วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (นาซ่าค้นพบแหล่งน้ำบนดาวอังคาร,โอบาม่า ปูติน เจรจาปัญหาซีเรียกับไอเอส,ไต้ฝุ่นตู้เจวียนถล่มหนัก,เหยื่อเหนียบกันตายและเหยื่อถล่มงานแต่ง,สอบผู้บริหารโฟล์คสวาเก้น,สื่อนอกชี้เงื่อนงำปิดคดีบึ้มราชประสงค์มีเบื้องหลัง)


"นาซ่า" ออกแถลงการณ์ พบแหล่งน้ำบนดาวอังคารในช่วงฤดูร้อน ยืนยันมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แน่นอน ช่วงกลางดึกประมาณ 22.00 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) ของวันที่ 28 กันยาย 2015 ที่ผ่านมา องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) ได้ออกมาแถลงข่าวกรณีสำรวจพบแหล่งน้ำบนพื้นผิวบนดาวอังคาร  โดยระบุว่า แหล่งน้ำดังกล่าวคือลำธารน้ำเค็ม ปรากฏให้เห็นในช่วงที่ดาวอังคารมีอุณหภูมิที่อบอุ่นและจะหายไปในเมื่อช่วงก่อนหน้าปี 2008 ที่ผ่านมา ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้เป็นข้อมูลมาจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนยาน มารส์ รีคอนเนสเซนต์ ออร์บิเตอร์ (Mars Reconnaissance Orbiter)” ถูกส่งขึ้นไปโคจรสำรวจรอบดาวอังคารเมื่อปี 2006 จากการสำรวจพบแหล่งน้ำในครั้งนี้ กลายเป็นหลักฐานสำคัญสนับสนุนได้ว่าบนดาวอังคารน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่  ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทจุลินทรีย์ อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถระบุถึงที่มาของแหล่งน้ำดังกล่าวได้ว่า  มีสาเหตุเกิดขึ้นจากอะไร   มีการคาดการณ์จากนักวิทยาศาสตร์ว่าอาจเกิดขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งหรือมาจากชั้นหินอุ้มน้ำบนพื้นดินของดาวอังคาร อย่างไรก็ตามองค์การนาซากำลังเตรียมศึกษาข้อมูลและเตรียมส่งทีมมนุษย์อวกาศขึ้นไปสำรวจยังดาวอังคารให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) แถลงการค้นพบครั้งสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์จากสำนักงานใหญ่ในวอชิงตัน สหรัฐฯ เมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 28 ก.ย.2015 ตามเวลาประเทศไทยว่า พบหลักฐานจากยานมาร์สเรคองเนซองส์ออร์บิเตอร์ (Mars Reconnaissance Orbiter) หรือเอ็มอาร์โอ (MRO) ที่นาซาส่งไปโคจรรอบดาวอังคาร ซึ่งยืนยันหนักแน่นว่ายังคงมีน้ำไหลอยู่บนดาวอังคารในปัจจุบัน  ทางด้านรอยเตอร์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ภาพจากยานอวกาศดังกล่าว และพบมีน้ำที่มีเกลือไหลบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อหน้าร้อนปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ดาวเคราะห์เพื่อนบ้านจะเป็นแหล่งให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ และได้เผยแพร่การค้นพบนี้ลงวารสารวิชาการในวันเดียวกับการแถลงข่าว  ขณะที่ข่าวเผยแพร่จากนาซาระบุว่า นักวิจัยได้ใช้ภาพที่บันทึกด้วยกล้องบนยานเอ็มอาร์โอตรวจพบสัญญาณเกลือแร่ที่มีโมเลกุลน้ำบริเวณที่ลาดชัน ซึ่งปรากฏเป็นริ้วปริศนาบนดาวอังคาร โดยริ้วมืดจากภาพนั้นปรากฏให้เห็นว่าลดลงและไหลเป็นสายตลอดเวลา ระหว่างฤดูร้อนริ้วดังกล่าวยิ่งดำขึ้นและไหลลงทางลาดชัน และในช่วงฤดูหนาวริ้วดังกล่าวมีสีจางลง ริ้วเหล่านี้ปรากฏในหลายพื้นที่บนดาวอังคาร เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า -23 องศาเซลเซียส และหายไปเมื่ออุณหภูมิเย็นลง  "ภารกิจของบนเราดาวอังคารคือตามหาน้ำเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตในเอกภพ และตอนนี้เราก็มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้นได้คำตอบแล้ว นี่เป็นก้าวที่สำคัญ เมื่อปรากฏชัดเจนว่าน้ำ แม้จะเป็นน้ำเกลือก็ตาม กำลังไหลอยู่บนพื้นผิวดาวอังคารทุกวันนี้" จอห์น กรันฟิล์ด (John Grunsfeld) ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกอำนวยการปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของนาซากล่าวระหว่างแถลงข่าว สายธารเชิงเขาเหล่านี้มีชื่อว่าเส้นลาดชันอาร์เอสแอล (recurring slope lineae: RSL) ซึ่งมักถูกระบุว่า มีโอกาสที่จะเป็นน้ำของเหลว ซึ่งการค้นพบเกลือมีน้ำบนพื้นที่ลาดชันชี้ถึงสิ่งที่อาจสัมพันธ์ต่อริ้วสีดำ โดยเกลือมีน้ำอาจจะลดจุดเยือกแข็งของน้ำเกลือเหมือนเกลือบนโลกที่ช่วยละลายหิมะและน้ำแข็งบนถนนได้เร็วขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เหมือนกระแสใต้พื้นผิวตื้นๆ ที่มีน้ำมากพอจะซึมสู่พื้นผิว ทำให้เกิดเป็นริ้วสีดำในภาพ  รอยเตอร์รายงานอีกว่า แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแหล่งกำเนิดและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำดังกล่าว แต่การค้นพบค้นพบนี้จะเปลี่ยนความคิดของนักวิทยาศาสตร์ว่าดาวเคราะห์เพื่อนบ้านนี้เหมือนดาวเคราะห์โลกในระบบสุริยะที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ใต้เปลือกโลก  "มันบ่งบอกว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารในทุกวันนี้" กรันฟิล์ดให้ความเห็น  ส่วน จิม กรีน (Jim Green) ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซา กล่าวว่า ดาวอังคารไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งและไม่น่าสนใจอย่างที่เราคิดกันที่ผ่านมา ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มั่นคง น้ำของเหลวได้ถูกค้นพบบนดาวอังคาร  ทว่านาซาก็ไม่รีบร้อนที่ค้นหาว่าน้ำเกลือที่เพิ่งค้นพบนั้นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือไม่ โดยกรันฟิล์ดให้ความเห็นว่าถ้าเขาเป็นจุลินทรีย์ก็คงไม่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ค้นพบ แต่จะอาศัยอยู่ทางเหนือหรือใต้มากกว่าบริเวณที่พบน้ำเกลือ และจะอยู่ให้ลึกลงไปใต้พื้นผิวมากๆ ซึ่งจะพบน้ำจืดได้มากกว่า  "เราแค่สงสัยว่าแหล่งอาศัยแบบนั้นมีอยู่ และเราก็มีหลักฐานบางประการว่ามีแหล่งแบบนั้น" กรันฟิล์ดกล่าว  การค้นพบน้ำไหลนี้เกิดขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อวิเคราะห์และทำแผนที่องค์ประกอบเคมีบนดาวอังคารโดยใช้ยานเอ็มอาร์โอของนาซา และได้พบลักษณะสำคัญของเกลือที่เกิดขึ้นเฉพาะในน้ำที่มีอยู่ตอนนี้ในช่องแคบๆ ที่ตัดผ่านหน้าผาบริเวณเส้นศูนย์ของดาวอังคาร  สำหรับพื้นที่ลาดชันดังกล่าวถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 2011 ปรากฏระหว่างเดือนในหน้าร้อนของดาวอังคาร แล้วหายไปเมื่ออุณหภูมิต่ำลง และคุณลักษณะทางเคมีบ่งบอกถึงเกลือที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าริ้วดังกล่าวเกิดจากการตัดผ่านของน้ำ แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถวัดได้อย่างแน่ชัด  "ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะมีหวัง" ลุเชนทรา โอชา (Lujendra Ojha) นักศึกษาปริญญาโทสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology) และนักวิจัยหลักผู้เขียนรายงานการค้นพบดังกล่าวบอกแก่รอยเตอร์  ทั้งนี้ เนื่องจากยานเอ็มอาร์โอได้วัดข้อมูลระหว่างช่วงร้อนที่สุดของวันบนดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าร่องรอยใดๆ ของน้ำ หรือคุณลักษณะจากเกลือแร่มีน้ำจะระเหยไป อีกทั้ง เครื่องมือวัดองค์ประกอบเคมีบนยานโคจรยังไม่สามารถเก็บรายละเอียดของริ้วแคบๆ ที่กว้างไม่ถึง 5 เมตรได้  ทว่าโอชาและคณะได้สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถตรวจสอบแต่ละพิกเซลหรือหน่วยภาพได้อย่างละเอียด จากนั้นใช้ข้อมูลดังกล่าวสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้น และเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้พุ่งความสนใจไปที่ริ้วที่กว้างที่สุด ที่ตรงกับตำแหน่งและการตรวจพบเหลือมีน้ำ 100% "การค้นพบนี้ยืนยันว่าน้ำกำลังแสดงบทบาทต่อลักษณะเหล่านี้" อัลเฟร็ด แม็คอีเวน (Alfred McEwen) นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) กล่าว  อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าเกลือแร่เหล่านั้นดูดซับไอน้ำโดยตรงจากชั้นบรรยากาศบางเบาของดาวอังคาร หรือมีแหล่งน้ำแข็งละลายอยู่ใต้ดิน แต่ไม่ว่าแหล่งน้ำจะมาจากที่ใด รอยเตอร์ระบุว่ามุมมองต่อดาวอังคารก็เปลี่ยนไปเป็นบวกมากขึ้น จากที่เคยมองกันว่าดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่หนาวเย็นและแห้งกรัง กลับกลายเป็นดาวเคราะห์ที่ปัจจุบันสิ่งมีชีวิตอาจอาศัยอยู่ได้  ถึงอย่างนั้นแมคอีเวนกล่าวว่ายังต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบเคมีมากกว่านี้ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะสรุปเช่นนั้นได้ โดยระบุว่าไม่ใช่เพราะมีน้ำเท่านั้นที่บ่งบอกว่าดาวเคราะห์นั้นสามารถอาศัยอยู่ได้ อย่างน้อยต้องมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนดิน  ขณะเดียวกันคิวริออซิตี (Curiosity) ยานโรเวอร์ของนาซาที่กำลังวิ่งสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคาร ก็พบหลักฐานว่าดาวอังคารมีองค์ประกอบและแหล่งอาศัยเหมาะสมสำหรับจุลินทรีย์ที่มีอยู่ได้ในอดีตบางช่วงที่ผ่านมา  ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่าดาวอังคารเปลี่ยนจากดาวที่อบอุ่น มีน้ำอุดมและคล้ายคลึงกับโลกมาเป็นดาวที่หนาวเหน็บและแห้งแล้งเหมือนทะเลทรายในทุกวันนี้ได้อย่างไร โดยเมื่อหลายพันล้านปีก่อนดาวอังคารที่ขาดสนามแม่เหล็กปกป้อง ได้สูญเสียชั้นบรรยากาศปริมาณมหาศาลไป และมีหลายการศึกษาที่กำลังประเมินว่าน้ำบนดาวอังคารหายไปมากแค่ไหน และยังเหลืออีกเท่าไรในแหล่งน้ำแข็งใต้ดิน
  
เอเอฟพี - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กระตุ้นเตือนผู้นำทั่วโลกให้ผนึกกำลังกวาดล้างนักรบญิฮาดหัวรุนแรง พร้อมระบุชัดเจนว่า ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ต้องสละตำแหน่งเท่านั้น จึงจะปราบกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้สำเร็จ เพียง 1 วันหลังจากที่แลกหมัดกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เกี่ยวกับแนวทางยุติความขัดแย้งในซีเรีย โอบามา ก็ได้เป็นประธานการประชุมซัมมิตว่าด้วยการต่อต้านก่อการร้าย ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวานนี้ (29 ก.ย.) โดยกล่าวประเมินภาพรวมสถานการณ์หลังจากที่วอชิงตันและพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินเข้าไปโจมตีฐานที่มั่นไอเอสในอิรักและซีเรียมาแล้วครบปี  การจะกำจัดไอเอสในซีเรียให้ได้นั้น ผมเชื่อว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวผู้นำประเทศโอบามา กล่าวในเวทีประชุมนอกรอบของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ  รัสเซียหักหน้าวอชิงตันด้วยการส่งเพียงทูตชั้นรองไปร่วมประชุม หลังจากที่ ปูติน ได้ขโมยซีนบนเวทียูเอ็นด้วยการเรียกร้องให้ขยายเครือข่ายพันธมิตรต่อสู้ไอเอส โดยเปิดโอกาสให้กองทัพซีเรียมีส่วนร่วมด้วย  อนาคตของ อัสซาด เป็นปัญหาใหญ่ที่วอชิงตันยังไม่สามารถตกลงกับอิหร่านและรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของผู้นำซีเรียได้ ในขณะที่ทุกฝ่ายพยายามใช้วิธีการทูตเพื่อเจรจายุติสงครามกลางเมืองที่คร่าชีวิตพลเมืองซีเรียไปแล้วกว่า 240,000 คนในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมา โอบามา ระบุว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะร่วมมือกับรัสเซียและอิหร่าน เพื่อหากลไกการเมืองที่จะช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านเริ่มต้นขึ้นได้  สหรัฐฯ ยืนกรานมาโดยตลอดว่า อัสซาด ต้องสละอำนาจ แต่ โอบามา ก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าผู้นำซีเรียจะสามารถดำรงตำแหน่งต่อในช่วงเปลี่ยนผ่านได้หรือไม่

เอเจนซีส์ - ปูติน-โอบามาเห็นพ้องเร่งปราบปรามกลุ่ม รัฐอิสลาม” (ไอเอส) แต่ยังมองต่างมุมเรื่องอนาคตของประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด แห่งซีเรีย ซึ่งผู้นำทำเนียบขาวตราหน้าว่า เป็นทรราชสังหารเด็ก ขณะที่ประมุขวังเครมลินกลับเชิญชวนให้โลกร่วมสนับสนุนผู้นำซีเรียผู้นี้ในการต่อสู้กับไอเอส ประธานาธิบดีแดนหมีขาวยังติเตียนว่า การแทรกแซงทางทหารของวอชิงตันในอิรักและลิเบีย เป็นการเพาะเชื้อลัทธิก่อการร้ายให้ลุกลามทั่วตะวันออกกลาง วันจันทร์ที่ผ่านมา (28 ก.ย.) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ขึ้นพูดในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยเรียกร้องให้ทุกชาติสมาชิกร่วมกันต่อสู้กับกลุ่มนักรบญิหาดสุดโต่ง พร้อมระบุว่า การไม่ร่วมมือกับประธานาธิบดีอัสซาด ที่กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้าย ถือเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์  ต่อมา ระหว่างชนแก้วในงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่มี บัน คีมุน เลขาธิการใหญ่ยูเอ็นร่วมโต๊ะด้วย ผู้นำรัสเซียและอเมริกา ปิดไม่มิดถึงท่าทีที่หมางเมิน  หลังจากนั้นทั้งคู่หารือกันนาน 90 นาที โดยที่ปูตินระบุว่า เป็นการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ ทว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวกลับบอกว่า การพูดคุยวกไปเวียนมา  ปูตินนั้นดูจะพอใจที่โอบามาเห็นด้วยว่า รัสเซียควรมีบทบาทในวิกฤตซีเรีย และควรมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในประเทศนั้น แต่เจ้าหน้าที่อเมริกันสำทับว่า ทั้งคู่ยังคง ขัดแย้งกันในหลักการเกี่ยวกับบทบาทของอัสซาด ทั้งนี้ ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเขาในรอบ 10 ปี ผู้นำรัสเซียได้เสนอญัตติให้จัดตั้งกลุ่มแนวร่วมต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) โดยรวมอัสซาดและอิหร่านเข้าไว้ด้วย  ด้านโอบามาบอกว่า พร้อมร่วมมือกับรัสเซียหรือแม้แต่อิหร่าน ในการจัดการกับไอเอส แต่ต้องไม่ได้หมายความว่า อัสซาดจะอยู่ในอำนาจต่อไปไม่สิ้นสุด ประมุขทำเนียบขาวเสริมว่า การกระทำของอัสซาด เช่น การทิ้งระเบิดถังน้ำมันสังหารเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ป็นต้นเหตุให้ซีเรียตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มนักรบหัวรุนแรง  การกล่าวหาดังกล่าวถูกปูตินสวนกลับว่า เหตุการณ์รุนแรงที่ลุกลามในตะวันออกกลางเกิดจากการที่กองทัพอเมริกันเข้าแทรกแซงและสนับสนุนการโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรัก และมูอัมมาร์ กัดดาฟั ผู้นำลิเบีย  ประธานาธิบดีรัสเซียเทศนาต่อว่า หลังสิ้นสุดสงครามเย็น ตะวันตกตั้งตัวเป็น ศูนย์กลางการครอบงำแห่งใหม่ของโลก และใช้กำลังเข้าแทรกแซงสถานการณ์ขัดแย้งของประเทศอื่นๆ อย่างอวดดี การกระทำเช่นนี้นำไปสู่ลัทธิอนาธิปไตยในตะวันออกกลาง ซึ่งกลุ่มหัวรุนแรงและก่อการร้ายแพร่สะพัดเป็นดอกเห็ด  ปูตินยังกัดไม่ปล่อยว่า การโจมตีไอเอสโดยกลุ่มพันธมิตรตะวันตกและอาหรับที่นำโดยอเมริกา เข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับการร้องขอจากซีเรีย และไม่ได้รับอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็น  ในการแถลงข่าวหลังจากนั้น ปูตินยังบอกอีกว่า หากมีช่องทางทางกฎหมาย รัสเซียอาจเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อไอเอส เพื่อช่วยเหลือซีเรียและกองกำลังชาวเคิร์ด  ทางด้านยุโรปนั้น แม้มหาอำนาจบางชาติเสียงอ่อนลงและส่งสัญญาณว่า อัสซาดอาจมีบทบาทต่อไปชั่วคราว ทว่า ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศสที่เห็นดีเห็นงามกับโอบามามาตลอด ยืนกรานให้ตัดอัสซาดออกจากแนวทางการแก้ไขวิกฤต  ส่วนโอบามา ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่สมัชชาใหญ่ยูเอ็นวันจันทร์ ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงอนาคตของอัสซาดในความพยายามยุติสงครามกลางเมืองในซีเรียที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 240,000 รายนับจากปี 2011 แต่บอกว่า หากสงครามยุติลง อัสซาดไม่ควรได้กลับสู่อำนาจอีก  ร้อนถึงปูตินซึ่งขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ภายหลังโอบามา ต้องย้ำจุดยืนว่า มีเพียงชาวซีเรียเท่านั้นที่สามารถปลดผู้นำของตนได้ และเสริมว่า อัสซาดตกลงว่า จะเริ่มการปฏิรูปเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น  มอสโกทำให้วอชิงตันหลังชนฝา ด้วยการส่งทหารและเครื่องบินเข้าสู่ซีเรียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งกดดันให้ผู้นำชาติอื่นๆ ที่ยังลังเลยอมรับให้อัสซาดอยู่ในอำนาจต่อไป  ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อเมริกันเชื่อว่า การที่ปูตินส่งกำลังเข้าไปสะสมในซีเรียเนื่องจากกลัวว่า อัสซาดอาจเพลี่ยงพล้ำ รวมทั้งต้องการขยายอิทธิพลของรัสเซียในตะวันออกกลาง ซึ่งประเด็นหลังนั้นดูเหมือนสัมฤทธิ์ผลชัดเจน หลังจากอิรักประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (27) ว่า รัสเซีย อิหร่าน ซีเรีย และอิรักจะแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับซีเรีย  ในวันอังคาร (29) โอบามามีกำหนดหารือกับผู้นำกว่า 100 ประเทศในที่ประชุมยูเอ็น เกี่ยวกับการผลักดันแคมเปญการกวาดล้างไอเอส ขณะที่มอสโกจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในหัวข้อเดียวกันในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นในวันพุธ (30)  การประชุมสุดยอดว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายริเริ่มขึ้นโดยสหรัฐฯตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว หลังจากโอบามาประกาศในที่ประชุมยูเอ็นว่า จะจัดการกับไอเอสและเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ร่วมสนับสนุน ทว่า นับจากนั้น นักรบญิหาดสุดโต่งกลุ่มนี้กลับผงาดครอบครองพื้นที่กว้างขวางในซีเรีย อิรัก รวมถึงมีพันธมิตรกระจายอยู่ในลิเบีย เยเมน และไนจีเรีย

เอเจนซีส์ - จีนสั่งเรือหลายหมื่นลำกลับเข้าฝั่ง และอพยพประชาชนหลายแสนคน ขณะที่ ตู้เจวียนพัดขึ้นบกในบริเวณมณฑลฝู่เจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ทางภาคตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (29 ก.ย.) หลังจากมีผู้เสียชีวิตด้วยฤทธิ์เดชของซูเปอร์ไต้ฝุ่นลูกนี้ไป 3 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 300 คน ขณะที่มันเคลื่อนผ่านไต้หวันในวันจันทร์ (28) ในไต้หวันนั้น ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินของเกาะแห่งนี้รายงานวันอังคาร (29) ว่า ผู้บาดเจ็บจำนวนมากเป็นผู้ที่ ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือถูกเศษซากสิ่งต่างๆ ซึ่งลมพัดปลิวมาหล่นใส่ พร้อมรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดมี 3 ราย และผู้บาดเจ็บ 346 คน  ตู้เจวียนที่พัดเข้าสู่ไต้หวันตั้งแต่เย็นวันจันทร์ (28) ทำให้เกิดฝนตกหนักและดินถล่มในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ลมกรรโชกแรงยังพัดต้นไม้โค่นล้มและทำกระจกหน้าต่างอาคารต่างๆ แตกเสียหาย โดยที่มีประชาชนกว่า 12,000 คนอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง และเกือบ 3,000 คนเข้าไปหลบในศูนย์พักพิงชั่วคราว  จนถึงวันอังคาร ครัวเรือนกว่า 175,000 หลังยังไม่มีไฟฟ้าใช้ หลังจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นลูกนี้สร้างความเสียหายอย่างมากในพื้นที่ตอนเหนือของเกาะ โดยช่วงที่ประสบปัญหาสูงสุด มีครัวเรือนถึง 2 ล้านหลังที่ไฟฟ้าดับ ผู้เสียชีวิตรายหนึ่งเป็นชายวัย 54 ปีที่ถูกลมหอบขึ้นสู่อากาศจากบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง และชายวัย 70 ปีอีกคนเสียชีวิตจากการหกล้ม ส่วนผู้เสียชีวิตรายสุดท้ายเป็นหญิงวัย 41 ปีที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์  ชุมชนชาวพื้นเมืองซึ่งพำนักกันเป็นกลุ่มบนภูเขา เป็นพวกที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยพิบัติประเภทนี้ โดยเรื่องที่อันตรายมากได้แก่น้ำป่าไหลท่วมฉับพลันและและโคลนถล่ม มีรายงานว่าที่เมืองอู่ไหล ถนนหลายสายถูกปิดจากโคลนถล่ม เมืองน้ำพุร้อนที่อยู่ติดกับกรุงไทเปแห่งนี้เพิ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากไต้ฝุ่น เซาเดโลร์เมื่อเดือนที่แล้ว โดยจนถึงขณะนี้ ประชาชนบางส่วนยังไม่สามารถกลับบ้านได้ เช่นเดียวกับร้านค้า โรงแรม และถนนหลายสายที่ยังซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัยไม่เสร็จ ดังนั้น จึงมีความกังวลกันว่า ตู้เจวียนจะทำให้งานซ่อมแซมบูรณะเมืองนี้ต้องยืดเยื้อออกไปอีกนาน  ทั้งนี้ ไต้ฝุ่นเซาเดโลร์ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 รายในไต้หวันและ 21 รายในจีน สำหรับตู้เจวียน ที่หน่วยงานพยากรณ์อากาศบางแห่งในภูมิภาค จัดให้เป็น ซูเปอร์ไต้ฝุ่นสร้างความประหลาดใจให้กับชาวไต้หวัน หลังจากทวีความเร็วก่อนขึ้นฝั่งที่เทศมนฑลอี้หลาน ทางตะวันออกของเกาะแห่งนี้ในช่วงเย็นวันจันทร์ แล้วขณะเคลื่อนผ่านเกาะ ความเร็วลมได้ลดลงมากจนถูกลดอันดับเป็นไต้ฝุ่นระดับกลางๆ ตู้เจวียนยังทำให้เกิดคลื่นสูงและลมแรงในอี้หลาน และสร้างความเสียหายให้ ตึก 101” ซึ่งเป็นอาคารสูงเสียดฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงไทเป ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ที่เมืองซินชู เกิดเหตุเครนตกจากชั้นที่ 20 ทับรถยนต์หลายคัน แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำนักงานพยากรณ์อากาศส่วนกลางของไต้หวันยังคาดว่า ตู้เจวียนจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม โรงเรียน สำนักงาน และตลาดหุ้นในไต้หวันยังปิดทำการในวันอังคาร เช่นเดียวกับคอนเสิร์ตของวงร็อกอเมริกัน บอง โจวีที่มีกำหนดเปิดแสดงในไทเป แต่ต้องยกเลิกทั้งรอบวันจันทร์และอังคาร ที่แผ่นดินใหญ่จีน ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติแถลงเตือนประชาชนก่อนตู้เจวียนเคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง และสำนักข่าวซินหวารายงานเมื่อวันอังคารว่า มีการอพยพประชาชนกว่า 320,000 คนในมณฑลเจ้อเจียง รวมทั้งเรียกเรือประมงนับหมื่นลำทั้งที่เจ้อเจียงและมณฑลฝู่เจี้ยนกลับเข้าฝั่ง และยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดในสนามบิน 3 แห่งในฝู่เจี้ยน สำนักข่าวซินหัวเสริมว่า ไต้ฝุ่นลูกนี้อ่อนกำลังลงนับจากขึ้นฝั่งที่เมืองผู่เตี้ยนเมื่อเวลาประมาณ 8.50 น. (7.50 น. ตามวลาไทย) วันอังคาร และคาดว่า จะเคลื่อนตัวไปถึงมณฑลเจียงซีในช่วงค่ำวันเดียวกัน
       
บีบีซี - หลายประเทศเชื่อว่ายอดเหยื่อจากเหตุเหยียบกันตายใกล้นครเมกกะระหว่างร่วมประกอบพิธีฮัจญ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีมากกว่า 1,000 ศพ แม้ตัวเลขสุดท้ายอย่างเป็นทางการของซาอุดีอาระเบียระบุอยู่ที่ 769 ศพ เจ้าหน้าที่ไนจีเรียบอกกับบีบีซีว่ามีร่างไร้วิญญาณของผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ศพ ถูกลำเลียงออกจากจุดเกิดโศกนาฏกรรมไปยังโรงเก็บศพต่างๆในเมืองเจดดาห์ สอดคล้องกับความเห็นของเจ้าหน้าที่อินเดีย ปากีสถานและอินโดนีเซีย  อาบู ยาคูบู เจ้าหน้าที่ฮัจญ์ไนจีเรีย บอกกับผู้สื่อข่าวของบีบีซีว่าเขาอยู่ที่เมืองเจดดาห์ ในตอนเกิดเหตุเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว(24ก.ย.) และอ้างพบเห็นรถบรรทุก 14 คันลำเลียงศพมายังเมืองแห่งนี้ โดยจนถึงตอนนี้ได้มีการขนร่างไร้วิญญาณ 1,075 ศพลงจากรถบรรทุก 10 คันเข้าไปไว้ในโรงเก็บศพแล้ว แต่เหลืออีก 4 คันที่ยังไม่ได้จัดการ  หลายประเทศวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อแนวทางของเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียในการจัดการกับสถานการณ์หลังเกิดโศกนาฏกรรมแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่าน คู่อริของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งสูญเสียพลเมืองไปกับเหตุการณ์อันน่าสลดนี้อย่างน้อยๆ 228 คน  นางสุษมา สวาราช รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ทวีตระบุเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียได้เผยแพร่ภาพถ่ายของนักแสวงบุญที่เสียชีวิต 1,090 คน และเจ้าหน้าทีอินโดนีเซียก็บ่งชี้ว่ามีการส่งรูปเหยื่อโศกนาฏกรรมมาให้พวกเขามากกว่า 1,000 ภาพเช่นกัน  จนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ซาอุุดีอาระเบียยังไม่ออกมาชี้แจงถึงความผิดปกติของตัวเลขเหยื่อในโศกนาฏกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 25 ปีของพิธีฮัจญ์  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนเช้าของวันพฤหัสบดีที่แล้ว เมื่อนักแสวงบุญ 2 กลุ่มใหญ่มาบรรจบกันบริเวณแยกระหว่างเข้าร่วมปาก้อนหินใส่เสาหินที่สะพานจามารัต พิธีกรรมหลักสุดท้ายของพิธีฮัจญ์ โดยนอกจากผู้เสียชีวิตดังกล่าวแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 934 คน  ชัยค์ อับดุลอาซีซ อัล-ชัยค์ ผู้นำสูงสุดขององค์กรศาสนาอิสลามในซาอุดีอาระเบียชี้ เหตุผู้แสวงบุญเหยียบกันตาย 717 ศพที่ทุ่งมินา ชานนครเมกกะ อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์จึงไม่ควรกล่าวโทษซึ่งกันและกัน หลังซาอุดีอาระเบัยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัยแก่บรรดา ฮุจญาจขณะที่ทางกษัตริย์ซัลมาน ทรงรับสั่งให้สืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เหตุเหยียบกันตายดังกล่าวถือเป็นโศกนาฏกรรมที่สองที่เกิดขึ้นกับพิธีฮัจญ์ในเวลาห่างกันไม่ถึง 2 สัปดาห์ หลังจากก่อนหน้าเมื่อช่วงกลางเดือน เพิ่งเกิดเหตุเคนถล่มที่แกรนด์มัสยิดของนครเมกกะ คร่าชีวิตผู้คนมากถึง 109 ศพ

รอยเตอร์ - ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มปาร์ตีงานแต่ง พุ่งเป็น131ศพ เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์เผยเมื่อวันอังคาร(29ก.ย.) ถือเป็นหนึ่งในเหตุโจมตีพลเมืองครั้งนองเลือดที่สุดในสงครามเยเมน ซึ่งเรียกเสียงประณามจากเลขาธิการสหประชาชาติ คำประณามจากสหประชาชาติ มีขึ้นแม้ว่าพันธมิตรอาหรับที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุสังหารหมู่ปาร์ตีงานแต่งและทางโฆษกชี้ด้วยว่าอาจเป็นฝีมือของพวกนักรบท้องถิ่นที่ยิงจรวดเข้าใส่ พันธมิตรอาหรับที่ได้รับการสนับสนนจากสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มเป้าหมายต่างๆของพวกกบฏฮูตีที่มีอิหร่านให้การหนุนหลังทั่วเยเมนมาตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยมีเป้าหมายคือขับไล่พวกติดอาวุธกลุ่มนี้ออกจากดินแดนต่างๆที่พวกเขาเข้ายึดครองตั้งแต่ปีที่แล้ว ในนั้นรวมถึงกรุงซานา และเพื่อคืนอำนาจแก่ประธานาธบดีอับดุล รับบูห์ มานซูร์ ฮาดี  ชาวบ้านเล่าเมื่อวันจันทร์(28ก.ย.) ว่าขีปนาวุธ 2 ลูกพุ่งเข้าถล่มเตนท์ห้องโถงงานแต่งในหมู่บ้านอัล-วาฮิจาห์ ใกล้อัล-โมคา เมืองท่าริมทะเลแดง สถานที่ซึ่งเจ้าบ่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มกบฏฮูตี ใช้จัดเลี้ยงฉลองแต่งงาน  ในวันจันทร์(28ก.ย.) รอยเตอร์รายงานอ้างคำสัมภาษณ์ของชาวบ้านเผยว่า มีผู้หญิง 12 คน เด็ก 8 คนและผู้ชาย 7 คน เสียชีวิตในเหตุโจมตีทางอากาศดังกล่าว แต่ทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 30 ศพ อย่างไรก็ตามในวันอังคาร(29ก.ย.) แหล่งข่าวที่โรงพยาบาลมักบานา เปิดเผยว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 131 คนแล้ว ในนั้นมีผู้หญิงและเด็กจำนวนมาก บันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติประณามเหตุโจมตีกลางงานแต่งครั้งนี้่ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และเตือนว่าการโจมตีใดๆของนานาชาติต่อพลเมืองถือเป็นการละเมิดกฎหมายสากลและจะต้องถูกสอบสวน  สหประชาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆแสดงความกังวลต่อการเสียชีวิตของพลเรือนในเยเมนที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากข้อมูลของสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติที่เผยแพร่ในเจนีวาเมื่อวันอังคาร(29ก.ย.) ระบุว่าในจำนวนผู้ถูกสังหาร 4,500 คนจากช่วงสิ้นเดือนมีนาคมถึงวันที่ 24 กันยายน มีพลเรือนอย่างน้อยๆถึง 2,355 คน ซาอุดีอาระเบียออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว โดยทางโฆษกของพันธมิตรอาหรับชี้แจงว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเหตุโจมตี พันธมิตรไม่ได้มีปฏิบัติการทางอากาศในพื้นที่นั้นมากว่า 3 วันนั้น มันเป็นข่าวที่เหลวไหลสิ้นดีเขาเสริมด้วยว่าพันธมิตรจะยอมรับความผิดพลาดหากว่าเป็นผู้ลงมือจริง แต่ความขัดแย้งในเยเมนก็ยุ่งเหยิงไปด้วยกลุ่มติดอาวุธต่างๆ และบางทีชาวบ้านอาจแยกไม่ออกระหว่างเสียงปืนใหญ่ ปืนครกและจรวดคัตยูช่า โฆษกสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกล่าวที่เจนีวา ว่าพวกเขามีคณะทำงานอยู่ ณ ภาคพื้นในเยเมนและกำลังพยายามตรวจสอบรายละเอียดของงานแต่งนองเลือดดังกล่าว "ดูเหมือนว่ารัฐบาลพลัดถิ่นที่นำโดยนายฮาดีจะยอมรับว่ามันคือความผิดพลาด เราคงไม่ต้องสงสัยว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง"

เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สื่อนอกทั่วโลกรายงานการแถลงปิดคดีของตำรวจไทย สามารถปิดคดีระเบิดราชประสงค์วันนี้(29) ถึงแม้ว่าจะมีข้อสงสัยอย่างหนักมากขึ้นถึงกระบวนการสอบสวน รวมไปถึง อาเดม คาราดักคนร้ายที่ทุกวันนี้สัญชาติที่ยังคงไม่แน่ชัด และล่าสุดทางไทยอ้างว่าเป็น ชายเสื้อเหลืองในกล้องวงจรปิดผู้ลงมือก่อเหตุ รวมไปถึงเหตุจูงใจในการก่อเหตุที่ยังคลุมเครือ ด้านสินบนเงินนำจับ 3 ล้านบาท ผบ.ตร. ประกาศมอบให้กับ เจ้าหน้าที่สอบสวนคดี  ดิอินดีเพนเดนต์ สื่ออังกฤษรายงานวันนี้(29)ว่า ถือเป็นเรื่องมึนงงกันไปกับคดีระเบิดราชประสงค์ที่นอกจากจะมีหลายประเด็นที่ยังต้องสงสัยถึงแม้ว่าจะมีการแถลงการประกาศปิดคดีในวันนี้แล้วก็ตาม โดยสื่ออังกฤษระบุว่า สิ่งที่น่าฉงนสำหรับคดีนี้คือ เงินรางวัลนำจับร่วม 83,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านบาท ที่ไทยประกาศให้กับผู้ที่สามารถให้เบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ในที่สุด แต่กลับกลายว่าในวันนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ประกาศมอบให้กับ เจ้าหน้าที่สอบสวนคดีโดยอ้างว่า ทางตำรวจสามารถหาเบาะแสได้เองจนนำไปสู่การจับกุม เพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสาธารณะแต่อย่างใด เงินจำนวนนี้สมควรที่จะมอบให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งปฎิบัติหน้าที่ พล.ต.อ.สมยศ แถลงในการแถลงข่าววันนี้(29) ซึ่งมีกองธนบัตรมัดวางอยู่ข้างๆ และผบตร.ยังกล่าวยืนยันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า ขอยืนยันว่า การปิดคดีครั้งนี้เป็นเพราะความสามารถของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นแต่อย่างไรก็ตาม สื่ออังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีการจัดแบ่งเงินมูลค่า 3 ล้านไปให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีเหล่านั้นอย่างไร  และ CNBC สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า ในการแถลงข่าวปิดคดีระเบิดราชประสงค์ของไทย ตำรวจไทยแถลงว่า ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ 2 คนที่อยู่ในการควบคุมตัวได้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ ย่านแยกราชประสงค์ ในวันที่ 17 สิงหาคม 2015 เพื่อต้องการแก้แค้นการที่ฝ่ายไทยกวาดล้างกระบวนการลักลอบค้ามนุษย์ การออกแถลงข่าวล่าสุดนี้ของไทยมีขึ้นหลังจากเกิดเหตุระเบิดที่มีผู้เสียชีวิตไม่ตำกว่า 20 คน โดยมากกว่า 2 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรัฐบาลไทยพยายามเรื่อยมาที่จะไม่ยอมให้คดีระเบิดแยกราชประสงค์ครั้งนี้เป็นเรื่องของการก่อการร้ายในขณะที่ อาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในเดือนสิ่งหาคมที่ผ่านมา และล่าสุดเขาถูกตำรวจอ้างว่า เป็น ชายเสื้อเหลือที่ปรากฏภาพในกล้องทีวีวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุ ในขณะที่ชายผู้นี้กำลังทิ้งเป้สะพายไว้ที่ศาลพระพรหมเอราวัณก่อนที่จะมีระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งทาง CNBC ชี้ว่า คาราดักในแรกเริ่มถูกต้องสงสัยว่า เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด ไม่ใช่มือวางระเบิดทั้งนี้ตำรวจไทยชี้ว่า เหตุระเบิดราชประสงค์เกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่มีผู้ร่วมขบวนการไม่ต่ำกว่า 17 คนสมรู้ร่วมคิดก่อเหตุในการวางแผน เตรียมการ และวางระเบิดที่จุดเกิดเหตุซึ่งถือเป็นย่านธุรกิจและท่องเที่ยวสำคัญในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วเอเชีย และนอกจากนี้รัฐบาลไทยที่มาจากการทำรัฐประหารยังอ้างว่า ตำรวจไทยสามารถปิดคดีนี้สำเร็จแล้ว พร้อมกับขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือทำให้สามารถทำให้นำตัวการมาลงโทษ และปิดคดีได้ อย่างไรก็ตาม CNBC ชี้ว่า ไทยพยายามเบี่ยงเบนจากแนวคิดการก่อเหตุเชื่อมโยงไปถึงอุยกูร์ ถึงแม้จะมีนักวิเคราะห์อิสระจำนวนหนึ่งออกมาให้ความเห็นสนับสนุนทฤษฎีนี้ก็ตาม ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเชื่อว่า การก่อเหตุเกิดมาจาก การแก้เหตุจากเหตุที่รัฐบาลรัฐประหารไทยได้ส่งตัวผู้อพยพอุยกูร์จำนวนไม่ต่ำกว่า 100 คนกลับจีน และทางกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับอ้างว่า พวกเขาโดนปักกิ่งสอบสวนลงโทษในขณะที่ทางการจีนปฎิเสธ  อย่างไรก็ตาม สื่อสหรัฐฯชี้ว่า เมื่อพิจารณาถึงผู้เสียชีวิตที่พบว่ามากกว่า 1 ใน 3 เป็นนักท่องเที่ยวมาจากจีนและฮ่องกง และจากตัวเลขนี้ได้ทำลายความพยายามทางฝ่ายรัฐบาลรัฐประหารไทยที่ต้องการหาทางกลบเกลื่อนเงื่อนงำที่จะนำไปสู่จีน และรวมไปถึงไม่ต้องการให้กระทบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่นับวันตัวเลขนักท่องเที่ยวจากจีนมีเพิ่มมากขึ้น ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แถลงว่า แท้จริงแล้วมูลเหตุจูงใจก่อเหตุของคนร้าย เพื่อต้องการแก้แค้นที่ทางเจ้าหน้าที่ไทยปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์อย่างหนัก แต่อย่างก็ตามผบตร.ชี้ว่า ทางตำรวจไทยยังไม่ตัดประเด็น ความเป็นไปได้ที่จะมีการเชื่อมโยงไปถึง เหตุป่วนทางการเมืองที่ทำให้ไทยต้องเผชิญในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาและส่งผลทำให้กองทัพสามารถยกเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2014 พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งกำลังลงจากอำนาจในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายในสัปดาห์นี้ ปรากฏตัวผ่านหน้าจอโทรทัศน์ในการแถลงข่าวพร้อมกับกองเงินธนบัตรไทยมูลค่าร่วม 83,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านบาทซึ่งเป็นรางวัลนำจับที่พล.ต.อ.สมยศแถลงว่า เงินจำนวนนี้จะมอบให้กับเจ้าหน้าที่สอบสวนโดย CNBC ตั้งสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สมยศ ผบตร.ไทย เคยชูกองธนบัตรสินบนนำจับในงานแถลงข่าวก่อนหน้านี้เช่นกัน เกิดขึ้นไม่นานหลังจากมีการรวบตัวคาราดักได้จากอพาทเมนต์ย่านมีนบุรีในปลายเดือนสิงหาคมไว้ได้ และสื่อสหรัฐฯรายงานต่อว่า เจ้าหน้าที่ไทยเผยว่า ระเบิด 2 แห่งที่รวมไปถึงระเบิดบริเวณสะพานสาธร 1 วันหลังเกิดเหตุระเบิดราชประสงค์นั้นเป็นฝีมือของอาเดม คาราดัก และไมไรลี ยูซุฟ ลักลอบเข้าไทยมาจากเขตปกครองตนเอง อุยกูร์ซินเจียง ของจีน โดยในการให้ข้อมูลฝ่ายไทยพบว่า ยูซุฟถูกกล่าวหาว่าเป็น ผู้กดระเบิดหลังจากระเบิดได้ถูกนำไปติดตั้งแล้วโดยคาราดัก  ซึ่ง CNBC สื่อสหรัฐฯชี้ว่า คนทั้งคู่รับสารภาพก็ต่อเมื่อถูกสอบปากคำหลังควบคุมตัวแล้ว นอกจากนี้สำหรับตัวคาราดักเอง สื่อสหรัฐฯชี้ว่า มาจนถึงวินาทีนี้ ยังเป็นที่ไม่แน่ชัดในสัญชาติของเขา ถึงแม้ว่าในการจับกุมตัวจะพบกองหนังสือพาสปอร์ตปลอมของตุรกี และมีชื่อของชายผู้นี้อยู่ในหนังสือเดินทางปลอมจำนวนหนึ่งก็ตาม  คาราดัก ที่รู้จักในอีกชื่อ บิลาล โมฮัมเหม็ด (Bilal Mohammed) ถูกตำรวจไทยนำตัวลงพื้นที่จำลองเหตุการณ์ลงมือก่อเหตุในสัปดาห์นี้ที่ศาลพระพรหมเอราวัณ และย่านอื่นๆในใจกลางกรุงเทพฯ โดยในการจำลองเหตุการณ์ CNBC บรรยายว่า ตำรวจไทยให้ คาราดักสวมเสื้อสีเหลืองคล้ายกับชายเสื้อเหลืองผู้ต้องสงสัยที่ถูกพบในภาพทีวีวงจรปิด
       
รอยเตอร์ - อัยการเยอรมนีเริ่มลงมือสืบสวนนายมาร์ติน วินเตอร์คอร์น อดีตซีอีโอของโฟล์คสวาเกนตามข้อกล่าวฉ้อฉลแล้วในวันจันทร์ (28 ก.ย.) จากเรื่องอื้อฉาวต่อกรณีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์แห่งนี้โกงการทดสอบไอเสียเครื่องยนต์ดีเซล  ส่วนโฟล์คสวาเกนได้สั่งพักงานวิศวกรระดับสูง 3 คน ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์แห่งนี้ต้องประสบกับวิกฤตทางธุรกิจครั้งเลวร้ายที่สุดประวัติศาสตร์ 78 ปีที่กัดเซาะมูลค่าด้านการตลาดของบริษัทถึง 1 ใน 3 แถมยังคุกคามอุตสาหกรรมยานยต์ทั่วโลกและอาจก่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจเยอรมนี  โฟล์คสวาเกนยอมรับว่าโกงการทดสอบไอเสียในสหรัฐฯ แต่รัฐมนตรีคมนาคมเยอรมนีชี้ว่าบริษัทแห่งนี้ได้โกงการทดสอบในยุโรปด้วย ทั้งนี้ ในยุโรปยอดขายของโฟล์คสวาเกนนั้นสูงกว่าในอเมริกามาก  ความเคลื่อนไหวที่ย้ำถึงความตั้งใจของเยอรมนีในการหาผู้รับผิดชอบต่อวิกฤตที่ทำให้ภาพลักษณ์ทางอุตสากรรมของประเทศในเวทีโลกต้องแปดเปื้อน สำนักงานอัยการเยอรมนีเผยว่านายวินเตอร์คอร์นกำลังถูกสืบสวนตามข้อกล่าวหาฉ้อฉล จากการจำหน่ายรถยนต์ที่มีการตกแต่งข้อมูลด้านมลพิษ  นายวินเตอร์คอร์นซึ่งถูกแทนตำแหน่งโดยนายแมตเธียส มุลเลอร์ เมื่อวันศุกร์ (25 ก.ย.) กล่าวระหว่างแถลงลาออกในสัปดาห์ที่แล้ว ว่าในส่วนของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องอื้อฉาว แต่ต้องการเปิดทางให้บริษัทได้เริ่มต้นใหม่ และยังเห็นด้วยสำหรับแต่งตั้งบริษัทกฎหมายสหรัฐฯดำเนินการสืบสวนอย่างสมบูรณ์  ในสัญญาณที่แสดงว่าทางโฟล์คสวาเกน ก็กำลังพยายามจัดการวิกฤตของตนเอง แหล่งข่าวใกล้ชิดกับเรื่องนี้เผยในวันจันทร์ (28 ก.ย.) ว่าโฟล์คสวาเกน สั่งพักงาน ไฮนซ์-จาค็อบ นอยส์เซอร์ หัวหน้าพัฒนาตราสินค้า รวมถึงอุลริช ฮัคเคนเบอร์ก หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของออดี ซึ่งดูแลด้านการพัฒนาเทคนิคของบริษัทในเครือทั้งหมด เช่นเดียวกับ โวล์ฟกัง ฮัตซ์ ประธานวิจัยและพัฒนาของปอร์เช ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาระบบส่งและเครื่องยนต์ของกลุ่มบริษัทโฟล์คสวาเกน
แหล่งข่าวเผยว่านายฮัคเคนเบอร์ก กำลังใช้มาตรการทางกฎหมายคัดค้านการตัดสินใจดังกล่าว ส่วนทางโฟล์คสวาเกนและออดี้ปฏิเสธแสดงความเห็นต่อเนื่องนี้ ขณะที่เหล่าผู้บริหารที่ถูกสั่งพักงานยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว เช่่นเดียวกับนายวินเตอร์คอร์น ซึ่งกุมบังเหียนโฟล์คสวาเกนมายาวนานเกือบ 9 ปี ก่อนลาออกไปเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว  อย่างไรก็ตาม ไม่มีสัญญาณว่าวิกฤตจะจบลงแค่นี้ เมื่อล่าสุดหนังสือพิมพ์เยอรมนี 2 ฉบับออกมาแฉเมื่อวันอาทิตย์ (27 ก.ย.) ว่าเจ้าหน้าที่ของโฟลค์สวาเกนเองและหนึ่งในซัปพลายเออร์ของบริษัท เคยเตือนเมื่อหลายปีก่อนว่าการติดตั้งซอฟต์แวร์พิเศษควบคุมมลพิษในรถยนต์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยซอฟต์แวร์นี้จะเปิดใช้งานเฉพาะตอนที่รถยนต์เข้ารับการตรวจสอบการปล่อยไอเสีย แต่ระบบจะถูกปิดลงระหว่างที่มีการขับขี่ตามปกติ ซึ่งเท่ากับเป็นการปกปิดปริมาณการปล่อยมลพิษที่แท้จริง  Transport & Environment(T&E) กลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเผยแพร่ข้อมูลใหม่ในวันจันทร์ (28 ก.ย.) แสดงให้เห็นว่ามีรถยนต์เมอร์เซเดส บีเอ็มดับเบิลยูและเปอโยต์บางส่วนใช้น้ำมันมากกว่าผลการทดสอบทางปฏิบัติการบ่งชี้ พร้อมระบุว่ามันคือหลักฐานที่ชี้ว่าอุตสากรรมนี้มีปัญหามากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม ทาง T&E ซึ่งประสานงานใกล้ชิดกับคณะกรรมาธิการยุโรป ชี้แจงว่าข้อมูลนี้ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าบริษัทอื่นๆมีการใช้ติดตั้งซอฟต์แวร์พิเศษควบคุมมลพิษเหมือนกับทางโฟล์คสวาเกน  หุ้นของโฟล์คสวาเกนดิ่งลงราวร้อยละ 35 นับตั้งแต่ยอมรับโกงการทดสอบไอเสีย ทำให้บริษัทสูญเสียมูลค่าด้านการตลาดไปกว่า 25,000 ล้านยูโร และผู้ผลิตรถยนต์แห่งนี้กำลังถูกดำเนินการสืบสวนจากหลายชาติและมีโอกาสโดนปรับจากเหล่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบและอัยการ เช่นเดียวกับถูกฟ้องร้องจากลูกค้า
       
เอเจนซีส์ ในวันเสาร์(26)ครบรอบ 1 ปีการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของนักศึกษาฝึกหัดครูอิกัวกลาจำนวน 43 คน ประชาชนเม็กซิกันไม่ต่ำกว่า 8,000 คนร่วมเดินขบวนในกรุงเม็กซิโกซิตี กดดันรัฐบาลของประธานาธิบดีเม็กซิโก เอ็นริเก เปนญา เนียโต หลังจากครอบครัวของผู้สูญหายได้เริ่มต้นประท้วงอดข้าว  อัลญะซีเราะฮ์ สื่อกาตาร์ รายงานเมื่อวานนี้(27)ว่า ในการประท้วงที่มีผู้เข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 8,000 คนในกรุงเม็กซิโกซิตี ในวันเสาร์(26)ต่างถือป้ายประท้วงที่มีข้อความ อาชญากรรมของรัฐและ เปนญาออกไปในขณะที่เดินไปตามถนน the Paseo de la Reforma เส้นหลัก  และในขณะเดียวกันผู้ประท้วงยังกล่าวตะโกนไปด้วยว่า พวกมันเอาเด็กนักศึกษาเหล่านั้นไปในตอนที่ยังมีชีวิต พวกมันต้องเอาพวกเขากลับในสภาพที่ยังมีลมหายใจด้าน โฆษกครอบครัวนักศึกษาฝึกหัดครูอิกัวลา เฟลิเป เด ลา กรูซ (Felipe de la Cruz) ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า เรายังไม่หยุดการค้นหาสื่อกาตาร์รายงานเพิ่มเติมว่า สังคมเม็กซิกันไม่พอใจเพิ่มมากขึ้น จากการที่คดีนักศึกษาหายตัวได้เปลือยให้ประชาชนเห็นถึงสภาพย่ำแย่ของระบบกระบวนการยุติธรรมเม็กซิกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดับความฝันของเปนญาที่ต้องการให้พลเมืองเม็กซิกันลืมถึงสภาพความโหดร้ายที่คนเหล่านั้นต้องทนอยู่กับการตกเป็นเหยื่อลักพาตัว ถูกทรมานอย่างหนัก และโดนสังหาร รวมไปถึงร่างยังถูกทำลายด้วยการฝังหมู่หรือทิ้งน้ำของฝีมือกลุ่มค้ายาเสพติดเม็กซิกันที่แพร่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และหนึ่งในผู้ประท้วงเข้าร่วมครบรอบ 1 ปี Moises Acosta วัย 30 ปี ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจว่า ผู้คนเหล่านี้กลับมาเพื่อบอกกับประธานาธิบดีเม็กซิโก เปนญา เนียโต ว่า พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของเขา เพราะประชาชนไม่ได้ปัญญาอ่อน!และเสริมต่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เม็กซิโกต้องลงมือจัดการในเรื่องนี้ เพราะประชาชนไม่สามารถกระเดือกคำโกหกที่ภาครัฐพยายามยัดเยียดให้ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ครอบครัวนักศึกษาฝึกหัดครู 43 คน เรียกร้องให้รัฐบาลเปนญาทำการสอบสวนคดีใหม่อีกครั้ง แต่กลับเป็นว่าทางภาครัฐประกาศตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อดูแลในเรื่องนี้แทน
สื่อกาตาร์รายงานเพิ่มเติมว่า ในวันศุกร์(25)รัฐบาลเม็กซิโกยอมรับว่า เป็นการยากที่จะระบุยืนยันถึง DNA ของเหยื่อเหล่านั้นเนื่องมาจากไม่มีหลักฐานหลงเหลือมากหลังจากที่ร่างของนักศึกษาเหล่านั้นถูกทำลายไปแล้ว และเป็นเหตุให้ทำให้ครอบครัวผู้สูญหายต่างยืนกรานปฎิเสธยอมรับคำกล่าวอ้างของเปนญาที่ว่า ลูกของพวกเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว และในวันเดียวกัน(25) รัฐบาลเม็กซิโกแถลงว่า จะส่งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์รอบใหม่ไปให้ผู้เชี่ยวชาญประจำมหาวิทยาลัยอินซบรูกส์ ออสเตรียเพื่อพิสูจน์  อัลญะซีเราะฮ์ชี้ว่า คดี 43 นักศึกษาฝึกหัดตัวครูอิกัวลาที่รัฐบาลเม็กซิโกอ้างว่าคนทั้งหมดถูกสังหาญหมู่ได้กลายเป็นเครื่องบ่งชี้ถึง "ความไม่เอาไหนและความฉ้อฉลในภาครัฐ" ซึ่งตัวผู้นำเม็กซิโก เปนญา เนียโต ได้ถูกสังคมเม็กซิโกตรวจสอบอย่างหนักและประณามอย่างดุเดือด หลังจากที่มีการเปิดโปงถึงความไม่ชอบมาพากลของการได้มาคฤหาสน์หลังงามของภรรยาเปนญา และบ้านหลังโตของรัฐมนตรีการเงินในคณะรัฐมนตรี ซึ่งคนทั้งคู่ได้ซื้อต่อมาจากคอนแทรกเตอร์ของรัฐบาลเม็กซิโก ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีเม็กซิโกได้ร่วมรำลึกครบรอบ 1 ปีของการหายตัวนักศึกษาเม็กซิโก ด้วยการประกาศแถลงผ่านทวิตเตอร์ จะนำตัวผู้มีส่วนรับผิดชอบมาลงโทษ ฟ็อกซ์นิวส สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ญาตินักศึกษาฝึกหัดครูอิกัวลาได้เริ่มต้นการประท้วงกดดันอย่างหนักหน่วงตั้งแต่วันพุธ(23)ด้วยการ อดอาหารและเพิ่มข้อเรียกร้องในวันครบรอบ 1 ปีการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทางครอบครัวของเหยื่อลักษาพตัวได้ประกาศกดดันเพิ่มอีก 8 ข้อต่อผู้มีอำนาจรัฐเพื่อให้ลงมือจัดการสางคดีนี้ในทันที ซึ่งรวมไปถึงการยื่นให้ทางภาครัฐออกคำสั่งให้หน่วยงานพิเศษ เริ่มต้นค้นหานักศึกษาทั้ง 43 คนใหม่อีกครั้ง โดยในการทำงานต้องมีทีมสังเกตการณ์นานาชาติร่วมประกบการทำงานไปด้วยทุกครั้ง
       
เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย ปรากฏตัวเคียงข้าง มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ที่สำนักงานใหญ่เฟซบุ๊กในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันอาทิตย์ (27 ก.ย.) โดยกล่าวยกย่องโซเชียลมีเดียว่าเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแวดวงการเมืองในยุคนี้ บรรดาแขกในงานซึ่งมีเฉพาะผู้ที่ได้รับบัตรเชิญเท่านั้นต่างลุกขึ้นปรบมือและรัวชัตเตอร์เก็บภาพ ขณะที่ โมดี เดินเคียงคู่ไปกับ ซักเกอร์เบิร์ก  ผมขอบอกกล่าวไปถึงผู้นำทั่วโลกว่า ท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยหากยังปฏิเสธสื่อสังคมออนไลน์ ผู้นำอินเดียซึ่งให้ความสนใจด้านเทคโนโลยีเป็นพิเศษ กล่าวบนเวทีเสวนาในสไตล์ถาม-ตอบ สื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันมีอิทธิพลถึงขนาดบอกให้รัฐบาลทราบได้ว่าพวกเขากำลังดำเนินนโยบายผิดทางซึ่งทำให้ผู้บริหารประเทศมีโอกาสแก้ตัวได้ทัน” “ถ้าคุณรู้จักใช้มัน คุณก็จะได้รับประโยชน์ เพราะเวลานี้เราต้องการข้อมูลแบบเรียลไทม์โมดี วัย 65 ปี ซึ่งมีแฟนคลับในเฟซบุ๊กมากถึง 30 ล้านคน และโพสต์ทวิตเตอร์หลายครั้งต่อวันกล่าว  นายกฯ โมดี ใช้เวลา 1 ชั่วโมงของการเสวนาเพื่อโปรโมตโครงการ ดิจิตอล อินเดียและแสดงให้เห็นว่าอินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการลงทุน  อย่างไรก็ตาม โมดี และ ซักเกอร์เบิร์ก ยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว โดยซีอีโอเฟซบุ๊กได้ชี้ไปยังบิดามารดาของตนซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มผู้ฟังด้วย พร้อมถามถึงมารดาของนายกฯ อินเดียว่าเป็นอย่างไรบ้าง  มารดาของ โมดี เวลานี้อายุล่วงเลยกว่า 90 ปี ส่วนบิดาของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว  ผู้นำอินเดียเล่าว่า ตนมาจากครอบครัวที่ฐานะยากจน และสมัยเด็กๆ เคยทำอาชีพขายชาอยู่ที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง ด้าน ซักเกอร์เบิร์ก ก็เปิดประเด็นสนทนาด้วยการเล่าเหตุการณ์เมื่อราวๆ 10 ปีก่อน ตอนที่เฟซบุ๊กกำลังผ่านช่วงเวลายากลำบาก ถึงขั้นที่เขาคิดจะขายกิจการทิ้ง ซีอีโอเฟซบุ๊กเล่าว่า เขาได้ไปขอคำปรึกษาจาก สตีฟ จ็อบส์หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท แอปเปิล ซึ่งแนะนำให้เขาเดินทางไปที่วัดหลายแห่งในอินเดีย  ผมก็ไป และใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวประมาณ 1 เดือน... ผมได้เห็นผู้คนมากมาย ได้รู้ว่าพวกเขาติดต่อสัมพันธ์กันอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำอยู่ และเป็นสิ่งที่ผมจดจำตลอดมา  ผู้นำอินเดียได้เอ่ยถึงความปรารถนาที่จะทำให้ทุกๆ หมู่บ้านของอินเดียเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยเครือข่ายไฟเบอร์อ็อพติก และสนับสนุนความเท่าเทียมสำหรับผู้หญิงในอินเดีย การบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจคงทำไม่ได้ ตราบใดที่ประชากร 50 เปอร์เซ็นต์ของประเทศยังถูกขังเอาไว้ในบ้าน  โมดี ยังเอ่ยแบบติดตลกว่า ในขณะที่หลายศาสนาของโลกบรรยายภาพเทวดาต่างๆ เป็นเพศชายเสียส่วนใหญ่ แต่อินเดียไม่เคยขาดแคลน เทวนารี  สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำให้สำเร็จ คือเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีส่วนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ  นายกฯ อินเดียได้เดินทางไปทัวร์ ซิลิคอน แวลลีย์ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกบริเวณตอนใต้ของพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก ก่อนจะเดินทางไปเข้าประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก และพบปะกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในวันนี้ (28 ก.ย.) รายงานข่าวล่าสุดยืนยันแล้วว่า กลุ่มการเมือง “Junts pel Si” ซึ่งมีจุดยืนต้องการแบ่งแยกดินแดนแคว้นกาตาลุนญาออกจากการปกครองของสเปน สามารถคว้าได้ถึง 62 ที่นั่งจากการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาของแคว้นที่มั่งคั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปนแห่งนี้ที่มีทั้งหมด 135 ที่นั่ง  ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายอย่างพรรค “CUP” ซึ่งก็สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชเช่นกัน คว้ามาได้ 10 ที่นั่ง  ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่ออกมาหมายความว่า พรรคการเมืองที่มีจุดยืน โปรการเป็นเอกราชของแคว้นกาตาลุนญา สามารถกวาดที่นั่งจากการเลือกตั้งคราวนี้ไปได้รวมกันถึงร้อยละ 47.33 หรือเกือบครึ่งหนึ่งของคะแนนโหวตทั้งหมด  ด้านอาร์ตูร์ มัส รักษาการหัวหน้ารัฐบาลแคว้นกาตาลุนญา ออกมาเปิดเผยว่า ผลการเลือกตั้งระดับแคว้นที่ออกมาล่าสุดนี้ บ่งชี้ว่าประชาชนชาวกาตาลุนญาส่วนใหญ่ในเวลานี้สนับสนุนการแยกตัวเป็นประเทศเอกราช  ทั้งนี้ พรรคการเมืองทั้งสองพรรคดังกล่าวซึ่งมีจุดยืนหนุนการแยกดินแดน ประกาศจะเดินหน้าจัดการประกาศเอกราชแบบฝ่ายเดียวภายในระยะเวลา 18 เดือนนับจากนี้แม้รัฐบาลกลางของสเปนที่กรุงมาดริด ยืนยันจะขัดขวางด้วยกระบวนการทางศาลและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ระบุว่าการแยกดินแดนเป็นสิ่งที่มิอาจกระทำได้

เอเจนซีส์ - ทางการชิลีรายงานยอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.3 ที่นอกชายฝั่งเมื่อคืนวันพุธ (16 ก.ย.) ซึ่งส่งผลให้มีการประกาศเตือนความเสี่ยงคลื่นสึนามิในหลายประเทศรอบมหาสมุทรแปซิฟิก และคาดว่าคลื่นอาจเดินทางไปไกลถึงญี่ปุ่น เตรียมอพยพคนนับล้าน  เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุชายวัย 86 ปีเสียชีวิตเนื่องจากหัวใจวายที่กรุงซันติอาโก ส่วนที่เมืองอิลลาเปล (Illapel) ซึ่งอยู่ห่างศูนย์กลางแผ่นดินไหวเพียง 46 กิโลเมตร นายกเทศมนตรีได้แจ้งผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่นว่า มีสตรีวัย 26 ปีเสียชีวิตจากการถูกกำแพงล้มทับ และมีผู้บาดเจ็บอีกราวๆ 15 คน เมืองแห่งนี้ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงซันติอาโกไปทางเหนือ 210 กิโลเมตรต้องเผชิญปัญหาไฟฟ้าดับและน้ำประปาไม่ไหล บ้านเรือนหลายหลังได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือน ขณะที่ชาวบ้านต่างพากันวิ่งหนีออกมาอยู่ตามท้องถนน  แหล่งข่าวของรอยเตอร์ระบุว่า แรงสั่นไหวของแผ่นดินสามารถรับรู้ไปได้ไกลถึงกรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินาซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 1,400 กิโลเมตรบนชายฝั่งทะเลตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเมืองวัลปาไรโซของชิลีไปทางทิศเหนือ 105 กิโลเมตร โดยเกิดที่ความลึกเพียง 25 กิโลเมตร และในเบื้องต้นสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) วัดความรุนแรงได้เพียง 7.9 บริษัท โกเดลโก ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเหมืองของชิลีได้สั่งอพยพคนงานออกจากโรงหลอมภายในเมืองเวนตานาส และหยุดงานที่เหมืองอันดินาชั่วคราว ทว่า หน่วยอื่นๆ ยังคงปฏิบัติงานกันตามปกติ ขณะที่บริษัทเหมืองแร่ อันโตฟากัสตา พีแอลซี ก็ได้สั่งระงับการดำเนินงานที่เหมืองทองแดง ลอส เปลัมเบรส จนถึงช่วงเช้าเพื่อรอประเมินความเสียหาย คลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวเริ่มเดินทางถึงชายฝั่งชิลี โดยมีรายงานน้ำทะเลไหลหลากเข้าท่วมถนนหลายสายที่อยู่ติดชายหาด ขณะที่กองทัพเรือชิลีแจ้งว่ามีคลื่นสูงประมาณ 4.5 เมตรซัดเข้าสู่ชายฝั่งเมืองโกควิมโบ (Coquimbo)  ทางการเปรูได้ยกเลิกคำเตือนสึนามิ โดยคาดว่าจะมีคลื่นสูงไม่เกิน 1 เมตรซัดเข้าสู่ฝั่งในอีกไม่นานนี้  ด้านศูนย์เตือนภัยสึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิกประกาศว่า อาจมีคลื่นสูงถึง 1-3 เมตรซัดชายฝั่งหมู่เกาะเฟรนช์โปลินีเซียในเวลา 8.00 GMT ส่วนที่รัฐฮาวายคาดว่าจะมีคลื่นสูงไม่เกิน 1 เมตรซัดเข้าชายฝั่งในเวลา 3.06 น. ตามเวลามาตรฐานท้องถิ่น (13.06 GMT) ในวันนี้ (17) USGS ระบุว่า หลังแผ่นดินไหวระลอกแรกผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมงได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกติดตามมาอีก 3 ครั้ง โดยวัดความรุนแรงได้ไม่เกิน 6.1 ตามมาตราแมกนิจูด และยังคงมีแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆ ตามมาอีกเป็นระยะ

(หมายเหตุ อ้างอิงและคัดลอกจากแปลข่าวคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ผู้จัดการออนไลน์)

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (วิกฤติไฟป่าที่แคลิฟอร์เนีย,เครนก่อสร้างล้มทับแกรนด์มัสยิดที่นครเมกะ,คุณหญิงหมอให้การเป็นพยานคดีนักท่องเที่ยวอังกฤษถูกฆ่าที่เกาะเต่า,รำลึกเหตุการณ์ 11 กันยา,วิกฤติผู้อพยพในอียู,ญี่ปุ่นเจอ 2 เด้งแผ่นดินไหวและน้ำท่วมหนัก)


เอพี / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วิกฤตไฟป่าครั้งเลวร้ายที่ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนหลายพันคนต้องถูกอพยพออกนอกพื้นที่ ขณะที่ผู้ว่าการรัฐต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า เจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินในวันอาทิตย์ ( 13 ก.ย.) หลังวิกฤตการลุกลามของไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนียทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของมลรัฐ และพบการลุกลามของไฟป่าเข้าใกล้เขตที่อยู่อาศัยของประชาชนหลายจุด เป็นเหตุให้ต้องมีการอพยพประชาชนจำนวนหลายพันคนออกนอกพื้นที่ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย คำแถลงของผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 3,850 นายยังคงเร่งทำงานแข่งกับเวลาเพื่อหาทางควบคุมการลุกลามของไฟป่าในแคลิฟอร์เนียให้อยู่ในวงจำกัด แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ คือ กระแสลมที่พัดแรงและสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งซึ่งเอื้อต่อการลุกลามขยายวงกว้างของไฟป่าครั้งนี้ ซึ่งถือได้ว่า มีความรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึงขณะนี้ ทีมสืบสวนของรัฐแคลิฟอร์เนียได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เหตุไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐในครั้งนี้มีสาเหตุมาจาก ฟ้าผ่าที่เขตเลค เคาน์ตี้ ซึ่งอยู่ห่างจากนครซานฟรานซิสโกไปทางเหนือราว 160 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนจะลุกลามเผาผลาญพื้นที่ป่าไปแล้วไม่น้อยกว่า 521 ตารางกิโลเมตร ขณะที่สัดส่วนของไฟป่าที่สามารถควบคุมได้แล้วในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเพิ่งอยู่ที่ราว 20 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 1 ใน 5 ของการลุกลามทั้งหมดในวันเสาร์ (12 ก.ย.) ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่า ตลอดช่วงสุดสัปดาห์นี้มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่ควบคุมไฟป่าแล้วหลายรายซึ่งทั้งหมดต้องถูกนำตัวออกจากพื้นที่โดยเฮลิคอปเตอร์เพื่อนำส่งยังโรงพยาบาล และส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลถูกเพลิงไหม้ในระดับที่รุนแรงแตกต่างกันออกไป
เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากอุบัติเหตุเครนก่อสร้างล้มลงทับ แกรนด์มัสยิดของนครเมกกะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในซาอุดีอาระเบียเมื่อวันศุกร์ ( 11 ก.ย.) ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 107 รายแล้ว (ตัวเลขยังไม่นิ่ง) รายงานข่าวล่าสุดที่มีการเผยแพร่ในคืนวันเสาร์ ( 12 ก.ย.) โดยสำนักข่าวเอสพีเอของทางการซาอุดีอาระเบียระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมที่แกรนด์มัสยิดในนครเมกกะได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 107 รายแล้ว ขณะที่จำนวนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บล่าสุด ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างน้อย 238 ราย ด้านแหล่งข่าวในรัฐบาลซาอุดีอาระเบียออกมาเปิดเผยที่กรุงริยาดห์ โดยยอมรับว่า อุบัติเหตุเครนก่อสร้างล้มลงทับ แกรนด์มัสยิด ของนครเมกกะในครั้งนี้ เกิดจากสาเหตุคือลมที่พัดกระโชกแรง และพายุฝนที่พัดกระหน่ำอยู่ในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับรายงานของสื่อสำนักต่าง ๆ ในเวลานี้ รวมถึง สถานีโทรทัศน์อัล อาราบียา ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (11) หน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนของซาอุดีอาระเบียเปิดเผยผ่าน ทวิตเตอร์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตในเวลานั้นอยู่ที่อย่างน้อย 65 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุคราวนี้อีก 154 คน อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาทางหัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว ออกมาแก้ไขตัวเลขอีกครั้งในวันเดียวกัน โดยระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 87 ราย และบาดเจ็บ 183 คน เหตุการณ์สลดนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่มุสลิมหลายล้านคนจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นปกติที่ในวันศุกร์ แกรนด์มิสยิดแห่งเมกกะจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน เนื่องจากเป็นวันสวดมนต์ประจำสัปดาห์ของชาวมุสลิม ทั้งนี้ แกรนด์มัสยิดเป็นที่ตั้งของกะอ์บะฮ์ อาคารทรงลูกบาศก์ ก่อสร้างด้วยก้อนหินที่ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งชาวมุสลิมทั่วโลกจะสวดมนต์ภาวนาที่หันไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งนี้ รายงานข่าวระบุว่า เครนก่อสร้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการขนาดยักษ์ของทางการซาอุฯ เพื่อขยายเนื้อที่ของมัสยิดใหญ่แห่งนครเมกกะอีก 400,000 ตารางเมตร เพื่อให้สามารถรองรับนักแสวงบุญได้สูงสุดถึง 2.2 ล้านคน

อเจนซีส์ คุณหญิงหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ของไทย ออกมายืนยันล่าสุดว่า ผล DNA ซอลิน และเวพิว ของสองแรงงานพม่าผู้ต้องสงสัยสังหารนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์ บนเกาะเต่านั้นไม่ตรงกับหลักฐานบนจอบของกลาง ในขณะที่ซอลินได้เปิดเผยต่อศาลเกาะสมุยว่า โดนตำรวจไทยจับเปลือย และใช้ถุงพลาสติกครอบหัว รวมไปถึงปิดตาและเตะต่อย พร้อมขู่เอาชีวิต บังคับให้รับสารภาพ เดอะวีก สื่ออังกฤษรายเมื่อวานนี้(11)ว่า คุณหญิงหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ขึ้นให้การต่อศาลเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานีในวันศุกร์(11)ถึงผลการตรวจ DNA ของสองผู้ต้องสงสัยแรงงานพม่าในคดีเกาะเต่า ซึ่งคุณหญิงหมอพรทิพย์ได้กล่าวว่า DNA จำนวน 2 ตัวอย่างที่ถูกพบบนอาวุธสังหาร จอบนั้น ตัวอย่างแรกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ในขณะที่ตัวอย่างที่สองอยู่ในสภาพที่ใช้ได้แค่บางส่วน แต่ทว่า "ตัวอย่าง DNA ทั้งสองกลับไม่ตรงกับ DNA ของซอลิน และเวพิว" แรงงานพม่าที่ถูกตำรวจสอบสวนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรสังหาร แต่อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไทยยืนยันว่า DNA ของผู้ต้องสงสัยตรงกับ DNA ที่ถูกพบบนร่างของเหยื่อผู้เสียชีวิต นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์  และในศาลเกาะสมุยที่มีการไต่สวนในคดีเกาะเต่าในวันศุกร์(11) ยังมีการให้ข้อมูลด้วยว่า เจ้าหน้าที่ไทยได้จัดการอย่างไม่เหมาะสมต่อสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไม่ทดสอบรอยคราบเลือดที่ถูกพบในที่เกิดเหตุ และมีการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ร่าง และเป็นเหตุทำให้หลักฐานสำคัญทางนิติวิทยาศาสตร์ถูกทำลาย แพทย์หญิงพรทิพย์กล่าว และนอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ไทยยังให้การต่อว่า เจ้าหน้าที่ไทยยังไม่ถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุจำนวนมากพอเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์สถานที่เกิดเหตุได้ ซึ่งแคธี สตอลลาร์ด (Katie Stallard) นักข่าวสกายนิวส์ของอังกฤษประจำภูมิภาคเอเชียให้ความเห็นว่า การไต่สวนล่าสุดของคดีเกาะเต่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่พบว่า ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ขึ้นให้การขัดแย้งในประเด็นสำคัญกับการทำคดีเกาะเต่าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้จากการรายงานของเดลี เทเลกราฟ สื่ออังกฤษ ได้ระบุว่า จำเลยชาวพม่าทั้งสองเคยอ้างว่า ถูกตำรวจไทยทรมานเพื่อให้ยอมรับสารภาพ โดยการให้การในชั้นศาลในวันศุกร์(11) ซอลิน จำเลยชาวพม่าอ้างว่า ในคืนเกิดเหตุหลังจากที่เขาได้เลิกจากงาน เขาได้ร่วมดื่มกับเวพิวเพื่อนชาวพม่าในบริเวณชายหาดที่เกิดเหตุ แต่ทว่าอัยการฝ่ายไทยกลับโต้ว่า คนทั้งคู่สังหารวิทเธอริดจ์และมิลเลอร์หลังจากพบภาพที่คนทั้งคู่กำลังมีเพศสัมพันธ์ และนอกจากนี้ ซอลินยังให้การต่อศาลไทยอีกว่า เขาถูกตำรวจสอบสวนจับเปลื้องเสื้อผ้าเพื่อให้ได้รับความอับอาย และยังใช้ถุงพลาสติกคลอบไว้ทั้งศรีษะพร้อมกับตะโกนถามว่า มึงทำใช่ไม้และจำเลยชาวพม่ายังเปิดเผยต่อศาลไทยต่อโดยอ้างว่า เขาถูกมัดปิดตา และโดนเตะต่อยทำร้าย และยังถูกขู่จะเอาชีวิตว่า เขาจะโดนสังหารและร่างจะถูกโยนลงทะเลเสียหากไม่ยอมรับในข้อกล่าวหา โดยซอลินระบุว่า ตำรวจไทยบอกว่า หากผมยอมรับกระทำผิด ผมจะถูกติดคุกเพียงแค่ 4-5 ปีเท่านั้นก่อนได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเดอะวีกรายงานเพิ่มเติมว่า ครอบครัวของมิลเลอร์ได้บินมาร่วมการฟังการไต่สวนที่ศาลเกาะสมุย ในขณะที่ครอบครัวของวิทเธอริดจ์ชมการไต่สวนผ่านทางวิดีโอลิงก์จากอังกฤษ และเป็นที่คาดว่า เวพิวจะขึ้นให้การต่อศาลเกาะสมุยถึงการโดนตำรวจทรมานเพื่อให้รับสารภาพเช่นเดียวกับซอลินในวันถัดไป ด้าน คิงสลี แอบบ็อต ( Kingsley Abbott)ที่ปรึกษาด้านกฎหมายจากองค์กรคณะกรรมาธิการลูกขุนระหว่างประเทศได้ให้ความเห็นในเรื่อง ผู้ต้องสงสัยชาวพม่าถูกทรมานเพื่อรับสารภาพว่า ในประเด็นการที่ผู้ต้องหาถูกทรมานนั้น เห็นควรให้มีการดำเนินการตรวจสอบภายใต้กฎหมายอนุสัญญาสากลว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel) นอกจากนี้ เดอะวีกยังรายงานเพิ่มเติมว่า เดลีเทลีกราฟได้ชี้ในประเด็นว่า รัฐบาลทหารของไทยพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ทุกฝ่ายเชื่อว่า คดีสังหารนักท่องเที่ยวอังกฤษบนเกาะเต่าได้ยุติแล้วในเมื่อครั้งที่ซอลิน และเวพิวถูกจับกุม พร้อมกับทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเชื่อว่า พวกเขาจะปลอดภัยในขณะที่ท่องเที่ยวในไทย


เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวานนี้(11)นอกจากมีการลดธงชาติครึ่งเสาทั่วประเทศ รวมไปถึงการจัดพิธีรำลึกครบรอบ 11 กันยายน ที่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา และสุภาพสตรีหมายเลข 1 เข้าร่วมแล้ว ยังมีการเปิดลำแสงไฟสีฟ้าคู่เหนือมหานครนิวยอร์กที่เป็นงานศิลปะที่น่าตื่นตาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงตึกเวิล์ดเทรดเซนเตอร์ และในการรำลึกปีนี้ยังมีการเชิญ บริตนี (Bretagne)พันธุ์โกลเดนรีทริฟเวอร์ สุนัขกู้ภัยในเหตุการณ์ 9/11 ที่เหลืออยู่เป็นตัวสุดท้ายจากทั้งหมดกว่า 300 ตัว กลับมายังนิวยอร์กเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 16 ปี เดลีเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(12)ว่าถึงจะผ่านไป 14 ปี แต่ความเจ็บปวดและความฝังใจยังคงมีอยู่ เมื่อวานนี้(11)ประชาชนชาวอเมริกัน และสหรัฐฯได้ร่วมกันทั่วประเทศจัดงานรำลึกการถูกก่อการร้ายครั้งแรกบนแผ่นดินอเมริกาโดยกลุ่มก่อการร้าย และในการรำลึกยังมีการจัดแสดงไฟขึ้น ซึ่งงานศิลปะ 'Tribute in Light' ลำแสงไฟสีฟ้าคู่ที่เกิดจากการติดตั้งไฟส่องค้นหาจำนวนถึง 88 อัน ส่องขึ้นสู่ฟ้าเหนือมหานครนิวยอร์กในยามค่ำคืน ซึ่งคาดว่าจะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของตึกแฝดเวิร์ดเทรดและเหยื่อผู้เสียชีวิตบนตึกร่วม 2,983 คนที่ถูกกลุ่มอัลกออิดะห์ทำลายในวันที่ 11 กันยายน 2001 ด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารพุ่งเข้าชน  'Tribute in Light' งานศิลปะที่ใช้ท้องฟ้าอเมริกาเป็นเสมือนผืนผ้าใบทำให้เกิดลำแสงสีฟ้าพุ่งสู่ด้านบนราว 4 ไมล์ และต้องใช้ไฟฟ้าในการจัดแสดงครั้งนี้ถีง 7,000 วัตต์ ที่ถูกรังสรรค์โดย จอห์น เบนเนตต์ (John Bennett) กัสตาโว โบเนวาร์ดี (Gustavo Bonevardi) ริชาร์ด นาช คูล์ด (Richard Nash Gould) จูเลียน ลาเวอร์ดิแอร์( Julian Laverdiere) พอล ไมโอดา (Paul Myoda) และพอล มารานต์ส(Paul Marantz ) สื่ออังกฤษรายงานต่อว่า การเริ่มจัดแสดงงานศิลปะ 'Tribute in Light' มีขึ้นครั้งแรกในวันที่ 11 มีนาคม 2002 หรือ 6 เดือนนับเกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่นี้ ซึ่งในปีนี้มีการจัดแสดงลำแสงคู่ตั้งแต่คืนวันพุธ(9) และในพิธีการจัดงานรำลึกที่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา และสุภาพสตรีหมายเลข 1 เป็นผู้นำการหยุดสงบนิ่ง รวมไปถึงการอ่านคำไว้อาลัยของญาติผู้เสียชีวิตที่ยังไม่คลายความโศกเศร้าถึงการจากไปของคนที่รักในปีที่ 14 และนอกจากนี้ในวันศุกร์(11)สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆในสหรัฐฯต่างพร้อมใจถ่ายทอดการรายงานข่าวสดที่เกิดขึ้นในขณะที่ตึกเวิล์ดเทรดกำลังโดนโจมตีอีกครั้งเพื่อให้ระชาชนอเมริกันต่างรำลึกถึง และเป็นปีที่ 14 ที่สหรัฐฯยังคงต้องอยู่กับความหวาดระวังท่ามกลาง "IS" กลุ่มก่อการร้ายหน้าใหม่ที่ก้าวเข้ามาแทนที่ และทำให้รัฐบาลสหรัฐฯของโอบามาต้องชั่งใจว่าจะส่งกองกำลังกลับเข้าสู่ภาคพื้นตะวันออกกลางเพื่อกวาดล้างกลุ่มเหล่านี้หรือไม่ และในการฉลองร่วมรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ยาฮูนิวส์ สื่อสหรัฐฯรายงานก่อนหน้านี้ในวันศุกร์(11)ว่า สุนัขกู้ภัยและค้นหาในเหตุการณ์ 9/11 ที่มีชีวิตรอดอยู่เป็นตัวสุดท้ายได้บินกลับมายังมหานครนิวยอร์กในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อร่วมจัดงานวันเกิดครบรอบ 16 ปีให้กับเธอ บริตนี (Bretagne)พันธุ์โกลเดนรีทริฟเวอร์ เป็นหนึ่งในสุนัขคนหากว่า 300 ตัวที่ถูกระดมไปช่วยในเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยในขณะนั้นบริตนีได้ทำงานคู่กับเดนิซ คอร์ลิซ (Denise Corliss ) เจ้าหน้าที่ฟีมา(FEMA)หน่วยงานจัดการฉุกเฉินแห่งชาติสหรัฐฯประจำรัฐเทกซัส ซึ่งในเวลาต่อมาหลังจากที่บริตนีได้เกษียณอายุจากการทำหน้าที่ในปี 2008 คอร์ลิซได้ติดต่อหน่วยงานสังกัดของบริตนีเพื่อขอรับอุปการะเธอต่อไป สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า การจัดงานเพื่อร่วมฉลองวันเกิดให้กับบริตนีนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างสื่ออนไลน์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง BarkPost และโรงแรมเซนทรัลปาร์ก ซึ่งบริตนีได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นนับตั้งแต่ลงจากเครื่อง โดยมีป้ายต้อนรับเป็นไฟกระพริบ และฝูงชนที่ถือป้ายยินดีคอยต้อนรับบริตนี และยาฮูนิวส์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า และในทันทีที่บริตนีที่เดินทางมาพร้อมกับคอร์ลิซได้เดินทางด้วยรถลีโมซีนคันยาวไปยังโรงแรมเซนทรัลปาร์กอันสุดหรู และทั้งคู่ได้รับการกล่าวต้อนรับกับกลุ่มพนักงานโรงแรมอย่างอบอุ่น  และต่อจากนั้น บริตนีพร้อมกับเพื่อน 2 ขาถูกนำไปยังห้องพักอันโอ่โถง พร้อมกับของขบเคี้ยวสำหรับสุนัขที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อม ก่อนจะมีพนักงานเสริฟของโรงแรมประคองถาดเงินนำแฮมเบอร์เกอร์สเปชียลมาเสริ์ฟให้กับบริตนีถึงภายในห้องพัก และสื่อสหรัฐฯยังระบุว่า บริตนีได้มีโอกาสไปเยือนย่านไทม์สแคว นิวยอร์ก และพบกับผู้คนมากมายที่ต่้างทักทายเธออย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อเธอลงจากรถบริตนีพบภาพโปสเตอร์รูปของเธอและคู่หูเมื่อ 14 ปีมาแล้วติดตั้งเหนืออาคารสูง ทั้งนี้จากประวัติการทำงานของบริตนีในฐานะสุนัขกู้ภัย พบว่าเธอได้ผ่านงานภาคสนามมาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2002 ที่ซอล์ตเลกซิตี และในการค้นหาเหตุการณ์พายุเฮอริเคน ริตา ในปี 2005 เป็นต้น และในเดือนกันยายน 2014 บริตนีและคอร์ลิซได้มีโอกาสหวนกลับไปยังกราวซีโรอีกครั้งเมื่อบรินีถูกเสนอชื่อในรอบสุดท้ายได้รับรางวัลสุนัขผู้กล้าจากสมาคม the American Humane Association ซึ่งถือเป็นการเยือนสถานที่นี้ของคนทั้งคู่ในรอบ 13 ปี
เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีคมนาคมเยอรมนีโจมตีอียู ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันพรมแดนด้านนอก พร้อมเรียกร้องมาตรการยับยั้งคลื่นผู้อพยพไหลทะลัก ขณะเดียวกัน มิวนิกระบุถึงขีดจำกัดในการรองรับผู้อพยพแล้ว ด้านสื่อกรีซรายงานเหตุเรือผู้อพยพล่มนอกชายฝั่งเมื่อเช้าวันอาทิตย์ (13 ก.ย.) พบผู้เสียชีวิต 28 ราย รวมถึงเด็ก 1 คน อเล็กซานเดอร์ โดบรินต์ รัฐมนตรีคมนาคมเยอรมนีแถลงเมื่อวันอาทิตย์ ว่า สหภาพยุโรป (อียู) จำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อหยุดยั้งคลื่นผู้อพยพ ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศต้นทางการอพยพ และการควบคุมพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขณะนี้ อียูล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปกป้องพรมแดนด้านนอก คำแถลงของโดบรินต์มีขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่ฮันส์-ปีเตอร์ ฟรีดริช รองหัวหน้าพรรคซีเอสยู ซึ่งเป็นพันธมิตรกับพรรคของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล วิจารณ์การตัดสินใจของแมร์เคลว่า เป็น ความผิดพลาดทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อประเทศ การตัดสินใจดังกล่าวคือการอ้าแขนรับผู้ลี้ภัย ซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์นับจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยคาดว่า ปีนี้จะมีผู้ขอลี้ภัยในเยอรมนีสูงถึง 800,000 คน นอกจากนี้ โดบรินต์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคซีเอสยูเช่นเดียวกัน ยังเตือนว่า เยอรมนีใกล้ถึงขีดจำกัดในการรองรับแล้ว หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) ผู้ลี้ภัยกว่า 12,200 คน เดินทางถึงมิวนิก เมืองหลวงของรัฐบาวาเรียที่อยู่ทางใต้ของเยอรมนี  คำเตือนดังกล่าวได้รับการขานรับจากโฆษกสำนักงานตำรวจมิวนิกที่กล่าวในวันเดียวกันว่า เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า มิวนิกกำลังจะถึงขีดจำกัดสูงสุดในการรองรับผู้อพยพ โดยคาดว่า จะมีผู้อพยพเดินทางมาเพิ่มในวันอาทิตย์อีกหลายร้อยคน โฆษกสำนักงานตำรวจมิวนิกเสริมว่า เป้าหมายขณะนี้คือ การนำผู้อพยพเดิมออกจากเมืองเพื่อเตรียมพร้อมรองรับผู้อพยพกลุ่มใหม่  ทั้งนี้ มิวนิกเป็นจุดรองรับสำคัญสำหรับผู้ลี้ภัยที่เดินทางโดยรถไฟผ่านฮังการีและออสเตรียเข้าสู่เยอรมนี เฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้อพยพเดินทางถึงสถานีรถไฟหลักของเมืองนี้ถึงราว 20,000 คน คริสตอฟห์ ฮิลเลนแบรนด์ ประธานาธิบดีเขตอัปเปอร์ บาวาเรีย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนน์ทากที่พาดหัวบทความว่า มิวนิกใกล้ล่มโดยยอมรับว่า ไม่รู้จะรับมือคลื่นผู้อพยพอย่างไร  ขณะที่บีอาร์ สถานีทีวีของรัฐบาวาเรีย ขานรับว่า มิวนิกใกล้วิกฤตมนุษยธรรมเต็มที โดยขณะนี้ ทางการกำลังพิจารณาว่า จะเปิดโอลิมเปียฮอลล์ ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1972 และปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตหรือแข่งกีฬา เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ลี้ภัยหรือไม่  ขณะเดียวกัน มีรายงานจากเอเธนส์ นิวส์ เอเจนซี ว่า พบผู้อพยพจมน้ำเสียชีวิต 28 คน ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย 1 คน หลังจากเรือลำหนึ่งที่ขนผู้อพยพกว่า 100 คนพลิกคว่ำนอกชายฝั่งกรีซเมื่อเช้าวันอาทิตย์  รายงานระบุว่า หน่วยยามฝั่งกรีซสามารถช่วยเหลือผู้อพยพ 68 คนจากอุบัติเหตุดังกล่าวที่เกิดขึ้นใกล้เกาะฟาร์มาโคนิชี ทางใต้ของทะเลอีเจียน และอีก 29 คนว่ายน้ำขึ้นเกาะอย่างปลอดภัย  นอกจากนี้ หน่วยยามฝั่งกรีซยังคงค้นหาเด็ก 4 คนที่สูญหายหลังจากเรืออีกลำคว่ำนอกเกาะซามอสเมื่อวันเสาร์  เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกว่าสัปดาห์หลังจากภาพเด็กชายชาวซีเรียนอนคว่ำหน้าเกยตื้นบนหาดแห่งหนึ่งของซีเรีย สร้างความสะเทือนใจและทำให้ทั่วโลกหันมาใส่ใจกับโศกนาฏกรรมของผู้อพยพจริงจังขึ้น  องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานระบุว่า นับจากต้นปีจนถึงขณะนี้ มีผู้อพยพและผู้ลี้ภัยกว่า 430,000 คนข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่ยุโรป โดยที่ 2,748 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตหรือสูญหายระหว่างทาง  ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 1-2 เดือนที่ผ่านมา ข่าวการไหลบ่าเข้าสู่แผ่นดินยุโรปของ คลื่นผู้อพยพจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียที่หนีตายมาจากสงครามกลางเมืองในประเทศบ้านเกิดได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อทั่วโลกจับจ้องและติดตามนำเสนออย่างใกล้ชิด และว่ากันว่า นี่คือ หนึ่งในปรากฏการณ์อพยพย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ  แต่เดิมยุโรปต้องเผชิญกับวิกฤตผู้อพยพทางเรือที่มีจำนวนเป็นเรือนหมื่นจากทวีปแอฟริกา ซึ่งพากันลงเรือเดินทางรอนแรมข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาจากชายฝั่งตอนเหนือของกาฬทวีป และมีรายงานข่าวผู้อพยพจมน้ำเสียชีวิตอยู่เป็นระยะก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ ชายฝั่งของอิตาลีและกรีซ แต่ยังไม่ทันที่ยุโรปจะหาทางแก้ปัญหาผู้อพยพจากแอฟริกาดังกล่าวได้ลุล่วง ชาติในยุโรปก็มีอันต้องเผชิญกับวิกฤตการไหลบ่าครั้งใหม่จากทางทิศตะวันออก นั่นคือ คลื่นของผู้อพยพจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียและอิรักซ้ำเติมเข้าไปอีก และคลื่นผู้อพยพจากตะวันออกกลางนี้ที่ไหลบ่าเข้าสู่ยุโรปเป็นรายวัน ทั้งจากการเดินเท้าและการโดยสารเรือนี้ ถูกระบุว่า อาจมีจำนวนสูงถึงหลายแสนราย ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราต่างได้เห็นข่าวความพยายามนานัปการ ของรัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกในการดำเนินทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อสกัดกั้นขัดขวาง มิให้ผู้อพยพจากตะวันออกกลางซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้หนีภัยสงคราม ได้เดินทางเข้ามาหรือเดินทางผ่านเขตแดนของประเทศตน แต่จนแล้วจนรอด ดูเหมือนความพยายามขัดขวางทั้งปวงจะดูไม่เป็นผล เมื่อต้องเผชิญกับความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเหล่าผู้อพยพที่กำลังจนตรอกและพร้อมจะเดินหน้าแบบ ไม่มีอะไรจะเสียเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา ซึ่งนั่นก็คือ การได้อพยพไปตั้งรกรากและ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรปตะวันตก เมื่อการขัดขวางเริ่มไม่เป็นผล ประกอบกับการเผชิญกับแรงกดดันด้านมนุษยธรรมจากทุกฝ่ายรอบด้าน รวมถึง กระแสกดดันจากประชาชนจำนวนไม่น้อยในประเทศของตัวเอง ผู้นำของหลายชาติในยุโรปจึงเริ่มผ่อนคลายท่าทีและหันมาประกาศความช่วยเหลือต่อผู้อพยพกันอย่างขนานใหญ่ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็ก อย่างนางอังเกลา แมร์เคิลประกาศทุ่มงบ 6,000 ล้านยูโรช่วยเหลือผู้อพยพระลอกใหม่นับแสนคนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองด์ก็ประกาศจะรับผู้อพยพเรือนหมื่นเข้าประเทศ เช่นเดียวกับผู้นำของอีกหลายประเทศ รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวด้านความมั่นคงในรัฐบาลเยอรมนีระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ยุโรป อาจต้องรับมือกับคลื่นผู้อพยพจากตะวันออกกลางที่คาดว่าอาจมีจำนวนเบ็ดเสร็จสูงถึง 800,000 รายภายในสิ้นปี 2015 นี้ ซึ่งถือเป็นยอดผู้อพยพที่กว่ากันว่าสูงกว่าของเมื่อปีที่แล้วถึง 4 เท่าตัว ด้านอันโตนิว กูเตร์เรส ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ออกโรงขานรับว่า วิกฤตผู้ลี้ภัยที่ยุโรปกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ยังถือเป็นปัญหาที่ สามารถบริหารจัดการได้หากทุกประเทศในยุโรปร่วมกันแสดงออกถึงความรับผิดชอบ และเห็นพ้องในแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นเอกภาพร่วมกัน ถึงแม้ระบบรองรับผู้ลี้ภัยของยุโรปในขณะนี้จะอยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยไม่ต่างจากคนพิการ และยังมีหลายประเทศในยุโรปที่พยายาม ปัดสวะให้พ้นตัวอย่างไร้จิตสำนึก สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นข้อเสนอของฌอง โคล้ด ยุงค์เกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปคนปัจจุบันซึ่งเป็นชาวลักเซมเบิร์กที่เสนอให้มีการนำ ระบบโควตารับผู้อพยพภาคบังคับมาประกาศใช้ในหมู่ 28 ชาติสมาชิกของสหภาพยุโรป (European Union : EU) ซึ่งระบุว่า เยอรมนีและฝรั่งเศสในฐานะดินแดนที่มีขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคในยามนี้ จะต้องรับผู้อพยพเข้าประเทศไปมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนราว 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพจำนวน 120,000 – 160,000 รายที่เข้ามาปักหลักรออยู่แล้ว ในอิตาลี กรีซ ฮังการี และหลายชาติในยุโรปตะวันออกเวลานี้  ภายใต้แผนการนี้ของประธานคณะกรรมาธิการยุโรปคนปัจจุบัน เยอรมนีจะรับต้องผู้อพยพเข้าประเทศกว่า 31,000 คน ตามมาด้วยฝรั่งเศสราว 24,000 คน และสเปนอีกเกือบ 15,000 คน โดยที่มีข้อมูลว่ากว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพเหล่านี้มาจากซีเรีย อิรัก และอัฟกานิสถาน และเกือบทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า วิกฤตคลื่นผู้อพยพที่กว่ากันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงของมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุโรปกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้จะคลี่คลายลงไปในทิศทางใด และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด และต้องไม่ลืมว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ ต่างก็ต้องประสบกับความเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้อพยพที่ต้องละทิ้งทุกอย่างในประเทศบ้านเกิดและหนีมา ตายเอาดาบหน้าเพื่อหวังมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า รวมถึงฝ่ายรัฐบาลของชาติในยุโรปที่ต้องจำใจรับผู้อพยพเข้าประเทศทั้งที่เศรษฐกิจของตนกำลังย่ำแย่และต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาลในการดูแลผู้อพยพที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรดาชาวยุโรปชาตินิยมและพวกหัวอนุรักษ์ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย ย่อมต้องไม่พอใจกับการรับคนต่างเชื้อชาติต่างภาษาเข้ามาในประเทศของตน ยังไม่รวมถึงกระแสความเกลียดกลัวชาวมุสลิมในยุโรปที่กำลังแพร่กระจายไปในวงกว้างในช่วงที่ผ่านมา และไม่ว่าวิกฤตผู้อพยพในยุโรปคราวนี้จะจบลงอย่างไร ก็ถือเป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันต่อไป จนกว่าจะถึง ตอนอวสานซึ่งยังอยู่อีกห่างไกล และยังไม่อาจการันตีได้ว่า ฉากจบของมหากาพย์ผู้อพยพในแผ่นดินยุโรปครั้งนี้จะปิดฉากลงเอยแบบ “happy ending” หรือไม่

http://manager.co.th/images/blank.gif
เอเอฟพี - เกิดแผ่นดินไหวปานกลางขนาด 5.4 ตามมาตราแมกนิจูดเขย่ากรุงโตเกียวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (12 ก.ย.) ทำให้อาคารสูงหลายแห่งในเมืองหลวงญี่ปุ่นสั่นไหว ทว่ายังไม่มีรายงานความเสียหายเกิดขึ้น สำนักงานดับเพลิงกรุงโตเกียว แถลงว่า เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับแรงสั่นสะเทือนครั้งนี้รวม 11 ราย แต่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่บริเวณอ่าวโตเกียว โดยเกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.49 น.ตามเวลาท้องถิ่น (03.49 น.ตามเวลาในไทย) ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงเกิดคลื่นสึนามิ เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดลึกลงไปใต้ทะเลถึง 70 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม อาจมีอาฟเตอร์ช็อกขนาดปานกลางติดตามมาอีกในช่วง 2-3 วันข้างหน้า และขอให้ประชาชนระมัดระวังความเสี่ยงเกิดดินถล่มเนื่องจากฝนที่ตกหนักในช่วงต้นสัปดาห์นี้ แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเกิดขึ้น ในขณะที่ทางการแดนปลาดิบกำลังเร่งตอบสนองอุทกภัยครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตพลเมืองไปแล้วอย่างน้อย 3 คน โดยมีการส่งหน่วยกู้ภัยหลายพันคนเข้าไปช่วยค้นหาผู้สูญหายเกือบ 20 รายที่เมืองโจโซ (Joso) ซึ่งอยู่ห่างกรุงโตเกียวไปประมาณ 60 กิโลเมตร สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคอ้างคำบอกเล่าของผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว ซึ่งระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้ข้าวของหล่นจากชั้นวาง ทว่ามีรายงานคนติดอยู่ในลิฟต์ 5 รายระหว่างเกิดเหตุ ระบบรถไฟใต้ดินและรถไฟธรรมดาในกรุงโตเกียวต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ก่อนจะกลับมาเดินรถได้ตามปกติในเวลาไม่นาน รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในภูมิภาค รวมถึงโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะไดอิจิซึ่งเคยเกิดภาวะแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หลอมละลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.0 และคลื่นสึนามิเมื่อปี 2011
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า มหานครซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นถึง 13 ล้านคนแห่งนี้มีโอกาสที่จะเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้ทุกเมื่อ ผู้เชี่ยวชาญเตือนชาวญี่ปุ่นให้เฝ้าระวังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หรือ บิ๊กวันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งจะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ที่นอกชายฝั่งกรุงโตเกียว
ฝนยังคงตกหนักต่อเนื่องในช่วงเช้าวันนี้ (11) เสี่ยงที่จะทำให้สภาวการณ์ในตอนนี้เลวร้ายลง หลังจากพายุไต้ฝุ่นเอตาวเคลื่อนผ่านประเทศนี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ก่อให้เกิดลมพัดแรงและทำให้เกิดภาวะโกลาหลด้านการเดินทาง จนถึงตอนนี้มีการยืนยันแล้วว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนในเหตุน้ำท่วมครั้งนี้ เมื่อเช้าวันนี้ ทหาร ตำรวจ และนักดับเพลิงราว 2,000 คนถูกส่งไปยังพื้นที่น้ำท่วมแห่งต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยปฏิบัติงานกันตลอดทั้งคืน สถานีวิทยุและโทรทัศน์สาธารณะเอ็นเอชเครายงาน เมื่อช่วงเช้ามืดภาพในโทรทัศน์จากเมืองโจโซ เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอิบารากิที่มีประชากรราว 65,000 คนและเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุด เผยให้เห็นชาวบ้านหลายสิบคนลงเรือทหารจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ถูกน้ำท่วมตัดขาดจากภายนอก ขณะที่เฮลิคอปเตอร์นำคนอื่นๆ มายังที่ปลอดภัย  รูปภาพต่างๆ ยังเผยให้เห็นชาวบ้านเดินลุยน้ำสูงถึงเข่าใกล้ที่หลบภัยใกล้เมืองดังกล่าวซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวราว 60 กิโลเมตร เมืองหลวงแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในบางพื้นที่เช่นกัน  ทั้งนี้ เชื่อว่ามีบ้านราว 6,500 หลังคาเรือนที่ได้รับกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่นี้ หลังจากที่เขื่อนแห่งหนึ่งบนแม่น้ำคินุกาวะแตกเมื่อวานนี้ (10) “นับตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (11) ยังคงมีผู้สูญหายอยู่อย่างน้อย 12 คน ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีอยู่ 7 คนฮิโรอากิ ตาชิ เจ้าหน้าที่ของจังหวัดอิบารากิกล่าว  เรากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ยังคงร้องขอให้ประชาชนของเราคอยตื่นตัวอยู่เสมอในเวลานี้เขาบอกกับเอเอฟพี ในเมืองคานุมะ ทางเหนือของเมืองโจโซ สตรีวัย 63 ปีรายหนึ่งเสียชีวิตเพราะถูกดินถล่มทับหลังจากฝนตกหนัก เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่งเผย และเมื่อวานนี้ (10) วิดีโอทางอากาศเผยให้เห็นบ้านทั้งหลังถูกพัดพาไปโดยกระแสน้ำเชี่ยวกราก  เอ็นเอชเครายงานโดยอ้างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า นับตั้งแต่เวลา 23.00 น.ของวันพฤหัสบดี (21.00 น.ตามเวลาประเทศไทย) คาดว่ามีคนกำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ราว 690 คน แต่สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ (11) ไม่แน่ชัดว่ายังมีคนติดค้างอยู่อีกเท่าไหร่ เมื่อวานนี้ (10) ประชาชนกว่า 100,000 คนถูกสั่งให้อพยพออกจากบ้านหลังจากพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นมีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยในบางพื้นที่ตกเป็นปริมาณมากถึง 60 เซนติเมตร  นักพยากรณ์อากาศจากสำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ออกคำเตือนพิเศษให้ระมัดระวังโคลนถล่มและน้ำท่วม

(หมายเหตุ อ้างอิงและคัดลอกจากแปลข่าวคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ผู้จัดการออนไลน์)