วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

ย้อนตำนานยุครุ่งเรือง ศิลปินนักร้อง (3) นักดนตรีระดับโลก ตอนที่ 3


เมื่อเข้าสู่ยุค 80’s กลายเป็นยุคทองของดนตรีป็อป ไม่ว่าจะเป็นป็อปร็อค หรือป็อปแดนซ์ โดยเฉพาะดนตรีแนวดิสโก้ อีเลคโทรนิคส์แดนซ์ (EDM) ก็เริ่มเบ่งบานจากยุคนี้ ในทางของสายร็อคก็ยังคงเฟื่องฟูมาอย่างต่อเนื่อง แต่กระแสป็อปโดดเด้งกว่า จึงกลบกระแสทุกแนวเพลง พวกราชาเพลงป็อป หรือราชินีเพลงป็อป จึงเกิดจากยุคนี้ ลองมาไล่กันดูว่ามีใครกันบ้าง

แวม! (Wham! หรือ WHAM!) เป็นคู่ดูโอจากอังกฤษ ก่อตั้งวงในปี 1981 โดยจอร์จ ไมเคิล และแอนดรูว์ ริดจ์ลีย์ ในสหรัฐอเมริกาจะมีชื่อเรียกว่า แวม! ยูเค เนื่องจากซ้ำกับชื่อวงอื่น แวม! มีผลงานอัลบั้มแรกชุด Fantastic แต่วงมาโด่งดังจริงหลังออกซิงเกิ้ลที่โด่งดังไปทั่วไป "Wake Me up Before You Go Go" ในปี 1984 จากนั้นจอร์จ ไมเคิล ก็เริ่มปูหนทางสู่การเป็นศิลปินเดี่ยว โดยออกเพลง "Careless Whisper" ซึ่งในสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อว่า "จอร์จ ไมเคิล ออฟแวม!" ต่อมาในปี 1985 จอร์จ ไมเคิลประกาศแยกวง โดยมีการแสดงคอนเสิร์ตร่ำลาที่สนามกีฬาเวมบลีย์ มีผู้คนกว่า 72,000 คน หลังแตกวงไปจอร์จ ไมเคิล ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการเป็นศิลปินเดี่ยว ส่วนแอนดรูว์ ริดจ์ลีย์ มีผลงานอัลบั้มชุด Son of Albert ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร มีเพลงดังระดับเล็กน้อยชื่อ "Shake"



จอร์จ ไมเคิล (George Michael) เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1963 เป็นนักร้องชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงในยุค 80s-90s และมีอัลบั้มที่มียอดขายมากถึง 80 ล้านชุด จอร์จ ไมเคิลเป็นเจ้าของรางวัลทางดนตรีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รางวัลแกรมมี (รวมทั้ง รางวัลอัลบั้มแห่งปี จาก Faith) รางวัลอเมริกัน มิวสิก อวอร์ดส, Ivor Novellos, MTV Awards, และ บริทอวอร์ดส  และยังมี ซิงเกิลอันดับ 1 ถึง 11 เพลง และอัลบั้มอันดับ 1 รวมทั้งหมด 6 อัลบั้มในอังกฤษ
วิตนีย์ ฮิวสตัน (Whitney Houston) หรือชื่อจริงว่า วิตนีย์ เอลิซาเบธ ฮิวสตัน (Whitney Elizabeth Houston; 9 สิงหาคม 196311 กุมภาพันธ์ 2012) เป็นนักร้องอเมริกัน , นักแสดง , โปรดิวเซอร์ , และนางแบบในปี 2009 ,บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ อ้างถึงในฐานะที่เป็นหญิงที่ได้รับรางวัลมากที่สุด] ฮิวสตัน ยังเป็นหนึ่งในนักร้องเพลงป็อปที่มียอดขายดีตลอดกาล โดยประมาณ 170-200 ล้านแผ่นเสียง โดยเธอเองมีผลงานสตูดิโออัลบั้มหกอัลบั้ม , โดยมีอัลบั้มเทศกาลพิเศษ One Wish : The Holiday Album (อัลบั้มฉลองปีใหม่) และสามอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ , โดยทั้งหมดที่กล่าวมายังได้รับรางวัลอัลบั้มตราเพรช , รางวัลยอดการขายยอดเยี่ยม , แพลตินัมและอัลบั้มคุณภาพ ฮาวตันก้าวข้ามและติดชาร์จเพลงฮิตจำนวนมาก ,เช่นเดียวกับความโดดเด่นของเธอใน เอ็มทีวี , เริ่มต้นด้วยวิดิโอมิวสิคเพลง How Will I Know และส่งผลให้เป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินหญิงแอฟริกันอเมริกันจำนวนมากที่เดินตามรอยเท้าเธอ. วิตนีย์ ฮิวสตันเป็นนักร้องคนเดียวที่ติดชาร์จอันดับที่ 7 ติดต่อกันจนขึ้นแท่นอันดับ 1 ใน บิลบอร์ดฮอต 100 เธอยังเป็นนักร้องอันดับที่ 2 รองจาก เอลตัน จอห์น และยังเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้อันดับ 1 ติดต่อกัน 2 ครั้งใน บิลบอร์ด 200 และได้รับรางวัลอัลบั้มโดดเด่นในบิลบอร์ดแม็กกาซีนชาร์จสิ้นปี  อัลบั้มเปิดตัวของเธอ Whitney Houston กลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ขายดีที่สุดของนักร้องหญิงในประวัติศาสตร์  นิตรสาร โรลลิงสโตน บอกว่ามันเป็นอัลบั้มที่ขายดีในปี 1986 และยังติดใน 500 อัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาล และติดอยู่ในอันดับ 254 ซึ่งจัดโดยแม็กกาซีนโรลลิงสโตน อัลบั้มสตูดิโอที่สองของเธอ Whitney (1987) กลายเป็นอัลบั้มแรกของนักร้องหญิงที่ขึ้นแท่นอันดับในบิลบอร์ด 200 ฮิวสตันยังได้แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกใน The Bodyguard' (1992) (ชื่อไทย : เดอะบอดี้การ์ด เกิดมาเจ็บ เพื่อเธอ) โดยวิตนิย์ยังได้รางวัล รางวัลแกรมมี จากภาพยนตร์เรื่องนี้ จากเพลงประกอบภาพยนตร์ ใน รางวัลแกรมมี สาขาอัลบั้มแห่งปี โดยมีเพลงโดดเด่นคือ I Will Always Love You , ส่งผลให้กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีโดยนักร้องหญิงในประวัติศาสตร์เพลง ในอัลบั้ม , ฮิวสตันยังแสดงบทบาทผลงานเดี่ยว และคณะกลุ่มผู้ชายและหญิง และขายได้มากกว่าล้านแผ่นเสียงของอัลบั้มในสัปดาห์เดียวภายใต้การตรวจสอบของระบบ Nielsen SoundScan โดยอัลบั้มนี้ยังทำให้เธอติดอันดับความชั้นนำของนักร้องหญิงในท็อป 10 อันดับของยอดการขายที่ดีที่สุดตลอดการ , เธอติดอันดับที่ 4 , ฮิวสตันยังเริ่มต้นงานการแสดงอย่างต่อเนื่องและยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลงานเพลงพวกเขา , เช่นภาพยนตร์ Waiting to Exhale (1995) และ The Preacher's Wife (1996) อีกทั้งเพลงประกอบ The Preacher's Wife กลายเป็นอัลบั้มขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของแนวเพลงกอสเปล  ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ , 2012 ฮิวสตันเสียชีวิตในห้องพักของเธอที่ณ เบเวอร์ลีฮิลตันโฮเทล , ใน เบเวอร์ลี ฮิลส์ , รัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานการชันสูตรศพได้พิจารณาแล้วว่าเธอจมน้ำในอ่างอาบน้ำ อีกทั้งเธอเองก็เป็นโรคหัวใจและยังมีการใช้โคเคน ซึ่งคาดว่าเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบ ข่าวการเสียชีวิตเธอก่อนจะประกาศผลรางวัลแกรมมี่อวอร์ดครั้งที่ 54 ในอีกวัน ซึ่งสื่ออเมริกาและต่างประเทศต่างนำเสนอข่าวการเสียชีวิตของวิตนีย์ ฮิวสตัน  วิสนีย์ ฮุสตันเกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1963 ในครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางในนครนวร์ก (รัฐนิวเจอร์ซีย์) , รัฐนิวเจอร์ซีย์ เธอเป็นลูกสาวทหารและผู้บริหาร จอร์จ รัสเซล ฮุตตัส จูเนียร์ (13 กันยายน 1920 - 2 กุมภาพันธ์ 2003) และเป็นลูกของนักร้องกอสเปล เอมิลี่ ซิสซี ฮิวสตัน  พี่ชายของเธอชื่อไมเคิลเป็นนักร้อง และพี่น้องร่วมบิดายังเป็นอดีตผู้เล่นบาสเก็ตบอล แกรี่ กาแลนด์   พ่อแม่ของเธอทั้งสองคนเป็นแอฟริกันอเมริกัน โดยเธอมีเชื้อสายอเมริกาและดัตซ์   จากแม่ของเธอ , ฮุสตันเป็นลูกพี่ลูกน้องของนักร้อง ดิออน วอร์วิค , ดีดี วอร์วิก แม่อุปถัมภ์ของเธอคือ ดารลีน เลิฟ และป้ากิตติมศักดิ์ของเธอเป็น อารีธา แฟรงคลิน  เธอได้พบกับป้ากิตติมศักดิ์เมื่อเธออายุ 8 - 9 ขวบ เมื่อแม่ของเธอพาเธอยังห้องอัดเพลง แต่ก็ยังสัมผัสกับโบสถ์ของคริสต์ หลังเกิดจลาจลในนครนวร์กเมื่อปี 1967 ทำให้ครอบครัวต้องย้ายไปยังอีสต์ออเรนจ์ , นิวเจอร์ซี เมื่อเธออายุสี่ขวบ  เมื่ออายุ 11 , ฮุสตันเริ่มการแสดงในฐานะศิลปะเดี่ยวกับคณะประสานเสียงกลุ่ม กอสเปล ในโบสถ์ New hope baptist ในนครนวร์ก ซึ่งเธอก็ได้รับการเรียนรู้เปียโนด้วย ผลงานการแสดงของเธอในโบสถ์คือเพลง "Guide Me, O Thou Great Jehovah" เมื่อฮูสตันเข้าสู่วัยรุ่น , เธอได้เข้าเรียนที่ Mount Saint Dominic Academy เด็กสาวคาทอลิกในโรงเรียนมํธยมที่เคสเวตย์ , นิวเจอร์ซี เมื่อเธอพบกับเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ร็อบบิ้น แคลทฟอร์ด ซึ่งเธออธิบายว่า เธอไม่เคยมีน้องสาว เมื่อตอนที่ฮุสตันยังเรียนหนังสือ , แม่ของเธอสอนเธอร้องเพลง และฮุสตันยังได้สัมผัสกับเพลงต่างอาทิ ชากา คาน , แกลดีส์ ไนต์ และ โรเบอร์ตา แฟล็ก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมามีอิทธิพลต่อเธอในฐานะนักร้องและนักดนตรีอย่างมาก  ฮุสตันในช่วงวัยรุ่นได้ใช่เวลาบางส่วนไปพับที่แม่ของเธอซิสซี่ได้ดำเนินการไว้ , และเธอมักจะได้รับการขึ้นเวทีและการแสดงเป็นบางครั้งบางคราว , ในปี 1977 ขณะอายุ 14 เธอเป็นแบ็คอัพในการร้องให้กับวงไมเคิล เซเจอร์ ในซิงเกิ้ลเพลง "Life's a Party" ในปี 1978 ขณะอายุ 15 เธอได้ร่วมร้องประสานในซิงเกิ้ลเพลง I'm Every Woman ของ ชากา คาน โดยเพลงนั้นได้เริ่มทำให้เป็นที่รู้จักตัวของวิตนีย์และมียอดขายที่สูงสำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ เดอะ บอดี้การ์ด เธอยังร้องแบ็คอัพให้กับอัลบั้มของ Lou Rawls และ Jermaine Jackson  ในต้นยุค 1980s ฮิวสตันทำงานเป็นนางแบบหลังจากที่มีตากล้องไปเห็นเธอใน Carnegie Hall ร้องเพลงกับแม่ ทำให้เธอได้ถูกติดอยู่ในแม็กกาซีน เซเว่นทีนและกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงคนแรกผิวสีที่สง่างามในหน้าปกของนิตยสาร เธอยังเป็นจุดเด่นในหน้าแม็กกาซีน Glamour, Cosmopolitan , Young Miss และปรากฏในโฆษณาเครื่องดิ่ม Canada Dry. รูปลักษณ์และความมีเสนห์ของเธอทำให้กลายเป็นหนึ่งในนางแบบวัยรุ่นในช่วงเวลาขณะนั้น ในขณะเป็นนางแบบ , เธอก็ยังเดินหน้าอัดเพลงโดยมีโปรดิวเซอร์ ไมเคิล เบออินฮอน บิล รัสเวล และ มาร์ติน บิซี ซึ่งเป็นอัลบั้มหัวหอกของพวกเขา One Down จากคณะวง เมททีเรียล หลังโปรเจกต์นั้น , ฮุสตันมีส่วนในเพลง Memerois เพลงโคฟเวอร์โดย ฮิฟ โฮปเปอร์ จากวงซอฟทแมชชีน โรเบริ์ต คริสเกิล จากวง ดิ วิลเลท์ วอยซ์ เรียกผลงานของเธอว่า หนึ่งในเพลงที่งดงามที่คุณเคยได้ยิน" เธอยังได้ร่วมร้องเพลงในอัลบั้ม พอล จูบาราและพ้องเพื่อน ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดที่ 4 ของพอล จูบารา วางจำหน่ายโดยค่ายเพลง โคลัมเบีย เรดคอร์ดส เมื่อปี 1983  ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012 วิทนีย์ถูกพบเสียชีวิตที่โรงแรมเบเวอร์ลีฮิลตัน ในเบเวอร์ลี ฮิลส์, รัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตยังคงไม่เป็นที่แน่ชัด เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของเบเวอร์ลีฮิลส์ระบุว่าพบนักร้องสาวในร่างซึ่งไร้การตอบสนองและได้ทำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะประกาศว่าเธอได้เสียชีวิตลงแล้ว ณ เวลา 15:55 นาฬิกา ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า "ไม่มีข้อบ่งชี้ใดที่แน่ชัดว่าการเสียชีวิตเป็นเหตุอาชญากรรม" ผู้มีชื่อเสียงจากหลากหลายแขนงต่างร่วมแสดงความเสียใจต่อการตายของวิทนีย์ เช่น ดอลลี พาร์ตันผู้ที่ร้องเพลง ไอวิลออลเวย์สเลิฟยู ซึ่งวิทนีย์นำมาร้องคัฟเวอร์ใหม่แสดงความเห็นว่า "จะยังคงรู้สึกสำนึกและเกรงขามต่อการแสดงอันน่าตื่นตะลึงที่เธอได้กระทำกับเพลงของฉัน และขอพูดมันจากก้นบึ้งของหัวใจ 'วิทนีย์ ฉันจะยังคงรักคุณเสมอไป คุณจะยังคงเป็นที่โหยหาจากผู้คน'." ส่วนแม่บุญธรรมของวิทนีย์ อาเรธา แฟรงคลิน กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อและชวนตกตะลึง ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเพิ่งจะได้อ่านข่าวนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ไป"  ทางด้านอดีตสามีของวิทนีย์อย่าง บ็อบบี้ บราวน์ ระบุว่าเขา "ร้องไห้ไม่หยุด" หลังจากที่ได้รับทราบข่าวการเสียชีวิต เขาไม่ได้ยกเลิกตารางการแสดงของตัวเองที่กำลังดำเนินอยู่ ภายในหนึ่งชั่วโมงของการตาย บ็อบบี้ได้จุมพิตแล้วโบกไปยังท้องฟ้าพร้อมกับหลั่งน้ำตาก่อนจะพูดว่า "วิทนีย์, ผมรักคุณ" ซึ่งผู้ชมการแสดงของเขาในมิสซิสซิปปีต่างร่วมเป็นสักขีพยาน

ไลโอเนล บร็อคแมน ริชชี จูเนียร์ (Lionel Brockman Richie, Jr.; เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1949) เป็นนักร้องชาวอเมริกัน , นักแต่งเพลง , นักดนตรี , โปรดิวเซอร์ , นักแสดง เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1968 , เขาเป็นนักร้องนำภายในวง คอมโมดอร์ส และเซ็นสัญญากับค่ายเพลง โมทาวน์เรเคิดส์  ภายหลังที่ไลโอเนลออกจากวงคอมโมดอร์ส ก็ทำผลงานอัลบั้มเดี่ยวในปี ค.ศ. 1982 ในชื่ออัลบั้ม Lionel Richie โดยอัลบั้มนี้สามารถขายได้มากกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก และทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่มียอดขายอัลบั้มที่ดีในทุกช่วงเวลา ไลโอเนล บร็อคแมน ริชชี จูเนียร์ เกิดและเติบโตใน ทัชกีซี , แอละแบมา เป็นลูกชายกของ อัลบาต้า อาร์ (ฟอร์เตอร์) และ ไลโอเนล บร็อคแมน ริชชี  เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยทัชกีซี บ้านของปู่ของเขาอยู่ฝั่งของบ้านผู้อำนวยการในมหาวิทยาลัย ครอบครัวของเขาย้ายไปยัง โจเลียต , อิลลินอยส์ แม่ของเขาอัลบาต้าเป็นผู้อำนวยการที่โรงเรียนประถม Eliza Kelly Elementary School พ่อของเขาทำงานอยู่ที่ Armcom แต่หมดสัญญาแล้วปัจจุบันทำงานอยู่ที่ Joliet Arsenal ริชชีจบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียน Joliet Township High School และเป็นนักเทนนิสในเมืองโจลีต เขาได้รับการทุนศึกษาที่จะเรียนในสถานบัน Tuskegee Institute และออกจากสถาบัน Tuskegee Institute หลังจากเขาเรียนได้ในระดับปีที่สอง ริชชีมุ่งมั่นศึกษาเรื่องศาสนาจักรในโบสถ์ Episcopalian Church เหตุเพราะเขาอยากเป็นพระสงฆ์ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เป็นพระสงฆ์และเขาก็ตัดสินใจที่จะมุ่งมันไปเอาดีด้านเพลงแทน เขายังเป็นสมาชิกของ Kappa Kappa Psi และเป็นสมาชิก Alpha Phi Alpha

ซินเธีย แอน สเตฟานี "ซินดี" ลอเปอร์ (Cynthia Ann Stephanie "Cyndi" Lauper) เกิดวันที่ 22 มิถุนายน 1953  ที่บรุกลิน รัฐนิวยอร์ก เป็นนักร้องชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลแกรมมี่ และนักแสดงรางวัลเอมมี่ เธอได้หัดเล่นกีตาร์และเขียนเพลงตั้งแต่อายุน้อย ในปี 1971 เธอลาออกจากโรงเรียนเพื่อจะเข้าร่วมกับวงดนตรีในนครนิวยอร์ก เธอเริ่มเป็นนักร้องเดี่ยวเมื่ออายุ 28 ปี อัลบั้มแรก She's So Unusual ได้รับความนิยมสูง มีเพลงฮิตเพลงแรก Girls Just Wanna Have Fun สามารถขึ้นชาร์ทอันดับ 2 ทั้งอังกฤษและอเมริกา และตามมาด้วยซิงเกิ้ลอันดับ 1 Time After Time อัลบั้มถัดมา True Colors มีเพลงฮิตอันดับ 1 ชื่อเดียวกับอัลบั้มในปี 1986 เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม โดยการแสดงทัวร์ "ทรู คัลเลอร์ส" เป็นการระดมเงินเข้าองค์การฮิวแมน ไรส์ แคมเปญ กลุ่มเพื่อสิทธิคนรักเพศเดียวกัน เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน

มาดอนนา ลูอิส ชีโคเน (Madonna Louise Ciccone; /ɪˈkn/ chi-koh-nay) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ มาดอนน่า เป็นนักร้องสาวแนวเพลงป็อปชาวอเมริกัน เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมาก มีชื่อเสียงแพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก ด้วยภาพลักษณ์ที่แรง เป็นคนกล้า มุ่งมั่น และชัดเจน อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเสมอมา โดยเป็นนักร้องหญิงเพียงคนเดียวที่มีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งมากกว่า 10 เพลงทั้งฝั่งอเมริกา และอังกฤษ และได้รับฉายาว่าเป็น"ราชินีแห่งเพลงป็อป" นอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว มาดอนน่ายังเป็นนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแสดงอีกด้วย  ในปี 1977 เธอย้ายจากบ้านเกิดที่เบย์ซิตี้ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินติดตัวเพียง 35 ดอลลาร์ เธอบอกให้แท็กซี่พาเธอไปที่ ที่เป็นใจกลางของทุกสิ่ง จนเธอได้มาทำงานในร้านดังกิ้นโดนัทใน นิวยอร์ก ด้วยความหวังที่ว่า สักวันนึงเธอจะต้องดังให้ได้ เธอตะเกียกตะกายมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 1979 เธอได้งานเป็นนักแสดงในคณะ ละครเสียดสีสังคม ในช่วงนั้นเธอได้รู้จักกับแดน กิลรอย (Dan Gilroy) ต่อจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองตัดสินใจคบกัน ในฐานะคนรัก และได้ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมา ชื่อว่า เดอะ เบรกฟาสต์ คลับ (The Breakfast Club) เริ่มแรกมาดอนน่าเล่น กลองและในเวลาต่อมาเธอก็ได้เป็นนักร้องนำจนกระทั่งเธอกับแฟนเก่า สตีเฟ่น เบรย์ (Stephen Bray) ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าเอ็มมี่ (Emmy) แต่ด้วยความที่อยาก ออกอัลบั้ม มาดอนน่าและเบรย์จึงได้ลาออกจากวง และได้ทำเทปเดโมส่งไปให้มาร์ค คามินส์ (Mark Kamins) โปรดิวเซอร์ และดีเจ จนได้เซ็นสัญญากับไซร์ เรคคอร์ด (Sire Records) เป็นนักร้องเดี่ยว โดยมีซิงเกิลแรกคือ Everybody ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 ใน Billboard Dance Chart แล้วซิงเกิล Burning Up ก็ตามมาตอกย้ำความฮอท จนเธอได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อของตัวเองเป็นชื่ออัลบั้ม เพลง Holiday เป็นเพลงแรกของเธอ ที่เข้าชาร์ท Billboard Hot100 จากนั้นมาเธอก็มีเพลงดังมาเรื่อยๆอย่าง Borderline และ Lucky Star ร่วมปูทางในเส้นทางสายดนตรีให้เธอได้อย่างสวยงาม  อัลบั้มที่สอง Like A Virgin เธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสาวเซ็กซี่ตามสไตล์มาริลีน มอนโร อัลบั้มนี้มีเพลงสร้างชื่ออย่างเช่น Like A Virgin, Material Girl, Dress You Up และ Angel และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือโชว์ Like A Virgin สุดหวือหวาในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 1984 (MTV Video Music Awards 1984) เธอใส่ชุดเจ้าสาวเดินควงตุ๊กตาเจ้าบ่าวตัวเท่าคนจริงเดินลงมาจากเค้กก้อนยักษ์ แล้ว กลิ้งไปมาด้วยลีลาเย้ายวนเธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ มาดอนน่าสร้างสถิติอีกครั้งด้วยการพาเพลง Like A Virgin ขึ้นอันดับ 1 ยาวนานถึง 6 สัปดาห์ จนทำให้เธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังไปร้อง เพลง Crazy For You ประกอบภาพยนตร์วิชั่น เควส (Vision Quest) ที่ดังจนซิงเกิลการกุศล รวมนักร้องดังของยุคอย่าง We Are The World ต้องยอมลงจากที่ 1 เชียว เธอได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการ ภาพยนตร์อย่างจริงจังจากการได้รับบทนำใน Desperately Seeking Susan และช่วงนั้นเองนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ เมื่อหนังโป๊ต้นทุนต่ำของเธอเรื่อง A Certain Sacrifice ซึ่งเธอถ่ายไว้เมื่อก่อนเข้าวงการถูกออกฉาย เท่านั้นยังไม่พอหนังสือเพลย์บอยและ เพนท์เฮาส์ต่างพากันลงรูปโป๊ของเธอที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้าวงการ เธอแต่งงานครั้งแรกกับดาราหนุ่มฌอน เพนน์ (Sean Penn) มีหนังที่เล่นด้วยกันอย่างเรื่อง Shanghai Surprise แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เส้นทางในวงการเพลงของเธอเดินทางอย่างราบรื่น เธอมีเพลงอันดับ 1 อย่าง Live to Tell, Papa Don't Preach และ Open Your Heart จากอัลบั้ม True Blue ที่ขายได้ ถึง 22 ล้านก๊อปปี้ อัลบั้มนี้เธอตั้งใจจะอุทิศให้สามี ในทางตรงกันข้ามชีวิตคู่ของเธอต้องจบลง เมื่อเธอและ Penn ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน Papa Don't Preach หรือ พ่อจ๋าอย่าบ่น สร้างกระแสฮือฮามากเพราะเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ท้องก่อนเวลาอันควร แต่ก็ยังรั้นจะเก็บลูกไว้  อัลบั้มที่สี่ Like A Prayer วางแผง แน่นอน ต้องมีเพลงฮิตอันดับ 1 ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีด้วยกันถึง 4 เพลง คือ Like A Prayer, Express Yourself, Cherish และ Keep It Together มิวสิกวิดีโอเพลง Like A Prayer ก็ช็อคแฟนเพลงอีกครั้งด้วยการนำเรื่องศาสนามาเกี่ยวกับเซ็กส์จนโดนตำหนิจากวาติกันและทำให้เป๊ปซี่ยกเลิกสัญญากับเธอทันที ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงามเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan  The Immaculate Collection อัลบั้มรวมฮิตอันแรกของเธอ มีเพลงเพิ่มมาใหม่สองเพลงหนึ่งในนั้นคือ Justify My Love ที่เธอช็อคแฟนเพลงด้วยเอ็มวีที่แรงที่สุดในชีวิตของเธอโดยมีฉากสำคัญคือตอนที่มาดอนน่าจูบกับผู้หญิงต่อหน้าแฟนหนุ่ม เอ็มทีวีแบนวิดีโอนี้โดยยกเหตุผลเรื่องความลามกอนาจารในวิดีโอ ที่มีทั้งเซ็กส์แบบชาย-หญิง, ชาย-ชาย, หญิง-หญิง เธอจึงนำเอ็มวีนี้ใส่วิดีโอออกขาย ในปี 1992 มาดอนน่าออกหนังสือ Sex ที่รวบรวมภาพโป๊ทั้งของตัวเธอเองและคนดังมากมายหนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบและถูกด่าอย่างมาก แฟนๆมาดอนน่าบางคนรับไม่ได้จนถึงขั้นเผาซีดีเลยก็มี แต่ในด้านยอดขายกลับกลายเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในวันนั้นเลย ทางด้านอัลบั้ม Erotica ที่ออกพร้อมๆกับหนังสือเล่มนี้ก็ขายได้ถึง 2 ล้านก๊อปปี้ อัลบั้ม Bedtime Stories ดูเหมือนจะลดภาพความเซ็กซี่ลงจากอัลบั้มก่อน แต่ก็ยังมีเพลงฮิตอย่าง Take A Bow ส่วนเพลง Bedtime Stories และ Human Nature คงเป็นอานิสงส์จากการที่เธอลดความเซ็กซี่ เพราะสองเพลงนี้กลายเป็นสองเพลงแรกของเธอที่ไปไม่ถึงชาร์ท Top 40 ในปี 1995 เธอเปลี่ยนลุคตัวเองจากสาวเซ็กซี่มาเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Evita เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก Lourdes Maria Ciccone Leon ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังออกฉายพอดี Evita ทำให้เธอได้รางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกและเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้ง cover ของเพลง Don't Cry for Me Argentinaและ You Must Love Me ก็เป็นเพลงฮิตด้วย  3 ปีให้หลังอัลบั้ม Ray of Light เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในยุคคุณแม่มาดอนน่าที่มีแนวเพลงทันสมัยขึ้นและเปิดตัวอย่างสวยงามที่อันดับ 2 ของชาร์ท ปี 2000 มาดอนน่ากลับมาพร้อมอัลบั้ม Music และได้คลอดลูกชายคนที่สอง Rocco John Ritchie กับผู้กำกับ ชาวอังกฤษกาย ริทชี่ (Guy Ritchie) หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ได้แต่งงานกันและร่วมกันกำกับมิวสิกวิดีโอ What It Feels Like for A Girl ในปีเดียวกันเธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ James Bond ตอน Die Another Day  ในปีถัดมาเธอออกอัลบั้ม American Life ที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคม และเอ็มวีก็เสียดสีจนถูกแบนอีกครั้ง โชว์ Like A Virgin/Hollywood ในงาน MTV Video Music Awards 2003 ที่มาดอนน่าร่วมแสดงกับ บริทนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า และ มิสซี เอลเลียต ก็ช็อคแฟนๆอีกครั้ง เมื่อบริทนี่ย์และคริสติน่าแต่งตัวและแสดงแบบที่มาดอนน่าเคยทำใน เพลง Like A Virgin เมื่อปี 1984 และทั้งคู่ก็จูบปากมาดอนน่าทีละคน ทำเอาจัสติน ทิมเบอร์เลค แฟนเก่าของบริทนี่ย์ มองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากนั้นไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างมาดอนน่ากับบริทนี่ย์เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาดอนน่าร้องเพลงร่วมกับบริทนี่ย์ในเพลง Me Against The Music   Re-Invention World Tour ของเธอกลายเป็นทัวร์ที่ได้รับคำชมมากมายและกวาดรายได้มากสุดของปี เธอช็อคแฟนเพลงด้วยการเล่นโยคะเอาขาชี้ฟ้ากลางเวที และในปี 2005 เธอประสบอุบัติเหตุตกหลังม้าแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผงอัลบั้มใหม่ Confessions On A Dancefloor อัลบั้มเพลงเปิดตัวด้วยซิงเกิล Hung Up ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 11 ของเธอ  ในปี 2008 มาดอนน่ามีผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ชื่อชุด Hard Candy โดยมีซิงเกิลแรกคือ "กิพว์อิททูมี" (อังกฤษ: Give It 2 Me) , "4 Minutes" ที่ร้องร่วมกับขึ้นอันดับ 3 ในอเมริกา อันดับ 1 ในอังกฤษจัสติน ทิมเบอร์เลค และในเดือนสิงหาคม ปี 2009 กับผลงานล่าสุดในอัลบั้ม Cerebration กับซิงเกิ้ลแรก Cerebration (เซละเบรทชั่น) ที่อาจเรียกได้ว่าเพื่อฉลองครบรอบ 27 ปี ในเส้นความสำเร็จทางดนตรีของเธอ มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ไปถ่ายทำไกลถึงมิลาน ประเทศอิตาลี นอกจากนี้ยังได้ผู้กำกับรางวัลแกรมมี่ โจนาส อเคอร์ลันด์” Jonas Akerlund ที่เคยกำกับมิวสิกวิดีโอ เรย์ ออฟ ไลท์” Ray Of Light มากำกับมิวสิกวิดีโอเพลงนี้อีกครั้งหนึ่งด้วย


 
บอนนี เอ็ม. (Boney M.) กลุ่มดนตรีป็อป/ดิสโกสัญชาติเยอรมัน ก่อตั้งโดยแฟรงค์ แฟเรียน โปรดิวเซอร์ชาวเยอรมัน มีสมาชิกประกอบด้วยนักร้องและนักเต้นเชื้อสายแอฟริกันและแคริบเบียน ได้แก่ ลิซ มิทเชลล์ (จาเมกา) มาร์เซีย แบเร็ตต์ (จาเมกา) เมซี วิลเลียมส์ (มอนต์เซอร์รัต) บ็อบบี แฟร์เรล (อารูบา) เรจจี ทซีโบ (กานา) โดยมีนักร้องนำเป็นชาย คือ บ็อบบี แฟร์เรล (และเรจจี ทซีโบ ช่วงปี 1982-1986 และ 1989-1990)บอนนี เอ็ม. เริ่มก่อตั้งวงในปี 1975 และบันทึกเสียงอัลบั้มแรกในปี 1976 เริ่มประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ เพลง "Daddy Cool", "Sunny", "Ma Baker" และ "Belfast" ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในเยอรมนี เริ่มได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี 1978 โดยเพลง "Rivers of Babylon" ขึ้นถึงอันดับหนึ่งทั้งยุโรป และขึ้นถึงอันดับ 30 ในสหรัฐอเมริกา จัดอันดับโดยนิตยสารบิลบอร์ด อัลบั้มที่ขายดีที่สุดของวง คืออัลบั้มที่สาม Nightflight to Venus ออกมาในปี 1978 มีเพลงฮิต "Rasputin" และ "Mary's Boy Child / Oh My Lord"



เคซีแอนด์เดอะซันไชน์แบนด์ (KC and the Sunshine Band) เป็นวงอเมริกัน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1973 ที่ไมอามี รัฐฟลอริดา มีแนวเพลงแบบฟังก์ อาร์แอนด์บีและดิสโก้ มีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักกับเพลงดิสโก้อย่าง "That's the Way (I Like It)", "(Shake, Shake, Shake) Shake Your Booty", "I'm Your Boogie Man", "Keep It Comin' Love", "Get Down Tonight", "Give It Up", และ "Please Don't Go" ชื่อวงคำว่าเคซีมาจากนามสกุลของ เคซีย์ (Casey) ส่วน ซันไชน์แบนด์ มาจากบ้านเกิดของเคซีย์ที่อยู่ในฟลอริดา ('The Sunshine State')

ดอนนา ซัมเมอร์ (Donna Summer) (ชื่อเกิด LaDonna Adrian Gaines) เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1948 เป็นนักร้อง นักประพันธ์เพลง ศิลปิน ชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักในงานเพลงแบบแด๊นซ์ มีเพลงดังในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ได้แก่เพลง "Love to Love You Baby", "I Feel Love", "Hot Stuff", "MacArthur Park" และ "Bad Girls" เป็นเจ้าของฉายาว่า "ราชินีแห่งดิสโก้" นอกจากเพลงดิสโก้แล้ว ดอนนา ยังมีเพลงแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัย ร็อก ป็อป หรือแม้แต่กอสเปล ดอนนา ซัมเมอร์ เป็นศิลปินหญิงที่มีเพลงดังในช่วง ทศวรรษที่ 1970-1980 มีอัลบั้มที่อันดับ 1 บนนิตยสารบิลบอร์ดถึง 3 ครั้งติดต่อกัน และยังเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีเพลงอันดับ 1 ถึง 4 เพลงในช่วงระยะเวลา 12 เดือน และมียอดขายอัลบั้มทั่วโลกรวมมากกว่า 100 ล้านชุด  ชื่อดอนนา ซัมเมอร์ ที่เธอใช้ในการแสดง มาจากนามสกุล ซอมเมอร์ (Sommer) หลังจากเธอสมรสครั้งแรกกับ เฮลมุต ซอมเมอร์ นักแสดงชาวเยอรมนี ระหว่างปี ค.ศ. 1973 ถึง 1975  ซัมเมอร์เสียชีวิตในวัย 63 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่  เธอเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยของเธอเกิดจากการสูดดมสารพิษเนื่องจากเหตุการณ์ 9/11 ในนครนิวยอร์ก ที่เธอเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตพร้อมกับสามีและบุตรสาว

(หมายเหตุ  ทั้งวง Bonny M, KC & the Sunshine Band และ Donna Summer ต่างเป็นศิลปินแนวป็อปแด๊นซ์ที่กำเนิดในยุค 70’s แต่ด้วยคาแร็กเตอร์เป็นเพลงป็อปแดนซ์ แนวดิสโก้  ผู้เขียนจึงขอจับมารวมกลุ่มเข้าอยู่ในหมวดศิลปินยุคเดียวกับ 80’s เนื่องจากเป็นยุคเฟื่องฟูของเพลงแนวป็อปแดนซ์ และดิสโก้ เพื่อสะดวกในการจัด Category เดียวกัน เนื่องจากยุค 70’s เป็นธีมร็อคเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เข้าพวก)

ไบรอัน กาย อดัมส์ (Bryan Guy Adams) เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1959 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง แนวร็อก ชาวแคนาดา และยังเป็นนักถ่ายภาพ อดัมส์ได้รับรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 34 ถึง 2 รางวัล ในสาขาการแสดงเพลงบรรเลงป็อปยอดเยี่ยม และ เขียนเพลงประกอบภาพยนตร์หรือโทรทัศน์หรือสื่ออื่นยอดเยี่ยม จากการทำงานในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Robin Hood: Prince of Thieves โดยเพลง (Everything I Do) I Do It for You สามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งของชาร์ตของอังกฤษนานถึง 16 สัปดาห์ เขายังได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่มาแล้วหลายครั้งโดยการเสนอชื่อเข้าชิงครั้งแรกของเขาเมื่อครั้งที่ 28 กับอัลบั้ม Reckless และเพลง "It's Only Love" ในชีวิตการทำงานของเขามียอดขายประมาณ 65 ล้านชุด อดัมส์ยังมีชื่อติดอยู่ในวอล์กออฟเฟมของทางแคนาดาในปี 1998 และในเดือนเมษายน 2006 และยังติดในมิวสิกฮอลออฟเฟมกับรางวัลจูโน เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองครั้งครั้งที่ 5 ของเขาในปี 2007 จากการประพันธ์เพลงในภาพยนตร์เรื่อง Bobby และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 3 ครั้งสำหรับผลงานในเพลงประกอบภาพยนตร์

ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) (29 สิงหาคม ค.ศ. 195825 มิถุนายน ค.ศ. 2009) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน (Michael Joseph Jackson) ได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป (King of Pop) เขาเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ในปี 1969 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ในปี 1982 มีผลงานอัลบั้มที่ชื่อ Thriller ซึ่งถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และสี่อัลบั้มเดี่ยวที่เหลือก็ยังถือว่าเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดอัลบั้มหนึ่ง อันประกอบด้วยชุด Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory (1995) ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขาเริ่มมีความโดดเด่นในวงการเพลงป็อป และถือเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน คนแรกที่มีแฟนเพลงมากมายผ่านทางช่องเอ็มทีวี ความนิยมของเขามาจากการออกอากาศมิวสิกวิดีโอทางช่องเอ็มทีวี อย่างเช่นเพลง "Beat It", "Billie Jean" และ "Thrillerเพลงนี้ได้รับเอ่ยถึงว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของศิลปะมิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่องที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น วิดีโอเพลง "Black or White" และ "Scream" ก็ยังคงเปิดบ่อยทางช่องเอ็มทีวีในคริสต์ทศวรรษ 1990 ด้วย ลีลาบนเวทีของแจ็กสันและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งดังกับท่าเต้นซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้นมูนวอล์ก ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังเป็นอิทธิพลให้กับศิลปินแนวฮิปฮอป ป็อป และอาร์แอนด์บี ให้อีกหลายคน อิทธิพลเพลงของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่น แจ็กสันหาเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อมูลนิธิการกุศลของเขา มีซิงเกิลการกุศลมากมายที่สนับสนุนให้กับ 39 องค์กร ชีวิตส่วนตัวของเขามักปรากฏตัวโดยการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและพฤติกรรมให้คนอื่นจำไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายังถูกข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศเด็กในปี 1993 แต่ก็ปิดลงโดยเขาไม่มีความผิดเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ แจ็กสันมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 และยังมีข้อมูลรายงานขัดแย้งในเรื่องฐานะการเงินของเขาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 แจ็กสันแต่งงานมาแล้วสองครั้ง มีลูกสามคน ต่อมาในปี 2005 เขามีข้อพิพาทอีกครั้งเรื่องล่วงละเมิดทางเพศและอีกหลายคดี แต่เขาก็ไม่มีความผิด (ซึ่งในภายหลังคู่กรณีหลายรายได้ออกมายอมรับว่า แจ็กสัน ไม่ได้กระทำ และที่กล่าวหา เพราะเป็นเด็ก และถูกผู้ปกครองบังคับ โดยหวังที่จะได้รับเงินค่าเสียหาย)เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่มีชื่ออยู่ใน ร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ถึงสองครั้ง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับสถิติหลายครั้งจากกินเนสบุ๊ค รวมถึงในหัวข้อ เป็นหนึ่งใน"ศิลปินบันเทิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล" เขาได้รับรางวัลแกรมมี่ 13 ครั้ง มี 13 ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะนักร้องเดี่ยว และมียอดขายรวมกว่า 750 ล้านชุดทั่วโลก เขาถือเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อปมากว่า 4 ทศวรรษ ไมเคิล แจ็กสันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 อายุได้ 50 ปี ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 ที่เมืองแกรี รัฐอินดีแอนา (ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของชิคาโก) ในครอบครัวชั้นแรงงาน เป็นบุตรชายครอบครัวชาวแอฟริกัน-อเมริกัน บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) เป็นบุตรคนที่ 7 ในจำนวน 9 คน โดยมีพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน ลา โทยา มาร์ลอน แรนดี และเจเน็ต พ่อของพวกเขาโจเซฟเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็กที่แสดงในวงอาร์แอนด์บีที่ชื่อ "เดอะฟอลคอนส์" กับพี่ชายเขา ลูเธอร์ แจ็กสันโตมากับความเชื่อ "พยานพระยะโฮวา" จากแม่ของเขา แจ็กสันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ เขาพูดว่า เขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังยกความดีให้กับระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพ่อ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้ ในการทะเลาะวิวาทกันครั้งหนึ่ง ที่มาร์ลอน แจ็กสันพูดถึง โจเซฟห้อยไมเคิลลงด้วยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย โจเซฟมักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน หลายปีถัดมา แจ็กสันพูดว่าเขาทนทุกข์ทรมานจากฝันร้ายเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวจากห้องนอนของเขา ในปี 2003 โจเซฟยอมรับผ่านทางบีบีซีว่า เขาเฆี่ยนตีแจ็กสันจริงในวัยเด็ก  แจ็กสันพูดเปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับการถูกทารุณในวัยเด็ก ในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ในปี 1993 เขาพูดว่าในช่วงวัยเด็ก เขามักจะร้องไห้จากความโดดเดี่ยวและในบางครั้งจะเริ่มอาเจียนเมื่อเห็นพ่อเขา  การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน Living with Michael Jackson (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือเข็มขัดขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"  แจ็กสันแสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ด้วยการแสดงต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นในระหว่างการเล่นดนตรีวันคริสต์มาสเมื่ออายุได้ 5 ขวบ ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"วงที่ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน โดยแสดงเป็นนักดนตรีสมทบที่เล่นคองกาและแทมบูรีน ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดอะแจ็กสันไฟฟ์  วงออกทัวร์ในมิดเวสต์ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1968 แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "ชิตลินเซอร์คิต" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปินโมทาวน์ เพลงดัง ๆ และเพลง "I Got You (I Feel Good)" ของเจมส์ บราวน์ นำแสดงโดยไมเคิล แจ็กสัน  เดอะแจ็กสันไฟฟ์ บันทึกเพลงหลายเพลง รวมถึงเพลง "Big Boy" ภายใต้สังกัดท้องถิ่นที่ชื่อสตีลทาวน์ (ปี 1967) และได้เซ็นสัญญากับค่ายโมทาวน์ในปี 1968  นิตยสารโรลลิงสโตน อธิบายถึงแจ็กสันตอนเด็กไว้ว่า "เป็นเด็กอัจฉริยะ" กับ "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม" และยังพูดว่าแจ็กสัน "เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วที่เป็นตัวหลักในฐานะนักร้องนำ" หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรก ("I Want You Back", "ABC", "The Love You Save" และ "I'll Be There") ขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100 ในช่วงต้นของวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ โมทาวน์อ้างว่าแจ็กสันอายุ 9 ปีซึ่งจริง ๆ เขาอายุ 11 ปี เพื่อที่จะทำให้เขาดูน่ารักขึ้นและดูเข้าถึงง่ายขึ้นกับกลุ่มผู้ฟังกระแสหลัก แจ็กสันเริ่มออกงานเดี่ยวในปี 1972 โดยเขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ อัลบั้มชุด Got to Be There และ Ben ที่มีเพลงดังอย่าง "Got to Be There" "Ben" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของนิตยสารบิลบอร์ด  และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์ และเพลงเก่าของบ็อบบี เดย์นำมาทำใหม่ที่ชื่อ "Rockin' Robin" ยอดขายอัลบั้มของวงเริ่มลดลงในปี 1973 และสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์ แม้ว่าวงจะมีเพลงในท็อป 40 อยู่หลายเพลง รวมถึงเพลงดิสโก้ที่ติดท็อป 5 อย่าง "Dancing Machine" และเพลงดังติดท็อป 20 "I Am Love" เดอะแจ็กสันไฟฟ์ก็ออกจากโมทาวน์ในปี 1975  เดอะแจ็กสันไฟฟ์เซ็นสัญญาใหม่กับ ซีบีเอสเรคเคิดส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์ หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้มในระหว่างปี 1976 และ 1984 จากปี 1976 และ 1984 ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It"  ในปี 1978 แจ็กสันแสดงในบทบาทสแกร์โครว์ ในภาพยนตร์เพลง The Wiz   เพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์เรียบเรียงโดยควินซี โจนส์ ที่เริ่มสนิทสนมกับแจ็กสันในช่วงการทำงานภาพยนตร์ และตกลงกันว่าจะร่วมทำผลงานในอัลบั้มเดี่ยวของแจ็กสันชุดต่อไป ในชุด Off the Wall[ ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี เขาบ่นเรื่องความลำบากในการหายใจที่อาจเป็นผลร้ายต่ออาชีพเขาได้ เขาเอ่ยถึง ดร. สตีเวน โฮฟฟลิน ที่เป็นศัลยแพทย์จมูกเขาในครั้งที่ 2 และในการผ่าตัดอีกหลายครั้งถัดมา โจนส์และแจ็กสันร่วมกันผลิตผลงานชุด Off the Wall มีนักเขียนเพลงในอัลบั้มนี้นอกเหนือจากแจ็กสันแล้วคือ ร็อด เทมเพอร์ตันจากวงฮีตเวฟ สตีวี วันเดอร์ และพอล แม็กคาร์ตนีย์ อัลบั้มออกขายในปี 1979 และยังถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในนั้นมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Don't Stop 'Til You Get Enough" และ "Rock with You" Off the Wall ติดชาร์ตบิลบอร์ด 200 สูงสุดที่อันดับ 3 และมียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลกในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้มโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขาศิลปินโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขา ซิงเกิลโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough"  ในปีนั้นเองเขาได้รับรางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาท็อปแบล็กอาร์ทิสและท็อปแบล็กอัลบั้ม และยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (กับเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough")  เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า Off the Wall ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา ในปี 1980 แจ็กสันมีรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยผลกำไรอัลบั้ม 37%  แจ็กสันมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ในปี 1982 ซึ่งประกอบภาพยนตร์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก ต่อมาอีพิกออกผลงานอัลบั้มชุดที่สองของเขาที่ชื่อ Thriller ที่ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเขา อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ โดยมี 7 ซิงเกิลจาก Thriller ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 อย่าง "Billie Jean", "Beat It" และ "Wanna Be Startin' Somethin"  "Thriller มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด ถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล  จนผู้เขียนชีวประวัติของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี Thriller หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวกนิตยสาร ของเล่น ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน"  ในช่วงที่ Thriller สร้างรายได้ให้กับแจ็กสันอย่างมาก ทนาย จอห์น บรังกาได้เข้ามาเจรจาตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม ขณะที่แจ็กสันเองก็ทำเงินจากการทำสารคดี The Making of Michael Jackson's Thriller ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง กับตุ๊กตาไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาดนอกจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว Thriller ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของอัลบั้ม ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะชั้นสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "เป็นยุคความหายนะของพังก์และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง" ข้อสามคือ นำเอ็มทีวีก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ Thriller ข้อสี่ Thriller ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น พรินซ์ จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรี ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก   25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดในรายการโทรทัศน์เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "มูนวอล์ก" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศและยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของเอลวิส เพรสลีย์และเดอะบีทเทิลส์ ในรายการ ดิเอดซัลลิแวนโชว์  เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ" แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 หลังจากถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเป๊ปซี่ ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ในลอสแอนเจลิส หนังศีรษะไหม้หลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก เป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แจ็กสันทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน   วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันได้รับเชิญให้รับรางวัลที่ทำเนียบขาว โดยมีประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนเป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและยาเสพติด เขาได้รับ 8 รางวัลแกรมมี่ในปี 1984 แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน Thriller ที่เขาไม่ได้ออกทัวร์การประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยวให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ให้การกุศลด้วย  แจ็กสันร่วมเขียนเพลงการกุศล ในซิงเกิล "We Are the World" ร่วมกับไลโอเนล ริชชี ที่ออกวางขายทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกาและในสหรัฐอเมริกา เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คนร่วมบันทึกเสียงในเพลงนี้ ซิงเกิลนี้ถือเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายเกือบ 20 ล้านชุดและเงินส่วนหนึ่งหลายล้านดอลลาร์ได้มอบให้การบรรเทาความยากไร้  ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ ในซิงเกิลฮิตสองเพลงคือ "The Girl Is Mine" และ "Say Say Say" ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน ในการสนทนาครั้งหนึ่ง แม็กคาร์ตนีย์บอกแจ็กสันเกี่ยวกับเงินหลายล้านดอลลาร์ที่เขาได้จากเพลง เขามีรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ้กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อ ขายและลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงเพลงที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย  แจ็กสันสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา เพราะมันราคาสูงเกิน" หลังจากแจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อรอง แม็กคาร์ตนีย์ก็เริ่มเปลี่ยนใจและพยายามโน้มน้าว โยโกะ โอโนะ ให้ร่วมกับเขาเพื่อเสนอขายเพลง แต่เธอก็ปฏิเสธ เขาจึงถอนตัว จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ เมื่อแม็กคาร์ตนีย์รับรู้ผลการประมูล เขากล่าวว่า "ผมคิดว่ามันน่าสงสัยที่จะทำอย่างนี้ ที่เป็นเพื่อนกับคนคนหนึ่ง แล้วขอซื้อพรมที่เขายืนอยู่" สีผิวของแจ็กสันตั้งแต่ในช่วงเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สื่อประโคม รวมถึงมีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิว ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวและโรคลูปัส การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่าง  ส่วนโครงหน้าของเขาก็เช่นกันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดจากการทำศัลยกรรมหลายครั้ง แจ็กสันทำศัลยกรรมจมูก ยกหน้าผาก ทำปากให้บางลงและโหนกแก้ม ในการเปลี่ยนหน้าตาก็เป็นในช่วงเวลาที่เขามีน้ำหนักที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แจ็กสันมีน้ำหนักที่ลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพราะเปลี่ยนการควบคุมน้ำหนักและความต้องการให้มีร่างกายแบบนักเต้น  มีผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าแจ็กสันมักจะหน้ามืด และเห็นว่าเขามักจะทนทุกข์จากแอเนอะเร็กเซีย เนอร์โวซา (anorexia nervosa) หรือการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและเป็นปัญหาต่ออาชีพการเป็นนักร้องของเขาในเวลาต่อมา  ในปี 1986 ข่าวในแท็บลอยด์ เขียนเรื่องราวว่าแจ็กสันนอนในตู้อ๊อกซิเจน (hyperbaric oxygen chamber)  เพื่อชะลอสังขาร มีภาพถ่ายเขานอนอยู่ในกล่องตู้กระจก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่จริง แจ็กสันศัลยกรรมจมูกครั้งที่ 4 และต้องการให้เขาดูแมนขึ้นจึงทำรอยแยกบริเวณคาง  ต่อมาเมื่อแจ็กสันซื้อลิงชิมแพนซี ที่มีชื่อว่า บับเบิลส์ มาก็มีการรายงานว่าทำให้เขาตีห่างจากสังคมยิ่งขึ้น ในปี 2003 แจ็กสันกล่าวว่าบับเบิลส์ถูกฝึกให้ใช้ห้องน้ำเป็นและทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง ต่อมายังมีข่าวว่าแจ็กสันเสนอเงินซื้อกระดูกโจเซฟ เมอร์ริค หรือมนุษย์ช้าง เป็นเงิน 1 ล้านเหรียญ  จากนั้นเขาแสดงนำในภาพยนตร์สามมิติเรื่อง Captain EO กำกับโดยแฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา ถือเป็นภาพยนตร์ที่แพงที่สุดที่ผลิตขึ้นต่อ 1 นาที ณ เวลานั้น และเขาเป็นพิธีกรให้กับดิสนีย์ธีมพาร์ก และดิสนีย์ยังได้นำภาพยนตร์บรรจุอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ขณะที่วอลต์ดิสนีย์ ฉายภาพยนตร์ในบริเวณเอปคอต ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 1994 และจากความคาดหวังในเพลงฮิต แจ็กสันออกผลงานครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในชุด Bad ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถูกคาดหวังอย่างมาก Bad ทำยอดขายได้ต่ำกว่า Thriller แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จ ในสหรัฐอเมริกามีซิงเกิล 7 ซิงเกิล ซึ่ง 5 ซิงเกิลขึ้นอันดับ 1 ("I Just Can't Stop Loving You" "Bad" "The Way You Make Me Feel", "Man in the Mirror" และ "Dirty Diana") ซึ่งยังไม่เคยมีอัลบั้มใดทำได้ จากข้อมูลปี 2008 อัลบั้มขายได้กว่า 30 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งขายได้ในอเมริกา 8 ล้านชุด ในปี 1987 เขาผันตัวเข้าลัทธิพยานพระยะโฮวา ซึ่งก็มีคนต่อต้านเขา   ทัวร์คอนเสิร์ตแบดเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1987 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1989 ในญี่ปุ่นเพียงที่เดียว บัตรขายหมดทุกรอบ ทั้ง 14 รอบ กับจำนวนคนถึง 570,000 คน ถือเป็นเกือบ 3 เท่าของสถิติเดิม 200,000 คนในทัวร์เดียวที่มีศิลปินมีทัวร์คอนเสิร์ตในญี่ปุ่น แจ็กสันยังสร้างสถิติในกินเนสบุ๊ก เมื่อคน 504,000 คนเข้าดูโชว์ที่ขายหมดในสนามกีฬาเวมบลีย์ 7 รอบ เขาแสดงคอนเสิร์ตรวมทั้งหมด 123 คอนเสิร์ตกับผู้ชมร่วม 4.4 ล้านคน และยังทำลายสถิติเดิมในกินเนสบุ๊กเมื่อทัวร์ทำรายได้ 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างทัวร์เขายังได้เชิญเด็กด้อยโอกาสมาเข้าชมฟรีและยังบริจาคเงินให้โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า และองค์กรการกุศลอื่น ๆ  ในปี 1988 แจ็กสันออกอัตชีวประวัติที่ชื่อ Moon Walk ที่ใช้เวลาทำกว่า 4 ปีและขายได้กว่า 200,000 ชุด แจ็กสันเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมในวงแจ็กสันไฟฟ์ รวมถึงความเจ็บปวดต่อการถูกทารุณในวัยเด็ก เขายังพูดถึงเรื่องศัลยกรรมพลาสติก พูดว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและผ่าที่คาง ในหนังสือเขาให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนโครงหน้าของเขา น้ำหนักตัวที่ลดลง การควบคุมอาหารด้วยการเป็นมังสวิรัติ การเปลี่ยนทรงผมและแสงสีบนเวที Moon Walk ติดอันดับ 1 บนยอดหนังสือขายดีของ นิวยอร์กไทมส์ ต่อมาเขาออกภาพยนตร์ที่ชื่อ Moonwalker ที่รวบรวมการแสดงสด มิวสิกวิดีโอ และตอนแสดงของแจ็กสันและโจ เพสซี Moonwalker อันดับ 1 ในสัปดาห์แรกบนชาร์ตบิลบอร์ดท็อปวิดีโอคาสเซตต์ ติดอันดับนาน 22 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาถูกโค่นอันดับ 1 โดยผลงานชุด Michael Jackson: The Legend Continues ของเขาเอง  ในเดือนมีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีชิงช้าสวรรค์ สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น ในปี 2003 มีการประเมินค่าเนเวอร์แลนด์ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียว และแจ็กสันยังถือเป็นศิลปินตะวันตกคนแรกที่ปรากฏตัวทางโฆษณาทางโทรทัศน์ของสหภาพโซเวียต  จากความสำเร็จของเขาทำให้ได้รับฉายา "King of Pop" หรือ ราชาเพลงป็อป จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขาคือเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เธอยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้กับเขาในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง" ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้เขาเป็นพิเศษที่ทำเนียบขาว เพื่อเป็นการสดุดีให้กับอิทธิพลทางด้านดนตรีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 จากปี 1985 ถึง 1990 แจ็กสันบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ United Negro College Fund และผลกำไรจากซิงเกิล "Man in the Mirror" ทั้งหมดก็เข้าการกุศลเดือนมีนาคม 1991 แจ็กสันเซ็นสัญญาใหม่กับโซนีเป็นจำนวนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการทำลายสถิติมากที่สุดในเวลานั้น แซงหน้าการเซ็นสัญญาใหม่ของนีล ไดอะมอนด์กับโคลัมเบียเรเคิดส์ แจ็กสันออกผลงานชุดที่ 8 ชุด เดนเจอรัส ด้วยยอดขายในสหรัฐอเมริกา 7 ล้านชุดและ 32 ล้านชุดทั่วโลก ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนวนิวแจ็กสวิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "Black or White" ถือเป็นเพลงฮิตที่สุดในอัลบั้ม ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 นาน 7 สัปดาห์ และเช่นเดียวกับทั่วโลกที่ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน ซิงเกิลที่ 2 คือ "Remember the Time" อยู่ในท็อปไฟฟ์นาน 8 สัปดาห์ โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ในปี 1993 แจ็กสันแสดงเพลงนี้ในงานรางวัลโซลเทรนโดยนั่งเก้าอี้ เขาพูดว่าเขาบาดเจ็บระหว่างการซ้อม ในสหราชอาณาจักรและบางส่วนในยุโรป เพลง "Heal the World" ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอัลบั้ม ขายได้ 450,000 ชุดในสหราชอาณาจักร ติดอันดับ 2 นาน 5 สัปดาห์ ในปี 1992  แจ็กสันก่อตั้งมูลนิธิ "ฮีลเดอะเวิลด์ฟาวเดชัน" ในปี 1992 เป็นองค์กรการกุศลที่นำเด็กผู้ด้อยโอกาสมายังสวนสนุกในเนเวอร์แลนด์ มูลนิธิยังได้ส่งเงินนับล้านเหรียญดอลลาร์ไปยังทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ประสบภัยสงครามและโรคร้าย ทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เริ่มต้น 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 สิ้นสุด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 แจ็กสันแสดงกว่า 67 คอนเสิร์ตให้กับคนร่วม 3.5 ล้านคน โดยการหาเงินทั้งหมดจากคอนเสิร์ตเข้าสู่มูลนิธิ "Heal the World Foundation" โดยหาเงินได้นับล้านดอลลาร์ เขายังขายลิขสิทธิ์การออกอากาศของทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ให้กับช่องเอชบีโอ จำนวนเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติแพงที่สุด หลังจากที่ไรอัน ไวต์เสียชีวิตลงไป แจ็กสันได้เข้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาในเวลานั้น เขาได้เข้าขอร้องกับคณะบริหารคลินตัน ที่งานกาล่าสาบานตนรับตำแหน่งของบิล คลินตัน ให้มอบเงินมากกว่านี้ให้กับองค์กรเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และการวิจัย  ในการเยือนแอฟริกา แจ็กสันเข้าไปยังหลายประเทศในแอฟริกา หนึ่งในนั้นคือกาบองและอียิปต์ เขาเยี่ยมกาบองเป็นที่แรกและทักทายที่มีคนร่วมแสนเข้ามาต้อนรับ บางคนถือป้ายเขียนไว้ว่า "ยินดีต้อนรับไมเคิล" และในการเยือนไอวอรีโคสต์ ได้รับการสวมเป็น "King Sani" โดยหัวหน้าเผ่า   จากนั้นเขาขอบคุณในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ และนั่งลงที่บัลลังก์ทองคำ  หนึ่งในการแสดงอันกล่าวขวัญคือการแสดงช่วงครึ่งเวลาในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 27 โดยเริ่มการแสดงด้วยการที่แจ็กสันดีดตัวขึ้นบนเวทีพร้อมพลุไฟด้านหลัง ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เขายังคงนิ่งสนิท แข็งนิ่ง ยืนเป็นอนุสาวรีย์ แต่งตัวในชุดทหารสีดำและทองคำกับแว่นตากันแดด เขายังคงนิ่งสนิทอยู่หลายนาทีคณะที่เสียงเชียร์ยังคงดังลั่น จากนั้นเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอดแว่นตากันแดดออกและโยนทิ้งไปจากนั้นก็เริ่มร้องและเต้น กับ 4 เพลงคือ "Jam", "Billie Jean", "Black or White" และ "Heal the World" ถือเป็นซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกที่มีคนในช่วงครึ่งเวลามากขึ้น โดยมีผู้ชม 135 ล้านคนเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ส่วนอัลบั้ม เดนเจอรัส ของเขากระโดดขึ้นมา 90 อันดับบนชาร์ต  แจ็กสันได้รับรางวัล "ตำนานที่ยังคงอยู่" ในงานแจกรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 35 ในลอสแอนเจลิส เพลง "Black or White" ถูกเสนอชื่อรางวัลแกรมมี่ในสาขาร้องยอดเยี่ยม ส่วนเพลง "Jam" ถูกเสนอเข้าชิง 2 รางวัลในสาขาแสดงเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมและเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม แจ็กสันให้สัมภาษณ์ในรายการยาว 90 นาทีของโอปราห์ วินฟรีย์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 ถือเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ครั้งที่ 2 ของเขาตั้งแต่ปี 1979 เขาทำหน้าบูดบึ้งขณะพูดถึงชีวิตที่ถูกทารุณด้วยน้ำมือพ่อของเขาในวัยเด็ก เขาเชื่อว่าเขาพลาดความสนุกสนานในชีวิตวัยเด็ก และยอมรับว่าเขามักจะร้องไห้เมื่อโดดเดี่ยว เขาปฏิเสธข่าวลือจากแท็ปลอยด์ที่ว่าเขาซื้อกระดูกมนุษย์ช้างหรือนอนในตู้ออกซิเจน เขาปฏิเสธข่าวที่เขาฟอกสีผิว และยังพูดครั้งแรกว่าเขาเป็นโรคด่างขาว การสัมภาษณ์ครั้งนี้มีผู้ชมอเมริกันถึง 90 ล้านคน ถือเป็นรายการที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ที่ไม่ใช่รายการประเภทกีฬา ในประวัติศาสตร์อเมริกา และถือเป็นการให้ความรู้เรื่องโรคด่างขาวที่ไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไหร่ อัลบั้ม เดนเจอรัส กลับมาเข้าชาร์ทท็อป 10 อีกครั้ง หลังจากที่ออกขายมากกว่า 1 ปี  แจ็กสันถูกฟ้องร้องจากเรื่องละเมิดทางเพศจากเด็กชายอายุ 13 ปีที่ชื่อ จอร์แดน แชนด์เลอร์และพ่อของเขา อีแวน แชนด์เลอร์ อาชีพทันตแพทย์ ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างแจ็กสันและอีแวน แชนด์เลอร์เป็นอันจบลง หลังจากนั้นอีแวน แชนด์เลอร์ บันทึกเทปและพูดออกมาว่า "ถ้าฉันจะทำ ฉันชนะครั้งใหญ่ ไม่มีทางที่จะแพ้ ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการและพวกเขาจะถูกทำลายไปตลอดกาล...อาชีพการงานของแจ็กสันก็เป็นอันจบ" โดยกล่าวว่า 1 ปีหลังจากพวกเขาพบกัน ภายใต้สารเสพติดอะโมบาร์บิตาล มาเกี่ยวข้องกับยากดประสาท จอร์แดน แชนด์เลอร์บอกกับพ่อเขาว่าแจ็กสันสัมผัสองคชาตของเขา[88] ทีมกฎหมายของทั้งสองต่างเจรจาตกลงกันเรื่องค่าเสียหาย โดยเสนอการเจรจาโดยแชนด์เลอร์ แต่แจ็กสันก็โต้แย้งการเสนอมา จอร์แดน แชนด์เลอร์บอกกับจิตแพทย์และกับตำรวจว่าเขาและแจ็กสัน จูบ สำเร็จความใคร่และทำออรัลเซ็กซ์  หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบความจริงอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแจ็กสัน ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกตรวจสอบและมีเด็กหลายคนรวมถึงครอบครัวต่างปฏิเสธว่าแจ็กสันไม่ใช่เป็นพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก  ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่สนับสนุนที่พี่สาวของเขา ลา โทยา กล่าวหาเขาว่าชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็ตาม แต่เธอก็ถอนคำพูดภายหลัง   แจ็กสันยอมถอดเสื้อผ้าให้ตำรวจและแพทย์ตรวจร่างกายของเขา ตรวจสอบลักษณะรายละเอียดของอวัยวะเพศของเขาตามที่จอร์แดนให้การ แพทย์สรุปว่ามีความใกล้เคียงตามคำบอก แต่ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว  เพื่อนของเขาพูดว่าเขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แจ็กสันพูดเกี่ยวกับครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์  เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท อย่าง Valium, Ativan และ Xanax เขาเริ่มใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ที่เขาประสบอุบัติเหตุบนเวทีระหว่างเดนเจอรัสทัวร์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 เขาก็เข้าสู่อาการติดยา  สุขภาพของเขาทรุดตัวลง อย่างส่วนทัวร์เพิ่มเติมของเดนเจอรัสทัวร์ เขาก็ยกเลิกไปเพื่อเข้าการบำบัดในลอนดอนอยู่หลายเดือน โดยมีเอลิซาเบธ เทย์เลอร์และเอลตัน จอห์นมาช่วยอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวของเขา   ความเครียดต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้เขาหยุดกินและน้ำหนักของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด   จากสุขภาพอันย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา พวกเขาเรียกร้องให้ออกมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กนอกศาล เชื่อว่าเขาคงอยู่ไม่รอดแน่หากมีการพิจารณาที่ยืดยาวออกไป   1 มกราคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน  ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย  หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25)  แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว  แจ็กสันได้รับรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส  หลังจากการเสียชีวิตของเจมส์ บราวน์ แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่วมงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006 หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จากเวียคอมในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของเอ็มมิเน็ม ชาคีร่า และเบ็ก รวมถึงอื่น ๆ   การฉลองครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller โดยการออกอัลบั้มพิเศษ Thriller 25 ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด Thriller 25 ยังมีดีวีดี มีซิงเกิลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย Thriller 25 ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก แต่ก็ไม่เข้าชาร์ตบิลบอร์ด 200 เนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของชาร์ตแต่ติดอันดับ 1 ในชาร์ตป็อปแคตตาล็อก นาน 11 สัปดาห์และมียอดขายดีที่สุดในชาร์ตนี้นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1996  ใน 12 อาทิตย์ Thriller 25 ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุดทั่วโลก Thriller 25 ยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในแคตตาล็อกอัลบั้มปี 2008 หลังจากการเสียชีวิตของแจ็กสัน อัลบั้มมียอดขายอีก 774,000 ชุดในสหรัฐอเมริกา  เพื่อฉลองอายุครบ 50 ปีของไมเคิล แจ็กสัน โซนีบีเอ็มจี ออกอัลบั้มรวมเพลงในชุดที่ชื่อ King of Pop เป็นชุดอัลบั้มที่มีเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นกลุ่มจนถึงเป็นศิลปินเดี่ยว เพลงเลือกจากการลงคะแนนเสียงโดยแฟนเพลง โดยแต่ละประเทศจะมีรายชื่อเพลงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการลงคะแนนของแฟนเพลงประเทศนั้น  King of Pop ติดท็อป 10 โดยมากในประเทศส่วนใหญ่ที่ออกขาย และขายได้ทั้งในรูปแบบอัลบั้มนำเข้าในหลายประเทศ  ฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ยึดทรัพย์จากการค้ำประกันของไร่เนเวอร์แลนด์ ที่แจ็กสันได้กู้เงินไปใช้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามฟอร์ตเทรสเลือกที่จะขายหนี้ของแจ็กสันให้กับ Colony Capital LLC. ในเดือนพฤศจิกายน โดยได้เปลี่ยนชื่อไร่เนเวอร์แลนด์เป็น Sycamore Valley Ranch Company LLC ที่เป็นการร่วมกันระหว่างแจ็กสันและ Colony Capital LLC. การตกลงครั้งนี้ถือเป็นการลบล้างหนี้ของเขาและมีรายงานว่ามีเงินเพิ่มอีกกว่า 35 ล้านเหรียญจากการร่วมทุนกันครั้งนี้ ในเวลาที่เขาเสียชีวิต แจ็กสันก็ยังคงเป็นเจ้าของเนเวอร์แลนด์/ไซคามอร์วัลเลย์อยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่ามีขอบเขตเท่าใด]ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 แจ็กสันได้ประกาศจะจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิทโอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 โดยจะมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านคน จัดขึ้นที่โอทูอารีนา ในช่วงงานแถลงข่าวทัวร์คอนเสิร์ต เขาได้ถูกตั้งข้อสงสัยในความเป็นไปได้ว่าจะลามือ แรนดี ฟิลิปส์ ประธานและซีอีโอ ของเออีจีไลฟ์ กล่าวว่า แค่ใน 10 วันแรกอย่างเดียว แจ็กสันก็จะได้เงินโดยประมาณ 50 ล้านปอนด์   ซิงเกิล "This Is It" ออกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2009 จากผลงานอัลบั้มในชื่อเดียวกัน This Is It ที่ออกขายทั่วโลกวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2009 และในอเมริกาเหนือในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ก่อนภาพยนตร์สารคดี Michael Jackson's This Is It ออกฉาย 1 วันที่ภาพยนตร์ทำสถิติเป็นภาพยนตร์สารคดีหรือคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุด (มากกว่า 252 ล้านเหรียญทั่วโลก) โดยเพลงใหม่นี้มี 2 เวอร์ชัน ทีอัลบั้มนี้ยังมีเพลงฮิตเก่า ๆ ของเขาซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เช่นกัน  และผลจากการเสียชีวิตของแจ็กสัน ทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่มียอดขายอัลบั้มได้มากที่สุดในปี 2009 ในสหรัฐอเมริกาด้วยยอดขาย 8.2 ล้านชุด  25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แจ็กสันล้มลงที่คฤหาสน์ที่เขาเช่าอยู่ที่ 100 นอร์ธคาโรลวูดไดรฟ์ เขตโฮล์มบีฮิลส์ ในลอสแอนเจลิส จากความพยายามนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยแพทย์ส่วนตัวของเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  ตำรวจดับเพลิงได้รับแจ้งจาก 911 เมื่อเวลา 12:22 น. หลังจากนั้น 3 นาทีจึงถึงที่อยู่ของแจ็กสัน ได้รับการรายงานว่าเขาหยุดหายใจและได้พยายามช่วยเหลือเขาด้วยการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีการปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่องที่ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส จากนั้น 1 ชั่วโมงหลังถูกส่งตัวมา จึงมีการประกาศว่าแจ็กสันเสียชีวิตเมื่อเวลา 14 นาฬิกา 26 นาที ตามเวลาท้องถิ่น  หรือเวลา 4 นาฬิกา 26 นาที ของวันที่ 26 มิถุนายน ตามเวลาประเทศไทย  พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นเมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ในลอสแอนเจลิส โดยก่อนหน้านี้มีพิธีส่วนตัวของครอบครัวที่ฮอลออฟลิเบอร์ตีในฟอเรสต์ลอว์นเมโมเรียลพาร์ก ส่วนที่ฝังศพยังไม่ระบุจากทางครอบครัว สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างถ่ายทอดงานพิธีอาลัยจากสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ โดยมีผู้ชมมากกว่า 1 พันล้านคน มีศิลปินมาร่วมงานอย่าง สตีวี วันเดอร์ ไลโอเนล ริชชี มารายห์ แครี เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อัชเชอร์ เจอร์เมน แจ็กสัน และชาฮีน จาฟาร์โกลี ที่ร้องเพลงในงาน ส่วนเบอร์รี กอร์ดีและสโมกี โรบินสัน กล่าวคำสรรเสริญ ขณะที่ควีน ลาติฟาห์ อ่านกลอนที่ประพันธ์โดยมายา อันเกล บาทหลวงอัล ชาร์ปตัน ทำให้ผู้คนยืนลุกปรบมือเมื่อเขาพูดกับลูก ๆ ของแจ็กสันว่า "ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับพ่อ แต่มันแปลกที่พ่อของหนู ๆ เกี่ยวพัน" บุตรสาวของแจ็กสัน อายุ 11 ปี แพรีส แคเทอรีน ร่ำไห้และบอกกับผู้คนทั้งโลกว่า "ตั้งแต่ที่หนูเกิดมา พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้... หนูแค่อยากจะบอกว่า หนูรักเขามากเหลือเกิน"]เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม มีสำนักข่าวหลายแหล่งข่าวให้ข้อมูลไม่ระบุที่มาว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพลอสแอนเจลิสตัดสินใจระบุว่าการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็นการถูกฆาตกรรม ในเวลาที่เสียชีวิต แจ็กสันถูกให้โปรโพฟอล ยานอนหลับที่ชื่อว่า โลราซีแปม (lorazepam) และยามิดาโซแลม (Midazolam)พนักงานสอบสวนกำลังจะสรุปสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ นายแพทย์คอนราด เมอร์เรย์ แพทย์ประจำตัวของไมเคิล แจ็กสัน ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต่อไป



วิลเลียม มาร์ติน "บิลลี" โจเอล (William Martin "Billy" Joel) เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรี ในแนวร็อกชาวอเมริกัน เขามีเพลงดังเพลงแรกคือ "Piano Man" ในปี 1973 และจากการสำรวจของ RIAA บิลลี โจเอลถือเป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐอเมริกา โจเอลมีเพลงติดท็อปเท็นในยุคทศวรรษ 1970, 1980 และ 1990 ได้รับ 6 รางวัลแกรมมี่ มียอดขายมากกว่า 150 ล้านชุดทั่วโลก เขายังมีชื่ออยู่ใน Songwriter's Hall of Fame (ปี 1992) , ร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม (ปี 1999) และ Long Island Music Hall of Fame (ปี 2006) โจเอลเลิกจากการทำงานเพลงป็อป ในปี 1993 แต่ยังคงออกทัวร์ (ในบางครั้งร่วมกับเอลตัน จอห์น) ในปี 2001 เขาออกผลงานชุด Fantasies & Delusions ในแนวเปียโนคลาสสิก ในปี 2007 เขาออกมาบันทึกเสียงเพลงใหม่กับซิงเกิล "All My Life" หลังจากนั้นก็ออกทัวร์ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2006-2008 ในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก

ทีนา เทอร์เนอร์ (Tina Turner) หรือชื่อจริง แอนนา เม บุลล็อก เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักเต้น นักแสดง ชาวอเมริกัน เธอได้รับรางวัลแกรมมี่มาแล้ว 8 ครั้ง เธอได้รับฉายาว่า "ราชินีแห่งร็อกแอนด์โรล (The Queen of Rock & Roll)" นอกจากเพลงร็อกแล้วเธอยังเล่นเพลงในแนวอาร์แอนด์บี ดนตรีโซล แด๊นซ์ และป็อป อีกด้วย เธอยังอยู่ในรายชื่อ The Immortals — The Greatest Artists of All Time ของนิตยสารโรลลิงสโตน และยังอยู่ใน Grammy Hall of Fame กับสองซิงเกิ้ลคือ "River Deep - Mountain High" (1999) และ "Proud Mary" (2003) เทอร์เนอร์เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น ศิลปินร็อกหญิงที่โด่งดังและมียอดขายมากที่สุด ด้วยยอดขายมากว่า 180 ล้านชุด และมียอดขายตั๋วคอนเสิร์ตมากกว่าศิลปินเดี่ยวคนใด. และถึงวันนี้เธอมีเพลงติดในสิบอันดับแรกของบิลบอร์ดอยู่ 7 เพลง มีเพลงติดในสิบอันดับแรกของ R&B singles อยู่ 16 เพลง และ มีเพลงติดใน Top 40 hits ในสหราชอาณาจักร 33 เพลง  ทีนามีผลงานแสดงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 4 เรื่อง คือ เป็นนักแสดงรับเชิญใน Tommy ปี 1975 สร้างจากละครเพลงของเดอะ ฮู, Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ปี 1979 ภาพยนตร์โดยบีจีส์ ที่อุทิศให้กับวงเดอะบีทเทิลส์, รับบทนำคู่กับเมล กิบสัน ใน Mad Max Beyond Thunderdome (แมดแม็กซ์ 3) ปี 1985 และบทรับเชิญใน Last Action Hero ปี 1993 นำแดงโดยอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ในปี 1986 ทีนาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติ ชื่อ I, Tina เล่าถึงชีวิตการแต่งงานระหว่างเธอกับไอค์ ต่อมาได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง What's Love Got to Do with It ออกฉายในปี 1993 นำแสดงโดยแองเจลา แบสเซท และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น  ในปี ค.ศ. 1995  ทีนาได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Goldeneye หรือ พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก เรื่องราวของเธอได้ถ่ายทอดออกมาในบทความ ฝ่ามรสุมรักด้วยหลักธรรม ซึ่งในปัจจุบันนี้เธอนับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน เป็นสมาชิกของสมาคมโซคา งัคไก สากล ซึ่งในบางตอนของบทความได้บอกว่า จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันมองว่า พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เราพึ่งพิงได้ การสวดมนต์จะช่วยให้เราเข้าถึงแก่นแท้ ซึ่งอยู่ในจิตใต้ สำนึกของตัวเรา

ฟิล คอลลินส์ (Phil Collins มีชื่อเต็มว่า Philip David Charles Collins) เกิดเมื่อปี 30 มกราคม ค.ศ. 1951 ในเมืองชิสวิค ,ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ฟิล คอลลินส์ เริ่มเข้าสู่วงการเพลงครั้งแรก เมื่อเข้าไปออดิชั่นสมัครเป็นมือกลองให้กับวงเจเนซิส (Genesis) โดย ฟิล คอลลินส์มีส่วนร่วมในวงอย่างเต็มที่ ทั้งการแต่งเพลงและการตีกลองที่ยอดเยี่ยม ทำให้เจเนซิส ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ดังขึ้นไปอีก ทั้งในอเมริกา และอังกฤษ  แต่แล้วในปีค.ศ. 1974 ปีเตอร์ แกเบรียล (Peter Gabriel) นักร้องนำได้ลาออกจากวง ทางวงจึงหานักร้องใหม่ ได้ทำการออดิชั่น 400คน ไม่เข้าตาสมาชิกในวงเลยแม้แต่น้อย ฟิล คอลลินส์จึงขอลองทดสอบดู ปรากฏว่าสมาชิกในวงถึงกับตะลึง ฟิล คอลลินส์จึงได้เป็นนักร้องนำแทนปีเตอร์ แกเบรียล และเป็นมือกลองควบคู่ไปด้วย ซึ่งก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีอยู่เช่นเดิม แม้ว่าจะต้องตีกลองไปด้วยร้องไปด้วยก็ตาม  อัลบั้ม A Trick Of The Tail ที่เป็นอัลบั้มแรกของวงที่ฟิล คอลลินส์ รับหน้าที่ร้องนำ ต่อมาอัลบั้ม Duke ก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน ในช่วงนี้ฟิล คอลลินส์อัลบั้มเดี่ยวของตนเองในปี 1981 เมื่ออายุย่างเข้า30ปี เป็นอัลบั้มแรกคือ Face Value อัลบั้มชุดนี้มีเพลงฮิตอย่าง In The Air Tonight และอีกมาก ในยุค80 นั้น ฟิล คอลลินส์มีเพลงฮิตหลายเพลงเช่น Sussudio, One More Night, Do You Remember, Groovy Kind Of Love, In The Air Tonight, Another Day In Paradise และเพลงอื่นๆที่ไปร่วมงานกับคนอื่นๆอย่าง Philip Bailey นักร้องนำวง Earth Wind & Fire ในเพลง "Easy Lover" แล้วก็ได้ไปตีกลองในงาน Band Aid ในเพลง Do You Know There A Christmas? ที่มีเซอร์ บ๊อบ เกลด๊อฟ และศิลปินยุค 80 ในยุคนั้นอย่าง ดูแรน ดูแรน,Spandau Ballet,ยูทู,คัลเจอร์ คลับ เป็นคนร้อง ซึ่งฟิลเองก็มีส่วนร่วมมาก แต่ในยุค 80 นั้นฟิล คอลลินส์ ก็ยังคงทำงานให้กับ เจเนซิสอยู่เสมอๆ ควบคู่ไปกับงานเดี่ยว ร่วมงานกับ เจเนซิสเป็นอัลบั้มสุดท้ายในปี 1992 อัลบั้ม We Can't Dance ฟิล คอลลินส์ออกอัลบั้มของตนเองในปี 1993 คือ Both Sides ที่ฟิล คอลลินส์เล่นดนตรีเองหมดทุกชิ้นในอัลบั้มชุดนี้ ในปี 1995 ฟิล คอลลินส์ก็ขอออกจากวงเจเนซิส ในปี1998 Phil ออกอัลบั้ม Dance Into The Light ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มที่แย่ที่สุดและประสบความสำเร็จน้อยที่สุดในชีวิตของเขาเอง แต่การทัวร์โปรโมตอัลบั้มชุดนี้ก็ประสบความสำเร็จดี ในปี1998 ออกอัลบั้มรวมฮิตที่มีชื่อว่า Hits และในปี 2002 ฟิล คอลลินส์ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 7 Testify ที่มีเพลงขายอย่าง Can't Stop Loving You ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก แต่การทัวร์โปรโมตก็ถือว่าประสบความสำเร็จเหมือนเดิม หลังจากนั้นฟิล คอลลินส์ก็ทำเพลงให้กับภาพยนตร์หลายเรื่องอย่าง Brother Bear และในปี 2004-2005 ฟิล คอลลินส์ก็ออกทัวร์ทั่วโลก Farewell Tour และประกาศว่าทัวร์นี้เป็นทัวร์สุดท้ายในชีวิต เนื่องจากฟิล คอลลินส์ประกาศว่าเริ่มมีปัญหาในการได้ยิน



บลอนดี (Blondie) เป็นวงป็อป/ร็อกอเมริกัน ก่อตั้งวงโดยนักร้อง เดโบราห์ แฮร์รี และมือกีตาร์ คริส สไตน์ วงถือเป็นหัวเรือใหญ่ของเพลงนิวเวฟอเมริกันในยุคแรกและเพลงพังก์ร็อก ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 สองอัลบั้มแรกของวงมีองค์ประกอบของแนวเพลงที่เข้มข้นของเพลงดังกล่าว และถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย แต่ก็ยังถือว่าเป็นวงใต้ดินในสหรัฐอเมริกาอยู่ จนกระทั่งออกผลงานในชุด Parallel Lines ในปี 1978 และถัดไปอีก 3 ปีวงก็ประสบความสำเร็จ มีเพลงฮิตหลายเพลงที่มีส่วนผสมของแนวเพลงอย่างดิสโก้ ป็อป และเร้กเก้ แต่ก็ยังคงมีแนวเพลงพื้นฐานแบบนิวเวฟของวงอยู่  วงแตกไปในที่สุดหลังการออกผลงานในปี 1982 ชุด The Hunter เดบบี้ แฮร์รี ออกผลงานเดี่ยว ส่วนจิมมี เดสทรี มือคีย์บอร์ดก็ออกผลงานเดี่ยวเช่นกันแต่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าของแฮร์รี  วงได้กลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 1997 ประสบความสำเร็จกับซิงเกิ้ลอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรกับ "Maria" ในปี 1999 วงออกทัวร์และแสดงไปรอบโลก วงยังได้มีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม และร็อกวอล์กออฟเฟม ในปี 2006] บลอนดีมียอดขายมากกว่า 40 ล้านชุดทั่วโลก

อินเอกซ์เซส (INXS อ่านว่า "in excess") เป็นวงออสเตรเลียในแนวเพลงร็อกและนิวเวฟ ก่อตั้งวงโดยพี่น้องตระกูลฟาร์ริสส์ ในปี 1977 ที่ซิดนีย์ โดยมีสมาชิกหลักคือ แกร์รี แกรี เบียร์ส ตำแหน่งเบส, แอนดรูว์ ฟาร์ริส ตำแหน่งคีย์บอร์ด, จอน ฟาร์ริสส์ ตำแหน่งมือกลอง, ทิม ฟาร์ริส ตำแหน่งลีดกีตาร์ และเคิร์ก เพนกิลลี ตำแหน่งกีตาร์/แซกโซโฟน และนำโดยไมเคิล ฮัตเชนซ์ ตำแหน่งร้องนำ ที่ "หน้าต่อหล่อ กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ" และท่าทางบนเวทีอันดึงดูด ทำให้เขาเป็นจุดศูนย์กลางของวง  เดิมทีพวกเขาเป็นที่รู้จักในแนวเพลง นิวเวฟ/สกา/ป็อป ต่อมาพวกเขาทำเพลงหนังคือเป็น ผับร็อก รวมถึงใช้องค์ประกอบของฟังก์และแด๊นซ์  อินเอกซ์เซส ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ กับเพลงดังในยุคทศวรรษ 1980 และ 1990 รวมถึงอัลบั้มดังอย่าง Listen Like Thieves, Kick, X และ Welcome to Wherever You Are และซิงเกิลดังอย่าง "Original Sin", "Need You Tonight", "Devil Inside" และ "New Sensation" หลังจากที่ฮัตเชนซ์เสียชีวิตในปี 1997 วงอินเอกซ์เซสก็ไม่ได้แสดงอีกเป็นปี โดยทางวงได้ปรากฏตัวกับนักร้องรับเชิญอย่างเช่น จิมมี บาร์นส,เทเรนซ์ เทรนต์ ดาร์บี และจอน สตีเวนส์ ซึ่งสตีเวนส์ยังได้ร่วมวงอย่างเป็นทางการในการทัวร์และบันทึกเสียงสำหรับเซสชันในปี 2002 ในปี 2005 สมาชิกของวงในมีส่วนร่วมในรายการเรียลลิตี้ ออกอากาศทั่วโลก เพื่อทำการคัดเลือกนักร้องนำคนใหม่ โดยได้นักร้องชาวแคนาดาคือ เจ.ดี. ฟอร์จูน ออกผลงานซิงเกิล "Pretty Vegas" และ "Afterglow" และอัลบั้ม Switch  อินเอกซ์เซส ได้รับรางวัลอาเรียมิวสิกอวอร์ดส 6 รางวัล รวมถึง 3 รางวัลในสาขา กลุ่มยอดเยี่ยม ในปี 1987, 1989 และ 1992  และจะมีชื่ออยู่ในแอเรียฮอลออฟเฟมในปี 2001  ปัจุบันพวกเขามียอดขายอัลบั้มกว่า 30 ล้านชุด

ไอเอิร์นเมเดน (Iron Maiden) เป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลอังกฤษจากเลย์ตันในอีสต์ลอนดอน ก่อตั้งวงในปี 1975 ควบคุมวงโดยผู้ก่อตั้ง ทั้งยังเป็นมือเบส นักเขียนเพลง สตีฟ แฮร์ริส ตั้งแต่เริ่มต้นวงออกผลงานอัลบั้ม 35 ชุด โดยเป็นสตูดิโออัลบั้ม 14 ชุด อัลบั้มแสดงสด 9 ชุด อีพี 9 ชุด และอัลบั้มรวมเพลง 8 ชุด วงถือเป็นผู้บุกเบิกเพลงแนวนิวเวฟออฟบริติฟเฮฟวีเมทัล ไอเอิร์นเมเดนประสบความสำเร็จตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 และหลังจากนั้นเปลี่ยนสมาชิกหลายครั้ง ก็ยังมีอัลบั้มที่ขายได้ระดับแผ่นเสียงทองคำขาวและแผ่นเสียงทองคำ รวมถึงอัลบั้มขายได้หลักแผ่นเสียงทองคำขาวในสหรัฐอเมริกาอย่างชุด The Number of the Beast ในระหว่างปี 1982 และชุด Piece of Mind ในปี 1983 ส่วนอัลบั้มชุดหลัง ๆ อย่าง A Matter of Life and Death ที่ออกขายในปี 2006 ก็ขึ้นสูงสุดอันดับ 9 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 อัลบั้มขายได้แผ่นเสียงทองคำในสหราชอาณาจักร  ไอเอิร์นเมเดนมียอดขายมากกว่า 70 ล้านชุดทั่วโลก โดยปราศจากการสนับสนุนหลักหรือทางสถานีวิทยุ วงยังได้รับรางวัลไอวอร์โนเวลโล ในสาขาประสบความสำเร็จระดับนานาชาติในปี 2002 และได้มีชื่ออยู่ในฮอลลีวูดร็อกวอล์ก บนถนนซันเซตบูเลวาร์ด ลอสแอนเจลิส แนวเพลงของพวกเขาได้รับอิทธิพลจากวงทินลิซซี ดีปเพอร์เพิล ยูรายห์ฮีป และวิชโบนแอช

อาร์.อี.เอ็ม. (R.E.M.) เป็นวงร็อกอเมริกัน ที่ก่อตั้งวงที่เอเธนส์ รัฐจอร์เจีย ในปี 1980 โดย ไมเคิล สไตป์ (ร้องนำ), ปีเตอร์ บัก (กีตาร์), ไมค์ มิลส์ (กีตาร์เบส) และบิลล์ เบอร์รี (กลองและเพอร์คัชชัน) อาร์.อี.เอ็ม. ถือเป็นวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกวงแรกที่ประสบความสำเร็จและได้รับสนใจในยุคแรก จากสไตล์กีตาร์ของบัก และเสียงร้องคลุมเครือของสไตป์ อาร์.อี.เอ็ม. ออกผลงานซิงเกิลแรกคือ "Radio Free Europe" ในปี 1983 กับค่ายเพลงอิสระ ฮิบ-โทน ซึ่งอยู่ในอัลบั้มอีพีที่ออกต่อมาชุด Chronic Town ในปี 1982 วงออกผลงานแรกกับค่ายไอ.อาร์.เอส ต่อมาในปี 1983 ได้ออกผลงานที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีอย่างชุด Murmur และยังคงประสบความสำเร็จต่อเนื่องในการออกผลงานอัลบั้มชุดต่อ ๆ มา รวมถึงการออกทัวร์และการตอบรับการสนับสนุนจากสถานีวิทยุในมหาวิทยาลัย หลังจากประสบความสำเร็จกับวงการเพลงใต้ดิน อาร์.อี.เอ็ม. ก็ประสบความสำเร็จก้าวขึ้นสู่กระแสหลักกับซิงเกิลฮิตในปี 1987 ที่ชื่อ "The One I Love" ทางวงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในปี 1988 และเริ่มพูดถึง ตระหนักเรื่องการเมืองและสิ่งแวดล้อม ขณะที่ได้เล่นแสดงสดในสนามกีฬาใหญ่ ๆ ทั่วโลก  ต้นยุคทศวรรษ 1990 กระแสอัลเทอร์เนทีฟเริ่มก้าวสู่กระแสหลัก อาร์.อี.เอ็ม. ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกแนวเพลงนี้ พวกเขาได้ออกผลงานที่ประสบความสำเร็จด้านการตลาดอย่าง อัลบั้มชุด Out of Time (1991) และ Automatic for the People (1992) ที่ได้หันเหไปจากดนตรีในยุคแรกเริ่มของพวกเขา ผลงานของ อาร์.อี.เอ็ม. ในปี 1994 ชุด Monster ที่ได้ทำให้มีความเป็นร็อกมากขึ้น วงได้ทำการทัวร์ครั้งแรกในรอบ 6 ปี เพื่อสนับสนุนอัลบั้มชุดนี้ ทัวร์นี้ได้ทำให้เกิดความเสียหายกับสมาชิก 3 คนในวง ต่อมาในปี 1996 อาร์.อี.เอ็ม. เซ็นสัญญาใหม่กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วยจำนวนเงิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการเซ็นสัญญาที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปีถัดมา บิลล์ เบอร์รีออกจากวง ส่วนบัก, มิลส์ และสไตป์ ยังคงเล่นกับวงต่อด้วยจำนวนเครื่องดนตรี 3 ชิ้น ทางวงยังได้เปลี่ยนแนวเพลง พวกเขายังคงประสบความสำเร็จในทศวรรษต่อมาด้วยเสียงวิจารณ์ทางบวกและลบปนกัน และประสบความสำเร็จด้านการค้า ในปี 2007 พวกเขามีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ต่อมา ในปี 2011 R.E.M. ได้ประกาศยุบวงในเดือนกันยายน 2011 โดยประกาศการยุบวงอย่างเป็นทางการผ่านทางเว็บไซต์ของวง

คัลเจอร์ คลับ (Culture Club) เป็นวงดนตรีป็อปจากอังกฤษ เจ้าของรางวัลแกรมมี ก่อตั้งวงในต้นทศวรรษ 1980 ประกอบด้วยสมาชิก บอย จอร์จ (นักร้องนำ) ,ไมกีย์ เครก (กีตาร์เบส) ,รอย เฮย์ (กีตาร์และคีย์บอร์ด) และ จอห์น มอสส์ (กลองและเพอร์คัชชัน) คัลเจอร์ คลับ มีเพลงฮิตในหลายประเทศทั่วโลก มีเพลงฮิตอันดับ 1 ในอังกฤษคือ "Do You Really Want to Hurt Me" และเพลง "Karma Chameleon" ที่ขายในอังกฤษได้ 1.4 ล้านแผ่นและถือเป็นซิงเกิลฮิตที่ขายดีที่สุดในปี 1983 และขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา 3 สัปดาห์ ขายได้ 1.3 ล้านแผ่น อีกทั้งยังขึ้นอันดับ 1 ใน 16 ประเทศ พวกเขาแตกวงในปี 1986 และกลับมารวมตัวใหม่ในปี 1998 (เป็นการเฉพาะกิจ)

อา-ฮา (a-ha) เป็นวงดนตรีจากนอร์เวย์ มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1980 และประสบความสำเร็จต่อเนื่องในทศวรรษ 1990 และ 2000 อา-ฮา ประสบความสำเร็จกับผลงานอัลบั้มเปิดตัวและซิงเกิ้ลในปี 1985 Hunting High and Low ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดสูงสุดอันดับ 15 และมีซิงเกิ้ลอันดับ 1 ในระดับนานาชาติกับเพลง "Take on Me" และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และอัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในปี 1986 ในปี 1994 พวกเขาแยกวงกัน ในปีนั้นเองพวกเขามียอดขายอัลบั้มถึง 20 ล้านอัลบั้มทั่วโลก หลังจากนั้นเขาแสดงในงานคอนเสิร์ตแจกรางวัลโนเบล ปี 1998  วงกลับมาทำผลงานเพลงอีกครั้งกับอัลบั้มในปี 2002 ชุด Minor Earth Major Sky พวกเขาออกทัวร์อีกครั้ง และในปี 2000 นี้เขามียอดขายอัลบั้มกว่า 36 ล้านชุดทั่วโลก และยอดขายซิงเกิ้ลกว่า 2 ล้านชุด  ในปี 2002 พวกเขาออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 ชื่อ Lifelines. Analogue และถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสหราชอาณาจักรถัดจากชุด East of the Sun, West of the Moon และยังได้รับรางวัลแผ่นเสียงเงิน พวกเขาออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 9 ชุด Foot of the Mountain ในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2009

บอง โจวี (Bon Jovi) เป็นวงฮาร์ดร็อกจาก Sayreville นิวเจอร์ซีย์ วงประสบความสำเร็จในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ผ่านมา 28 ปีพวกเขามียอดขายอัลบั้มมากกว่า 120 ล้านชุดทั่ว่โลก เฉพาะในสหรัฐอเมริกาขายได้ 34 ล้านชุด  บอง โจวี รวมตัวกันในปี 1983 นักร้องนำของวง จอน บอง โจวี , นักกีตาร์ ริชี แซมโบรา ,มือคีย์บอร์ด เดวิด ไบรอัน ,มือเบส อเล็ก จอห์น ซัช และมือกลอง ทิโก ตอร์เรส ซึ่ง อเล็ก จอห์น ซัชออกจากวงในปี 1994 นอกเหนือจากนั้นสมาชิกยังเป็นคนเดิม วงประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม Slippery When Wet (1986) และ New Jersey (1988) ที่มียอดขายรวมกัน 19 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และมีเพลงฮิตท็อปเท็น 8 เพลง (รวมถึง 4 เพลงอันดับ 1) หลังจากนั้นจอน บอน โจวีและ ริชี แซมโบรามีผลงานเดี่ยว ต่อมาในปี 1992 พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง กับอัลบั้มชื่อว่า Keep the Faith  ในปี 2006 วงได้รับรางวัลแกรมมีสาขา best Country Collaboration ในเพลง "Who Says You Can't Go Home" ร่วมกับเจนนิเฟอร์ เน็ตเติลส์ จากวงคันทรี ซูการ์แลนด์ และพวกเขาถือเป็นวงร็อกวงแรกที่มีเพลงอันดับ 1 บนชาร์ทฮ็อตคันทรีซ็องส์ จากเพลงเดียวกันนี้เอง วงได้รับการเสนอชื่อรางวัลแกรมมี่อยู่หลายครั้งจากอัลบั้ม Crush, Bounce, และ Lost Highway พวกเขามีผลงานสตูดิโออัลบั้ม 10 ชุด ที่มียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว 9 ชุด นอกจากนั้นยังมีเพลงติดใน 40 อันดับแรกของบิลบอร์ด 19 ซิงเกิล มีเพลงอันดับ 1 อยู่ 4 เพลงคือ "You Give Love a Bad Name", "Livin' on a Prayer", "Bad Medicine", และ "I'll Be There for You"



กันส์แอนด์โรสเซส (Guns N' Roses) เป็นวงเฮฟวี่ เมทัล อเมริกัน ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1985 นำโดยหัวหน้าวงและผู้ร่วมก่อตั้งวง เอ็กเซล โรส จากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวงและมีข้อขัดแย้งต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวง โดยมีผลงานสตูดิโออัลบั้ม 5 ชุด 2 อีพี และหนึ่งอัลบั้มการแสดงสด หลังจากนั้นอีกร่วมทศวรรษ ทางวงออกผลงานที่ยาวนานต่อการรอคอยชุด Chinese Democracy ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 และถือเป็นอัลบั้มการอัดเสียงดั้งเดิมหลังจากปี 1991 กับผลงานชุด Use Your Illusion I และ Use Your Illusion II  วงนี้มีชื่อเสียงมากในช่วงที่มี Slashและ เอ็กเซล โรส อยู่ร่วมวงกันอยู่ เพลงส่วนมากของวงนี้จะเด่นไปที่ กีตาร์ไฟฟ้า และเพลงที่ค่อนข้างยาว โดยมีเพลง "Sweet Child O' Mine" เป็นเพลงเดียวที่สามารถขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดชาร์ทได้ กันแอนด์โรสเซส ได้รับชื่อเล่น จาก นิตยสารโรลลิงสโตนว่าเป็น "วงดนตรีที่อันตรายที่สุดในโลก" จากบุคลิกของคนในวงที่ไว้ผมยาว ๆ และสูบบุหรี่ ที่เป็นเอกลักษณ์ของวง แถมสมาชิกบางรายก็ติดยาจนต้องเปลี่ยนตัวบ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ตามวงนี้ก็ได้รับเกียรติให้อยู่ในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลอีกด้วย  กันส์แอนด์โรสเซส มียอดขายทั่วโลกประมาณ 100 ล้านชุด มีเพลงฮิตที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของบิลบอร์ดชาร์ท 100 ได้แก่ "Sweet Child O' Mine", "Paradise City", "Don't Cry", "Welcome to the Jungle", "Knockin' on Heaven's Door", "November Rain", "Patience" เป็นต้น ซึ่งทำให้วงนี้สามารถจำหน่ายได้ถึง 39 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา  ผลงานอัลบั้มชุดแรกที่ชื่อชุด Appetite for Destruction มียอดขาย 27 ล้านชุดทั่วโลก และสามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทอัลบั้มของบิลบอร์ด 200 นอกจากนั้นยังมีซิงเกิ้ลท็อป 10 ถึง 3 เพลงจากชุดนี้คือเพลง "Sweet Child o' Mine" ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ส่วนอัลบั้มในปี 1991 ชุด Use Your Illusion I และ Use Your Illusion II เข้าอันดับสัปดาห์แรกที่อันดับ 1 และ 2 บนชาร์ทบิลบอร์ด 200 และมียอดขาย 14 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา

เมทัลลิก้า (Metallica) เป็นวงเฮฟวี่เมทัล, แทรชเมทัล ซึ่งก่อตั้งวงเมื่อปี 1981 ในเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สมาชิกรุ่นก่อตั้งของวงประกอบด้วย ลาร์ อุลลิช (กลอง), เจมส์ เฮทฟิลด์ (ร้องนำ, ริทึ่มกีตาร์), เดฟ มัสเทน (ลีดกีตาร์) และ รอน แม็คกอฟนีย์ (เบส) ต่อมารอน แม็คกอฟนีย์ ถูกไล่ออกจากวง ทางวงได้ คลิฟฟ์ เบอร์ตันมาแทนที่ และต่อมาเดฟ มัสเทน ก็ถูกไล่ออกจากวงเช่นกัน ทางวงได้ตัว เคิร์ก แฮมเม็ตต์ จากวง เอ็กโซดัส มาแทนที่ในตำแหน่งลีดกีตาร์ ต่อมาในปี 1986 คลิฟฟ์ เบอร์ตัน ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต เจสัน นิวสเตด จากวงโฟลตซัม แอนด์ เจทซัม ได้เข้ามาแทนที่ในตำแหน่งมือเบสของวง เจสัน นิวสเตด ได้ลาออกจากวงในปี 2001 และถูกแทนที่โดยโรเบิร์ต ทรูฮีโย อดีตมือเบสของออซซี ออสบอร์น จนถึงปัจจุบัน  ผลงานสามชุดแรกของวงเน้นเพลงที่มีความเร็วกว่าเพลงเฮฟวี่เมทัลทั่วไปในขณะนั้น จังหวะกระแทกกระทั้น บางเพลงเป็นเพลงบรรเลงขนาดยาว ที่แสดงถึงทักษะของนักดนตรีโดยเฉพาะคลิฟ เบอร์ตันผู้เป็นมือเบส แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการโซโล่เบสได้อย่างรวดเร็ว และใช้เอฟเฟ็กต์ที่ทำให้เสียงเบสฟังเหมือนเสียงกีตาร์โซโล่ จุดเด่นเหล่านี้ทำให้ทางวงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ฟังเพลงเมทัลใต้ดินและมีส่วนสำคัญในการส่งอิทธิพลต่อวงรุ่นหลัง ทำให้เกิดแนวเพลงแทรชเมทัลในเวลาต่อมา อัลบั้มชุดที่สามของวงที่ชื่อว่า Master of Puppets เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นอัลบั้มที่ดนตรีเป็นแทรชเมทัลเต็มตัว เพราะเต็มไปด้วยเพลงที่มีจังหวะที่รวดเร็ว กระแทกกระทั้น เหมือนการเฆี่ยนม้าด้วยแซ่เพื่อให้ม้าควบตะบึงด้วยความเร็วสูงสุด เมทัลลิก้า ประสบความสำเร็จอย่างมากในกระแสเพลงหลัก เมื่อได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 "Metallica" โดยมีเพลงฮิตอย่าง Enter Sandman,Sad But True,Nothing Else Masters และ The Unforgiven Part.1 โดยยอดขายอัลบั้มชุดนี้ขายได้ 22 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

เดอะ โพลิซ (The Police) เป็นวงดนตรีร็อกสามชิ้นจากอังกฤษ มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในยุคทศวรรษที่ 80 กับแนวเพลงร็อกที่ได้รับอิทธิพลจากแจ๊ส เร้กเก้ และพังค์ร็อก อัลบั้มของพวกเขาในปี 1983 ชุด Synchronicity สามารถขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาและมียอดขาย 8 แพลตตินั่ม และมีเพลงฮิตอันดับ 1 อย่างเพลง Every Breath You Take และต่อมาก็ได้แยกวงกลางทศวรรษที่ 80 แต่ได้ประกาศรวมตัวกันใหม่ในปี 2007 นี้ และจะเริ่มทัวร์รอบโลกในปี 2007 ถึงกลางปี 2008

ยูทู (U2) เป็นวงร็อกจากดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ประกอบด้วยสมาชิกคือ โบโน่ (ร้องนำ,ริทึ่มกีตาร์), ดิเอ็ดจ์ (ลีดกีตาร์,คีย์บอร์ด,ร้องประสาน), อดัม เคลย์ตัน (เบสกีตาร์), และ แลร์รี มูลเลน จูเนียร์ (กลอง,เพอร์คัชชัน) ยูทูเป็นวงที่ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่กลางยุคทศวรรษที่ 80 มียอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 170 ล้านอัลบั้มทั่วโลก และได้รับรางวัลแกรมมี่ 22 รางวัล มากกว่าวงร็อกใด ๆ ยูทูเริ่มก่อตั้งวงในปี 1976 ตั้งแต่สมาชิกในวงยังเป็นวัยรุ่น ช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 80 พวกเขาประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติกับอัลบั้มในปี 1987 ชุด The Joshua Tree และอัลบั้มในปี 1991 ชุด Achtung Baby ในต้นศตวรรษที่ 21 ยูทู พวกเขาประสบความสำเร็จกับยอดขายอัลบั้มและได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ พวกเขายังช่วยเหลืองานสังคม อย่างเช่น ช่วยเหลือในงาน Amnesty International, Make Poverty History, การรณรงค์ ONE Campaign, Live Aid, Live 8, โบโน่ได้มีส่วนช่วยเหลือใน DATA ซึ่งย่อมาจาก Debt AIDS-Trade-Africa , และการหารายได้ช่วยเหลือทางด้านดนตรี เป็นต้น



มอตลีย์ครู (Mötley Crüe) เป็นวงฮาร์ดร็อกอเมริกัน ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียในปี ค.ศ. 1981 วงก่อตั้งโดยนิกกี ซิกซ์ มือกีตาร์เบส และทอมมี ลี มือกลอง โดยต่อกีตาร์ลีด มิก มาร์ส และนักร้องนำ วินซ์ นีล ได้เข้ามาร่วมวงภายหลัง มอตลีย์ครูมียอดขายอัลบั้มมากกว่า 80 ล้านชุดทั่วโลกรวมถึงขายได้ 23.5 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา สมาชิกแต่ละคนของวงมีถูกเอ่ยถึงในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างแสนสาหัส สมาชิกทุกคนมีข้อหาคดีความ ใช้ชีวิตอยู่ในคุก ประสบปัญหากับการติดสุราและยาเสพติด ผ่านผู้หญิงมากหน้าหลายตา และมีรอยสักตามตัวมากมาย พวกเขามีผลงานอัลบั้มชุดที่ 9 ของวงชุด Saints of Los Angeles ออกขายวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2008 และยังมีภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากอัตชีวประวัติของพวกเขาที่ชื่อ The Dirt ออกฉายปี 2011

นิวคิดส์ออนเดอะบล็อก (New Kids on the Block ต่อมาเป็น NKOTB) เป้นวงบอยแบนด์ที่ประสบความสำเร็จช่วงปลายยุค 80 ถึงต้นยุค 90 เริ่มรวมตัวกันในบอสตัน สหรัฐอเมริกา ในปี 1984 โดยโปรดิวเซอร์ เมอไรส์ สตารร์ (Maurice Starr) สมาชิกประกอบด้วย จอร์แดน ไนท์ (Jordan Knight) โจนาธาน ไนท์ (Jonathan Knight), โจ แมกอินไทร์ (Joe McIntyre), ดอนนี่ วอล์เบิร์ก (Donnie Wahlberg), และ แดนนี่ วูด (Danny Wood) นิวคิดส์ออนเดอะบล็อก มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกมากกว่า 70 ล้านแผ่น และได้ปูทางให้วงรุ่นน้องอย่าง เอ็นซิงค์, แบ็คสตรีท บอยส์ ในเวลาต่อมา

บอยซ์ทูเมน (Boyz II Men) เป็นกลุ่มนักร้องแนวอาร์แอนด์บี จากเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เริ่มก่อตั้งวงในปี 1988 โดยมีสมาชิก 4 คนคือ Nathan Morris, Michael McCary, Shawn Stockman, และ Wanya Morris, สังกัดโมทาวน์เรคคอร์ดส  บอยซ์ทูเมน มีเพลงอันดับ 1 ในอเมริกา 3 เพลงคือ "End of the Road", "I'll Make Love to You", และ "One Sweet Day" (ร้องกับมารายห์ แครี) ซึ่งเพลงนี้สร้างสถิติเป็นเพลงอันดับ 1 ที่ติดชาร์ทบนอันดับ 1 นานที่สุดคือ 16 สัปดาห์



บานานารามา (Bananarama) เป็นกลุ่มศิลปินหญิงจากอังกฤษ ประสบความสำเร็จในแนวเพลงป็อปและเต้นรำบนชาร์ทตั้งแต่ช่วงปี 1982 โดยมีเพลงติดใน 10 อันดับแรกบนชาร์ทซิงเกิ้ลใน UK singles chart และยังมีเพลงติดใน 10 อันดับแรกบนชาร์ทซิงเกิ้ลของนิตยสารบิลบอร์ด เพลงที่มีชื่อเสียงเช่น "Cruel Summer", "Venus", "Love in the First Degree" และ "I Heard a Rumour" พวกเธอเป็นที่รู้จักในรูปแบบการร้องเพลงที่สมาชิกทุกคนร้องเสียงแบบยูนิสัน ที่นักร้องนำและร้องเสียงประสานอัดเสียงด้วยกัน โดยในช่วงต้นของการทำเพลงพวกเธอใช้ไมโครโฟนเดียวกัน

ซิมพลีเรด (Simply Red) เป็นวงป็อปจากอังกฤษ ที่มีแนวเพลงที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีป็อป, ร็อก, แจ๊ซ ,เลิฟเวอร์ร็อก และ บลู-อายด์โซล ในปี ค.ศ. 1986 พวกเขามีซิงเกิลฮิตอันดับ 1 ทั้งอังกฤษและอเมริกาอย่างเพลง "Holding Back the Years" ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 นำผลงานของฮาโรลด์ เมลวิน มาทำใหม่ในเพลง "If You Don't Know Me By Now" ถือว่าเป็นซิงเกิลอันดับ 1 เพลงที่สองในอเมริกาของวงนี้ ในปี ค.ศ. 1995 หลังจากออกอัลบั้ม Stars มาแล้ว 2 ปี ซิมพลีเรดมีซิงเกิลฮิต "Fairground" ขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร หลังจากอยู่ร่วมกับวงมาเป็นเวลา 25 ปี มิค ฮัคนอลล์ สมาชิกวงรุ่นแรกที่ยังคงอยู่กับวงจนถึงปัจจุบัน ได้ประกาศว่า ทางวงจะจัดการแสดงสดไปทั่วโลกตลอดปี ค.ศ. 2009 รวมถึงมีการแสดงในประเทศไทยด้วย เพื่อเป็นการอำลาแฟนเพลง และจะยุบวงในปี ค.ศ. 2010 ปี ค.ศ. 2015 ซิมพลีเรดกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อแสดงคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีของวง

ไฟน์ยังแคนนิบอลส์ (Fine Young Cannibals) เป็นวงอังกฤษก่อตั้งวงในเบอร์มิงแฮม ในปี ค.ศ. 1984 โดยมือเบส เดวิด สตีล และมือกีตาร์ แอนดี คอกซ์ (ทั้งคู่เคยเป็นสมาชิกวงเดอะบีต) และนักร้อง โรแลนด์ กิฟต์ (อดีตสมาชิกวง Akrylykz) พวกเขาเป็นที่รู้จักในผลงานเพลงฮิตในปี ค.ศ. 1989 อย่าง "She Drives Me Crazy" และ "Good Thing" ชื่อวงนั้นมาจากภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1960 เรื่อง All The Fine Young Cannibals นำแสดงโดยโรเบิร์ต แวกเนอร์ และนาตาลี วูด

เอกซ์เจแปน (X Japan, ญี่ปุ่น: エックス ジャパン ekkusu japan ?) เป็นวงดนตรีเฮฟวีเมทัลชาวญี่ปุ่น จากจังหวัดชิบะ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1982 โดยโยะชิกิ มือกลองของวง และโทะชิ นักร้องนำ ด้วยแนวดนตรีพาวเวอร์เมทัล สปีดเมทัล ซิมโฟนิกเมทัล ซึ่งต่อมาวงได้หันไปในทางโพรเกรสซีฟเมทัล ด้วยเน้นด้วยแนวบัลลาด เอกซ์เจแปนเป็นวงที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงการเพลงของเพลงญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และเป็นวงที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานในวงการร็อกในประเทศญี่ปุ่น เอกซ์เจแปนมีชื่อเดิมว่า เอกซ์ (ญี่ปุ่น: エックス ekkusu ?) ออกอัลบั้มแรกชื่อว่า เวนิชชิงวิชัน เมื่อปี 1988 หลังจากที่วงมีสมาชิกที่ลงตัวแล้วอันประกอบไปด้วย มือกีตาร์เบส ทาอิจิ, มือกีตาร์นำ ฮิเดะ และมือจังหวัดกีตาร์ พาตะ ซึ่งเป็นอัลบั้มภายใต้สังกัดของโยะชิกิเอง มีชื่อว่าเอกซ์ตาซีเรเคิดส์ (Extasy Records) และในปี 1989 พวกเขาได้ประสบความสำเร็จ ด้วยผลงานชุดที่สองที่เป็นอัลบั้มเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ มีชื่อว่า บลูบลัด หลังจากที่ออกอัลบั้ม เจลลัสซี ในปี 1991 ทาอิจิ ได้ออกจากวงเมื่อต้นปี 1992 และมีฮีธมาทำหน้าที่แทน และเปลี่ยนชื่อวงเป็น เอกซ์เจแปน ก่อนที่จะทำผลงานอัลบั้ม อาร์ตออฟไลฟ์ ในปี 1993 ซึ่งมีเพลงที่มีชื่อเดียวกันกับอัลบั้มและมีความยาว 29 นาทีเพียงแทร็กเดียว และในปี 1995 พวกเขาได้ลดความเป็นวิชวลเคเดิมของพวกเขาลง เพื่อให้ดูสบายและเป็นสมัยนิยมมากขึ้น พร้อมทั้งออกอัลบั้ม ดาห์เลีย เมื่อปี 1996 ซึ่งคล้ายกับสองอัลบั้มที่แล้ว ต่อมาเอกซ์เจแปนได้ทำการแสดงคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายที่โตเกียวโดม ในวันที่ 31 ธันวาคม 1997   10 ปีต่อมา เอกซ์เจแปนได้กลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 2007 และทำการอัดเพลงใหม่ "ไอ.วี." 2 ปีต่อมาวงได้ทำการแสดงคอนเสิร์ตหลายแห่ง ได้แก่ ที่แรก คือ ฮ่องกง และได้สึกิโซะมาเป็นมือกีตาร์ของวงแทนที่ฮิเดะ ซึ่งเสียชีวิตในปี 1998 ก่อนที่จะออกทัวร์ในอเมริกาเหนือในปี 2010 และในปี 2011 วงได้ออกทัวร์รอบโลกครั้งแรกทั้งในยุโรป อเมริกาใต้และเอเชีย  เอกซ์เจแปนได้ออกผลงานเป็นสตูดิโออัลบั้ม 5 ชุด อัลบั้มบันทึกการแสดงสด 6 ชุด และซิงเกิล 21 ชุด อัลบั้มทั้งสามของวงได้ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตออริคอน และในปี 2003 เอชเอ็มวีเจแปนได้จัดอันดับวงให้อยู่ในอันดับที่ 40 ในรายชื่อ 100 ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่สำคัญที่สุด ต่อมาในปี 2007 โรลลิงสโตนเจแปน ได้จัดอันดับให้อัลบั้ม บลูบลัด อยู่อันดับที่ 15 ใน 100 อัลบั้มร็อกญี่ปุ่นที่ดีที่สุดตลอดกาล และมีรายงานว่าเอกซ์เจแปนมียอดจำหน่ายมากกว่า 30 ล้านแผ่น  ในปี 1977 โยะชิกิ ฮะยะชิ และโทะชิมิสึ เดะยะมะ ได้ก่อตั้งวงดนตรีชื่อว่า ไดนาไมต์ (Dynamite) ที่บ้านเกิดของพวกเขา ทะเตะยะมะ เมื่อพวกเขาอายุได้แค่ 11 ปีเท่านั้น ต่อมาในปี 1978 วงไดนาไมต์ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น นอยส์ (Noise) ขณะที่พวกเขายังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยม ต่อมาในปี 1982 วงนอยส์ได้ถูกยกเลิก และได้ก่อตั้งวงใหม่โดยตั้งชื่อไว้ก่อนว่า เอกซ์ ขณะที่พวกเขากำลังคิดชื่อวงชื่ออื่น ต่อมาวงเอกซ์ได้เริ่มดำเนินงานอย่างจริงจังในกรุงโตเกียวในปี 1985 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาได้ออกซิงเกิลแรกของวงชื่อ "ไอล์คิลยู" เมื่อเดือนมิถุนายน ภายใต้สังกัดดาดาเรเคิดส์ซึ่งเป็นของวงเอง โดยจำหน่ายได้ 1,000 แผ่น และได้มีส่วนร่วมในแซมเพลอร์ Heavy Metal Force III ด้วยผลงานเพลง "Break the Darkness" ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีผลงานเพลงของวง Saver Tiger (ซึ่งมีฮิเดะเป็นสมาชิก) อยู่ในแซมเพลอร์ชุดนี้ด้วย และในเดือนพฤศจิกายน 1985 มือกีตาร์เบสวง Dementia ไทจิ ได้เข้ามาร่วมวงเอกซ์ แต่ได้ขอออกจากวงชั่วคราวหลังจากนั้นไม่นาน  เพื่อความมั่นคงของวง โยะชิกิได้ก่อตั้งค่ายเพลงอิสระชื่อว่า เอกซ์ทาซีเรเคิดส์ในเดือนเมษายน 1986 และออกซิงเกิลชุดที่สองของวง "ออแกซึม" ต่อมาไทจิได้กลับเข้ามาร่วมวงอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน เพลง "Stab Me in the Back" และ "No Connexion" ของวงเอกซ์ได้อยู่ในแซมเพลอร์ที่มีชื่อว่า Skull Thrash Zone Volume I ของวิกเตอร์เรเคิดส์ ซึ่งออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1987 โดยได้ทำการบันทึกด้วยกันกับพาตะ (จากวง Judy) ซึ่งเป็นมือกีตาร์สนับสนุนของวง ต่อมาไม่นาน ฮิเดะจากวง Saver Tiger ได้เข้าร่วมมาเป็นมือกีตาร์ และหลังจากที่พาตะได้เข้ามาสนันสนุนวง เขาก็ได้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกวงอย่างเป็นทางการในที่สุด ในเดือนสิงหาคม 1987 พวกเขาได้ทำการแสดงที่งานร็อกมอนสเตอร์อีเวนต์ (Rock Monster event) ที่เกียวโตสปอตส์วัลเลย์ (Kyoto Sports Valley) และปล่อยวิดีโอแรกของวง Xclamation ในวันที่ 26 ธันวาคม 1987 วงได้มีส่วนร่วมในการออดิชัน ที่จัดขึ้นโดยโซนี่ มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เจแปน ทำให้วงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงนี้ในเดือนสิงหาคมของปีต่อไป และในขณะเดียวกันวงก็ได้ออกอัลบั้มแรกมีชื่อว่า เวนิชชิงวิชัน (Vanishing Vision) ผ่านเอกซ์ทาซีเรเคิดส์ (Extasy Records) เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1988 และออกทัวร์เพื่อสนันสนุนผลงาน อัลบั้มนี้มียอดจำหน่ายอัลบั้ม 10,000 ชุดและจำหน่ายหมดภายในหนึ่งสัปดาห์ ติดอันดับหนึ่งบอนชาร์ตอินดีส์ของออริคอน และอยู่ในดับ 19 ในชาร์ตหลัก ในเดือนพฤศจิกายน วงเอกซ์ได้มีส่วนร่วมในงานคอนเสิร์ตสตรีตไฟติงเมน (Street Fighting Men) ของนิตยสารดนตรี Rockin'f จัดขึ้นที่ Differ Ariake Arena สิงหาคม 1988 ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหม่ Sony Record เพื่อเตรียมการเมเจอร์ เดบิวท์ 21 เมษายน 1989 ได้ออกวางจำหน่าย อัลบั้ม เมเจอร์ เดบิวท์ ชื่ออัลบั้มว่า BLUE BLOOD ปี 1992  X เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเทศญี่ปุ่น และพวกเขาเริ่มมีความคิดเข้าสู่ตลาดโลก ซึ่งขณะนั้นในสหรัฐอเมริกานั้นได้มีวงที่ชื่อ X อยู่แล้ว พวกเขาจังตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวงจาก X เป็น X Japan และช่วงนี้เองเป็นช่วงที่พวกเขาขาดมือเบส เนื่องจาก ทาอิจิ มือเบสคนเก่า ได้ออกจากวงไปแล้ว ในวันที่ 31 มกราคม 1992 และก็ได้ ฮีธ (ฮิโรชิ โมริเอะ) เข้ามาเป็นมือเบสคนใหม่ ส่วนทาอิจินั้น หลังจากออกจากวง X ก็ได้ออกไปอยู่กับวง Loudness ซึ่งเป็นวงอาจารย์ของเขาเอง 4 พฤศจิกายน ปี 1996 อัลบั้ม DAHLIA ออกวางจำหน่าย อัลบั้มนี้ออกวางจำหน่ายทั่วโลก ภายใต้สังกัด East West Japan  22 กันยายน 1997  X Japan ประกาศยุบวงที่ตั้งมายาวนานถึง 15 ปี โดยประกาศการยุบวงที่โรงแรมมิยาโกะ ในการแถลงข่าวครั้งนี้มีสมาชิกที่มา 4 คน คือ โยชิกิ, ฮิเดะ, พาตะ และ ฮีธ ส่วน โทชิ นั้นได้ลาออกจากวงไปตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 1997 โดยให้เหตุผลว่า มีความแตกต่างทางด้านแนวความคิดทางด้านดนตรี X Japan ไม่สามารถเปลี่ยนนักร้องนำใหม่ได้เพราะส่วนใหญ่เพลงของ X Japan แต่งโดยใช้พื้นฐานเสียงของโทชิเป็นหลัก จากการพิจารณาของสมาชิกทุกคนที่เหลือในวงหลายครั้งจึงตัดสินใจประกาศยุบวง ต้นปี 2007 โทชิ นักร้องนำ ได้ออกมายืนยันการกลับมารวมตัวกันใหม่ของ X Japan ผ่านทางหน้าเว็บของเขาและบนนิตยสารเล่มหนึ่ง[ ส่วนการยืนยันจาก โยชิกิ หัวหน้าวงนั้น ยังไม่มีความแน่นอน เพราะทางโยชิกิยังคงเสียใจกับการตายของฮิเดะ และการแยกวงเมื่อสิบปีก่อน เขาเขียนในมายสเปซของเขาไว้เพียงว่า "ขอเวลาสักพัก"  ในวันที่ 4 มิถุนา 2007 โยชิกิได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า กำลังทำโปรเจตท์เพลง "Without You" ซึ่งร้องให้ฮิเดะ ร่วมกับโทชิ และกำลังทาบทาม พาตะ และ ฮีธ เพื่อกลับมารวมตัวเป็น X Japan อีกครั้งนึง ซึ่งทางวงจะหานักกีตาร์ชื่อดังมาผลัดเปลี่ยนเล่นแทนตำแหน่งของฮิเดะ ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2007  X Japan ได้กลับมารวมตัวกันแสดงสดที่ Aqua City เมืองโอไดบะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ เพลง I.V. เพลงประกอบของภาพยนตร์ Saw IV ที่กำลังจะออกฉายในประเทศญี่ปุ่น ล่าสุด วันที่ 20 มกราคม 2008  X Japan ได้ออกแถลงข่าวเรื่องคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ในชื่อคอนเสิร์ตว่า X JAPAN ATTACKS AGAIN 2008  คอนเสิร์ตมีทั้งหมด3วันด้วยกัน จัดขึ้นในวันที่ 28-30 มีนาคม 2008 ที่ TOKYO DOME

ยุโรป (Europe) เป็นกลุ่มดนตรีจากสต็อกโฮล์ม สวีเดน เล่นดนตรีแนวฮาร์ดร็อก และแกลมเมทัล ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1979 โดยโจอีย์ เทมเพสต์ และจอห์น นอรัม เดิมใช้ชื่อว่าวง "ฟอร์ซ" (Force) และเปลี่ยนชื่อเป็น "ยุโรป" ในปี ค.ศ. 1982  ยุโรปมีผลงานสตูดิโออัลบั้มทั้งสิ้น 7 อัลบั้ม โดยอัลบั้มที่สาม The Final Countdown ที่ออกในปี ค.ศ. 1986 เป็นชุดที่ประสบความสำเร็จที่สุด ขายได้มากกว่าสามล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา รองมาคือชุดที่สี่ Out of This World ในปี ค.ศ. 1988 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 ถึง 1992 ยุโรปขายผลงานได้มากกว่า 20 ล้านแผ่นทั่วโลก จัดเป็นกลุ่มดนตรีจากสวีเดนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นอันดับสี่ในประวัติศาสตร์  ซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จของยุโรป คือ The Final Countdown และ Carrie ติดอันดับท็อปเท็นฮ็อตซิงเกิลของนิตยสารบิลบอร์ด

เรดฮอตชิลีเพปเปอส์ (Red Hot Chili Peppers) เป็นวงร็อกอเมริกัน ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1983 สมาชิกในวงประกอบด้วย นักร้อง แอนโทนี คีดิส, มือกีตาร์ จอห์น ฟรัสซิแอนเต, มือเบส ไมเคิล "ฟลี" บัลซารี และมือกลอง แชด สมิธ แนวเพลงของวงมีความหลากหลาย ที่เกิดจากการรวมของเพลงร็อกดั้งเดิมและฟังก์ เข้ากับองค์ประกอบของ เฮฟวีเมทัล, พังก์ร็อก และ ไซเคเดลิกร็อก  นอกจากแอนโทนี คีดิสและฟลี สมาชิกดั้งเดิมประกอบด้วยมือกีตาร์ ฮิลเลล สโลวัก และมือกลอง แจ็ก ไอออนส์ ซึ่งสโลวักเสียชีวิตจากการเสพเฮโรอีนเกินขนาดในปี 1988 และเป็นผลให้ไอออนส์ลาออกจากวง โดยมีอดีตมือกลองวง เดด เคนเนดีส์ ที่ชื่อ ดี. เอช. เพไลโกรเข้ามาแทนก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น สมิธ จนปัจจุบัน ขณะที่สโลวักแทนที่โดน ฟรัสซิแอนเต จากสมาชิกข้างต้นมีผลงานในชุดที่ 4 และ 5 คือ Mother's Milk (1989) และ Blood Sugar Sex Magik (1991) Blood Sugar Sex Magik ถือเป็นผลงานชุดโบว์แดงของวง ทำให้พวกเขาก้าวสู่กระแสนิยมกับยอดขาย 13 ล้านชุด ฟรัสซิแอนเตรู้สึกไม่ชอบใจกับความสำเร็จนี้จึงออกจากวงในระหว่างทัวร์อัลบั้มนี้ในปี 1992 ซึ่งเขาก็ยังติดเฮโรอีน คีดิส, ฟลี, และสมิธ จ้าง เดฟ นาวาร์โร จากวง เจนส์แอดดิกชัน มาทำงานในอัลบั้มชุดต่อมาที่ชื่อ One Hot Minute (1995) ความนิยมในอัลบั้มนี้ลดลงไปกว่า Blood Sugar Sex Magik ทั้งทางด้านเสียงวิจารณ์และยอดขายที่ขายน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอัลบั้มก่อน และนาวาร์โรออกจากวงเนื่องจากความคิดที่แตกต่างกัน ฟรัสซิแอนเต กลับมาหลังจากบำบัดยา เข้าร่วมวงใหม่อีกครั้งในปี 1998 โดยคำเรียกร้องของฟลี พวกเขาทั้ง 4 กลับมาทำอัลบั้มชุด Californication (1999) ที่มียอดขาย 15 ล้านชุดทั่วโลก ขณะที่เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจนปัจจุบัน หลังจากนั้น 3 ปีพวกเขาออกอัลบั้มชุด By the Way (2002) ซึ่งก็ยังคงประสบความสำเร็จ ต่อมาในปี 2006 พวกเขาออกอัลบั้มคู่ชุด Stadium Arcadium ซึ่งก็ทำให้พวกเขาได้รับรางวัลแกรมมี่ 7 รางวัล มียอดขาย 50 ล้านชุดทั่วโลก มี 7 ซิงเกิ้ลที่ติดใน 40 อันดับแรกของบิลบอร์ดฮ็อต 100 (รวมถึงมี 3 ซิงเกิ้ลติดใน 10 อันดับแรก) ยังมีเพลง 5 ซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทเมนสตรีมร็อก และ มี 11 ซิงเกิ้ลติดอันดับชาร์ทโมเดิร์นร็อก

เมกาเดธ (Megadeth) เป็นวงเฮฟวีเมทัลอเมริกัน จากลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งวงในปี 1983 โดยเดฟ มัสเทน และมือเบส เดวิด เอลเลฟสัน หลังจากที่มัสเทนออกจากเมทัลลิกา วงออกผลงานสตูดิโออัลบั้ม 11 ชุด, อัลบั้มแสดงสด 6 ชุด, อีพี 2 ชุด, ซิงเกิล 30 ชุด, มิวสิกวิดีโอ 32 เพลง และ 3 อัลบั้มรวมเพลง  วงถือเป็นผู้บุกเบิกเพลงแทรชเมทัลอเมริกัน เมกาเดธปูชื่อเสียงในระดับนานาชาติในทศวรรษ 1980 แต่ก็มีการเปลี่ยนสมาชิกอยู่หลายครั้งเนื่องจากประสบปัญหาเกี่ยวกับการเสพยาเกินขนาดของสมาชิก ตั้งแต่ปี 1983 ถึง 2002 มัสเทนและเอลเลฟสัน ถือเป็นสมาชิกที่อยู่ในวงอย่างต่อเนื่อง หลังจากค้นหาสมาชิกที่ไม่เสพยาและได้สมาชิกค่อนข้างมั่นคง เมกาเดธออกผลงานอัลบั้มที่ได้รับยืนยันในระดับแผ่นเสียงทองคำขาวและแผ่นเสียงทองคำ รวมถึงอัลบั้มระดับแผ่นเสียงทองคำขาวที่ชื่อ Rust in Peace ในปี 1990 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ อย่างชุด Countdown to Extinction ในปี 1992 ต่อมาเมกาเดธแตกวงในปี 2002 หลังจากที่มัสเทนเจ็บปวดกับเส้นประสาทที่แขนซ้ายอย่างรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทำการรักษาแล้ว มัสเทนก็กลับมารวมวงใหม่ในปี 2004 และออกผลงานอัลบั้มชุด The System Has Failed ตามมาด้วย United Abominations ในปี 2007 อัลบั้มนี้ขึ้นชาร์ทบิลบอร์ด 200 ในสัปดาห์แรกที่อันดับ 18 และต่อมาที่อันดับ 8 ตามลำดับ เมกาเดธกับมือกีตาร์ลีดคนใหม่ คริส บรอเดริก กำลังทำงานร่วมกันในผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 12 ออกวางขายเดือนกันยายน ค.ศ. 2009  แนวเพลงของเมกาเดธ มีความโดดเด่นด้านกีตาร์ ที่มักมีความซับซ้อน การไหลผ่านของดนตรีที่สลับซับซ้อน การสลับสับเปลี่ยนของโซโลกีตาร์ และเสียงคำรามที่เป็นเอกลักษณ์ของมัสเทน เช่นเดียวกับเนื้อเพลง ที่มักมีมุมมองด้านการเมือง สงคราม การเสพยา และปัญหาส่วนตัว ในฐานะวงดนตรีวงหนึ่งที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายของวงเฮฟวีเมทัลทั้งหมด เมกาเดธมียอดขายมากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก กับผลงานอัลบั้ม 6 ชุดที่ได้รับการยืนยันในระดับแผ่นเสียงทองคำขาวในสหรัฐอเมริกา วงยังได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี กับการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 7 ครั้งติดต่อกันในสาขาการแสดงดนตรีเมทัลยอดเยี่ยม ใน 24 ปีของวง เมกาเดธมีสมาชิกอย่างเป็นทางการ 20 คน โดยมีเดฟ มัสเทนเป็นผู้ผลักดันอยู่ ทำหน้าที่เขียนเพลงหลัก และสมาชิกดั้งเดิมที่หยุดไปในปี 2002 คือ เดวิด เอลเลฟสัน เนื่องจากปัญหาความไม่ลงรอยกันส่วนตัว เมกาเดธถือเป็น 1 ใน 4 ของ "บิ๊กโฟร์" ของวงดนตรีแนวแทรชเมทัล ร่วมกับเมทัลลิกา, สเลเยอร์ และแอนแทรกซ์ ที่ได้รับความนิยมในแนวเพลงนี้ในทศวรรษ 1980

เนอร์วานา (Nirvana) เป็นวงที่ทำเพลงแนวกรันจ์ และอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก เริ่มตั้งวงเมื่อปี 1987 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา และยุบวงในปี 1994 เมื่อ เนอร์วานา ออกอัลบั้ม Nevermind ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 2 ในปี 1991 ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เปลี่ยนไป เพราะ เนอร์วานา ทำให้แนวเพลงพังค์ร็อก โพสท์พังค์ และอินดี้ร็อกได้รับความนิยมในตลาดหลักของอเมริกา อย่างที่ไม่เคยมีวงใดทำได้มาก่อน ซิงเกิ้ล "สเมลส์ไลก์ทีนสปิริต" (Smells Like Teen Spirit) เป็นซิงเกิ้ลเพลงเดียว ของอัลบั้ม เนเวอร์ไมล์ และของวงนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงกับวัยรุ่นในช่วงนั้น และเป็นการประสบความสำเร็จ อย่างที่ไม่คลาดคิดมาก่อนว่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ จึงถูกขนานนามโดยพวกวัยรุ่นสมัยนั้นว่า เป็น "เพลงชาติของเด็กไม่แยแส" ซิงเกิ้ลนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นเพลงประจำวงนี้ไปโดยปริยาย  เนอร์วานา ประสบความสำเร็จ ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 25 ล้านแผ่น และกว่า 75 ล้านแผ่นทั่วโลก



เคิร์ท โคเบน (ร้องนำ, กีต้าร์) พบกับคริส โนโวเซลิก (มือเบส) ในปี 1985 ที่เมืองอาเบอร์ดีน รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้เมืองเล็ก ๆ ห่างจากซีแอ็ทเทิล 100 ไมล์ ภูมิหลังของ คริสราบเรียบกว่าเคิร์ท เพราะตอนอายุ 8 ปีเคิร์ทต้องเผชิญกับปัญหาจากการหย่าร้าง ของบิดามารดา หลังจากทั้งคู่หย่ากันแล้ว เคิร์ทก็ต้องเวียนไปอยู่ตามบ้านญาติ เขาชอบเพลงของเดอะ บีทเทิ้ลส์ จากนั้นก็หันมาชอบเพลง เฮฟวี่เมทัล ในที่สุดเคิร์ท ก็หลงรักเพลง ฮาร์ดคอร์พังค์ ทั้งยังได้พบกับวง The Melvins ซึ่งเป็นวงเฮฟวี่พังค์อันเดอร์กราวด์ ต่อมา เคิร์ทก็เริ่มเล่นดนตรีให้วงพังค์อย่าง Fecal Matter โดยส่วนใหญ่จะไปกับเดล โครเวอร์ มือเบสของ The Melvins บัซซ์ ออสบอร์น หัวหน้าวง The Melvins แนะนำให้เคิร์ท รู้จักกับคริส โนโวเซลิก ซึ่งสนใจดนตรีพังค์เช่นกัน การสนใจแนวเพลงพังค์ ทำให้ทั้งเคิร์ทกับคริสรู้สึกแปลกแยก จากคนส่วนใหญ่ในอาเบอร์ดีน ที่เป็นคนงาน ทั้งคู่จึงตัดสินใจ ตั้งวงชื่อว่า The Stiff Woodies โดยเคิร์ท เป็นมือกลอง คริสเป็นมือเบส ส่วนตำแหน่งกีต้าร์ กับร้องนำนั้น มีหลายคนสลับสับเปลี่ยนกันไป จนในที่สุดเคิร์ทก็เล่นกีต้าร์และร้องเอง หลังจากเปลี่ยนชื่อวงเป็น Skid Row วงของเคิร์ท ก็มีสมาชิกทั้งหมดเป็น 3 คน ผู้ที่มาเพิ่มคือ แอรอน เบิร์คฮาร์ท มือกลอง แต่พอถึงปี 1986 แอรอนก็ออกจากวง ผู้ที่มาแทนคือแช้ด แชนนิ่ง ต่อมาในปี 1987 Skid Row ก็เปลี่ยนชื่อเป็น เนอร์วานา เนอร์วานา เริ่มจากการเล่นดนตรี ตามงานเลี้ยง ในเมืองโอลิมเปีย จนมีแฟนเพลงกลุ่มใหญ่พอควร ในปี 1987 เนอร์วานา ทำเดโมเทป 10 ม้วน กับโปรดิวเซอร์ แจ็ค เอ็นดิโน่ ซึ่งได้นำเทปตัวอย่างไปเสนอ โจนาธาน โพนแมน หนึ่งในผู้ก่อตั้ง บริษัทแผ่นเสียงอิสระ ในซีแอ็ทเทิล ชื่อ Sub Pop ในที่สุดเนอร์วานา ก็ได้เซ็นสัญญาบริษัท และเดือนธันวาคม ปี 1988 เนอร์วานา ก็ออกซิงเกิลแรก เป็นเพลงเก่าของวง Shocking Blue ชื่อ Love Buzz ค่าย Sub Pop วางแผนการตลาด โดยให้สร้างภาพให้ เนอร์วานา เป็นวงหลังเขาจากเมืองอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งทำให้เคิร์ท กับคริสไม่พอใจ เพลง Love Buzz ได้รับการยอมรับพอสมควร แต่ผลงานที่ทำให้ เนอร์วานา เป็นที่รู้จักคืออัลบั้ม Bleach ซึ่งใช้เงินในการบันทึกเสียงกว่า 600 เหรียญเท่านั้น แต่เมื่อออกขายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1989 Bleach ก็ค่อย ๆ ฮิตตามสถานีวิทยุมหาวิทยาลัย เนื่องจาก เนอร์วานา ออกทัวร์คอนเสิร์ตสม่ำเสมอ แม้ในปกอัลบั้ม Bleach จะระบุชื่อมือกีต้าร์คนที่ 2 ไว้ว่าเป็น เจสัน เอฟเวอร์แมน แต่เขาไม่ได้ร่วมบันทึกเสียงด้วยเลย เจสัน เพียงแต่ออกทัวร์คอนเสิร์ตเท่านั้น ก่อนจะออกจากวงไปในช่วงปลายปี เพื่อไปอยู่กับวง Soundgarden และMindfunk อัลบั้ม Bleach ขายได้ถึง 35,000 ชุด และ เนอร์วานา ก็ได้รับความนิยมจากสถานีวิทยุตามมหาวิทยาลัย และ นิตยสารดนตรีในอังกฤษ นอกจากนี้ วง Sonic Youth Mudhoney และ Dinosaur Jr. ก็ชื่นชม เนอร์วานา ด้วย ทำให้ค่ายเทปใหญ่ ๆ หันมาสนใจ เนอร์วานา ในช่วงฤดูร้อน เนอร์วานา ออกซิงเกิล Sliver กับ Dive ซึ่งมีแดน ปีเตอร์สจากวง Mudhoney มาเล่นกลองให้ ส่วนโปรดิวเซอร์คือ บุช วิค นอกจากจะบันทึกเสียง เพลงทั้งสองกับวิคแล้ว เนอร์วานายังทำเดโมเทปอีก 6 เพลงกับวิคด้วย เดโมชุดนี้ ไปถึงมือค่ายยักษ์ซึ่งแย่งกัน เซ็นสัญญากับ เนอร์วานา ปลายฤดูร้อน เดฟ โกรลห์ อดีตสมาชิกวง Scream วงแนวฮาร์ดคอร์จากวอชิงตันดีซี ก็เข้ามาเป็นมือกลองของ เนอร์วานา หลังจากนั้นก็เซ็นสัญญากับค่ายดีจีซีด้วยค่าตัว 287,000 เหรียญ เนอร์วานา บันทึกเสียงอัลบั้มที่ 2 กับวิค จนเสร็จในฤดูร้อนปีนั้นเอง ช่วงปลายฤดูร้อน หลังจาก เนอร์วานา ออกทัวร์คอนเสิร์ตกับ Sonic Youth พวกเขา ออกอัลบั้มชุดที่ 2 ในเดือนกันยายน ชื่อ Nevermind หลังออกอัลบั้ม เนอร์วานา ก็ออกทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาทันที ค่ายดีจีซี ต้นสังกัดของ เนอร์วานา ตั้งเป้าว่า Nevermind จะขายได้ประมาณ 100,000 ชุด แต่ปรากฏว่า Nevermind ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขายชุดแรกจำนวน 50,000 แผ่นได้ในเวลาไม่นาน จนขาดตลาดทั่วอเมริกา เพลงที่ช่วยให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จคือ Smells Like Teen Spirit เพลงร็อก 4 คอร์ดที่มีการนำ มิวสิก วิดีโอ ออกกระหน่ำฉายทางเอ็มทีวี ต้นปี 1992 เพลง Smells Like Teen Spirit ก็ขึ้นถึงท็อป 10 ในอเมริกา และ Nevermind ก็ทำให้อัลบั้ม Dangerous ที่สร้างชื่อให้ ไมเคิล แจ็คสัน อีกครั้ง ต้องตกจากอันดับที่ 1 นอกจากนี้ Nevermind ยังติดท็อป 10 ที่อังกฤษหลังจากนั้นไม่นานด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ Nevermind ก็ได้แผ่นเสียงทองคำขาวถึงสามแผ่น ความสำเร็จของ เนอร์วานา เป็นเรื่องน่าประหลาดใจในวงการเพลง พวกเขาเองก็แปลกใจเช่นกัน เนื่องจากปัญหาส่วนตัวของ เคิร์ท โคเบน ตกเป็นข่าวไปทั่ว เนอร์วานา จึงบันทึกเสียงอัลบั้มต่อจาก Nevermind ไม่ได้จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิปี 1993 ในช่วงที่หยุดไป ดีจีซี ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงของ เนอร์วานา ชื่อว่า Incesticide ในช่วงปลายปี 1992 อัลบั้มนี้ ขึ้นถึงอันดับ 39 ในอเมริกา และอันดับ 14 ในอังกฤษ ผลงานอีกชิ้นที่ออกมาก่อนออกอัลบั้มที่ 3 คือซิงเกิลที่ เนอร์วานา ร่วมทำกับวง The Jesus Lizard ที่ชื่อ Oh, The Guilt โดยซิงเกิลนี้ มีค่าย ทัชแอนด์โก เป็นต้นสังกัด ในอัลบั้มที่ 3 เนอร์วานา เลือกสตีฟ อัลบินี่ โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานกับ Pixies BreedersBig Black และจJesus Lizard มาเป็นโปรดิวเซอร์  อัลบั้ม In Utero ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 3 ของ เนอร์วานา ออกมาในฤดูใบไม้ผลิ 1993 หลังทำอัลบั้มนี้เสร็จ เนอร์วานา ก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวอีกครั้ง เคิร์ทเสพย์เฮโรอีนเกินขนาด ในวันที่ 2 พฤษภาคม แต่ข่าวนี้ถูกปิดไว้ เดือนต่อมา คอร์ทนีย์เรียกตำรวจไปที่บ้านในซีแอ็ทเทิ่ล หลังจากเคิร์ท ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ และขู่จะฆ่าตัวตาย ก่อนออกอัลบั้ม In Utero เคิร์ทเคยเสพย์ยาเกินขนาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ใน งานสัมมนาดนตรีแนวใหม่ที่ห้องโรสแลนด์บอลรูมในนิวยอร์ก ในเดือนกรกฎาคม ช่วงนั้นเอง เริ่มมีข่าวในนิวสวีค และสื่ออื่น ๆ ว่าดีจีซีไม่พอใจอัลบั้มใหม่ ทั้งยังกล่าวหา เนอร์วานา ว่าตั้งใจออกอัลบั้ม ไม่ให้ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ ทางวง และต้นสังกัดปฏิเสธข่าวดังกล่าว แต่ต่อมา เนอร์วานา ตัดสินใจปลด สตีฟ อัลบินี่ เพราะเห็นว่า ผลงานของสตีฟเรียบเกินไป และดึง สก็อต ลิทท์ โปรดิวเซอร์ของ R.E.M.มาปรับปรุงเพลง In Utero ออกวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 1993 และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ทั้งยังทำยอดขายช่วงแรกได้ดี ทำให้เข้าอันดับเป็นอันดับ 1 ทั้งในอังกฤษ และอเมริกา เนอร์วานา ออกคอนเสิร์ตในอเมริกา เพื่อโปรโมตอัลบั้มชุดนี้ โดยได้จ้าง แพ็ท สเมียร์ อดีตมือกีต้าร์วง Germs มาช่วยเล่นกีต้าร์เสริม แม้ตัวอัลบั้ม กับการแสดงคอนเสิร์ต จะประสบความสำเร็จ แต่ยอดขายกลับไม่สูงอย่างที่คาดไว้ การแสดงสดหลายครั้งขายบัตรได้ไม่มาก ต้องรอจนถึงสัปดาห์ที่มีการแสดง จึงขายหมด ด้วยเหตุนี้ เนอร์วานา จึงยอมรับปากเล่นคอนเสิร์ตแบบอะคูสติกที่ชื่อ Unplugged ของเอ็มทีวีตอนปลายปี หลังจากคอนเสิร์ตของเอ็มทีวีครั้งนี้ ออกอากาศในเดือนธันวาคม ยอดขาย In Utero ก็สูงขึ้น หลังจบการทัวร์คอนเสิร์ตในอเมริกา เมื่อวันที่ 8 มกราคม 1994 ที่เซ็นเตอร์ อารีน่าในซีแอ็ทเทิ่ล เนอร์วานา ก็เริ่มทัวร์คอนเสิร์ตในยุโรปในเดือน กุมภาพันธ์ หลังจากแสดงคอนเสิร์ตในมิวนิควันที่ 29 กุมภาพันธ์ เคิร์ทก็อยู่ที่กรุงโรมกับคอร์ทนีย์ต่อ เพื่อพักผ่อน วันที่ 4 มีนาคม เมื่อคอร์ทนีย์ตื่นมาก็พบว่า เคิร์ทพยายามฆ่าตัวตาย โดยทานยาโรฟีนอล ซึ่งเป็นยานอนหลับพร้อมกับแชมเปญ แม้ข่าวจะออกมาว่า เคิร์ทไม่ได้ตั้งใจฆ่าตัวตาย แต่สมาชิกวงเนอร์วานา ทราบดีว่าเคิร์ททิ้งจดหมายลาตายไว้ หลังอยู่โรงพยาบาล 1 สัปดาห์ เคิร์ทก็กลับซีแอ็ทเทิ่ล สุขภาพจิตของเขาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ในวันที่ 18 มีนาคม ตำรวจต้องกล่อมให้เคิร์ท เลิกคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาขังตัวเองไว้ในห้อง และขู่จะฆ่าตัวตาย คอร์ทนีย์ กับผู้จัดการวง เนอร์วานา จัดการให้เคิร์ท เข้ารับการบำบัดที่ศูนย์บำบัดเอ็กโซดัส ในลอสแอนเจลิส เมื่อวันที่ 30 มีนาคม แต่เคิร์ทก็หนีออกมาได้ในวันที่ 1 เมษายน แล้วกลับไปซีแอ็ทเทิ่ล มารดาของเคิร์ท แจ้งความว่าเคิร์ทหายไปในวันที่ 4 เมษายน ในวันที่ 5 เคิร์ทก็ยิงศีรษะตนเองที่บ้านในซีแอ็ทเทิ่ล แต่ยังไม่มีใครพบศพ จนกระทั่งวันที่ 8 เมษายน เมื่อช่างไฟที่ไปติดตั้งระบบสัญญาณเตือน ที่บ้านของเคิร์ท ไปสะดุดร่าง ของเขาเข้า หลังเสียชีวิต เคิร์ท โคเบน กลายเป็นเสมือนกระบอกเสียง ของคนรุ่นเจนเนอเรชั่น เอกซ์ ทันที ทั้งยังกลายเป็น สัญลักษณ์ของความทรมาน และความกดดัน ของคนรุ่นนี้ คริส โนโวเซลิก กับเดฟ โกรลห์ วางแผนจะออกอัลบั้มซีดีแผ่นคู่ รวมการแสดงสดในช่วงปลายปี 1994 แต่การเลือกเพลงจากเทป ทำให้ทั้งสองเจ็บปวดมาก ดังนั้นจึงมีการนำเพลงในรายการ MTV Unplugged in New York มาออกแทน อัลบั้มนี้เป็นอันดับ 1 ตั้งแต่เข้าอันดับ ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ในปี 1996 ก็มีการออกอัลบั้ม From The Muddy Banks Of The Wishkah ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา ในสัปดาห์แรกที่เข้าอันดับ หลังจากเคิร์ท โคเบนเสียชีวิต เดฟ โกรลห์ก็ตั้งวงThe Foo Fighters ซึ่งออกอัลบั้มชุดแรกในฤดูร้อนปี 1995 ส่วนคริส โนโวเซลิกก็ตั้งวง Sweet 75 และออกอัลบั้มแรก ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1997 และตอนนี้ ฟอร์มวงที่มีชื่อว่า Eyes Adrift แม้เพลงของ เนอร์วานา น่าจะฟังดูคล้ายส่วนผสม ระหว่าง เพลงของ แบล็กแซ็บบาธ กับ Cheap Trick แต่เพลงของ เนอร์วานา เป็นอินดี้ร็อกขนานแท้ เนอร์วานา นำเพลงของ Vaselines มาร้อง และยังปลุกกระแส นิวเวฟด้วย เคิร์ท โคเบน หัวหน้าวง เนอร์วานา ผลักดัน วงดนตรีที่เขาชื่นชอบอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรี แนวอาร์ตพังค์อย่าง Raincoats หรือวงแนวฮาร์ดคอร์ อย่าง The Meat Puppets จนดูเหมือนว่า เพลงในดวงใจของเคิร์ท สำคัญกว่าเพลงของตัวเขาเอง เนื่องจาก เนอร์วานา มีพื้นฐานจากแนวอินดี้ แต่ชอบเพลงป็อป แนวเพลงของวง ที่ออกมาระหว่าง การเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จึงแปรผันไปตามเวลา จนกระทั่ง เนอร์วานา กลายเป็นวงแอนตี้ร็อก ที่อื้อฉาวที่สุดวงหนึ่ง ในประวัติศาสตร์วงการเพลง ช่วงที่ออกอัลบั้ม Nevermind เนอร์วานา มักยั่วยุกลุ่มแฟนเพลง เช่น เมื่อ เคิร์ท โคเบน ไปออกรายการ Headbanger's Ball ของเอ็มทีวี โดยแต่งตัวเป็นผู้หญิง นอกจากนี้ สมาชิกวงยังล้อเลียนรายการ Top Of The Pops ของสถานีโทรทัศน์บีบีซีด้วย โดยคริส โนโวเซลิก โยนเบสขึ้นลงตลอดเวลา และเคิร์ทก็ร้องเพลงแบบ เอียน เคอร์ทิส เวลาแสดงสด การทำลายเครื่องดนตรีของ เนอร์วานา ก็มีให้เห็นกันประจำ ภาพเช่นนั้น กลายเป็นภาพติดตาเมื่อ เนอร์วานา ทำลายเครื่องดนตรี ในรายการ Saturday Night Live แล้วลงเอยด้วยการที่ คริส โนโวเซลิก กับ เดฟ โกรลห์ จูบกัน

พับลิกเอเนมี (Public Enemy) เป็นกลุ่มดนตรีฮิปฮอปสัญชาติอเมริกัน ประกอบด้วย Chuck D, Flavor Flav, DJ Lord, The S1W group, Khari Wynn และ Professor Griff ก่อตั้งขึ้นที่เกาะลอง รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1982 พวกเขาเป็นที่รู้จักด้วยเนื้อหาเพลงทางด้านการเมืองและการวิจารณ์ของสื่ออเมริกัน อัลบั้ม 4 ชุดแรกของพวกเขาที่ออกระหว่างช่วงปลายยุค 1980 และต้นยุค 1990 ได้รับการรับรองทั้งในระดับทองคำและทองคำขาว โดยสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา

กอร์ดอน แมททิว โทมัส ซัมเนอร์ (Gordon Matthew Thomas Sumner, CBE) เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1951 หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ สติง (Sting) เป็นนักดนตรี นักแสดงชาวอังกฤษ จากวอลล์เซนด์ ในนอร์ธไทน์ไซด์ ก่อนที่จะก้าวสู่ฐานะศิลปินเดี่ยวเขาเป็นนักเขียนเพลงและนักร้องและมือเบสให้กับวงร็อกที่ชื่อ เดอะโพลิซ ในฐานะศิลปินเดี่ยวและสมาชิกวงเดอะโพลิซ สติงได้รับรางวัลแกรมมี่ 16 ครั้งจากผลงานของเขา ได้รับรางวัลแกรมมี่ครั้งแรกในสาขาแสดงดนตรีร็อกบรรเลงยอดเยี่ยมในปี 191 และเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงยอดเยี่ยม 3 ครั้ง

สปานเดาบัลเลต์ (Spandau Ballet) เป็นวงดนตรีจากประเทศอังกฤษ ก่อตั้งตั้งแต่ ปลายยุค 1970s ได้รับอิทธิพลจาก นิวโรแมนติก แฟชั่น เพลงของพวกเขามีคุณลักษณะผสมกับดนตรีแนว ฟังก์, แจ๊ส, โซล และ ซินธ์ป็อป ประสบความสำเร็จในคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยได้ ท็อปเทนซิงเกิล เมื่อแรกตั้งวง ใช้ชื่อวงว่า "The Cut" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "The Makers" และเปลี่ยนเป็น "Spandau Ballet" หลังจากดีเจที่เป็นเพื่อนสนิทกับสมาชิกวง ชื่อโรเบิร์ต เอล์มส ไปเห็นชื่อนี้เขียนอยู่ที่ผนังห้องน้ำของไนท์คลับแห่งหนึ่งในเยอรมนี  ชื่อนี้มีที่มาจากชื่อเรือนจำแห่งหนึ่งในเขตสปานเดา กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นสถานที่ทีมีการประหารชีวิตนักโทษชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นสำนวนที่ผู้คุมนาซีใช้เรียกอากัปกิริยาของนักโทษ ขณะกำลังเสียชีวิตด้วยการแขวนคอ  บางแหล่งก็ว่าหมายถึงอาการของนักโทษประหารในห้องรมแกส  ที่คล้ายกับการเต้นบัลเลต์

ไมเคิล เลิร์นส ทู ร็อก (Michael Learns To Rock) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า MLTR เป็นกลุ่มดนตรีป็อปร็อก จากประเทศเดนมาร์ก ที่ซึ่งร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เริ่มก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1988 ประกอบด้วยสมาชิก 3 คนได้แก่ Jascha Richter, Mikkel Lentz, Kåre Wanscher พวกเขามีชื่อเสียงในทวีปเอเชียมาก เนื่องจาก ทำตลาดในเอเซีย จึงทำให้คนในเอเซียรู้จักวงนี้มากกว่า วงนี้จึงไม่ค่อยรู้จักในยุโรป หรือสหรัฐ ปัจจุบัน วงนี้ ขายอัลบั้ม และ ซิงเกิ้ลได้ มากถึง 11 ล้านแผ่นทั่วโลก โดยเฉพาะ ซิงเกิ้ล เทกมีทูยัวร์ฮาร์ต ซิงเกิ้ลเดียว ได้ผลตอบรับสูงมาก ด้วยยอดขาย 6 ล้านก๊อปปี๊ ภายในปีเดียว ทำให้ได้รับการบันทึกว่า "เป็นซิงเกิ้ลที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดแห่งปี 2006" ปัจจุบัน วงนี้มี อัลบั้มทั้งหมดแล้ว 8 อัลบั้ม มีอัลบั้มรวมเพลงฮิตหนึ่งอัลบั้ม ชื่อว่า "เพนท์ไมย์เลิฟ" (Paint My Love) เอ็มแอลทีอาร์ ได้รับรางวัลมากมายหลายรางวัลเช่น RSH จากเยอรมนี, SEA หรือ รางวัลแกรมมี่ สิงคโปร์ เป็นต้น มีผลงานเพลงฮิต หลายเพลงเช่น "สลีปปิ้ง ไชลด์ (Sleeping Child)" "ทเวนตีไฟฟ์ มีนิตส์ (25 Minutes)" "เทกมีทูยัวร์ฮาร์ต (Take Me To Your Heart)" "เพนท์ไมย์เลิฟ (Paint My Love)" "แดทส์ ไว (That's Why (You go away)" เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ว่า "เป็นวงดนตรีที่ไม่ได้เกิดในสหรัฐ หรือ อังกฤษ แต่รุ่งโรจน์ เทียบเท่ากับ วงใหญ่ๆ ในประเทศเหล่านั้นเลย"



แชร์ (Cher ;IPA: /ʃɛɹ/) หรือชื่อเกิด เชอริลีน ซาร์กิเซียน (Cherilyn Sarkisian) เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1946] เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงแนวป็อป เป็นนักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์เพลง เธอเคยได้รับ 1 รางวัลออสการ์, 1 รางวัลแกรมมี่, 1 รางวัลเอมมี,3 รางวัลลูกโลกทองคำ และได้รับเขียนมีชื่อบนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม  แชร์เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้อง ในปี 1965 ในวงดูโอแนวป็อปร็อก ที่ชื่อซันนีแอนด์แชร์ ต่อมาเธอออกมาทำงานผลงานเดี่ยว และเป็นดาราทางโทรทัศน์ในทศวรรษ 1970 และนักแสดงภาพยนตร์ในทศวรรษ 1980 โดยมีผลงานภาพยนตร์อย่าง The Witches of Eastwick, Silkwood, Mask และ Moonstruck จากเรื่องหลังที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิง  ผลงานเพลงดังของเธอคือ เพลงเต้นรำซิงเกิลที่ชื่อ "Believe" ที่มียอดขายกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก เธอเป็นศิลปินหญิงเพียงคนเดียวที่มีเพลงท็อป 10 ในทุกทศวรรษตั้งแต่ ทศวรรษ 1960 และเป็นศิลปินหญิงที่อายุเยอะที่สุดที่มีเพลงติดอันดับ 1 กับอาชีพการงานของเธอกว่า 40 ปี แชร์เป็นไอค่อนของวัฒนธรรมสมัยนิยม เป็นคนที่โด่งดังและเป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี[5] ล่าสุดเธอแสดงที่ เซซาร์สพาเลซ ในลาสเวกัส กับโชว์ของเธอที่ชื่อ "Cher at the Colosseum" แชร์ยังมีเสียงร้องแบบ contralto

ไดอาน่า รอสส์ (Diana Ross) เป็นนักร้องชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เจ้าของรางวัลแกรมมี่ เธอร้องเพลงในสไตล์ อาร์แอนด์บี โซล ดิสโก้ และป็อป ,ไดอาน่า รอสส์ เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำของวง เดอะซูพรีมส์ (The Supremes) กลุ่มศิลปินหญิงที่มีชื่อเสียงในยุค 60 จนกระทั่งเธอออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว ประสบความสำเร็จในยุค 70 มีเพลงดังอย่าง Touch Me In The Morning,You Are Everything และ Theme From Mahogany (Do You Know Where You're Going To) เป็นต้น นอกจากนั้นเธอได้แสดงภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และ ละครบรอดเวย์ ในส่วนของรางวัลเธอเคยได้รับรางวัลโทนี่ และเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ และ รางวัลออสการ์มาแล้ว ในปี 1972 เธอได้รับเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงนำหญิง จากภาพยนตร์เรื่อง Lady Sings The Blues สร้างจากหนังสือัตชีวประวัติของ บิลลี ฮอลิเดย์ ในปี 1976 นิตยสารบิลบอร์ดได้มอบรางวัล female entertainer of the century ให้ และ กินเนสส์บุ๊คประกาศว่า ไดอาน่า รอสส์ คือศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในศตวรรษที่ 20 ด้วยเพลงอันดับ 1 ในอเมริกา 18 เพลง (6 ในฐานะศิลปินเดี่ยว 12 กับวง เดอะ ซูปพรีมส์)

ริชาร์ด พอล แอสต์ลีย์ (Richard Paul Astley) หรือเรียกย่อว่าริค แอชลีย์ (Rick Astley) เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1966 ที่ Newton-le-Willows, Lancashire ปัจจุบันคือ Merseyside เป็นนักร้องชาวอังกฤษ นักแต่งเพลง นักดนตรี แอสต์ลีย์แต่งงานกับโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ ลี เบาซาเกอร์ มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน แอสต์ลีย์มีผลงานเพลงที่มียอดขายมากกว่า 40 ล้านชุดทั่วโลก เขามีผลงานที่เป็นที่รู้จักดีกับซิงเกิลในปี 1987 เพลง "Never Gonna Give You Up" ที่เป็นเพลงฮิตใน 16 ประเทศ ในปี 2007 แอสต์ลีย์ ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางอินเทอร์เน็ต เมื่อวิดีโอของเขาเพลง "Never Gonna Give You Up" เป็นกระแสทางอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อว่า "ริกโรลลิง" แอสต์ลีย์ยังได้รับการโหวดจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ว่าเป็น "Best Act Ever" ในงานเอ็มทีวี ยุโรป มิวสิก อวอร์ดส 2008

เคนเนธ บรูซ กอลีลิกซ์ (Kenneth Bruce Gorelick) (เกิด: 5 มิถุนายน 1956) รู้จักกันดีในชื่อของ เคนนี จี เป็นนักดนตรีชาวอเมริกันที่เล่นดนตรีแนว adult contemporary และเป่าแซกโซโฟนแนวสมูธแจ๊ส เขาเริ่มประสบความสำเร็จจากอัลบั้มที่ 4 "ดูโอ้โทนส์ (Duotones)" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ขายได้ถึง 28 ล้านแผ่น จึงทำให้เขามีชื่อเสียงมากในช่วงปี 1980 ผลงานของ เคนนี จี นับเป็นผลงานทางดนตรีที่ประสบความสำเร็จในยอดขายสูงที่สุดในโลก ด้วยยอดขายทั่วโลกมากกว่า 75 ล้านก็อปปี๊ ในปี 1997 เขาได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็นบุคคลที่เล่นโน้ตแซ็กโซโฟนยาวนานที่สุดในโลก โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Circular breathing เคนนี จี ใช้แซ็กโซโฟน รุ่น E-Flat ซึ่งสามารถทำเวลาได้ถึง 45 นาที กับอีก 47 วินาที บันทึกไว้ที่ งาน เจแอนด์อาร์ มิวสิค เวิร์ด ณ นครนิวยอร์ก ผลงานเพลง ที่มีชื่อเสียงเช่น The Moment, Forever in Love, Song Bird, Endless Love, You're Beautiful, Titanic เป็นต้น โดยปัจจุบันเคนนี จี ใช้แซ็กโซโฟนรุ่น เซลเมอร์ มาร์ก 6 โซปราโน, อัลโต และเทเนอร์ (Selmer Mark VI Soprano, Alto and Tenor Saxophones) นอกจากนี้เขายังไปเพิ่มบางส่วนของ แซ็กโซโฟน เข้าไปด้วย จึงเรียกแซ็กโซโฟนของเขาว่า "แซ็กโซโฟน เคนนี จี " เคนนี จี เกิดที่เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน กับพ่อแม่ครอบครัวชาวยิว (แม่ของเขาพื้นเพเป็นคน รัฐซัสแคตเชวัน, ประเทศแคนาดา) และเติบโตย่านเมืองซีเวิร์ดพาร์ก(Seward Park), ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวยิว. เค้าเริ่มเข้ามาสัมผัสกับกับแซกโซโฟนเมื่อเขาชมการแสดงของคนคนหนึ่งในรายการ ดิเอ็ดซัลลิแวนโชว์ เขาเริ่มเล่นแซกโซโฟนครั้งแรกในปี 1966 เมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะเล่นภายใต้การดูแลของนักเป่าแตรของเมืองชื่อ เจอราลด์ฟิสเตอร์(Gerald Pfister) และฝึกซ้อมพร้อมกับเรคคอร์ด ส่วนใหญ่กับโกรเวอร์วอชิงตันจูเนียร์ (Grover Washington, Jr.) โดยวิธีการฝึกก็คือพยายามเลียนแบบเสียงที่เค้าได้ยิน แซ็กโซโฟนอันแรกของเค้าก็คือ บัฟเฟตต์แคมพอนอัลโต (Buffet Crampon alto) เคนนี จี เข้าโรงเรียนประถมศึกษาที่โรงเรียนวิทเวอร์ด อีลิเมนทารี่ สคูล (Whitworth Elementary School) เรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ชาร์ปเพิล (Sharples Junior High School) ศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่แฟรงคลิน (Franklin High School) และจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งหมดอยู่ที่บ้านเกิดของเขาคือ ซีแอตเทิล เมื่อเขาเข้ามัธยมมีความพยายามที่จะเข้าร่วมกับวงดนตรีแจ๊สแต่ไม่สำเร็จ แต่เขาก็ความพยายามที่จะเข้าในปีถัดๆ ไปและจนกระทั่งเขาได้รับเข้าร่วมเป็นครั้งแรก ในโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย คือแฟรงคลินนั้นเขามีเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อว่า โรเบิร์ต แดมเปอร์ (Robert Damper) นักเปียโนกับคีย์บอร์ดซึ่งเป็นผู้เล่นในวงของเขา นอกเหนือจากการเรียนในสมัยมัธยม เค้าได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับแซกโซโฟน และแคริเน็ทจากจอนนี่ แจ๊สเซิล (Johnny Jessen) 1 อาทิตย์ต่อปี นอกจากนี้เขายังได้อยู่ในทีมกอล์ฟของโรงเรียนในสมัยมัธยมปลาย เขารักและชื่นชอบการเล่นกีฬาเริ่มมาจากพี่ชายของเขา , เบรน กอลีลิกซ์(Brian Gorelick),ที่แนะนำเขาเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ ซึ่งเป็นตอนเดียวกันกับที่เขาเริ่มเล่นแซกโซโฟน.เส้นทางอาชีพของเคนนี จี เริ่มต้นงานของไซด์แมนในวงเบรี่ไวท์ เลิฟ อันลิมิเต็ด ออเคสตร้า (แบร์รี ไวต์'s Love Unlimited Orchestra) ในปี 1973 ขณะนั้นเขามีอายุ 17 และยังอยู่มัธยม เขายังคงเล่นดนตรีอาชีพขณะเรียนเมเจอร์ในสายบัญชีในมหาวิทยาลัยวอชิงตันในเมืองซีแอตเทิลและจบการศึกษาโดยได้รับเกียรตินิยม(magna cum laude) เขาเข้าร่วมกับวงดนตรีสุดเจ๋งแนวฟังก์  ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกของเจฟลอเบอร์ฟิวชั่น(Jeff Lorber Fusion) เขาเริ่มการแสดงเดี่ยวในสายอาชีพหลังจากช่วงเวลากับเจฟลอเบอร์  เคนนี จี เซ็นสัญญากับอริสต้า เรคคอร์ด (Arista Records) ในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 1982, หลังจากประธานอริสต้า เรคคอร์ด ไคลฟ์ เดวิส(Clive Davis) ได้ยินการตีความของเพลง "แดนซ์ซิง ควีน(Dancing Queen)" เขาได้ออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นจำนวนมาก(solo albums) และมีโอกาสร่วมกับศิลปินมากมายรวมถึงอันเดรอา โบเชลลี, วิตนีย์ ฮิวสตัน, พีโบ ไบรสัน, อารอน นิววิว (Aaron Neville), โทนี แบรกซ์ตัน, ดีเจแจ๊สซี่ แจฟ แอนด์เดอะเฟรชปริ้น (DJ Jazzy Jeff & The Fresh Prince), นาตาลี โคล สตีฟ มิลเลอร์ (Steve Miller), วีเซอร์, ดัสลี่ มัวร์ (Dudley Moore), ลี ริทนาวร์ (Lee Ritenour), เดอะริฟพิงตัน (The Rippingtons), ไมเคิล โบลตัน, เซลีน ดิออน, แฟรงก์ ซินาตรา, สโมกีย์ โรบินสัน, เบเบิ้ล กลิลเบอร์โต้ (Bebel Gilberto), จอร์จ เบนสัน, แชนซ์ มัวส์ (Chante Moore) และอารีธา แฟรงคลิน ที่มีอิทธิพลมาจากแซกโซโฟน กอร์เวอร์ วอชิงตัน จูเนียร์ (Grover Washington, Jr) และอัลบั้มของเขาถูกจัดอยู่ในสมูทแจ๊ส  เคนนี จีได้รับความสำเร็จอย่างมากกับผลงาน จีฟอร์ต และ แกลฟ์วิตี้ (G Force and Gravity) และมีอัลบั้มที่ 2 และ 3 ตามมาเป็นลำดับ,ความสำเร็จของเขาคือ แพลตตินั่ม สเตตัส (platinum status) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยอดขายติดอันดับสูงในอัลบั้มที่ 4, ดูโอ้โทน (Duotones), ถูกขายได้มากกว่า 5 ล้านก๊อปปี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว. ในอัลบั้มที่ 6 ของเขา "Breathless", กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดเท่าที่เคยมี มียอดขายมากกว่า 15 ล้านก๊อปปี้ ซึ่งขายได้ 12 ล้านก๊อปปี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาทำลายสถิติอีกในอัลบั้มที่เป็นวันหยุดแรกของเขา นั่นคืออัลบั้ม "Miracles", ถูกขายได้มากกว่า 13 ล้านก๊อปปี้, ทำให้มันเป็นอัลบั้มคริสมาสต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปัจจุบัน


ในปี 1997, เคนนี จี ได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ในการเล่นแซกโซโฟนที่ยาวนานที่สุดบรรดาในการเป่าแซ็กโซโฟนที่เคยถูกบันทึกไว้ โดยมีการใช้เทคนิควิธีการระบายลมหายใจคือการเป่าที่มีลมเป่าต่อเนื่องยาวนานต่อเนื่องไม่ขาดช่วงนั้นเอง ที่เรียกกันว่า "circular breathing", เคนนี จีสามารถเป่าแซ็กโซโฟนรุ่น E-flat ได้เวลา 45 นาที 47 วินาที ที่เจแอนด์อาร์มิวสิคเวิลด์ ในเมืองนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา  ในปีเดียวกัน, เคนนี จี ได้มีเพลงชื่อ "Havana", ในอัลบั้มของเขาที่ชื่อว่า "The Moment", ที่ถูกสร้างและเรียบเรียงใหม่โดย "DJs Todd Terry" และ"Tony Moran" และถูกปล่อยเพื่อโปรโมทในคลับเต้นรำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลายเป็นติดชาร์ตเบอร์ 1 ในบิลด์บอร์ดแดนด์คลับในเดือนเมษายน ปี 1997 (บิลบอร์ด ฮอตแดนซ์คลับเพลย์) เคนนี จี ในปี 1999 มีซิงเกิล "What A Wonderful World" ซึ่งได้รับคำวิจารณ์มันใช้วิธีการอัดเสียงลงไปอีกที กับเสียงที่มีอยู่แล้ว (overdubbing) เพลงคลาสสิคของหลุยส์ อาร์มสตรอง เขาได้รับคำวิจารณ์หลักๆ จากคนที่เขาเคารพนับถืออย่างศิลปินเช่น อาร์มสตรอง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีที่จะช่วยในการปรับปรุงผลงานของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักดนตรีที่มีความลึกซึ้งและมีความเข้าใจในด้านดนตรีคลาส สิคแจ๊สก็จะมีคำถาม  บางคอลัมน์นิสต์ได้มีการวิจารณ์บอกว่าผลงานของ เคนนี จี เปิดกว้างสำหรับผู้ฟังในวงการดนตรีคลาสสิคแจ๊ส, แต่การวิจารณ์โดยรวมเป็นการวิจารณ์เป็นไปทางลบ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000, เคนนี จี ได้ถูกเชิญไปยังทำเนียบขาวและทำการแสดงบนเวทีให้กับผู้ว่าการรัฐและสมาชิก รัฐมนตรีของประธานาธิบดี บิล คลินตัน เคนนี จี มีการบันทึกเพลงจีน อย่างเช่น เพลง "โม่ลี่ฮัว" (茉莉花) หรือ "เยว่เหลียงไต้เปี่ยวหวอเตอซิน" (月亮代表我的心). เพลงของเขาได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน. เพลงของเขาอย่างเพลง "Going Home" มักจะถูกเล่นในเวลาปิดในที่สาธารณะหรือเวลาจบคลาสเรียนของโรงเรียน ระบบขนส่งมวลชนในเทียนจินและเซี่ยงไฮ้จะเล่นเพลงนี้เมื่อรถไฟเข้าใกล้สถานีปลายทางในช่วงปี 2003, เคนนี จี เป็นหนึ่งใน 25 ศิลปินที่มียอดขายสูงสุดในอเมริกาที่ถูกจัดอันดับโดยสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา(RIAA), 48 ล้านอัลบั้มที่ขายในสหรัฐอเมริกาที่ถูกขายในสหรัฐอเมริกาในช่วง 31 กรกฎาคม ปี 2006. ในปี 1994, เคนนี จี ได้รับรางวัลชนะในแกรมมีอวอร์ดในฐานะเพลงรักตลอดกาล(Grammy Award for Best Instrumental Composition) ในเดือนตุลาคม ปี 2009, เคนนี จี ปรากฏตัวขึ้นพร้อมวงวีเซอร์ ในบริษัทเอโอแอล มีการโปรโมทส่งเสริมการขายอัลบั้มของพวกเขาที่ชื่อว่า"Raditude" โดยมีการโซโลเพลง "I'm Your Daddy" เคนนี จี บอกว่าเขาไม่รู้จักการแสดงของวงวีเซอร์มาก่อน แม้ว่านักวิจารณ์เพลงบางคนด้วยเหตุนี้ทำให้กลับมาวิจารณ์ในการกลับมาทำงานร่วมกันของพวกเขา โดยเป็นการรวมตัวกันอย่างไม่น่าเชื่อโดยมีการตอบรับอย่างดีโดยนิตยสาร AOL magazines Spinner.com และ Popeater.com  ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 เคนนี จี และดนตรีของเขาเป็นส่วนสำคัญในโฆษณารถยนต์ซูปเปอร์โบลว์เอ็กซ์แอลวีของออดี้(Super Bowl XLV :เอาดี้) เรียกว่า "Release the Hounds."และเคนนี จี เริ่มเขาสู่หนังสั้นในหนังมีรายละเอียดเกี่ยวกับเขาเป็นหน่วยปราบปรามอยู่ในเรือนจำที่หรูหรา เขาได้ไปปรากฏตัวในมิวสิควิดีโอป๊อบสตาร์ของนักร้องคือ เคที เพร์รี(Katy Perry's single) ในเพลง"Last Friday Night (T.G.I.F.) " กับลุงเคนนี่(เรียก เคนนี จี ว่าลุง) ในวันที่ 8 เดือนตุลาคม ปี 2011 เรื่องราวชีวิตของคืนวันเสาร์(Saturday Night Live),เคนนี จี ปรากฏตัวพร้อมกับเสียงนักร้องโซปราโนกับแซกโซโฟนของเขา เข้าร่วมกับวงดนตรีร๊อค(อัลเทอร์เนทีฟ) วงมีชื่อว่า"Foster the People" กับการแสดงในเพลงของพวกเขาที่ชื่อว่า "Houdini." เคนนี จี ยังมีชื่อเสียงในการจัดรายการวิทยุและสามารถได้ยินเสียงของเขาทุกเช้าร่วมกับแซนดี้ โควัค (Sandy Kovach) ในรายการ WLOQ ในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา

เจเน็ต แจ็กสัน (Janet Jackson) มีชื่อจริงว่า เจเน็ต ดามิตา โจ แจ็กสัน (Janet Damita Jo Jackson) เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1966 เป็นนักร้องเพลงป็อป อาร์แอนด์บี น้องสาวของไมเคิล แจ็กสัน เธอเริ่มจากการแสดงละครโทรทัศน์ในช่วงเด็ก เรื่อง Diff'rent Strokes (ค.ศ. 1980 - 1984) จากนั้นก็ออกอัลบั้มในช่วงต้นยุค 80 คืออัลบั้ม Janet Jackson และ Dream Street จากนั้นจึงได้มาร่วมงานกับโปรดิวเซอร์อย่าง Jimmy Jam และ Terry Lewis ในช่วงกลางยุค 80 จึงประสบความสำเร็จกับอัลบั้ม Control (1986) ต่อมาคืออัลบั้ม Rhythm Nation 1814 (1989) ซึ่งอัลบั้มนี้เธอก็ได้รับรางวัลแกรมมี่ , janet (1993) , The Velvet Rope (1997) , All for You (2001) ,Damita Jo (2004) และ 20 Y.O. (2006) เจเน็ต อยู่ในอันดับ 9 ของการจัดอันดับของศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคร็อกแอนด์โรลล์ จัดโดยนิตยสารบิลบอร์ด  ในปี 2006 กินเนสส์บุ๊คประกาศว่า เจเน็ต แจ็กสันถือเป็นคนที่ถูกเสิร์ชบนอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และในปี 2007 เธออยู่ในอันดับ 7 ของ บุคคลในวงการดนตรีที่รวยที่สุด จัดโดยนิตยสาร Forbes Magazine
 

(หมายเหตุ  คัดลอกและเรียบเรียงข้อมูลจาก วิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น