วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (วิกฤติไฟป่าที่แคลิฟอร์เนีย,เครนก่อสร้างล้มทับแกรนด์มัสยิดที่นครเมกะ,คุณหญิงหมอให้การเป็นพยานคดีนักท่องเที่ยวอังกฤษถูกฆ่าที่เกาะเต่า,รำลึกเหตุการณ์ 11 กันยา,วิกฤติผู้อพยพในอียู,ญี่ปุ่นเจอ 2 เด้งแผ่นดินไหวและน้ำท่วมหนัก)


เอพี / เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วิกฤตไฟป่าครั้งเลวร้ายที่ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนหลายพันคนต้องถูกอพยพออกนอกพื้นที่ ขณะที่ผู้ว่าการรัฐต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า เจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินในวันอาทิตย์ ( 13 ก.ย.) หลังวิกฤตการลุกลามของไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนียทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของมลรัฐ และพบการลุกลามของไฟป่าเข้าใกล้เขตที่อยู่อาศัยของประชาชนหลายจุด เป็นเหตุให้ต้องมีการอพยพประชาชนจำนวนหลายพันคนออกนอกพื้นที่ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย คำแถลงของผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 3,850 นายยังคงเร่งทำงานแข่งกับเวลาเพื่อหาทางควบคุมการลุกลามของไฟป่าในแคลิฟอร์เนียให้อยู่ในวงจำกัด แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ คือ กระแสลมที่พัดแรงและสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งซึ่งเอื้อต่อการลุกลามขยายวงกว้างของไฟป่าครั้งนี้ ซึ่งถือได้ว่า มีความรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย จนถึงขณะนี้ ทีมสืบสวนของรัฐแคลิฟอร์เนียได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เหตุไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐในครั้งนี้มีสาเหตุมาจาก ฟ้าผ่าที่เขตเลค เคาน์ตี้ ซึ่งอยู่ห่างจากนครซานฟรานซิสโกไปทางเหนือราว 160 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนจะลุกลามเผาผลาญพื้นที่ป่าไปแล้วไม่น้อยกว่า 521 ตารางกิโลเมตร ขณะที่สัดส่วนของไฟป่าที่สามารถควบคุมได้แล้วในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเพิ่งอยู่ที่ราว 20 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 1 ใน 5 ของการลุกลามทั้งหมดในวันเสาร์ (12 ก.ย.) ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่า ตลอดช่วงสุดสัปดาห์นี้มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่ควบคุมไฟป่าแล้วหลายรายซึ่งทั้งหมดต้องถูกนำตัวออกจากพื้นที่โดยเฮลิคอปเตอร์เพื่อนำส่งยังโรงพยาบาล และส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลถูกเพลิงไหม้ในระดับที่รุนแรงแตกต่างกันออกไป
เอเจนซีส์ / ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากอุบัติเหตุเครนก่อสร้างล้มลงทับ แกรนด์มัสยิดของนครเมกกะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในซาอุดีอาระเบียเมื่อวันศุกร์ ( 11 ก.ย.) ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 107 รายแล้ว (ตัวเลขยังไม่นิ่ง) รายงานข่าวล่าสุดที่มีการเผยแพร่ในคืนวันเสาร์ ( 12 ก.ย.) โดยสำนักข่าวเอสพีเอของทางการซาอุดีอาระเบียระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมที่แกรนด์มัสยิดในนครเมกกะได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 107 รายแล้ว ขณะที่จำนวนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บล่าสุด ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างน้อย 238 ราย ด้านแหล่งข่าวในรัฐบาลซาอุดีอาระเบียออกมาเปิดเผยที่กรุงริยาดห์ โดยยอมรับว่า อุบัติเหตุเครนก่อสร้างล้มลงทับ แกรนด์มัสยิด ของนครเมกกะในครั้งนี้ เกิดจากสาเหตุคือลมที่พัดกระโชกแรง และพายุฝนที่พัดกระหน่ำอยู่ในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับรายงานของสื่อสำนักต่าง ๆ ในเวลานี้ รวมถึง สถานีโทรทัศน์อัล อาราบียา ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (11) หน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนของซาอุดีอาระเบียเปิดเผยผ่าน ทวิตเตอร์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตในเวลานั้นอยู่ที่อย่างน้อย 65 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุคราวนี้อีก 154 คน อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาทางหัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว ออกมาแก้ไขตัวเลขอีกครั้งในวันเดียวกัน โดยระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 87 ราย และบาดเจ็บ 183 คน เหตุการณ์สลดนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่มุสลิมหลายล้านคนจากทั่วโลกจะมารวมตัวกันประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นปกติที่ในวันศุกร์ แกรนด์มิสยิดแห่งเมกกะจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน เนื่องจากเป็นวันสวดมนต์ประจำสัปดาห์ของชาวมุสลิม ทั้งนี้ แกรนด์มัสยิดเป็นที่ตั้งของกะอ์บะฮ์ อาคารทรงลูกบาศก์ ก่อสร้างด้วยก้อนหินที่ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งชาวมุสลิมทั่วโลกจะสวดมนต์ภาวนาที่หันไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งนี้ รายงานข่าวระบุว่า เครนก่อสร้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการขนาดยักษ์ของทางการซาอุฯ เพื่อขยายเนื้อที่ของมัสยิดใหญ่แห่งนครเมกกะอีก 400,000 ตารางเมตร เพื่อให้สามารถรองรับนักแสวงบุญได้สูงสุดถึง 2.2 ล้านคน

อเจนซีส์ คุณหญิงหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ของไทย ออกมายืนยันล่าสุดว่า ผล DNA ซอลิน และเวพิว ของสองแรงงานพม่าผู้ต้องสงสัยสังหารนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์ บนเกาะเต่านั้นไม่ตรงกับหลักฐานบนจอบของกลาง ในขณะที่ซอลินได้เปิดเผยต่อศาลเกาะสมุยว่า โดนตำรวจไทยจับเปลือย และใช้ถุงพลาสติกครอบหัว รวมไปถึงปิดตาและเตะต่อย พร้อมขู่เอาชีวิต บังคับให้รับสารภาพ เดอะวีก สื่ออังกฤษรายเมื่อวานนี้(11)ว่า คุณหญิงหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ขึ้นให้การต่อศาลเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานีในวันศุกร์(11)ถึงผลการตรวจ DNA ของสองผู้ต้องสงสัยแรงงานพม่าในคดีเกาะเต่า ซึ่งคุณหญิงหมอพรทิพย์ได้กล่าวว่า DNA จำนวน 2 ตัวอย่างที่ถูกพบบนอาวุธสังหาร จอบนั้น ตัวอย่างแรกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ในขณะที่ตัวอย่างที่สองอยู่ในสภาพที่ใช้ได้แค่บางส่วน แต่ทว่า "ตัวอย่าง DNA ทั้งสองกลับไม่ตรงกับ DNA ของซอลิน และเวพิว" แรงงานพม่าที่ถูกตำรวจสอบสวนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรสังหาร แต่อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไทยยืนยันว่า DNA ของผู้ต้องสงสัยตรงกับ DNA ที่ถูกพบบนร่างของเหยื่อผู้เสียชีวิต นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์  และในศาลเกาะสมุยที่มีการไต่สวนในคดีเกาะเต่าในวันศุกร์(11) ยังมีการให้ข้อมูลด้วยว่า เจ้าหน้าที่ไทยได้จัดการอย่างไม่เหมาะสมต่อสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งสื่ออังกฤษชี้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไม่ทดสอบรอยคราบเลือดที่ถูกพบในที่เกิดเหตุ และมีการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ร่าง และเป็นเหตุทำให้หลักฐานสำคัญทางนิติวิทยาศาสตร์ถูกทำลาย แพทย์หญิงพรทิพย์กล่าว และนอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ไทยยังให้การต่อว่า เจ้าหน้าที่ไทยยังไม่ถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุจำนวนมากพอเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถวิเคราะห์สถานที่เกิดเหตุได้ ซึ่งแคธี สตอลลาร์ด (Katie Stallard) นักข่าวสกายนิวส์ของอังกฤษประจำภูมิภาคเอเชียให้ความเห็นว่า การไต่สวนล่าสุดของคดีเกาะเต่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่พบว่า ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ขึ้นให้การขัดแย้งในประเด็นสำคัญกับการทำคดีเกาะเต่าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้จากการรายงานของเดลี เทเลกราฟ สื่ออังกฤษ ได้ระบุว่า จำเลยชาวพม่าทั้งสองเคยอ้างว่า ถูกตำรวจไทยทรมานเพื่อให้ยอมรับสารภาพ โดยการให้การในชั้นศาลในวันศุกร์(11) ซอลิน จำเลยชาวพม่าอ้างว่า ในคืนเกิดเหตุหลังจากที่เขาได้เลิกจากงาน เขาได้ร่วมดื่มกับเวพิวเพื่อนชาวพม่าในบริเวณชายหาดที่เกิดเหตุ แต่ทว่าอัยการฝ่ายไทยกลับโต้ว่า คนทั้งคู่สังหารวิทเธอริดจ์และมิลเลอร์หลังจากพบภาพที่คนทั้งคู่กำลังมีเพศสัมพันธ์ และนอกจากนี้ ซอลินยังให้การต่อศาลไทยอีกว่า เขาถูกตำรวจสอบสวนจับเปลื้องเสื้อผ้าเพื่อให้ได้รับความอับอาย และยังใช้ถุงพลาสติกคลอบไว้ทั้งศรีษะพร้อมกับตะโกนถามว่า มึงทำใช่ไม้และจำเลยชาวพม่ายังเปิดเผยต่อศาลไทยต่อโดยอ้างว่า เขาถูกมัดปิดตา และโดนเตะต่อยทำร้าย และยังถูกขู่จะเอาชีวิตว่า เขาจะโดนสังหารและร่างจะถูกโยนลงทะเลเสียหากไม่ยอมรับในข้อกล่าวหา โดยซอลินระบุว่า ตำรวจไทยบอกว่า หากผมยอมรับกระทำผิด ผมจะถูกติดคุกเพียงแค่ 4-5 ปีเท่านั้นก่อนได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเดอะวีกรายงานเพิ่มเติมว่า ครอบครัวของมิลเลอร์ได้บินมาร่วมการฟังการไต่สวนที่ศาลเกาะสมุย ในขณะที่ครอบครัวของวิทเธอริดจ์ชมการไต่สวนผ่านทางวิดีโอลิงก์จากอังกฤษ และเป็นที่คาดว่า เวพิวจะขึ้นให้การต่อศาลเกาะสมุยถึงการโดนตำรวจทรมานเพื่อให้รับสารภาพเช่นเดียวกับซอลินในวันถัดไป ด้าน คิงสลี แอบบ็อต ( Kingsley Abbott)ที่ปรึกษาด้านกฎหมายจากองค์กรคณะกรรมาธิการลูกขุนระหว่างประเทศได้ให้ความเห็นในเรื่อง ผู้ต้องสงสัยชาวพม่าถูกทรมานเพื่อรับสารภาพว่า ในประเด็นการที่ผู้ต้องหาถูกทรมานนั้น เห็นควรให้มีการดำเนินการตรวจสอบภายใต้กฎหมายอนุสัญญาสากลว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel) นอกจากนี้ เดอะวีกยังรายงานเพิ่มเติมว่า เดลีเทลีกราฟได้ชี้ในประเด็นว่า รัฐบาลทหารของไทยพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ทุกฝ่ายเชื่อว่า คดีสังหารนักท่องเที่ยวอังกฤษบนเกาะเต่าได้ยุติแล้วในเมื่อครั้งที่ซอลิน และเวพิวถูกจับกุม พร้อมกับทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเชื่อว่า พวกเขาจะปลอดภัยในขณะที่ท่องเที่ยวในไทย


เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวานนี้(11)นอกจากมีการลดธงชาติครึ่งเสาทั่วประเทศ รวมไปถึงการจัดพิธีรำลึกครบรอบ 11 กันยายน ที่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา และสุภาพสตรีหมายเลข 1 เข้าร่วมแล้ว ยังมีการเปิดลำแสงไฟสีฟ้าคู่เหนือมหานครนิวยอร์กที่เป็นงานศิลปะที่น่าตื่นตาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงตึกเวิล์ดเทรดเซนเตอร์ และในการรำลึกปีนี้ยังมีการเชิญ บริตนี (Bretagne)พันธุ์โกลเดนรีทริฟเวอร์ สุนัขกู้ภัยในเหตุการณ์ 9/11 ที่เหลืออยู่เป็นตัวสุดท้ายจากทั้งหมดกว่า 300 ตัว กลับมายังนิวยอร์กเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 16 ปี เดลีเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้(12)ว่าถึงจะผ่านไป 14 ปี แต่ความเจ็บปวดและความฝังใจยังคงมีอยู่ เมื่อวานนี้(11)ประชาชนชาวอเมริกัน และสหรัฐฯได้ร่วมกันทั่วประเทศจัดงานรำลึกการถูกก่อการร้ายครั้งแรกบนแผ่นดินอเมริกาโดยกลุ่มก่อการร้าย และในการรำลึกยังมีการจัดแสดงไฟขึ้น ซึ่งงานศิลปะ 'Tribute in Light' ลำแสงไฟสีฟ้าคู่ที่เกิดจากการติดตั้งไฟส่องค้นหาจำนวนถึง 88 อัน ส่องขึ้นสู่ฟ้าเหนือมหานครนิวยอร์กในยามค่ำคืน ซึ่งคาดว่าจะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของตึกแฝดเวิร์ดเทรดและเหยื่อผู้เสียชีวิตบนตึกร่วม 2,983 คนที่ถูกกลุ่มอัลกออิดะห์ทำลายในวันที่ 11 กันยายน 2001 ด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารพุ่งเข้าชน  'Tribute in Light' งานศิลปะที่ใช้ท้องฟ้าอเมริกาเป็นเสมือนผืนผ้าใบทำให้เกิดลำแสงสีฟ้าพุ่งสู่ด้านบนราว 4 ไมล์ และต้องใช้ไฟฟ้าในการจัดแสดงครั้งนี้ถีง 7,000 วัตต์ ที่ถูกรังสรรค์โดย จอห์น เบนเนตต์ (John Bennett) กัสตาโว โบเนวาร์ดี (Gustavo Bonevardi) ริชาร์ด นาช คูล์ด (Richard Nash Gould) จูเลียน ลาเวอร์ดิแอร์( Julian Laverdiere) พอล ไมโอดา (Paul Myoda) และพอล มารานต์ส(Paul Marantz ) สื่ออังกฤษรายงานต่อว่า การเริ่มจัดแสดงงานศิลปะ 'Tribute in Light' มีขึ้นครั้งแรกในวันที่ 11 มีนาคม 2002 หรือ 6 เดือนนับเกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่นี้ ซึ่งในปีนี้มีการจัดแสดงลำแสงคู่ตั้งแต่คืนวันพุธ(9) และในพิธีการจัดงานรำลึกที่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา และสุภาพสตรีหมายเลข 1 เป็นผู้นำการหยุดสงบนิ่ง รวมไปถึงการอ่านคำไว้อาลัยของญาติผู้เสียชีวิตที่ยังไม่คลายความโศกเศร้าถึงการจากไปของคนที่รักในปีที่ 14 และนอกจากนี้ในวันศุกร์(11)สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆในสหรัฐฯต่างพร้อมใจถ่ายทอดการรายงานข่าวสดที่เกิดขึ้นในขณะที่ตึกเวิล์ดเทรดกำลังโดนโจมตีอีกครั้งเพื่อให้ระชาชนอเมริกันต่างรำลึกถึง และเป็นปีที่ 14 ที่สหรัฐฯยังคงต้องอยู่กับความหวาดระวังท่ามกลาง "IS" กลุ่มก่อการร้ายหน้าใหม่ที่ก้าวเข้ามาแทนที่ และทำให้รัฐบาลสหรัฐฯของโอบามาต้องชั่งใจว่าจะส่งกองกำลังกลับเข้าสู่ภาคพื้นตะวันออกกลางเพื่อกวาดล้างกลุ่มเหล่านี้หรือไม่ และในการฉลองร่วมรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ยาฮูนิวส์ สื่อสหรัฐฯรายงานก่อนหน้านี้ในวันศุกร์(11)ว่า สุนัขกู้ภัยและค้นหาในเหตุการณ์ 9/11 ที่มีชีวิตรอดอยู่เป็นตัวสุดท้ายได้บินกลับมายังมหานครนิวยอร์กในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อร่วมจัดงานวันเกิดครบรอบ 16 ปีให้กับเธอ บริตนี (Bretagne)พันธุ์โกลเดนรีทริฟเวอร์ เป็นหนึ่งในสุนัขคนหากว่า 300 ตัวที่ถูกระดมไปช่วยในเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยในขณะนั้นบริตนีได้ทำงานคู่กับเดนิซ คอร์ลิซ (Denise Corliss ) เจ้าหน้าที่ฟีมา(FEMA)หน่วยงานจัดการฉุกเฉินแห่งชาติสหรัฐฯประจำรัฐเทกซัส ซึ่งในเวลาต่อมาหลังจากที่บริตนีได้เกษียณอายุจากการทำหน้าที่ในปี 2008 คอร์ลิซได้ติดต่อหน่วยงานสังกัดของบริตนีเพื่อขอรับอุปการะเธอต่อไป สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า การจัดงานเพื่อร่วมฉลองวันเกิดให้กับบริตนีนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างสื่ออนไลน์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง BarkPost และโรงแรมเซนทรัลปาร์ก ซึ่งบริตนีได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นนับตั้งแต่ลงจากเครื่อง โดยมีป้ายต้อนรับเป็นไฟกระพริบ และฝูงชนที่ถือป้ายยินดีคอยต้อนรับบริตนี และยาฮูนิวส์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า และในทันทีที่บริตนีที่เดินทางมาพร้อมกับคอร์ลิซได้เดินทางด้วยรถลีโมซีนคันยาวไปยังโรงแรมเซนทรัลปาร์กอันสุดหรู และทั้งคู่ได้รับการกล่าวต้อนรับกับกลุ่มพนักงานโรงแรมอย่างอบอุ่น  และต่อจากนั้น บริตนีพร้อมกับเพื่อน 2 ขาถูกนำไปยังห้องพักอันโอ่โถง พร้อมกับของขบเคี้ยวสำหรับสุนัขที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อม ก่อนจะมีพนักงานเสริฟของโรงแรมประคองถาดเงินนำแฮมเบอร์เกอร์สเปชียลมาเสริ์ฟให้กับบริตนีถึงภายในห้องพัก และสื่อสหรัฐฯยังระบุว่า บริตนีได้มีโอกาสไปเยือนย่านไทม์สแคว นิวยอร์ก และพบกับผู้คนมากมายที่ต่้างทักทายเธออย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อเธอลงจากรถบริตนีพบภาพโปสเตอร์รูปของเธอและคู่หูเมื่อ 14 ปีมาแล้วติดตั้งเหนืออาคารสูง ทั้งนี้จากประวัติการทำงานของบริตนีในฐานะสุนัขกู้ภัย พบว่าเธอได้ผ่านงานภาคสนามมาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2002 ที่ซอล์ตเลกซิตี และในการค้นหาเหตุการณ์พายุเฮอริเคน ริตา ในปี 2005 เป็นต้น และในเดือนกันยายน 2014 บริตนีและคอร์ลิซได้มีโอกาสหวนกลับไปยังกราวซีโรอีกครั้งเมื่อบรินีถูกเสนอชื่อในรอบสุดท้ายได้รับรางวัลสุนัขผู้กล้าจากสมาคม the American Humane Association ซึ่งถือเป็นการเยือนสถานที่นี้ของคนทั้งคู่ในรอบ 13 ปี
เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีคมนาคมเยอรมนีโจมตีอียู ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันพรมแดนด้านนอก พร้อมเรียกร้องมาตรการยับยั้งคลื่นผู้อพยพไหลทะลัก ขณะเดียวกัน มิวนิกระบุถึงขีดจำกัดในการรองรับผู้อพยพแล้ว ด้านสื่อกรีซรายงานเหตุเรือผู้อพยพล่มนอกชายฝั่งเมื่อเช้าวันอาทิตย์ (13 ก.ย.) พบผู้เสียชีวิต 28 ราย รวมถึงเด็ก 1 คน อเล็กซานเดอร์ โดบรินต์ รัฐมนตรีคมนาคมเยอรมนีแถลงเมื่อวันอาทิตย์ ว่า สหภาพยุโรป (อียู) จำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อหยุดยั้งคลื่นผู้อพยพ ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศต้นทางการอพยพ และการควบคุมพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขณะนี้ อียูล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการปกป้องพรมแดนด้านนอก คำแถลงของโดบรินต์มีขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่ฮันส์-ปีเตอร์ ฟรีดริช รองหัวหน้าพรรคซีเอสยู ซึ่งเป็นพันธมิตรกับพรรคของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล วิจารณ์การตัดสินใจของแมร์เคลว่า เป็น ความผิดพลาดทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อประเทศ การตัดสินใจดังกล่าวคือการอ้าแขนรับผู้ลี้ภัย ซึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์นับจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยคาดว่า ปีนี้จะมีผู้ขอลี้ภัยในเยอรมนีสูงถึง 800,000 คน นอกจากนี้ โดบรินต์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคซีเอสยูเช่นเดียวกัน ยังเตือนว่า เยอรมนีใกล้ถึงขีดจำกัดในการรองรับแล้ว หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.) ผู้ลี้ภัยกว่า 12,200 คน เดินทางถึงมิวนิก เมืองหลวงของรัฐบาวาเรียที่อยู่ทางใต้ของเยอรมนี  คำเตือนดังกล่าวได้รับการขานรับจากโฆษกสำนักงานตำรวจมิวนิกที่กล่าวในวันเดียวกันว่า เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า มิวนิกกำลังจะถึงขีดจำกัดสูงสุดในการรองรับผู้อพยพ โดยคาดว่า จะมีผู้อพยพเดินทางมาเพิ่มในวันอาทิตย์อีกหลายร้อยคน โฆษกสำนักงานตำรวจมิวนิกเสริมว่า เป้าหมายขณะนี้คือ การนำผู้อพยพเดิมออกจากเมืองเพื่อเตรียมพร้อมรองรับผู้อพยพกลุ่มใหม่  ทั้งนี้ มิวนิกเป็นจุดรองรับสำคัญสำหรับผู้ลี้ภัยที่เดินทางโดยรถไฟผ่านฮังการีและออสเตรียเข้าสู่เยอรมนี เฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้อพยพเดินทางถึงสถานีรถไฟหลักของเมืองนี้ถึงราว 20,000 คน คริสตอฟห์ ฮิลเลนแบรนด์ ประธานาธิบดีเขตอัปเปอร์ บาวาเรีย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนน์ทากที่พาดหัวบทความว่า มิวนิกใกล้ล่มโดยยอมรับว่า ไม่รู้จะรับมือคลื่นผู้อพยพอย่างไร  ขณะที่บีอาร์ สถานีทีวีของรัฐบาวาเรีย ขานรับว่า มิวนิกใกล้วิกฤตมนุษยธรรมเต็มที โดยขณะนี้ ทางการกำลังพิจารณาว่า จะเปิดโอลิมเปียฮอลล์ ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1972 และปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตหรือแข่งกีฬา เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ลี้ภัยหรือไม่  ขณะเดียวกัน มีรายงานจากเอเธนส์ นิวส์ เอเจนซี ว่า พบผู้อพยพจมน้ำเสียชีวิต 28 คน ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย 1 คน หลังจากเรือลำหนึ่งที่ขนผู้อพยพกว่า 100 คนพลิกคว่ำนอกชายฝั่งกรีซเมื่อเช้าวันอาทิตย์  รายงานระบุว่า หน่วยยามฝั่งกรีซสามารถช่วยเหลือผู้อพยพ 68 คนจากอุบัติเหตุดังกล่าวที่เกิดขึ้นใกล้เกาะฟาร์มาโคนิชี ทางใต้ของทะเลอีเจียน และอีก 29 คนว่ายน้ำขึ้นเกาะอย่างปลอดภัย  นอกจากนี้ หน่วยยามฝั่งกรีซยังคงค้นหาเด็ก 4 คนที่สูญหายหลังจากเรืออีกลำคว่ำนอกเกาะซามอสเมื่อวันเสาร์  เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกว่าสัปดาห์หลังจากภาพเด็กชายชาวซีเรียนอนคว่ำหน้าเกยตื้นบนหาดแห่งหนึ่งของซีเรีย สร้างความสะเทือนใจและทำให้ทั่วโลกหันมาใส่ใจกับโศกนาฏกรรมของผู้อพยพจริงจังขึ้น  องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานระบุว่า นับจากต้นปีจนถึงขณะนี้ มีผู้อพยพและผู้ลี้ภัยกว่า 430,000 คนข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่ยุโรป โดยที่ 2,748 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตหรือสูญหายระหว่างทาง  ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 1-2 เดือนที่ผ่านมา ข่าวการไหลบ่าเข้าสู่แผ่นดินยุโรปของ คลื่นผู้อพยพจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียที่หนีตายมาจากสงครามกลางเมืองในประเทศบ้านเกิดได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อทั่วโลกจับจ้องและติดตามนำเสนออย่างใกล้ชิด และว่ากันว่า นี่คือ หนึ่งในปรากฏการณ์อพยพย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ  แต่เดิมยุโรปต้องเผชิญกับวิกฤตผู้อพยพทางเรือที่มีจำนวนเป็นเรือนหมื่นจากทวีปแอฟริกา ซึ่งพากันลงเรือเดินทางรอนแรมข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาจากชายฝั่งตอนเหนือของกาฬทวีป และมีรายงานข่าวผู้อพยพจมน้ำเสียชีวิตอยู่เป็นระยะก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ ชายฝั่งของอิตาลีและกรีซ แต่ยังไม่ทันที่ยุโรปจะหาทางแก้ปัญหาผู้อพยพจากแอฟริกาดังกล่าวได้ลุล่วง ชาติในยุโรปก็มีอันต้องเผชิญกับวิกฤตการไหลบ่าครั้งใหม่จากทางทิศตะวันออก นั่นคือ คลื่นของผู้อพยพจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียและอิรักซ้ำเติมเข้าไปอีก และคลื่นผู้อพยพจากตะวันออกกลางนี้ที่ไหลบ่าเข้าสู่ยุโรปเป็นรายวัน ทั้งจากการเดินเท้าและการโดยสารเรือนี้ ถูกระบุว่า อาจมีจำนวนสูงถึงหลายแสนราย ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราต่างได้เห็นข่าวความพยายามนานัปการ ของรัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกในการดำเนินทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อสกัดกั้นขัดขวาง มิให้ผู้อพยพจากตะวันออกกลางซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้หนีภัยสงคราม ได้เดินทางเข้ามาหรือเดินทางผ่านเขตแดนของประเทศตน แต่จนแล้วจนรอด ดูเหมือนความพยายามขัดขวางทั้งปวงจะดูไม่เป็นผล เมื่อต้องเผชิญกับความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเหล่าผู้อพยพที่กำลังจนตรอกและพร้อมจะเดินหน้าแบบ ไม่มีอะไรจะเสียเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา ซึ่งนั่นก็คือ การได้อพยพไปตั้งรกรากและ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรปตะวันตก เมื่อการขัดขวางเริ่มไม่เป็นผล ประกอบกับการเผชิญกับแรงกดดันด้านมนุษยธรรมจากทุกฝ่ายรอบด้าน รวมถึง กระแสกดดันจากประชาชนจำนวนไม่น้อยในประเทศของตัวเอง ผู้นำของหลายชาติในยุโรปจึงเริ่มผ่อนคลายท่าทีและหันมาประกาศความช่วยเหลือต่อผู้อพยพกันอย่างขนานใหญ่ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็ก อย่างนางอังเกลา แมร์เคิลประกาศทุ่มงบ 6,000 ล้านยูโรช่วยเหลือผู้อพยพระลอกใหม่นับแสนคนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองด์ก็ประกาศจะรับผู้อพยพเรือนหมื่นเข้าประเทศ เช่นเดียวกับผู้นำของอีกหลายประเทศ รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวด้านความมั่นคงในรัฐบาลเยอรมนีระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ยุโรป อาจต้องรับมือกับคลื่นผู้อพยพจากตะวันออกกลางที่คาดว่าอาจมีจำนวนเบ็ดเสร็จสูงถึง 800,000 รายภายในสิ้นปี 2015 นี้ ซึ่งถือเป็นยอดผู้อพยพที่กว่ากันว่าสูงกว่าของเมื่อปีที่แล้วถึง 4 เท่าตัว ด้านอันโตนิว กูเตร์เรส ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ออกโรงขานรับว่า วิกฤตผู้ลี้ภัยที่ยุโรปกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ยังถือเป็นปัญหาที่ สามารถบริหารจัดการได้หากทุกประเทศในยุโรปร่วมกันแสดงออกถึงความรับผิดชอบ และเห็นพ้องในแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นเอกภาพร่วมกัน ถึงแม้ระบบรองรับผู้ลี้ภัยของยุโรปในขณะนี้จะอยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยไม่ต่างจากคนพิการ และยังมีหลายประเทศในยุโรปที่พยายาม ปัดสวะให้พ้นตัวอย่างไร้จิตสำนึก สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นข้อเสนอของฌอง โคล้ด ยุงค์เกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปคนปัจจุบันซึ่งเป็นชาวลักเซมเบิร์กที่เสนอให้มีการนำ ระบบโควตารับผู้อพยพภาคบังคับมาประกาศใช้ในหมู่ 28 ชาติสมาชิกของสหภาพยุโรป (European Union : EU) ซึ่งระบุว่า เยอรมนีและฝรั่งเศสในฐานะดินแดนที่มีขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคในยามนี้ จะต้องรับผู้อพยพเข้าประเทศไปมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนราว 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพจำนวน 120,000 – 160,000 รายที่เข้ามาปักหลักรออยู่แล้ว ในอิตาลี กรีซ ฮังการี และหลายชาติในยุโรปตะวันออกเวลานี้  ภายใต้แผนการนี้ของประธานคณะกรรมาธิการยุโรปคนปัจจุบัน เยอรมนีจะรับต้องผู้อพยพเข้าประเทศกว่า 31,000 คน ตามมาด้วยฝรั่งเศสราว 24,000 คน และสเปนอีกเกือบ 15,000 คน โดยที่มีข้อมูลว่ากว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพเหล่านี้มาจากซีเรีย อิรัก และอัฟกานิสถาน และเกือบทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า วิกฤตคลื่นผู้อพยพที่กว่ากันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงของมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุโรปกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้จะคลี่คลายลงไปในทิศทางใด และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด และต้องไม่ลืมว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ ต่างก็ต้องประสบกับความเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้อพยพที่ต้องละทิ้งทุกอย่างในประเทศบ้านเกิดและหนีมา ตายเอาดาบหน้าเพื่อหวังมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า รวมถึงฝ่ายรัฐบาลของชาติในยุโรปที่ต้องจำใจรับผู้อพยพเข้าประเทศทั้งที่เศรษฐกิจของตนกำลังย่ำแย่และต้องใช้งบประมาณอีกมหาศาลในการดูแลผู้อพยพที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรดาชาวยุโรปชาตินิยมและพวกหัวอนุรักษ์ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย ย่อมต้องไม่พอใจกับการรับคนต่างเชื้อชาติต่างภาษาเข้ามาในประเทศของตน ยังไม่รวมถึงกระแสความเกลียดกลัวชาวมุสลิมในยุโรปที่กำลังแพร่กระจายไปในวงกว้างในช่วงที่ผ่านมา และไม่ว่าวิกฤตผู้อพยพในยุโรปคราวนี้จะจบลงอย่างไร ก็ถือเป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันต่อไป จนกว่าจะถึง ตอนอวสานซึ่งยังอยู่อีกห่างไกล และยังไม่อาจการันตีได้ว่า ฉากจบของมหากาพย์ผู้อพยพในแผ่นดินยุโรปครั้งนี้จะปิดฉากลงเอยแบบ “happy ending” หรือไม่

http://manager.co.th/images/blank.gif
เอเอฟพี - เกิดแผ่นดินไหวปานกลางขนาด 5.4 ตามมาตราแมกนิจูดเขย่ากรุงโตเกียวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (12 ก.ย.) ทำให้อาคารสูงหลายแห่งในเมืองหลวงญี่ปุ่นสั่นไหว ทว่ายังไม่มีรายงานความเสียหายเกิดขึ้น สำนักงานดับเพลิงกรุงโตเกียว แถลงว่า เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับแรงสั่นสะเทือนครั้งนี้รวม 11 ราย แต่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุว่า ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่บริเวณอ่าวโตเกียว โดยเกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.49 น.ตามเวลาท้องถิ่น (03.49 น.ตามเวลาในไทย) ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงเกิดคลื่นสึนามิ เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดลึกลงไปใต้ทะเลถึง 70 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม อาจมีอาฟเตอร์ช็อกขนาดปานกลางติดตามมาอีกในช่วง 2-3 วันข้างหน้า และขอให้ประชาชนระมัดระวังความเสี่ยงเกิดดินถล่มเนื่องจากฝนที่ตกหนักในช่วงต้นสัปดาห์นี้ แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเกิดขึ้น ในขณะที่ทางการแดนปลาดิบกำลังเร่งตอบสนองอุทกภัยครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตพลเมืองไปแล้วอย่างน้อย 3 คน โดยมีการส่งหน่วยกู้ภัยหลายพันคนเข้าไปช่วยค้นหาผู้สูญหายเกือบ 20 รายที่เมืองโจโซ (Joso) ซึ่งอยู่ห่างกรุงโตเกียวไปประมาณ 60 กิโลเมตร สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคอ้างคำบอกเล่าของผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว ซึ่งระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้ข้าวของหล่นจากชั้นวาง ทว่ามีรายงานคนติดอยู่ในลิฟต์ 5 รายระหว่างเกิดเหตุ ระบบรถไฟใต้ดินและรถไฟธรรมดาในกรุงโตเกียวต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ก่อนจะกลับมาเดินรถได้ตามปกติในเวลาไม่นาน รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในภูมิภาค รวมถึงโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะไดอิจิซึ่งเคยเกิดภาวะแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หลอมละลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.0 และคลื่นสึนามิเมื่อปี 2011
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า มหานครซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นถึง 13 ล้านคนแห่งนี้มีโอกาสที่จะเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้ทุกเมื่อ ผู้เชี่ยวชาญเตือนชาวญี่ปุ่นให้เฝ้าระวังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หรือ บิ๊กวันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งจะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ที่นอกชายฝั่งกรุงโตเกียว
ฝนยังคงตกหนักต่อเนื่องในช่วงเช้าวันนี้ (11) เสี่ยงที่จะทำให้สภาวการณ์ในตอนนี้เลวร้ายลง หลังจากพายุไต้ฝุ่นเอตาวเคลื่อนผ่านประเทศนี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ก่อให้เกิดลมพัดแรงและทำให้เกิดภาวะโกลาหลด้านการเดินทาง จนถึงตอนนี้มีการยืนยันแล้วว่ามีผู้เสียชีวิตหนึ่งคนในเหตุน้ำท่วมครั้งนี้ เมื่อเช้าวันนี้ ทหาร ตำรวจ และนักดับเพลิงราว 2,000 คนถูกส่งไปยังพื้นที่น้ำท่วมแห่งต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยปฏิบัติงานกันตลอดทั้งคืน สถานีวิทยุและโทรทัศน์สาธารณะเอ็นเอชเครายงาน เมื่อช่วงเช้ามืดภาพในโทรทัศน์จากเมืองโจโซ เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอิบารากิที่มีประชากรราว 65,000 คนและเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุด เผยให้เห็นชาวบ้านหลายสิบคนลงเรือทหารจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ถูกน้ำท่วมตัดขาดจากภายนอก ขณะที่เฮลิคอปเตอร์นำคนอื่นๆ มายังที่ปลอดภัย  รูปภาพต่างๆ ยังเผยให้เห็นชาวบ้านเดินลุยน้ำสูงถึงเข่าใกล้ที่หลบภัยใกล้เมืองดังกล่าวซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวราว 60 กิโลเมตร เมืองหลวงแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในบางพื้นที่เช่นกัน  ทั้งนี้ เชื่อว่ามีบ้านราว 6,500 หลังคาเรือนที่ได้รับกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่นี้ หลังจากที่เขื่อนแห่งหนึ่งบนแม่น้ำคินุกาวะแตกเมื่อวานนี้ (10) “นับตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (11) ยังคงมีผู้สูญหายอยู่อย่างน้อย 12 คน ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีอยู่ 7 คนฮิโรอากิ ตาชิ เจ้าหน้าที่ของจังหวัดอิบารากิกล่าว  เรากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ยังคงร้องขอให้ประชาชนของเราคอยตื่นตัวอยู่เสมอในเวลานี้เขาบอกกับเอเอฟพี ในเมืองคานุมะ ทางเหนือของเมืองโจโซ สตรีวัย 63 ปีรายหนึ่งเสียชีวิตเพราะถูกดินถล่มทับหลังจากฝนตกหนัก เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่งเผย และเมื่อวานนี้ (10) วิดีโอทางอากาศเผยให้เห็นบ้านทั้งหลังถูกพัดพาไปโดยกระแสน้ำเชี่ยวกราก  เอ็นเอชเครายงานโดยอ้างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า นับตั้งแต่เวลา 23.00 น.ของวันพฤหัสบดี (21.00 น.ตามเวลาประเทศไทย) คาดว่ามีคนกำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ราว 690 คน แต่สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ (11) ไม่แน่ชัดว่ายังมีคนติดค้างอยู่อีกเท่าไหร่ เมื่อวานนี้ (10) ประชาชนกว่า 100,000 คนถูกสั่งให้อพยพออกจากบ้านหลังจากพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นมีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยในบางพื้นที่ตกเป็นปริมาณมากถึง 60 เซนติเมตร  นักพยากรณ์อากาศจากสำนักอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ออกคำเตือนพิเศษให้ระมัดระวังโคลนถล่มและน้ำท่วม

(หมายเหตุ อ้างอิงและคัดลอกจากแปลข่าวคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ผู้จัดการออนไลน์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น