมื่อดูจากระดับอาชญากรรมที่คนกลุ่มนี้ก่อขึ้น การหนีคงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เมื่อโลกทั้งใบกลายเป็น จุดเกิดเหตุเสียแล้วก็ย่อมไม่มีที่หลบซ่อนอีก พวกเขาจะต้องโจมตีอย่างแน่นอน และคำถามสำคัญก็คือ เราพร้อมที่จะรับมือแล้วหรือยัง?  สำหรับตัว สนธิ เองเคยตกเป็นเหยื่อของการลอบสังหารมาแล้ว โดยเมื่อเดือนเมษายนปี 2009 รถยนต์ของเขาถูกมือปืนนิรนามสาดกระสุนใส่ร้อยกว่านัดในเวลากลางวันแสกๆ กระสุนลูกหนึ่งถากศีรษะของเขาไป แต่สุดท้ายเขาก็รอดชีวิตมาได้  แน่นอนว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของ สนธิ ซึ่งออกมาเปิดโปงแผนการของกลุ่มคน 0.1 เปอร์เซ็นต์ในวอลล์สตรีทที่กำลังรุกคืบมายังประเทศไทย โดยอาศัยหน้ากาก สิทธิมนุษยชน”, “ประชาธิปไตยและ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมาอำพรางจุดประสงค์ที่แท้จริง  อันที่จริงแล้ว การพรางตัวนั้นจะด้อยประสิทธิภาพลงหากคนเรารู้จักสังเกต บรรดานักล่าหรือปรสิตทั้งหลายที่ใช้การพรางตัวเพื่อล่าเหยื่อจะอ่อนศักยภาพลงในสภาพแวดล้อมที่คนมีความรู้และรู้จักเฝ้าระวัง

(เครดิต อ้างอิง-คัดลอกจากหน้าเพจของผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ข่างต่างประเทศ วันที่ 29 มกราคม 2555)
 
แผนผังเครือข่ายโยงใยของ CFR ที่อยู่เบื้องหลังและครอบงำไทย  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น