วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

20 เรื่องที่เราควรรู้ (8) เกี่ยวกับคุณพ่ออเมริกาผู้น่ารัก ตอนที่ 8


เรื่องที่ 8  อเมริกากับอิสราเอล คู่หูปีศาจ ที่มีแนวคิดต้องการครอบครองโลก
จากแนวคิดเรื่องของ โคคา (Koka) และ วิโคคา (Vikoka) คู่แฝดเขย่าโลกที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง  จากตำนาน ปีศาจกาลีศัตรูคู่อาฆาตของ พระกัลกี (Kalki) ที่อาจถือเป็นพระเมซซิอาห์เวอร์ชั่นอินเดียก็คงพอได้ คือเป็นผู้ที่จะเสด็จมาขจัดความชั่ว ความเลวทราม ทั้งหลายในโลกนี้ให้หมดสิ้นลงไป เพื่อเปลี่ยนยุคแห่งความชั่ว หรือกลียุค ให้หวนกลับมาสู่ สัตตยายุคหรือยุคที่ความดีถูกฟื้นคืนกลับให้สมบูรณ์ บริบูรณ์ดังเดิมได้ต่อไป ตลอดช่วงเวลานับเป็นพันๆปีที่ ความเชื่อเหล่านี้ถูกแพร่กระจายในอินเดีย หรือในประเทศใดๆก็แล้วแต่ที่รับเอาอิทธิพลความเชื่อเช่นนี้สืบต่อกันมา ใคร? หรืออะไร? ที่เป็น หรือที่หมายถึง โคคาและ วิโคคาต่างถูกนำเอามาแปลความ ตีความ กันแบบมั่วๆมึนซ์ซ์ซ์ๆกันมาโดยตลอด...ไม่ต่างไปจากผู้ที่ถูกเรียกว่า โกก(Gog) และ มาโกก (Magog) ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาย ซึ่งถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตของ พระเมซซิอาห์หรือ ยะอุญจญ์ (Ya’juj)และ มะอุญจญ์ (Ma’juj)ในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ของชาวอิสลาม ที่เป็นปรปักษ์รายสำคัญของ พระมะห์ดีหรือพระเมซซิอาห์เวอร์ชั่นอิสลามอะไรประมาณนั้น การที่แนวคิดและความเชื่อของศาสนาต่างๆไม่ว่าฮินดู ยูดาย คริสต์ อิสลาม ดันมาตรงกันเช่นนี้จึงยิ่งทำให้ใครต่อใครที่กระหาย ใคร่รู้ พยายามหันมาตีความ แปลความ กันชนิดมึนซ์ซ์ซ์กันไปแทบทุกๆศาสนาก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็น โคคา-วิโคคา”  “โกก-มาโกกหรือ ยะอุญจญ์-มะอุญจญ์ก็ตามที ต่างถือเป็นศัตรูตัวร้ายของศาสนาแต่ละศาสนา แถมยังมีฐานะเป็นผู้ที่จะ จุดชนวนสงครามครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ จนผู้คนอาจต้องล้มตายกันชนิดครึ่งค่อนโลก เอาเลยก็ว่าได้...(คัดลอกและถอดความบางส่วนจากหนังสือ “ปริศนากลียุค? กับโลกใหม่หลังทุนนิยม”  เขียนโดย คุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์,สำนักพิมพ์กรีนปัญญาญาณ,2556)

การแปลความ ตีความ ตามความเชื่อเหล่านี้...มักเปลี่ยนไป-เปลี่ยนมาตามยุค ตามสมัย คือยุคใดที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือชาติหนึ่ง ชาติใด เป็นที่น่ารังเกียจ น่าเกลียด-น่ากลัว สำหรับชาติอื่นๆ ก็อาจถูกยัดเยียดให้กลายสภาพเป็น ศัตรูตัวร้ายของพระเมซซิอาห์ไปเป็นรายๆ ไล่มาตั้งแต่ชนชาติลึกลับอย่างชาว
ไซเธียน (Scytian) ที่สูญหายไปจากประวัติศาสตร์ไปนานแล้ว ไปจนถึงชาติเยอรมัน รัสเซีย อังกฤษ ฯลฯ แต่สุดท้ายนักตีความ แปลความ จำนวนไม่น้อย ก็หันมาให้ความสนใจที่จะแปลความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ มุ่งไปที่ชาติ อเมริกากับ อิสราเอลหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศที่หวิดๆจะเกิด สงครามโลกครั้งที่ 3เต็มที...อาจเป็นเพราะทั้งคู่ต่างมีสิทธิ จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3ได้ด้วยกันทั้งคู่ แถมมีฐานะไม่ต่างไปจากคู่แฝดในเวทีการเมืองโลกมาโดยตลอด ยิ่งถ้าลองไปพลิกคัมภีร์ กัลกี ปุราณะที่ให้คำอธิบายถึงบุคลิกลักษณะของ โคคาและ วิโคคาเอาไว้ละเอียดยิบ ยิ่งกว่า โกกและ มาโกกในคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ตาลมุด หรือ ยะอุญจญ์และ มะอุญจญ์ในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน สัญลักษณ์ต่างๆที่ถูกนำมาเปรียบเทียบ อุปมา-อุปมัย มันออกจะสอดคล้องกับความเป็น อเมริกาและ อิสราเอลอยู่ไม่น้อย เช่น โคคาที่เป็นแฝดผู้พี่นั้น คือผู้ที่มีพละกำลังมากมายมหาศาล สูงใหญ่พอๆกับเปรตอาจารย์กู้ ประมาณ 10 เมตรกว่าๆ ผิวเนื้อดำ-แดง มีพลังอำนาจในการล้างผลาญ ทำลาย ชนิดมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ไม่สามารถต่อกรได้โดยเด็ดขาด เพียงแต่เคลื่อนไหวเชื่องช้า อุ้ยอ้าย อันเนื่องมาจากความใหญ่โต เทอะทะ ต่างไปจากแฝดผู้น้องคือ วิโคคาที่รูปร่าง ลักษณะ ออกจะแปลกเอามากๆ คือมีผิวสีเขียวแกมน้ำเงิน ตัวเล็กพอๆกับเด็กทารก หรือพอๆกับประเทศอิสราเอลเมื่ออยู่บนแผนที่โลกอะไรประมาณนั้น แต่ผิวหนังกลับเหี่ยวย่นเหมือนคนแก่ แถมฉลาดเป็นกรด เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแห่งการคิดคดทรยศยิ่งกว่ามวลมนุษย์ใดๆในโลกนี้ สามารถหยั่งรู้จิตใจผู้คน จนนำไปสู่การหลอกล่อ หลอกลวง มวลมนุษย์ ด้วยกิเลศและผลประโยชน์ได้เสมอๆ แบบเดียวกับการหลอกล่อ หลอกลวง ด้วยระบบทุนนิยมอะไรทำนองนั้น...ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมาเพียงเพื่อที่จะเปรียบเปรยอุปมาอุปมัยให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของปีศาจร้ายคู่แฝดคู่หนึ่งที่ถูกระบุไว้ในพระคัมภีร์ของศาสนาสำคัญทั้ง 2 ศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากว่าตรงกับบุคลิกลักษณะสำคัญของมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลกในยุคปัจจุบันกับคู่แฝดของเขาที่ทำตัวเป็น......?  ของโลกอยู่ในเวลานี้  ที่น่าสนใจเอามากๆก็คือว่า...ในการปะทะขั้นแตกหักระหว่าง พระกัลกีกับ โคคาและวิโคคานั้น คัมภีร์กัลกี ปุราณะ บรรยายไว้ดังนี้ว่า... เมื่อองค์ศรีภควันกัลกี โดยความร่วมมือของเทพธรรมะและสัตยา บุกตะลุยฝ่าเข้าไปถึงป้อมค่ายอันเป็นที่มั่นสุดท้ายของปรปักษ์ แต่ทั้งโคคาและวิโคคายังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไปอย่างห้าวหาญ แม้พระองค์จะสังหารเขาด้วยหอก แต่เชื้อสายปิศาจเหล่านี้ ยังได้รับการปกป้องคุ้มครองด้วยมนต์ดำ เขารู้วิธีที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย แม้จะทรงสังหารเขาทั้งสองครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ก็ยังสามารถฟื้นคืนกลับมาใหม่จนได้ ถึงถูกตัดศีรษะ สับร่างออกเป็นชิ้นๆ แต่สุดท้าย...หัวและร่างกายยังคงกลับมารวมตัวและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ พระพรหมเจ้าจึงได้ตรัสต่อองค์กัลกีว่า เหตุที่ปิศาจทั้งสองมีพลังเช่นนี้ เนื่องจากได้รับประทานพรให้เป็นอมตะ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะสังหารทั้งคู่ให้ตายลงไปได้ คือ...จะต้องโจมตีในขณะที่แต่ละคนไม่ได้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว และจะต้องฆ่าให้ตายพร้อมๆกัน เมื่อได้ฟังคำแนะนำเช่นนี้  “พระกัลกีเลยฉวยจังหวะที่เกิดรอยแยกระหว่างคู่แฝดทั้งสอง แล้วแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างกลาง ใช้มือหนึ่งบีบคอ โคคาอีกมือหนึ่งตอกขมับ วิโคคาจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ลงไปจนได้ นำไปสู่การปิดฉาก กลียุคและเริ่มต้นศักราชการรื้อฟื้น สัตตยายุคขึ้นมาใหม่....ที่ว่าน่าสนใจก็เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานมานี้ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล นาย เบนจามิน เนทันยาฮูถึงขั้นอุตส่าห์บินข้ามน้ำ ข้ามทะเล เพื่อมา ด่าประธานาธิบดี โอบามาของอเมริกาในสภาคองเกรส อันเนื่องมาจากการยอมเปิดเจรจากับประเทศคู่กัดอย่างอิหร่านในกรณี นิวเคลียร์กันโดยเฉพาะ ในเมื่อ วิโคคาหันมาเล่นงาน โคคาแบบขย้ำกันสดๆ หรือแบบแค้นจัด กัดดะ ฝังเขี้ยวจมน่อง เช่นนี้ เสียดาย...ที่ยังไม่รู้ว่า พระกัลกีท่านเสด็จลงมายังโลกมนุษย์แล้วหรือไม่ เป็นใคร และอยู่ที่ไหน ไม่งั้น...จังหวะงามๆเช่นนี้ โอกาสที่จะบีบคอและตอกขมับ คู่แฝดเขย่าโลกทั้งสองให้สิ้นชีพตักษัย ไม่ต้องเสียเวลามาหวาดวิตกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อไหร่ มันจะได้หมดๆ จบๆ กันไปซะที... ...(ถอดความจากบทความ “คู่แฝดเขย่าโลก” โดย คุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์,หน้าเพจไอเอ็นเอ็นนิวส์ออนไลน์, 9 มี.ค.2558)


อิสราเอลเป็นประเทศเกิดใหม่ในช่วงไม่ถึงศตวรรษ แต่ก็เป็นประเทศคู่ขัดแย้งกับโลกมุสลิมมาโดยตลอดอันสืบเนื่องมาจาก
ความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอล (อาหรับ: الصراع العربي الإسرائيليAl-Sura'a Al'Arabi A'Israili; ฮีบรู: הסכסוך הישראלי-ערביHa'Sikhsukh Ha'Yisraeli-Aravi) หมายถึงความตึงเครียดทางการเมืองและความขัดแย้งทางทหารระหว่างสันนิบาตอาหรับและอิสราเอล และระหว่างชาวอาหรับกับชาวอิสราเอล ต้นตอของความขัดแย้งอาหรับอิสราเอลสมัยใหม่นี้เกิดจากความรุ่งเรืองของขบวนการไซออนิสต์และลัทธิชาตินิยมอาหรับช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดินแดนที่ชาวยิวมองว่าเป็นบ้านเกิดทางประวัติศาสตร์ของพวกตนนั้น ก็ถูกมองโดยขบวนการรวมอาหรับว่าเป็นดินแดนประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นของชาวอาหรับปาเลสไตน์  และเป็นดินแดนของมุสลิมในบริบทรวมอิสลาม ความขัดแย้งระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับปาเลสไตน์อุบัติขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ระหว่างเหตุจลาจลนบีมูซาเมื่อปี 1920 และบานปลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มขั้นในปี 1947 และขยายเป็นประเทศสันนิบาตอาหรับทั้งหมดเมื่อมีการสถาปนารัฐอิสราเอลสมัยใหม่ขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1948  เมื่อเวลาผ่านไป ความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งเริ่มต้นเป็นความขัดแย้งทางการเมืองและชาตินิยมเหนือความปรารถนาดินแดนที่แข่งกันหลังจักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย ได้เปลี่ยนแปลงจากความขัดแย้งอาหรับอิสราเอลในภูมิภาคเต็มขั้น ไปเป็นความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่จำกัดบริเวณกว่า โดยความเป็นปรปักษ์เต็มขั้นส่วนใหญ่สิ้นสุดลงด้วยการหยุดยิง หลังสงครามเดือนตุลาคม ปี 1973 ต่อมา มีการลงนามความตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์ในปี 1979 และอิสราเอลกับจอร์แดนในปี 1994 ข้อตกลงออสโลนำไปสู่การสถาปนาองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ในปี 1993 แม้จะยังไม่บรรลุความตกลงสันติภาพขั้นสุดท้ายก็ตาม ปัจจุบัน การหยุดยิงยังมีผลระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย เช่นเดียวกับเลบานอนที่เพิ่งลงนามไป (ตั้งแต่ปี 2006) ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกาซาที่ปกครองโดยฮามาส แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสันนิบาตอาหรับ แต่โดยปกตินับเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จึงเป็นความขัดแย้งอาหรับอิสราเอลด้วย แม้จะบรรลุความตกลงสันติภาพและการหยุดยิงต่าง ๆ แต่โลกอาหรับและอิสราเอลโดยทั่วไปยังหมางใจกันอยู่เหนือบางดินแดน (คัดลอกจากวิถีพีเดีย,สารานุกรมออนไลน์)

ปัญหาอิสราเอล ปาเลสไตน์ก็มีมาอย่างยาวนานมีสาเหตุที่สำคัญคือ

1.   ความเชื่อดั้งเดิมของชาวยิว  ชาวยิวเชื่อว่า ดินแดนคานาอัน หรือ ปาเลสไตน์ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าประธานให้แก่ชาวยิวตาม คำภีร์พันธสัญญาเดิม ชาวยิวเมื่อครั้งก่อนได้กระจัดพัดพรายไปตามดินแดนต่าง ๆ ทั่วยุโรป เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ชาวยิวถูกกวาดต้อนเข้าไปเป็นทาสในอียิปต์ เดินทางไปค้าขายในยุโรปและตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศนั้น ๆ การเป็นผู้ที่มีความสามารถทางด้านค้าขาย การเงิน การคลัง ทำให้ชาวยิวเป็นเจ้าหนี้ในหลาย ๆ ประเทศ แม้กระทั้งกษัตริย์เช่นสเปน ยิวได้เก็บดอกเบี้ยราคาแพง เอาเปรียบลูกหนี้มากมาย เมื่อลูกหนี้ไม่มีเงินใช้จึงเกิดการขับไล้กวาดล้างชาวยิวในที่ต่าง ๆ ผนวกกับการที่ประเทศลูกหนี้นับถือศาสนาคริสต์ทำให้ยิวถูกต่อต้านเช่นในสเปน โปรตุเกส เป็นต้น ยิวบางกลุ่มยอมเปลี่ยนศาสนาเพื่อความอยู่รอด บางกลุ่มที่เคร่งครัดได้หลบหนีไปยังประเทศต่าง ๆ และเหตุการณ์ที่สำคัญคือ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) ดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งเป็นของอังกฤษ มีชาวอาหรับเข้ามาอาศัยอยู่มาก (อพยพเข้ามาภายหลัง) ชาวยิวในยุโรปได้หลบหนีสงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กลับมาในดินแดนแห่งนี้ อันเนื่องมาจากความเชื่อเดิมตามพันธสัญญาของพระเจ้า และต้องการพึ่งใบบุญอังกฤษ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ เกิดการปะทะกันบ่อยครั้ง อังกฤษไม่สามารถควบคุมได้

2.  การจัดตั้งรัฐยิว  เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมอบปาเลสไตน์ให้กับองค์การสหประชาชาติดูแล องค์การสหประชาติ (อเมริกาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่) มีมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์เป็น 2 รัฐ คือ รัฐยิวและรัฐอาหรับ ส่วนนครศักดิ์สิทธิ์เยลูซาเลมให้อยู่ในภาวะทรัสตี  ฝ่ายยิวยอมรับมติดังกล่าว แต่ฝ่ายอาหรับไม่ยอมรับเพราะเห็นว่าสหประชาชาติตัดสินไม่ยุติธรรม โดยให้เหตุผลทางประวัติศาสตร์ว่า พวกตนเคยทำสงครามเพื่อดินแดนของพระมูฮัมหมัดนี้ในศตวรรษที่ 7 จึงอ้างสิทธิในการครอบครองดินแดน ส่วนฝ่ายยิวอ้างว่า ตนเคยครองครองดินแดนแห่งนี้ในสมัยกษัตริย์เดวิท (ผู้รวบรวมชนชาติยิวตามคัมภีร์เดิม)  จึงมีสิทธิในการครอบครองดินแดน ความขัดแย้งที่กล่าวมากลายเป็นชนวนสงครามที่ยาวนานนับครั้งใหญ่ได้  4 ครั้ง และครั้งย่อย ๆ อีกมากมายสืบมาจนถึงปัจจุบัน  สาเหตุปัจจุบันที่ทำให้เกิดความขัอแย้งขั้นรุนแรงคือ การก่อตั้งรัฐยิวนั่นเอง

สงครามยิวอาหรับ 

สงครามยิว-อาหรับ ครั้งที่ 1 ปี 1948 

วันที่ 14 พ.ย. 1948 ยิวประกาศความเป็นชาติโดยจัดตั้งรัฐอิสราเอล สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอาหรับ อีก 2 วัน ต่อมา กองทัพอาหรับ 6 ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ (ผู้นำ) ซีเรีย เลบานอน จอร์แดน อิรักและซาอุดิอารเบียเข้าโจมตีอิสราเอล สงครามครั้งนี้อิสราเอลเป็นฝ่ายชนะ ยึดดินแดนได้มากกว่าที่สหประชาชาติให้ และถือว่าเป็นสงครามเพื่ออิสรภาพของชาวยิว แต่ฝ่ายอาหรับสามารถยึดกรุงเยรูซาเลมฝั่งตะวันตกและเขตเวสแบงค์ได้

สงครามยิว-อาหรับ ครั้งที่ 2 ปี 1956 

อิสราเอลเป็นฝ่ายโจมตีอียิปต์  เพราะอียิปต์ได้เสริมกำลังเพื่อล้มล้างอิสราเอลอย่างเพียงพอ อีกทั้งยังยึดคลองสุเอชแต่เพียงผู้เดียว สงครามครั้งนี้อังกฤษและฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงเพราะไม่พอใจที่อียิปต์ยึดครองคลองสุเอส และยังสร้างความวุ่นวายต่อไปอีกคือ รัสเซียยื่นคำขาดต้องการให้อังกฤษกับฝรั่งเศสถอนตัว ซึ่งเอมริกาเห็นด้วยกับรัสเซีย เรียกสงครามครั้งนี้ว่าวิกฤตการณ์คลองสุเอสผลคือ อิสราเอล อังกฤษ ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากดินแดนอียิปต์ อิสราเอลได้ผลประโยชน์คือ สิทธิในการใช้น่านน้ำอากาบาตังเดิม และได้รับความคุ้มครองในฉนวนกาซ่าจากกองกำลังสหประชาชาติ

สงครามยิว-อาหรับ ครั้งที่ 3 ปี 1967 

อียิปต์ปิดอ่าวอากาบา ห้ามไม่ให้เรือสินค้าของอิสราเอลผ่าน สร้างความเสียหายให้กับเศราฐกิจอิสราเอล อียิปต์ร้องให้กองกำลังสหประชาติถอนกำลังจากฉนวนกาซ่าและพรมแดนระหว่างอียิปต์กับอิสราเอล เมื่อกองกำลังสหประชาชาติถอนตัว กองทัพอียิปต์เคลื่อนพลเข้ามาแทนที่เข้ายึดฉนวนกาซา สงครามจึงเกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน 1967   สงคราม กินเวลาเพียง 6 วัน ครั้งนี้อิสราเอลยึดดินแดนอาหรับได้มากมาย เช่น ฉนวนกาซา คาบสมุทรไซนาย ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนหรือเขตเวสต์แบงก์ ทั้งหมด และยึดเยรูซาเลมกลับมาได้ อีกทั้งยังยึดที่ราบสูงโกลานของซีเรียได้อีกด้วย ทำให้ดินแดนของอิสราเอลขยายตัวออกไปถึง 4 เท่า นับว่าเป็นความสูญเสียมากที่สุดของชาติอาหรับ เรียกสงครามครั้งนี้ว่าสงคราม 6 วัน

สงครามยิว-อาหรับ ครั้งที่ 4 ปี 1973 

ฝ่ายอาหรับเริ่มบุกในวันยมคิปเปอร์ซึ่งเป็นวันหยุดงานของชาวยิว ฝ่ายอาหรับนำโดยอียิปต์รุกข้ามคลองสุเอซ ขณะที่ซีเรียบุกทางเหนือ การบุกอย่างราวเร็วแบบศึกกสองด้านนี้เพราะ การได้เปรียบบนโต๊ะประชุมที่มีการเจรจากันก่อนหน้านี้, กลัวอิสราเอลจะเริ่มสงครามก่อนเพราะต้องแก้แค้นที่ถูกโจมตีครั้งใหญ่ถึง 3 ครั้ง, ต้องการได้ดินแดนที่เสียไปคืนมาอย่างรวดเร็ว, ชาติอาหรับต้องการล้างอายในสงครามครั้งที่ผ่าน ๆ มา  ในครั้งแรกอิสราเอลเป็นฝ่ายถอย แต่ก็สามารถตีโต้อาหรับกลับไปทั้งสองด้าน และยังสามารถยึดฝั่งตะวันออกของคลองสุเอซไว้ได้อีก สงครามครั้งนี้เกิดความวุ่นวายไปทั่วโลก อเมริกาเข้าช่วยฝ่ายอิสราเอล รัสเซียเข้าช่วยอาหรับ อาหรับใช้น้ำมันเป็นเครื่องต่อรอง เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันไปทั่วโลก การปะทะกันเป็นไปอย่างรุนแรงจนจะกลายเป็นสงครามนิวเคียร์ สหประชาติส่งทหารเข้ามาระงับเหตุ ทั้งสองฝ่ายจึงลงนามหยุดยิง

ผลกระทบของสงครามที่มีผลต่อนาน ๆ ประเทศ 

 -  ความเสียหายทางเศรษฐกิจ สงครามทั้ง 4 ครั้งทำลายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก ผู้คนขาดที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจของอิสราเอลและอียิปต์ตกต่ำ โดยเฉพาะอียิปต์สูญเสียรายได้จากการเก็บค่าผ่านคลองสุเอส และต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการซ่อมแซมคลองสุเอส

 -  ความแตกแยกภายในกลุ่มประเทศอาหรับ เมื่อสงครามสงบลง อียิปต์ทำตามข้อตกลงที่แคมป์เดวิด กลุ่มประเทศต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับอียิปต์ มองว่าอียิปต์เป็นผู้ทรยศ จนนำไปสู้การลอบสังหารประธานาธิบดีซาดัสของอียิปต์ ในปี ค.ศ. 1982 กลุ่มประเทศอาหรับเกิดการแตกแยก ไม่ยอมทำตามผู้นำโลกอาหรับเช่นอียิต์เหมือนเช่นเคย

 -   เพิ่มการเป็นศตรุและความเกลียดชังให้กับชาวยิวและชาวอาหรับ การที่ชาวยิวยึดดินแดนของชาวอาหรับได้จำนวนมากถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

 -  ผู้คนทั้งชาวยิวชาวอาหรับบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมหาศาล ผู้คนจำนวนมากขาดแคลนที่อยู่อาศัย ทำให้เป็นภาระของนา ๆ ประเทศโดยเฉพาะองค์กรสหประชาติเข้ามาช่วยเหลือ

 -  เนื่องจากเป็นสงครามที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน จึงมีผลโดยตรงวต่อการผลิตน้ำมันและราคาน้ำมัน ทำให้น้ำมันขาดแคลนและราคาน้ำมันขึ้นสูง

นอกจากสงครามทั้ง 4 ครั้งที่กล่าวไป ยังมีการสู้รบย่อย ๆ อีกบ่อยครั้งซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากไม่พอใจของชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ชาวยิวปกครอง เช่น ที่ราสูงโกลาน เขตเวสแบงค์ ฉนวนกาซา ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เป็นต้น  ผู้นำในการก่อความวุ่นวายเช่นกลุ่มฮามาส ชาวอาหรับไม่พอใจต่อการปกครองของชาวยิวที่กดขี่ ไม่เป็นธรรม ไร้มนุษยธรรม เช่นการจำกัดที่อยู่ของชาวอาหรับ การเข้ายึดที่ดินเดิมของชาวอาหรับ การให้สิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่เท่าเทียมกันเป็นต้น ชาวอาหรับจึงทำการสู้รบแบบกองโจน ระเบิดพลีชีพ ลอบสังหารผู้นำคนสำคัญและบุคคลสำคัญของชาวยิว เป็นต้น เพื่อปลดแอกตนเองการปกครองของชาวยิว จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ เรียกการต่อสู้ของชาวอาหรับนี้ว่า ขบวนการอินติฟาดา” (Intifada) ซึ่งยังมีอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน  (คัดลอกจากบทความ “ตะวันออกกลาง : ปัญหาอิสราเอล ปาเลสไตน์ (สงครามยิว อาหรับ 4 ครั้ง)” หน้าเพจอารยธรรม ประวัติศาสตร์และโบราณคดีโดย วาทิน ศานติื สันติ ,gotoknow.org)


ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดอเมริกาจึงถือหางสนับสนุนอิสราเอลในทุกเรื่อง ทุกกรณี กลายเป็นคู่หูนรกแตก อยู่ตลอดเวลานั้น มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฏี ตลอดจนผู้เชียวชาญการเมืองระหว่างประเทศได้ตั้งข้อสังเกตไว้หลายกรณี หลายทฤษฏี แต่กล่าวโดยสรุปรวมก็คือ เขามีผลประโยชน์ร่วมกัน ต่างพึ่งพาอาศัยราวกับ ผีเน่าและโลงผุ ซึ่งไม่อาจจะแยกจากกันได้ แต่เป็นการสนับสนุนกันทำเรื่องชั่วๆ แทบทั้งสิ้น และเป็นที่มาของความขัดแย้งไปเกี่ยวข้องกับโลกมุสลิมในตะวันออกกลาง และยังโยงใยไปเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังการเมืองในหลายประเทศ รวมถึงอเมริกา และอยู่เบื้องหลังบรรษัท องค์กรใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลครอบงำโลกอยู่ในเวลานี้

ตัวอย่างบทความ   ทำไมสหรัฐอุ้มยิว..คิดง่ายๆไม่ต้องใช้ทฤษฎี”

Shaffi : เขียน  (19 มกราคม 2009)

 
มีบางคนอธิบายเหตุที่สหรัฐให้ท้ายยิว ด้วยทฤษฎี ที่แพร่หลายในโลกอาหรับมาก เรียกว่าทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดหรือ Conspiracy Theory ที่อธิบายว่า สหรัฐเข้าข้างอิสราเอล เนื่องจากสหรัฐใช้อิสราเอล เป็นช่องทางพิเศษให้สหรัฐ เข้ามาควบคุมผลประโยชน์ของตนเองในตะวันออกกลาง ได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ สหรัฐใช้อิสราเอลเป็นประตูหลังบ้าน แอบย่องไปตีท้ายครัวพวกอาหรับที่ร่ำรวยด้วยบ่อน้ำมัน ทฤษฎีนี้  มีคนเถียงว่า แม้ว่าอิสราเอลจะไม่เปิดประตูหลังบ้านให้อเมริกันเข้า ผู้นำอาหรับเจ้าของบ่อน้ำมันทั้งหลาย ก็พร้อมใจกันเปิดประตูหน้าบ้านอ้าซ่า ต้อนรับอเมริกันดอลล่าห์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่สหรัฐต้องย่องเข้าบ้านอาหรับผ่านทางอิสราเอล 

 
อีกทฤษฎีหนึ่งที่เชื่อว่า มีอ้ายโม่งลึกลับตัวหนึ่ง (หรือแก็งค์หนึ่ง) ที่มีอิทธิพลมาก ทั้งในแวดวงการเมือง และเศรษฐกิจการเงินของอเมริกัน มันคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง มันคอยวิ่งเต้นหาเก้าอี้ใหญ่โตในทำเนียบขาวให้นักการเมืองหิวเงิน กระหายอำนาจ มันคอยนับเงินแล้วจ่ายทั้งใต้โต๊ะบนโต๊ะ ให้สมาชิกสภาคองเกรส เพื่อออกกฎหมายที่พวกมันได้ผลประโยชน์ มันส่งคนเข้าไปร่างนโยบายต่างประเทศ มีพวกมันแฝงอยู่ในเพ็นตากอน (กระทรวงกลาโหม) ใน CIA และในทำเนียบขาว เพื่อพวกมันจะได้รักษาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสราเอลเอาไว้ทฤษฎีนี้มีมูลมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง .(กลุ่มนี้มีตัวตนจริงๆทำงานโดยใช้ชื่อว่า AIPAC หรือ The American - Israel Public Affairs Committee มีหน้าที่ล๊อบบี้ และติดสินบนนักการเมืองอเมริกัน) ...อันนี้มีน้ำหนักมากทีเดียว

 
มีอีกแนวคิดหนึ่ง ใหม่และแปลกที่สุด นักคิดในโลกตะวันตกกลุ่มหนึ่งเสนอสมมติฐานที่ว่า ถ้าหากประธานาธิบดีสหรัฐหนุนอิสราเอล เพื่อเงินใต้โต๊ะ(ตามที่เชื่อกัน) ก็คงไม่ใช่เงินจากคนยิว หรือองค์กรยิวที่ไหน แต่เป็นเงินและการสนับสนุนจากพวกคริสเตียนนั่นแหละฟังดูน่าสนใจใช่ไหม? นักคิดพวกนี้อธิบายว่า พวกคริสเตียนอนุรักษ์นิยมขวาจัด ที่มีความเชื่อความศรัทธาฝังใจว่าโลกกำลังเข้าสู่สงครามครูเสดยุคใหม่ ซึ่งเป็นสงครามสุดท้ายที่คริสต์เตียนจะได้รับชัยชนะเหนืออิสลาม (พวกนี้เป็นนิกายเดียวกันกับที่ครอบครัวบุชและคอนดี รมต.ต่างประเทศศรัทธา) ดังนั้น ถ้าหากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (ปาเลสไตน์) จะต้องตกอยู่ในกำมือใครสักคน คนๆนั้น สมควรเป็นยิว ไม่ใช่มุสลิมแนวคิดใหม่อธิบายหลักฐาน ด้วยเหตุผลสองประการ ดังนี้  

 
ประการที่หนึ่ง พวกคริสเตียนพวกนี้เชื่อและศรัทธาว่า พวกอิสราเอลเป็นเจ้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง (ไม่ใช่มุสลิม) ดังที่ระบุใน The Old Testament (หรือที่คริสต์เตียนเรียกว่า คัมภีร์พระคริสต์ธรรมเดิม เป็นฉบับที่คริสต์เตียนและยิว เชื่อ ศรัทธา และใช้ร่วมกัน เช่น บทอพยพ หรือ The Exodus ที่กล่าวถึง การพายิวข้ามทะเลแดงของโมเสส 

 
เหตุผลประการที่สอง พวกคริสเตียนเชื่อว่า การกลับมาสู่โลกของพระเยซูๆ จะเสด็จลงมาที่เนินเขาแห่งไซออน (เนินเขาที่ตั้งมัสยิดอัล-อักศอ) และวาระสุดท้ายของโลก หรือ Armageddon ก็จะมาถึง จะเห็นว่าเหตุผลสองข้อนี้ เป็นประเด็นทางศาสนาล้วนๆ และเป็นแรงขับดันให้พวกคริสต์เตียนอนุรักษ์นิยมขวาจัด ซึ่งมีอิทธิพลที่หยั่งรากลึกในแวดวงการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ การเงิน และทางสังคม ไม่น้อยกว่าพวกอเมริกัน-ยิว (หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป) ให้การสนับสนุนนักการเมืองอเมริกัน อย่างออกหน้าออกตา และทำทุกวิถีทางเพื่อให้บุชกลับสู่ทำเนียบขาวเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางแรงต่อต้านจากคนอเมริกันสายเสรีนิยม พวกคริสต์เตียนขวาจัดสุดโต่งเหล่านี้ เห็นว่ายิวคือตัวแทนในการทำสงครามต่อต้านอิสลาม และมอบบทบาทวีรบุรุษนักรบแก่อิสราเอล พวกเขาแต่งตั้งให้อิสราเอล เป็นอัศวินแห่งสงครามครูเสดยุคใหม่ (ที่เสียสละและยอมตายแทนพวกคริสต์เตียนในโลกตะวันตก) ด้วยความเต็มอกเต็มใจ และแสดงออกด้วยการสนับสนุนอิสราเอลในทุกกรณี ทุกวิถีทาง โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆซ่อนอยู่เบื้องหลัง (เพราะฉะนั้นถ้าทฤษฎีนี้จริง ก็ไม่ต้องสงสัยว่าความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอลจะลงเอยแบบไหน) 

 
เริ่มจากการรุกรานแย่งชิงดินแดน มาเป็นการต่อต้านอิสลาม และกลายมาเป็นค่านิยมบนผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างยิวและคริสต์เตียนอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง เราเรียกความร่วมมือกันทางจิตวิญญาณนี้ว่า Judeo-Christian Values ที่วางอยู่บนเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อรักษาความศรัทธาทางศาสนา และต่อต้านอิสลาม 

 

นักคิดจากโลกอาหรับ แย้งว่าเหตุผลที่อ้างตามทฤษฎีใหม่นี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องศาสนาล้วนๆ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ในสังคมอเมริกัน โดยยืนกรานอย่างแข็งขัน ด้วยสมมติฐานเดิมๆต่อไปว่า ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่อเมริกันได้รับ อเมริกันจะช่วยยิวไปทำไม? แล้วถ้าไม่มียิวในแวดวงการเมืองอเมริกันที่คอยไปล็อบบี้ ทำไมรัฐบาลอเมริกันจึงจัดงบประมาณช่วยเหลืออิสราเอลมากเป็นอันดับหนึ่งถึงปีละสามหมื่นล้านดอลล่าห์  ซึ่งความจริงข้อนี้ก็น่าสงสัยไม่น้อย และทำให้เราละเลยทฤษฎีจากโลกอาหรับไม่ได้เหมือนกัน 

 
คงจะรู้ว่าหากเสนออะไรใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าคิด ต้องมีคนค้าน นักคิดแนวทฤษฎีใหม่เหล่านี้ เลยเตรียมคำตอบไว้เหมือนกัน พวกเขาขอให้เรามองดูภาพรวม จะพบความจริงว่า  ไม่ใช่แค่อเมริกันเท่านั้นที่หนุนหลังเข้าข้างยิว แต่โลกตะวันตกเกือบทั้งหมด ก็อยู่ข้างยิว (เพียงแต่ไม่ออกหน้าเท่าอเมริกัน) เพราะยิวใกล้ชิดกับคริสเตียนความเหมือนระหว่างยิวกับคริสเตียนนั้น ไม่ได้เหมือนกันในศาสนาเท่านั้น แต่ยังเหมือนในแง่ของความเป็นคนจากโลกตะวันตกอีกด้วย”   

 
เราจะต้องไม่เผลอคิดไปว่า ยิวในอิสราเอลเป็นชาวตะวันออกกลาง หรือเป็นยิว พวกเดียวกับบรรดาศาสดาในอดีตเป็นอันขาด ข้อเท็จจริงก็คือ ยิวในอิสราเอลปัจจุบันนั้น 99.99% เป็นฝรั่ง ยิวรู้ดีว่าถ้าขืนทำตัวเป็นสิ่งแปลกปลอมในหมู่ชาวตะวันตก แน่นอนยิวย่อมกลายเป็นคนแปลกหน้า(เหมือนชาวมุสลิมเป็นคนแปลกหน้า ในฐานะศัตรูเก่าของพวกคริสเตียนชาวตะวันตก) เพราะคนแปลกหน้า ย่อมไม่เห็นใจช่วยเหลือกัน ไม่ยากเลยที่ยิวจะทำตัวกลมกลืนกับฝรั่งตะวันตก เพราะจริงๆแล้ว ยิวก็คือชาวยุโรปแท้ๆ เป็นฝรั่งตาน้ำข้าวเหมือนกัน ยิวฉลาดพอที่จะไม่ทำให้ตัวเองแตกต่างจากพวกตะวันตกเพราะศาสนา หรือเชื้อชาติ เมื่อรู้เช่นนี้ ยิวจึงใช้วิธีการ Hasbarah (ภาษาฮิบรูแปลว่า การอธิบายแต่ความหมายในวัตถุประสงค์นี้ควรแปลว่า โฆษณาชวนเชื่อ”)ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งรัฐยิวใหม่ๆ เช่น การส่งวงดนตรีออเคสตร้าของคนหนุ่มคนสาวชาวยิว ชื่อวงดนตรี อิสราเอล ฟิลฮาโมนิค ออกตระเวนทัวร์ไปทั่วโลกตะวันตก เพื่อบอกเล่าเรื่องราว และชัยชนะของชนชาติยิว (และแน่นอน มันก็คือชัยชนะของคนตะวันตก ที่มีเหนืออิสลามด้วย) ยิวหวังได้รับความเห็นอกเห็นใจจากโลกตะวันตก แล้วยิวก็ได้มันมาจริงๆ ยิ่งกว่านั้นและสำคัญที่สุด ยิวได้แสดงให้โลกตะวันตก เห็นว่ายิวนั้นที่แท้นั้น ก็มีค่านิยม และวัฒนธรรมเดียวกันกับชาวตะวันตกนั่นเอง สุดท้ายไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนอธิบาย ก็ได้คำตอบเหมือนกันว่าเหตุที่อเมริกันเข้าข้างยิวตลอดกาลก็เพราะว่า ยิวกับอเมริกันนั้นเป็น พวกเดียวกัน ก็ย่อมมีศัตรูเดียวกัน นั่นเอง

 
ส่วนคนที่ไม่ชอบคิดมาก ไม่ชอบทฤษฎี บ่นว่าจะไปตั้งสมมติฐานทำไมให้ปวดหัว ไม่เห็นจะยากเลย ก็เห็นอยู่โต้งๆว่าอิสราเอลได้  เงินสหรัฐ แล้วเอาเงินคืนกลับไปซื้ออาวุธจากพ่อค้าอาวุธอเมริกัน อีกที พ่อค้าอเมริกันรับเงินจากอิสราเอล ทีคืนมาก็แบ่งคอมมิชชั่นให้นักการเมืองอเมริกัน พอยิวมีอาวุธสะสมไว้ เยอะๆพวกอาหรับที่ร่ำรวยก็ระแวง สั่งซื้ออาวุธสหรัฐกันบ้าง พ่อค้าอาวุธสหรัฐก็เอากำไรแบ่งให้นักการเมืองอเมริกันรอบสอง เสร็จแล้วก็ไปแบ่งจ่ายเงินให้สื่ออเมริกัน ให้ช่วยปั่น หรือ Spin ให้คนทั้งโลกเชื่อฟัง บอกให้ด่าปาเลสไตน์ และให้เห็นใจยิว สหรัฐต้องช่วยอย่างนั้นๆอย่างนี้ คนอเมริกันหลอกง่ายจะตายไป... เออ.เข้าใจไม่ยากจริงๆด้วยสิ (คัดลอกบทความจากบล็อกของคุณ  shaffi oknationblog)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น