วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (รัสเซียตอบโต้ตุรกีทันควัน เหตุยิงเครื่องบิน SU-24 ตก, ตุรกีอ้างไม่รู้ว่าเป็นเครื่องบินรัสเซีย และอ้างว่ารัสเซียบินล้ำน่านฟ้าตนเอง เตือนแล้วแต่ไม่ฟัง)

เอเจนซีส์ - รัสเซียประกาศในวันนี้ (25 พ.ย.) จัดขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานสุดไฮเทคเข้าไปเสริมอานุภาพฐานทัพอากาศของตนในซีเรีย รวมทั้งให้เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธนำวิถีเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายฝรั่งซีเรีย-ตุรกี และให้เครื่องบินขับไล่ตามคุ้มกันเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่งออกปฏิบัติการในซีเรีย ขณะที่ประกาศว่าจะยังคงโจมตีทางอากาศในพื้นที่ใกล้ตุรกีต่อไป นอกจากนั้นยังเล็งที่จะทำการตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ สำหรับนักบินของเครื่องบินรบหมีขาวที่ถูกตุรกียิงตกนั้น มอสโกยืนยันว่าคนหนึ่งเสียชีวิต อีกคนช่วยกลับมาได้แล้ว ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันอังคาร (24) ซึ่งเครื่องบินรบ ซู-24 ของรัสเซียถูกเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ของตุรกี 2 ลำ ยิงด้วยขีปนาวุธจนไฟไหม้ตกลงโหม่งโลก โดยที่นักบินรัสเซียทั้ง 2 ได้ดีดตัวใช้ร่มชูชีพลงสู่พื้น มอสโกแถลงในวันนี้ (25) ยืนยันว่านักบินคนหนึ่งถูกอาวุธจากภาคพื้นดินยิงจนเสียชีวิต ขณะที่อีกคนหนึ่งซึ่งตอนแรกๆ ยังไม่ทราบชะตากรรมและเต็มไปด้วยรายงานที่สับสนนั้น รัฐมนตรีกลาโหม เซียร์เกย์ ชอยกู ระบุว่า นักบินผู้นี้ได้รับการช่วยเหลือจากทหารปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียและซีเรีย จนเดินทางถึงฐานทัพอากาศของรัสเซียอย่างปลอดภัยแล้วก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมแดนหมีขาวแถลงด้วยว่า ระหว่างการออกปฏิบัติการค้นหาและกู้ชีพภายหลังเครื่องบินตก โดยใช้เฮลิคอปเตอร์แบบ เอ็มไอ-8 จำนวน 2 ลำนั้น ปรากฏว่าเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งถูกระดมยิงจากภาคพื้นดินจนกระทั่งไฟไหม้และต้องลงจอด แล้วมีทหารนาวิกโยธินรัสเซียผู้หนึ่งถูกสังหาร ขณะที่คนอื่นๆ หลบหนีกลับมาได้  ทางกระทรวงระบุว่า นอกจากตัดขาดยุติการติดต่อทางทหารกับตุรกีแล้ว รัสเซียได้สั่งให้เรือรบ มอสควาซึ่งเป็นเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธนำวิถี ที่เป็นเรือธงของกองเรือทะเลดำของแดนหมีขาว แล่นจากด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มายังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในแถบจังหวัดลาตาเกีย ใกล้ชายฝั่งซีเรีย-ตุรกี และมีการออกคำสั่งให้ยิงทำลาย เป้าหมายใดๆ ก็ตามที่แสดงตนว่ามีศักยภาพสร้างอันตรายให้แก่กองกำลังของรัสเซียในซีเรีย ขณะเดียวกัน เครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซียที่ออกปฏิบัติการโจมตีในซีเรีย ต่อจากนี้ไปจะมีเครื่องบินขับไล่คอยให้การคุ้มกันไม่เพียงเท่านั้น รัฐมนตรีกลาโหมชอยกูกล่าวสำทับในเวลาต่อมาว่า รัสเซียกำลังจัดส่งระบบจรวดต่อต้านอากาศยานรุ่น เอส400 ที่ทันสมัยสุดไฮเทคของตน เข้าไปติดตั้งที่ฐานทัพอากาศเฮไมมีม ซึ่งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย ในซีเรีย ทั้งนี้ เอส400 สามารถใช้ยิงเครื่องบินที่อยู่ในระยะห่างไกลได้  ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บอกกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ (25) ว่า หวังว่ามาตรการต่างๆ เหล่านี้ของรัสเซีย จะเพียงพอรับประกันว่า การปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพรัสเซียจะมีความปลอดภัย เห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการเหล่านี้มุ่งเป็นการตักเตือนโดยตรงไปถึงตุรกี อย่าได้พยายามยิงเครื่องบินรัสเซียอีก ทั้งนี้อากาศยานของรัสเซียได้ออกถล่มโจมตีทั้งพวกนักรบญิฮัด รัฐอิสลาม” (ไอเอส) และกลุ่มกบฎซีเรียอื่นๆ มาตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน โดยที่ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียแถลงในวันนี้ (25) ว่า รัสเซียจะยังคงโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายไอเอส ซึ่งอยู่ในซีเรียบริเวณใกล้ๆ กับชายแดนตุรกีต่อไป  เราก็ปรารถนาที่จะให้พวกผู้ก่อการร้ายและพวกหัวรุนแรง อยู่ห่างออกไปจากพรมแดนตุรกี แต่โชคร้ายคนเหล่านี้มีความโน้มเอียงที่จะอยู่กันในดินแดนซีเรียซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนตุรกีเสียด้วยโฆษกวังเครมลินระบุ ทางด้านนายกรัฐมนตรีดมิตริ เมดเวเดฟ ยังออกมาสำทับว่า อังการาควรคาดหมายว่าจะต้องถูกลงโทษคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและทางธุรกิจ ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศเซียร์เกย์ ลาฟรอฟ ซึ่งประกาศยกเลิกการเดินทางไปเจรจากับฝ่ายตุรกีในวันอังคาร ตามที่มีกำหนดการเอาไว้ ได้เรียกร้องให้ชาวรัสเซียอย่าเดินทางไปท่องเที่ยวตุรกี จากนั้น ปูตินก็ได้เรียกร้องชาวรัสเซียซ้ำอีก ทั้งนี้ตุรกีเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวอันเป็นที่นิยมสูงแห่งหนึ่งของชาวแดนหมีขาว เมดเวเดฟกล่าวว่า ตอนนี้วังเครมลินอาจจะยกเลิกโครงการสำคัญๆ ที่รัสเซียจัดทำร่วมกับตุรกี และพวกบริษัทตุรกีทั้งหลาย ซึ่งมีกิจการธุรกิจและการติดต่อค้าขายกับรัสเซียอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงการค้าปลีก อาจพบเห็นว่าส่วนแบ่งในตลาดรัสเซียของพวกเขาต้องลดลงมาอย่างฮวบฮาบ เมดเวเดฟยังพูดย้ำข้อกล่าวหาของปูตินที่ว่า มีพวกเจ้าหน้าที่ชาวตุรกีซึ่งมิได้มีการระบุชื่อ กำลังได้ประโยชน์จากการขายน้ำมันของพวกไอเอส ในวันอังคารนั้น ปูติน ได้เรียกการที่ตุรกียิงเครื่องบินรบรัสเซียตกว่า เป็น การแทงข้างหลังซึ่งกระทำโดยพวกผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ก่อการร้าย ครั้นในวันนี้ ปูตินได้เพิ่มการวิพากษ์วิจารณ์คณะผู้นำตุรกี โดยบอกว่า พวกผู้นำเหล่านี้กำลังพยายามส่งเสริมสนับสนุน กระบวนการทำให้สังคมตุรกีกลายเป็นสังคมอิสลามิสต์ซึ่งเขาบอกว่า นี่ถือเป็นปัญหาประการหนึ่งในส่วนของตุรกีนั้น ฮาลิต เซวิค เอกอัครราชทูตตุรกีประจำยูเอ็นได้ระบุในหนังสือที่ส่งถึงคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันอังคารว่า มีเครื่องบิน 2 ลำเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ลำหนึ่งถูกยิงตก ส่วนอีกลำได้บินหนีออกจากน่านฟ้าตุรกี  เขาบอกว่าเครื่องบินทั้ง 2 ลำบินล้ำเข้ามาในน่านฟ้าตุรกี 1.36 ไมล์เป็นเวลา 17 วินาที ตั้งแต่ 7.24 น. ของวันอังคาร ตามเวลากรีนิช (14.24 น. ของวันอังคาร ตามเวลาไทย) ตุรกีและรัสเซียนั้นอยู่กันคนละฝั่งโดยสิ้นเชิงในสงครามกลางเมือง 4 ปีของซีเรีย โดยทางตุรกีนั้นต้องการที่จะเห็นประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียถูกโค่นล้ม แต่รัสเซียนั้นหนุนอัสซาด มีความหวั่นเกรงเกิดขึ้นมาได้สักพักแล้วว่าอาจเกิดเหตุร้ายกลางอากาศ นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศในซีเรียเมื่อเดือนกันยายน ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับหลายชาติที่เข้าร่วมพันธมิตรถล่มไอเอส  ตุรกีได้ประณามปฏิบัติการของรัสเซียอย่างหนัก โดยบอกว่ารัสเซียมุ่งเป้าโจมตีฝ่ายกบฏซีเรียและคอยค้ำจุนรัฐบาลอัสซาด แทนที่จะโจมตีกลุ่มไอเอส  ในช่วงไม่กี่วัน ก่อนที่จะนำไปสู่เหตุร้ายในวันอังคาร ตุรกียังได้กล่าวหารัสเซียว่าทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านทางเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกชาวเติร์กเมน ชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาตุรกีและมีสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อกับตุรกี  สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลตุรกีต่างพากันปรบมือให้กับการยิงเครื่องบินรัสเซีย โดยทางเดลีซาบาห์ได้บอกว่าการรุกล้ำน่านฟ้าตุรกีของรัสเซียคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตุรกีเลิกนิ่งเงียบต่อความรุนแรงของรัสเซียในภูมิภาคนี้ แต่ถึงกระนั้น สื่ออีกรายอย่าง เฮอร์ริเยตกลับกล่าวหาเออร์โดกันว่าฉุดตุรกีลงไปติดหล่ม พร้อมเตือนถึงผลที่ตามมาต่อการเมืองและเศรษฐกิจตุรกี  เหตุการณ์ครั้งนี้ยังได้ส่งผลกระทบสะเทือนไปถึงตลาดโลก ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนราคาหุ้นปรับตัวลดลง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสายการบินและบริษัทท่องเที่ยวร่วงหนักเป็นพิเศษ

เอเอฟพี - กองทัพตุรกีออกมาแถลงเพิ่มเติมเมื่อวันพุธ(25 พ.ย.) โดยยืนยันว่า ไม่รู้มาก่อนว่าเครื่องบินขับไล่รุ่น Su-24 ที่ถูกยิงตกนั้นเป็นอากาศยานของรัสเซีย และพร้อมที่จะ ให้ความร่วมมือทุกรูปแบบหลังมอสโกออกมาประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็น แผนยั่วยุ  หลังจากวิกฤตการณ์นี้ได้สร้างความตึงเครียดครั้งใหญ่ระหว่างรัสเซียกับตุรกี จนนาโตซึ่งเป็นพันธมิตรกับอังการาต้องออกมาเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดกลั้น ล่าสุดกองทัพตุรกียืนยันว่า พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะค้นหาและช่วยชีวิตนักบิน Su-24 ทั้งสองคน ทันทีที่ถูกยิงตกเมื่อวันอังคาร (24) นักบินที่รอดชีวิตยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆ เลยจากฝ่ายตุรกี และไม่ได้นำเครื่องบินรุกล้ำน่านฟ้าด้วย ซึ่งกองทัพตุรกีก็ตอบโต้ด้วยการนำคลิปเสียงที่ยืนยันได้ว่า มีการเตือนให้เครื่องบินขับไล่รัสเซียเปลี่ยนเส้นทางลงใต้  นี่คือกองทัพอากาศตุรกีที่พูดจากภาคพื้น คุณกำลังเข้ามาในเขตน่านฟ้าของตุรกี จงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ทันที เสียงในบันทึกการสนทนาพูดซ้ำเช่นนี้หลายครั้งโดยใช้ภาษาอังกฤษ  การยิงทำลายเครื่องบินรัสเซียส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติที่ยืนอยู่ต่างขั้วในสงครามซีเรียเลวร้ายลงอย่างหนัก และอาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์การเมืองครั้งใหญ่  อังการาและมอสโกมีจุดยืนต่อปัญหาซีเรียที่แตกต่างกัน โดยตุรกีนั้นต้องการให้ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียพ้นจากตำแหน่ง ในขณะที่รัสเซียกลับทำทุกวิถีทางเพื่อจะช่วยยื้ออำนาจให้ อัสซาด  แม้จะให้คำอธิบายกันไปคนละอย่างเกี่ยวกับกรณีเครื่องบิน Su-24 ถูกยิงตก แต่ทั้งรัสเซียและตุรกีก็ยืนยันว่า ไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารขึ้นในภูมิภาคซึ่งมีความขัดแย้งคุกรุ่นอยู่แล้ว กองทัพตุรกีแถลงเพิ่มเติมในวันพุธ(25)ว่า ได้ส่งหนังสือเชิญผู้แทนและทูตทหารของรัสเซียเข้าร่วมหารือที่กรุงอังการา เพื่ออธิบายสถานการณ์และบริบทต่างๆ อันนำไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้น ขณะนั้นเราไม่ทราบว่าเป็นเครื่องบินขับไล่สัญชาติใด... จึงต้องใช้กฎการปะทะสู้รบอย่างแข็งกร้าว หลังจากเครื่องบินเป้าหมายไม่ตอบสนองต่อคำเตือน  กองทัพตุรกีเสริมว่า ได้มีการประสานไปยังหน่วยงานทางทหารของรัสเซียแล้ว เพื่อแสดงว่าฝ่ายตุรกี พร้อมที่จะให้ความร่วมมือทุกรูปแบบ
    
เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ(25)ว่า ตน รู้สึกกังขาอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนจริงหรือไม่ เพราะดูเหมือนเป็นแผนยั่วยุแต่ก็กล่าวย้ำว่า เราไม่ได้คิดจะทำสงครามกับตุรกีเพราะเรื่องนี้ ทัศนคติที่เรามีต่อชาวตุรกียังไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ออกมาประณามการยิงเครื่องบินขับไล่รัสเซียว่าเหมือนถูก แทงข้างหลังโดยพวกที่สมคบคิดกับกลุ่มก่อการร้ายพร้อมเรียกร้องให้ชาวรัสเซียงดเดินทางไปท่องเที่ยวในตุรกี  ขณะเดียวกัน ประชาชนและนักเคลื่อนไหวหลายร้อยคนก็ได้รุมขว้างปาก้อนหินและไข่ใส่สถานทูตตุรกีในกรุงมอสโก และชูป้ายประท้วงการยิงทำลายเครื่องบินของแดนหมีขาว  รัฐมนตรีกลาโหม เซียร์เก ชอยกู ประกาศจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ซึ่งเป็นรุ่นไฮเทคที่สุดที่รัสเซียมีอยู่ ไปติดตั้งยังฐานทัพอากาศในจังหวัดลาตาเกียของซีเรีย ขณะที่สื่อตุรกีก็อ้างแหล่งข่าวในกองทัพว่า กองทัพอากาศตุรกีได้สั่งยกระดับภารกิจลาดตระเวนของฝูงบิน F-16 ทั้ง 18 ลำบริเวณแนวพรมแดน ประธานาธิบดี รีเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน แห่งตุรกี พยายามช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ โดยยืนยันว่า สิ่งที่อังการาทำลงไปก็เพื่อปกป้องเขตแดนของตนเองเท่านั้น  เราไม่มีเจตนาทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย เพียงแต่ปกป้องความมั่นคงและสิทธิของพี่น้องชาวตุรกีเท่านั้นเออร์โดกัน กล่าว

รอยเตอร์ - นักบินรัสเซียที่รอดชีวิตจากกรณีถูกเครื่องบินเอฟ16ของตุรกียิงตก เผยในวันพุธ (25 พ.ย.) ว่าไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆจากกองทัพอากาศอังการาและไม่ได้บินอยู่เหนือน่านฟ้าของตุรกีตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตามทางอังการาก็งัดเทปเสียงคำเตือนออกมาตอบโต้อย่างทันควัน  เครื่องบินเอฟ-16 ของตุรกียิงเครื่องบินซูคอย-24 ของรัสเซีย ตกใกล้ชายแดนซีเรียเมื่อวันอังคาร (24 พ.ย.) โดยอ้างว่ามันละเมิดน่านฟ้าและยังเพิกเฉยต่อคำเตือนกว่า 10 ครั้ง นับเป็นหนึ่งในเหตุกระทบกระทั่งกันครั้งเลวร้ายที่สุดระหว่างประเทศสมาชิกนาโต้กับรัสเซีย ในรอบราวๆ ครึ่งศตวรรษ  คอนสแตนติน มูรัคติน นักบินนำทางได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังพิเศษรัสเซียและซีเรีย หลังดีดตัวออกมาจากเครื่องบิน ส่วนนักบินอีกคนถูกพวกกบฏยิงเสียชีวิตระหว่างกระโดดร่มลงสู่พื้น  ไม่มีคำเตือนใดๆ จากทั้งทางวิทยุและจากการมองเห็น ไม่มีการติดต่ออะไรเลยมูรัคตินให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทาสส์นิวส์ จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดลาตาเคียของซีเรีย อันเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศรัสเซีย ถ้าพวกเขาต้องการเตือนเรา พวกเขาควรแสดงตนเองด้วยการบินคู่ขนาน แต่พวกเขาไม่ทำแบบนั้นและขีปนาวุธก็จู่โจมเล่นงานบริเวณหางเครื่องบินของเราอย่างทันทีทันใด เราเห็นมันไม่เร็วเพียงพอที่จะบินหลบหลีกขีปนาวุธ  อังการาบอกว่า พวกเขาเตือนซ้ำๆหลายครั้งให้เครื่องบินรัสเซียเปลี่ยนเส้นทาง หลังรุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของตุรกี อย่างไรก็ตาม ทางมอสโกปฏิเสธว่าเครื่องบินรบของพวกเขาไม่ได้บินเหนือดินแดนของตุรกีแต่อย่างใด  มูรัคติน ยืนยันว่าเขาไม่ได้บินออกจากน่านฟ้าซีเรียเลย ผมเห็นสามารถมองเห็นบนพื้นที่และทางภาคพื้นอย่างสมบูรณ์ว่าชายแดนอยู่ตรงไหนและเราอยู่ตรงไหน ไม่มีความเสี่ยงที่จะเข้าไปในดินแดนของตุรกีเลยเขากล่าว  อย่างไรก็ตาม กองทัพตุรกีก็ออกมาตอบโต้ทันควันในวันพุธ (25 พ.ย.) โดยงัดบันทึกการสนทนาหลายชุด ที่อ้างว่าเป็นการแจ้งเตือนไปยังเครื่องบินรบรัสเซียก่อนที่มันจะถุกยิงตกใกล้ชายแดนซีเรีย นี่คือกองทัพอากาศตุรกีที่พูดจากภาคพื้น คุณกำลังเข้ามาในน่านฟ้าตุรกี จงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปในทางใต้ในทันทีหนึ่งในเสียงการสนทนาที่บันทึกไว้ระบุเหตุตุรกียิงเครื่องบินรบรัสเซียตกเมื่อวันอังคาร (24 พ.ย.) นอกจากนี้จะเป็นหนึ่งในเหตุกระทบกระทั่งกันครั้งเลวร้ายที่สุดระหว่างประเทศสมาชิกนาโต้กับรัสเซีย ในรอบราวๆ ครึ่งศตวรรษแล้ว มันยังก่อความยุ่งยากซับซ้อนแก่ความพยายามนานาชาติในการต่อสู้กับพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในซีเรีย ในความพยายามคลี่คลายความตึงเครียด นายจอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียในวันพุธ (25 พ.ย.) เรียกร้องสองฝ่ายอยู่ในความสงบและขอให้มีการพูดคุยกันระหว่างตุรกีและรัสเซีย  ระหว่างการสนทนานั้น นายเคร์รีย้ำถึงความจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายต้องไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้ขยายความตึงเครียดระหว่างสองประเทศหรือในซีเรีย ท่านรัฐมนตรีแสดงความเสียต่อเหตุสุญเสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เราเรียกร้องขอความสงบและพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตุรกีและรัสเซียไม่กี่วันข้างหน้ากระทรวงการต่างประเทศอเมริการะบุ พร้อมเผยว่านายเคร์รี ย้ำถึงความสำคัญของการเดินหน้าใช้แนวทางการทูตแก้ปัญหาในซีเรีย ส่วนทางกองทัพตุรกีเปิดเผยในวันพุธ (25 พ.ย.) ว่าพวกเขาเชิญคณะทูตทหารรัสเซียมายังสำนักงานใหญ่และเพื่อชี้แจงว่าอังการาต้องยิงเครื่องบินรบมอสโก เพราะว่ากฎแห่งสงครามมีผลบังคับใช้หลังจากเครื่องบินไม่ตอบสนองต่อคำเตือน  ในถ้อยแถลงที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุด้วยว่ากองทัพตุรกีได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการค้นหาและช่วยเหลือ 2 นักบินรัสเซีย และได้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ทหารในมอสโกและบอกว่าพร้อมให้ความร่วมมือทุกรูปแบบ  แม้ว่าเหล่าเจ้าหน้าที่รัสเซียจะแสดงความโกรธแค้นต่อการกระทำของตุรกีและพูดพาดพิงถึงมาตรการแก้แค้นต่างๆ ในนั้นรวมถึงระงับไม่ให้นักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางมายังเมืองตากอากาศต่างๆของตุรกี แต่มอสโกก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าต้องการให้มันลุกลามบานปลายสู่ด้านการทหารแต่อย่างใด

เอเอฟพี - เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต ระบุ ในวันอังคาร (24 พ.ย.) พันธมิตรทางทหารแห่งนี้พร้อมยืนหยัดเคียงข้างรัฐสมาชิกตุรกี ตามหลังเหตุยิงเครื่องบินรบรัสเซียตกตามแนวชายแดนซีเรีย ขณะที่สหรัฐฯบอกอังการามีสิทธิ์ปกป้องเขตแดนของตนเอง แต่เรียกร้องสองฝ่ายลดความตึงเครียดเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย เราย้ำมาตลอดว่า เรายืนหยัดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตุรกี และสนับสนุนบูรณภาพแห่งดินแดนของสมาชิกพันธมิตรนาโต ตุรกีสโตลเทนเบิร์ก กล่าว หลังประชุมฉุกเฉิน 28 ชาติสมาชิกตามคำร้องขอของอังการา ผมหวังเห็นการติดต่อประสานงานเพิ่มเติมระหว่างอังการา และมอสโก และเรียกร้องขอทุกฝ่ายอยู่ในความสงบและลดความตึงเครียด การทูตและความพยายามลดความตึงเครียดคือสิ่งสำคัญสำหรับช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้เขากล่าว อังการาบอกว่า เครื่องบินเอฟ 16 ของพวกเขา 2 ลำยิงเครื่องบินรบ ซู-24 ของรัสเซียตก หลังละเมิดน่านฟ้าของตุรกีติดกับชายแดนซีเรียถึง 10 ครั้ง ภายในช่วงเวลาแค่ 5 นาที แต่ทางมอสโกยืนยันว่าเครื่องบินรบของพวกเขาอยู่ในน่านฟ้าของซีเรีย  นายสโตลเทนเบิร์ก บอกว่า เขาเคยเตือนมาแล้วหลายครั้งถึงความเสี่ยงจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ของรัสเซียต่อกบฏซีเรีย ที่ต้องการขับไล่ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด พันธมิตรเก่าแก่ของมอสโก เหตุการณ์นี้ย้ำถึงความจำเป็นต้องมีข้อตกลงที่ได้รับการเคารพเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต  ส่วนทูตของนาโตคนหนึ่งบอกว่าตุรกีได้รับแรงสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากที่ประชุมฉุกเฉิน แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้มีมาตรการตอบสนองเพื่อรับประกันว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก  ตุรกี ชาติมหาอำนาจทางทหารใหญ่สุดอันดับ 2 ในนาโต รองจากสหรัฐฯ เคยร้องขอความสนับสนุนจากพันธมิตรแห่งนี้มาแล้วหลายครั้ง สืบเนื่องจากความขัดแย้งซีเรียที่ทะลักข้ามพรมแดน  ขณะที่ทางนาโตก็ตอบสนองด้วยการประจำการขีปนาวุธแพทริออต ที่สามารถสอยเครื่องบินหรือขีปนาวุธที่ย่างกรายเข้ามา ในทางตอนใต้ของตุรกี แต่พวกเขามีกำหนดถอนขีปนาวุธเหล่านั้นออกไปในช่วงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทางนาโต้เผยว่าอยู่ระหว่างทบทวนแผนดังกล่า ในวิกฤตใหม่ที่ปะทุขึ้นมากลางสมรภูมิรบซีเรีย ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และสหประชาชาติ เดิมตามรอยนาโตเรียกร้องทั้งตุรกีและรัสเซียละเว้นการขยายความตึงเครียด ตามหลังอังการายิงเครื่องบินรัสเซียตก
    
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งอเมริกา แถลงไม่นานหลังหารือกับประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ที่ทำเนียบขาว เรียกร้องขอทุกอย่างอยู่สงบและเปิดทางให้ความเคลื่อนไหวด้านการทูตทำงานผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเรา ที่ตอนนี้ต้องทำให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียและตุรกี จะพูดคุยกัน และหาคำตอบว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รวมถึงใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่ลุกลามใด ๆโอบามาบอกกับผู้สื่อข่าว  ตุรกี ก็เหมือนกับทุกประเทศที่มีสิทธิ์ปกป้องเขตแดนและน่านฟ้าของตนเองโอบามากล่าว แต่ระบุว่าเป้าหมายต้นๆ ของเราคือ จะหาทางรับประกันว่าสถานการณ์นี้จะไม่ลุกลามบานปลายเขากล่าว หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ณ เวลานี้ทุกฝ่ายจะสามารถถอยหลังคนละก้าวและคำนวณว่าแนวทางไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด  ด้าน นายออลลองด์ เรียกเหตุการณ์ทางอากาศนี้ ว่า ร้ายแรงและ น่าเสียใจอย่างยิ่งพร้อมระบุตุรกีกำลังให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่นาโต้ เพื่อช่วยสรุปว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เราต้องปกป้องไม่ให้สถานการณ์ลุกลามที่จะก่อความเสียหายร้ายแรง เราต้องหาทางออกแก่วิกฤตซีเรีย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็อาจเห็นความเสี่ยงอื่น ๆ อีกส่วน นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้มีมาตรการเร่งด่วนสำหรับลดความตึงเครียด โดยบอกว่าการตรวจสอบเหตุการณ์อย่างละเอียด และน่าเชื่อถือจะช่วยให้ความกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นและช่วยป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอย
    
เอเจนซีส์ เครื่องบินขับไล่ซูคอย Su-24 ของรัสเซียถูกกองทัพอากาศตุรกียิงตกใกล้ๆ พรมแดนซีเรียในวันนี้ (24 พ.ย.) ขณะที่ทางการหมีขาวยืนยันว่าอากาศยานลำดังกล่าวไม่ได้รุกล้ำน่านฟ้าตุรกี ส่วนนักบินทั้งสองคนที่มีข่าวว่าดีดตัวออกจากเครื่องได้ทัน ยังไม่ทราบชะตากรรม  สื่อรัสเซียอ้างถ้อยแถลงจากกระทรวงกลาโหม ซึ่งระบุว่า ผลของการยิงทำให้เครื่องบินขับไล่ซูคอย Su-24 ลำหนึ่งของเราตกในเขตสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย  ทำเนียบประธานาธิบดีตุรกีระบุในคำแถลงว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นรุ่น Su-24 ของกองทัพอากาศรัสเซีย ขณะที่สื่อตุรกีรายงานว่า นักบินคนหนึ่งถูกพวกกบฏในซีเรียจับกุมไว้ได้  รัฐบาลหมีขาวยืนยันว่ามีเครื่องบินของตนถูกยิงตกจริง แต่ยังไม่ทราบชะตากรรมของนักบินทั้งสอง  กองทัพตุรกีอ้างว่า อากาศยานขับไล่ลำนี้ละเมิดน่านฟ้าตุรกีถึง 10 ครั้งในระยะเวลา 5 นาที จนถูกฝูงบินขับไล่ F-16 ยิงตก แต่รัสเซียยืนยันว่า Su-24 ลำดังกล่าวปฏิบัติภารกิจอยู่ในเขตน่านฟ้าซีเรียตลอดเวลา สถานีโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น-เติร์ก และเอ็นทีวีของตุรกี รายงานว่า เครื่องบินขับไล่ลำดังกล่าวระเบิดกลางอากาศและร่วงลงสู่ภูเขาลูกหนึ่งในฝั่งซีเรีย ขณะที่สำนักข่าวอนาโตเลียก็ได้เผยแพร่คลิปวีดีโอกลุ่มควันที่ลอยขึ้นมาจากภูเขาลูกหนึ่ง ห่างชายแดนตุรกีไปแค่ไม่กี่กิโลเมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่รัสเซียและซีเรียส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มฐานที่มั่นกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ทางตอนเหนือของซีเรีย  เจ้าหน้าที่รัฐบาลตุรกียังไม่เปิดเผยรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ระบุว่าจะแจ้งเรื่องนี้ต่อองค์การสหประชาชาติและนาโต  เครื่องบินขับไล่แดนหมีขาวเคยล่วงล้ำน่านฟ้าตุรกีมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อเดือนตุลาคม ซึ่งทำให้อังการาเรียกทูตรัสเซียมาประท้วงการละเมิดอธิปไตย ตุรกีและรัสเซียมีจุดยืนที่ขัดแย้งกันมานานในเรื่องปัญหาซีเรีย โดยอังการานั้นต้องการเห็นประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด สละอำนาจ แต่มอสโกกลับทำทุกอย่างเพื่อช่วย อัสซาด ยื้ออำนาจต่อไป เมื่อเดือน ต.ค. กองทัพตุรกีอ้างว่าสามารถยิงอากาศยานไร้คนขับของรัสเซียตกหลังถูกรุกล้ำน่านฟ้า แต่ครั้งนั้นมอสโกปฏิเสธว่าไม่ใช่โดรนของตน เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย มีกำหนดเดินทางเยือนตุรกีในวันพรุ่งนี้(25) เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และแสวงหาแนวทางร่วมกันในการสร้างสันติภาพขึ้นในซีเรีย


(เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากข่าวแปล คอลัมน์ข่าวต่างประเทศ เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์)
 
 
 
 
 
 

       
      

20 เรื่องที่เราควรรู้ (15) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 15

เรื่องที่ 15 NSA  ไม่ใช่  NASA แต่แปลเป็นไทยว่า เนียนๆ สอดแนม ของคุณพ่ออเมริกา

ข่าวดีคือ Edward Snowden ยังมีชีวิตอยู่ และรอดจากเงื้อมมือของทำเนียบขาว แต่ข่าวร้ายก็คือแนวคิดเกี่ยวกับ Enemy of The State มีจริง (ไม่ได้มีเพียงอยู่แต่ในหนังฮอลลีวู้ด) 

 
สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency) หรือ เอ็นเอสเอ (NSA) เป็นหน่วยงานข่าวกรองต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่รับผิดชอบการรวบรวมและวิเคราะห์การติดต่อกับต่างประเทศ และรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของการติดต่อระหว่างหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ จากการหาข่าวของหน่วยงานลักษณะเดียวกันจากที่อื่น ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1952 เอ็นเอสเอเป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ  สืบเนื่องจากงานข่าวกรอง ทำให้เอ็นเอสเอมีงานวิจัยพัฒนาด้านวิทยาการเข้ารหัสลับเป็นจำนวนมาก เป็นหน่วยงานที่จ้างนักคณิตศาสตร์มากที่สุดในโลก   รวมทั้งเป็นหน่วยงานที่มีเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มากที่สุดในโลก



รื่องย่อ ภ.เรื่อง Citizenfour

นับจากนี้ จงรู้ไว้ว่าทุกพรมแดนที่คุณข้าม ทุกการจับจ่ายที่คุณทำ ทุกสายที่คุณโทร ทุกสถานีโทรศัพท์มือถือที่คุณผ่าน เพื่อนที่คุณคบ เมืองที่คุณไป และข้อความที่คุณพิมพ์ ล้วนอยู่ในอุ้งมือของระบบซึ่งมีอำนาจการเข้าถึงไร้ขีดจำกัด แต่ปราศจากการป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น  นั่นคือคำเตือนจากบุรุษลึกลับผู้ใช้ นามแฝงว่า "พลเมืองสี่" ขณะส่งอีเมล์ประหลาดตรงถึง ลอร่า พอยทราส ผู้กำกับหญิงซึ่งเพิ่งผ่านประสบการณ์การถูกรัฐบาลสะกดรอยมาไม่นาน และอีเมล์ฉบับนี้นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งปฏิบัติการเสี่ยงตาย อันนำไปสู่การเปิดโปงนโยบายลับของประเทศมหาอำนาจซึ่งส่งผลสะเทือนโลกครั้ง ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ !  หนังระทึกขวัญที่ระทึกยิ่งกว่า หนัง เพราะมันคือเรื่องจริง "คือนิยามที่นักวิจารณ์เทให้แก่ CITIZENFOUR หนังสารคดีเจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด ซึ่งเผยช่วงเวลาชวนลุ้นแห่งการผนึกกำลังกันของพอยทราส, เกลนน์ กรีนวาลด์ นักข่าวหนุ่มใจกล้า และ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์เทคนิควัยเพียง 29 ปีผู้ยอมกลายเป็น "คนทรยศชาติ" ด้วยการตีแผ่แผนลักลอบสอดแนมข้อมูลส่วนตัวประชาชนของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ให้ชาวโลกรับรู้  มันคือช่วงเวลาสั้น ๆ ที่อัดแน่นทั้งด้วยข้อมูลน่าสะพรึงและอารมณ์ไหวหวั่นหวาดระแวงของทุกคนที่เกี่ยวข้อง หนังไม่เพียงทำให้เราได้เห็นอันตรายจากการถูกสอดแนม แต่ยังทำให้เรา "รู้สึก" ได้ถึงความน่าขนลุกของมัน จนในทันทีที่หนังปิดฉากลง เราจะไม่มีวันมองโทรศัพท์มือถือของเรา อีเมล์ของเรา บัตรเครดิตของเรา เว็บเบราเซอร์ของเรา หรือโซเชียลมีเดียใด ๆ ของเราเหมือนเดิมอีกต่อไป

ถึง ลอรา,
ณ ที่แห่งนี้ ผมไม่สามารถให้อะไรคุณได้เลย นอกจากคำพูดของผม ผมเป็นลูกจ้างระดับสูงของรัฐบาลในหน่วยงาน Intelligence Community (I.C. ฝ่ายเทคนิควิเคราะห์ข่าวกรอง -หน่วยงานนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1950 ช่วงสงครามเย็น) ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจว่าการติดต่อกับคุณนั้นมันสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้รู้ไว้ว่า ทุกๆ พรมแดนที่คุณข้าม, ทุกๆ ธุรกรรมที่คุณกระทำ, ทุกๆ สายที่คุณติดต่อ, ทุกๆ การคุยมือถือ, เพื่อนที่คุณมี, บทความที่คุณเขียน, เว็บที่คุณแวะเข้าไปอ่าน, เนื้อหาทุกบรรทัดที่คุณพิมพ์ และสัมภาระเดินทางทุกชิ้น ล้วนอยู่ในกำมือของระบบอันไร้ซึ่งขีดจำกัดในการเข้าถึง แต่ไร้ซึ่งการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัย ท้ายที่สุดนี้ หากคุณเผยแพร่แหล่งข้อมูลเหล่านี้ ผมก็คงต้องบอกว่าคุณได้เข้ามามีส่วนพัวพันกับคดีนี้โดยทันที ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าคุณจะทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไปสู่สาธารณชนชาวอเมริกัน
ขอบคุณและโปรดระมัดระวังราษฎรสี่ 


นี่คือเนื้อหาบางส่วนของจดหมายฉบับแรกที่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ตอบกลับมาหา ลอรา พอยทราส ผู้กำกับสารคดีหญิงเรื่องนี้ ซึ่งปรากฏในตัวอย่างหนังด้วย

เชิงอรรถอธิบาย [หมายเหตุ: ราษฎรสี่ ในที่นี้เป็นการเล่นคำ อิงถึง ฐานันดรที่สี่ (The Fourth Estate) คำที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในอังกฤษ ที่แบ่งฐานันดรออกเป็น 1. กษัตริย์ ขุนนาง และนักรบ 2. ผู้นำทางศาสนา หรือพระ 3. ผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาจากคนธรรมดา ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐสภาอังกฤษในเวลานั้น โดย เอ็ดมันด์ เบอร์ค (1729-1797) นักเขียน และนักการเมือง ได้ชี้ไปยังกลุ่มนักหนังสือพิมพ์ที่เข้ามาร่วมฟังประชุมสภา และกล่าวว่า บัดนี้มีฐานันดรที่ 4 เกิดขึ้นแล้วนับแต่นั้น นักหนังสือพิมพ์จึงถูกเรียกว่า ฐานันดรที่ 4ปัจจุบันหมายรวมไปถึงสื่อมวลชนทุกแขนง ขณะที่การปล่อยรั่วข้อมูลลับโดยสโนว์เดนนี้ การเล่นกับคำว่า ราษฎรสี่ได้ชี้ว่าตัวเขากระทำในฐานะสื่อมวลชนผู้ต้องการให้โลกรู้ข้อมูลเท็จจริง ซึ่งย้ำว่าขณะเดียวกัน เขาก็เป็นราษฎรด้วย อันสื่อนัยยะว่าตัวเขาสมควรจะได้รับการปกป้องจากรัฐ มิใช่ปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงศัตรูอย่างทุกวันนี้]

หลายเดือนก่อนหน้านี้ พอยทราสได้เข้าพบสโนว์เดนในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง เพื่อถ่ายสัมภาษณ์สโนว์เดนไป 8 วันรวด ทำให้ได้คลิปข่าวนานกว่ายี่สิบชั่วโมง ด้วยการซักถามของนักข่าวอีกสองคน คือ เกล็นน์ กรีนวาล์ด และอีเวน แม็คแอสคิล (ทั้งคู่เป็นนักข่าวจากเว็บไซต์กับหนังสือพิมพ์ The Guardian) อันเป็นคลิปภาพข่าวที่น่าตื่นเต้นที่สุดเพราะยากที่ใครจะสามารถเข้าถึงตัวสโนว์เดนผู้จำต้องระหกระเหเร่ร่อนกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ย้ายไปตามประเทศต่างๆ ที่กล้าพอจะทานอำนาจสหรัฐฯ ได้ (ล่าสุดเขาพำนักชั่วคราวอยู่ในรัสเซีย)

Citizenfour เป็นส่วนสุดท้ายของสารคดีไตรภาค Post 9/11 ประกอบด้วยอีกสองเรื่องก่อนหน้านี้คือ My Country, My Country (2006) ที่ว่าด้วยสงครามอิรัก และ The Oath (2010) ที่ว่าด้วยทหารอเมริกันในกวนตานาโม ที่คิวบา ซึ่งบทสัมภาษณ์ของเธอเรื่องนี้ยังผลให้รายงานด้านสถานการณ์ความมั่นคง อันรวมถึงทีมงานที่สัมภาษณ์ทั้งชุดนี้ และเจเรมี ชิลล์ ซึ่งปรากฏในหนังเรื่องนี้ด้วย ทำให้หนังสือพิมพ์ The Guardian และ The Washington Post คว้ารางวัลพูลิตเชอร์สาขาสื่อสาธารณะไปได้ในปี 2014

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะการคว้าออสการ์หรือพูลิตเชอร์ ดูจะสวนทางกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง ซึ่งแสดงทีท่าไม่ปลื้มด้วยเท่าไร และไม่ได้ช่วยให้สโนว์เดนได้รับการยกเว้นโทษแต่อย่างใด แม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งทีมผู้สร้างหนังและแฟนหนังเรื่องนี้ จะช่วยกันออกล่ารายชื่อทางโลกออนไลน์เพื่อปลดปล่อยสโนว์เดน แต่หลังจากงานออสการ์ โฆษกทำเนียบขาวก็ออกมาแถลงข่าวยืนยันอีกครั้งว่า ผลรางวัลออสการ์ จะไม่มีผลใดใดต่อคดีของสโนว์เดน ผู้ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่ชัดเจนมากใน Citizenfour คือ พอยทราสหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ภาพของสโนว์เดนเป็นเสมือนฮีโรหรือเป็นบุคคลศูนย์กลางของสารคดีเรื่องนี้ แต่เธอแทนความเป็นพระเอกของเรื่องด้วยการให้เห็นด้านซึ่งเป็นคนใจเย็น ถ่อมสุภาพ จริงใจ ฉลาด (และหล่อ) ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง (โดยเฉพาะหากจะนำไปเทียบกับตัวพ่อด้านการปล่อยข่าวรั่วอย่าง จูเลียน อัสซานจ์ แห่งวิกิลีกส์ ) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเขาตกอยู่ในภาวะตึงเครียดและวิตกกังวลจากการถูกกระทำ ทำให้เขาต้องหวาดระแวง หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งหนังจึงให้ภาพแทนด้วยการถ่ายให้เห็นสโนว์เดนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มในห้องหับคับแคบ

อันสอดคล้องกับประเด็นที่สารคดีพยายามจะพูดถึงประเด็นการถูกตรวจสอบโดยรัฐ ด้วยการดักข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นประเด็นเปิดโปงที่สโนว์เดนแฉให้โลกรู้ อันนำมาสู่การที่เขาต้องแปรสถานะกลายเป็นกบฏไปในทันที ซึ่งในแง่หนึ่งก็ได้ทำให้ตัวเขากลายเป็นผู้ถูกรัฐทำร้าย และไม่มีสิทธิ์สู้คดีกับฝ่ายรัฐที่มีอำนาจเต็มที่ในการกล่าวหา เอาผิด และลงโทษเขาทั้งๆ ที่การกระทำของสโนว์เดนไม่ได้บิดเบือนความจริงเลยแม้แต่น้อย

ขอบคุณเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน สำหรับความกล้าหาญของเขาลอรากล่าวขณะขึ้นรับรางวัลออสการ์ ทำให้ นีล แพ็ทริค แฮร์ริส พิธีกรออสการ์โพล่งติดตลกเรื่องที่สโนว์เดนไม่สามารถมาร่วมงานออสการ์ได้ว่า ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นกบฏซึ่งทั้งคำขอบคุณและมุกตลกบนเวทีออสการ์ครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญถึงสิ่งที่สโนว์เดนได้ทำไปนั้นว่า ทั้งเป็นประโยชน์และเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งแต่สโนว์เดนก็ยืนยันในหนังว่า หากย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ผมก็จะทำแบบเดิมอีกอยู่ดี  (คัดลอกจากหน้าเพจ Thaipublica,บทความ Citizenfour ศัตรูของชาติ เพื่อความมั่นคงของใคร? ,28 กุมภาพันธ์ 2015)

เปิดโปง NSA โดย เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ  (National Security Agency หรือ NSA) ได้ทยอยเปิดเผยข้อมูลลับของ NSA

การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนในตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อข้อมูลชิ้นหนึ่งชี้ว่ามีผู้นำ 35 ประเทศถูกสอดแนม ประเทศเหล่านี้ประกอบด้วยประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐอย่างเช่นเยอรมนี ฝรั่งเศส เม็กซิโก บราซิลและหลายประเทศในสหภาพยุโรป กับประเทศที่เป็นปรปักษ์อย่างคิวบาและเวเนซุเอลา เอกสารลับยังชี้อีกว่า NSA ร้องขอหมายเลขโทรศัพท์ผู้นำประเทศเหล่านี้จากเจ้าหน้าทำเนียบขาว กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อ NSA จะได้ทำการสอดแนม จากข้อมูลดังกล่าวย่อมแสดงว่าการดักฟังผู้นำประเทศไม่ใช่การกระทำที่เป็นกรณีพิเศษหรือเจาะจงต่อผู้นำบางประเทศหรือในบางสถานการณ์ แต่เป็นแนวทางที่ NSA ดำเนินการเป็นปกติ เกิดคำถามว่าทำไมมิตรประเทศใกล้ชิดจึงยังถูกดักฟัง ในเวลาไล่เลี่ยกันสื่อหลายแห่งหลายประเทศรายงานข้อมูลของนายสโนว์เดนว่าประชาชนจำนวนมากถูกดักฟังทางโทรศัพท์จนน่าตกใจ เว็บไซต์ Cryptome หรือที่นิยมเรียกกันว่า Wikileaks เปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม 2012 ถึง 8 มกราคม 2013 NSA ดักฟัง โทรศัพท์ประชาชนรวมทั้งหมด 124,800 ล้านครั้ง อัฟกานิสถานถูกดักฟัง 21,980 ล้านครั้ง ปากีสถานถูกดักฟัง 12,760 ล้านครั้ง ซาอุดิอาระเบีย 7,800 ล้านครั้ง แม้กระทั่งชาวอเมริกันยังถูกดักฟังถึง 3,000 ล้านครั้งหรือเฉลี่ยวันละ 100 ล้านครั้ง ทำให้ตัวเลขของฝรั่งเศสที่ 70 ล้านครั้งกับอิตาลีที่ 46 ล้านครั้งกลายเป็นจำนวนเล็กน้อย  ควรตระหนักด้วยว่าข้อมูลชิ้นนี้รายงานเพียงว่ามี 14 ประเทศที่ถูกดักฟัง แท้จริงแล้วอาจมีอีกหลายประเทศที่ถูกดักฟังเช่นเดียวกัน การดักฟังประชาชนจำนวนมากทำให้รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปออกโรงคัดค้านพฤติกรรมดังกล่าว คุณอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันถึงกับกล่าวว่า ห้ามจารกรรมในหมู่มิตรด้วยกันกฎข้อนี้ บังคับใช้ต่อพลเมืองทุกคนในเยอรมนี  ในประเทศสหรัฐมีการประท้วงเช่นกัน แนวร่วมประชาชน ‘Stop Watching Us’ ได้ยื่นรายชื่อจำนวน 575,000 รายชื่อแก่รัฐสภา เรียกร้องขอให้สมาชิกรัฐสภา ทบทวนโครงการจารกรรมของ NSA ทั้งหมดข้อร้องเรียนต้องการปกป้องชาวอเมริกันและคนทั่วโลก 
 

ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล คุกคามความมั่นคงแห่งชาติ:

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นการดักฟังทั้งหมดให้ความสำคัญกับเรื่องความเหมาะสม การดักฟังผู้นำของมิตรประเทศเป็นการไม่สมควร การดักฟังประชาชนจำนวนมากเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว ละเมิดสิทธิมนุษยชน  แนวทางแก้ไขที่พูดถึงคือ รัฐบาลอเมริกันต้องหยุดการดักฟังผู้นำมิตรประเทศ และจำกัดขอบเขตการดักฟังประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ สอดคล้องกับท่าทีของทำเนียบขาว จากเดิมที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามากล่าวเมื่อเดือนกันยายนว่า อเมริกาไม่สนใจที่จะจารกรรมคนทั่วไป การข่าวของเราเน้นเป้าหมายในการค้นหาข้อมูลที่จำเป็นต่อการปกป้องประชาชนของเรา และในหลายครั้งได้ปกป้องพันธมิตรของเราล่าสุดแสดงท่าทีว่ารัฐบาลโอบามากำลังทบทวนแผนการรวบรวมข่าวกรองเพื่อให้มีความสมดุลระหว่างความจำเป็นด้านความมั่นคงกับความเป็นส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นของพลเมืองอเมริกันหรือพันธมิตร  การปรับปรุงแก้ไข การจำกัดการสอดแนมประชาชนเป็นเรื่องดีสมควรสนับสนุน แต่ต้องไม่ละเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ที่สุดของโลก และไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องความไม่เหมาะสมทางการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้น ควรตั้งคำถามด้วยว่าเป็นเรื่องกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่

 กรณี The Guardian:

นายสโนว์เดนอาศัยสื่อหลายแห่งช่วยเปิดเผยข้อมูล สื่อเหล่านี้มักจะเปิดเผยข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศตน ถึงกระนั้นยังมีประเด็นที่รัฐบาลเห็นว่าสื่อกำลังทำผิดกฎหมาย สื่อ The Guardian ของอังกฤษเป็นกรณีตัวอย่าง เมื่อนายเดวิด คาเมนรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษออกโรงเตือนสื่อดังกล่าวว่าห้ามเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ถึงกับขู่ว่าจะฟ้องศาล เนื่องจากรัฐบาลไม่อนุญาตการเผยแพร่ข้อมูลใดๆ ที่ทางราชการจัดว่าเป็นความลับ นายกฯ คาเมรอนกล่าวว่า ผมไม่ต้องการให้ศาลออกคำสั่ง การยื่น D-Notices (ห้ามสื่อเผยแพร่) หรือมาตรการอื่นที่รุนแรงกว่านี้ ผมคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะร้องขอให้หนังสือพิมพ์มีความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ถ้าพวกเขาไม่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมก็ยากที่รัฐบาลจะยืนนิ่งเฉยและไม่ทำอะไรก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคม The Guardian ยอมให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านการข่าวของอังกฤษที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) มาสังเกตการทำลายข้อมูลลับของ NSA ที่ได้จากนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนภายหลังที่รัฐบาลขู่ว่าจะฟ้องศาล แลกกับการที่ The Guardian สามารถนำเสนอเรื่องราวของ NSA ผ่านสำนักงานที่นิวยอร์ก  ท่าทีของรัฐบาลอังกฤษไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะ GCHQ คือหน่วยงานข่าวกรองที่ทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกับ NSA และที่สำคัญคือ GCHQ ของอังกฤษทำงานใกล้ชิดกับ NSA มานานแล้ว เป็นการทำงานร่วมเป็นทีม เป้าหมายคือการสอดแนมตามแบบฉบับของ NSA ในย่านยุโรปทั้งหมด หากเปิดโปง NSA เท่ากับเปิดโปง GCHQ โดยปริยาย การที่รัฐบาลสั่งห้ามเปิดเผยข้อมูลทำให้การทำงานของหน่วยงานเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาต่อไป ทิ้งไว้แต่คำถามว่าหากไม่มีการเปิดโปงคนนับล้านทั่วโลกจะต้องถูกสอดแนมต่อหรือไม่ ท่าทีของรัฐบาลอังกฤษขัดแย้งกับท่าทีของหลายประเทศในยุโรปหรือไม่

เพื่อการต่อต้านการก่อการร้ายเท่านั้นหรือ:

 ตลอดเวลาที่ผ่านมาทางการสหรัฐจะยกเหตุผลต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อชี้ว่ารัฐมีความจำเป็นที่จะต้องมีระบบการข่าวที่ดี ทั้งที่โดยความจริงแล้วการข่าวมีมากกว่าการต่อต้านการก่อการร้าย แต่ไหนแต่ไรประเด็นความมั่นคงทางทหารคือเรื่องที่การข่าวให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง แม้ทุกวันนี้โลกไม่อยู่ในยุคสงครามเย็นแล้ว ความมั่นคงทางทหารยังเป็นเรื่องสำคัญที่สุดอยู่ดี ในอีกด้านหนึ่งหน่วยข่าวภาครัฐสอดแนมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางเศรษฐกิจ เช่น สนับสนุนการเจรจาต่อรอง การตัดสินใจของฝ่ายบริหาร และเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำนโยบายบาย  นายมาร์ค โลเวนทอล (Mark Lowenthal) อธิบายว่าการข่าวด้านเศรษฐกิจจะกระทำด้วยความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างฝ่ายข่าวกรองกับภาคธุรกิจสหรัฐ ปัญหาการแบ่งปันข้อมูลแก่ภาคธุรกิจคือ ควรจะให้ข้อมูลหรือร่วมมือกับผู้ใดเนื่องจากอุตสาหกรรมหรือธุรกิจแต่ละประเภทจะประกอบด้วยหลายรายที่แข่งขันกัน การสอดแนมไม่ได้กระทำต่อรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ยังกระทำต่อบริษัทเอกชน องค์กรภาคประชน จนถึงระดับปัจเจกบุคคล  คุณวิเวียน เรดดิง (Viviane Reding) คณะกรรมาธิการยุโรปด้านการยุติธรรมของสหภาพยุโรป (European Union Commissioner for Justice) ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ของชาวยุโรปผู้บริสุทธิ์นับล้านคน นี่ไม่ใช่การต่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย บางทีอาจเป็นการกระทำเพื่อจะได้ข้อมูลลับทางการค้าทางด้านเจ้าหน้าที่ของ NSA ตอบประเด็นนี้ว่ารัฐบาล ไม่ได้ใช้ขีดความสามารถด้านการข่าวเพื่อประโยชน์ของบริษัทสหรัฐ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าเราไม่สนใจข้อมูลทางเศรษฐกิจ

NSA จะสอดแนมเพื่อประโยชน์เรื่องการเจรจาต่อรองของรัฐหรือเพื่อประโยชน์ของบริษัทเอกชนหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องค้นหาความจริงต่อไป และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนนับล้านทั่วโลกจึงถูก NSA ติดตามสอดแนม  เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นถ้าคิดแบบเรียบง่ายคือนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนเปิดเผยข้อมูลอย่างมือสมัครเล่น แต่หากคิดว่านี่คือการเปิดโปงของมืออาชีพ หากตั้งสมมติฐานว่านี่คือแผนบั่นทอนรัฐบาลอเมริกา ย่อมต้องคาดการณ์ต่อว่าเรื่องราวยังไม่จบ นายสโนว์เดนยังมีข้อมูลที่รอเปิดโปงอีก เพื่อบั่นทอนรัฐบาลอเมริกาจนถึงที่สุด  การรีบด่วนสรุปประเด็นเรื่องราวต่างๆ จึงน่าจะเป็นโทษมากกว่า เพราะข้อสรุป ณ วันนี้อาจผิดพลาดหรือกลายเป็นเท็จเมื่อนายสโนว์เดนปล่อยหมัดเด็ดเพื่อหักล้างข้อสรุปแบบรวดรัด เช่น สมมุติว่ารัฐบาลโอบามาฟันธงว่าไม่เคยดักฟังนักธุรกิจต่างชาติเพื่อผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ นายสโนว์เดนจึงแสดงหลักฐานการดักฟังดังกล่าวเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลโอบามาอย่างรุนแรง  (คัดลอกจากหน้าเพจ chanchaivision คอลัมน์สถานการณ์โลก,บทความ “ปฏิบัติการเปิดโปง NSA ของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน” , 4 พฤศจิกายน 2556)

NSA สอดแนมมวลชน-ดักฟังข้อมูล เกี่ยวอะไรกับเราด้วย?

8 มีนาคม 2557 – เจ้าหน้าที่จากองค์กรไพรเวซีอินเทอร์เนชันแนล (Privacy International) ร่วมเสวนาสาธารณะ ในหัวข้อ NSA สอดแนมมวลชน- ดักฟังข้อมูล เกี่ยวอะไรกับเราด้วย? (What and Why do we need to know about NSA spying?) ณ ห้องสมุดศิลปะ The Reading Room  สรุปเป็นภาษาไทย โดย สฤณี อาชวานันทกุล

แมทธิว ไรซ์  (Matthew Rice) เจ้าหน้าที่จากองค์กรไพรเวซีอินเทอร์เนชันแนล ชวนคุยย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของข่าวใหญ่เกี่ยวกับการสอดแนมประชาชน ก่อนมีการออกมาเปิดเผยข้อมูลโครงการของสำนักความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ เอ็นเอสเอ (NSA) โดยแบ่งยุคเป็น 2 ยุค คือ ยุคก่อนสโนว์เดนและ​ ยุคหลังสโนว์เดน

Pre-Snowden: ยุคก่อนสโนว์เดน เรารู้อะไรบ้าง?

  1. เรารู้ว่ารัฐบาลต่างๆ มีองค์กรข่าวกรองเป็นของตัวเอง
  2. กลุ่มองค์กรข่าวกรองเหล่านั้นเป็นพันธมิตรกัน นั่นคือ กลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก หรือไฟว์อายส์ (Five Eyes) ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์ และแคนาดา ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และมีการปฏิบัติงานบางอย่างด้วยกัน เช่น มีการสร้างโปรแกรมเอชเชอรอน (ECHELON) คือ โปรแกรมดักข้อมูลที่ดักผ่านการส่งอีเมล และดาวน์โหลดไปยังคอมพิวเตอร์
  3. บริษัทเอกชนต่างๆ มีภาระหน้าที่ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบังคับกฎหมาย ฝ่ายความมั่นคง ข่าวกรอง และถูกกำกับด้วยกระบวนการยุติธรรมที่เชื่อถือได้
  4. อินเทอร์เน็ตมีโครงสร้างหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

Post-Snowden: ยุคหลังสโนว์เดน เราเรียนรู้อะไรบ้าง?

  1. หน่วยงานข่าวกรองต่างๆ ไม่ได้เป็นแค่พันธมิตรกัน แต่ร่วมกันสอดแนมให้กันและกัน เช่น สมมติว่าพลเมืองของอังกฤษคนหนึ่งเดินทางออกนอกประเทศ หากรัฐบาลอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพลเมืองคนนั้น ก็จะมีการขอให้สหรัฐฯ ส่งข้อมูลของคนอังกฤษให้
  2. เอ็นเอสเอทำให้มาตรฐานทางเทคนิคด้านความปลอดภัยอ่อนแอลง เมื่อก่อนเรามั่นใจว่าการส่งอีเมลของเราปลอดภัย แต่เอ็นเอสเอเข้าไปแทรกแซงการทำงาน ทำให้ถอดรหัสได้ง่ายขึ้น
  3. บริษัทเอกชนมีข้อตกลงกับหน่วยงานข่าวกรองต่างๆ คือ บริษัทเอกชนเหล่านั้นยอมให้เอ็นเอสเอเข้าถึงระบบเซิร์ฟเวอร์ได้ ทั้งแบบที่บริษัทรับรู้และไม่รับรู้
  4. โครงสร้างทางกายภาพของอินเทอร์เน็ตทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการสอดแนม

นอกจากนี้ยังมีระบบของหน่วยงานข่าวกรองของสหราชอาณาจักร​หรือจีซีเอชคิว (GCHQ: Government Communications Headquarters) เป็นโครงการที่มีการเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ระบบการดักข้อมูลที่ระบบใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) เพื่อดูดข้อมูลการสื่อสารโดยตรง เน้นการสื่อสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและที่อื่นๆ จุดขายของโครงการนี้คือกฎหมายและการกำกับดูแลของสหราชอาณาจักรค่อนข้างอ่อน​เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา​

แมทธิวท้าวความไปเมื่อทศวรรษ 1990 มีการต่อสู้ระหว่างนักเข้ารหัสกับหน่วยงานข่าวกรองที่ไม่อยากให้มีการเข้ารหัสที่แข็งแรงนัก ซึ่งผลของสงครามนี้คือหน่วยงานข่าวกรองแพ้ ทำให้มีมาตรฐานการเข้ารหัสที่แข็งแรงมากขึ้น ได้มาตรฐาน หลายคนก็มั่นใจมากขึ้น​

แต่ก็มีโครงการใต้ดินของเอ็นเอสเอที่เข้าไปแทรกแซงองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับมาตรฐานเทคนิคด้านความปลอดภัย ซึ่งทำให้วิธีการเข้ารหัสอ่อนแอ ไม่ให้มันแข็งแรงกว่าเดิม และยังได้เข้าไปในระบบ วิธีการแบบนี้ เป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบมาก ทำให้คนอื่นสามารถเข้าไปต่อได้ เช่น รัฐบาลสามารถเข้าไปดูข้อมูลต่อได้หลังจากการเข้าไปเจาะระบบของเอ็นเอสเอ ซึ่งเอ็นเอสเอเองก็รู้ว่าจะเกิดผลพวงแบบนี้ขึ้น

ปริซึม (PRISM) เป็นโครงการที่โด่งดังมากที่สุดของเอ็นเอสเอ โดยสามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้มากมาย บริษัทเหล่านี้ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเอ็นเอสเอ แต่หลักฐานที่ออกมาคือไม่ใช่ มีข่าวว่าค่าใช้จ่ายของโครงการนี้กับบริษัทเอกชนต่างๆ คือ 20 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี มันอาจจะเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการก็ได้

ดังนั้น สิ่งที่เรารู้แล้วคือเอ็นเอสเอเข้าไปแทรกแซง แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจน คือ ผู้บริหารอาจจะไม่รู้เห็นหรือไม่รู้เห็น แต่ถูกแทรกแซงโดยไม่รู้ตัว และเรารู้แล้วว่ามีบางโครงการที่บริษัทเอกชนให้ข้อมูลบางอย่างกับเอ็นเอสเอ แต่ก็มีบางโครงการที่เอ็นเอสเอเข้าไปดักฟัง เจาะระบบ หรือเข้าไปดักการเชื่อมต่อภายในเอง เช่น การเข้าไปเจาะระบบ 1 ในฐานเก็บข้อมูลของกูเกิลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งกูเกิลอาจจะชะล่าใจและไม่ได้เข่ารหัสโครงข่ายนี้ไว้

เอ็นเอสเอใช้วิธี “man in the middle attack” หรือการคั่นกลางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายภายในเอง กล่าวคือ เจอช่องโหว่ตรงไหนก็เข้าตรงนั้นนั่นเอง

Why should we care about this?: แล้วเราจะสนใจเรื่องนี้ทำไม?

แมทธิวตอบว่า ต่อให้เราไม่ได้ใช้โปรแกรมแชทต่างๆ แค่อยู่บนอินเทอร์เน็ตก็ตามเราก็ถูกสอดแนมได้เหมือนกัน สมมติเราจะส่งอีเมลจากเอเชียไปแอฟริกา มันก็จะถูกดึงข้อมูลไปสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วค่อยเด้งกลับไปที่ปลายทาง หรือแม้กระทั่งการส่งภายในเอเชียเองก็ตาม ก็ยังมีการเก็บข้อมูลที่ส่งผ่านไฟเบอร์ออฟติค

เหตุผลที่เราต้องสนใจและเป็นกังวลนั้นก็เพราะระบบการเข้าสอดแนมทั้งหมดทำให้สถาปัตยกรรมของอินเทอร์เน็ตอ่อนแอลง ตอนที่เราใช้อีเมล เช่น จีเมล ยาฮู ฯลฯ เราเชื่อมั่นว่ามันปกป้องความปลอดภัยของเราได้ นักเทคนิคหลายคนตกใจไม่คิดว่ามันจะทำให้มาตรฐานความปลอดภัยของการเข้ารหัสอ่อนแอลงได้ถึงเพียงนั้น

ประเด็นที่สำคัญที่สุดของการสอดแนมนี้ คือ มันเป็นการละเมิดสิทธิของเราทุกคนโดยตรง ละเมิดปฏิญญาสากลว่าสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการสื่อสาร การสอดแนมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจำเป็น แต่มันดักข้อมูลทั้งหมดของเราเท่าที่มันทำได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคง ซึ่งเราทุกคนไม่น่าจะต้องถูกละเมิดสิทธิขนาดนี้

แต่แมทธิวแนะนำให้เราใช้บริการของผู้ให้บริการเหล่านี้ต่อไป อย่างน้อยก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแม้ว่าจะถูก เอ็นเอสเอเข้าแทรกแซง ก็ยังมีการเข้ารหัสแบบ PGP (Pretty Good Privacy)  กับเบราว์เซอร์​ Tor ที่เราสามารถใช้บริการได้ แต่ก็ต้องระวังไว้ว่ามันไม่ได้ปลอดภัย 100% เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่พอรัฐบาลมาสอดแนมเราจะเปลี่ยนหรือเลิกใช้

ประเด็นที่สำคัญ คือ เทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบเดียว ที่ผ่านมาเราคิดว่าประเด็นความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องของนักเทคนิคที่มีหน้าที่คิดทำให้มาตรฐานความปลอดภัยมั่นคงเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องหลายมิติ เข้ามาทำงานร่วมกัน เช่น การจัดการในสังคม การสร้างความตระหนักของประชาชน และข้อกฏหมายที่ช่วยสร้างหลักประกันว่าเรามีความปลอดภัยในความเป็นส่วนตัวได้

สุดท้ายแล้วมันเป็นปัญหาของการไม่มีความรับผิดของหน่วยงานข่าวกรอง รัฐบาลไม่มีกฎหมายที่เคร่งครัด หน่วยงานบางหน่วยก็มีการโกหกต่อรัฐบาลและต่อสภา อย่างเช่น รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสามารถไปขอข้อมูลจากสหราชอาณาจักร​ซึ่งมีการกำกับดูแลที่อ่อนแอกว่า โดยที่ไม่ต้องไปถึงศาล แต่ไปถึงแค่รัฐบาลหรือรัฐมนตรีต่างประเทศได้เลย มันเป็นประเด็นการเมืองไปหมด ฉะนั้นวิธีที่จะเริ่มผลักดันความรับผิดให้เกิดขึ้น เราต้องสร้างกระบวนการของเราเองขึ้นมา เริ่มจากการตั้งคำถามต่อหน่วยงานต่างๆ ให้มากขึ้น

อยากให้ทุกคนแสดงจุดยืนออกมา เพราะว่ามันกระทบต่อทุกคน ไม่ใช่แค่ประชากรของสหรัฐหรือสหราชอาณาจักร​ดังนั้นเราจึงไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เป็นเรื่องของคนทั่วโลกที่ต้องตั้งคำถามต่อหน่วยงานข่าวกรองของประเทศตัวเอง และจริงๆ แล้วหน่วยงานเหล่านั้นมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้แค่ไหน

นอกจากจะต้องแสดงจุดยืนแล้วจะต้องร่วมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้มีหลักสิทธิมนุษยชน ด้วยการปรับใช้ หลักความจำเป็นและได้สัดส่วน (Necessary and Proportionate Principles) เนื่องจากหน่วยงานสอดแนมต่างๆ ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเลย ซึ่งหลักการนี้มี 13 ข้อ พูดถึงการสอดแนมว่าควรจะมีความชอบธรรม มีกระบวนการที่ยุติธรรม มีความชัดเจน มีหลักสัดส่วนที่สมเหตุสมผล มีความจำเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น มีความโปร่งใส และต้องมีการกำกับจากสาธารณะ

แมทธิวย้ำว่าองค์กรไพรเวซีอินเทอร์เนชันแนลไม่ได้ต่อต้านการสอดแนม แต่ต่อต้านกฏหมายแย่ๆ ที่ไม่เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว เราต้องตระหนักว่าสิทธิมีความสำคัญ การสอดแนมที่เกิดขึ้นจำเป็นแค่ไหนกับสังคมประชาธิปไตย เป้าหมายของประชาธิปไตยคือการดักจับข้อมูลส่วนตัวของประชาชนหรือเปล่า

(คัดลอกจากหน้าเพจ Thainetizen.org , บทความ “NSA สอดแนมมวลชน-ดักฟังข้อมูล เกี่ยวอะไรกับเราด้วย?” ,12 มีนาคม 2014)  

ผู้เขียนรู้สึกว่า ยิ่งโลกนี้ เทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยมากขึ้นเท่าไร ความเป็นส่วนตัวของปัจเจกบุคคลกับยิ่งลดน้อยถอยลงทุกวัน และนี่เป็นเพียงภาพสะท้อนเพียงจุดๆ หนึ่ง หรือประเด็นเดียวที่ยังไม่ได้จับไปเชื่อมโยงกับเรื่องความสัมพันธ์ในระดับปัจเจก-ปัจเจก ,ระดับปัจเจก-ชุมชน ,ระดับปัจเจก-มหาชน (สังคม) ,ระดับปัจเจก-ประเทศ ,ระดับปัจเจก กับ ต่างประเทศ ,องค์กรระหว่างประเทศ, องค์กรโลกบาล ซึ่งจวนเจียนจะเข้าสู่ยุคไร้ความลับกันอีกต่อไป ทุกอย่างสามารถสืบเสาะ เจาะข้อมูล ล่วงรู้ถึงกันได้หมด ในอนาคตอันใกล้นี้

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (วงร็อคเผยนาทีสังหารหมู่ในคอนเสิร์ต,เบลเยี่ยมปิดเมืองหลังมีคำเตือนก่อวินาศกรรม,รัสเซียปูพรมถล่มหนักไอเอส,อินโดมาเลย์บรรลุข้อตกลงจัดตั้งสภาผู้ผลิตน้ำมันปาล์มโลก)


รอยเตอร์ วงดนตรีร็อคจากแคลิฟอเนียร์ที่ทำการแสดงในกรุงปารีสเมื่อคืนวันที่ 13 พฤศจิกายนรอดชีวิตจากเหตุสังหารหมู่กลางคอนเสิร์ตของพวกเขามาได้ แต่มีคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตขณะพยายามหลบในห้องแต่งตัว นักร้องนำของวงนี้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ข่าวนานาชาติไวซ์ (Vice) เจสซี ฮิวส์ จากวงอีเกิลส์ออฟเดธเมทัล (Eagles of Death Metal ) พูดคุยกับไวซ์ในการสัมภาษณ์ที่จะออกอากาบนเว็บไซต์ของช่องในสัปดาห์หน้า คลิปตัวอย่างความยาว 30 วินาทีได้ถูกโพสต์เมื่อวานนี้ (21) นี่เป็นครั้งแรกที่สมาชิกของวงนี้ยอมเปิดปากพูดเกี่ยวกับเหตุยิงดังกล่าว ไวซ์ระบุ เหตุระเบิดและกราดยิงโดยฝีมือของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในกรุงปารีสได้คร่าชีวิตคนไป 130 ราย รวมถึง 89 คนที่เข้าร่วมชมการแสดงของวงดนตรีอเมริกันวงนี้ที่ห้องโถงคอนเสิร์ตบาตาคล็อง  มีคน 7 คนซ่อนอยู่ในห้องแต่งตัวของพวกเรา และคนร้ายก็เข้ามาและฆ่าพวกเขาทุกคน เหลือเพียงเด็กคนเดียวที่ซ่อนอยู่ใต้แจ็คเก็ตหนังของผมฮิวส์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ ขณะที่ จอช ฮอมมี ผู้ร่วมก่อตั้งวงนั่งอยู่ข้างๆ เขา  “หลายคนแกล้งตายและพวกเขากลัวมากฮิวส์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหตุผลหลักที่มีคนเสียชีวิตจำนวนมากนั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ทิ้งเพื่อน หลายคนเอาตัวเองไปบังอยู่หน้าคนอื่นในถ้อยแถลงบนหน้าเฟสบุ๊คเมื่อต้นสัปดาห์ วงนี้ระบุว่า ผู้ที่ถูกสังหารในคืนนั้นรวมถึง นิค อเล็กซานเดอร์ ผู้จัดการฝ่ายขายของวง และเพื่อนในค่ายแพลง 3 คนคือ โทมัส อายัด , มาเรีย มอสเซอร์ และมานู เปเรซ  วงดนตรีวงนี้ซึ่งมีชื่อย่อว่า (EDOM) อยู่บนเวทีในตอนที่มือปืนเปิดฉากยิงด้วยปืนกลอัตโนมัติ  คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ถูกถ่ายภายในห้องโถงดังกล่าวในตอนที่การโจมตีเริ่มขึ้นนั้นได้ถูกโพสต์บนอินสตราแกรม และมีการนำไปออกอากาศทางโทรทัศน์หลังจากนั้น ในคลิปนี้เผยให้เห็นนักดนตรีของวง EODM 3 คนอยู่บนเวทีในช่วงกลางของการแสดงดังกล่าวในขณะที่การยิงปะทุขึ้น กระตุ้นให้มือกลองรีบหมอบลงต่ำเพื่อหลบและมือกีตาร์คนหนึ่งวิ่งหนีจากเวทีส่วนอีกคนหนึ่งยืนแข็งไม่ขยับเขยื้อน

 
เอเจนซีส์ ล่าสุดวันนี้(21) พบคลังแสงอาวุธที่มีทั้งระเบิดและอาวุธเคมีในบ้านของคนร้ายวางแผนโจมตีปารีสในย่านโมเลนเบค( Molenbeek) หลังจากมีปฎิบัติการบุกค้นในคืนวันศุกร์ (20) ในขณะที่บรัสเซลส์ประกาศ ปิดตายประเทศระบบรถไฟเมโทรขนส่งสาธารณะปิดให้บริการ ห้ามใช้ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าปิดช่วงบ่าย ด้านฝรั่งเศสส่งกองกำลังคุมเข้มแหล่งน้ำบริโภคทั้งหมด หลังพบชุดป้องกันภัยชีวภาพระดับสูงถูกขโมยจากโรงพยาบาลปารีส  เดอะเทเลกราฟและเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รวมไปถึง สื่อทั่วโลกรายงานความคืบหน้าเหตุโจมตีปารีสล่าสุดในวันนี้(21)ว่า ในช่วงเวลาข้ามคืนที่ผ่านมาเบลเยียมเตือนภัยก่อการร้าย ขั้นสูงสุดในบรัสเซลส์ โดยนอกจากเตือนไม่ให้ประชาชนชาวเบลเยียมอยู่ในที่คนพลุกพล่าน แล้ว ยังส่งกองกำลังออกปประจำตามถนนสายต่างๆ ที่รวมไปถึงมีการวิ่งของยานพลลำเลียงตามถนนให้เห็น สั่งระงับการขนส่งสาธารณะ เป็นต้นว่าระบบรถไฟเมโทร ห้ามไม่ให้ใช้ลานจอดรถ การแข่งขันฟุตบอล และกิจกรรมต่างๆถูกสั่งยกเลิก และมีรายงานว่าห้างสรรพสินค้าในเบลเยียม เป็นต้นว่า City2 หรือ เวสต์แลนด์ จะปิดให้บริการในช่วงบ่ายวันนี้(21) ซึ่งเดอะการ์เดียนรายงานว่า อย่างน้อยศูนย์การค้า Woluwe ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกรุงบรัสเซลส์ สื่อท้องถิ่นเบลเยียมรายงานว่า มีการสั่งอพยพให้ผู้จับจ่ายออกมาภายนอกด้วยเช่นกัน หลังจากเปิดไปได้สักพัก ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่มีการชี้แจงว่า เหตุใดจึงปิดอย่างกระทันหัน  โดยในเบื้องต้นนายกรัฐมนตรีเบลเยียม ชาร์ลส มิเชลส ออกแถลงการณ์ว่า เหตุผลในการปิดล็อกกรุงบรัสเซลสครั้งนี้ เนื่องจากเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เมืองหลวงแห่งนี้จะตกเป็นเป้าก่อการร้ายพร้อมกันหลายจุดเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับกรุงปารีสในวันศุกร์(13) ด้วยระเบิดและอาวุธต่างๆ เทเลกราฟรายงาน ซึ่งก่อนหน้านี้จากการเข้าบุกค้นที่ย่านโมเลนเบค(Molenbeek)ในคืนวันศุกร์(20) จากการแถลงของสำนักงานอัยการเบลเยียมในวันนี้(21)ผ่านการรายงานของเดอะการ์เดียนเปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเบลเยียมพบคลังแสงที่มีทั้งอาวุธเคมีและระเบิดที่บ้านของคนร้ายซึ่งตั้งอยู่บนถนน วานเดเพียร์บุม(Vandepeerboom ) อ้างอิงจากสื่อเบลเยียม La Capitaleซึ่งในเบื้องต้นนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยว่า มีการจับกุมเกิดขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้หนังสือพิมพ์เบลเยียม Dernière Heure รายงานเพิ่มเติมว่า บ้านที่ทางเจ้าหน้าที่พบคลังแสงนี้เป็นบ้านพักที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมซึ่งเป็นสถานที่อับเดลฮามิด อาบาอูด (Abdelhamid Abaaoud) มันสมองโจมตีปารีสใช้เป็นกองบัญชาการออกคำสั่ง Sleeper Cell ก่อการร้าย สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า การค้นพบคลังแสงก่อการร้ายเกิดขึ้นหลังจาก รัฐบาลเบลเยียมออกคำสั่งให้เบลเยียมอยู่ในการเตือนภัยขั้นสูงสุด ท่ามความกังวลที่ ซาเลห์ อับเดสลาม(Salah Abdeslam) ผู้ก่อการร้ายโจมตีปารีสที่ยังมีชีวิต และยังคงอยู่ในระหว่างการหลบหนี ซึ่งสำนักอัยการปารีสออกแถลงการณ์ในวันเสาร์(21)ยอมรับว่าขณะนี้ไม่ทราบว่าตัวคนร้ายอยู่ที่ใด โดยอับเดสลามสามารถหลบหนีข้ามแดนเข้ามายังเบลเยียมได้ในวันเดียวกับที่เสร็จสิ้นโจมตีกรุงปารีส ฝรั่งเศส แล้ว และเดลีเทเลกราฟในวันนี้(21)ยังรายงานถึงคำสั่งคุมเข้มแหล่งน้ำในฝรั่งเศสว่า ปารีสได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยระดับสูง โดยออกคำสั่งส่งกองกำลังคุมตามแหล่งน้ำสาธารณะต่างๆที่จะส่งเข้ามาเมืองหลวงของฝรั่งเศส หลังจากมีรายงานว่า มีการพบว่าชุดป้องกันภัยชีวภาพระดับสูงที่สามารถป้องกันเชื้อโรคร้าย เช่น อีโบลา ถูกขโมยออกจากโรงพยาบาลเนคเกอร์ (Necker) หนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำของกรุงปารีส ซึ่งสื่ออังกฤษรายงานว่า รองเท้าบูทส์ยางที่สามารถป้องกันอันตรายจากสารเคมีได้ถึง 3 เท่าทำมาจากโพลีเอธิลีน รวมไปถึงถุงมือ และหน้ากากครอบป้องกันเชื้อโรคได้หายไปพร้อมกัน โดยทางโรงพยาบาลเนคเกอร์ออกแถลงการณ์ว่า มีการพบว่าชุดป้องกันภัยชีวภาพและสารเคมีที่มีจำนวนจำกัดเช่นนี้หายไปในวันพุธ และทางโรงพยาบาลได้ทำการแจ้งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วนอกจากนี้สื่ออังกฤษยังรายงานต่อว่า Eau de Paris บริษัทผลิตน้ำประปาปารีสล่าสุดออกประกาศ ห้ามเข้ายังแหล่งน้ำสำคัญ 6 แห่ง ยกเว้นเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับอนุญาต และเดลีเทเลกราฟยังรายงานเพิ่มเติมว่า มาตรการความปลอดภัยครั้งล่าสุดนี้ให้ความสำคัญที่สถานที่กักเก็บน้ำสำหรับใช้สอย ที่มีการป้องกันแน่นหนา รวมถึงมีรั้วกั้นป้องกัน และรวมไปถึงการติดตั้งระบบเซ็นเซอร์เตือนภัยคอยจับสัญญาณผู้บุกรุก ระบบเซ็นเซอร์เหล่านี้เชื่อมโยงไปยังศูนย์บังคับการ และหากมีการเตือนบุกรุกเกิดขึ้น ทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจจะถูกส่งไปที่นั่นในทันที” Celia Blauel ผู้ช่วยนายกเทศมนตรีกรุงปารีส และประธานบริษัทผลิตน้ำประปา Eau de Paris แถลง และเพื่อเป็นการป้องกันการปนเปื้อนของน้ำ ทางบริษัทประปาปารีสได้เพิ่มจำนวนสารคลอรีนในแหล่งน้ำ 5 แห่ง  เดลีเทเลกราฟรายงานเพิ่มเติมว่า มีรายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทางโรงพยาบาลต่างๆ และหน่วยงานฉุกเฉินทั่วฝรั่งเศสต่างเตรียมพร้อม และทำการกักตุนอุปกรณ์และสิ่งจำเป็นสำหรับแอนติโดสอาวุธเคมี ซารีนและสารเคมีทำลายประสาทอื่นๆเป็นครั้งแรก

 
เอ็กซ์เพรส/อาร์ทีนิวส์ - กองทัพรัสเซียระดมยิงขีปนาวุธร่อนถล่มฐานที่มั่นต่างๆของพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) ในซีเรีย จากกองเรือที่ประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแคสเปียน โดยลูกหนึ่งสามารถปลิดชีพพวก่อการร้ายได้ถึง 600 ศพ ขณะเดียวกันมอสโกก็แถลงเพิ่มจำนวนเครื่องบินที่ใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศขยี้พวกก่อการร้ายในซีเรียเป็น 2 เท่า กระทรวงกลาโหมของรัสเซียเปิดเผยในวันศุกร์(20พ.ย.) ว่ากองทัพอากาศเพิ่มจำนวนเครื่องบินที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการถล่มนักรบญิฮัดเป็น 69 ลำ แม้แค่ช่วง 3 วันที่ผ่านมา เครื่องบินรบของมอสโกได้ลงมือโจมตีทางอากาศถึง 394 เที่ยว ถล่มเป้าหมายต่างๆของพวกก่อการร้ายทั่วซีเรีย 731 เป้าหมาย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความสับสนว่ารัสเซียจะส่งกองกำลังทางภาคพื้นสู่สมรภูมิซีเรียหรือไม่ ด้วยในวันศุกร์(20พ.ย.) เครมลินบอกแต่เพียงว่ายังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะทำสงครามภาคพื้นอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะดำเนินการเช่นนั้นในอนาคต ท่ามกลางข่าวลือว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เตรียมส่งทหาร 150,000 นายเข้าไปขุดรากถอนโคนไอเอสเป็นครั้งสุดท้าย เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมเปิดเผยว่ามีพวกก่อการร้ายมากกว่า 600 คนถูกกำจัด ผลจากขีปนาวุธร่อนเพียงลูกเดียวที่ถล่มเป้าหมายหนึ่งในจังหวัดเดอีร์ เอซ-ซอร์ ในวันศุกร์(20พ.ย.)รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้รายงานกับประธานาธิบดีปูติน ต่อว่า"ในวันที่ 20 พฤศจิกายน เรือรบของกองเรือแคสเปียนยังยิงขีปนาวุธร่อนอีก 17 ลูกโจมตี 7 เป้าหมายในจังหวัดรักกา, อิดลิบ และอเลปโป และประสบความสำเร็จโดนทุกเป้าหมาย" ทั้งนี้โดยรวมแล้วมีเรือรบรัสเซีย 10 ลำที่ร่วมปฏิบัติการถล่มซีเรีย โดยในนั้น 6 ลำ ประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนที่เหลืออยู่ในทะเลแคสเปียน การยกระดับโจมตีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากช่วงต้นสัปดาห์ ประธานาธิบดีปูติน ประกาศจะไล่ล่าและลงโทษพวกที่อยู่เบื้องหลังเหตุลอบวางระเบิดบนเครื่องบินโดยสารรัสเซียเหนือคาบสมุทรไซนายเมื่อเดือนก่อน ที่คร่าชีวิตยกลำ 224 ศพ ซึ่งพวกไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบ นอกจากปฏิบัติการโจมตีทั้งทางเครื่องบินและทางเรือแล้ว มอสโกยังมีแผนซ้อมรบ 3 วันในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และได้แจ้งเตือนเลบานอนว่าน่านฟ้าของพวกเขาจะได้รับผลประทบจากการซ้อมรบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปูติน ยอมรับว่าความพยายามเหล่านี้ยังล้มเหลวในการปกป้องรัสเซียจากการโจมตีก่อการร้าย ก่อนหน้านี้นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียและนายจอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้พูดคยกันทางโทรศัพท์เพื่อหารือเกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องพยายามต่อสู้กับไอเอสในซีเรียร่วมกัน ขณะที่นายฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ บอกว่าพบเห็นสัญญาณอย่างชัดเจนว่ารัสเซียหันกระบอกปืนเข้าหาพวกไอเอสในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นายแฮมมอนด์ กล่าวระหว่างเดินทางเยือนไซปรัสเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า "ในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา เราพบเห็นอย่างชัดเจนว่ารัสเซียกำลังพุ่งเป้าไปที่ความพยายามตอบโต้ไอเอสมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดี" เขากล่าว
    
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – SOHR กลุ่ม NGO ด้านสิทธิมนุษยชนที่มีฐานในอังกฤษรายงานสถานการณ์ในซีเรียเมื่อวานนี้ (20) ว่า ในปฎิบัติการโจมตีกลุ่มติดอาวุธ IS ของรัสเซียทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,300 คน ซึ่งมีเด็กชาวซีเรียรวมอยู่ในนี้ถึง 97 คน ในขณะที่มีรายงานออกมาจากสื่อรัฐบาลเลบานอนว่า เครมลินบีบบังคับให้เบรุตสั่งปิดน่านฟ้าชั่วคราว เพื่ออนุญาตให้ กองกำลังรบรัสเซียทำการฝึกซ้อมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้(20)ว่า กลุ่มสังเกตการณ์ซีเรียด้านมนุษยชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร SOHR รายงานในวันศุกร์(20)ว่า ตั้งแต่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการโจมตีกลุ่มก่อการร้าย IS ในเดือนกันยายนล่าสุด พบว่ามีผู้เสียชีวิตไปไม่ต่ำกว่า 1,300 คนแล้ว และพบว่า 2 ใน 3 ของตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งหมดราว 1,331 เป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ SOHR แถลง และทางกลุ่ม SOHR แถลงลงในรายละเอียดเพิ่มเติมว่า พบว่าสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ IS จำนวน 381 คนถูกสังหาร ในขณะที่ยอดจำนวนสมาชิกกลุ่มติดอาวุธเครือข่ายอัลกออิดะห์ อัลนุสรา ฟรอนต์ และรวมไปถึงสมาชิกกลุ่มติดอาวุธกบฏซีเรียกลุ่มอื่นๆเสียชีวิตรวมกันราว 547 คน นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจเมื่อพบว่า มีพลเรือนซีเรียราว 403 คนเสียชีวิต ซึ่งตัวเลขนี้รวมไปถึงเด็กชาวซีเรียอีก 97 คน อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีให้ข้อสังเกตว่า ดูเหมือนตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ทาง SOHRประกาศล่าสุดจะสูงกว่า 2 เท่าของตัวเลขก่อนหน้านั้นที่ทางกลุ่มได้ประกาศออกมาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หรือในวันที่ 29 ตุลาคม แถลงว่า มียอดผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซียเกือบ 600 คน นอกจากเอเอฟพียังรายงานว่า กลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรด้านการแพทย์จำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติงานในซีเรีย ยังได้ออกมากล่าวหารัสเซียว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย ทำให้คลินิกสนามรักษาคนไข้ของหน่วยงาน และโรงพยาบาลในซีเรียได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้กลุ่ม SOHR ยังรายงานตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกิดจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯว่า มีตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 3,649 คน ซึ่ง 6% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นพลเรือน นับตั้งแต่สหรัฐฯเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลุ่มสังเกตการณ์ซีเรียแถลงว่า ยอดตัวเลขผู้ก่อการร้าย IS เสียชีวิตในซีเรียจากปฏิบัติการทางอากาศของสหรัฐฯมีราว 3,276 คน และมีจำนวนสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายเครือข่ายอัลกออิดะห์ อัลนุสรา ฟรอนต์ และกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นราว 147 คน และมีพลเรือนซีเรียเสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯราว 226 คน และในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองกำลังรัสเซียในซีเรีย ยังมีข่าวว่า ทางเครมลินได้ร้องขอให้รัฐบาลเลบานอนทำการปิดน่านฟ้าชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้กองกำลังรัสเซีย ทำการซ้อมรบโดย VOX สื่อสหรัฐฯรายงานถึงเรื่องนี้ในวันศุกร์(20)ว่า สื่อ NNAภายใต้การควบคุมรัฐบาลเลบานอน และหนังสือพิมพ์ เดอะเดลี สตาร์ ว่า ทางรัฐบาลรัสเซียได้ทำการร้องขอให้รัฐบาลเลบานอนสั่งปิดท่าอากาศยานนานาชาติของประเทศชั่วคราวเป็นเวลา 3 วัน โดยทำการสั่งห้ามไม่ให้เครื่องบินโดยสารทำการบินขึ้นและลงที่บริเวณท่าอากาศยานแห่งนี้ นับตั้งแต่วันเสาร์(22)ไปจนถึงวันจันทร์ (24) โดยในการเสนอข่าวจากสื่อเลบานอน ทางรัสเซียอ้างว่า จะมีการทำการฝึกซ้อมรบทางการทหารทางทะเลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอาจทำให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินต่างๆไม่ปลอดภัย ซึ่งจุดต่างๆในการซ้อมรบของกองทัพเรือรัสเซียนี้ NNA รายงานว่า จะทำให้จราจรทางอากาศของเลบานอนต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิงโดยสื่อสหรัฐฯอ้างอิงจากการรายงานของ นูร์ ซามาฮา (Nour Samaha)นักข่าวชาวเลบานอน ซึ่งได้รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมเลบานอนได้ปฎิเสธคำขอของรัสเซีย ด้านบริษัทสายการบินตะวันออกกลาง และสายการบินประจำชาติเลบานอนได้ออกมายืนยันว่า ทางบริษัททำการบินตามปกติ  VOX รายงานเพิ่มเติมว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า รัสเซียจะมีปฏิกิริยาในเรื่องนี้อย่างใด หากรายงานข่าวที่ว่านี้เป็นความจริง นอกจากนี้สื่อสหรัฐฯยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในรายงานเดียวกันนี้ที่เปิดเผยออก พบว่าทางรัสเซียได้ยื่นคำขอไปทางเลบานอนล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อร้องทำการปิดน่านฟ้าชั่วคราวต่อสายการบินต่างๆในวันชาติเลบานอน ซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของประเทศในวันที่ 22 พฤศจิกายน หรือคือวันนี้ VOX ชี้ว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดถึงรายละเอียดการฝึกซ้อมรบที่รัสเซียอ้าง แต่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการโจมตีอากาศในซีเรีย และสื่อสหรัฐฯยังรายงานต่อว่า ในขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า รัสเซียจะยังคงทำการฝึกซ้อมรบตามกำหนดหรือไม่ หลังจากที่ได้รับการปฎิเสธอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเลบานอนแล้ว ด้าน วาลิด จอมแบลตต์ (Walid Joumblatt) บุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงการเมืองเลบานอนได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ผ่านทวีตเตอร์ในวันศุกร์(20)ว่า ดูเหมือนว่า การที่รัสเซียขอให้ทางเลบานอนทำการปิดน่านฟ้าของตัวเองในวันครบรอบประกาศเอกราชย์นั้น คล้ายกับว่าทางเครมลินคิดว่า เลบานอนเป็นแค่เขตหนึ่งในกรุงมอสโกซึ่งถือเป็นการหยามเกียร์ติ และละเมิดอำนาจอธิปไตยของเราอย่างร้ายแรง
 


เอเจนซีส์ - ผู้นำจีนและสหรัฐฯ ต่างออกมาแถลงประณามเหตุบุกจับตัวประกันในโรงแรมหรูใจกลางกรุงบามาโกของมาลี เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) ซึ่งล่าสุดมีการยืนยันยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 27 ราย โดยมีชาวอเมริกันตกเป็นเหยื่อด้วย 1 ราย ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ซึ่งเดินทางไปร่วมการประชุมซัมมิตที่มาเลเซีย ระบุว่า เหตุโจมตีที่เกิดขึ้นในมาลีเป็นสิ่งที่น่าตื่นตระหนก และชี้ว่า พฤติกรรมป่าเถื่อนของนักรบญิฮาด มีแต่จะทำให้สหรัฐฯ ยิ่งมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้” อัล-มูราบิทูน ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธเครือข่ายอัลกออิดะห์ภายใต้การนำของ “ม็อคตาร์ เบลม็อคตาร์นักรบชาวแอลจีเรียผู้มีดวงตาข้างเดียว ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบกรณีกลุ่มมือปืนอิสลามิสต์บุกจับตัวประกันกว่าร้อยคนในโรงแรม เรดิสสัน บลู ในกรุงบามาโกไว้เป็นเวลานานถึง 9 ชั่วโมง ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ทั่วโลกยิ่งตระหนักถึงภัยคุกคามจากเครือข่ายนักรบญิฮาด หลังเหตุวินาศกรรมสังหารหมู่ 130 ศพในปารีสเพิ่งผ่านพ้นมาได้แค่ 1 สัปดาห์ กองกำลังพิเศษมาลีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และฝรั่งเศสได้บุกจู่โจมเข้าไปในอาคารทีละชั้น จนสามารถยุติเหตุการณ์ลงได้ในที่สุด โอบามา ได้ให้สัมภาษณ์นอกรอบระหว่างการประชุมซัมมิตเอเชีย-แปซิฟิกที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า กลุ่มก่อการร้ายได้ก่อเหตุจับตัวประกัน และสังหารผู้คนอย่างไร้ความปรานี... ในนามของชาวอเมริกัน ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังชาวมาลีและครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งมีชาวอเมริกันด้วยอย่างน้อย 1 คน” “พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สมควรจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป  แหล่งข่าวด้านความมั่นคงในมาลียืนยันว่า มีตัวประกันถูกสังหารไปอย่างน้อย 27 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่ามีชาวอเมริกันเสียชีวิตแน่นอนแล้ว 1 ราย และอีกหลายสิบคนรอดชีวิตมาได้  ด้านประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง ของจีน ก็ได้ออกมาแถลงประณามเหตุโจมตีโรงแรมในกรุงบามาโก ซึ่งมีชาวจีนเสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย  เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศจีนเผยแพร่คำแถลงของ สี่ ซึ่งยืนยันว่า จีนจะยกระดับความร่วมมือกับนานาชาติเพื่อต่อต้านลัทธิก่อการร้าย   
       

รอยเตอร์ - หลังเกิดระเบิดฆ่าตัวตายที่คาเฟ่ ก็องตัวร์ วอลแตร์ ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายจุดที่ถูกอิสลามิสต์โจมตีเมื่อคืนวันที่ 13 พ.ย. บุรุษพยาบาลเมืองน้ำหอมคนหนึ่งได้เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เขาพยายามจะช่วยชีวิตไว้นั้นเป็น มือระเบิด  บุรุษพยาบาลซึ่งบอกชื่อตนเองสั้นๆว่า เดวิดเล่าว่า เขาเห็นชายผู้บาดเจ็บนอนอยู่ท่ามกลางโต๊ะและเก้าอี้ที่กระจัดกระจายเกลื่อนบาร์ จึงช่วยพามานอนราบกับพื้น  ชายคนดังกล่าวหมดสติไปแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บมากนัก เดวิด จึงตัดสินใจว่าจะทำซีพีอาร์ปั๊มหัวใจตามขั้นตอนที่ได้ร่ำเรียนมา แต่เมื่อถอดเสื้อทีเชิ้ตออกจากร่างผู้บาดเจ็บ บุรุษพยาบาลคนนี้ก็ทราบทันทีว่า สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นแค่ แก๊สระเบิดในคาเฟ่ใกล้ๆ กับโรงละครบาตากล็องที่มีมือปืนบุกเข้าไปกราดยิงผู้ชมคอนเสิร์ตเสียชีวิต 89 ราย อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิดไว้  “ผมเห็นสายไฟ 4 เส้น สีขาว ดำ แดง และส้ม... ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าเขาเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตายเดวิด ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์  ชายที่ เดวิด พยายามช่วยชีวิตก็คือ บราฮิม อับเดสลามหนึ่งในคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุโจมตีคาเฟ่ ภัตตาคาร โรงคอนเสิร์ต และสนามกีฬาในกรุงปารีส จนมีผู้เสียชีวิตถึง 130 คน  บราฮิม เป็นพี่ชายแท้ๆ ของ “ซาลาห์ อับเดสลามที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี และเป็นคนเดียวที่เสียชีวิตบริเวณคาเฟ่แห่งนี้  จากคลิปวีดีโอที่คนด้านนอกคาเฟ่บันทึกไว้ได้ มีชาย 2 คนที่เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น หนึ่งในนั้นคือ เดวิด ส่วนอีกคนยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ใกล้ๆ กันนั้นยังมีผู้บาดเจ็บอีกรายนอนจมกองเลือดอยู่  สายไฟเส้นแรกที่ผมเห็นเป็นสีแดง เข้าใจว่าน่าจะเป็นชนวนระเบิด... ตรงปลายมีอะไรบางอย่างติดอยู่ด้วยเดวิด กล่าว  พอรู้ว่าคนที่กำลังจะช่วยเป็นมือระเบิด พนักงานดับเพลิงก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุพอดี หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่ เดวิด รู้จัก เขาจึงเล่าให้ฟังว่าพบเห็นอะไรมา  เขาจ้องหน้าผม และสั่งให้ทุกคนอพยพออกจากที่เกิดเหตุเดี๋ยวนั้นเลยเดวิด วัย 46 ปี ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงปารีส เขาคุ้นเคยกับคาเฟ่ ก็องตัวร์ วอลแตร์ เป็นอย่างดี เพราะมีบ้านอยู่แถวนั้น  วันเกิดเหตุ เขานั่งรับประทานอาหารค่ำอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง พอบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ก็เกิดการระเบิดขึ้น  “ตอนนั้นมีลูกไฟระเบิดตูมขึ้น ฝุ่นคลุ้งไปหมด... ผมเดาทันทีว่าคงเป็นฮีตเตอร์ระเบิด ก็เลยตะโกนให้คนในร้านรีบปิดแก๊ส... ทุกคนตื่นตระหนกและวิ่งออกจากร้าน ผมเองก็ออกไปยืนอยู่ที่เทอร์เรซ  เดวิด ตรงเข้าไปช่วยเหลือหญิงคนหนึ่งก่อน จากนั้นก็ช่วยเด็กหนุ่มที่เลือดออกเต็มตัวแต่ยังพอมีสติสัมปชัญญะ เมื่อเริ่มมีคนอื่นเข้ามาช่วยอีก เขาจึงตรงไปที่ อับเดสลาม  ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขาเป็นมือระเบิด นึกว่าเป็นลูกค้าเหมือนคนอื่นๆ... ผมเข้าใจว่าแก๊สระเบิด และเขาคงได้รับบาดเจ็บด้วย”  เดวิด เล่าว่า เขาไม่เห็น อับเดสลาม เดินเข้าไปในร้าน และเชื่อว่าคนร้ายคงจะกดชนวนระเบิดขณะนั่งอยู่ที่เทอร์เรซ  “ที่ข้างลำตัวของเขามีแผลเปิดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร... พอผมเปิดเสื้อเขาและเห็นสายไฟ ก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว  ตำรวจบอกกับ เดวิด ว่า ระเบิดของ อับเดสลาม ยังทำงานไม่สมบูรณ์  ผมมาคิดๆ ดู ตอนที่พาเขามานอนกับพื้นและจะทำซีพีอาร์ให้ มันเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้พละกำลังพอสมควร ซึ่งถ้าผมทำ ผมอาจถูกระเบิดตายไปแล้วก็ได้”  

เอพี / เอเจนซีส์ / MGR online – อินโดนีเซียและมาเลเซีย ประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ที่สุด 2 อันดับแรกของโลกลงนามในข้อตกลงความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ในวันเสาร์ ( 21 พ.ย.) เพื่อจัดตั้งองค์กรซึ่งเป็นที่รวมของบรรดาประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรชนิดนี้ เลียนแบบกลุ่มโอเปกของวงการน้ำมัน หวังสร้างอำนาจในการเป็นผู้กำหนดราคาขายปาล์มน้ำมันในตลาดโลก ผ่านกลไกบริหารจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพ   ริซาล รามลี รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรของอินโดนีเซียเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวโดยระบุ สภาผู้ผลิตปาล์มน้ำมันโลกซึ่งจะมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียนี้ จะมีโครงสร้างองค์กรที่คล้ายคลึง กับกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือกลุ่ม โอเปกและว่า การถือกำเนิดขององค์กรที่เป็นศูนย์รวมของบรรดาประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันในครั้งนี้จะถือเป็น การพลิกเกมสำหรับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องประสบปัญหาราคาตกต่ำ ตลอดจน ถูกกล่าวหาจากบรรดานักสิ่งแวดล้อมทั่วโลกถึงวิถีการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันที่ไม่ยั่งยืน และสร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกด้วยวิธีการเผาป่า จนก่อให้เกิด วิกฤตหมอกควันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซ้ำซากทุกปี  น้ำมันทั่วโลก ถูกมองว่า เป็นความพยายามของทั้งสองประเทศในการแก้ปัญหาความไร้เสถียรภาพ ของราคาปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน  รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรแดนอิเหนายังระบุเพิ่มเติมว่า สภาผู้ผลิตปาล์มน้ำมันโลกยังจะมุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกให้กับบรรดาประเทศผู้ผลิตผ่านกลไกการทำ การเกษตรสีเขียวที่มีความยั่งยืน และจะมุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของบรรดาเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 4 ล้านคนที่ปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย รวมถึงอีกราว 500,000 คนในมาเลเซีย  ด้านอามาร์ อุงกาห์ เอ็มบาส รัฐมนตรีกระทรวงการเพาะปลูก อุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ของมาเลเซีย ออกโรงยืนยันในวันเสาร์ (21) ว่า สภาผู้ผลิตปาล์มน้ำมันโลกนี้จะมิใช่องค์กรที่มุ่งแต่กำหนดราคาโดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของฝ่ายผู้ผลิตแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะมุ่งเน้นการสร้างกลไกกำหนดราคาแบบยั่งยืน ที่จะส่งผลให้ทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ประโยชน์ร่วมกัน ผ่านการบริหารจัดการปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันที่มีความเป็นเอกภาพรัฐมนตรีกระทรวงการเพาะปลูก อุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ของมาเลเซียยังเผยด้วยว่า นอกเหนือจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรความร่วมมือนี้แล้ว จะมีการดึงประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วย เช่น ประเทศไทย บราซิล โคลอมเบีย ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี ยูกันดา ไนจีเรีย ไลบีเรีย และกานา  ในอีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า อินโดนีเซียและมาเลเซียตกลงจะสมทบเงินเข้าสู่องค์กรความร่วมมือใหม่ล่าสุดนี้ประเทศละ 5 ล้านดอลลาร์ในเบื้องต้นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานขององค์กร ขณะที่รายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ในการสถาปนาองค์กรนี้อย่างเต็มรูปแบบยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

(เครดิตอ้างอิง คัดลอกจากหน้าข่าว,แปลข่าวต่างประเทศ คอลัมน์ข่าวต่างประเทศ เว็บผุ้จัดการออนไลน์)