วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ย้อนตำนานยุครุ่งเรือง ศิลปินนักร้อง (2) นักดนตรีระดับโลก ตอนที่ 2

ในยุคก่อนปี 60’s จนถึงยุค 60’s จะเรียกได้ว่าเป็นยุคบุกเบิกของดนตรีหลากหลายแนวก็ว่าได้ สังเกตว่าศิลปินที่แจ้งเกิดจากยุคนี้ ล้วนกลายไปเป็นตำนานหรือแม่แบบให้กับศิลปินรุ่นหลังสืบต่อกันมา แนวเพลงมีความหลากหลาย และเป็นต้นกำเนิดงานดีๆ แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ร็อคแอนด์โรล พังก์ร็อค ริทึ่มแอนด์บลูส์ ป็อป แจ๊ส โซล คันทรี โฟล์ก บัลลาด กอสเปล ฯลฯ เรียกได้ว่ายังเป็นยุคที่ดนตรีมีความหลากหลายและยังถือเป็นยุคบุกเบิกกรุยทางให้กับศิลปินในยุคต่อๆ มา  พอก้าวเข้าสู่ยุค 70’s แนวดนตรีที่โดดเด้งขึ้นมาอย่างชัดเจนเลยก็คือ ดนตรีร็อค เป็นยุคที่แจ้งเกิดวงดนตรีเฮฟวี่เมทัลร็อคฝีมือดี และงานเพลงร็อคที่เป็นมาสเตอร์พีชจำนวนมาก แม้แต่ศิลปินที่แจ้งเกิดในยุคก่อนหน้าอย่างยุค 60’s ก็มาปล่อยของ หรือผลิตผลงานดีๆ ได้ในยุค 70’s เลยกลายเป็นยุคสร้างชื่อของพวกเขา เราจึงขอเรียกยุค 70’s ว่าเป็นยุคทองของดนตรีร็อค มีศิลปินที่เป็นตำนาน ใครบ้างมาดูกัน

เลด เซพเพลิน (Led Zeppelin) เป็นวงดนตรีร็อกจากอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1968 โดยจิมมี เพจ (กีตาร์), โรเบิร์ต แพลนต์ (ร้องนำ), จอห์น พอล โจนส (เบส, คีย์บอร์ด) และจอห์น บอนแฮม (กลอง) ได้รับการยอมรับว่าเป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลวงแรกๆ เช่นเดียวกับ ดีพ เพอร์เพิล และแบล็ก แซบบาธ  เลด เซพเพลินได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง สามารถขายอัลบั้มได้ถึง 300 ล้านแผ่นทั่วโลก  และ 111.5 ล้านแผ่น เฉพาะในสหรัฐอเมริกา  ได้รับการจัดอันดับจาก VH1 ให้เป็นวงดนตรีร็อกยอดเยี่ยมอันดับ 1  และได้รับการยกย่องจากนิตยสารโรลลิงสโตน ให้เป็น "วงดนตรีที่ "เฮฟวี่" ที่สุดตลอดกาล" และ "วงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ทศวรรษ 1970" เลด เซพเพลิน ได้ยุบวงลงในปี 1980 หลังจากมือกลองคือ จอห์น บอนแฮม เสียชีวิตจากอาการสำลักเนื่องจากดื่มเหล้าหนัก แต่สมาชิกที่เหลือของวงยังกลับร่วมแสดงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในวันที่ 10 ธันวาคม 2007 สมาชิกสามคนที่เหลือ ได้แสดงคอนเสิร์ตร่วมกันที่กรุงลอนดอน โดยมี เจสัน บอนแฮม บุตรชายของจอห์ม บอนแฮม เล่นในตำแหน่งมือกลอง เลด เซพเพลิน มีบทเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ได้แก่ Communication Breakdown,Whole Lotta Love,Black Dog,Rock and Roll,Stairway to Heaven เป็นต้น โดยบทเพลง"Stairway to Heaven"ถูกจัดอันดับเป็นอันดับ 1 จาก VH1 ให้เป็นเพลงร็อคที่ดีที่สุดตลอดกาล



ควีน (Queen) เป็นวงดนตรีร็อคจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งวงใน กรุงลอนดอน เมื่อปี ค.ศ. 1970 มีสมาชิกดั้งเดิมประกอบด้วย เฟรดดี้ เมอร์คูรี (ร้องนำ , เปียโน) ไบรอัน เมย์ (กีตาร์ , ร้องนำ) จอห์น ดีคอน (กีตาร์เบส) และโรเจอร์ เทย์เลอร์ (กลอง , ร้องนำ) วงควีนผลงานแรกพวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากแนวเพลง โพรเกรสซิฟร็อก , ฮาร์ดร็อก และ เฮฟวีเมทัล  ก่อนที่จะเข้าควีน , ไบรอัน เมย์ และ โรเจอร์ เทย์เลอร์ได้เป็นสมาชิกวง Smile และกีตาร์เบส ได้เป็นสมาชิกวง Smile พร้อมโดยมือกีตาร์ ทิม สตัฟเฟิล เฟรดดี้ เมอร์คูรีเป็นแฟนเพลงตัวยงของวงสไมล์ และสนับสนุนวงในการอัดเพลงและคอนเสริ์ตการแสดงต่างๆ จนกระทั่งสตัฟเฟิลตัดสินใจลาออกจากสไมล์เมื่อปี ค.ศ. 1970 หลังจากนั้นเฟรดดี้เข้าวงและเปลี่ยนชื่อวงเป็น ควีน และใชื่อบนเวทีของเขาที่คุ้นเคย จอห์น ดีคอน ได้รับการคัดเลือกก่อนที่จะเปิดตัวอัลบั้มแรกของพวกเขาในปีค.ศ. 1973 จอห์น ดีคอนยังได้ถูกคัดเลือกก่อนที่จะอัดอัลบั้มเปิดตัวชุดแรกของพวกเขาในปี ค.ศ. 1973 ควีนประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรสำหรับอัลบั้มเปิดตัวของพวกเขา ตามมาด้วยอัลบั้มชุดที่สอง Queen II ในปี ค.ศ. 1974 และอัลบั้มชุดที่ 3 Sheer Heart Attack ในปี ค.ศ. 1974 และอัลบั้มชุดที่ 5 A Night at the Opera ในปี ค.ศ. 1975 ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จสู่ระดับนานาชาติ ซิงเกิ้ล "Bohemian Rhapsody" ขึ้นติดอันดับหนึ่งในชาร์จของสหราชอาณาจักรเป็นเวลาเก้าสัปดาห์ และติดชาร์จอันดับหนึ่งในหลายประเทศ และวงควีนยังติดท็อปสิบอันดับใน บิลบอร์ด ฮอต 100 ผลงานอัลบั้มชุดที่ 6 News of The World ในปี ค.ศ. 1977 อัลบั้ม News of the world อัลบั้มชุดนี้ยังถูกกล่าวขานว่าเป็นเพลงชาติของชาวร็อคอันประกอบไปด้วย We Will Rock You" และ "We Are the Champions"  ในช่วงประมาณทศวรรษ 1980 , ควีนถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่แสดงสดในสเตเดียม ร็อคได้อย่างยิ่งใหญ่  พร้อมโดยซิงเกิ้ลของพวกเขา "Another One Bites the Dust" ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่มียอดขายดีอย่างมาก และการแสดงของพวกเขาในปี 1985 Live Aid ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดของประวัติศาสตร์วงการเพลงร็อค , ในปี 1991 เมอร์คูรีเสียชีวิตจากภาวะหลอดลมใหญ่และปอดอักเสบ อีกทั้งภาวะแทรกซ้อนจากเอดส์ , และดีคอนเกษียณตัวเองในปี 1997 ตั้งแต่นั้นมา , เมย์ และ เทย์เลอร์ได้แสดงคอนเสริ์ตร่วมกัน และการร่วมมือกับวง ฟรี และ แบดคอมพานี นักร้องนำ พอล รอดเจอร์ ภายใต้การร่วมกันของ ควีน + พอล รอดเจอร์ ในระหว่างช่วงพฤษภาคม 2009 ถึงปี 2011 เมย์ และ เทเลอร์ ร่วมตัวกับ อดัม แลมเบริ์ก ภายใต้ชื่อ ควีน + อดัม แลมเบริ์ก ในเดือนพฤศจิกายน 2014 , ควีนได้ปล่อยอัลบั้มชุดใหม่ออกมา Queen Forever โดยมีเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ร้องนำในช่วงระหว่างปี 1970  วงควีนยังมี 18 อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์จอัลบั้ม และ 18 ซิงเกิ้ลขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์จซิงเกิ้ล , ยอดขายพวกเขาขายไปได้ถึงประมาณ 150 ล้าน ถึง 300 ล้านแผ่นเสียง , ทำให้พวกเขาติดหนึ่งในศิลปินที่มียอดขายสูง พวกเขายังมีผลงานอันโดดเด่นโดยได้รับรางวัลบริทิชมิวสิคอวอร์ดจากวงการแผ่นเสียงของอังกฤษในปี 1990 พวกเขาได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ใน หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล ในปี 2001  ในปี 1968 นักศึกษาจากอิมพีเรียล คอลเลจ ในลอนดอน ไบรอัน เมย์ กับเพื่อนร่วมชั้น โรเจอร์ เทย์เลอร์ และ ทิม สตัฟเฟิล ฟอร์มวงเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Smile ขึ้นมาเพื่อเล่นในคลับเล็กๆ ในลอนดอน ในเวลาต่อมา พวกเขาได้พบกับนักศึกษาศิลปะชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียจาก เอลลิ่ง อาร์ต คอลเลจ ผู้มีนามกรว่า ฟารุก หรือ "เฟรดดี้" บัลซารา (เฟรดดี เมอร์คูรี) หลังจากการลาออกของ สตัฟเฟิล ทั้งสามชักชวนกันฟอร์มวงใหม่ขึ้นมา โดยมีมือเบสอย่าง จอห์น ดีคอน มาสมทบในภายหลัง โดยใช้ชื่อว่า ควีนจากการแนะนำของเฟรดดี้ (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น เมอร์คิวรี่) และคงไว้ซึ่งสมาชิกชุดเดิมนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา  ในปี 1973 พวกเขาออกอัลบั้มเปิดตัวที่มีชื่อเดียวกันกับวง และประสบความสำเร็จในอังกฤษอย่างสูง ด้วยดนตรีร็อกแนวใหม่ที่มีส่วนผสมของดนตรีบลูส์, แกลมร็อก, ฮาร์ดร็อก, เฮวี่ ไซเคเดลิก และโปรเกรสซีฟ ร็อก ผสานเข้ากับการประสานเสียงอันหนาแน่นแบบดนตรีคลาสสิก และตามความสำเร็จมาติดๆ ในปี 1974 ด้วยการเข็นอัลบั้ม Queen II กับ Sheer Heart Attack ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน  โดยอัลบั้มที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดไปทั่วโลก ส่งผลให้วงมีความเป็นที่ชื่อเสียงและถูกกล่าวขานว่าเป็นสุดยอดแห่งวงการดนตรีร็อค นั้นคือ A Night at the Opera (1975) มีเพลง Bohemian Rhapsody เป็นที่รู้จัก เพลงดังกล่าวขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ต UK Single ติดต่อกันถึง 9 สัปดาห์ และขึ้นอันดับหนึ่งของ Billboard ชาร์ต Hot 100 ในสหรัฐอเมริกาและในอีกหลายประเทศทั่วโลก ด้วยงานดนตรีที่สร้างมิติใหม่ให้กับวงการร็อก กับการเรียบเรียงเสียงประสานอันสุดยอด และการนำเอาดนตรีคลาสสิกอย่างโอเปร่า มาผสมผสานเข้ากับเพลงบัลลาด ดนตรีฮาร์ดร็อก และอีกหลายแนว จนกลายเป็นแนวเพลงใหม่ที่เรียกกันว่า "โอเปร่าร็อก" Bohemian Rhapsody กลายเป็นผลงานของวงควีนที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นสุดยอด อีกทั้งยังเป็นที่นิยมชมชอบจากคนฟังเพลง โดยปัจจุบันได้รับการจารึกชื่อจากนิตยสาร Rolling Stone ให้เป็นหนึ่งใน 500 เพลงยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล   ในปี 1977 Queen กลับมาประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดอีกครั้ง กับอัลบั้ม News of the World ที่มีเพลงฮิตอย่าง We Will Rock You และ We Are the Champions ที่เป็นผลงานเพลงอมตะของวงควีนจนเป็นที่รู้จักกันมากมายจนถึงทุกวันนี้



เอซี/ดีซี (AC/DC) เป็นวงร็อกออสเตรเลีย ก่อตั้งวงในซิดนีย์ ในปี 1973 โดยพี่น้อง มัลคอล์มและแอนกัส ยัง ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปจะจำแนกวงนี้ว่าเป็นแนวฮาร์ดร็อกและถือว่าเป็นผู้บุกเบิกดนตรีเฮฟวีเมทัลแต่พวกเขาก็มักจะจำแนกแนวเพลงพวกเขาว่าเป็น "ร็อกแอนด์โรล"  เอซี/ดีซี เผชิญกับการเปลี่ยนสมาชิกในวงหลายหน ก่อนที่จะออกอัลบั้มชุดแรก High Voltage ในปี 1975 สมาชิกของวงเริ่มคงตัวเมื่อมือเบส มาร์ก อีแวนส์มาแทนที่ คลิฟ วิลเลียมส์ ในปี 1977 ต่อมาในปี 1979 วงได้บันทึกเสียงอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในชื่อชุด Highway to Hell นักร้องนำและผู้ร่วมเขียนเพลง บอน สก็อต เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 หลังจากคืนที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก วงได้ตัดสินใจแยกวงไป แต่แล้วอดีตนักร้องวงกอร์ดี ที่ชื่อไบรอัน จอห์นสันก็ถูกเลือกให้มาแทนที่สก็อตต์ ต่อมาในปีนั้นวงออกอัลบั้มชุดที่ขายดีที่สุดของวงในชื่อชุด Back in Black  อัลบั้มถัดมาของวง Those About to Rock We Salute You ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงและถือเป็นอัลบั้มแรกของวงที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา เอซี/ดีซี เริ่มเสื่อมความนิยมลงไปหลังจากมือกลอง ฟิล รัดด์ถูกไล่ออกในปี 1983 และถูกแทนที่ด้วยไซมอน ไรต์ (ต่อมาร่วมวงกับดิโอ) ฟิล รัดด์กลับมาอีกครั้งในปี 1994 (หลังจากสเลดถูกให้ออกจากวง) และเขาได้ทำงานใหอัลบั้มปี 1995 ชุด Ballbreaker ในปี 2000 ออกผลงานอัลบั้มชุด Stiff Upper Lip ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ ทางวงออกผลงานชุดล่าสุด Black Ice เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2008  เอซี/ดีซี มียอดขายอัลบั้มมากกว่า 200 ล้านชุดทั่วโลก  รวมถึงขายอัลบั้มในสหรัฐอเมริกาได้กว่า 71 ล้านชุด  อัลบั้มชุด Back in Black มียอดขายราว 45 ล้านชุดทั่วโลก โดยมียอดขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียวที่ 22 ล้านชุด ซึ่งถือเป็นอัลบั้มที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับที่ 5  เอซี/ดีซี ติดอยู่อันดับที่ 4 ของการจัดอันดับทางช่องวีเอชวันในหัวข้อ "100 ศิลปินฮาร์ดร็อกที่ยอดเยี่ยมที่สุด" และอันดับ 7 ของการจัดอันดับทางช่องเอ็มทีวี ในหัวข้อ "วงเฮฟวีเมทัลที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล" ในปี 2004 พวกเขาติดอยู่อันดับที่ 72 ทางนิตยสารโรลลิงสโตน ในหัวข้อ 100 ศิลปินที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล   พี่น้อง มัลคอล์มและแอนกัส และจอร์จ ยัง เกิดใน กลาสโกว์ , ประเทศสกอตแลนด์ , และย้ายไปซิดนีย์กับครอบครัวของพวกเขาในปี 1963 , จอร์จได้เรียนรู้วิธีเล่นกีตาร์ , และเขาก็ได้เป็นสมาชิกวง The Easybeats เป็นหนึ่งในวงที่มีความประสบความสำเร็จในช่วงยุค 1960 ในประเทศออสเตรเลีย , ในปี 1966 , พวกเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเริ่มมีชื่อเสียงจากเพลง Friday on My Mind[  มัลคอล์ม เดินตามรอยจอร์จโดยเล่นวงในเมือง Newcastle, New South Wales และก่อตั้งวง Velvet Underground (อย่าสับสนกับวงดนตรีนิวยอร์กที่ใช้ชื่อว่า The Velvet Underground)พี่ชายคนโตของพวกเขา อเล็ก ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในสหราชอาณาจักรและไล่ตามความฝันทางดนตรีในปี 1967 , อเล็กซานเดอร์ฟอร์มวงโดยทำหน้าที่มือเบสในกรุงลอนดอนกับวง Grapfruit โดยมีอีกชื่อว่า The Grapeful และอดีตสมาชิกจาก Tony Rivers และวง The Castaways , John Perry , Geoff Swettenham และ Pete Swettenham  มัลคอล์มและแอนกัส ยัง คิดค้นที่จะตั้งชื่อไอเดียกับน้องสาวของเขา , มาร์กาเร็ต ยัง , เห็นชื่อย่อ AC/DC ของจักรเย็บผ้า โดยคำว่า AC/DC เป็นคำย่อที่มีความหมายว่า ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) /ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ทางวิชาไฟฟ้า , สองพี่น้องรู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะที่จะเป็นชื่อวงอย่างมาก , และเปรียบเหมือนแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับวง   AC/DC เป็นตัวเด่นชัดเหมือนเขียนเขียนตัวอักษร แม้ว่าวงจะถูกเรียกขานในนาม Acca Dacca ในประเทศออสเตรเลีย  รูปวง AC/DC เป็นสายฟ้าอยู่กึ่งกลาง แบ่งแยกกับคำ AC และ DC และรูปนี้ยังคงใช้ทุกสตูดิโออัลบั้ม , แต่ยกเว้นเฉพาะอัลบั้ม Dirty Deeds Done Dirt Cheap ในเวอร์ชันนานาชาติ.  ในเดือนพฤศจิกายน 1973 , มัลคอล์มและแอนกัส ยังฟอร์มวง AC/DC ขึ้นและได้รับเลือก Larry Van Kriedt มาทำหน้าที่มือเบส , Dave Evans ร้องนำ , และได้ Colin Burgess จากวง Masters Apprentices มาทำหน้าที่มือกลอง โดยแอนกัส ยังได้มักมีลักษณะเฉพาะคือการใส่ชุดแบบนักเรียนขึ้นคอนเสริ์ตอยู่หลายหน , ไอเดียนี้มาจากน้องสาวของเขา มาร์กาเร็ต , แอนกัสพยายามที่จะหาชุดแหวกแนวขึ้นคอนเสริ์ต เช่น ; ศึกตำนานหน้ากากโซโร สไปเดอร์-แมน , กอลลิล่า และการล้อเลียนซูเปอร์แมน , ในชื่อ Super-Ang  ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ , มีสมาชิกภายในวงใส่ชุดที่ดึงดูหรือชุดผ้าตุ่น โดยอาจจะมีความคล้ายคลึงกับวง Skyhoods จากเมือง เมลเบิร์น โดยวง Skyhoods มักขึ้นแสดงด้วยชุดที่แหวกแนวเป็นประจำอยู่บ่อยครั้ง  พี่น้องตระกูลยัง ตัดสินใจบอกกับเดฟ อีแวนส์ไม่เหมาะที่จะเป็นฟร้อนแมนท์ของวงเพราะพวกเขาเหมาะที่จะเป็น แกลมร็อก เฉกเช่น Gary Glitter  บนเวที , เดฟ อีแวนส์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกับวงเป็นครั้งเป็นคราวๆ , Dennis Laughlin อดีตนักร้อง Sherbet (ก่อน Daryl Braithwaite จะขึ้นมาเป็นนักร้อง) , Dave Evans ไม่ได้เดินตามรอย Dennis Laughlin , ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความรู้สึกที่ไม่ดีของวงดนตรีที่มีต่อ Evans  ในเดือนกันยายน 1974 Bon Scott ผู้มีประสบการณ์ทางด้านการร้องและเป็นเพื่อนของ George Young ได้เข้ามาแทนที่ Dave Evans  หลังเพื่อนของเขา Vince Lovegrove แนะนำให้แก่ George Youngเหมือนเฉกเช่นคู่หูยัง Bon Scott เกิดในประเทศสก็อตแลนต์ก่อนจะอพยพถื่นฐานไปยังออสเตรเลียในวัยเด็ก , โดยทางวงได้อัดเทปเพียงหนึ่งซิงเกิ้ลกับ Dave Evans "Can I Sit Next To You, Girl" / "Rockin' in the Parlour"; ท้ายที่สุดเพลงนี้ถูกแก้และอัดใหม่โดย Bon Scott โดย Can I Sit Next To You Girl'' แทร็กที่ 7 ในอัลบั้ม TNT (1975) และเป็นแทร็กที่ 6 ในอัลบั้ม High Voltage (1976) ในเวอร์ชันนานาชาติ  ในเดือนตุลาคม 1974 อัลบั้ม High Voltage ที่จัดจำหน่ายเฉพาะออสเตรเลีย เริ่มทำการอัด ซึ่งใช้เวลาถึง 10 วัน เขียนเพลงโดยสองพี่น้องยัง แต่งเนื้อโดย Bon Scott ภายในเวลาไม่กี่เดือน สมาชิกวงก็เริ่มสเถียรภาพ ร่วมร้องโดย Bon Scott , สองพี่น้องยัง มือเบส Mark Evans และมือกลอง Phil Rudd สิ้นปีทางวงได้ปล่อยซิงเกิ้ล It's a Long Way to The Top และทำให้พวกเขากลายเป็นวงร็อคขวัญใจตลอดกาล  มันถูกรวมอยู่ในอัลบั้มที่สอง , TNT (1975) ซึ่งจัดจำหน่ายแค่ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยภายในอัลบัมนี้ยังมีเพลงโดดเด่น High Voltage โดยเป็นเพลงแรกที่เขียนและอัดลงในอัลบั้ม เนื่องจาก High Voltage ถูกปล่อยเป็นซิงเกิ้ลก่อนที่อัลบั้ม T.N.T. จะถูกปล่อยออกมา โดยผู้คนคิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงเปิดตัวของวง  ในระหว่างช่วงปี 1974 และ 1977 ยังคงได้รับความช่วยเหลือโดยปรากฏอยู่ในรายการทอล์กโชว์ Molly Meldrum's Countdown, บริษัทการกระจายเสียงและแพร่ภาพอเมริกัน (ABC) กล่าว AC/DC เป็นหนึ่งในวงยอดนิยมและประสบความสำเร็จในออสเตรเลีย โดยการแสดงของพวกเขาใน 3 เมษายน 1977 เป็นการปรากฏในทีวีครั้งสุดท้ายหลังจากห่างเหินมากกว่า 20 ปี

แอโรสมิธ (Aerosmith) เป็นวงฮาร์ดร็อกอเมริกัน ที่ในบางครั้งมีฉายาว่า "แบดบอยจากบอสตัน" และ "วงร็อกแอนด์โรลอเมริกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด  แนวเพลงมีลักษณะฮาร์ดร็อกที่มีรากมาจากแนวเพลงบลูส์และยังรวมกับองค์ประกอบของแนวป็อป, เฮฟวีเมทัล แกลมเมทัล, และอาร์แอนด์บี ที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังในเวลาต่อมา วงก่อตั้งในบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ในปี 1970 มือกีตาร์ โจ เพอร์รี และ มือเบส ทอม ฮามิลตัน เริ่มในวงตั้งแต่แรก ตั้งชื่อวงว่า แจมแบนด์ จากนั้นเจอนักร้อง สตีเวน ไทเลอร์ ,มือกลอง โจอี คราเมอร์ และมือกีตาร์ เรย์ ทาบาโน และรวมกันในชื่อวง แอโรสมิธ โดยในปี 1971 ทาบาโนออกและแบรด วิทฟอร์ดมาแทน จากนั้นเริ่มพัฒนาวงในบอสตัน พวกเขาเซ็นสัญญากับโคลัมเบียเรคคอร์ดส ในปี 1972 และออกผลงานที่ขายได้หลายแผ่นเสียงทองคำขาว เริ่มต้นในปี 1973 กับอัลบั้มเปิดตัว และในปี 1975 วงได้ก้าวสู่กระแสหลักกับอัลบั้ม Toys in the Attic และกับผลงานปี 1976 กับร็อกที่แข็งขึ้นในฐานะฮาร์ดร็อกซุเปอร์สตาร์ โดยในปลายยุค 1970 พวกเขาเป็นวงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มวงประเภทฮาร์ดร็อกและมีแฟนเกิดขึ้นมา ที่มักจะเรียกตัวเองว่า "บลูอาร์มี่" อย่างไรก็ตามเกิดปัญหาขึ้นภายในทั้งการติดยา ทำให้เพอร์รีและวิทฟอร์ดออกไป ในปี 1979 และ 1981 ตามลำดับ และมาแทนที่โดย จิมมี เครสโพและริก ดูเฟย์  พวกเขาไม่ได้ลาจากระหว่างปี 1980 และ 1984 และออกผลงานอัลบั้มชุดเดียว คือ Rock in a Hard Place ที่มียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำแต่ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อเทียบกับชุดก่อน ถึงแม้ว่าเพอร์รีและวิทฟอร์ด จะกลับมาในปี 1984 และได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ เกฟเฟนเรคคอร์ดส พวกเขาออกอัลบั้มในปี 1987 ชุด Permanent Vacation ที่เพิ่มระดับความนิยมกว่าที่เขาเคยได้ในยุค 1970  ในปลายยุค 1980 และ 1990 พวกเขามีผลงานฮิตและได้รับรางวัลมากมาย จากอัลบั้มยอดขายแผ่นเสียงทองคำขาวหลายแผ่นอย่าง Pump (1989), Get a Grip (1993), และ Nine Lives (1997) การกลับมาของพวกเขาอธิบายได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในประวัติศาสตร์ร็อกแอนด์โรล  หลังจาก 39 ปีแห่งการแสดง วงก็ยังออกทัวร์และผลิตผลงานดนตรีอยู่  แอโรสมิธ เป็นวงฮาร์ดร็อกอเมริกันที่มียอดขายดีที่สุดตลอดกาล มียอดขาย 150 ล้านชุดทั่วโลก เฉพาะในสหรัฐอเมริกามียอด 66.5 ล้าน พวกเขายังสร้างสถิติเป็นวงอเมริกันที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำและแผ่นเสียงทองคำขาวมากที่สุด พวกเขามีเพลงในท็อป 40 ถึง 21 เพลงในชาร์ทบิลบอร์ดฮ็อต 100 และมี 9 เพลงที่ติดอันดับ 1 ของชาร์ทเมนตรีมร็อก ได้ 4 รางวัลแกรมมี่ และ 10 รางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส พวกเขายังติดในร็อกแอนด์โรลฮอลล์ออฟเฟม ในปี 2001 และในปี 2005 พวกเขาติดอันดับ 57 ของนิตยสารโรลลิงสโตน ในการจัดอันดับ 100 ศิลปินที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล



ดิ อีเกิลส์ (The Eagles) เป็นวงอเมริกันร็อก ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 สมาชิกในปัจจุบันคือ เกลนน์ เฟรย์, ดอน เฮนลีย์, ทิโมธีบี ชมิท และโจ วอล์ช  อีเกิลส์ ประสบความสำเร็จ ด้วยการติดอันดับที่ 1 บิลบอร์ดชาร์ทด้วยกันถึง 7 เพลง , 6 รางวัลแกรมมี , 5 รางวัลอเมริกันมิวสิคอวอท มีอัลบั้มอันโด่งดังเช่น "โฮเทล แคริฟอเนีย" ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร โรลลิงสโตนในหัวข้อ "500 อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ให้อยู่อันดับ 37  อิเกิลส์ จึงนับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ 70 โดยตั้งแต่ตั้งวงเป็นต้นมา สามารถจำหน่ายเพลงไปแล้วมากกว่า 120 ล้านแผ่นทั่วโลก โดยขณะที่สหรัฐประเทศเดียวจำหน่ายได้ถึง 100 ล้านแผ่น  ,เฟรย์ และ เฮนลีย์ ได้รับการว่าจ้างเป็นวงดนตรีแบ็คอัพของ ลินดา รอนสตัดท์ ในฤดูใบไม้ผลิปี 1971 ส่วน ไมส์เนอร์ และลีดัน ร่วมเป็นนักดนตรีแบ็คอัพในการทัวร์คอนเสิร์ตฤดูร้อน ของ ลินดา รอนสตัดท์ เช่นกัน โดยทั้ง 4 เปิดแสดงโชว์เล็ก ๆ ร่วมกันครั้งนึง ที่ ดิสนีย์แลนด์ เมื่อเดือนกันยายน 1971 ทั้ง เกลนน์ เฟรย์, ดอน เฮนลีย์, เบอร์นี่ ลีดอน และ แรนดี ไมส์เนอร์ เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง แอสไซลัม เรคคอร์ด หลังจากนั้นไม่นานจึงตั้งชื่อวงว่า ดิ อีเกิลส์ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 1972 บินไปอังกฤษและ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการบันทึกเสียงผลงานชุด The Eagles โดย กลีน จอห์นส์ ทำหน้าที่ควบคุมการผลิต และวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน มีเพลงดังอย่าง "Take It Easy" และ "Hotel California" เป็นต้น  ดิ อีเกิลส์ออกตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตตลอดปี 1972 จนกระทั่งถึงต้นปี 1973 และบินไปอังกฤษอีกครั้งพร้อมกับ กลีน จอห์นส์ เพื่อบันทึกเสียงผลงานชุดที่ 2 Desperado ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพวกนอกกฎหมาย และวางจำหน่ายในปี 1973 มีเพลงดังอย่าง "Tequila Sunrise" และ "Desperado"  หลังจากนั้นพวกเขามารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อผลิตผลงานชุดที่ 3 กับ ผู้ควบคุมงานดนตรี กลีน จอห์นส์ ได้เกิดความขัดแย้งกันด้านแนวความคิด พวกเขาแยกกันทำงานภายหลังจากอัดเสียงไปได้เพียง 2 เพลงเท่านั้น คือ "You Never Cry Like a Lover" และ "The Best of My Love"  ภายหลังการทัวร์คอนเสิร์ตตอนต้นปี พ.ศ. 1974 โจ วอล์ชได้จ้างโปรดิวเซอร์ บิล ซิมซิค มาทำงานดนตรีที่เหลือทั้งหมดใน ผลงานชุด On the Border โดย บิล ได้นำ ดอน เฟลเดอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของ เบอร์นีย์ ลีดอน ทุกคนในวงประทับใจและยินดีที่ได้ร่วมงานกับสมาชิกใหม่ ผลงานชุด On the Boarder วางจำหน่ายในเดือนมีนาคม 1974 สามารถทำสถิติผลงานชุดที่ขายได้รวดเร็วที่สุดของดิ อีเกิลส์ และในเดือนเดียวกันนั้นเองผลงานซิงเกิลแรก "Already Gone" พุ่งเข้าสู่ท็อป 20 แต่บทเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในผลงานชุดนี้และทำให้ ดิ อีเกิ้ลส์ และมีเพลงดังอันดับ 1 ในอเมริกาอย่าง "The Best of My Love"  ในเดือนมิถุนายน 1975 ได้ออกผลงานชุดที่ 4 ชุด One of These Nights ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยสามารถคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำ ในเดือนเดียว และทะยานสู่อันดับหนึ่งในเดือนกรกฎาคม พร้อมกับ 3 ซิงเกิ้ลยอดนิยมที่ไต่อันดับเข้าสู่ 1 ใน 5 ไม่ว่าจะเป็น บทเพลงที่พุ่งสู่อันดับหนึ่ง อย่าง "One of These Nights", "Lyin' Eyes" และ "Take It to the Limit" โดยเพลง "Lyin' Eyes" ได้รับรางวัลแกรมมี ประจำปี 2518 สาขาการร้องเพลงป็อปยอดเยี่ยม โดยนักร้องกลุ่มหรือประสานเสียง นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ผลงานชุดยอดเยี่ยมแห่งปี ส่วนซิงเกิ้ลเพลง "Lyin' Eyes" ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลแผ่นเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี เบอร์นี่ย์ ลีดอน ลาออกจากวง และต่อมาได้รับ โจ วอล์ช เข้าร่วงวง และออกทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันในทันที และออกผลงานรวมฮิต ชุด อีเกิ้ลส์ : แดร์ เกรทเทสท์ ฮิตส์ 1971-1975 ในเดือนกุมภาพันธ์ 1976 โดยคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว จากยอดจำหน่ายกว่า 1 ล้านแผ่น  ผลงานชุดที่ 5 Hotel California ออกวางขายในเดือนธันวาคมปี 1976 โดยคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ และขึ้นสู่อันดับหนึ่งในเดือนมกราคมปี 1977 และต่อมาสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านแผ่น มีเพลงดัง "New Kid in Town" และ "Hotel California" ขึ้นอันดับหนึ่งในอเมริกา นอกจากนี้เพลง "Hotel California" ยังคว้ารางวัลแผ่นเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี ในการประกาศ รางวัลแกรมมี่ ประจำปี 1977 ต่อมาในเดือนมีนาคม 1977 พวกเขาเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก โดยเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน แล้วไปยุโรปและตะวันออกไกลอีกหนึ่งเดือน และกลับมาในสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคม เมื่อจบทัวร์ในเดือนกันยายน แรนดี้ ไมส์เนอร์ตัดสินใจลาออกจากวง โดยมีสมาชิกใหม่เข้ามาแทนที่ นั่นคือ ทิโมธี่ บี ชมิท ดิ อีเกิลส์เริ่มต้นทำผลงานชุดใหม่ โดยใช้เวลานานเกือบหนึ่งปีครึ่ง The Long Run ออกจำหน่ายในเดือนกันยายนปี 1979 อัลบั้มชุดนี้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งและได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวอยู่หลายแผ่น ส่วน Heartache Tonight ไต่ขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในอเมริกา ส่วนเพลง "I Can't Tell You Why" สูงสุดที่อันดับ 8 และ "The Long Run" เข้าสู่อันดับ 8 บนอันดับของชาร์ทซิงเกิ้ลเช่นกัน นอกจากนี้เพลง "Heartache Tonight" ได้รับ รางวัลแกรมมี่อวอร์ด สาขาการร้องเพลงร็อกยอดเยี่ยมโดยนักร้องกลุ่มหรือประสานเสียง ในปี 1979 และได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1980 และบันทึกผลงานชุด การแสดงสด Eagles Live และยังได้ออกผลงาน แอล.พี. คู่ (Double L.P.) ออกวางจำหน่ายในปี 1980 และติดอันดับเพลงยอดนิยม 1 ใน 5 ดิ อีเกิลส์ประกาศแยกวงอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 1982 สมาชิกทั้ง 5 ต่างแยกย้ายมีผลงานเดี่ยวของตนเอง จนกระทั่งได้กลับมารวมวงใหม่ โดยบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตพิเศษของ MTV ในฤดูร้อนปี 1994 และมีผลงานออกวางจำหน่ายตามมาในเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้น ทางวงออกผลงานชุด Hell Freezes Over ซึ่งขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ท และมียอดจำหน่ายได้หลายล้านแผ่น ซึ่งมีเพลงใหม่อย่าง "Get Over It" ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 40 ของ ชาร์ทเพลงป็อบ และเพลง "Love Will Keep Us Alive" ดิ อีเกิลส์รวมกันอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมปี 1998 โดยได้รับการบันทึกในทำเนียบ ร็อก แอนด์ โรล ฮอล ออฟ เฟม ซึ่งมีทั้งสมาชิกวงปัจจุบันและอดีตสมาชิกอย่าง ลีดอน และ ไมส์เนอร์ และต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ได้แสดงคอนเสิร์ตส่งท้ายสหัสวรรษที่ สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ใน ลอสแอนเจลิส โดยมีการบันทึกเสียง และรวบรวมไว้ในผลงานชุดรวมฮิต Selected Works 1972 - 1999 วางขายเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2000 และในปี 2007 พวกเขากลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Long Road Out of Eden ที่วางขายในร้าน วอล-มาร์ต และ Sam's Club ซึ่ง ณ ขณะนั้นบิลบอร์ดไม่นับยอดขายที่ขายผ่านทางร้านขายปลีกแบบรายเดียวนี้เข้าไปด้วย แต่ก่อนที่จะประกาศอันดับเพียง 24 ชั่วโมง บิลบอร์ดได้ออกมาประกาศกฎใหม่ ทำให้อัลบั้ม Long Road Out of Eden ขึ้นอันดับ 1 ไปได้ ทำให้อัลบั้ม Blackout ของบริทนีย์ สเปียร์สซึ่งวางขายในสัปดาห์เดียวกันตกไปอยู่ที่อันดับ 2



ดีปเพอร์เพิล (Deep Purple) เป็นวงดนตรีฮาร์ดร็อก และเฮฟวีเมทัล จากเมืองเฮิร์ทฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1968 และยังคงจัดแสดงอยู่จนถึงปัจจุบัน เคยได้รับการบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ว่าเป็นวงดนตรีที่เล่นเสียงดังที่สุด  และได้รับการจัดอันดับโดย VH1 ให้เป็นวงดนตรีฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยม อันดับที่ 22  และมียอดขายอัลบั้มทั้วโลก มากกว่า 100 ล้านแผ่น  ตลอดเวลา 40 ปีของวง มีสมาชิกร่วมวงผลัดเปลี่ยนกันหลายชุด โดยชุดที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จที่สุด เป็นสมาชิกชุดที่สอง ที่ร่วมงานกันระหว่างปี 1969 ถึง 1973 ก่อนจะแยกวงเป็นเวลา 8 ปี และกลับมาร่วมงานกันใหม่ระหว่างปี 1984 ถึง 1989 สมาชิกชุดนี้ประกอบด้วย เอียน กิลแลน (ร้องนำ) ริทชี แบล็กมอร์ (กีตาร์) จอน ลอร์ด (คีย์บอร์ด) โรเจอร์ โกลเวอร์ (เบส) และเอียน เพซ (กลอง) ภายหลังริทชี แบล็กมอร์ ได้ขัดแย้งกับสมาชิกคนอื่นในวงอย่างรุนแรง และแยกจากกันตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา ทางวงจึงได้นำโจ แซทริอานี และสตีฟ มอร์ส มาเล่นกีตาร์แทน วงดีปเพอร์เพิล มีชื่อเสียงในการแสดงดนตรีสด และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงปี 1969 ถึง 1973 โดยเฉพาะงานบันทึกการแสดงสดในปี 1972 ที่ประเทศญี่ปุ่น ชื่อชุด "Made in Japan" และ "Live in Japan" ผลงานเพลงที่ได้รับความนิยม เช่นเพลง "Highway Star", "Smoke On The Water", "Black Knight", "Woman From Tokyo", "Speed King" และเพลงคัฟเวอร์ เช่น "Hush" และ "Kentucky Woman" ดีปเพอร์เพิล เคยเข้ามาแสดงในประเทศไทยสามครั้ง ครั้งแรกจัดแสดงที่สนามกีฬากองทัพบก  ครั้งที่สองจัดแสดงเมื่อ พ.ศ. 2545 ที่อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี ครั้งที่สามจัดแสดงเมื่อ พ.ศ. 2553 ที่ ธันเดอร์โดม อิมแพค เมืองทองธานี

แบล็กแซ็บบาธ (Black Sabbath) เป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลจากเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1968 โดยมีสมาชิกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นจำนวนมากถึง 22 คน แต่มีสมาชิกหลักจำนวน 4 คน คือ ออซซี ออสบอร์น โทนี อิออมมี กีเซอร์ บัทเลอร์ และบิล วอร์ด ซึ่งเป็นสมาชิกตั้งแต่ก่อตั้งวง แบล็กแซ็บบาธ ได้รับการยอมรับว่าเป็นวงดนตรีวงแรก ๆ ในแนวเฮฟวีเมทัล โดยเน้นเสียงกีตาร์ที่มีโทนเสียงโหยหวน และเนื้อร้องที่มี ความหมายแนวสยองขวัญเป็นเอกลักษณ์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ขายอัลบั้มได้มากกว่า 15 ล้านแผ่น เฉพาะในสหรัฐอเมริกา และมากกว่า 70 ล้านแผ่นทั่วโลก ผลงานเพลงของแบล็กแซ็บบาธ ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือเพลง "Paranoid" จากอัลบั้มที่สอง ในปี 1970 ก่อนหน้าที่จะมาเป็นวงเฮฟวี่เมทัล ในปี ค.ศ. 1968 แบล๊ค ซับบาธเล่นดนตรีแนว heavy blues rock มีวงชื่อว่า Earth และเปลี่ยนชื่อเป็น Black Sabbath ในปี 1969  เขียนเพลงที่นำชื่อเพลงมาจาก นวนิยายลึกลับของ Dennis Wheatley ชื่อว่า Black Sabbath และนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อวงอีกด้วย การเล่นดนตรีของวงแบล็กแซ็บบาธนอกจากจะเล่นดนตรีที่ให้อารมณ์ น่ากลัว ลึกลับ หวาดกลัว แล้วผลงานอัลบั้มต่าง ๆ ยังกล่าวถึงสังคมในสมัยนั้น เรื่องความไม่มั่นคงทางสังคม การทุจริตทางการเมือง และเรื่องยาเสพติด หรือบางเพลงก็กล่าวถึงความน่ากลัวของสงคราม แบล็กแซ็บบาธ ตั้งวงพร้อม ๆ กับ Led Zeppelin และ Deep Purple ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกแนวเพลง เฮฟวี่เมทัล  วงแบล็กแซ็บบาธได้เป็น ศิลปินฮาร์ดร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรองลงมาจาก Led Zeppelin  ออซซี ออสบอร์น มีปัญหาเรื่องการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก และใช้สารเสพติดจน ทำให้ทางวงต้องไล่ออก ในปี ค.ศ. 1979 หลังจากที่เขาเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จมากขายกว่า 55 ล้านอัลบั้ม จึงมีคนมาแทนที่ในตำแหน่งนักร้องจากวง Rainbow คือ Ronnie James Dio ในปี ค.ศ 1980-1990และIan Gillan, Glenn Hughes, Ray Gillen Tony Martinตามลำดับ ในปี 1992 Iommi และ Butler ได้เข้าร่วมวง Dio และกลับมารวมตัวกับ ออซซี ออสบอร์น อีกครั้งในปี ค.ศ. 1997 ใน อัลบั้มบันทึกแสดงสด Reunion เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 สมาชิกดั้งเดิมของแบล็กแซ็บบาธ ที่แยกวงได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อทำอัลบั้มใหม่ และวางแผนทัวร์รอบโลก เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2013 วงแบล็กแซ็บบาธ ได้บันทึกสตูดิโออัลบั้มใหม่ที่ 19 คือ 13 กับมือกลองคนใหม่ Brad Wilk หลังจากที่สมาชิกทุกคนลาออกจากวง Mythology ในปี 1968 มือกีตาร์ Tony Iommi และ มือกลอง Bill Ward ตั้งวงดนตรีแนว เฮฟวี บลูร็อก ขึ้นที่ แอสตัน เบอร์มิงแฮม และสมาชิกอีกสองคนคือ มือเบส Geezer Butler และ นักร้องนำ Ozzy Osbourne ก็เข้ามาร่วมวง แล้วจึงตั้งวงที่ชื่อ The Polka Tulk และได้สมาชิกเพิ่มอีกคือ Jimmy Phillips ตำแหน่งมือสไลด์กีตาร์ และ Alan "Aker" Clarke เล่นแซ็กโซโฟน แล้วจึงเปลี่ยนชื่อวงเป็น Earth  แต่มีสมาชิกแค่สี่คนโดยไม่มี Phillips และ Clarke   ในช่วงที่วงใช้ชื่อว่า Earth พวกเขาเขียนเพลงขึ้นมาคือ "The Rebel", "Song for Jim", และ "When I Came Down" เป็นเดโมเทปในเดือน ธันวาคม 1968 อิออมมีเข้าร่วมเล่นกับวง Jethro Tull  เป็นช่วงสั้น ๆ เพราะพอใจกับทิศทางของวง อิออมมีจึงกลับมาเล่นกับวง Earth ในช่วง มกราคม 1969 ในขณะที่แสดงอยุ่ที่อังกฤษช่วง 1969 พวกเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวง Earth อีกวงที่มีชื่อเดียวกัน พวกเขาจึงเปลียนชื่อวงอีกครั้ง จากการไปดูหนังเรื่อง Black Sabbath เขียนโดย Mario Bava พวกเขาทั้งหมดจึงเริ่มเขียนเพลงชื่อ "Black Sabbath" ได้รับแรงบันดาลมาจากนวนิยายของ Dennis Wheatley พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็บ แบล็กแซ็บบาธ ในช่วง สิงหาคม 1969  และมุ่งเน้นเขียนเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องสยองขวัญ  แบล็กแซ็บบาธ ตกลงเซ็นสัญญากับค่าย Philips Records ในช่วง พฤศจิกายน 1969   แล้วเริ่มปล่อยซิเกิลแรกคือ "Evil Woman" (คับเวอร์จากวง Crow) ผ่านบริษัทย่อยของ Philips Fontana Records ในช่วง มกราคม 1970 Black Sabbath บันทึกตอน วันศุกร์13 เดือน กุมภาพันธ์ 1970 อัลบั้มนี้ขึ้นชาร์ด UK Albums Chart และวางขายใน สหรัฐฯ และ แคนาดาโดยค่ายWarner Bros. Records ติดอันดับ 23 ของชาร์ด Billboard 200 ติดชาร์ดนานนับปี หลังจากประสบผลสำเร็จจากอัลบั้มแรกพวกเขา ก็เข้าสตูดิโอ เพื่อจะทำอัลบั้มใหม่ช่วง มิถุนายน 1970 ในอัลบั้มใหม่มือชื่อเดิมว่า War Pigs แต่ต้องเปลี่ยนเพราะทางค่ายกลัวว่าจะเป็นการขัดแย้งกับเวียดนามเพราะในช่วงนั้น เกิดสงครามที่เวียดนาม จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Paranoid เปิดอัลบั้มด้วยเพลง "Paranoid" ในเดือนกันยายน 1970 ได้อันดับสี่ของ UK charts  และเพลง "Paranoid" ขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ด  ในช่วง กุมภาพันธ์ 1971 แบล็กแซ็บบาธ กลับไปสตูดิโอเพื่อบันทึดอัลบั้มที่สามของพวกเขา หลังจากที่อัลบ้ม Paranoid ประสบความสำเร็จ อัลบั้ม Master of Reality บันทึกเสร็จในเดือน เมษายน 1971 และในเดือนกรกฎาคมก็ปล่อยอัลบั้มวางจำหน่าย หลังจากนั้นอัลบั้มนี้ก็ขึ้นท็อปเท็น ของชาร์ดที่ US และ UK ได้รับรางวัลแพลททินัม ในช่วง 1980’s เพลงยอดฮิตจากอัลบั้มนี้คือ "Children of the Grave" และ "Sweet Leaf” หลังจากทัวร์คอนเสิร์ต Master of Reality จบในปี 1972 ในช่วง มิถุนายน 1972 พวกเขาประชุมกันที่ลอสแอนเจลิเพื่อเริ่มต้นการทำงานในอัลบั้มต่อไปของพวกเขาที่ Record Plant  แต่เกิดปัญหา ในการบันทึกเพลง "Cornucopia" หลังมีปัญหาเรื่องยาเสพติด พวกเขาจึงบันทึกอัลบั้ม Volume 4 เสร็จช่วง กันยายน 1972 และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม  พวกเขามีผลงานอัลบั้มต่อๆ มาจนถึงกลางยุค 90’s อีกหลายอัลบั้ม และอัลบั้มบันทึกการแสดงสดอีกหลายชุด

ฟลีตวูดแม็ก (Fleetwood Mac) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1967 โดยปีเตอร์ กรีน มิค ฟลีตวูด และจอห์น แม็กวี ทั้งสามคนเป็นอดีตสมาชิกวงเดอะ บลูเบรกเกอร์สของอีริก แคลปตัน และจอห์น แมยอล ช่วงก่อตั้งวง ปีเตอร์ กรีนเป็นแกนหลัก ร่วมกับมิค ฟลีตวูด ที่ถูกจอห์น แมยอลไล่ออกจากวงเดอะ บลูเบรกเกอร์ส ส่วนจอห์น แม็กวีได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมวงตั้งแต่แรก แต่ได้เปลี่ยนใจเข้าร่วมในปี 1968 และกลายเป็นหนึ่งในสองสมาชิกหลักของวงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเป็นที่มาของชื่อวง จากชื่อสกุล ฟลีตวูด-แม็กวี  ในช่วงแรกของวง มีผลงานที่มีชื่อเสียง คือซิงเกิล Black Magic Woman แต่งโดยปีเตอร์ กรีน ในปี 1968 ต่อมาคาร์ลอส ซานตานาได้นำเพลงนี้ไปขับร้องใหม่ และประสบความสำเร็จ กลายเป็นเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดของวงซานตานา  ฟลีตวูดมีสมาชิกเป็นหญิงสองคน คือ คริสตีน แม็กวี ภรรยาของจอห์น และ สตีวี นิกส์ อดีตแฟนสาวของลินซีย์ บักกิงแฮม นักดนตรีชาวอเมริกันที่มาร่วมงานในภายหลัง (ต่อมาสตีวีได้มีความสัมพันธ์กับมิค ฟลีตวูด ทำให้เกิดความร้าวฉานระหว่างสมาชิกในวง)
ฟลีตวูดแม็ก ประสบความสำเร็จในวงกว้าง ระหว่างช่วงปี 1975 ถึง 1987 ในช่วงนี้สมาชิกในวงประกอบด้วยคู่รักสองคู่ คือ ลินซีย์กับสตีวี และจอห์นกับคริสตีน ผลงานประสบความสำเร็จทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ได้แก่อัลบั้ม Fleetwood Mac (1975), Rumours (1977), Tusk (1979), Mirage (1982) และ Tango in the Night (1987) มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือเพลง Dreams ขึ้นถึงอันดับหนึ่งของนิตยสารบิลบอร์ดในปี 1977 และนำมาคัฟเวอร์โดยเดอะคอรร์ส ในปี 1998 เพลง Little Lies, Seven Wonders และ Big Love  ในปี 1987 ลินซีย์ บักกิงแฮมลาออกจากวง พร้อมกับยุติความสัมพันธ์กับสตีวี ตามด้วยการหย่าร้างของคริสตีนกับจอห์น แต่ยังร่วมวงต่อไปจนถึงปี 1997 ในปี 1997 สมาชิกวงในชุดปี 1975-1987 ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง และผลิตอัลบั้มบันทึกการแสดงสด ชื่อ The Chain เป็นอัลบั้มแรกที่ประสบความสำเร็จในรอบ 15 ปี หลังจากชุด Tango in the Night ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา  ปัจจุบัน ฟลีตวูดแม็ก ยังมีงานแสดงทัวร์คอนเสิร์ต โดยสมาชิกปัจจุบันประกอบด้วย สตีวี นิกส์, มิค ฟลีตวูด, จอห์น แม็กวี และลินซีย์ บักกิงแฮม และมีแผนการจะผลิตผลงานชุดใหม่

คิส (Kiss หรือเขียนว่า KISS) เป็นวงร็อกอเมริกัน ก่อตั้งวงในนิวยอร์กซิตีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1972 ภาพลักษณ์อันโดดเด่นของวงคือ สมาชิกวงทาสีหน้าตาและชุดแต่งกายอันโดดเด่น วงสร้างชื่อเสียงในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ 1970 กับการแสดงบนเวทีอย่างประณีต ที่มีการพ่นไฟ การบ้วนเลือด กีตาร์ควัน และการจุดพลุไฟ คิสได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำจากอัลบั้มพวกเขามาแล้ว 24 ครั้งนับถึงวันนี้วงยังมียอดขายมากกว่า 19 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และขายทั่วโลกมากกว่า 85 ล้านชุดอัลบั้ม สมาชิกดั้งเดิมคือ พอล สแตนลีย์ (ร้องและกีตาร์รึทึม), จีน ซิมมอนส์ (ร้องและกีตาร์เบส), เอซ เฟรห์เลย์ (กีตาร์ลีดและร้อง) และปีเตอร์ คริสส์ (กลอง เพอร์คัชชันและร้อง) ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักมากที่สุด กับการแต่งหน้าและเครื่องแต่งกาย ที่ดูเหมือนคาแรกเตอร์ที่หลุดมาจากหนังสือการ์ตูน คือ เดอะเดมอน (ซิมมอนส์), สตาร์ไชด์ (สแตนลีย์), สเปซแมน (เฟรห์เลย์) และแคตแมน (คริสส์) วงอธิบายว่าแฟน ๆ เป็นผู้เลือกดีไซน์การแต่งหน้าพวกเขา อย่าง "เดอะเดมอน" ที่สะท้อนการถากถางและองค์ประกอบความหม่นหมอง เช่นเดียวกับ พอล สแตนลีย์ที่เป็น "สตาร์ไชด์" เนื่องจากนิสัยที่ดูเป็น "คนรักที่มองโลกในแง่ดีเกินไป" และ "ความโรแมนติกหมดหวัง" ส่วนเอซ เฟรห์ลีย์ การแต่งหน้าแบบ "สเปซแมน" ที่สะท้อนเขาที่ต้องการที่จะขับขี่ยานท่องอวกาศ และต้องการที่จะไปอยู่ดาวดวงอื่น ด้านปีเตอร์ คริสส์ เป็น "แคตแมน" ที่อ้างถึงความเชื่อของคริสส์ที่ชื่อว่าแมวมีเก้าชีวิต อันเนื่องมาจากชีวิตวัยเด็กอันโชกโชนในบรู๊กลิน และเนื่องจากความคิดอันแตกต่างกัน ทั้งคริสส์และเฟรห์ลีย์ ถูกตัดออกจากกลุ่มในปี 1982 และถือเป็นช่วงที่วงเสื่อมความนิยมลงไปในช่วงนี้ ในปี 1983 คิสได้ละการแต่งหน้าออกไปและประสบความสำเร็จกลับมาในช่วงหลังของทศวรรษ กระแสรำลึกคิสในช่วงทศวรรษ 1990 ก็ทำให้เขาประกาศตัวกลับมารวมตัวกันอีกครั้งโดยสมาชิกดั้งเดิม ที่กลับมาแต่งหน้าเช่นเดิม ในปี 1996 ผลก็คือทัวร์ของเขา Kiss Alive/Worldwide/Lost Cities/Reunion Tour ถือเป็นทัวร์ที่ทำรายได้ดีที่สุดในปี 1996 และ 1997 คริสส์และเฟรห์ลีย์ออกไปอีกครั้งและถูกแทนที่โดย อีริก ซิงเกอร์และทอมมี เทเยอร์ ตามลำดับ วงยังคงแสดงแบบแต่งหน้า ขณะที่สแตนลีย์และซิมมอนส์ยังคงเป็นสองสมาชิกคนสำคัญอยู่



เวนเฮเลน (Van Halen) เป็นวงฮาร์ดร็อคของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในค.ศ. 1972 และประสบผลสำเร็จหลังจากการปล่อยอัลบั้ม Van Halen ในปี 1978 เมื่อปี 2007 เวน เฮเลน มียอดขายอัลบั้มถึง 80ล้านแผ่นทั่วโลกมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของ Billboard Mainstream Rock ชาร์ด และเป็นวงดนตรีลำดับที่19 ที่มียอดขายอัลบั้มดี มากกว่า56ล้านแผ่นใน สหรัฐอเมริก]และเป็นหนึ่งในห้าของวงฮาร์ดร็อคที่มียอดขายมากกว่า100ล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา.ในปี 1999 อดีตสมาชิกของวงที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง คือ David Lee Roth , Sammy Hagar และ Gary Cherone ตั้งแต่ Van Halen Summer Tour 2004 ทำให้วงห่างจากแฟนคลับจนถึงปี 2007 เมื่อมือเบสของวง Wolfgang Van Halen เข้ามาแทนที่ Michael Anthony หลังจากที่ห่างหายไปในช่วงเดือน สิงหาคม 2007

จอห์น เดนเวอร์ (John Denver) (31 ธันวาคม ค.ศ. 194312 ตุลาคม ค.ศ. 1997) เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงแนวคันทรี/โฟล์ก ชาวอเมริกัน และเป็นนักดนตรีแนวโฟล์กร็อก เขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในด้านเพลงอคูสติกที่สุดคนหนึ่งในทศวรรษ 1970 ในแง่ของยอดขาย เขาบันทึกเสียงและมีผลงานเพลงร่วม 300 เพลง ซึ่งมากกว่าครึ่งแต่งโดยเขา มีเพลงฮิตไปทั่วโลกอย่างเช่น "Leaving on a Jet Plane" (1967), "Take Me Home, Country Roads" (1971), "Rocky Mountain High" (1972), "Sunshine on My Shoulders" (1973), "Thank God I'm a Country Boy" (1974), "Annie's Song" (1974) และ "Calypso" (1975)



เดอะแคลช (The Clash) เป็นวงพังค์ร็อกจากอังกฤษ พวกเขาตั้งวงในปี 1976 ออกซิงเกิ้ลแรก ชื่อ Whte Riot มีเนื้อเพลงว่า "ในปี 1977 นี้ พวกเราไม่ต้องการเอลวิส, Stones หรือ Beatles หรอก"เดอะแคลชประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรกับผลงานอัลบั้มแรก The Clash ในปี 1977 อัลบั้มที่ 3 ของพวกเขา London Calling ออกขายในสหราชอาณาจักรในเดือนธันวาคม 1979 ยังทำให้พวกเขาได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี ต่อมาอีกทศวรรษนิตยสารโรลลิงสโตน กล่าวว่าอัลบั้มนี้ เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 1980 พวกเขานำ เร้กเก้,ดั๊บ,ฟังก์,ร็อกอะบิลลีมาเจือผสมเข้ามาในเพลง เพื่อขยับขยายแนวดนตรีให้กว้างออกไปอีก ออกอัลบัมมาทั้งหมด 6 ชุด มีเพลงฮิตอย่าง London Calling (อันดับ 11 ในอังกฤษ) ต่อมาเพลง Should I Stay or Should I Go ได้ออกขายใหม่ในปี 1991 สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ

บรูซ เฟรเดริก โจเซ็พ สปริงส์ทีน (Bruce Frederick Joseph Springsteen) เกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1949 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง นักกีตาร์ เจ้าของสมญานาม “The Boss” หรือนายใหญ่แห่งวงการอเมริกันร็อก ผลงานที่ผ่านมาของ บรูซ สปริงส์ทีน ที่คุ้นหูคนไทยอาทิเช่น เพลง “Secret Garden” จากซาวนด์แทรค Jerry McGuire, “Born In The U.S.A.” และ “Streets Of Philadelphia” จากซาวนด์แทรค Philadelphia เขาเคยได้รับรางวัลจากผลงานของเขาอย่างเช่น 19 รางวัลแกรมมี่ 2 รางวัลลูกโลกทองคำและ 1 รางวัลออสการ์ อัลบั้มของเขาขายได้มากกว่า 65 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและ 120 ล้านชุดทั่วโลก หากกล่าวถึงบรูซ สปริงส์ทีนแล้วก็ต้องเอ่ยถึง E Street Band ซึ่งเป็นวงแบ็คอัพของเขาด้วยที่เคยร่วมแสดงสดร่วมกันมาจนถึงปี 2009

อลิซ คูเปอร์ (Alice Cooper) เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948  เป็นนักร้องเพลงร็อกชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง ผู้ดำเนินรายการ ที่มีอาชีพยาวนานมากกว่า 4 ทศวรรษ กับการแสดงบนเวทีที่มีเครื่องประหารชีวิต เก้าอี้ไฟฟ้า เลือดปลอม งูเหลือม หญิงสาว คูเปอร์มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์สยองขวัญ รายการโทรทัศน์ และเป็นผู้บุกเบิกดนตรีการาจร็อกที่แสดงอย่างยิ่งใหญ่และเป็นเครื่องหมายของความรุนแรงของดนตรีเฮฟวีเมทัลที่เขาออกแบบเพื่อสร้างความตะลึง อลิซ คูเปอร์ เดิมเป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยสมาชิก คือ ตัวเขา ในตำแหน่งร้องและเล่นฮาร์โมนิกา ,เกล็น บักซ์ตัน ตำแหน่งลีดกีตาร์ ,ไมเคิล บรูซ ตำแหน่งกีตาร์จังหวะ, เดนนิส ดันนาเวย์ ตำแหน่งกีตาร์เบส และนีล สมิท ตำแหน่งกลอง วงอลิซคูเปอร์ประสบความสำเร็จก้าวเข้าสู่กระหลักนานาชาติในปี 1971 กับเพลงฮิต "I'm Eighteen" จากอัลบั้มชุด Love it to Death ที่ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่ดังกว่าคือ "School's Out" ในปี 1972 วงประสบความสำเร็จสูงสุดกับผลงานอัลบั้มชุด 1973 ชุด Billion Dollar Babies  ผลงานชุดเดี่ยวของเขาในฐานะ อลิซ คูเปอร์ ได้นำชื่อวงมาเป็นชื่อตัวเขาเอง กับคอนเซปต์อัลบั้มชุด Welcome to My Nightmare ในปี 1975 และในปี 2008 เขาออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 18 ของเขาชื่อชุด Along Came a Spider นอกจากแนวเพลงดั้งเดิมของเขา ดีทรอยต์ร็อก ในหลายปีที่ผ่านมาเขายังได้ทดลองแนวเพลงหลากหลายกันไป อย่าง คอนเซปชวลร็อก, อาร์ตร็อก, แกลมเมทัล, นิวเวฟ, ป็อปร็อก, ซอฟต์ร็อก, เอกซ์เพอริเมนทอลร็อก, เฮฟวีเมทัล และอินดัสเตรียลร็อก ในปีล่าสุดเขากลับมาทำเพลงแนวการาจร็อกดั้งเดิม ช่องวีเอชวัน จัดอันดับให้เขาอยู่อันดับ 20 ในหัวข้อ 100 อันดับศิลปินฮาร์ดร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

อลัน พาร์สันส์ (20 ธันวาคม ค.ศ. 1948 -) ซาวด์เอนจิเนียร์ โปรดิวเซอร์ และนักดนตรีชาวอังกฤษ มีส่วนร่วมในการผลิตผลงานที่ได้รับความนิยมของศิลปินหลายคน รวมทั้งอัลบั้ม Abbey Road ของเดอะบีทเทิลส์ และอัลบั้ม The Dark Side of the Moon ของพิงก์ ฟลอยด์  พาร์สันส์เกิดที่ลอนดอน เริ่มงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 ขณะมีอายุเพียง 18 ปีโดยเป็นผู้ช่วยซาวด์เอนจิเนียร์ ที่ห้องบันทึกเสียงแอบบีย์โรดของ EMI ผลงานชิ้นแรกคืออัลบั้ม Abbey Road ของเดอะบีทเทิลส์ จากนั้นได้ร่วมผลิตผลงานหลายชุดของพอล แม็คคาร์ตนีย์, เดอะ ฮอลลีส์, อัล สจวต และมีส่วนร่วมอย่างมากในอัลบั้ม The Dark Side of the Moon ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของพิงก์ ฟลอยด์  ในปี ค.ศ. 1975 พาร์สันส์ ได้ร่วมกับ เอริก วูลฟ์สัน โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลง ก่อตั้งวงดนตรีชื่อ ดิ อลัน พาร์สันส์ โปรเจกต์ โดยรวมกลุ่มนักดนตรีที่ผลิตงานอยู่เบื้องหลังให้กับศิลปินต่างๆ ผลิตผลงานออกมา 10 ชุด โดยไม่จัดการแสดงสด ก่อนจะยุบวงไปในปี ค.ศ. 1987 เพลง Sirius เป็นเพลงบรรเลงแทรคแรกของอัลบั้ม Eye in the Sky ในปี ค.ศ. 1982 ที่ประสบความสำเร็จที่สุด ขึ้นถึงอันดับ 7 ในชาร์ตนิตยสารบิลบอร์ดของสหรัฐ ได้รับความนิยมจากทีมกีฬาอาชีพหลายทีมในสหรัฐอเมริกา นำมาใช้เป็นเพลงเปิดตัวนักกีฬาลงสู่สนามแข่งขัน เช่น ชิคาโก บูลส์, พิตสเบิร์ก สตีลเลอร์ส, นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส, แคนซัสซิตี ชีฟส์, ฟีนิกซ์ ซันส์, ดีทรอยต์ ไลอันส์ รวมถึง แมนเชสเตอร์ซิตี ในฤดูกาล 2007/2008 ปัจจุบันอลัน พาร์สันส์ ใช้ชีวิตอยู่ในซานตาบาร์บารา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ยูไรอาห์ฮีป (Uriah Heep ) เป็นวงร็อคจากลอนดอน ตั้งวงในปี 1969 และเริ่มแล่นแนวฮาร์ดร็อคในปีตั้งแต่ 1970 ยูไรอาห์ฮีปเล่นดนตรีแนว Progressive rock/art rock/heavy metal และงานเพลงของพวกเขาจะมีเสียงคีย์บอร์ดที่โดดเด่น กับเสียงร้องที่มีพลังของ David Byron  ซึ่งทำอัลบั้มกับวง 12 อัลบั้ม อัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้แก่วงมากที่สุดคือDemons and Wizards ได้อันดับที่ 23 จาก Billboard 200ชาร์ด ในปี 1972 ในปี 1970 พวกเขามีเพลงยอดฮิตคือ"Lady in Black" ทำให้วงเป็นที่รู้จักในช่วงนั้น  ความนิยมของยูไรอาห์ฮีปเริ่มลดลงในช่วง 1980 เนื่องจากพวกเขาทำงานเพลงที่เกี่ยวกับศาสนา วงยูไรอาห์ฮีปมียอดขายอัลบั้ม 30 ล้านแผ่นทั่วโลก และ 4ล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา

คาร์ลอส ซานตาน่า (Carlos Santana) มีชื่อเต็มว่า คาร์ลอส ออกุสโต อัลเบส ซานตาน่า (Carlos Augusto Alves Santana) เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 เป็นนักกีตาร์ละตินร็อก ที่ได้รับฉายาว่า ราชาละตินร็อก เป็นชาวอเมริกัน-เม็กซิกัน เกิดที่ประเทศเม็กซิโก โดยเป็นลูกชายของนักไวโอลินชาวเม็กซิกัน  ซานตาน่า เริ่มเล่นดนตรีครั้งแรกเมื่ออายุครบ 5 ขวบ โดยเริ่มจากไวโอลินที่พ่อซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ ต่อมาครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ติฮัวน่า ซึ่งใกล้กับพรมแดนสหรัฐอเมริกา ทำให้ได้รับอิทธิพลทางดนตรีจากอเมริกาทั้ง ร็อกแอนด์โรลและบลูส์ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ซานตาน่าพยายามที่จะรวบรวมดนตรีแบบละตินเข้าไว้กับร็อกและบลูส์ ต่อมาเมื่อครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกในปี ค.ศ. 1960 ซานตาน่าย้ายตามมาในปีถัดมา และที่ซานฟรานซิสโกนี่เอง ที่ซานตาน่าได้พบกับวัฒนธรรมแปลกใหม่และแนวดนตรีที่ไม่เคยพบมาก่อน ต่อมาในปี ค.ศ. 1966 ซานตาน่า จึงรวบรวมเพื่อนนักดนตรีก่อตั้งเป็นวงดนตรีชื่อ Santana Blues Band ซึ่งสมาชิกประกอบด้วย เดวิด บราวน์ (เบส), ร็อด ฮาร์เปอร์ (กลอง), ทอม เฟรเซอร์ (ริธึมกีตาร์), เกรก โรลี (คีย์บอร์ด) เล่นดนตรีตามไนต์คลับทั่วไป จนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมา ได้ไปเล่นที่คลับอวาลอนบอลรูม เปลี่ยนชื่อวงมาเป็น Santana แบบในปัจจุบัน โดยเน้นจังหวะริธึ่มแบบละติน  ซานตาน่าเริ่มมีชื่อเสียงกับการเล่นเพลงในแบบละตินร็อก ได้รับการกล่าวขวัญเป็นศิลปินแนวหน้าคลื่นลูกใหม่ไฟแรง และมีชื่อเสียงขึ้นมาในทศวรรษที่ 70 จากเทศกาลดนตรีวูดสต็อก มีผลงานเพลงที่รู้จักกันมาจนปัจจุบันนี้ ได้แก่ Black Magic Woman, Oye Como Va, Europa, Jingo, Samba Pa Ti, Corazon Espinado, El Farol เป็นต้น โดยที่ซานตาน่าเป็นผู้ที่เล่นกีตาร์เอง มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เต็มไปด้วยสีสันและเครื่องประกอบจังหวะมากมาย และหลายเพลงเป็นเพลงบรรเลง ได้ร่วมงานกับนักดนตรีระดับโลกหลายคน เช่น อีริค แคลปตัน และได้มีชื่อบรรจุไว้ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ด้วย ในปี ค.ศ. 1999 คาร์ลอส ซานตาน่า กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งจากอัลบั้ม "Supernatural" มีเพลงที่โด่งดังจากการร่วมงานกับศิลปินรุ่นใหม่ เช่น ร็อบ โทมัส จากแมทช์บ็อก ทเวนตี้ คือ Smooth และมีเพลงอื่นที่โด่งดังเช่น Maria Maria ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่ อัลบั้มยอดเยี่ยม และ Smooth ก็ได้รับรางวัลเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีด้วย จากนั้นในปี ค.ศ. 2002 คาร์ลอส ซานตาน่า ก็ได้ออกอัลบั้มอีกชุดคือ "Shaman" มีเพลงที่โด่งดัง คือ The Game of Love จากเสียงร้องของ มิเชลล์ บรานช์  ซานตาน่า เคยมาแสดงดนตรีในประเทศไทย 4 ครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ครั้งที่ 3 ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2011 และครั้งที่ 4 ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2013 โดยสามครั้งหลังจัดที่อิมแพค อารีนา เมืองธานี รวมทั้งแนวดนตรียังเป็นที่ชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจของ คาราบาว โดยทางวงได้ออกอัลบั้มพิเศษในปี ค.ศ. 1999 ชื่อชุด สไตล์ซานตานา กีตาร์ขี้เมา สามช่าลาติน และคาราบาวก็ได้ร่วมแสดงคอนเสิร์ตในการมาเยือนเมืองไทยครั้งที่สี่ของซานตาน่าด้วย ชีวิตส่วนตัว หย่ากับภรรยาชาวอินเดียที่ชื่อ เดบอรา ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งทั้งคู่อยู่กินกันมานานถึง 39 ปี มีบุตรชาย 3 คน อีกทั้งมีมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสชื่อ Milagro ด้วย ก่อนที่จะแต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ซินดี้ แบล็คแมน ซึ่งเป็นมือกลองของวงในระหว่างการเล่นคอนเสิร์ต ในปี ค.ศ. 2010 โดยเป็นการขอแต่งงานบนเวที



ไดร์สเตรตส์ (Dire Straits) เป็นวงดนตรีร็อคจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี 1977 ประกอบด้วยมาร์ก นอฟเลอร์ (Mark Knopfler) ร้องนำและมือกีตาร์หลัก, เดวิด นอฟเลอร์ (David Knopfler) น้องชายของมาร์ก มือริทึมกีตาร์ และร้องประสาน, จอห์น อิลส์ลีย์ (John Illsley) มือเบสและร้องประสาน และพิกค์ วิตเทอร์ส (Pick Withers) มือกลองและเครื่องเคาะอื่น วงไดร์ สเตรทส์ ได้ออกผลงานดนตรีหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็น แจ๊ส, โฟล์ค และบลูส์ แม้ว่าวงจะก่อตั้ง ในช่วงกระแสนิยมพังค์ร็อก แต่ไดร์ สเตรทส์ ก็สามารถทำผลงานดนตรีให้เกิดความแตกต่างกับพังค์ได้อย่างชัดเจน จนสามารถเรียกกระแสดนตรีรูทส์ร็อก (Roots rock) ขึ้นมาได้ อย่างอัลบั้ม บราเดอร์สอินอาร์ม (Brothers in Arms) สามารถจำหน่ายได้มากกว่า 30 ล้านก็อปปี้ นับเป็นสถิติการขายเพลงบนแผ่นซีดี หรือ คอมแพ็กต์ดิสก์ ได้ถึงหลักล้านเป็นครั้งแรกอีกด้วย พวกเขากลับมาเป็นหนึ่งในวงที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกมากที่สุดวงหนึ่ง ด้วยยอดจำหน่ายอัลบั้มกว่า 120 ล้านชุด ไดร์ สเตรทส์ ได้รับรางวัลมากมายตลอดช่วงเวลาในวงการ ไม่ว่าจะเป็น 4 รางวัลแกรมมี, 3 รางวัล บริตอะวอดส์ - ด้วยการชนะถึงสองครั้ง และ 2 รางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ มีผลงานเพลงที่เป็นที่รู้จักกันดีอาทิเช่น "Sultans of Swing", "Lady Writer", "Romeo and Juliet", "Tunnel of Love", "Telegraph Road", "Private Investigations", "Money for Nothing", "Walk of Life", "So Far Away", "Your Latest Trick" และ "Brothers in Arms". จากการอ้างอิงของกินเนสบุ๊คเกี่ยวกับการจัดอัลบั้มฮิตในสหราชอาณาจักร ไดร์ สเตรทส์ ได้ถูกจัดไว้ว่า สามารถยืนหยัดบนยูเคอัลบั้มชาร์ท (UK albums chart) ได้นานถึง 1,136 สัปดาห์ เป็นอันดับตลอดกาลที่ 5 ตลอดเวลา 15 ปี ไดร์ สเตรทส์ ได้ออกอัลบั้มมาถึง 5 อัลบั้ม ก่อนจะแตกตัวออกไปในปี 1988 แต่ก็กลับมารวมอีกครั้งในปี 1991 และได้ออกอัลบั้ม ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มสุดท้ายของวง ก่อนที่จะแตกตัวเป็นการถาวรในปี 1995 เมื่อมาร์ก นอฟเลอร์ ปลีกตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว

แกรนด์ฟังก์เรลโรด (Grand Funk Railroad หรือ Grand Funk) เป็นวงร็อกอเมริกา ได้รับความนิยมอย่างสูงระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 แกรนด์ฟังก์เรลโรดมียอดขายมากกว่า 25 ล้านชุด ได้รับ 4 แผ่นเสียงทองคำในระหว่างปี 1970 ถือเป็นวงอเมริกันที่ทำยอดได้มากที่สุด สมาชิกวงปัจจุบันของแกรนด์ฟังก์เรลโรด ใช้ชื่อเล่นว่า "ดิอเมริกันแบนด์" ที่นำมาจากเพลงดังในปี 1973 ของวง "We're an American Band"  แกรนด์ฟังก์เรลโรดมีซิงเกิลอันดับ 1 อยู่ 2 ซิงเกิล คือ"We're an American Band" (จากอัลบั้ม We're An American Band) และ "The Loco-Motion" (จากอัลบั้ม Shinin' On เพลงเขียนโดยแคโรล คิงและเจอร์รี กอฟฟิน เป็นเพลงเก่าของลิตเทิลอีวา) อัลบั้ม We're an American Band นอกจากนั้น ยังมีเพลงฮิต อีกมากมาย อาทิ Bad Time

สกอร์เปียนส์ (Scorpions) วงดนตรีแนวเฮฟวี่เมทัลแห่งเยอรมัน ก่อตั้งวงที่เมืองฮันโนเวอร์ในปีค.ศ. 1965โดย Rudolf Schenker วงสกอร์เปียนส์เป็นวงดนตรีที่มีจำนวนสมาชิกคงที่ พวกเขาเป็นที่รู้จักของผู้ฟังช่วงทศวรรษที่ 1980 ด้วยเพลง "Rock You Like a Hurricane"และซิงเกิ้ลจำนวนมากเช่น "No One Like You", "Send Me an Angel", "Still Loving You", และ"Wind of Change" วงสกอร์เปีนส์ได้ถูกจัดอันดับเป็นอันดับที่46จาก VH1 ให้เป็นวงร็อคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเพลง "Rock You Like a Hurricane" ถูกจัดอันดับเป็นอันดับที่ 18 ของเพลงร็อคที่ยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อ 24 มกราคม 2010 หลังจาก 46ปีที่ทำงานในวงการดนตรี ก็ได้ประกาศอำลาวงการหลังจากมีการทัวร์อัลบั้มใหม่ของพวกเขาคือ Sting in the Tail และพวกเขามียอดขายอัลบั้ม 100ล้านแผ่นทั่วโลก ซึ่งแฟนเพลงในเมืองไทยได้ให้ฉายาว่า "ไอ้แมงป่องผยองเดช" Rudolf Schenker มือกีตาร์ของวงเปิดตัวในปีค.ศ. 1965 แต่เขาไม่ใช่ตำแหน่งร้องนำ กิจกรรมต่างๆเริ่มขึ้นปี 1969 Michael Schenker น้องของ Rudolf SchenkerและKlaus Meine นักร้องนำของวงมาเข้าร่วมในปี1972 ปีนั้นได้เปิดตัวอัลบั้มแรกของวงคือ Lonesome Crow โดยได้ Lothar Heimberg มาเล่นเบส และ Wolfgang Dziony มาเป็นมือกลอง ในช่วง ใกล้จบโลนซัมโครวทัวร์ วงUFO ของประเทศอังกฤษได้ขอให้ Michael Schenker ไปเล่นกีตาร์ให้กับวง Ulrich Roth เพื่อนของ Michael Schenker จึงมาเล่นกีตาร์แทนเขาในปี 1973 และได้ Francis Buchholz มาเล่นเบส , Achim Kirschning มาเล่นคีย์บอร์ด และJürgen Rosenthal มาเล่นกลอง ในปี 1974 สกอร์เปียนส์ออกอัลบั้ม Fly to the Rainbow ซึ่งประสบผลสำเร็จมากกว่าอัลบั้มแรก  และเพลง Speedy coming ทำให้วงมีชื่อเสียงขึ้น Achim Kirschning ตัดสินใจออกจากวง หลังจาก Jürgen Rosenthal เขาถูกเกณฑ์ทหารในกองทัพ ในปี 1975 เปิดตัวอัลบั้ม In Trance เป็นจุดเริ่มต้นของวงกับ Dierks Dieterโปรดิวเซอร์ของวงในระยะยาว ในปี 1976 เพลงเปิดตัวอัลบั้มVirgin Killerปกอัลบั้มที่โดดเด่น โดยใช้รูปการเปลือยกายของหญิงสาวในกระจกที่แตก ปกที่ถูกออกแบบโดย Stefan Bohle พวกเขาเป็นที่รู้จักจากผู้ฟังนอกทวีปยุโรปได้ด้วยอัลบั้มนี้ในปีต่อไป Lenners Rudy ลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัวและถูกแทนที่โดย Herman Rarebell และมีอัลบั้มต่อมาคือ Taken by Force ในปี 1977 และในปี 1978 ก็ได้ออกอัลบั้มTokyo Tapes กับการลาออกของ Ulrich Roth และถูกแทนที่โดย Matthias Jabs ในปี 1979 อัลบั้ม Lovedrive ก็ได้เปิดตัว พร้อมกับการกลับมาของ Michael Schenker ในระยะสั้นๆ ในปี 1980 ทางวงออกอัลบั้ม Animal Magnetism เพลงคลาสสิกที่มีอยู่ในอัลบั้มเช่น" The zoo "และ"Make It Real" หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มไปคอของ Klaus Meine เริ่มประสบปัญหาในลำคอ เขาจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดสายเสียงของเขาจนสามารถแล้วได้เหมือมเดิม ในปี 1982 วงก็ออกอัลบั้มBlackout มันเป็นที่ขายดีที่สุดของวง ในปี 1984 ไดเปิดตัวอัลบั้ม Love at First Sting ใช้เพลงเปิดตัวคือ "Rock You Like a Hurricane" หลังจากนั้นปี 1985 ทางวงได้จัดแสดงสดครั้งที่2คือ World Wide Live และในปี 1988 ได้ออกสตูดิโออัลบั้ม Savage Amusement และประสบผลสำเร็จแต่ทางวงถือว่าเป็นความผิดหวังที่สำคัญแต่ก็ทำให้วงขยายฐานคนฟังได้มากขึ้นและได้ Keith Olsen มาเป็นโปรดิวเซอร์คนใหม่ ในปี 1990 ก็ออกอัลบั้ม Crazy World เปิดตัวด้วยเพลง"Wind of Change" แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการเมืองที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออกและช่วงสงครามเย็น เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1990 ทางวงได้ ในปี 1993ได้ออกอัลบั้ม Face the Heat ซึ่งประสบผลสำเร็จในระดับปานกลาง  ในปี 1995 อัลบั้มใหม่ Live Bites ก็ถูกผลิต ในระหว่างการทัวร์ Face the Heat ในปี1996 ก็ได้ออกอัลบั้ม Pure Instinct และมือกลอง Herman Rarebell ก็ลาออกจากวงและถูกแทนที่โดย James Kottak ซึ่งเปิดตัวด้วยเพลง "You and I" ได้รับความสำเร็จในระดับปานกลาง ในปี 1999 ก็ปล่อยอัลบั้ม Eye II Eye แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ ในปี 2000 ก็ปล่อยอัลบั้ม Moment of Glory ซึ่งความนิยมของวงก็แผ่วลง ในปี 2001 สกอร์เปียนส์ได้ออกอัลบั้ม Acoustica ซึ่งนำความนิยมของวงกลับมาได้อย่างมาก ในปี 2004 ก็ออกอัลบั้ม Unbreakable ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงมากมาย ในปี 2007 ออกอัลบั้ม Humanity - Hour 1 ใช้เพลง"Humanity" เปิดตัวและการทัวร์ ในเดือนพฤศจิกายน 2009 Scorpions ประกาศว่าสตูดิโออัลบั้มที่ 17 ของพวกเขา Sting in the Tail เปิดตัวในปี 2010 ที่บันทึกไว้ในฮันโนเวอร์กับสวีเดนผลิตโดย Mikael"Nord"Andersson และ Martin Hansen Sting ปล่อยในวันที่ 23 มีนาคม 2010 เมื่อมกราคม 24, 2010, วงที่ประกาศว่า Sting in the Tail อัลบั้มชุดล่าสุดของพวกเขาและทัวร์สุดท้ายของพวกเขา คาดว่าจะจบในปี 2012 หรือ 2013 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2010 Scorpions ได้ประทับรอยมือที่ HollywoodของRock Walk ในพิธี handprint ตามที่มือเบสของวง Scorpions Paweł Mąciwoda จะเข้าสู่สตูดิโอในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2011 ที่จะบันทึกอัลบั้มใหม่จุดเริ่มต้นนี้คือคอลเลกชันย้อนยุคคร่าวๆเนื่องจากการปล่อยในช่วงต้นปี 2012 คืออัลบ้มComeblack ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7พฤศจิกายน 2011


เดฟ เล็พพาร์ด (Def Leppard) วงฮาร์ดร็อค จากเชฟฟิลด์ อังกฤษ ก่อตั้งเมื่อ 1977 ริค ซาเวจ มือเบส กับ พีต วิลลิส มือกีตาร์เป็นผู้ริเริ่ม นักร้อง โจ เอลเลียต เข้ามาร่วมพร้อมกับชื่อ Deaf Leopard ก่อนจะแปลงเป็น Def Leppard ในภายหลัง ตามมาด้วยมือกีตาร์ สตีฟ คลาร์ก  ปี 1978 ทำผลงานออกวางขายเอง จนเริ่มมีชื่อเสียงก่อนจะไปทำสัญญากับเมอร์คิวรี่ ออกอัลบั้มแรก On Through the Night เมื่อปี 1980 โด่งดังในอังกฤษ และได้ออกทัวร์ทั้งในประเทศและในอเมริกา งานชุดสอง High "n" Dry ปี 1981 ทำยอดในอเมริกาในระดับแพลตินัม ด้วยแรงดันจากเอ็มทีวี อัลบั้มที่สาม ได้โปรดิวเซอร์ มัตต์ แลงก์ เข้ามาร่วมงาน พีต วิลลิส โดนไล่จากวงจากปัญหาติดเหล้า ฟิล คอลเล็น อดีตกีตาร์วง Girl เข้ามาแทน อัลบั้มชุดที่ 3 Pyromania ออกเมื่อปี 1983 ดังระเบิด เพลงอย่าง Photograph และ Rock of Ages ได้รับความนิยมทางช่องเอ็มทีวี ส่งผลให้ขายไปถึงสิบล้านชุด หลังจากอัลบั้มนี้ ต้องเผชิญการทดสอบครั้งใหญ่ เมื่อเข้าสตูดิโอจะทำอัลบั้มใหม่ ปัญหาเริ่มจากโปรดิวเซอร์แลงก์มาร่วมงานไม่ได้ ที่หนักกว่านั้น คือ ริค แอลเล็น มือกลองเสียแขนซ้ายจากอุบัติเหตุรถยนต์ แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อโปรดิวเซอร์แลงก์กลับมาร่วมงาน ยกเลิกเทปเก่าและบันทึกเสียงใหม่ทั้งหมด ขณะที่แอลเล็นหัดเล่นกลองที่ออกแบบพิเศษได้อย่างรวดเร็ว ถึงปี 1987 อัลบั้มที่ 4 มีชื่อว่า Hysteria ออกมา กลายเป็นจุดสูงสุด เพลงจากชุดนี้จำนวน 6 เพลง เข้าไปติดชาร์ตท็อป 20 ในอเมริกา ทำให้กลายเป็นวงขวัญใจวัยรุ่นและเด็กไฮสกูล จากนั้นได้เริ่มทำอัลบั้มต่อมา คราวนี้มือกีตาร์ สตีฟ คลาร์ก เสียชีวิตจากเสพเหล้าและยาเกินขนาด อัลบั้ม Adrenalize ออกมาในปี 1992 ด้วยไลน์อัพที่เหลือ 4 คน อัลบั้มนี้ประเดิมด้วยอันดับ 1 และมีเพลงฮิตหลายเพลง แต่เทียบไม่ได้กับ 2 ชุดก่อน ทางวงเพิ่มมือกีตาร์ วิเวียน แคมป์เบล จาก White Snake เพื่อทดแทนคลาร์ก อัลบั้มที่หก Slang ออกมาในปี 1996 ยอดขายและความตื่นเต้นในหมู่แฟนๆ ลดลง อัลบั้ม Euphoria ยังไม่กระเตื้องอีก จนต้องกลับไปเล่นเพลงบัลลาดป๊อปในอัลบั้ม X ในปี 2002 สำหรับ Yeah เป็นงานทริบิวต์ เป็นการนำเพลงเก่ามาเล่นใหม่ เดฟ เล็พพาร์ดนำเพลงเก่ามาทำใหม่อย่าง 20th Century Boy ของทีเร็กซ์, No Matter What ของแบดฟิงเกอร์, Rock On ของ เดวิด เอสเซ็กส์, 10538 Orchestra ของอิเล็กทริกไลต์ออเคสตราหรืออีแอลโอ

เยส (Yes) เป็นวงดนตรีร็อกจากอังกฤษ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1968 สมาชิกรุ่นก่อตั้งคือ จอน แอนเดอร์สัน และคริส สไควร์ มีชื่อเสียงเป็นวงดนตรีที่มีโครงสร้างดนตรีซับซ้อน โดยได้อิทธิพลมาจากดนตรีคลาสสิก และมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของ จอน แอนเดอร์สัน ในปี ค.ศ. 1983 ทางวงออกอัลบั้ม 90125 เปลี่ยนแนวทางดนตรีไปจากเดิม ไปเป็นดนตรีป๊อป เพลง Owner Of A Lonely Heart ซึ่งมีจังหวะดิสโก ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา จัดอันดับโดยนิตยสารบิลบอร์ด หน้าปกอัลบั้มของวงเยส เป็นภาพกราฟิกที่มีความงดงาม ออกแบบโดย Roger Dean ตั้งแต่อัลบั้มที่ 4 Fragile เป็นต้นมา ยกเว้นอัลบัม Going for the One, 90125, Big Generator และ Talk

ชิคาโก (Chicago) เป็นวงดนตรีอเมริกัน แนวป็อปร็อก/แจ๊ซฟิวชัน ก่อตั้งวงในปี 1967 ในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในช่วงแรกเป็นวงแนวร็อก ต่อมาทำแนวดนตรีให้เบาลง มีชื่อเสียงในการมีเพลงดังที่เป็นเพลงบัลลาดอยู่หลายเพลง ได้รับความนิยมตลอดคริสต์ทศวรรษ 1970 และคริสต์ทศวรรษ 1980 มีซิงเกิ้ลและอัลบั้มมากมายเป็นรองเพียงแค่วงเดอะบีชบอยส์ ชิคาโกยังเป็นวงป็อป/ร็อกแอนด์โรลอเมริกันที่ประสบความสำเร็จยืนยาวที่สุดวงหนึ่ง จากข้อมูลจากบิลบอร์ด ชิคาโกมียอดขาย 120 ล้านชุดทั่วโลก ได้รับแผ่นเสียงทองคำ 20 แผ่น แผ่นเสียงทองคำขาว 18 แผ่น และมีอัลบั้มได้รับหลายแผ่นเสียงทองคำขาว 8 ชุด ซึ่งอัลบั้มมีเพลงติดอันดับ 1 อยู่ 5 ชุด และมีเพลงฮิต 21 เพลงที่ติดท็อป 10

ดูแรนดูแรน (Duran Duran) เป็นกลุ่มดนตรีแนว นิว เวฟ จากอังกฤษ มีผลงานดังในยุค 80s มากมายเช่น The Reflex, A View To Kill เป็นต้น ด้วยสถิติยอดขายกว่า 70 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลกและเป็นเจ้าของ 2 รางวัลแกรมมี่ พวกเขาเริ่มก่อตั้งวงในปี 1978 ที่ เบอร์มิงแฮม (Birmingham) ในประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะมาลงตัวกับ 5 สมาชิกที่ถือเป็นไลน์อัพที่ดีที่สุดของวง ในปี 1981 ดูแรนดูแรน ออก ผลงานชุดแรกของเขา ที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวง ทำยอดขายได้มากถึง 2.5 ล้านก๊อปปี้ ตามด้วย “Rio” ผลงานชุดที่สองที่มีเพลงฮิตอย่าง “Hungry Like The Wolf”, “Rio” และ “Save The Prayer” แล้วดูแรนดูแรน ก็สามารถครองความสำเร็จด้วยอันดับ #1 ใน บิลบอร์ด ของอเมริกาด้วยผลงานชุดที่ 3 “Seven And Ragged Tiger” จนทำให้นิตยสารโรลลิ่ง สโตน ขนานนาม ดูแรนดูแรนว่า “The Fab Five” หรือ 5 มหัศจรรย์เลยทีเดียว ในปี 1985 ดูแรนดูแรนได้รับเชิญให้แต่งเพลงประกอบสุดยอดภาพยนตร์อย่างเจมส์ บอนด์ ในเพลง “A View To Kill” ซึ่งก็สร้างประวัติศาสตร์เป็นซาวนด์แทรคเพลงแรกและเพลงเดียวจนถึงทุกวันนี้ของเจมส์ บอนด์ ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ด หลังจากได้รับความสำเร็จจนอิ่มตัว สมาชิกของดูแรนดูแรน ก็เริ่มแยกย้ายกันไปทำโปรเจกต์และผลงานส่วนตัว จนทำให้ผลงานในฐานะของดูแรนดูแรน ไม่เป็นที่ฮือฮาเท่าที่ควร จนกระทั่งในปี 1993 กับผลงานชุด “Duran Duran2หรือที่รู้จักในนาม “The Wedding Album” คืออัลบั้มที่ทำให้ดูแรนดูแรน กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยเพลงฮิตอย่าง “Ordinary World” และ “Come Undone” แต่หลังจากนั้นอัลบั้มชุดต่อมาๆก็ล้มเหลวทั้งยอดขายและคำวิจารณ์ ในปี 2004 ดูแรนดูแรนกลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม “Astronaut” ซึ่งถือเป็นอัลบั้มชุดแรกในรอบ 18 ปีที่ทั้ง 5 ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง พร้อมด้วยซิงเกิ้ลแรกอย่าง “(Reach Up For The) Sunrise” ในอัลบั้ม “Astronaut” ชุดนี้ดูแรนดูแรน ยังได้ร่วมงานกับสุดยอดโปรดิวเซอร์ฝีมือเยี่ยมอย่างดอน กิลมอร์ (Don Gilmore) ที่ทำเพลงให้กับ ลินคิน พาร์ค‎ (Linkin Park), เอฟริล ลาวีน (Avril Lavigne) / ไนล์ ร็อดเจอร์ส (Nile Rodgers) ที่ทำเพลงให้กับ มาดอนน่า,ไดอาน่า รอส และ ดัลลาส ออสติน (Dallas Austin) ที่เคยทำเพลงให้กับ ไมเคิล แจ็กสัน ,มาดอนน่า, บอยซ์ ทู เม็น ปี 2007 ออกผลงานอัลบั้ม “Red Carpet Massacre” ชุดนี้ ดูแรนดูแรนได้ร่วมงานกับทิมบาแลนด์โปรดิวเซอร์ชื่อดัง, Nate “Danja” Hills โปรดิวเซอร์ของบริทนีย์ สเปียร์สในเพลง Gimme Moreและ จัสติน ทิมเบอร์เลคศิลปินหนุ่มชื่อดังมาช่วยแต่งและร้องเพลง “Falling Down” ซึ่ง Andy Taylor ออกจากวงไปก่อนที่อัลบั้ม “Red Carpet Massacre” จะทำเสร็จ จึงใช้บริการของ Dominic Brown แทน อย่างไรก็ตาม “Red Carpet Massacre” กลับเป็นอัลบั้มที่ล้มเหลวในเรื่องยอดขาย แต่ยังคงประสบความสำเร็จในการออกแสดงสด ปัจจุบัน ดูแรนดูแรนไม่ได้สังกัดกับค่ายใด และกำลังทำอัลบั้มชุดล่าสุดที่คาดว่าจะวางแผงในปี 2010 โดย Dominic Brown กลายเป็นสมาชิกวงอย่างเป็นทางการ

จูดาสพรีสต์ (Judas Priest) เป็นวงเฮฟวีเมทัลอังกฤษ จากเบอร์มิงแฮม ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1969 มีสมาชิกหลักประกอบด้วย เอียน ฮิล (มือเบส), ร็อบ ฮอลฟอร์ด (ร้อง) , เกลนน ทิปตัน (กีตาร์) และ เค.เค. ดาวนิง (กีตาร์) วงเปลี่ยนมือกลองอยู่หลายครั้ง จนถึงสกอตต์ ทราวิสที่รับตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 พวกเขายังถูกเอ่ยถึงว่าเป็นอิทธิพลให้กับวงดนตรีและดนตรีเฮฟวีเมทัลอื่นหลายวง และจากความโด่งดังของวงจึงได้รับฉายาว่า "Metal Gods" ซึ่งมาจากชื่อเพลงของพวกเขาด้วย  พวกเขามีผลงานขายอัลบั้มได้มากกว่า 35 ล้านชุดทั่วโลก

เดวิด โบอี (David Bowie) หรือชื่อเกิด เดวิด โรเบิร์ต โจนส์ (David Robert Jones) เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1947 เป็นนักร้อง นักแสดง นักดนตรี โปรดิวเซอร์เพลงและผู้เรียบเรียงเพลง ชาวอังกฤษ มีผลงานด้านเพลงร็อกมาร่วม 5 ทศวรรษ ด้วยดนตรีและภาพลักษณ์ใหม่ ๆ โบอีเป็นนักสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลงานในยุค 1970 ที่เขาได้รับกล่าวขานว่าเป็นอิทธิพลให้กับนักดนตรีหลายคน] โบอีมีเนื้อเสียงเด่นแบบแบริโทน ถึงแม้ว่าจะออกผลงานอัลบั้มและซิงเกิลมามากมายในช่วงแรก ๆ เดวิด โบอีก็มาสะดุดหูสะดุดตาสู่สาธารณะครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงในปี 1969 เมื่อซิงเกิล "Space Oddity" ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการอะพอลโล ขึ้นชาร์ทซิงเกิลในสหราชอาณาจักรติดท็อป 5 หลังจากนั้นในช่วงเวลา 3 ปีที่เขาทดลองงานใหม่ ๆ เขาออกผลงานอีกครั้งในปี 1972 ในช่วงของเพลงแกลมร็อก กับอัลบั้มแห่งสีสัน Ziggy Stardust มีซิงเกิลฮิต "Starman" และอัลบั้ม The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars  ในปี 1975 โบอีประสบความสำเร็จครั้งแรกทางฝั่งอเมริกา กับซิงเกิลอันดับ 1 "Fame" จากอัลบั้มฮิต Young Americans ที่เขาอธิบายว่าเป็นแนว "พลาสติกโซล" มีดนตรีเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เมินกลุ่มผู้ชื่นชอบในสหราชอาณาจักร  เขาทั้งสับสนในความคาดหวังจากค่ายเพลงและกลุ่มคนฟังในอังกฤษ ในการทำผลงานเพลงในแบบน้อยชิ้น ในชุด Low ที่ผลงานที่ร่วมกับไบรอัน อีโน (ต่อมาร่วมงานกัน 3 ชุด) ผลงานทดลองของเขาที่เป็นที่ถกเถียงกันที่เรียกกันว่า "Berlin Trilogy" อันประกอบด้วยอัลบั้ม Low, "Heroes" และ Lodger ทั้ง 3 อัลบั้มติดท็อป 5 ในสหราชอาณาจักร หลังจากไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรด้านยอดขายในปลายยุค 1970 โบอีมีซิงเกิลอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรในปี 1980 กับซิงเกิล "Ashes to Ashes" ที่บรรจุอยู่ในอัลบั้ม Scary Monsters (and Super Creeps) เขาร่วมกับควีน ในซิงเกิลอันดับ 1 "Under Pressure" และออกอัลบั้มในปี 1983 ชุด Let's Dance ที่มีซิงเกิลฮิต "Let's Dance", "China Girl", และ "Modern Love" ในปี 2002 บีบีซีได้ออกแบบสำรวจในหัวข้อ 100 คนอังกฤษที่ยอดเยี่ยมที่สุด โบอีติดอยู่อันดับ 29 ตลอดในอาชีพเขา มีผลงานอัลบั้มขายได้ประมาณ 136 ล้านชุด และติดอยู่ในศิลปินอัลบั้มขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อปอังกฤษ ในปี 2004 นิตยสารโรลลิงสโตน จัดอันดับให้เขาที่อันดับ 39 ในหัวข้อ 100 ศิลปินร็อกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล

นีล เพอร์ซิวอล ยัง (Neil Percival Young) เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวแคนาดา และยังเป็นนักดนตรีและผู้กำกับภาพยนตร์ ผลงานของยังมีเอกลักษณ์ ที่มีเนื้อเพลงลึกซึ้ง เสียงกีตาร์อันโดดเด่น เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ในโทน falsetto tenor เขายังเล่นดนตรีได้หลากหลายประเภท เขายังทดลองการเล่นดนตรีที่แตกต่างหลากหลายประเภท อย่าง สวิง, แจ๊ส, ร็อกอะบิลลี, บลูส์ และดนตรีอีเลกโทรนิก ผลงานที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดของเขา มักจะเป็นแนวเพลงในลักษณะโฟล์ก อคูสติกร็อก ("Heart of Gold", "Harvest Moon" และ "Old Man") และฮาร์ดร็อก (อย่างเพลง "Cinnamon Girl", "Rockin' in the Free World" และ "Hey Hey, My My (Into the Black)") ส่วนผลงานล่าสุดเขายังใส่องค์ประกอบแนวเพลงใหม่ ๆ อย่าง อินดัสเทรียล, อัลเทอร์เนทีฟคันทรี และกรันจ์ ไปด้วย และจากข้อมูลกลางปี 2008 เขามียอดขายอัลบั้มโดยประมาณอยู่ที่ 80 ล้านชุดทั่วโลก ยังกำกับ (หรือช่วยกำกับ) ภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยใช้ชื่อนามแฝงว่า เบอร์นาร์ด เชกกีย์ มีผลงานอย่าง Journey Through the Past (1973), Rust Never Sleeps (1979), Human Highway (1982), Greendale (2003),และ CSNY Déjà Vu (2008) ผลงานล่าสุดที่เขาทำเป็นสารคดีเกี่ยวกับเทคโนโลยีรถไฟฟ้า มีชื่อชั่วคราวว่า Linc/Volt  เขายังสนับสนุนเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและชาวไร่ ชาวนา เขาร่วมก่อตั้งคอนเสิร์ตฟาร์มเอด ในปี 1985 และในปี 1986 เขาช่วยก่อตั้งโรงเรียนบริดจ์ และยังจัดคอนเสิร์ตประจำปีเพื่อช่วยเหลือโรงเรียน ร่วมกับภรรยาของเขา เพกกี ถึงแม้ว่ายังจะ ร้องเพลงเกี่ยวกับตำนานอเมริกันหรือเรื่องเล่าอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังถือสัญชาติแคนาดา และไม่ต้องการเปลี่ยนสัญชาติ บางครั้งก็อยากใช้สัญชาติไทย

สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder มีชื่อตามเกิด Stevland Hardaway Judkins ภายหลังเปลี่ยนเป็น Stevland Hardaway Morris) เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1950 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักประพันธ์เพลง และโปรดิวเซอร์ดนตรี สตีวี วันเดอร์มีเพลงติดท็อปเท็น มากกว่า 30 เพลงในอเมริกา ได้รับรางวัลแกรมมี่ 22 ครั้ง ยังได้รับรางวัลออสการ์สาขาเพลงยอดเยี่ยม สตีวี วันเดอร์ตาบอดมาตั้งแต่เด็ก เขาเซ็นสัญญากับโมทาวน์ตั้งแต่อายุ 11 ปี และเริ่มแสดงและบันทึกเสียงกับค่ายเพลง โดยมีเพลงอันดับ 1 เพลงแรก Fingertips (Pt. 2) ตั้งแต่อายุ 13 ปี และมีเพลงอันดับ 1 ในอเมริการวม 9 เพลง มียอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุด นอกจากนั้นเขายังเป็นนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินดังหลายๆ คน ตัวเขาสามารถเล่นดนตรีได้หลายชนิดเช่น กลอง ,เบสกีตาร์,ออร์แกน,ฮาร์โมนิกา,เปียโน,เครื่องสังเคราะห์เสียง และอื่นๆ โดยเฉพาะเสียงฮาร์โมนิกาของเขาที่เป็นเอกลักษณ์

จอยดิวิชัน (Joy Division) เป็นวงร็อกอังกฤษ ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1976 ที่ซัลฟอร์ด เกรตเตอร์แมนเชสเตอร์ เดิมทีใช้ชื่อวงว่า วอร์ซอว์ (อังกฤษ: Warsaw) สมาชิกดั้งเดิมประกอบด้วย เอียน เคอร์ติส (ร้องและในบางครั้งเล่นกีตาร์), เบอร์นาร์ด ซัมเนอร์ (กีตาร์และคีย์บอร์ด) ปีเตอร์ ฮูก (กีตาร์เบสและร้องประสาน) และสตีเฟน มอร์ริส (กลองและเพอร์คัชชัน) จอยดิวิชัน ได้มีส่วนร่วมในกระแสเพลงพังก์ร็อกอย่างรวดเร็ว มีอิทธิพลในการพัฒนาเพลงและสไตล์ ที่ถือเป็นผู้นำในกระแสโพสต์-พังก์ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 จากข้อมูลของนักวิจารณ์ จอน ซาเวจ วง "ไม่ใช่พังก์แต่เป็นอิทธิพลโดยตรงจากพลังดนตรี"  อีพีเปิดตัววงชุดแรกในปี ค.ศ. 1978 ชุด An Ideal for Living เตะตากับผู้มีชื่อเสียงในรายการโทรทัศน์อย่าง โทนี วิลสัน ทำให้อัลบั้มเปิดตัวชุดแรกของวงชุด Unknown Pleasures ได้ออกภายใต้ค่ายอิสระของวิลสันที่ชื่อ แฟกทอรีเรเคิดส์ อัลบั้มได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีจากสื่ออังกฤษ และเนื่องจากความสำเร็จของวง นักร้องนำ เอียน เคอร์ติส ถูกรุมเร้ากับความกดดันและอุปสรรคส่วนตัว รวมถึงปัญหาชีวิตสมรสและการป่วยด้วยโรคลมชัก เป็นอุปสรรคมากขึ้นในการแสดงคอนเสิร์ตกับเขา และมักจะลมชักขณะการแสดง ก่อนการทัวร์แรกในอเมริกาของเขาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1980 เคอร์ติสที่เต็มไปด้วยความกดดัน ได้ฆ่าตัวตาย อัลบั้มหลังการเสียชีวิตของจอยดิวิชัน ชุดที่ 2 ชื่อ Closer (1980) มีซิงเกิ้ลอย่าง "Love Will Tear Us Apart" ได้กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในชาร์ตของวง หลังการเสียชีวิตของเคอร์ติส สมาชิกที่เหลือของวงได้ก่อตั้งวงใหม่ที่ชื่อ นิวออร์เดอร์ ประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจารณ์และยอดขาย

เจโทร ทัล (Jethro Tull) เป็นวงดนตรีร็อกจากประเทศอังกฤษ ที่ก่อตั้งขึ้นราวๆ 1967-1968 โดยมีนักดนตรีหลัก คือ เอียน แอนเดอร์สัน มีเอกลักษณ์ที่เสียงร้องนำ และเสียงฟลูทที่บรรเลงโดย แอนเดอร์สันวงเจโทร ทัล มีพัฒนาการทางดนตรีหลากหลาย จากดนตรีบลูส์-ร็อก ที่มีสำเนียงแจ๊สในระยะแรก พัฒนาไปเป็นโพรเกรสซีฟร็อก ผสมดนตรีคลาสสิก และกลายไปเป็นโฟล์ก-ร็อก, ฮาร์ดร็อก และเวิร์ลดมิวสิกในยุคหลังๆ สมาชิกที่เคยร่วมวงมีจำนวนมาก รวมทั้ง ทอมมี อิโอมิ และฟิล คอลลินส์ ก็เคยร่วมวงเป็นเวลาสั้นๆ ผลงานที่ทำให้ เจโทร ทัล มีชื่อเสียง คืออัลบั้ม Aqualung ในปี 1971 และคอนเซ็ปต์อัลบั้ม Thick as a Brick ในปีถัดมา

เอลตัน จอห์น,เซอร์ (Elton John) โปรดิวเซอร์และนักดนตรี มีชื่อเดิมว่าเรจินัลด์ เคนเนธ ดไวท์ เกิดในปี 1947 เขาศึกษาที่รอยัล อคาเดมี ออฟ มิวสิคในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเริ่มเดินทางบนเส้นทางสายดนตรีในทันที บลูโซโลจี้ ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของเขา ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1961 เขาได้ชื่อในวงการมาจากเอลตัน ดีน นักแซ็กโซโฟนของวงและลอง จอห์น บัลดรี้ นักร้องนำมากเสน่ห์ของวง เอลตัน จอห์นได้รู้จักกับเบอร์นีย์ย์ เทาปินในปี 1967 จากคำแนะนำของเรย์ วิลเลียมส์ที่ลิเบอร์ตี้ เรคคอร์ดส์ ในปี 1968 พวกเขาก็กลายมาเป็นทีมแต่งเพลงให้กับดีจีเอ็ม ค่ายดนตรีของดิค เจมส์ ที่คอยสรรหาดนตรีใหม่ๆ ให้กับป๊อปสตาร์หน้าใหม่ ความสามารถที่โดดเด่นของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่เริ่มแรก ในตอนที่อัลบัมแจ้งเกิดและเพลงฮิต “Your Song” ของเขาทำให้เขาเป็นที่รู้จักในเวทีระดับโลกในปี 1970 พวกเขาก็ได้ขัดเกลาฝีมือไปจนถึงขั้นที่เทาปินสามารถแต่งเนื้อเพลงได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงและเอลตันสามารถแต่งทำนองให้มันภายในหนึ่งชั่วโมง ช่วงระหว่างปี 1970-1976 ภายใต้การดูแลของผู้อำนวยการสร้างกัส ดัดเจี้ยน พวกเขาก็ได้ร่วมกันทำอัลบัมที่น่าทึ่งออกมาสิบสี่ชุด ซึ่งรวมถึง “Elton John,” “Tumbleweed Connection,” “Madman Across The Water,” “Honky Château,” “Don’t Shoot Me I’m Only The Piano Player,” “Goodbye Yellow Brick Road,” “Caribou” และ “Captain Fantastic And The Brown Dirt Cowboy” ซึ่งเป็นอัลบัมชุดแรกของพวกเขาที่ติดอันดับหนึ่งบิลบอร์ด ชาร์ต อัลบัม “Goodbye Yellow Brick Road” ได้ขึ้นแท่นอัลบัมคลาสสิก และมีซิงเกิลฮิตอันดับหนึ่งหลายต่อหลายเพลง และติดอันดับท็อปของบิลบอร์ด ท็อป 100 ตลอดระยะเวลาสองเดือน ในปี 1974 จอห์นได้ร้องซิงเกิลของจอห์น เลนนอน single “Whatever Gets You Through the Night” และในช่วงปลายปีนั้น เขาก็ได้ร่วมร้องเพลงกับเลนนอนบนเวทีที่เมดิสัน สแควร์ การ์เดนในนิวยอร์ก ในสิ่งที่กลายเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของเลนนอน ในช่วงปลายยุค 70s การร่วมงานระหว่างจอห์นและเบอร์นีย์ย์ เทาปินก็หยุดชะงักชั่วคราว และเขาก็ได้ร่วมงานกับนักแต่งเนื้อเพลงคนอื่นๆ ด้วย “A Single Man” เป็นการร่วมงานที่ประสบความสำเร็จระหว่างจอห์นกับแกรี ออสบอร์น และเซสชันในปี 1997 ของเขาที่ทำงานกับผู้อำนวยการสร้างฟิลลี โซล ธอม เบลก็ประสบผลกลายเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งของอังกฤษปี 2003 ในชื่อ “Are You Ready for Love” เมื่อมันถูกจัดจำหน่ายใหม่อีกรอบจากความต้องการของบรรดาดีเจผู้ทรงอิทธิพลชาวอังกฤษ ผู้กำกับคาเมรอน โครว์ ได้ใช้เพลง “Tiny Dancer” ในภาพยนตร์เรื่อง “Almost Famous” และเขาก็ได้ใช้เพลง “My Father’s Gun” (จากอัลบัมปี 1970 “Tumbleweed Connection”) ในภาพยนตร์เรื่อง “Elizabethtown” ผู้อำนวยการสร้างเอมิเนมได้ใช้การเรียบเรียบดนตรีเพลง “Indian Sunset” ปี 1970 ของจอห์นและเทาปินในซิงเกิลของทูปัคเพลง “Ghetto Gospel” และยวน แม็คเกรเกอร์และนิโคล คิดแมนก็ได้ร้องเพลง “Your Song” คู่กันในภาพยนตร์โดยบาซ ลูห์แมนเรื่อง “Moulin Rouge”  ในปี 1980 จอห์นและเทาปินได้กลับมารวมกันอีกครั้งในการทำงานอัลบัม “21 At 33” อัลบัมนี้ทำให้จอห์นได้ติดอันดับท็อปเท็นอีกครั้งตามมาด้วยอัลบัม “Jump Up!” ที่มีซิงเกิลฮิตอย่าง “Blue Eyes” และซิงเกิลที่อุทิศให้กับเลนนอน “Empty Garden (Hey Hey Johnny)” เขาสานต่อความนิยมด้วย “Too Low for Zero” อัลบัมที่มีเพลงโปรดสองเพลงจนถึงปัจจุบันของจอห์นได้แก่ “I Guess That’s Why They Call It The Blues” และ “I’m Still Standing” เพลงที่แสดงชัยชนะที่เขามีต่อบรรดาปัญหาที่เขาเคยผ่านมา ในปี 1992 ในอเมริกา และในปี 1993 ในอังกฤษ จอห์นได้ก่อตั้งมูลนิธิเอลตัน จอห์น เอดส์ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลบุกเบิกที่ทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อผู้ป่วย HIV และโรคที่เกี่ยวเนื่องทั่วโลก ในปีถัดมา เขาก็ได้ปล่อยอัลบัมดับเบิล แพลตินัม “The One”  ในยุค 90s จอห์นโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก การร่วมงานกับทิม ไรซ์ทำดนตรีให้กับภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “The Lion King” ไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมีสาขาศิลปินป๊อปชายยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งแรกอีกด้วย หลังจากนั้น จอห์นก็ได้ร่วมงานกับทิม ไรซ์อีกครั้งในละครบรอดเวย์ยอดนิยมเรื่อง “Aida” ละครเรื่อง “Billy Elliot The Musical” ที่มีดนตรีโดยจอห์นและเนื้อเพลงโดยลี ฮอล ถูกจักแสดงที่ลอนดอนในปี 2005 ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ไม่เพียงแต่ในหมู่ผู้ชมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดานักวิจารณ์ละครทั้งหลายด้วย
ช่วงปลายยุค 90s เป็นช่วงเวลาโศกนาฏกรรมสำหรับจอห์น เมื่อเขาต้องสูญเสียเพื่อนดีๆ ไปหลายคน เช่นแฟชัน ดีไซเนอร์ จิอันนี เวอร์ซาเชและไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เพลง “Candle in the Wind 1997” ซึ่งเป็นเพลงสะเทือนใจที่จอห์นและเทาปินอุทิศให้กับไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ผู้ล่วงลับ ทำยอดขายได้กว่า 33,000,000 ก็อปปี้ ในปี 1998 จอห์นได้รับยศอัศวินจากสมเด็จพระราชินีสำหรับ คุณูปการด้านดนตรีและการกุศลเมื่อก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ จอห์นก็กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เขายังคงแสดงคอนเสิร์ตตามเวทีต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ในปี 2004 จอห์นและวงดนตรีของเขาเริ่มแสดงกับเดอะ เรด เปียโนที่ซีซาร์ส พาเลซ โคโลเซียมในลาสเวกัส ภายใต้การกำกับศิลป์ของนักคอนเซ็ปต์ เดวิด ลาชาแปลล์ เดอะ เรด เปียโน ที่เดิมมีตารางแสดงโชว์ 75 ครั้งในช่วงสามปี ทำได้ดีเกินความคาดหวังและได้รับความนิยมสูงจนจอห์นสามารถแสดงตามเป้าหมายเดิมได้ภายในเวลาเพียงแค่ 18 เดือนเท่านั้น ในระหว่างนี้ ซีซาร์ส พาเลซก็ต่อสัญญาเพิ่มรอบการแสดงอีก 166 ครั้ง ทำให้ท้ายสุดเป็นสัญญาการแสดงรวม 241 ครั้ง ที่สิ้นสุดลงในเดือนเมษายน ปี 2009 ในปี 2008 ดีวีดี “The Red Piano” ถูกวางจำหน่ายทั่วโลกในหลากหลายรูปแบบ สี่ทศวรรษนับตั้งแต่ปี 1969 ที่เขาออกอัลบัมแรก “Empty Sky” จอห์นก็ยังคงสรรค์สร้างงานดนตรีดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง อัลบัมปี 2001 “Songs From The West Coast” มีซิงเกิลฮิต “I Want Love” ก่อนที่ในปี 2005 จะมีการออกอีดิชันดีลักซ์ของอัลบัม “Peachtree Road” ซึ่งรวมสามเพลงใหม่จากละครเรื่อง “Billy Elliot The Musical” และซิงเกิลฮิต “Electricity” ในปี 2002 เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากรอยัล อคาเดมี ออฟ มิวสิค รางวัลอื่นๆ ที่เขาได้รับก็เช่นรางวัลศิลปินชายอังกฤษยอดเยี่ยมปี 1991 การได้เป็นส่วนหนึ่งของร็อค แอนด์ โรล ฮอล ออฟ เฟมในปี 1994 ห้ารางวัลแกรมมีระหว่างปี 1986 และ 2000 รางวัลแกรมมี ลีเจนด์ อวอร์ดปี 2001 รางวัลเคนเนดี้ เซ็นเตอร์ ออเนอร์ปี 2004 และ 11 รางวัลอิวอร์ โนเวลโล อวอร์ดระหว่างปี 1973 และ 2000 ในเดือนกันยายน ปี 2005 จอห์นได้ฉลองครบรอบ 30 ปีของอัลบัม “Captain Fantastic And The Brown Dirt Cowboy” ด้วยการปล่อยเวอร์ชันดีลักษ์ของอัลบัมและการจัดคอนเสิร์ตพิเศษขึ้นในอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น จอห์นและเทาปินได้ร่วมกันแต่งดนตรีให้กับละครเรื่อง “Lestat” ที่สร้างขึ้นจากนิยายของแอนน์ ไรซ์ มิวสิคัลเรื่องนี้เปิดแสดงบนเวทีบรอดเวย์ในนิวยอร์กในเดือนเมษายน ปี 2006 ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ปล่อยอัลบัมอัตชีวประวัติ “The Captain & The Kid” ซึ่งเป็นซีเควลของ “Captain Fantastic And The Brown Dirt Cowboy” ในปี 2007 มีการปล่อยซิงเกิลและดีวีดีดีลักษ์ “Rocket Man—The Definitive Hits” ซึ่งมีเพลงฮิตคลาสสิก 18 เพลง นอกจากนั้นแล้วในปี 2007 เพลงทั้งหมดเกือบ 500 เพลง (90 ซิงเกิลและ 32 อัลบัม) ก็เปิดให้ดาวน์โหลดอย่างถูกกฎหมายได้เป็นครั้งแรก อัลบัม “Rocket Man” เป็นการฉลองครบรอบครั้งยิ่งใหญ่ของจอห์น โดยในวันที่ 25 มีนาคม ปี 2007 เขาได้ฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 60 ด้วยการทำลายสถิติจัดคอนเสิร์ตครั้งที่ 60 ขึ้นที่เมดิสัน สแควร์ การ์เดนในนิวยอร์ก ไม่มีศิลปินคนไหนทำได้ใกล้เคียงกับสถิติของเขาเลย ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2008 ละครเรื่อง “Billy Elliot the Musical” เปิดแสดงที่โรงละครเอ็มไพร์ และก็ประสบความสำเร็จทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้ ละครเรื่องนี้ได้รับ 10 รางวัลโทนี อวอร์ดในปี 2009 ซึ่งรวมถึงมิวสิคัลยอดเยี่ยม นอกจากนี้ “Billy Elliot” ยังได้เปิดการแสดงที่ซิดนีย์และเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และในปี 2010 ละครเรื่องนี้ยังได้เปิดแสดงที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย จอห์นเริ่มต้นแสดงคอนเสิร์ตของปี 2009 ในเวที 02 อารีนาในกรุงลอนดอน ที่ซึ่งเขาได้ออกรายการสดเดอะ เรด เปียโน เพื่อต้อนรับงานปีใหม่ ระหว่างปีนั้น เขายังได้แสดงคอนเสิร์ตอีก 92 ครั้ง ถ้าไม่กับวงของเขาเอง ก็กับบิลลี โจเอล, เรย์ คูเปอร์ หรือกับเขาเอง ในบราซิล, อาร์เจนตินา, ชิลี, เวเนซุเอลา, โคลัมเบีย, เม็กซิโก, อเมริกา, แคนาดา, โครเอเชีย, อิตาลี, เยอรมนี, โปรตุเกส, อังกฤษ, สวีเดน, นอร์เวย์, สก็อตแลนด์, ไอร์แลนด์, ฟินแลนด์, รัสเซีย, ฝรั่งเศส, สเปน, ฮอลแลนด์, สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยียม หนึ่งในไฮไลท์ของปีนั้นคือการคืนสู่เวทีกับจอห์นอีกครั้งของเรย์ คูเปอร์ในคอนเสิร์ตน่าทึ่งที่รอยัล อัลเบิร์ต ฮอลภายใต้ความช่วยเหลือของรอยัล อคาเดมี ออฟ มิวสิค ระหว่างปี 2010 จอห์นได้ทัวร์คอนเสิร์ตกับบิลลี โจเอล, เรย์ คูเปอร์ และวงดนตรีของเขา ที่ประกอบไปด้วย บ็อบ เบิร์ช (เบส), คิม บูลลาร์ด (คีย์บอร์ด), เดวีย์ จอห์นสโตน (กีตาร์), จอห์น มาฮัน (เพอร์คัสชัน) และไนเจล โอลส์สัน (กลอง) นอกจากนี้ เขายังได้บันทึกเสียงอัลบัมสตูดิโอใหม่ “The Union” ร่วมกับลีออน รัสเซลและเบอร์นีย์ย์ เทาปิน ภายใต้การอำนวยการสร้างของที โบน เบอร์เน็ตต์ อัลบัมนี้ที่วางแผงในเดือนตุลาคมประสบความสำเร็จในชาร์ตเพลงทั่วโลกและผลักดันให้จอห์นและลีออน รัสเซลได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกากับวงดนตรีของพวกเขา และนักดนตรีจากสตูดิโอที่ทำ “The Union” (อ้างอิงข้อมูลจากเพจ http://www.nangdee.com/name/f/p10920.html)


เจ้าป้าหรือตัว Minion มาดูกัน จัดเต็มมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว


แอ็บบ้า (ABBA) เป็นวงดนตรีจากประเทศสวีเดน ประกอบด้วยสมาชิก Anni-Frid Lyngstad, Björn Ulvaeus, Benny Andersson และ Agnetha Fältskog มีผลงานโด่งดังติดอันดับ 1 ทั่วโลกในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ถึงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1980 ชื่อวง "ABBA" มาจากตัวอักษรแรกของสมาชิกวง (Agnetha, Björn, Benny, Anni-Frid) และได้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการในปลาย ค.ศ. 1973 แอ็บบ้าเคยชนะเลิศการประกวดเพลงยูโรวิชัน ใน ค.ศ. 1974 จากเพลง Waterloo มีผลงานในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1972 - 1982 มีเพลงดังอย่าง Dancing Queen เป็นเสียงร้องนำร่วมกันของ Agnetha และ Anni-Frid เพลง Dancing Queen ติดอันดับ 1 ในอังกฤษนาน 6 สัปดาห์ และข้ามฝั่งไปดังในอเมริกาติดอันหนึ่งในอเมริกาด้วยเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1977 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ แอ็บบ้าเป็นศิลปินกลุ่มแรก ที่มีอัลบัมบันทึกเสียงวางจำหน่ายด้วยแผ่นซีดี เมื่อ ค.ศ. 1981 ผลงานชุด The Visitors ของทางวง ออกวางจำหน่ายพร้อมอัลบัมเพลงคลาสสิก The Alpine Symphony อำนวยเพลงโดยเฮอร์เบิร์ต ฟอน คารายาน เป็นแผ่นซีดีชุดแรกที่มีวางจำหน่าย

ร็อดเดริก เดวิด สจ๊วต (Roderick David Stewart) เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1945 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง เกิดและเติบโตในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันย้ายไปอยู่ใน Epping เอกลักษณ์เสียงร้องของ ร็อด สจ๊วตคือเสียงแหบเสน่ห์ เขาเป็นที่รู้จักในช่วงปลายยุค 1960 และต้นยุคทศวรรษ 1970 กับการเป็นสมาชิกวง The Jeff Beck Group และต่อมากับวง Faces เขาออกผลงานเดี่ยวในปี 1969 กับผลงานอัลบั้มแรกชุด An Old Raincoat Won't Ever Let You Down ผลงานในระหว่างอยู่วง The Jeff Beck Group และ The Faces พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีอิทธิพลต่อแนวเพลงเฮฟวีเมทัล และพังก์ร็อก ตามลำดับ ทั้งสองวงเป็นวงบุกเบิกให้กับแนวเพลงบลูส์-ร็อก กับอาชีพการงานของเขากว่า 5 ทศวรรษ สจ๊วตประสบความสำเร็จมีซิงเกิลฮิตในฐานะศิลปินเดี่ยว โดยประสบความสำเร็จมากในสหราชอาณาจักร ที่ที่เขามีอัลบั้มอันดับ 1 ติดต่อกัน 6 ชุด และมีซิงเกิลฮิต 62 ซิงเกิล ที่มี 24 ซิงเกิลติดท็อป 10 และ 6 ในนั้นติดอันดับ 1 ซิงเกิลฮิตที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเช่น "Maggie May", "You Wear It Well", "Sailing", "Tonight's the Night (Gonna Be Alright)", "Hot Legs", "Da Ya Think I'm Sexy?", "Forever Young" และ "Rhythm of My Heart." และเขามียอดขายอัลบั้มและซิงเกิลประมาณ 250 ล้านชุด  ทำให้เขาติดอันดับศิลปินดนตรีที่มียอดขายดีที่สุด

แบร์รี แมนิโลว์ (Barry Manilow) เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1943  เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง นักดนตรี ผู้เรียบเรียง โปรดิวเซอร์ คอนดักเตอร์ ดาราและนักแสดง เป็นที่รู้จักจากผลงานเพลงอย่างเช่น "I Write the Songs", "Mandy", "Weekend in New England" และ "Copacabana" ในปี 1978 ผลงานอัลบั้ม 5 ชุดของเขามียอดขายดีบนชาร์ตอย่างต่อเนื่อง เป็นรองเพียง แฟรงก์ ซินาตรา, ไมเคิล แจ็กสันและจอห์นนี แมทิส เขายังทำงานเป็นโปรดิวเซอร์และผู้เรียบเรียงให้กับศิลปินอื่น อย่าง เบตต์ มิดเลอร์, ดิออน วอร์วิก และโรสแมรี คลูนีย์ เขายังเขียนเพลงให้กับภาพยนตร์เพลงและโฆษณาอีกหลายเพลง ตั้งแต่ปี 2005 เขาแสดงในลาสเวกัสฮิลตัน ที่มีการแสดงกว่า 100 โชว์

เบ็ตต์ มิดเลอร์ (Bette Midler) เกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เป็นนักร้อง นักแสดง ดาราตลก ชาวอเมริกัน ในบางครั้งรู้จักในชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า The Divine Miss M. ซึ่งก็เป็นชื่ออัลบั้มเพลงอัลบั้มแรกของเธอในปี 1972 ด้วย เธอได้รับรางวัลแกรมมี่ 4 ครั้ง , รางวัลลูกโลกทองคำ 4 รางวัล, รางวัลเอมมี 3 รางวัล และ 1 รางวัลโทนี เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 2 ครั้งจากภาพยนตร์เรื่อง The Rose (1979) และ For The Boys (1991) ปัจจุบันเธอแสดงคอนเสิร์ตที่ชื่อ The Showgirl Must Go On ที่เซซาร์ส พาเลซ ในลาสเวกัส
 


มาเรีย ลินดา รอนสตัดต์ (Maria Linda Ronstadt) หรือลินดา รอนสตัดต์ (อังกฤษ: Linda Ronstadt) เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1946 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน ที่มีสไตล์เสียงร้องหลากหลายแนว ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอาชีพของเธอกว่า 4 ทศวรรษ เธอเคยได้รับรางวัลแกรมมี่มาแล้วหลายครั้ง, 2 รางวัลคันทรีมิวสิกอวอร์ดส, 1 รางวัลเอมมี และ 1 รางวัลอัลมา และในสหรัฐอเมริกาเธอได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว จากหลายอัลบั้ม นอกจากนี้ ยังเคยได้รับการเสนอชื่อรางวัลโทนีและรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย นอกจากเธอจะเป็นทั้งนักร้อง-นักแต่งเพลง เธอยังเป็นโปรดิวเซอร์เพลง เธอยังเป็นที่รู้จักในฐานะนักแปลความหมายของเพลง เธอมีผลงานอัลบั้มเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยวกว่า 30 ชุด มีอัลบั้มรวมเพลงกว่า 15 ชุด เคยร่วมงานกับศิลปินหลากหลายกว่า 120 อัลบั้ม เธอมีซิงเกิลติดชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 อยู่ 38 ซิงเกิล ซึ่งมี 21 ซิงเกิลติดท็อป 40 และมี 10 ซิงเกิลติดท็อป 10 และมี 3 ซิงเกิลขึ้นสูงสุดอันดับ 2 และมีซิงเกิลอันดับ 1 คือเพลง "You're No Good"

(หมายเหตุ คัดลอกและเรียบเรียงข้อมูลจากวิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น