วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บาป 10 ประการ ที่เกิดขึ้นในประเทศสาระขัณฑ์

1.รวบรวมจารชนจากทุกสาขาอาชีพโดยเฉพาะนักธุรกิจ พ่อค้า นักเลง อดีตนายทหาร นายตำรวจ ข้าราชการเก่า มาจัดตั้งบริษัทการเมือง เพื่อทำธุรกิจการเมือง ในนามของพรรคการเมือง เพื่อจุดมุ่งหมายคือเข้าสู่อำนาจให้ได้ เพราะต้องการหาผลประโยชน์จากเงินงบประมาณของแผ่นดิน ผ่านการทุจริตคอรัปชั่น ทุจริตเชิงนโยบาย หรือสร้างโปรเจ็คท์ต่างๆ โดยกำหนดเป็นนโยบายบ้างหรือโครงการต่างๆ เพื่อตอบสนองนโยบายที่ได้วางไว้แต่แรกแล้ว จากนั้นก็จะมีการจัดซื้อจัดจ้าง มีการล็อคสเป็ค กินหัวคิว ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน บางคนตั้งบริษัทขึ้นมาโดยใช้นอมินีบังหน้า เพื่อมารับงานของทางราชการอีกที ซึ่งตัวเองเป็นคนเซ็นอนุมัติโครงการประมูลเหล่านั้นก็มี ส่งคนของตัวเองไปนั่งเป็นบอร์ดในรัฐวิสาหกิจ หรือในองค์กรอิสระ องค์การมหาชนต่างๆ เพื่อจะได้มีส่วนในผลประโยชน์และรับรู้ข้อมูลเบื้องลึกอันจะเป็นประโยชน์ต่อการแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ ที่เรียกว่าธุรกิจการเมือง โดยใช้ประชาชนเป็นฐานบันได เป็นเพียงเครื่องมือ ข้ออ้าง หรือแม้แต่กระทั่งเป็นเหยื่อทางการตลาดเท่านั้น ซึ่งยุคหลังๆ ที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือนโยบายประชานิยมและตามมาด้วยโครงการประชานิยม และงบประมาณต่างๆ อันเกิดจากนโยบายประชานิยมเหล่านั้น


2.ออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย หรือแม้กระทั่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อมารับใช้ หรือตอบสนองผลประโยชน์ของนักการเมืองเหล่านั้น โดยอ้างว่าเป็นผลประโยชน์ของประชาชน รวมถึงการเข้าไปแก้ไขสัญญาของภาครัฐกับเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายผลประโยชน์สัมปทาน ภาษี ที่จะต้องให้กับรัฐ มีการเปลี่ยนแปลงให้ลดลง หรือเปลี่ยนแปลงสารัตถะ ไปเป็นการจ่ายแบบรูปแบบอื่นที่ทำให้ค่าใช้จ่ายหรือรายจ่ายลดลง ทำให้กระทบต่อผลประโยชน์หรือรายได้ที่จะเข้ารัฐ เช่น กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือของค่ายยี่ห้อนึง ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจรัฐ ที่ทำให้จ่ายค่าสัมปทานลดลง กรณีเรียกได้ว่าเป็นกรณีศึกษาที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองที่ชัดเจนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสาระขัณฑ์

3.ใช้เงินซื้อเสียง ซื้อใจ ซื้อจิตวิญญาณ คนในหลายภาคส่วนมาเป็นพวกตน จัดตั้งกลุ่มก้อน ลัทธิทางการเมือง มาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวงานมวลชนนอกรัฐสภา โดยอ้างว่าเป็นภาคประชาชนที่ไม่ได้จัดตั้ง เป็นชาวบ้านโดยบริสุทธิ์ที่มาสนับสนุนพรรคการเมืองเหล่านั้นจริงๆ เครือข่ายที่เขาต้องการซื้อมีตั้งแต่ อดีตนักการเมืองที่มีฐานคะแนนเป็นของตนเอง เป็นส.ส.หลายสมัย อดีตนายทหารใหญ่ๆ ทนาย อดีตผู้พิพากษา อัยการ ส.ว. นักการเมืองท้องถิ่น(หัวคะแนน,อบต.กำนัน,ผู้ใหญ่บ้าน) พ่อค้า นักธุรกิจ นักเลงหัวไม้ มือปืน ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น นักวิชาการ สื่อมวลชน บุคคลผู้เป็นผู้นำในองค์กรอิสระ ผู้นำแรงงาน ผู้นำม็อบหรือกลุ่มสมัชชาต่างๆ แม้กระทั่งดารา (Celeb) ฯลฯ มาเป็นพวกตน แล้วอาศัยเครือข่ายบุคคลเหล่านี้ ร่วมเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวออกหน้าแทน ในการสนับสนุนการกระทำของนักการเมือง หรือพรรคการเมืองเหล่านั้น โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชนโดยส่วนใหญ่ที่เลือกเขาเข้ามา ไม่ว่าการกระทำหรือกิจกรรมเหล่านั้นจะผิดต่อหลักนิติธรรม ครรลองคลองธรรม ศีลธรรมบรรทัดฐานของสังคม อย่างไรก็ได้ โดยไม่แคร์ต่อคำครหาของสังคมหรือสื่อมวลชน ขอให้บรรลุเป้าหมายที่เขาตั้งหวังเอาไว้ โดยใช้กลไกทั้งในสภาและนอกสภา บางครั้งถ้ากลไกในสภาไม่สำเร็จผล ก็จะใช้กลไกนอกสภาเป็นตัวกดดันแทน เพื่อหวังให้สังคม ประชาชนโดยส่วนใหญ่ต้องยอมรับไปด้วย

4.พอโดนจับได้ไล่ทัน จนมุมต่อหลักฐานทุจริต ติดสินบน ถูกฟ้องในคดีฉ้อฉล ทุจริตมากมาย คอรัปชั่นในหลายๆ กรณี ก็จะจัดจ้างทีมทนาย (ขายตัว,เนติบริกร)มาต่อสู้คดี เล่นลิ้น ตลบตะแลง เป็นศรีธนญชัยหาช่องโหว่ในทางกฎหมายมาต่อสู้คดีให้พ้นผิด พอประชาชนภาคส่วนอื่นที่ไม่ได้สนับสนุน ออกมาชุมนุมต่อต้าน เรียกร้องความเป็นธรรม ความไม่โปร่งใส เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการทุจริตและการใช้อำนาจรัฐไปในทางไม่ถูกต้อง ก็จะถูกกลั่นแกล้ง ถ้าเป็นสื่อมวลชนก็จะถูกสั่งปิดปาก ห้ามแฉ ถ้าแฉก็จะโดนถอดรายการหรืองดโฆษณา (ดังกรณีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดรายการจากช่อง 9 แบบฟ้าผ่า โทษฐานไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้น) ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาหรือภาคประชาชน ก็จะใช้กองกำลัง ชายฉกรรจ์ที่ไปจัดตั้งหรือซื้อมาตามข้อ 3 ไปบังคับข่มขู่ คนที่ออกมาต่อต้าน หรือบางครั้งถึงกับไปลงไม้ลงมือ ใช้กำลังประทุษร้าย ทำร้ายร่างกายคนที่ถูกหมายหัวเอาไว้ว่ามีพฤติกรรมเป็นปรปักษ์จากระบอบอำนาจชั่วเหล่านั้น ตัวอย่างของกรณีนี้ก็คือ กรณีโอ๋ สืบ 6 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ของประชาชนหรือนี่) ไปลงมือลงไม้กับชายชรา ที่มาชุมนุม หรืออย่างกรณีกองกำลังของลัทธิคลั่งความรุนแรง ไปปิดล้อมสื่อมวลชนรายหนึ่งบริเวณย่านบางนา ซึ่งเป็นการคุกคามสื่ออย่างชัดเจนในยุคนั้น พอโดนทหารทำการรัฐประหารในเวลาต่อมาก็โกรธแค้น ด่าทอทหาร ด่าทอผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ (ซึ่งพยายามทำให้คลุมเคลือโดยไม่รู้ว่าหมายถึงใคร) ด่าทอขุนนางที่เรียกว่าอำมาตย์ สร้างวาทกรรมแปลกๆ เช่น 2 มาตรฐาน ไพร่กับอำมาตย์ ปากก็เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยปาวๆๆ แต่พฤติกรรมกลับไม่ต่างจากลัทธินาซี ของฮิตเล่อร์ คือนิยมความรุนแรง ใครเป็นปรปักษ์ก็จะส่งคนไปทำร้าย เช่น การชุมนุมของภาคประชาชนส่วนอื่นๆ ที่เป็นปรปักษ์ของระบอบอำนาจชั่วก็จะส่งมือดีไปยิงจรวด M79 เข้าไปกลางวงชุมนุมทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมบาดเจ็บ ล้มตาย และหวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาชุมนุม ซึ่งเป็นแผนสกัดคนที่จะมาเข้าร่วมชุมนุมต่อต้าน แล้วก็จะอ้างว่าคนที่มาทำร้ายเป็นพวกมือที่สาม รัฐบาลในระบอบอำนาจชั่วไม่เกี่ยว

5.สมคบคิดกับต่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศมาย่ำยีประเทศสาระขัณฑ์ ซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน มีการตกลงแบ่งผลประโยชน์กันอย่างลงตัว ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติไม่ใช่ผลประโยชน์ที่จะไปแบ่งกันเป็นการส่วนตัวได้ และการเจรจาต้องแบ่งผลประโยชน์กันอย่างยุติธรรมบนเงื่อนไขของความเท่าเทียม ถูกต้องของหลักเขตแดน และจะต้องโปร่งใส ประชาชนต้องตรวจสอบได้ แต่ผู้มีอำนาจในระบอบอำนาจชั่วร้ายนั้น กลับไปมุบมิบทำกันอย่างลับๆล่อๆ และนำผลประโยชน์ของประเทศไปเป็นของส่วนตัวและไปทำข้อตกลงลับๆ แบ่งผลประโยชน์กันระหว่างผู้มีอำนาจของ 2 ประเทศ แต่ประชาชนและประเทศชาติเสียเปรียบไม่ได้ผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งการนำเอาผลประโยชน์ของประเทศไปแลกเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวนี้นำมาซึ่งหายนะต่างๆมากมายกับประเทศ เช่น การที่ยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านคู่กรณีนี้รุกล้ำดินแดนอธิปไตยของชาติเข้ามากินแดนล้ำอาณาเขตประเทศเข้ามามากและเป็นการถาวร สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน ทำให้ประชาชนที่เคยตั้งรกรากอยู่บริเวณนั้นมาเก่าก่อนได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส โดยรัฐบาลก็ไม่เคยเหลียวแล อีกทั้งยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านคู่กรณีจับคนสาระขัณฑ์ในดินแดนสาระขัณฑ์ไป โดยอ้างว่าบุกรุกดินแดนเขา ทั้งๆที่อยู่ในผืนดินของสาระขัณฑ์เอง โดยที่รัฐบาลก็ไปยินยอมตามประเทศเพื่อนบ้านนั้น อีกทั้งยังนำพาประเทศไปเข้าสู่กระบวนการของศาลโลก มรดกโลก ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ามีประเทศมหาอำนาจหนุนหลังอยู่และประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นก็ให้การสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านคู่กรณีมากกว่าเรา เพราะล้วนมีผลประโยชน์ในอาณาดินแดนเหล่านั้น และหวังในผลประโยชน์ด้านพลังงานแทบทั้งสิ้น ล่าสุดยังเปิดประเด็นใหม่เปิดทางให้กับต่างประเทศ ทั้งอเมริกาและ UN มาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเรา แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของเรา จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม กรณีนี้ถือว่าเข้าข่ายมีเจตนาจงใจจะให้เป็นเช่นนั้น ได้ปลุกประเด็นเรื่องการยกเลิกรัฐธรรมนูญในมาตรา 112 มาก่อนหน้าเป็นระลอกอย่างต่อเนื่องในหลายๆ กรณีต่างกรรมต่างวาระ ที่เกี่ยวกับหมวดการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ กับกรณีอื้อฉาว คดี sms อากง ที่ถูกศาลตัดสินว่าผิดและโดนลงโทษจำคุก 20ปี และอ้างว่าเป็นการลงโทษเกินกว่าเหตุ มีการปลุกกระแสประเด็นเรื่องนี้ทั้งประเด็นย่อยคือเรื่องอากง ซึ่งโยงไปสู่ประเด็นหลัก คือ ต้องการให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ถ้าหากระบอบอำนาจชั่วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำไมกรณีนี้ กระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ที่จะตอบโต้เรื่องนี้ออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา และ UN เพราะกรณีนี้ถือได้ว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอย่างหน้าด้านๆ และยิ่งการมากล่าววิพากษ์วิจารณ์ให้ยกเลิก ม.112 ในรัฐธรรมนูญของสาระขัณฑ์ ซึ่งเป็นหมวดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ว่าประเทศนี้จะไม่มีกฎหมายในหมวดนี้เลยก็ตาม แต่สถาบันกษัตริย์ก็ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติ ของประชาชน ผู้ใดจะมาละเมิดมิได้ นี่เป็นเสียยิ่งกว่าวัฒนธรรม รากเหง้า วิถีชีวิต จิตวิญญาณของเรา ต่างชาติมีสิทธิอะไรมาชี้นำ หรือมายุ่งอะไรด้วย คือถ้าเขาไม่รู้จริงๆ ในข้อนี้ก็ควรจะชี้แจงออกไปให้รับทราบ และถ้าเป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ่าอยู่หัวอย่างแท้จริงแล้ว เขาจะต้องตอบโต้ออกไปอย่างทันควันแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้ภาคประชาชนออกแถลงการณ์ตอบโต้แทน อย่างในกรณีของกลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มประชาชนชาว social network ร่วมกันเข้าไปต่อว่าแสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อน ท่วมท้นใน facebook ของสถานฑูตอเมริกา โดยที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ที่รักสถาบัน รักชาติจะไม่มีใครยอมเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว ผู้เขียนขอย้ำว่ากรณีนี้ต้องออกแถลงการณ์ตอบโต้และประณามการกระทำของสหรัฐและ UN ด้วยซ้ำ

6. ทำทุกอย่างให้สามารถชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล เพื่อจะกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ในช่วงที่ถูกรัฐประหารไปแล้ว ในตอนแรกเมื่อรู้ว่ามีรัฐบาลชั่วคราวมาปกครองแล้วไม่จัดการขุดรากถอนโคนระบอบอำนาจชั่วนี้เสีย ทำให้เหิมเกริมได้ใจ จึงใช้กลไก เครื่องมือที่มีอยู่ ก็คือลัทธินิยมความรุนแรงออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมกดดัน ให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ให้ยกเลิกอำนาจพิเศษ องค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาระหว่างการรัฐประหาร เช่น คตส. เพราะมาตรวจสอบความผิดของตัว จนต้องเข้าสู่คดีและอำนาจของตุลาการ จนเป็นที่มาที่ทำให้ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ เพราะไม่อยากติดคุก และก็ถูกศาลอายัดเงินสดกว่า 4หมื่นกว่าล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน ทำให้โกรธแค้นและต้องการอยากจะได้เงินสดคืน รวมถึงล้างความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัว จึงต้องทำทุกวิถีทางให้ชนะเลือกตั้ง และพอเมื่อชนะเลือกตั้งกลับมาได้อย่างถล่มทลายแล้วก็ยังมีพฤติกรรมแบบเดิมๆ คือ ทุจริตคอรัปชั่น แก้ไขกฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ ซื้อคนมาเป็นพวก ใครเป็นปรปักษ์ก็ส่งคนไปข่มขู่ รังแก ทำร้าย และเมื่อนายกนอมินีถูกตัดสินให้มีความผิดจนต้องหลุดจากตำแหน่ง ต่อมาดันญาติอีกคนขึ้นมามีอำนาจได้ไม่นานก็ถูกศาลตัดสินในคดียุบพรรค เนื่องจากถูกฟ้องว่ากรรมการบริหารพรรคคนหนึ่งให้สินบนหรือซื้อเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีหลักฐานพยานชัดเจน จนทำให้ศาลตัดสินยุบพรรค จนต้องมีการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาลมาเป็นคู่แข่งทางการเมืองขึ้นมาแทน อันนี้จึงเป็นที่มาของการชุมนุมประท้วงต่อต้าน ขับไล่รัฐบาล ปิดสี่แยก มีกองกำลังคนชุดดำแอบแฝงในม็อบ ยิงทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร มีการปิดถนน สร้างบังเกอร์ สร้างชุมชน เมืองชั่วคราว ประกาศเป็นอาณาเขตอิสระปกครองตนเอง ทำราวกับประเทศไม่มีขื่อไม่มีแปร บุกโรงพยาบาล ตรวจรถยนต์ของประชาชนที่จะขับผ่านทาง มีการปาระเบิด ยิงทำร้ายประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีการเผายางรถยนต์ที่ขนเข้ามาในย่านใจกลางเมือง โดยมีการเตรียมการไว้อยางเป็นระบบ มีการบัญชาการจากนักโทษหนีคดีตัวพ่อที่อยู่เมืองนอก โดยโฟนอินเข้ามาในที่ชุมนุมทุกวันๆ โดยอ้างว่าหากประชาชนโดนทำร้ายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ จะมานำการชุมนุมด้วยตัวเอง จนป่านนี้ยังลอยละล่องเป็นสัมพเวสีอยู่ต่างแดนอยู่เลย ไม่กล้าจะกลับมา สุดท้ายมีการบงการขั้นสุดท้ายในช่วงที่ทหารเผด็จศึกม็อบด้วยการสั่งเผาห้าง ในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองนั่นแหละ ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่เห็นอเมริกาหรือ UN มันจะประณามผู้ชุมนุมเลย อย่างนี้เรียกว่าการชุมนุมโดยสงบหรือว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์หรือ ทำไมคุณพ่อท่านอเมริกาไปหลับหูหลับตาอยู่ที่ไหน ทีอย่างเรืองแบบนี้ทำไมถึงไม่มาแทรกแซงกิจการภายในบ้านเราหล่ะ นี่แหละทำให้เห็นจุดยืน ธาตุแท้ของมหาอำนาจอย่างอเมริกาได้เป็นอย่างดี

7.เมื่อใช้ความรุนแรงและได้เข้าสู่อำนาจแล้ว แต่ยังไม่สามารถชนะใจคนชั้นกลางและคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ จึงเปลี่ยนแผนมาเป็นใช้กระบวนการบ่อนทำลายสถาบัน หรือล้มเจ้าในความหมายของกลุ่มต่อต้านระบอบอำนาจชั่ว เพราะเขารู้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประเทศนี้ ถ้าหากเขาจะชนะได้อยางเบ็ดเสร็จก็คือทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาสถาบันพระมหากษัตริย์ และเกลียดสถาบันพระมหากษัตริย์ กรณีนี้ก็อย่างเช่น ดา ตอร์ปิโดในที่สุดก็แพ้คดีต้องถูกศาลตัดสินจำคุก 15 ปี ในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือคดีอากง ก็เช่นเดียวกัน ก็ถูกศาลตัดสินแล้ว ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกัน
รวมถึงในกรณีของการออกมาประท้วงของคอลัมนิสต์สาวชื่อดัง พิธีกร และนักเขียน ที่ชื่อนางสมทรง (เมียไอ้ฟัก) นั่นแหละ ซึ่งทำให้ในโลก social media ฮือฮา เข้าไปด่ากันอย่างมากมาย ก็ล้วนเป็นกระบวนการเดียวกัน ซึ่งก็เกี่ยวโยงกับกรณีที่กลุ่มนิติราษฏร์ ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการล้มล้างผลจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และพูดไปถึงรัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ทำการอภิวัฒน์ประเทศในช่วงปี 2475 ด้วย ที่เกี่ยวกับบทบัญญัติเรื่องการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ทั้งหมดนี้ผู้เขียนคิดว่ามีการเขียนบทโดยมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ขอบอกว่าบทหนังเรื่องนี้เขียนออกมาไม่สนุก ไม่เนียน และสตอรี่ธรรมดา แต่พล็อตเรื่องจับทางได้ คนเขียนบทสาระเลวมากนะ ทีหลังอย่าทำอีกนะ เพราะไมมีใครยอมให้หนังคุณฉาย หรือทนดูได้อยู่แล้ว

8.และเมื่อเล่นไม้แข็งยังไม่สำเร็จ จึงลองวิธีใช้ไม้นวมดูบ้าง เดินแผนปรองดอง ซึ่งจริงๆ ก็เริ่มคลำทางมาตั้งแต่ก่อนหน้าจะชนะเลือกตั้งหนล่าสุดแล้วนะ จำอีตาแก่ชาละวันที่เป็นผุ้กว้างขวางอยู่ที่พิจิตรได้มั๊ย เดินสายปรองดอง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อทุกกลุ่ม จากนั้นก็บินไปรายงานความคืบหน้าที่ดูไบ โดยแกล้งไปเจอกันโดยบังเอิญที่ศรีลังกา (จ๊ะเอ๋) เขาทำในฐานะอะไรไม่ทราบ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นยังเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลอีกขั้วนึงด้วยซ้ำ อีกทั้งตนเองเป็นผู้มีอำนาจในภาครัฐแต่กลับไปเจรจากับนักโทษหนีคดี แทนที่จะไปเจรจาให้เข้ามอบตัวกลับมารับโทษ แต่กลับไปเจรจาทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์แอบแฝง จากนั้นพอเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลโคลนนิ่งของระบอบอำนาจชั่ว ก็หายไปเลย ไม่มีบทบาท กลายเป็นมีตัวละครอื่นขึ้นมาแทน ได้แก่ บิ๊ก (อาบัง) ที่เคยเป็นผู้ก่อรัฐประหารโค่นล้มอำนาจระบอบอำนาจชั่ว มาทำหน้าที่เดินสายปรองดองแทน ซึ่งประชาชนก็มึนตึ๊บเลย ทั้งงง ทั้งเศร้า ทั้งสมเพชกับชะตากรรมของตัวเขาและบ้านเมืองจริงๆ ทำไมคนๆ นี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ จากกรรมการห้ามมวยกลายมาเป็นลูกหาบของนักชกมุมแดงไปได้ยังไงเนี่ย หรือผีบ้าเข้าสิงบังตา จนต้องเรียกริว จิตสัมผัสมาช่วยดูหน่อยแล้วว่าวิญญาณชั่วอะไรเข้าสิงแกหรือเปล่า แผนการปรองดองนี้คือต้องการล้มกระดาน คืออภัยโทษให้กับนักโทษทางการเมืองทุกกลุ่ม ทุกสี และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงผู้มีอำนาจสั่งการ ในเหตุการณ์ทางการเมืองย้อนหลังไปถึงปี 2549 ซึ่งเป็นเพียงเหยื่อล่อ เพราะเป้าประสงค์ใหญ่ก็คือต้องการนิรโทษกรรมแก่นักโทษหนีคดีผู้นั้น ผู้เขียนอยากจะหยิบยกเอาคำปรารภของเสด็จพ่อ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ อัญเชิญมากล่าวไว้ ณ ที่นี้เพื่อเตือนใจคนไทยหรือใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในการทำร้ายทำลายบ้านเมืองให้จงระวังเอาไว้ให้ดี ดังนี้

บันทึกของเสด็จใน

กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์



เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า

"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"

ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า

แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้

ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม

จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว

ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม

อันเป็นที่รักของกู

ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"

ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู

ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

จากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

9.แผนการอภัยโทษ นิรโทษกรรม ให้กับเจ้าลัทธิระบอบอำนาจชั่ว โดยอาจจะออกเป็น พรบ.แทน ภายหลังจากแผนภารขออภัยโทษในช่วง 5 ธันวา โดยออกเป็น พรฏ ไม่สำเร็จ โดยครั้งนี้ก็จะใช้วิธีเอาพวกมากลากไป กดขี่ด้วยกำลัง ไม่ให้ใครมาเป็นปรปักษ์ขัดแย้งได้ แต่หากมีก็จะใช้มวลชนจัดตั้งลัทธินิยมความรุนแรงเข้าไปเคลื่อนไหวจัดการหรือเผชิญหน้ากับพวกคัดค้าน ต่อต้าน หรือเป็นปรปักษ์ โดยไม่กลัวคำครหานินทา หรือไม่สนใจหลักนิติรัฐ นิติธรรม จรรยาบรรณ ใดๆ ที่ใครๆ จะอ้าง เพราะมันเป็นมาตรฐานของฉัน ใครไม่เห็นด้วยไม่สน แต่หากฉันทำไม่ได้ คนอื่นทำถูก ฉันจะบอกว่าเป็น 2 มาตรฐานทันที การคุกคามอำนาจตุลาการ หรือบรรทัดฐานการตัดสินคดีของศาล ถูกคุกคามหนักในยุคนี้ โดยอ้างเรื่องมาตรฐานการตัดสินที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยไม่ได้ไปดูว่ามูลเหตุแห่งคดี หรือเจตนาการกระทำผิดกฏหมายต่างกรรมต่างวาระนั้นอยู่บนพื้นฐานเดียวกันหรือไม่ ไม่ต่างอะไรกับขี้แพ้ชวนตี หรือพวกอันธพาลชอบหาเรื่อง และก็ควบคู่ไปกับอำนาจตุลาการ คืออำนาจทหาร ก็ถูกบ่อนทำลายโจมตีอย่างเป็นกระบวนการมากในยุคนี้ มีการสร้างกระแส วาทะกรรมเรื่องทหารฆ่าประชาชน ทหารต้องการทำปฏิวัติรัฐประหาร อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดหย่อน เพราะเขาต้องการทำลายอำนาจตุลาการกับอำนาจทหาร เพราะเป็น 2 สถาบันที่เหลือของสังคมเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรหรือทำลายกระบวนการของเขาได้

10.ข้อสุดท้ายนี่สิ ผู้เขียนกลัวที่สุดและไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย นั่นก็คือหากเขาใช้ทุกวิถีทางแล้วทั้งไม้แข็งและไม้นวมแล้วไม่สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของเขา เขาอาจเลือกทางสุดท้ายนั่นคือ เผชิญหน้าใช้กำลังความรุนแรงแบบซึ่งหน้า หรือที่เรียกว่า การยึดอำนาจด้วยกำลัง เพื่อหวังเผด็จศึก ซึ่งเขามีกองกำลังเป็นของตนเองด้วย โดยการปูทางจัดตั้งหมู่บ้านคลั่งลัทธิความรุนแรง ได้แพร่กระจายไปในหลายจังหวัดหลายตำบล เปรียบเสมือนเชื้อชั่ว ผีดิบ ซอมบี้ ที่มันพร้อมจะกินเลือด และลุกขึ้นมาทำร้ายทำลายบ้านเมืองได้อีกรอบนึง โดยไม่หวั่นเกรงกฎหมายใดๆ หรืออาจจะใช้วิธีการสร้างสถานการณ์ไม่สงบ ดังเช่น ข่าวการวางระเบิดจำนวนมากมายในช่วงนี้ ซึ่งดูยังไงๆ ก็เหมือนการจัดฉากโดยหวังผลสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ บ่อนทำลายความเชื่อมั่น ให้ประเทศเสียหายย่อยยับทั้งทางเศรษฐกิจ ภาพพจน์การลงทุน การท่องเที่ยวเสียหายย่อยยับ ซึ่งก็จะเป็นแรงกดดันให้ประชาชนต้องเดือดร้อนและก็หวังพึ่งรัฐบาล พยายามทำให้ชนชั้นกลางอ่อนล้าลงทั้งทางด้านกำลังซื้อ จะได้ลดแรงต่อต้านการอยู่ในอำนาจของเขา ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปตามแผนการชั่วร้ายเหล่านั้นหรือไม่ คำตอบมีอยู่ในความคิดของประชาชนส่วนใหญ่อยู่แล้ว ว่าจะทนต่อกระบวนเหล่านี้ได้นานแค่ไหน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น