วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Trainspotting ทางเลือกของชีวิต ที่คุณคิดได้เอง

Trainspotting ทางเลือกของชีวิต ที่คุณคิดได้เอง


เหตุการณ์ที่เจ้าพ่อเพลงร็อคบ้านเรา อย่างเสก โลโซ เกิดมรสุมชีวิต งานเข้าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา กลายเป็น talk of the town กันไปร่วมอาทิตย์นึง สาเหตุที่มาที่ไปและเรื่องราวเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านคงพอจะรับทราบจากทางสื่อทุกประเภทดีอยู่แล้ว ผู้เขียนคงไม่ขอกล่าวถึงอีก แต่จากเหตุการณ์เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนคิดไปถึง ภ.ฮอลลีวู้ดเรื่องนึงที่เคยโด่งดังมากขึ้นมา และเป็นที่กลาวขวัญถึงทั้งในแง่นักวิจารณ์ และสายหนังอินดี้หรือหนังแนวล่ารางวัล เรื่องนั้นก็คือ Trainspotting จึงอยากหยิบเอาประเด็นของหนังเรื่องนี้มานำเสนอ ซึ่งก็เข้ากับสถานการณ์ของศิลปินร็อคท่านนั้นได้เป็นอย่างดี

ใบปิดของหนังเรื่อง Trainspotting มีคำโปรยว่า “เลือกชีวิต เลือกงาน เลือกบ้าน เลือกประกันสุขภาพฟัน เลือกชุดลำลองที่เข้ากันกับกระเป๋า เลือกอนาคต แต่ทำไม คนทุกคนถึงต้องทำแบบนั้นด้วยเล่า” นั่นเป็นประโยคเปิดหัวเรื่องของตัวละครเอกของเรื่องในหนัง ซึ่งตั้งคำถามถึงชีวิตในรูปแบบที่เขาไม่ต้องการจะเป็นและมี พร้อมๆ กับที่ขณะเดียวกัน เขาก็หันเข้าหายาเสพติด ทำให้การฉีดยาเข้าเส้นเลือดเป็นหลักชัยของการเกิดมาบนโลกใบนี้

เหตุการณ์ของหนังเรื่องนี้จะเกิด ณ กรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ หนังเล่าเรื่องชีวิตของ มาร์ค เรนตัน หรือ เร้นท์และบรรดาเพื่อนสุดเพี้ยนร่วมแก็งค์ของเขา ไล่ตั้งแต่ ซิกบอย คนบ้าหนัง, คนที่ดูจะเลื่อนลอยอยู่ตลอดเวลาอย่างสปั๊ด, นักฟุตบอลอย่างทอมมี่ และอันธพาลอย่าง ฟรานซิส เบ็กบี้ (คนนี้ไม่ติดยาแต่เสพการทำร้ายผู้คนแทน) เรนตันและเพื่อนๆ ของเขาตัดสินใจที่จะเลิกยา ซึ่งพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ หันมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป เรนตันพบว่าเขาพลาดสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “เซ็กส์” ว่าแล้วเขาก็ออกไปแสวงหาจนได้พบสมใจ แต่พอรุ่งเช้า เรนตันก็พบว่า ไดแอน หญิงสาวที่เขานอนด้วยเมื่อคืนนั้นเป็นเพียงผู้เยาว์ อีกทั้งเพื่อนๆ ก็เผชิญกับปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงเช่นกัน พวกเขาเลยตัดสินใจที่จะกลับมาเสพยาอีกครั้ง และเพื่อให้มีเงินมาเสพยาอีกครั้ง และเพื่อให้มีเงินมาซื้อเฮโรอีน เรนตันกับสปั๊ดจึงคิดสั้นร่วมกันขโมยของจากร้านค้า แต่ก็ไปไม่รอด ทั้งคู่ถูกจับ สปั๊ดติดคุกขณะที่เรนตันให้รอลงอาญา วันเดียวกับที่ฟังคำพิพากษาจากศาล เรนตันเกือบตายเพราะเสพยาเกินขนาด พ่อแม่เขาจึงไม่มีทางเลือกจำต้องขังลูกชายของเขาไว้ เพื่อให้เลิกยาแบบหักดิบ ซึ่งก็สำเร็จ เรนตันไป เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงลอนดอน และดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่แล้วเมื่อเบ็กบี้มาเยี่ยมเยียน เรื่องราวต่างๆ ก็ทำท่าว่าจะย่ำแย่ลงไปอีกครั้ง

ที่มาของชื่อเรื่อง Trainspotting นั้นปรากฏอยู่ในตัววรรณกรรม แต่ไม่ถูกนำมาบอกเล่าในหนัง กล่าวคือ ขณะที่เรนตันและเบ็กบี้ ไปเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ พวกเขาก็พบกับชายแก่คนหนึ่งที่กำลังเมามาย ซึ่งถามคนทั้งสองว่าเป็นคนที่สนใจในเรื่องราวของรถไฟรึเปล่า (Trainspotter หรือ Railfan) ทั้งสองเดินจากมา และเรนตันก็รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ชายขี้เมาคนนั้นเป็นพ่อของเบ็กบี้เอง



ตัวหนังสร้างจากวรรณกรรมชื่อเดียวกันกับหนัง โดยผุ้เขียนก็คือ เออร์วิน เวลช์ เป็นผลงานการกำกับของ แดนนี่ บอยล์ เป็นงานที่ส่งให้ผู้กำกับชาวอังกฤษคนนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้กับยวน แม็คเกรเกอร์ ที่รับบทเป็น มาร์ค เรนตัน ได้อย่างสมบทบาท อีกทั้งตัวหนังยังได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังคัลต์ (cult film) คลาสสิกเรื่องนึง แม้ว่าพล็อตเรื่องจะดูไม่มีอะไร แต่หนังเรื่องนี้มีจุดพิเศษก็คือ กลวิธีที่แดนนี่ บอยล์ใส่ลงไป ทั้งการใช้มุมกล้อง การใช้ภาพเหนือจริงแทนอาการหลอนของคนที่เสี้ยนยา และมุกตลกร้าย่ที่ถูกสอดแทรกอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการเล่าเรื่องราวที่มีสีสัน ลดทอนความเคร่งเครียดของประเด็นซีเรียสของหนังลงได้เยอะ ในขณะที่ทิศทางของหนังไม่ได้เสียหรือเป๋ไปเลย แม้หนังจะให้อารมณ์ในแบบสองแง่สองง่ามอยู่ตลอดเวลาทั้งในเรื่องการใช้ยาเสพติด เซ็กส์ และอาชญากรรม จนดูว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสนุกสนาน แต่ถ้ามองให้ดีแล้วนั้น Trainspotting ย้ำเตือนคนดูอยู่ตลอดเวลาว่า คนที่หันหน้าเข้าหาผงขาว ชีวิตของพวกเขาคาบเกี่ยวกับคำว่าหายนะ ชะตากรรมของพวกเขาจะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้องหาเงินมาเพื่อซื้อเฮโรอีนที่หามาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ความตายของเด็กทารกผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง และการก้าวพลาด พลาดโอกาสสิ่งดีๆ ในชีวิตไปอย่างมากมาย รวมไปถึงการติดเชื้อเอดส์ หนังพาเราไปพบกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต พาไปสำรวจความคิด,พฤติกรรมของคนที่ติดยา พร้อมทั้งบอกกับเราว่าการเป็นคนดี บางทีก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ลำบากเสียจนเกินความเป็นมนุษย์จะทำได้ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกที่จะทำและเลือกที่จะเป็นหรือไม่ ก็แค่นั้น


บทเกริ่นนำ(อารัมภบท) ในหนังสือนวนิยายที่ชื่อ Trainspotting

ประวัติความเป็นมาของผู้เขียน เออร์วิน เวลช์ (Irvine Welsh) เกิดที่มูร์เฮ้าร์ส นอกเขตเมืองเอดินเบิร์ก ในปี 1961 ท่ามกลางความทุกข์ยากจากภาวะเศรษฐกิจขาลง ก่อให้เกิดความแร้นแค้น และภาวการณ์ว่างงานในทุกเขตพื้นที่ ชีวิตของเวลช์ระหกระเหินเดินทางอยู่แทบจะตลอดเวลา ผ่านประสบการณ์มาแล้วทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่การเป็นช่างซ่อมทีวี พนักงานเสิร์ฟ นักดนตรี ดีเจ จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้ค้นพบเส้นทางที่ตนเองปรารถนา เส้นทางนั้นคือ การมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียน

เออร์วิน เวลช์ เริ่มต้นงานเขียนของเขาด้วยการส่งเรื่องสั้นไปยังสนามต่างๆ ในนิตยสารแทบจะทุกเล่มที่รับงานของนักเขียนสมัครเล่น เพียงไม่นานทุกสนามต่างถูกเขายึดหัวหาดได้ในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน เวลช์กลายเป็นนักเขียนเรื่องสั้นขาประจำสำหรับสนามหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร Rebel Inc., Edinburgh Magazine, West Coast Magazine ฯลฯ เรื่องสั้นของเขาต่างได้รับการกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างดี

ความสำเร็จครั้งสำคัญของเวลช์เกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อนวนิยายเรื่องแรกที่ชื่อ Trainspotting ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ด้วยการเป็นนวนิยายที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและทรงพลังอย่างที่สุดในการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปในสังคมและวาทกรรมแห่งชีวิต เพียงไม่นาน นวนิยายเรื่องนี้ก็เข้ายึดกุมหัวใจคนหนุ่มสาวจำนวนมากทั่วโลก Trainspotting ถูกคัดเลือกให้เข้าสู่รอบสุดท้ายในการพิจารณาให้รางวัลบุ๊คเคอร์ไพรซ์ (Booker Prize) พร้อมๆกับทำรายได้ถล่มทลายด้วยยอดขายกว่า 5 ล้านเล่ม ก่อนจะลงเอยขยายฐานความสำเร็จไปสู่ภาพยนตร์ เมื่อนวนิยายเรื่องแรกของเขาเรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน และประสบความสำเร็จทั้งในแง่คุณภาพและรายได้ไม่ต่างกัน

เวลช์มีผลงานตามมาอีกหลายเรื่องและหลากหลายประเภท ทั้งรวมเรื่องสั้น,เรื่องสั้นขนาดยาว บทละครและนวนิยาย ผลงานแต่ละชิ้นต่างได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผลงานที่น่าจับตามองได้แก่ งานรวมเรื่องสั้นในยุคแรกๆที่มีชื่อว่า The Acid House(1994) และ Glue(2001) นวนิยายที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของยุคสมัยและช่วงวัยของผู้คน ก่อนจะกลับมาใช้ตัวละครชุดเดิมอีกครั้ง ในนวนิยายที่เป็นภาคต่อของ Trainspotting ซึ่งมีชื่อว่า Porno ปัจจุบันเออร์วิน เวลช์ ใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน เพื่อสร้างสรรค์งานเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ และมีผลงานตามออกมาอีก

ย้อนไปในปี 1997 ความพยายามที่จะลงหลักปักฐานให้กับชีวิตอันลุ่มๆ ดอนๆ บนความใฝ่ฝันที่จะทำมาหากินในอาชีพนักเขียนนวนิยายของเออร์วิน เวลช์ ก็จบลงตรงที่นวนิยายเรื่องหนึ่งซึ่งรวมเอาประสบการณ์ผ่านบันทึก และเรื่องสั้นมากมายที่ได้รับการตีพิมพ์มาก่อนหน้า ผสานรวมกันเป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวที่มีความเป็นเอกภาพและมีอัตลักษณ์ตามแบบอย่างของวรรณกรรมร่วมสมัย ทุกอย่างต่างรวมกันอยู่ในนวนิยายที่ได้รับการยกย่องอย่างไม่กลัวหน้าแตกจากนิตยสาร Rebel Inc. ว่า “สมควรจะขายดีกว่าไบเบิ้ล” เรื่องนี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นในปรากฏการณ์ความโด่งดังของ Trainspotting

เวลช์ เริ่มต้นนวนิยายเรื่องแรกของเขาด้วยการตีแผ่ความเป็นไปของวิถีชีวิตของคนชายขอบในสก็อตแลนด์ยุคร่วมสมัย ก่อนจะขยายและกินความเลยไปถึงความเป็นไปของโลกที่หลงใหลในค่านิยมจอมปลอม ภาวะการหลอนและลวงตัวตนของคนยุคปัจจุบัน การยึดติดกับรูปธรรมอันไม่จริง ตลอดจนภาวะ ”ติดกับ” ที่จุดศูนย์องศาของการมีชีวิต ทุกอย่างถูกร้อยเรียงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างจริงจังด้วย กลวิธีและท่าทีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เผ็ดร้อน รุนแรง เหน็บแนม เสียดสีหยิกกัด และแดกดันอย่างชนิดที่เรียกว่า “เอาเป็นเอาตาย” ผลลงท้ายแม้มิใช่ยอดขายที่เกินหน้าไบเบิ้ล แต่ทว่า มันก็ขายดิบขายดีเป็นปรากฏการณ์ และจากการเข้าถึงสภาวะความเป็นไปและสภาวะจิตใจของผู้อ่านอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้ Trainspotting กลายเป็นนวนิยายที่ได้รับการจับตามองเพียงชั่วข้ามคืน กระนั้น ในแง่คุณภาพงาน นวนิยายที่ว่าด้วยพฤติกรรมแปลกประหลาดของก๊วนขี้ยาแห่งย่านลีทธ์ เมืองเอดินเบิร์กเรื่องนี้ ก็มีคุณสมบัติความโดดเด่นไม่แพ้กัน เมื่อ Trainspotting สร้างข้อพิสูจน์ความเด่นล้ำของตัวเองด้วยการทะยานไปสู่การช่วงชิงรางวัลบุ๊คเคอร์ ไพรซ์ ในรอบ 5 เล่มสุดท้ายอย่างเต็มภาคภูมิ นวนิยายเรื่องนี้จึงถึงพร้อมไปด้วยการเข้าถึงผู้คนกลุ่มใหญ่ กับคุณภาพในตัวมันเองที่ไม่เป็นสองรองใคร

สิ่งทั้งหมดข้างต้นล้วนเกิดขึ้นก่อนที่ตัวละคร สถานการณ์ และบางประเด็นความคิดจะได้รับการถ่ายทอดสู่แผ่นฟิล์ม ดังนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าตัวหนังกับนวนิยายจะมีหลายๆ ส่วนหลายๆ สิ่งที่แตกต่างกัน

(ถอดความบางส่วนจากบทความ Trainspotting จะเลือกหรือไม่ ,พรทิพย์ แย้มงามเหลือ, Entertrend, Bizweek :; Trainspotting ฉบับแปลไทยโดย วิภาศิริ ฮวบเจริญ ,สนพ.Blackberry Publishing )


ผู้เขียนรู้จักและได้รับชมหนังเรื่องนี้ภายหลังจากที่มันได้กลายเป็น DVD แล้ว และซื้อหนังสือที่เป็นนวนิยายฉบับแปลไทยมาไว้อ่านด้วย จากความที่มันโด่งดังและกระแสการตอบรับที่ดีมากทั้งตัวหนังและหนังสือ ในนวนิยายผู้อ่านจะได้รับรายละเอียดปลีกย่อยที่ครบถ้วนสมบูรณ์กว่าในหนังมาก แต่ตัวหนังก็สามารถจับเอาประเด็นสำคัญๆมาถ่ายทอดได้เป็นอย่างดีโดยไม่เสียอรรถรส ลงตัวทั้งการแสดงและบทภาพยนตร์ ซึ่งการันตีจากรางวัลบุ๊คเตอร์ไพร์ซดีอยู่แล้ว เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่สร้างจากนวนิยายแล้วทำได้ดี บทประพันธ์ไม่เสีย แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนหยิบเอาเรื่องนี้มานำเสนอน่าจะเป็นที่การนำเสนอประเด็นปัญหาของเรื่องที่ร่วมสมัย สะท้อนสังคมปัจจุบันเป็นอย่างดี คือหนังออกฉายปี 1996 แต่ดูตอนนี้ก็ไม่รู้สึกว่าล้าสมัย ประเด็นเรื่องยาเสพติด การมีเซ็กส์แบบไม่วางแผน อาชญากรรมที่ตามมาภายหลังจากการติดยาหรือไม่มีเงิน การหาทางออกของตัวละคร มิตรภาพความเป็นเพื่อนกับการเลือกอนาคตของชีวิตตัวเอง การนำเสนอประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ถูกลดทอนความเครียดมาในรูปของ bad comedy คือตลกร้ายหรือมุกตลกเสียดสีสังคม แทนที่จะนำเสนอในรูปแบบดราม่าจริงจัง ผู้เขียนคิดว่าถ้าผู้กำกับเลือกที่จะนำเสนอเป็นหนังดราม่า ตัวหนังอาจไม่ได้รับการตอบรับดีเท่าที่เป็นอยู่ ความน่าสนใจก็อาจอยู่ในวงจำกัด ภาพสะท้อนของกลุ่มคนเล็กๆ ในสังคมที่ดูว่าเจริญทางวัตถุมากๆ อย่างประเทศอังกฤษ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสังคมชนชั้นผู้ดี ก็ยังมีมุมเลอะเทอะ เละเทะ เหลวแหลก มานำเสนอในทุกแง่มุมอย่างละเอียดรอบด้าน แต่การนำเสนอของเขากลับนำเสนอแบบนอกกรอบ มองโลกในแง่บวก และสุดท้ายก็ยังทิ้งปริศนาเอาไว้ว่า คนเรายังมีความหวังในชีวิตและอนาคตที่เลือกเองได้ แม้เราจะก้าวพลาดไปในทางที่ผิดแล้ว ถือว่าเป็นการเดินหลงทางที่คิดเสียว่าทำให้เสียเวลา เสียโอกาสดีๆในชีวิตไป เสียสุขภาพ แต่ถ้ากลับตัวกลับใจได้ ทำไมเราถึงไม่เดินกลับมาสู่เส้นทางที่ดี ที่ควรจะเป็นหล่ะ เพราะโชคชะตาก็ให้โอกาสมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว...หรือไม่จริง



ประวัติและผลงานของผู้กำกับ

Daniel "Danny" Boyle (born 20 October 1956) is an English filmmaker and producer. He is best known for his work on films such as Slumdog Millionaire, Shallow Grave, 127 Hours, 28 Days Later, Sunshine and Trainspotting. For Slumdog Millionaire, Boyle won numerous awards in 2008, including the Academy Award for Best Director. Boyle was presented with the Extraordinary Contribution to Filmmaking Award at the 2008 Austin Film Festival, where he also introduced that year's AFF Audience Award Winner Slumdog Millionaire. On 17 June 2010, it was announced that he will be the Artistic Director for the 2012 Olympic games opening ceremony.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น