โอเอซิส
(Oasis) เป็นวงดนตรีร็อคจาก แมนเชสเตอร์ ในปี 1991
ซึ่งสมาชิกบางส่วนมาจากวง The Rain
มีสมาชิกดั้งเดิมอันได้แก่ เลียม แกลลาเกอร์ (ร้องนำ / กลอง) , พอล โบนเฮ้ด อาร์เธอร์ (กีตาร์) พอล "กวิ๊กซี่"
แม็คเกวียน (กีตาร์) และ โทนี่ แม็คคารอล (กลอง) พวกเขาได้ชักชวนพี่ชายของเลียม โนล แกลลาเกอร์
(มือกีตาร์และร้องนำ) เป็นสมาชิกลำดับที่ห้าของวง
และวงก็ได้ตัดสินใจไลน์อัพจนถึงเดือนเมษายน 1995 โอเอซิสเซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับสังกัดค่ายเพลงอิสระ
Creation
Records ในปี 1993 และปล่อยอัลบั้มสตูดิโออัลบั้มแรกของวง
Definitely
Maybe (1994)
ปีถัดมาทางวงก็ได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่สอง (What's
the Story) Morning Glory? (1995) โทนี
แม็คคารอลมือกลองของวงลาออกอย่างไม่ทราบสาเหตุและได้ Alan
White มือกลองจากวงร็อคอังกฤษ Starclub
เข้ามาแทนที่ ท่ามกลางการแข่งขันชิงความเป็นใหญ่ในทำเนียบเพลงชาร์จเพลงกับวงบริตป็อป
เบลอ
สองพี่น้องตระกูลแกลลาเกอร์ให้ความสำคัญกับหนังสือพิมพที่มีการเขียนข้อพิพาทสำหรับสองพี่น้องและการใช้ชีวิตที่ดูป่าเถื่อน
ในปี 1997 โอเอซิสปล่อยสตูดิโอลำดับที่สาม , Be
Here Now (1997)
นับได้ว่าเป็นอัลบั้มเพลงที่ขายได้รวดเร็วนับตั้งแต่วันปล่อยอัลบั้มในวงการชาร์จเพลงอังกฤษ
ควาามนิยมของอัลบั้มนับว่าได้เสียงตอบรับอย่างดีมากนัก แม็คเกวียน และ
อาร์เธอร์ได้ลาออกจากจากวง ในปี 1999 และวงก็ได้ปล่อยอัลบั้มสตูดิโอลำดับที่สี่ Standing
on the Shoulder of Giants (2000)
หลังการลาออกของอาร์เธอร์และแมคเกวียน ได้ถูกแทนที่ด้วย เจม อาเชอร์
มือกีตาร์และฟรอนแมนท์จากวง Heavy Stereo และแอนดี้
เบลล์มือกีตาร์และฟร้อนแมนวง Hurricane No. 1 ซึ่งทั้งคู่ยังมีส่วนช่วยในการทัวร์คอนเสริ์ตโปรโมทอัลบั้มชุดที่ 4
และทำให้อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จในระดับที่พึงพอใจ อัลบั้มชุดที่ห้าของพวกเขา
Heathen Chemistry (2002) โนล
แกลลาเกอร์มีการเข้มงวดมากขึ้นโดยสมาชิกทั้งหมดมีส่วนร่วมในการทำอัลบั้มนี้ ในปี 2004
ทางวงได้มือกลองวง The Who แซค สตาร์กี้ แทนที่อเลน
ไวต์และก็ได้วางจำหน่ายอัลบั้มชุดที่หก Don't Belive the Truth (2005) นับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง หลังจากปล่อยอัลบั้มชุดที่ 7 Dig Out
Your Soul (2008) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สตาร์กี้มือกลองก็ได้ลาออก
และถูกแทนที่ด้วยคริส ชาร็อคส์
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการทัวร์คอนเสริ์ตครั้งสุดท้ายของวง
ระหว่างการทัวร์คอนเสริ์ตของสองพี่น้องตระกูลแกลลาเกอร์ก็ทวีควมรุนแรงมากขึ้นหลังจากนั้น
โนล แกลลาเกอร์ประกาศชี้แจ้งในเดือนสิงหาคม 2009
ว่าเขาต้องการจะออกจากวงหลังจากทะเลาะกับเลียมในงานเทศกาลดนตรี โดยวงที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่ยังคงหลงเหลืออยู่นำโดยเลียม
แกลลาเกอร์ตัดสินใจที่จะทำงานดนตรีต่อโดยใช้ชื่อวง Beady Eye ก่อนที่จะยุบวงลงในปี ค.ศ. 2014 ,ขณะที่โนล
แกลลาเกอร์อยากทำวงดนตรีเพลงแยกออกมากซึ่งต่อมาก็คือ Noel Gallagher's High Flying Birds โอเอซิสยังติดลำดับที่แปดในชาร์จซิงเกิ้ลของอังกฤษ
และติดลำดับที่แปดของชาร์จอัลบั้มอังกฤษ และได้ลำดับที่สิบห้าใน NME
Awards และลำดับที่เก้าของ Q
Awards และลำดับที่สี่ของ MTV
Europe Music Awards และลำดับที่หกของ Brit
Awards และในปี 2007 ยังได้รางวัลผลงานโดดเด่น
และยังได้อัลบั้มที่ดีในช่วงสามสิบปีคัดเลือกโดย BBC
Radio 2
อีกทั้งเขายังได้รับการเสนอชิงชื่อจาก รางวัลแกรมมี ถึงสามครั้ง ในปี
2009 วงมียอดขายประมาณ 70 ล้านแผ่นทั่วโลก
อีกทั้งวงยังได้รับการระบุในหนังสือกินเนสส์บุ๊คในปี 2010 10
วงดนตรีที่ติดชาร์จท็อปเป็นเวลายาวนาน โดยไม่มีเคยมีมาก่อนสำหรับการติดอันดับ
22 เป็นเวลา 10 สัปดาห์ของอังกฤษ
กินเนสส์บุ๊คยังกล่าวว่าเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จในช่วงปี 1995 ถึง 2005
โดยกินเวลาไปถึง 765 สัปดาห์ในการติดท็อป 75 ซิงเกิ้ลและชาร์จอัลบั้ม สมาชิกบางส่วนมาจากวงดนตรี The
Rain ซึ่งประกอบไปด้วย พอล แม็คเกวียน (มือเบส /
กีตาร์) พอล โบนเฮ้ด อาร์เธอร์ (มือกีตาร์) โทนี่ แม็คคารอล (มือกลอง) และ
คริส ฮัตตัน (ร้องนำ) ฮัตตันไม่พอใจ , อาเธอร์สนิทสนมกับเลียม
แกลลาเกอร์จึงเอามาแทนที่ โดยเลียมแนะนำว่าชื่อควรจะเปลี่ยนเป็นโอเอซิส
การเปลี่ยนแปลงชื่อนี้ได้แรงบันดาลใจจากโปสเตอร์ทัวร์ของวงดนตรี Inspiral
Carpets ที่อยู่ในห้องของพี่ชายของเขา
หนึ่งในสถานที่ทัวร์คอนเสริ์ตที่โปสเตอร์ระบุไว้คือ โอเอซิส เลซัว เซนเตอร์ ใน
สวิทดอน , วิสไชน และเป็นการเล่นโชว์ครั้งแรกของโอเอซิสในวันที่
18 สิงหาคม 1991 ในคลับบอร์ดว็อก ที่แมนเชสเตอร์ เลียมน้องชายของโนล แกลลาเกอร์
ยังเป็นเด็กยกเครื่องดนตรีให้กับวง Inspiral Carperts
โนลต้องการดูผลงานการเล่นของน้องชาย โนลและเพื่อนของเขาคิดว่าโอเอซิสยังทำได้ไม่ดี
เขาเริ่มคิดท่าทางเป็นไปได้จะอยู่วงดนตรีของน้องเขาเองซึ่งเป็นทางออกที่ดีสำหรับผลงานชุดเพลงของเขาที่เขาแต่งเนื้อเพลงเป็นเวลาหลายปี
โนลเข้าวงโอเอซิสและเขาก็ได้รับการคัดเลือกจากสมาชิกในวงให้เป็นนักแต่งเพลงและเป็นหัวหน้าวง
และพวกเขาก็เริ่มที่จะแสวงหารายให้กับวง เขาเขียนเพลงมากมาย อาร์เธอร์เล่า เมื่อเขาอยู่ในวงเดียวกับพวกเรา
เขาเหมือนจรวด ในทันตาเขาเต็มไปด้วยความคิด
โอเอซิสภายใต้ โนล แกลลาเกอร์ มีฝีมือดนตรีที่เรียบง่ายกับอาร์เธอร์และแม็คเกวียนพวกเขาต่างเริ่มกันเล่นคอร์ดกีตาร์และบันทึกเสียงเบส
แม็คคารอลก็เริ่มศึกษาจังหวะพื้นฐานของโน้ต โอเอซิสสร้างเสียงเพลง ที่เต็มด้วยไปด้วยความซับซ้อนแต่แฝงไปด้วยความสวยงามมากมาย[หลังจากเริ่มแสดงสดมาได้ปีกว่า
,
พวกเขาก็หมั่นฝึกซ้อมและเริ่มอัดเพลงเดโม่ (ซึ่งต่อมาก็คือเทปเดโม Live
Demonstration) และวงก็เงียบพักหายไปช่วงพฤษภาคม 1993
จนพวกเขาถูกอแลน แม็คจีผู้บริหารค่ายเพลง Creation Records โอเอซิสถูกชักชวนให้ไปเล่นในคลับ
King Tut's Wah Wah Hut ใน กลาสโกว์ , สก็อตแลนด์ โดยวง Sister
Lovers พวกเขายังแบ่งบันไปให้ใช้ห้องอัดของพวกเขาได้ , โอเอซิสพร้อมกับกลุ่มเพื่อน , พวกเขาหาเงินที่จะเช่ารถตู้ได้ที่สามารถเดินทางไปกลาสโกว์
เมื่อเขามาถึง , พวกเขาถูกปฏิเสธหน้าทางเข้าเนื่องจากพวกเขาไม่อยู่ในรายชื่อ
และมีรายงานว่าโอเอซิสเกิดทะเลาะที่ไม่ได้เข้าไปข้างใน (ทั้งสองวงรวมทั้ง เอ็มจีได้แถลงการณ์เกี่ยวกับความแข้งแย้งเกี่ยวกับพวกเขาที่ต้องการเข้าไปข้างในคลับ
พวกเขาได้เล่นเป็นวงเปิดพวกเขาประทับใจเอ็มจีอย่างมาก
โดยเขาอยู่ที่นั่นเพื่อดูวง 18 Wheeler
หนึ่งในวงดนตรีของพวกเขา , ในคืนนั้น
เอ็มจีรู้สึกประทับใจอย่างมากกับการเล่นโชว์ , โดยเขาเสนอให้ยอมรับข้อตกลง
, แต่เขาก็ไม่ได้เซ็นสัญญาจนหลายเดือนต่อมา
และมีปัญหากับความปลอดภัยกับข้อตกลงของชาวอเมริกัน เอ็มจี
โอเอซิสได้ข้อสรุปด้วยการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับ โซนี่ ซึ่งต่อมาได้รับการอนุญาตเป็นศิลปินใน Creation
Records ในสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา หลังจากนั้นพวกเขาได้ปล่อยแผ่นเสียง White
Label เดโม่เพลง Columbia , ผลงานเพลงซิงเกิ้ลแรก Supersonic ถูกวางจำหน่ายในเดือนเมษายน 1994 ติดอันดับที่ 31
ในชาร์จเพลงของสหราชอาณษจักร หลังจากนั้นก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่ 2 Shakermaker ประสบความสำเร็จแต่โอเอซิสถูกฟ้องร้องโดย โรเจอร์ คุกส์ , โรเจอร์ กรีนอะเวย์ , บิล เบคเกอร์ , บิลลี่ เดวิดที่มีดนตรีละม้ายคล้ายคลึงกับเพลง I'd Like To Teach
The World To Sing จากวงดนตรี The New Seekers โดยโอเอซิสได้จ่ายค่าเสียหายไปจำนวน
500,000 ดอลลาห์ ซิงเกิ้ลที่สามของพวกเขา Live Forever เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดหนึ่งในสิบในชาร์จของสหราชอาณาจักร
หลังจากที่มีปัญหาในการอัดเพลง , ผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดแรก
Definitely Maybe
ถูกวางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน 1994
และขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในชาร์จสหราชอาณาจักรและกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวชุดแรกที่ขายได้อย่างรวดเร็วในสหราชอาณาจักร
นับว่าเป็นปี่ที่มีการแสดงสดและการอัดเพลงอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งมีการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟื่อย มีการโทรเข้าหาวงจำนาวนมาก
พวกเขาได้ทำงานในลอส แองเจอลิสในเดือนกันยายน 1994 และนำไปสู่การแสดงของเลียม
แกลลาเกอร์ที่ไม่เหมาะในระหว่างที่เขาเห็นความน่ารังเกียจของผู้ชมชาวอเมริกันและเลียมก็ตีโนลด้วยกลอง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้โนลเกิดอารมณ์เสียและทำให้เขาลาออกจากวงอย่างชั่วคราวหลังจากนั้นก็โนลก็บินไปยังซานฟรานซิสโก
(ซึ่งต่อมาโนลได้นำไปแต่งเป็นเพลง Talk To Night)
เบลอ
(Blur) เป็นวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากอังกฤษ
ก่อตั้งวงที่ลอนดอนในปี 1989 มีสมาชิก 4 คนคือ เดมอน อัลบาร์น, เกรแฮม ค็อกซอน ,อเล็กซ์ เจมส์ และ เดฟ ราวน์ทรี เบลอมีผลงานอัลบั้มชุดแรกในปี 1991
ชื่อชุด Leisure ที่ได้รับอิทธิพลจากแนว แมดเชสเตอร์ และ ชูเกซ ตอนนี้วงเบลอต้องอยู่ในสภาพหยุดพักชั่วคราว
ในปี 2003 และกลับมารวมตัวอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน จนถึงกรกฎาคม ปี 2009
และอีกครั้งในเดือนสิงหาคม ถึงปัจจุบัน
มารายห์ แครี
(Mariah
Carey; เกิด 27 มีนาคม ค.ศ. 1970) เป็นนักร้องชาวอเมริกัน
นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง และนักแสดง
เธอมีผลงานเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การชักนำของผู้บริหารค่ายเพลงโคลัมเบียเรเคิดส์
ทอมมี มอตโตลา และได้กลายเป็นศิลปินคนแรกที่มี 5 ซิงเกิลแรกติดชาร์ตอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100
หลังจากนั้นเธอได้แต่งงานกับมอตโตลาในปี ค.ศ. 1993 มีผลงานเพลงฮิตมากมายและยังทำให้เธอเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดของค่ายโคลัมเบีย
และจากข้อมูลของนิตยสารบิลบอร์ด เธอเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในคริสต์ทศวรรษ
1990 ในสหรัฐอเมริกาหลังจากที่เธอเลิกรากับมอตโตลาในปี
ค.ศ. 1997 แครีได้เริ่มทำเพลงฮิปฮอปในผลงานอัลบั้มของเธอ
ที่ในเบื้องต้นแล้วประสบความสำเร็จดี
แต่ความนิยมของเธอก็ลดลงหลังจากเธอออกจากโคลัมเบียในปี ค.ศ. 2001
เธอเซ็นสัญญากับเวอร์จินเรเคิดส์แต่ล้มเหลวจากค่ายเพลงที่ซื้อสัญญาคืนในปีถัดมาหลังจากที่เธอสติแตกต่อสาธารณชน
เช่นเดียวกับเสียงตอบรับด้านลบจากภาพยนตร์ Glitter
และผลงานอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2002
แครีเซ็นสัญญากับค่ายไอแลนด์เรเคิดส์ และหลังจากไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เธอก็กลับมาขึ้นอันดับต้น ๆ ของเพลงป็อปในปี 2005
แครีมียอดขายอัลบั้ม ซิงเกิลและวิดีโอมากกว่า 260 ล้านชุด ทั่วโลก เธอยังมีชื่อว่าเป็นศิลปินป็อปหญิงที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษจากงานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส 2002
และจากข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา
เธอเป็นศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 3 และเป็นอันดับ 17
ของศิลปินทั้งหมดด้วยยอดขายอัลบั้มมากกว่า 72 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกา
เธอยังติดอันดับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในยุคการสำรวจยอดขายโดยนีลสันซาวด์สแกนของสหรัฐอเมริกา
(เป็นที่ 2 ของศิลปินทั้งหมด) เธอยังเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีซิงเกิลอันดับ 1
มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา (18 ซิงเกิล เป็นที่สองรองจากวงเดอะบีตเทิลส์)
นอกจากนั้นเธอยังได้รับรางวัลแกรมมี่ 5 ครั้ง
และเธอยังเป็นที่รู้จักในความสามารถการร้องเพลงที่มีช่วงกว้าง ทรงพลัง
การร้องเทคนิคที่เรียกว่า "เมลิสม่า" และการใช้ whistle register
โดยเธอสามารถทำเสียงได้ตั้งแต่ F#2-Bb7 ในการแสดงสด และ Eb2-G#7
ในสตูดิโอ มารายห์ แครี เกิดที่เมืองฮันติงตัน รัฐนิวยอร์ก
เป็นบุตรคนที่สามและคนสุดท้องของนักร้องโอเปราและนักฝึกสอนการขับร้องชาวไอริชอเมริกัน ชื่อ แพทรีเชีย ฮิกกี้ กับ วิศวกรอากาศยานชาวเวเนซูเอล่า-แอฟริกัน ชื่อ อัลเฟรด รอย
แครี แครีมีพี่สาวชื่อ แอลิสัน
อายุมากกว่าเธอสิบปี และพี่ชายชื่อ มอร์แกน อายุมากกว่าเธอเก้าปี
ชื่อของแครีนั้นไม่มีชื่อกลาง ส่วนชื่อ "มารายห์" มีที่มามาจากเพลง "(And They Call the Wind)
Mariah" ในละครบรอดเวย์เรื่อง "Paint
Your Wagon" จากการที่แครีมีผู้ปกครองมาจากชาติพันธุ์ที่ต่างกัน
ครอบครัวของเธอจึงประสบกับปัญหาทางด้านการแบ่งแยกเชื้อชาติเสมอ ตั้งแต่การโดนดูถูก
เมินเฉย หรือแม้กระทั่งถูกกระทำด้วยความรุนแรง
เป็นผลให้ครอบครัวของแครีต้องย้ายที่อยู่ไปรอบ ๆ นครนิวยอร์กบ่อย ๆ
เพื่อหาที่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ความตึงเครียดภายในครอบครัวได้ทำให้บิดามารดาของเธอหย่าร้างกันในที่สุด
ซึ่งขณะนั้น แครีมีอายุได้สามขวบเท่านั้น
แครีและมอร์แกนอาศัยอยู่กับมารดาในขณะที่แอลิสันไปอาศัยอยู่กับผู้เป็นบิดา
แครีไม่ค่อยได้ติดต่อกับบิดาของเธอเท่าใดนักยกเว้นช่วงวันหยุด
แต่ก็น้อยลงเมื่อเธอมีอายุมากขึ้น
แพทริเชียเลี้ยงดูแครีขณะที่เธอต้องทำงานสองถึงสามงานและก็ยังคงต้องย้ายที่อยู่อาศัยอยู่บ่อย
ๆ ในเขตลองไอแลนด์ มารายห์ แครี เริ่มร้องเพลงเมื่ออายุได้สามขวบ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่ของเธอเชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลง จริง ๆ
แล้วแพทริเชียชอบพาแครีไปดูการซ้อมโอเปราอยู่บ่อย ๆ
แครีเริ่มแสดงต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกเมื่อเธออายุหกขวบและเริ่มประพันธ์เพลงครั้งแรกตอนกำลังศึกษาในชั้นประถม
แครีเรียนจบจากโรงเรียนประถมโอลด์ฟิลด์และโรงเรียนมัธยมฮาร์เบอร์ฟิลด์สใน กรีนลอว์น นิวยอร์ก
แต่มักจะขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเธอพยายามจะเข้าสู่วงการบันเทิง
ทำให้เธอได้ฉายาว่า "มิราจ" (ภาพลวงตา) จากเพื่อน ๆ
และเป็นเรื่องแปลกที่แครีไม่เคยเข้าร่วมวงร้องเพลงประสานเสียงของโรงเรียนเลย ต่อมา
เธอได้รับงานเป็นนักร้องเสียงประสานให้แก่ เบรนด้า เค. สตารร์ และในปี
ค.ศ. 1988 ในช่วงนั้น แครีได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเพลง "โคลัมเบีย" ชื่อ ทอมมี่ มอตโตล่า
ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนของเธอได้นำม้วนเทปตัวอย่างที่อัดเสียงของแครีตอนร้องเพลงเอาไว้ให้แก่เขา
เทปม้วนนั้นเปิดในงานเลี้ยงและทอมมี่ก็ประทับใจกับสิ่งที่ได้ฟังเป็นอย่างมาก
เขาจึงกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อตามหาแครี แต่เธอก็กลับไปแล้ว
แต่ในที่สุดเขาก็สามารถตามหาแครีจนพบและเซ็นสัญญาให้เข้ามาอยู่ในสังกัด
เหตุการณ์ที่เหมือนกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าในวงการบันเทิงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของแครีสู่สายตาของสาธารณชน
แครีเริ่มอาชีพนักร้องเมื่อปี ค.ศ. 1990
ด้วยผลงานอัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อชุดตรงกับชื่อของเธอเอง อัลบั้มนี้มีเพลงที่ติดอันดับ
1 ของตารางจัดอันดับเพลงในสหรัฐอเมริกาถึง 4 เพลง ได้แก่ เพลง "Vision Of Love",
"Love Takes Time",
"Someday" และ "I Don't Wanna Cry"
แต่อัลบั้มนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในระดับสากลเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี
อัลบั้มของเธอก็ขึ้นอันดับ 1 ของบิลบอร์ดฮอต 200 โดนยื้อไว้ได้ถึง 11 สัปดาห์
โดยทำยอดขายในปัจจุบันถึง 20 ล้านแผ่น ในปี ค.ศ. 1991 แครีก็ได้รับรางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรก
กับรางวัลศิลปินป็อปฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมและศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
และเธอก็ได้แสดงสดด้วยเพลง vision of love ด้วย อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ชื่อ Emotions ออกวางจำหน่ายในช่วงเดือนกันยายน
ค.ศ. 1991 ในอัลบั้มชุดนี้มีซิงเกิลเพลง "Emotions" ติดอันดับ 1
ในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานาน 3 สัปดาห์ จากความสำเร็จดังกล่าวนี้
ได้ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่เปิดตัวด้วยผลงานซิงเกิลติดอันดับ 1 ในบิลบอร์ดถึง 5
เพลงติดต่อกัน โดยเพลงนี้ ทำให้เธอได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรกคอร์ด
โดยเป็นนักร้องที่สามารถทำเสียงได้สูงที่สุด โดยทำได้ถึง G#7 ที่งาน AMA 1991 (บางทีก็บอกว่ามี Bb7) นอกจากนั้น ในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Can't Let Go" ที่หยุดอยู่ที่อันดับ 2 และเพลง "Make It Happen" ก็สูงสุดอันดับ 5 อีกด้วย
แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จที่ดีนักทั้งเสียงวิจารณ์และยอดขาย นิตยสารโรลลิงสโตนอธิบายไว้ว่า
"เหมือนเดิม ด้วยวัตถุดิบที่น่าสนใจน้อย
เพลงรักสไตล์ป็อปที่เหมือนขาดไม่ได้" และอัลบั้มนี้มียอดขายถึง 13 ล้านแผ่นในปัจจุบัน อัลบั้มชุดนี้ แครีได้ร่วมงานกับ โรเบิร์ต
คลิวิลส์ กับ เดวิด โคลส์ จากวงซีแอนด์ซี มิวสิก แฟกทอรี
และร่วมงานกับ คาโรล์ คิง นักร้อง
นักประพันธ์เพลงหญิงชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 1970 ในเพลง "If
It's Over" ด้วย เธอร่วมทำงานในทุกเพลงของอัลบั้มนี้
เธอกล่าวว่า "ฉันไม่ต้องการให้ Emotions เป็นใครคนอื่นในรูปลักษณ์ของฉัน"
และเสริมว่า "มันมีอะไรมากกว่าตัวฉัน ในอัลบั้มนี้"
และเธอก็ได้แสดงสดเพลง If It's Over ที่งาน Grammy
Award ในปี 1992 ด้วย ในปี
ค.ศ. 1992 แครีได้แสดงคอนเสิร์ตจริงครั้งแรกกับเอ็มทีวี ในรายการ “MTV
Unplugged” โดยเธอได้นำเพลงจากอัลบั้มสองชุดแรกมาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบที่ไม่ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า
และได้ร้องเพลง "I'll be there"
เพลงเก่าของวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ร่วมกับเทรย์ โลเรนซ์
(เพลงนี้ได้เป็นเพลงซิงเกิลในภายหลัง และประสบความสำเร็จจนติดอันดับ 1
ในสหรัฐอเมริกา) เพลงที่ร้องในการแสดงสดครั้งนี้
ได้รับการบันทึกลงในอัลบั้มอีพีของเธอที่ชื่อ MTV Unplugged โดยมีเพลงทั้งหมด 7
เพลงด้วยกัน ซึ่งนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนวีกลี ให้ความเห็นว่า
"แข็งแกร่งที่สุด เป็นการบันทึกเสียงที่แท้จริงที่เธอเคยทำมา
หรือการแสดงสดครั้งนี้จะช่วยให้เธอก้าวสู่การเติบโตครั้งแรก"โดยอัฃบั้มนี้
ก็มียอดขายสูงถึง 7 ล้านแผ่น นับเป็นการบันทึกเสียงที่มียอดขายสูงมาก มารายห์ แครี แต่งงานกับ ทอมมี่ มอตโตล่า
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโซนี่ในขณะนั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 ที่แมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา
ต่อมาแครีออกผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อว่า Music Box อัลบั้มชุดนี้มียอดขายรวมมากกว่า
10 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา โดยที่เปิดตัวด้วยซิงเกิล "Dreamlover" ที่ติดอันดับ
1 ในสหรัฐอเมริกานาน 8 สัปดาห์ และซิงเกิลถัดมา
เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้กำลังที่ชื่อ "Hero" ก็ติดอันดับ 1
ในสหรัฐอเมริกา นาน 4 สัปดาห์ นิตยสารบิลบอร์ดกล่าวไว้ว่า
"ช่างปวดใจเหลือเกิน ...เป็นการใช้สิ่งพื้นฐาน ง่าย ๆ ของแครี
เสียงของเธอช่างเป็นธรรมชาติกับเพลง"แต่ทาง นิตยสารไทม์ กล่าวทำนองว่า
"อัลบั้ม Music Box
นี้ ดูทำเป็นพอพิธี และขาดความน่าหลงใหล ... แครีสามารถเป็นนักร้องเพลงป็อป-โซล
ที่ดีได้ แทนการพยายามทำให้เหมือนความสามัญอย่างซาลิเอรี"
แครีได้ออกมาให้ความเห็นว่า "ทันทีที่คุณประสบความสำเร็จ ก็จะมีหลาย ๆ
คนไม่ชอบอย่างนั้น ฉันทำอะไรไม่ได้จริง ๆ
สิ่งที่ฉันพอทำได้คือทำดนตรีในสิ่งที่ฉันเชื่อมั่น"
คำวิจารณ์ส่วนใหญ่จะเกิดก่อนการทัวร์ Music Box Tour ในอเมริกาเล็กน้อย ส่วนซิงเกิลที่ 3 เพลง "Without You" ซึ่งเป็นเพลงดังของแฮรี นิลล์สัน
ที่เธอนำมาขับร้องใหม่ ก็เป็นเพลงแรกที่ไปติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรได้เป็นเพลงแรกและกลายเป็นเพลงท่มียอดขายสูงที่สุดของเธอด้วย
และปัจจุบัน อัลบั้มนี้ก็มียอดขายถึง 32 ล้านแผ่น นับเป็น 1 ใน 30
อัลบั้มที่มียอดขายมากที่สุดตลอดการของโลก และเป็นอัลบั้มแรก ที่ได้ Diamond
Album ช่วงปี ค.ศ. 1994
แครีได้ร่วมงานกับ ลูเธอร์ แวนดรอส ในอัลบั้ม Songs
โดยได้นำเพลง "Endless Love" เพลงเก่าของไลโอเนล ริชชี และ ไดอาน่า รอสส์ กลับมาร้องใหม่
ปลายปีเดียวกันนั้น แครียังได้ออกอัลบั้มคริสต์มาสอีก 1 ชุด
โดยที่เธอได้มีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลง "All I Want For Christmas Is You"
ที่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ซิงเกิลนี้มียอดขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นถึง 1.1
ล้านชุดด้วยกัน และยังคงเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของเธอในญี่ปุ่นอีกด้วย เว็บไซต์
All
Music Guide วิจารณ์ไว้ว่า
"ทำให้ดูเหมือนอุปรากรชั้นสูงในเพลง 'O Holy Night' และทำเพลงแด๊นซ์คลับที่ดูน่ากลัวในเพลง 'Joy to the World'"
อัลบั้มชุดนี้ก็ถือเป็นอัลบั้มเพลงคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาลโดยมียอดขายสูงถึง
14 ล้านแผ่น ในปี ค.ศ. 1995 แครีได้ออกผลงานอัลบั้ม Daydream
ซึ่งอัลบั้มชุดนี้เธอผสมผสานดนตรีแนวอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป และป็อปเข้าด้วยกัน
โดยอัลบั้มนี้มีเพลง "Fantasy" เป็นซิงเกิลแรก
ทำงานร่วมกับ โอล' เดอร์ตี บาสตาร์ด
ศิลปินฮิปฮอป แครีพูดว่าทางค่ายโคลัมเบีย ต้นสังกัด
ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในชุดนี้ "ทุก ๆ คนพูดเหมือนว่า 'คุณบ้าไปแล้วเหรอ' พวกเขารู้สึกกังวลมากในการเปลี่ยนแปลงสูตรเก่า
ๆ " เพลงนี้ก็สามารถขึ้นอันดับ 1
ในสหรัฐอเมริกาทันทีในสัปดาห์แรกที่เข้าตารางอันดับเพลง ซึ่งนับเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำสถิติได้เช่นนี้
และเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรก โดยได้อันดับ 1 นานถึง 8
สัปดาห์ เป็นเพลงที่ 2
ถัดจากเพลง "You Are Not Alone" ของ ไมเคิล แจ็กสัน อีกด้วย
ส่วนซิงเกิลที่ 2 เพลง "One Sweet Day"
ที่ร่วมร้องกับวงแนวดนตรีอาร์แอนด์บีที่ชื่อ บอยซ์ ทู เม็น ก็ขึ้นอันดับ 1
นานที่สุดในประวัติศาสตร์บนตารางอันดับเพลงซิงเกิลในสหรัฐอเมริกา นานถึง 16
สัปดาห์ และซิงเกิลที่ 3 "Always Be My Baby" ที่ร่วมงานกับเจอร์เมน ดูปริ สามารถขึ้นอันดับ 1
เช่นกัน รวมถึง มียอดการเปิดออกอากาศมากที่สุดประจำปี ค.ศ. 1996 ด้วย นิตยสารบิลบอร์ด
พูดว่า อัลบั้ม Daydream
ได้สร้างเสียงตอบรับที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับอาชีพนักร้อง และนิวยอร์กไทม์ยังให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี
1995 และยังเขียนไว้ว่า "การตัดความเป็นป็อปลูกกวาดออกสู่ ความละเอียดปราณีต
... การเขียนเพลงของเธอได้ก้าวกระโดด ผลคือดูสบายขึ้น เซ็กซี่ขึ้น
และดูลดความน่าเบื่อคุ้นหูออก” นอกจากผลงานของเธอแล้ว
ในช่วงปีนี้ แครียังได้ไปร่วมประสานเสียงให้แก่เพลง "Everytime
I close My Eyes" ของเบบี้เฟส อีกด้วย โดยอัลบั้ม Daydream
มียอดขายสูงถึง 25 ล้านแผ่น โดยเป็น Diamond Album ชุดที่ 2 ของเธอด้วย ในปี ค.ศ. 1997 มารายห์ แครี และทอมมี่ มอตโตล่า
ก็ต้องแยกทางกัน หลังจากที่เธอต้องสร้างภาพสู่สาธารณชนว่าเธอมีความสุขในชีวิตคู่
ซึ่งแท้จริงแล้วแครีไม่มีความสุขเลย เธอถูกปฏิบัติเหมือนนกในกรงทอง
เธอถูกเฝ้าดูทุกฝีก้าว ไม่มีความเป็นอิสระ
จนสุดท้ายการหย่าร้างก็เกิดขึ้นในปีถัดมา ในปีเดียวกันนี้ อัลบั้ม Butterfly ของเธอก็ออกวางจำหน่าย
และขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกเป็นครั้งที่ 2
ภาพลักษณ์ของเธอในอัลบั้มชุดนี้เน้นไปที่ความเซ็กซี่เป็นหลัก
ส่วนเพลงที่อยู่ในอัลบั้มชุด นี้แครีได้สร้างออกมาในดนตรีแนวอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปอย่างจริงจัง
อัลบั้มนี้เธออธิบายไว้ว่า ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเธออย่างเต็มที่
ในผลงานเพลงชิ้นนี้[45]
อย่างไรก็ตามเธอก็เสริมต่อว่า "ฉันไม่คิดว่า
มันจะเป็นอะไรที่หลุดจากความเป็นตัวฉัน ที่เคยทำมาแต่ก่อน" เว็บไซต์ LAUNCHcast
วิจารณ์ไว้ว่า "นี่อาจพิสูจน์ได้ว่าแฟนเก่าแก่
อาจกระอักกระอ่วนได้" แต่ก็ชมว่า
"เป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมยินดี" โดยในซิงเกิลเพลงแรกที่ชื่อ "Honey"
เธอก็ได้ร่วมกันสร้างกับศิลปินแร็ปที่ชื่อ พัฟฟ์ แดดดี้ (ในขณะนั้น)
ส่วนเพลง "My All" นั้น
ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 บนตารางอันดับเพลงซิงเกิลเป็นเพลงที่ 13 ส่วนเพลง "Butterfly"
ที่มีเนื้อหากล่าวถึงชีวิตคู่ของเธอ
กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อัลบั้ม Butterfly ทำยอดขายรวม
18 ล้านแผ่น ต่อมา
แครีได้เปิดสังกัดเพลงเล็ก ๆ ชื่อเครฟ เรคคอร์ดส โดยมีศิลปินอย่าง อัลลัวร์
หรือเซเว่น ไมล์ ที่เข้ามาสังกัดกับค่ายนี้ เป็นต้น แต่สุดท้ายก็ได้ยุติกิจการไปในที่สุด
ส่วนของงานเบื้องหลังนั้น ในช่วงปีนี้
เธอได้ทำหน้าที่เป็นนักประพันธ์เพลงและควบคุมการบันทึกเพลง ให้แก่ศิลปินคนอื่น ๆ
โดยตัวอย่างงานประพันธ์เพลงของเธอนั้นได้แก่ เพลง "Head Over
Heels" และ "Last Chance" ของอัลลัวร์
เพลง "Make You Happy" ของเทรย์ โลเรนซ์
(เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง หน่วยจารชนพิทักษ์จักรวาล
(Men in Black)) และเพลง "Where
Are You Christmas" ของเฟธ ฮิลล์ (เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะกริ๊นช์ ตัวเขียวป่วนเมือง)
เป็นต้น ส่วนงานทางด้านการควบคุมการบันทึกเพลงให้ศิลปินอื่น ก็ได้แก่ เพลง "All
Cried Out" ของอัลลัวร์ เพลง "After" ของวงเซเว่น ไมล์ และเพลง "Don't Go Looking For Love" ของวงบลาค เป็นต้น ในปี ค.ศ. 1998
แครีก็ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงที่ติดอันดับ 1 บนตารางอันดับเพลง โดยใช้ชื่อว่า #1s
โดยมีเพลงดังอย่าง "I Still Believe" ซึ่งเป็นเพลงเก่าของเบรนด้า
เค. สตารร์ ที่ได้รับความนิยมในปี ค.ศ. 1988 รวมอยู่ในนั้นด้วย (ในเวอร์ชันปี 1988
ของเพลงนี้ แครีได้มีส่วนร่วมในการร้องประสานเสียงด้วย) ยอดขายอัลบั้มนี้ รวม 20
ล้านแผ่น และที่สร้างความประหลาดใจคือ เธอยังได้ร่วมร้องเพลงคู่กับวิทนีย์ ฮูสตัน ในเพลง "When
You Believe" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะ พริ้นซ์ ออฟ อียิปต์ (The
Prince Of Egypt) โดยเพลงนี้ได้รางวัลจากการประกวดออสการ์อีกด้วย นิตยสารเอ็นเอ็มอีวิจารณ์ไว้ว่า
"เพลงนี้มีความ หวานอย่างไร้สาระ เหมือนเพลง 'Hero'" แครียังได้มีส่วนร่วมกับงานวีเอชวัน ดีวาส์ ทางช่องวีเอชวัน โดยเป็นคอนเสิร์ตที่รวมศิลปินหญิงชื่อดังอย่าง
อารีธา แฟรงคลิน, เซลิน ดิออน, กลอเรีย เอสเตฟาน, คาโรล์ คิง และชาเนีย ทเวน
มาแสดงร่วมกันโดยเธอได้แสดงเพลง My all,Chains of Fool,Make it Happen นอกจากนั้น ในปีนี้ แครียังเป็นข่าวกับนักกีฬาเบสบอลทีมนิวยอร์กแยงกี้ส์ที่ชื่อ เดเรค เจเตอร์
อีกด้วย ในปี ค.ศ. 1999 แครีได้ออกอัลบั้มมาอีก 1 ชุด โดยใช้ชื่อว่า Rainbow ที่เธอทำเพลงแนวฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี
อย่างอัลบั้ม Butterfly โดยซิงเกิลแรกที่ชื่อ
"Hearbreaker"
ได้เจย์-ซี มาร่วมร้อง ส่วนมิวสิกวิดีโอเพลงนี้มีค่าใช้จ่ายในการทำมิวสิกวิดีโอมากที่สุดเป็นอันดับที่
3 ด้วยเงินลงทุน 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซิงเกิลที่ 2 "Thank
God I Found You" ได้ร่วมงานกับโจ และวงไนน์ตี้เอท ดีกรีส์
เพลงนี้เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 15 ในสหรัฐอเมริกาของเธอ ทางฝั่งสหราชอาณาจักร
แครีได้ออกวางขายซิงเกิล "Against All Odds (Take A Look At Me
Now)" เพลงเก่าของฟิล คอลลินส์ ในปี ค.ศ. 1984
โดยได้ร่วมร้องกับวงบอยแบนด์ เวสท์ไลฟ์ ขึ้นอันดับ 1
ในสหราชอาณาจักร ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 2 ของเธอ
ตัวอัลบั้มในสหรัฐอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับอัลบั้มชุดก่อน
ๆ โดยขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา สำหรับเสียงวิจารณ์ของอัลบั้ม Rainbow
ซันเดย์เฮอรัลด์ พูดไว้ว่า "ก้าวเดินที่ไม่มั่นคงแต่น่าประทับใจ
ระหว่างเพลงโซลบัลลาดกับการ่วมงานกับศิลปินอาร์แอนด์บีที่มีชื่อเสียง อย่างสนูป ด็อกกี้ ด็อก ,อัชเชอร์ ... เป็นอัลบั้มป็อป-โซล
ที่สละสลวย" นิตยสารไวบ์ พูดคล้าย ๆ กันว่า "Rainbow
จะเป็นอัลบั้มที่คงไปด้วยความเลื่อมใส
ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายที่ต่ำที่สุดของแครี" ยอดขายรวม 10
ล้านแผ่น ท้ายปี นิตยสารบิลบอร์ด ได้แจกรางวัลให้แก่เธอ
รางวัลศิลปินแห่งทศวรรษ และแครียังได้รางวัลจากเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส
รางวัลศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษ นอกจากนี้เธอยังทำสถิติเป็นศิลปินคนเดียวในประวัติศาสตร์
อันดับเพลงในนิตยสารบิลบอร์ดที่มีเพลงอันดับ 1 ทุก ๆ ปีในทศวรรษที่ 90 (ปี ค.ศ.
1990-1999) นอกจากนี้แครียังได้ก้าวสู่ฐานะศิลปินแนวอาร์แอนด์บี
โดยได้ทำงานกับเจย์-ซี เพลง "Things That U Do" และ "Got A Thing For You" ของดา แบรท หลังจากที่เธอได้รับรางวัลเวิลด์
มิวสิก อวอร์ดส แครีได้สิ้นสุดสัญญากับโซนี่และได้เซ็นสัญญากับอีเอ็มไอด้วยเงิน 80
ล้านปอนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 ในช่วงนั้นร่างกายและจิตใจเธอทรุดโทรมลงมาก
แครีได้ทิ้งข้อความเสียงลงเว็บไซต์ของเธอ
ถึงเรื่องการทำงานหนักมากของเธอในรอบหลายปี นอกจากนั้นความสัมพันธ์กับนักร้องละติน
ลุยส์ มิเกลก็จบลง เธอให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า
"ฉันอยู่กับคนที่ไม่รู้จักฉันจริง ๆ และฉันก็ไม่สามารถจัดการเรื่องส่วนตัวได้
ทั้งให้สัมภาษณ์ทั้งวัน มีเวลานอนแค่ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น "
แครียังได้แสดงกิริยาหลุดโลกในรายการของเอ็มทีวี รายการ TRL
(Total Request Live) โดยถอดเสื้อผ้าออกกลางรายการ แครีได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นตัวเอกในเรื่องกึ่งอัตชีวประวัติของเธอ
Glitter ภาพยนตร์ออกฉายในวันที่ 21 กันยายน
หนังเรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างมากและล้มเหลวในตารางอันดับภาพยนตร์ทำเงินบ็อกซ์ออฟฟิส เมื่อเวอร์จิ้น
เรคคอร์ดส ออกขายอัลบั้มที่ 10 ของเธอ "Glitter"
แครีก็ไม่สามารถที่จะประชาสัมพันธ์อัลบั้มชุดนี้ได้เท่าที่ควรเนื่องจากเธอประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ
และการวางขายอัลบั้มในวันที่แย่ที่สุดคือ 11 กันยายน ค.ศ. 2001
(วันเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน) อัลบั้มเข้าตารางอันดับที่อันดับ 7
ซึ่งแย่ที่สุดที่เคยทำได้ หนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์โพสต์-ดิสแพตช์
เขียนไว้ว่า "นี่เป็นช่วงตกต่ำที่สุดของอาชีพเธอ" และนิตยสารเบล็นเดอร์เขียนไว้ว่า
"หลังจากที่เธอรุ่งเรืองในอาชีพของเธอ ไม่ว่าจะเป็นยอดการเปิดทางวิทยุ
แต่ตอนนี้แทบไม่เป็นเช่นนั้นเลย" "Loverboy" ซิงเกิลแรกในอัลบั้มนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 2 เนื่องจากแผนการตลาดลดราคาเหลือ
99 เซ็นต์ แครีได้ร้องเพลง "Hero" ในวันที่ 21
กันยายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการหาเงินหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 ก.ย.
และในเดือนธันวาคมเธอได้ร้องเพลงให้แก่กองทัพอเมริกันก่อนไปโคโซโว หลังออกอัลบั้ม Glitter
โซนี่ได้ออกอัลบั้ม Greatest Hits ก่อนช่วงคริสต์มาส
อัลบั้มนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จในตารางอันดับเพลง (สูงสุดที่อันดับ 52) เดือนมกราคม
ค.ศ. 2002 อีเอ็มไอตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเธอด้วยเงิน 20 ล้านปอนด์
เธอให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาที่อยู่กับต้นสังกัดเวอร์จิ้นว่า
"เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด การตัดสินใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์การเงิน
แต่ฉันไม่ได้ตัดสินใจเพราะเกี่ยวกับเงินที่ได้
ฉันเรียนรู้บทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์ครั้งนี้"และหลังจากนั้นหนึ่งปีแครีได้เซ็นสัญญาอีกครั้งกับ
“Island
Records” ด้วยสัญญา 20 ล้านเหรียญและเปิดค่ายใหม่ของเธอ MonarC ต่อมากรกฎาคม ปี 2002 เป็นช่วงที่พ่อของเธออัลเฟรด รอย
แครีเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งแครีได้ร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องไวส์เกิร์ลส
(WiseGirls)
แครี ได้ออกอัลบั้ม Charmbracelet กับสังกัดใหม่ในเดือนธันวาคม
ค.ศ. 2002 ติดบนตารางอันดับอัลบั้มสูงสุดอันดับ 3 ในอัลบั้มนี้แครีได้ถ่ายทอดเพลงผ่านบทเพลงซึ่งมีความหมายกับเธอและแฟนเพลง
อย่างเพลง "Through The Rain" นอกจากนั้นในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง
"Boy (I Need You)" ได้ร่วมงานกับศิลปินแนวแร็ปอย่างแคม'รอน
รวมถึงได้นำเพลงเก่าของเดฟ เล็พพาร์ด ในปี 1993
นำมาทำใหม่ในเพลง "Bringin' On The Heartbreak" สำหรับเสียงวิจารณ์ในอัลบั้มชุดนี้ เดอะบอสตันโกลบ วิจารณ์ไว้ว่า
"แย่ที่สุดของเธอ เผยเสียงร้องที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นเสียงขึ้นลงที่เข้มแข็งหรือเสียงกระซิบที่อ่อนนุ่ม" นิตยสารโรลลิงสโตน
วิจารณ์ว่า
"แครีต้องเน้นเพลงให้เธอให้ดูมีพละกำลังขึ้นและความกว้างของเสียงที่เธอเคยโด่งดังมาก่อน
Charmbracelet เหมือนสีน้ำที่ไหลซึมออกมาจากบ่อ" ในปี 2003 แครีได้ร่วมงานกับบัสตา ไรมส์ ในเพลง "I
Know What You Want" เพลงนี้ขึ้นสูงสุดอันดับ 3
ในสหรัฐอเมริกาและบรรจุอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ The Remixes ของเธอด้วย ในปี 2004 แครีใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำอัลบั้ม The Emancipation of Mimi โดยปลายปี
2004 เธอได้ร่วมงานกับจาดาคิส ในเพลง "U
Make Me Wanna" ซึ่งสามารถเข้าถึง 10 อันดับแรกบนตารางอันดับเพลงบิลบอร์ด
อาร์แอนด์บี/ฮิปฮอป ซิงเกิลส์ ชาร์ท แครีได้ปฐมทัศน์เพลง "It's Like
That" ที่เพียวคลับในลาสเวกัส
ได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีและเพลงนี้ก็ขึ้นสูงสุดอันดับ 16
ในตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ด สื่อต่าง ๆ
ให้ความเห็นว่านี่คือการกลับมาของแครีในคำประกาศโดยใช้คำว่า
"การกลับมาของเสียงร้อง" (The Return Of The Voice) อัลบั้ม The Emancipation of Mimi เธอได้ร่วมงานกับเดอะเนปจูนส์ , คานยี เวสต์ รวมไปถึงเจอร์เมน ดูปริ
อัลบั้มนี้ได้ขึ้นอันดับ 1
ในตารางอันดับอัลบั้มบิลบอร์ดตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย ซิงเกิลที่ 2 "วีบีลองทูเกเตอร์"
ได้รับการโหมเปิดทางวิทยุจนขึ้นอันดับ 1 ในตารางอันดับเพลงเป็นเวลานานถึง 14
สัปดาห์ ถือเป็นเพลงอันดับ 1 ของแครีเพลงแรกในรอบ 5 ปี
และเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ ซิงเกิลที่ 3 "Shake
It Off" ก็ยังได้รับการเปิดทางสถานีวิทยุอย่างมากจนทำให้ขึ้นสูงสุดอันดับ
2 ในตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ด อีกทั้งซิงเกิลที่ 4 "Don't
Forget About Us" ขึ้นอันดับ 1 บนตารางอันดับเพลงนิตยสารบิลบอร์ดเป็นเพลงที่
17 อัลบั้ม The Emancipation of Mimi ชุดนี้ก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดประจำปีและได้รับ
3 รางวัลแกรมมี่
(อัลบั้มเพลงอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม, เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม
จากเพลง "We Belong Together", ศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม)
และในปี 2007 แครียังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล
"ศิลปินอาร์แอนด์บีหญิงยอดเยี่ยม" และ
"เพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม" อีกครั้งกับเพลง "Don't Forget
About Us" เดอะการ์เดียน วิจารณ์อัลบั้มชุดนี้ไว้ว่า
"เยี่ยม.. ชุดนี้เน้นไปที่เพลงเมืองคนเมือง
มารายห์ได้ปรับตัวได้ในรอบหลายปี" ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2005
แครีได้ร่วมแสดงในงานคอนเสิร์ตไลฟ์เอทที่เวทีลอนดอน โดยร้องเพลง "Make
It Happen" และ "Hero" ซึ่งร้องกับคณะประสานเสียงแอฟริกัน
ชิลเดรน'ส ไควร์ และจบด้วยเพลง "We Belong
Together" โดยมีเพื่อนเก่าอย่างแรนดี้ แจ็คสัน
คณะกรรมการอเมริกันไอดอลมาร่วมแสดง แครีได้ทัวร์คอนเสิร์ตตามเมืองต่าง ๆ
ในชื่อทัวร์ว่า “The Adventures of Mimi” ช่วงซัมเมอร์
ปี 2006 ช่วงกลางปี 2006
หลังจากที่ได้เริ่มทำงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 11 E=MC²
ผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ที่ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์อย่าง ซี. “ทริกกี้” สจ๊วต กับ เดอะ-ดรีม
ก็ยังมีบรรดาโปรดิวเซอร์รับเชิญไม่ว่าจะเป็น เจอร์เมน ดูปริ ,ดีเจ ทูมป์ หรือแม้กระทั่ง วิลล์ ไอ แอม เป็นต้น
กับซิงเกิลแรก "ทัชมายบอดี" ที่สามารถขึ้นอันดับ
1 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับ ทำให้เธอมีเพลงอันดับ 1 ถึง 18 ซิงเกิล แซงหน้า
เอลวิส เพรสลีย์ที่มีซิงเกิลอันดับ 1 อยู่ 17 ซิงเกิล
และจำนวนสัปดาห์ของซิงเกิลอันดับ 1 รวมกันได้ 79 สัปดาห์
ซึ่งมีสถิติตามหลังเพียงเอลวิส เพรสลีย์ที่มีผลรวมที่ 80 สัปดาห์ เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2008
แครีแต่งงานกับนิก แคนนอน นักแสดง
เธอแต่งที่เกาะวินเดอร์แมร์ในบาฮามาส แครีบอกว่าเธอรู้สึกว่า
ทั้งคู่เป็นโซลเมตกัน แครีแสดงเพลง "Hero" ในงานสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของประธานาธิบดีชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์
บารัก โอบามา เมื่อวันที่ 20
มกราคม ค.ศ. 2009 ต่อมาแครีได้ร่วมงานกับซิงเกิลที่ 2 ในอัลบั้ม Love
vs. Money ของเดอะดรีม ชื่อเพลง "My
Love" แครีออกผลงานอัลบั้มชุดที่
12 ในชื่อ Memoirs of an Imperfect Angel
มีซิงเกิลแรกคือ "Obsessed" เข้าชาร์ตสัปดาห์แรกที่อันดับ
11 และทำอันดับสูงสุดที่อันดับ 7 บนบิลบอร์ดฮอต 100 ถือเป็นซิงเกิลลำดับที่
40 ที่ติดชาร์ตนี้ ทั้งนี้แครีถือเป็นนักร้องหญิงคนที่ 8 ที่มี 40
ซิงเกิลบนบิลบอร์ดฮอต 100 โดยอารีธา แฟรงกลิน มีมากที่สุดอยู่ 76 เพลง ซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้ม
นำเพลงเก่าของโฟไรเนอร์มาทำใหม่ ที่ชื่อ "I Want to Know What
Love Is" ขึ้นอันดับสูงสุดด้วยอันดับ 60 บนบิลบอร์ดฮอต 100
ซึ่งก็ประสบความสำเร็จระดับปานกลางในที่อื่นทั่วโลก อัลบั้ม Memoirs of
an Imperfect Angel ออกวางขายวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2009
ในสหรัฐอเมริกา เปิดตัวสัปดาห์แรกบนบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 3 กับยอดขาย 168,000 ชุด น้อยกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ E=MC2
อย่างมาก เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2009
ในระหว่างการแสดงส่วนตัวในนิวยอร์กเธอประกาศว่า ซิงเกิลที่ 3
ของอัลบั้มนี้จะเป็นซิงเกิล "H.A.T.E.U." แครีได้แสดงคอนเสิร์ตเล็ก ๆ
ในที่พักเพื่อประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ตของเธอที่ชื่อ Live At The Pearl ที่เธอแสดงเป็นเวลา 2 วันในเดือนกันยายนในลาสเวกัส ก่อนที่อัลบั้มจะออก 2
วัน แครีแสดงในคอนเสิร์ตก่อนวันปีใหม่ในปี 2009 ที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทัวร์คอนเสิร์ตใหม่ของเธอ
วันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2010 ผลงานอัลบั้มชุดต่อมาของเธอจะออกจำหน่ายในชื่อว่า Angels Advocate
ซึ่งเป็นอัลบั้มที่รวบรวมเพลงทั้งหมดของอัลบั้ม Memoirs of an Imperfect Angels
มาทำใหม่ในรูปแบบเพลงรีมิกซ์ มีศิลปินรับเชิญมาร่วมงนอย่างนี-โย, อาร์. เคลลี, แมรี เจ. ไบลจ์ และนิกกี มานาจ
ทั้งนี้แครี่ยังได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เช่นเจอร์เมน ดูปรีและทิมบาแลนด์ด้วย
แต่ในท้ายที่สุดก็ได้ประกาศยกเลิกไป
เพราะเห็นว่าตัวอัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพลง 100%
เป็นเพลงที่แต่เดิมจะใช้ประกอบภาพยนตร์ พรีเชียส ที่แครี่ร่วมแสดง
แต่ต่อมาเพลงนี้ได้ใช้เป็นเพลงประกอบการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2010
ที่จัดขึ้นที่ประเทศแคนาดา
ซึ่งมิวสิกวีดีโอของเพลงดังกล่าวได้ถ่ายทำในระหว่างที่แครี่ทัวร์คอนเสิร์ต ณ เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา แครีเคยพูดว่าเธอได้รับการกระตุ้นจากนักร้องอาร์แอนด์บีและโซลจากศิลปินอย่าง
บิลลี ฮอลิเดย์, ซาราห์ วอห์น, แกลดีส์ ไนท์ , อารีธา แฟรงคลิน, อัล กรีน และ สตีวี่ วันเดอร์ เธอได้รับอิทธิพลจากดนตรีแนวกอสเปล และนักร้องแนวกอสเปลที่เธอชื่นชอบคือ เดอะ คลาร์ก ซิสเตอร์ส , เชอร์ลีย์ เซซาร์
และ เอดวิน ฮอกินส์ แต่เมื่อแครีเริ่มหันมาทำดนตรีแนวฮิปฮอป
มีการกล่าวว่า เธอกำลังทำเพลงที่นิยมในขณะนั้น เธอบอกกับนิตยสารนิวส์วีค
ว่า "ไม่มีใครเข้าใจว่า ฉันเติบโตมากับดนตรีจำพวกนี้"
โดยแครีออกมาเปิดเผยว่าเธอชื่นชอบศิลปินอย่าง เดอะ ซูการ์ฮิลล์ แกงก์ , อีริค บี แอนด์ ราคิม , เดอะ วู-แทง แคลน , เดอะ โนทอเรียส บีไอจี และ ม็อบบ์ ดีพ , ที่เธอได้ร่วมงานในเพลง
"The Roof (Back in Time)" ตลอดอาชีพการร้องเพลง เสียงร้อง
แนวทางดนตรี รวมถึงระดับความสำเร็จของเธอ ก็มักได้รับการเปรียบเทียบกับ วิทนีย์ ฮูสตัน และ เซลีน ดิออน ซึ่งก็มีคำวิจารณ์ของแกร์รี
มูลฮอลแลนด์ไว้ว่า "เหล่าบรรดาเจ้าหญิง เสียงสูง
เธอเป็นผู้ช่ำชองในการใช้เสียงกับเพลงป็อปฮิตติดตลาด"
แต่ก็มีนักเขียนบางคนเขียนว่าเธอแตกต่างจาก วิทนีย์ ฮูสตัน และ เซลีน ดิออน ตรงที่เธอเขียนเพลงเองด้วย มารายห์
แครีเป็นนักร้องโคโลราทูราโซปราโน (coloratura
soprano คือนักร้องระดับเสียงสูงสุดของผู้หญิงที่สามารถใช้เสียงได้หลากหลายด้วยเทคนิคอันแพรวพราวและร้องเสียงเฮดโทนวอยซ์ได้)
เสียงเธอมีความกว้างถึงห้าออกเตฟและมีเอกลักษณ์จากความสามารถในการร้องเสียงสูงใน
whistle register
(เสียงร้องเสียงสูงที่สูงกว่า E6)
โน้ตที่สูงที่สุดที่เธอร้องได้คือ Bb7 (โน้ตที่สูงกว่า C7 ซึ่งเป็นโน้ตสูงสุดบนคีย์บอร์ดมาตรฐานอยู่ห้าเสียงครึ่ง
หรือสูงกว่าโน้ตสูงที่สุดบนคีย์ของเปียโนซึ่งมีอยู่ 88 คีย์)
เธอยังได้รับการบันทึกจากหนังสือกินเนสบุ๊คว่าเธอเป็นนักร้องที่สามารถร้องโน้ตได้สูงที่สุดในปี
2003 แครีมักจะได้รับคำกล่าวอย่างผิด ๆ ว่ามีเสียงร้องถึงเจ็ดออกเตฟ
สาเหตุเนื่องจากการกล่าวเกินจริงในสมัยที่เธอเพิ่งเข้าวงการใหม่ ๆ
บางทีคำกล่าวนี้อาจจะเกิดจากการเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เสียงของเธอในการร้องเสียงสูงใน
whistle register
โดยเฉพาะโน้ตเพลงในออกเตฟที่เจ็ด ในปี
2003 แครี ได้รับการลงคะแนนเสียงให้เป็นนักร้องเสียงดีที่สุดจากรายการเดอะ
เกรทเท็ส วอยเซ็ส อิน มิวสิก (The Greatest Voices in Music) ของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีวี และนิตยสารเบล็นเดอร์ของอเมริกา
โดยจากการจัดอันดับ มีศิลปินดังอย่างวิทนีย์ ฮูสตัน ซึ่งอยู่อันดับสาม คริสติน่า อากีเลร่า
อันดับห้า และ เซลีน ดิออน ซึ่งอยู่อันดับที่เก้า
แครีให้ความเห็นกับแบบสำรวจนี้ว่า "นี่เป็นแบบสำรวจของคนรุ่นเอ็มทีวี
แน่นอนว่าเป็นคำชมเชยที่ดี แต่ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับตัวฉันอย่างนั้น" สำหรับคำวิจารณ์ในด้านเสียงร้องของเธอ นิตยสารโรลลิงสโตนพูดไว้ว่า
ในช่วงที่เธอออกอัลบั้ม Emotions
"แครีได้พรสวรรค์นี้มา แต่ถึงวันนี้
โชคไม่ดีที่การร้องของเธอมันไกลไปเกินประทับใจกว่าที่เธอได้แสดงออกมา
กับระดับเสียงร้องที่สูงเกินกว่ามนุษย์
ผ่านโน้ตเพลงที่เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเธอกำลังร้องอยู่" นิวยอร์กเดลีนิวส์เขียนไว้ในปี
2005 ว่า "การร้องของเธอ เป็นเรื่องของการแสดง
ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ที่เป็นแรงดลใจ ... การที่มีเสียงดี
จะเป็นนักร้องที่ดีได้หรือไม่ ...ค่อนข้างยาก" และมีหลายคนตีความว่า เธอได้เปลี่ยนการร้องในลักษณะ
มีลมหายใจออกมาด้วย ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ถึงต้นยุค 2000
เสียงของเธอทรุดโทรมลง แต่เธอก็ยังคงบอกว่า
"เสียงฉันก็ยังคงเป็นแบบนี้มาโดยตลอด" และในปี 2007
แครีอยู่ในอันดับนักร้องที่แย่ที่สุดตลอดการของนิตยสารคิว จากการสำรวจของผู้อ่าน
โดยนิตยสารเขียนไว้ว่า "ถึงแม้ว่า มารายห์ แครีจะมีเสียงช่วงกว้างถึง 5
ออกเตฟและมีเสียงดังที่ทำให้รังนกตกจากต้นไม้ได้ แต่มันก็ไม่ดี"
เอนรีเก มีเกล อีเกลเซียส เปรย์สเลร์ (Enrique Miguel Iglesias Preysler) เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2518
ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็นนายแบบ, นักร้อง, นักประพันธ์เพลงป๊อป ชีวิตด้านดนตรีของเอนรีเกเริ่มต้นในเม็กซิโก เขาเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอินดีชื่อว่า Fonovisa ซึ่งช่วยเหลือเขาให้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับความนิยมในละตินอเมริกา และตลาดเพลงละตินในสหรัฐอเมริกา
เอนรีเกเริ่มต้นการจำหน่ายอัลบั้มเป็นภาษาสเปนในปี พ.ศ. 2538
ต่อมาได้เซ็นสัญญากับค่ายยูนิเวอร์แซลมิวสิก
หลังจากนั้นเขาก็ได้ออกอัลบั้มทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาสเปน
เอนรีเกทำรายได้ให้แก่บริษัทยูนิเวอร์แซลมิวสิกกว่า 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เอนรีเกจำหน่ายอัลบั้มรวมแล้วกว่า
50 ล้านชุดทั่วโลก เพลงของเขาขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดในอันดับที่ 1 ถึง 2 เพลง และมีซิงเกิลภาษาสเปนอันดับ 1
ในชาร์ตเพลงละตินของบิลบอร์ดกว่า 18 ซิงเกิล เอนรีเก เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2518
ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็นบุตรคนที่ 3 และเป็นบุตรคนสุดท้องของคูลิโอ อีเกลเซียส นักร้องชาวสเปน และอิซาเบล เปรย์สเลร์
ผู้สื่อข่าวและพิธีกรชาวฟิลิปปินส์ บิดาของเขาเป็นชาวสเปนที่มีรกรากมาจากแคว้นกาลิเซีย และอาจมีเชื้อสายยิวจากย่าของเขา
ภายหลังบิดาและมารดาของเอนรีเกหย่ากันตั้งแต่ พ.ศ. 2521
และในปีต่อมา บิดาของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ไมอามี รัฐฟลอริดา เพื่อดำเนินงานเพลงด้านดนตรีต่อ ในปี พ.ศ. 2526
ด็อกเตอร์คูลิโอ อิเกลเซียส ปูกา ปู่ของเอนรีเกถูกลักพาตัวโดยกลุ่ม ETA หลังจากนั้นเอนรีเก และพี่ชายที่ชื่อคูลิโอ อีเกลเซียส จูเนียร์
ก็ย้ายไปอาศัยอยู่กับบิดาที่ไมอามี เอนรีเกสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนฝึกหัด Gulliver
ในปี พ.ศ. 2536 และเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งไมอามี
สาขาธุรกิจ แต่เขาได้พักการเรียนเพื่อดำเนินงานด้านดนตรีของเขา
เอนรีเกไม่ต้องการให้บิดาของเขารู้เรื่องของแผนการด้านดนตรีของเขา
ดังนั้นเมื่อเขาส่งตัวอย่างเพลงของเขาให้กับค่ายเพลงต่างๆ เขาจะใช้ชื่อว่า Enrique
Martinez ซึ่งเป็นชื่อจริงของเขาเอง ส่วนนามสกุลนั้นมาจาก Fernán
Martínez ผู้จัดการส่วนตัวของเขา อนึ่ง
เอนรีเกไม่ต้องการให้นามสกุลที่มีชื่อเสียงของเขาช่วยเหลือเขาในงานด้านดนตรีด้วย
เอนรีเกเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอินดีเล็กๆที่มีชื่อว่า Fonovisa เขาย้ายไปยังโตรอนโต ประเทศแคนาดาเป็นเวลา 6
เดือนเพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มแรกของเขา1999
เอนรีเกพร้อมแล้วที่จะขยายตลาดของเขาออกไปมากกว่าในแถบลาติน ‘Enrique’ คืออัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรกและเป็นครั้งแรกกับค่ายInterscope อัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอย่าง “Bailamos” (We Dance) , "Rhythm
Divine," "Be With You," และ "Could I
Have This Kiss Forever," ซึ่งร้องคู่กับวิทนีย์ ฮูสตัน ในอเมริกาอัลบั้มนี้ได้ 2
รางวัลทองคำขาว และเอนรีเกได้โชว์ต่อหน้าฝูงชนเป็นล้านในช่วงพักครึ่งของซูเปอร์โบวล์ปี 2000
เอนรีเกได้รับทั้งอัลบั้มทองคำและทองคำขาวใน 32
ประเทศและกลายเป็นนักร้องต่างชาติที่ทำยอดขายได้มากที่สุดตลอดกาลในอินเดีย และแล้วก็มาถึงอัลบั้ม Escape ที่มีเพลงดัง
“Hero” และ “Escape” ซึ่งทำให้เอนรีเกกลายเป็นนักร้องดังในฝั่งยุโรปเมื่อทำยอดขายได้ถึง 10 ล้านก๊อปปี้
ทั้งตัวอัลบั้มเและซิงเกิลชื่อเดียวกันนั้นต่างขึ้นถึงอันดับ 1 ในอังกฤษ ปี2003
เขาได้มีอัลบั้มชุดที่ 7 (เมื่อนับรวมอัลบั้มภาษาสเปน) ชื่อ ‘7’ ออกมาและได้ตอกย้ำความเป็นศิลปินตัวจริงของผู้ชายคนนี้ อัลบั้มใหม่ล่าสุด Insomniac เอนรีเกบอกพร้อมกับเสียงหัวเราะว่า “ผมไม่เคยกลุ้มใจมากมายเวลาทำอัลบั้ม
มันเหมือนเป็นการเดินทางค้นหาจิตวิญญาณและค้นพบตัวเองสำหรับผม” “ผมจะไม่บอกว่านี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำมา
หรือเป็นการทำงานที่ดีที่สุด หรือมีเพลงที่ดีที่สุด” เขาสรุป
“สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดสำหรับอัลบั้มนี้ก็คือ
ผมได้ทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างไปในการทำมัน ---ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ” การเดินทาง 3 ปีจึงเริ่มขึ้นจุดหมายไล่เรียงตั้งแต่ไมอามี ลอสแอนเจลิส และสวีเดน โดยได้โปรดิวเซอร์อย่าง Sean Garret, Max Martin,
Kristian Lundin, Mark Taylor&Paul Barry และ Anders
Bagge “เมื่อผมเริ่มอัลบั้มนี้ ผมจะทำงานตอนกลางคืน แล้วก็นอนตอนกลางวัน
ผมเป็นพวกบ้าพลังมาตลอดชีวิต แล้วคำว่า Insomniac (นอนไม่หลับ)
ก็โผล่เข้ามาเป็นคำแรกเลยตอนที่คิดชื่ออัลบั้มนี้” เพลงเด่นๆในอัลบั้มนี้ก็มีเพลงกลิ่นฮิบฮอบชื่อ
“Push” ที่ได้ร่วมงานกับแรปเปอร์ Lil’ Wayne รวมทั้ง “Ring My Bell” เพลงที่เขาร่วมเขียนกับสองนักแต่งเพลงคนโปรดชาวสวีเดน
Kristian Lundin ซึ่งSavan Kotecha ก็ได้มาแจมในเพลงนี้ด้วย
“คุณรู้ไหมบางครั้งบางช่วงในชีวิตเมื่อคุณรู้สึกว่ามันผิดพลาดไปนิดหน่อย
แล้วคุณก็บังเอิญค้นพบว่ามันมีบางอย่างเปลี่ยนคุณ นั้นแหละที่มันเกิดขึ้นกับเพลง “Ring
My Bell” ความรู้สึกของเพลงนี้ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเรื่องที่ว่าอัลบั้มชุดนี้ควรออกมาเป็นอย่างไร”
ตอนที่ทำเพลงนี้เขาได้ทดลองทำแบบฮิปฮอปสไตล์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยชอบเลย
แต่คราวนี้มันกับเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
จริงๆแล้วมันไม่มีเพลงไหนในอัลบั้มนี้ที่เขาพยายามจะทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเขา อัลบั้ม
Insomniac ประกอบไปด้วยเพลงภาษาอังกฤษ 12 เพลงและอีก 3 เพลงเป็นสเปน
ความจริงแล้วเขาได้ทำเอาไว้อีก 20
เพลงในห้องอัดแต่ทั้งหมดนั้นถูกทิ้งไปเพราะเอนรีเกคิดว่ามันยังไม่ได้มาตรฐานตามที่เขาต้องสำหรับอัลบั้มนี้ “ผมสามารถเอาเพลงพวกนั้นมาทำได้อีกอัลบั้มนึงเลยถ้าผมต้องการ
แต่ผมคิดว่าคงไม่มีวันที่เพลงพวกนั้นจะได้ออกมาสู่โลกใบนี้แน่
ถ้าเราให้มันเป็นเพลงที่เรียกว่า บี-ไซด์ (เพลงแถม) มันก็ไม่น่าจะได้อยู่ในอัลบั้ม” ในปี 2008 เอนรีเก อีเกลเซียส ได้ร้องเพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 อย่างเป็นทางการ
ที่ชื่อ Can You Hear Me แต่งโดย Steve Morales
Frankie Strom และตัวเขาเอง โปรดิวซ์โดย Big Ben Diehl กับ Carlos Pacuar และอัดเสียงที่ Circles
House Studio ที่ไมอามี่
แบ็กสตรีตบอยส์
(Backstreet Boys) เป็นวงบอยแบนด์แนวป็อบร็อก
ที่โด่งดังมากในช่วงปลายยุค 90s ถึงยุคต้น 2000s
มียอดขายอัลบั้มมากถึง 73 ล้านชุดทั่วโลก
จากอัลบั้มทั้ง 5 ชุด และอัลบั้มรวมฮิต 1 ชุด. แบ็กสตรีตบอยส์ มียอดขายกว่า 130 ล้านแผ่น
ทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นวงบอยแบนด์ที่มียอดขายดีที่สุดตลอดกาล
และเป็นหนึ่งในศิลปินเพลงที่มียอดขายดีที่สุดในโลก สมาชิกประกอบด้วย ไบรอัน ลิตเทรลล์ (1993-ปัจจุบัน) ,เอ.เจ แม็คคลีน (1993-ปัจจุบัน),นิค
คาร์เตอร์ (1993-ปัจจุบัน),โฮวี่ ดูรัฟ (1993-ปัจจุบัน),เควิน ริชาร์ดสัน (1993-2006; 2012–ปัจจุบัน)
ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 5 คน โดย Kevin Richardson ให้เหตุผลที่ลาออกจากวงในปี 2006 ว่าเขาต้องการไปทำสิ่งที่สนใจในด้านอื่นบ้าง
เช่น เล่นละครบรอดเวย์ ทำสตูดิโอส่วนตัวที่ผลิตซาวน์เพลงประกอบต่างๆ
สำคัญที่สุดคือเขาต้องการมีเวลาให้กับครอบครัว เควินและภรรยาคริสติน
ริชาร์ดสันให้กำเนิดลูกชายในเดือน กรกฎาคม 2007. เควินได้กลับมารวมวงอีกครั้งในเดือนเมษายน
ปี 2012 ระหว่างปี 1996
ถึง 2001 พวกเขาขึ้นเวทีแสดงสดมากถึง 350
โชว์ กับยอดขายบัตรคอนเสิร์ตมากกว่า 5 ล้านใบ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 ที่ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาถูกเล่นทางวิทยุ
ตอนนั้นเป็นยุคทองของดนตรีกรันจ์ ไม่มีใครคิดว่าเพลง ‘We’ve
Got It Going On’ จะถูกเปิดมากไปกว่า ‘Smell Like Teen
Spirit’ ของ Nirvana แต่แล้ว แบ็กสตรีตบอยส์
ก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดนตรีป็อปขึ้นเมื่ออัลบั้มแรกของพวกเขาขายได้มากว่า 8 ล้านชุดในอเมริกา และค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตไปยังประเทศเยอรมนีและแคนาดา ,2 อัลบั้มถัดมาคือ
‘Backstreet’s Back’ และ ‘Millennium’ ขายทั่วโลกไปกว่า
24 ล้านก๊อปปี้ และทัวร์คอนเสิร์ตของพวกเขาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ปี 2000 แบ็กสตรีตบอยส์
ฉลองการออกอัลบั้ม ‘Black & Blue’ ด้วยการบินโปรโมทอัลบั้มโดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวไปยัง
5 เมืองสำคัญของแต่ละทวีปคือ สต๊อกโฮล์ม โตเกียว ซิดนีย์ เคปทาวน์ ริโอเดอจาเนโร และนิวยอร์ก ในเวลา 5
วันติดต่อกัน อัลบั้ม ‘Never
Gone’ ได้โปรดิวเซอร์ชื่อดังมากมายมาร่วมกันทำงานในอัลบั้มชุดนี้
ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์อย่าง Max Martin ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก
John Ondrasik (ในนาม Five For Fighting), Billy Mann
(Pink) และ John Shanks (Michelle Branch) ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้คือเพลง
‘Incomplete’ สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 มีซิงเกิ้ลแรก
คือ เพลง “Inconsolable” ที่ได้ Emanuel Kiriakou (โปรดิวซ์ให้นิค ลาเช่ เพลง “What’s
Left Of Me” และ แคธรีน แม็คฟี เพลง “Ordinary
World”) มาโปรดิวซ์เพลงนี้ให้ ร่วมกับนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง Lindy
Robbins และ Jess Cates สำหรับมิวสิกวิดีโอเพลง
‘Inconsolable’ กำกับโดย Ray Kay ผู้กำกับ/ช่างภาพชาวนอร์เวย์ที่รับหน้าที่ถ่ายปกอัลบั้มชุดนี้ด้วย
มิวสิกวิดีโอถ่ายทำบนเวนิซ บีช แคลิฟอร์เนีย
ลิมป์ บิซกิต (Limp Bizkit) เป็นวงนูเมทัลสัญชาติอเมริกัน จากเมืองแจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา สมาชิกปัจจุบันคือ เฟร็ด เดิสต์ นักร้องนำ, แซม
ริเวอร์ส มือเบส , จอห์น อ็อตโต มือกลอง เทอร์รี บัลซาโม
มือกีตาร์และเทิร์นเทเบิล ส่วนมือกีตาร์เดิม เวส บอร์แลนด์ ออกจากวงในปี 2001
หลังจากออกอัลบั้ม 3 ชุด และแทนโดยไมค์ สมิธ ในการออกผลงานชุดที่ 4 Results
May Vary แล้วบอร์แลนด์เข้ามาร่วมวงอีกครั้งในชุด The
Unquestionable Truth (Part 1)
และออกอีกครั้งในปี 2006 เพื่อทำงานร่วมกับวงอื่น วงมียอดขายอัลบั้ม 33
ล้านชุดทั่วโลก[5]ค่ายฟลิพเร็คคอร์ดส
ซึ่งเป็นค่ายอินดี้ต้นสังกัดของ ลิมป์บิซกิต จ่ายเงินจ้างให้สถานีวิทยุแห่งหนี่ง
เล่นซิงเกิลเพลงแรกของ ลิมป์บิซกิต ชื่อ Counterfeit หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สลงข่าวเรื่องนี้
แม้จะเป็นข่าวไม่ดี แต่ข่าวก็คือข่าว ลิมป์บิซกิต จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก
ต่อมาลิมป์บิซกิต ออกซิงเกิลใหม่ เป็นการนำเพลง Faith ของจอร์จ
ไมเคิลที่โด่งดังในยุคทศวรรษ 80 มาทำใหม่ลิมป์บิซกิต เป็นวงแร็พคอร์
ที่นำแนวดนตรีเมทัล พั้งค์ ฮิพฮ็อพ มาผสมผสานกัน พวกเขา มาจากเมืองแจ็คสันวิลล์
ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวง Molly Hatchet, Lynyrd Skynyrd และ
38 Special คุณสมบัติของ ลิมป์บิซกิต ตรงตามแบบฉบับวงร็อก
กล่าวคือ ทำเพลงที่ทำให้แฟนเพลงตกใจด้วยความเต็มใจ และยินดีอย่างยิ่ง
ทั้งยังมีการแสดงคอนเสิร์ตแบบแหวกแนวด้วย เฟร็ด เดิร์สท
ช่างสักผู้กลายมาเป็นนักร้องนำของ ลิมป์บิซกิต ตั้งวงขึ้นร่วมกับแซม ริเวอร์ส
เพื่อนเก่าซึ่งรับตำแหน่งมือเบสของวง ต่อมา แซมพาจอห์น อ็อตโต้
ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นมือกลองวงแจ๊ซมาเข้าวงด้วย หลังจากนั้น ทางวงก็ได้ตัวเวส
บอร์แลนด์ มือกีต้าร์ แล้วทั้งสี่ก็กลายเป็นสมาชิก ลิมป์บิซกิต ยุคบุกเบิก ทั้งสี่เห็นพ้องกันว่า
ควรจะตั้งชื่อวงว่า ลิมป์บิซกิต แต่แม้จะมีวงเรียบร้อยแล้ว ทางวงยังมีอุปสรรคอีกประการหนึ่งคือ
การทำให้คนรู้จักวงดนตรีของพวกเขา เฟร็ด
เดิร์สทแก้ปัญหานี้โดยใช้อาชีพรับสักร่างกายของเขาเป็นเครื่องมือ ว่ากันว่าหลังจาก
ลิมป์บิซกิต ตั้งวงได้ไม่นาน วง Korn ได้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่แจ็คสันวิลล์
หลังแสดงเสร็จ ฟีลดี้ มือเบส กับเฮ้ด มือกีต้าร์วง Korn ได้ไปที่บ้านของเฟร็ดเพื่อให้เขาสักให้
โชคเข้าข้างเฟร็ด เพราะฟีลดี้กับเฮ้ดกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขา เมื่อวง Korn
มาแจ็คสันวิลล์อีกครั้ง เฟร็ดจึงเอาเทปตัวอย่างของ ลิมป์บิซกิต
ให้ฟีลดี้กับเฮ้ดไปและทาง Korn ก็สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะส่งเทปต่อไปให้รอส
โรบินสัน โปรดิวเซอร์ของวง รอส โรบินสันชอบผลงานของ ลิมป์บิซกิต มาก
นับแต่นั้นมาลิมป์บิซกิต ก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการเพลง
และได้แสดงคอนเสิร์ตกับ House of Pain และ The
Deftones ในปี 1995 ลิมป์บิซกิต ได้ตัวสมาชิกคนที่ 5
ซึ่งเป็นคนสุดท้ายคือดีเจเลธัล นักประดิษฐ์เสียงจากเทิร์นเทเบิ้ลจากวง House
of Pain เมื่อได้ดีเจเลธัลมา LIMP BIZKIT ก็มีแนวเพลงใหม่เข้ามาผสมผสานด้วยคือ
แนวฮิพฮ็อพแบบแปลก ๆ เพราะการสแครชแผ่นของดีเจเลธัล ไม่ใช่การสแครชแผ่นพื้น ๆ
แบบดีเจทั่วไป ลิมป์บิซกิตได้ข้อเสนอจากค่ายเพลงทั่วอเมริกา แต่ทางวงตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายอินดี้ชื่อว่า
ฟลิพเรคคอร์ดส แล้วออกอัลบั้มแรกชื่อว่า Three Dollar Bill Y'all$ ในปี 1997 หลังออกอัลบั้มลิมป์บิซกิตออกทัวร์โปรโมตอัลบั้มอย่างหนัก
การแสดงคอนเสิร์ตของลิมป์บิซกิตมีอะไรพิสดารเสมอ ครั้งหนึ่ง เฟร็ด เดิร์สท
นักร้องนำออกจากห้องน้ำขนาดใหญ่บนเวที ท่ามกลางฉากที่ได้รับอิทธิพลจากหนังไซไฟ
แถมยังมีนักเต้นเบรกแด๊นซ์อยู่โดยรอบด้วย การแสดงคอนเสิร์ตแบบนี้ทำให้ ลิมป์บิซกิต
ได้แฟนเพลงกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น แต่ก็นำความอื้อฉาวมาด้วย โดยเฉพาะเมื่อ ลิมป์บิซกิต
นำเพลง Faith ของจอร์จ ไมเคิลมาทำใหม่
ในช่วงที่จอร์จตกเป็นข่าวถูกจับกุมในห้องน้ำ เพราะทำอนาจารพอดี Significant
Other อัลบั้มชุดที่ 2 ของลิมป์บิซกิต ออกขายในวันที่ 22 มิถุนายน
1999 และทำยอดขายได้ถึง 5 แสนชุดในสัปดาห์แรก งานชุดนี้มีศิลปินดังมาร่วมงานมากมาย
เช่น ดีเจพรีเมียร์จากวง Gangstarr จอน เดวิสจาก Korn
สก็อต ไวแลนด์จาก Stone Temple Pilots และเม็ทธอดแมนจาก
Wu Tang Clan ด้วย (แม้แต่แม่ของเฟร็ด
เดิร์สทยังมีภาพอยู่บนปกอัลบั้มด้วย) อัลบั้มใหม่ของ
ลิมป์บิซกิตจะออกมาในเดือนสิงหาคมนี้ ใช้ชื่อ Chocolate Starfish and the
Hotdog Flavored Water โดยมีเพลง Take A Look Around ที่เป็นเพลงธีมของหนังเรื่อง Mission Impossible II หรือ
M:I-2 รวมอยู่ด้วย ชื่อวง ลิมป์บิซกิต
เป็นชื่อที่เขียนให้เพี้ยนไปจากตัวสะกดจริง เช่นเดียวกับการสะกดชื่อวง Led
Zeppelin ที่มาของชื่อวงมาจาก คำพูดของเพื่อนคนหนึ่งของเฟร็ด
ที่พูดถึงเฟร็ดว่า "His brain was like a limp biscuit" (เฟร็ดเป็นคนสมองทึบ) แต่แทนที่เฟร็ดจะโกรธ เขากลับชอบ
และเอาคำนี้มาใช้เป็นชื่อวง ลิมป์บิซกิต จ่ายใต้โต๊ะให้สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง
เปิดซิงเกิล Counterfeit ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกของวง
ในรายการพิเศษของเอ็มทีวี เฟร็ดกล่าวว่าสมัยที่ ลิมป์บิซกิต ยังไม่มีใครรู้จัก
(ในปี 1998) ทางวงได้จ่ายเงินให้สถานีวิทยุ KUFO ในโคโลราโด้ให้เล่นซิงเกิลเพลง
Couterfeit ประมาณ 5000 เหรียญ ต่อการเล่น 5 ครั้งใน 5
สัปดาห์ เฟร็ดบอกว่า การทำอย่างนี้ได้ผลดีมาก ปัจจุบันลิมป์บิซกิตได้ผลิตอัลบั้มใหม่ในรอบ
5 ปีให้หลังจากอัลบั้ม The Unquestionable Truth (Part 1)
และในอัลบั้มนี้มีชื่อว่า "Gold Cobra" และจะปล่อยในภายใต้ค่าย"Polydor/Interscope"ในเครือ Universal Music Group แล้วจะเปิดตัวเพลงและมิวสิกวิดีโอนำร่องในเดือน มีนาคม 2010
ซาเวจ การ์เด้น (Savage Garden) รายละเอียดตามลิ้งค์นี้ https://en.wikipedia.org/wiki/Savage_Garden
ซาวด์การ์เดน
(Soundgarden)
เป็นวงร็อกอเมริกันก่อตั้งวงใน ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตันในปี 1984
โดยนักร้องนำและมือกลอง คริส คอร์เนลล์, กีตาร์ลีด
คิม ธายิล และมือเบส ฮิโระ ยามาโมโตะ ต่อมาแมตต์ แคเมรอนกลายเป็นมือกลองถาวรในปี
1986 ขณะที่เบน เชปเพิร์ด มือเบสเป็นสมาชิกถาวรแทนที่ยามาโมโตะในปี 1990 ซาวด์การ์เดนถือเป็นวงสำคัญวงหนึ่งที่สร้างสรรค์เพลงแนวกรันจ์ แนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกอย่างหนึ่งที่พัฒนาขึ้นในซีแอตเทิล
วงอยู่สังกัดซับป็อป ซาวด์การ์เดนถือเป็นวงกรันจ์วงแรกที่ได้เซ็นสัญยากับค่ายใหญ่
ถึงแม้ว่าวงจะไม่ประสบความสำเร็จด้านการตลาด จนกระทั่งวงเนอร์วานาและเพิร์ลแจม สร้างกระแสแนวกรันจ์ให้เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ
1990 ซาวด์การ์เดนประสบความสำเร็จมากที่สุดกับผลงานอัลบั้มในปี 1994 ชุด Superunknown
ที่เปิดตัวโดยการเข้าอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ด และยังมีซิงเกิ้ลที่ได้รับรางวัลแกรมมี่อย่าง "Black
Hole Sun" และ "Spoonman" ต่อมาในปี
1997 วงได้แตกไปเนื่องจากการขัดแย้งกันได้เรื่องทิศทางการสร้างสรรค์ผลงาน
ซาวด์การ์เดนมียอดขายกว่า 8 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และมียอดขายประมาณ 20
ล้านชุดทั่วโลก
กรีนเดย์
(Green
Day) เป็นวงร็อคจากอเมริกา เริ่มฟอร์มวงในปี 1987 โดยสมาชิก 3 คนคือ Billie
Joe Armstrong (กีตาร์, ร้องนำ),
Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง)
มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านชุด รวมถึง 22 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
และได้รับรางวัลแกรมมี่ 3 ครั้งสาขา Best Alternative Album จากอัลบั้ม Dookie, Best Rock Album จากอัลบั้ม American
Idiot, และ Record of the Year จากเพลง “Boulevard
of Broken Dreams” บิลลี่และไมค์เจอกันแล้วร่วมกันตั้งวงชื่อ Sweet
Children ขึ้นมาตอนอายุสิบขวบ (1982) ก็เล่นกันมาเรื่อยๆ
แต่ว่ายังไม่มีมือกลอง ตอนปี 1987 ก็มี John Kriftmeyer มาเป็นมือกลอง
Sweet Children สถานที่ๆ เล่นเป็นทางการครั้งแรกคือ Rod’s
Hickory Pit ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็เล่นตามผับ
ตามร้านอาหารเรื่อยมา หลังจากที่เปลี่ยนชื่อเป็นกรีนเดย์แล้ว
กรีนเดย์ทำ EP ตัวแรกคือ 1,000 Hours
ตอนช่วงชีวิตไฮสคูล ไมค์เรียนจบ บิลลี่ดร็อปการเรียนไว้
อัลบั้มเปิดตัวครั้งแรกในปี 1990 คือ 1039 Smoothed Out Slappy Hours เป็นการนำเอาอีพีที่ทำๆ ไว้มารวมกัน ออกกับค่ายอินดี้อย่าง Lookout!
Records หลังจากนั้นมือกลองก็ขอลาออกจากวงไปเรียนต่อ
ไมค์และบิลลี่เลยจัดการทาบทามมือกลองของวง The Lookout ! ซึ่งก็คือ
Tre cool มือกลองคนปัจจุบัน tre เปิดตัวในฐานะหนึ่งในสมาชิกในอัลบั้มที่สอง
คือ Kerpunk หลังอัลบั้มที่สอง
ก็มีการทัวร์เกิดขึ้น Rob Cavallo ค่าย Reprise Records
ได้สนใจจากการเห็นการเล่นสด และติดต่อไป
กรีนเดย์เลยตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย อัลบั้มที่ออกกะค่ายนี้คือ Dookie
เพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นระหว่างการทัวร์ซะส่วนใหญ่
หลังจากที่ Dookie ออกวางจำหน่าย
กรีนเดย์กลายเป็นที่รู้จักกันในนามวงร็อคมากด้วยพลังและสติไม่เต็ม
มียอดขายได้มากกว่าสิบล้านแผ่น (เฉพาะในอเมริกา) กรีนเดย์ชนะรางวัลแกรมมี่ในปี
1994 สาขา BestAlternative Music Performance อัลบั้มที่ตามมาก็คือ Insomniac กับ Nimrod
เพลงที่ประสบความสำเร็จคือเพลง Good
Riddance (Time of Your Life) สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว
กรีนเดย์ตัดสินใจพักงานเพลงสองปี ในปี 2000 กรีนเดย์โจมตีวงการเพลงอีกครั้งด้วยอัลบั้ม
Warning และด้วยเสียงเพลงที่ต่างจากอัลบั้มอื่นๆ
เลยทำให้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจากนักวิจารณ์และแฟนเพลงมากนัก
เพลงที่โดนโจมตีมากที่สุดก็คือ Minority หลังสี่ปีที่ไม่มีอัลบั้มใหม่ออกมา
จะมีก็แค่ทัวร์เล็กๆ น้อยๆ กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิ้ล American Idiotที่โจมตีรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2004 อัลบั้ม American Idiot ขึ้นที่หนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ตและก็ชาร์ตต่างๆ มากมายอีกทั่วโลก
กรีนเดย์ถูกเสนอชื่อเข้าชิง เจ็ดสาขาของแกรมมี่อวอร์ต และที่ได้รับรางวัลคือ คือ Best
Rock Album และ Record of the Year จากเพลง “Boulevard
of Broken Dreams” ห้าปีต่อมาหลังจากออกอัลบั้มAmerican
Idiotและได้ผลิตผลงานใหม่ในชื่อว่า 21st Century Breakdownเป็นเพลงแนว”Rock opera”ตามอัลบั้ม American
Idiotและเป็นครั้งแรกที่ในการร่วมมือทำผลงานกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง
Butch Vig และได้เริ่มบันทึกเสียงทำผลงาน เดือนมกราคม ในปี
2006 และ 45 เพลงได้แต่งเพลงโดย สมาชิกในวง ต่อมาในเดือนตุลาคม ปี 2007
แต่สมาชิกวงและโปรดิวเซอร์ไม่ได้เข้ามาทำงานสตูดิโอจนถึง มกราคม 2008
และต่อมาก็เริ่มทำงานอย่างจริงจังและเริ่มบันทึกเสียงอีกครั้งในช่วง 3-4 ปี
บันทึกเสียงสตูดิโอที่แคลิฟอร์เนียจนทำผลงานสำเร็จที่ในเดือนเมษายน ปี 2009 กรีนเดย์เคยมาเปิดแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยแล้ว
2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 ณ เอ็มบีเค ฮอลล์ และครั้งที่สองในชื่อ
ทเวนตี้-เฟิร์ส เซ็นทูรี เบรกดาวน์ ทัวร์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 ณ
อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ล่าสุดGreen
Dayได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rock
Album ในงานประกาศรางวัลGrammy Awards ครั้งที่
52 จัดขึ้นที่ สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี 2010. บิลลี
โจ อาร์มสตรอง (Billie
Joe Armstrong) เป็นนักร้องนำ นักแต่งเพลงหลัก
และมือกีต้าร์ให้กับวง "กรีนเดย์” (Green Day)
บิลลี่ เป็นลูกคนสุดท้องจากบรรดาลูก 6 คนของครอบครัว
เขามีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย
บิดาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวันที่ 10 กันยายน
2525 ซึ่งตอนนั้น บิลลี่อายุเพียง 10 ขวบ เพลง Wake Me Up When Sebtember Ends
แต่งขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงบิดาที่จากไปของเขา บิลลี่
โจ อาร์มสตอง เกิดใน เมือง Oakland,รัฐแคลิฟอร์เนีย
และเติบโตใน Rodeo , รัฐแคลิฟอร์เนีย
เป็นน้องคนสุดท้องจากจำนวนบุตรเจ็ดคนของแอนดริว แอนดี้ อาร์มสตอง และ โอลี่
แจ็คสัน
เพิร์ลแจม
(Pearl
Jam) เป็นวงดนตรีร็อกสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งวงในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ในปี ค.ศ. 1990
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวง สมาชิกในวงมี เอดดี เวดเดอร์ (ร้องนำ กีตาร์), เจฟฟ์ อเมนต์ (กีตาร์เบส), สโตน กอสซาร์ด
(กีตาร์ริทึม), และไมค์ แม็กครีดี (กีตาร์ลีด)
ส่วนมือกลองล่าสุดคือ แมตต์ แคเมอรอน
อดีตสมาชิกวงซาวด์การ์เดนที่มาร่วมวงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 อเมนต์และกอสซาร์ดได้รวมตัวกันตั้งแต่วงก่อนคือ
มาเธอร์เลิฟโบน
โดยวงเพิร์ลแจมก้าวสู่กระแสหลักกับผลงานเปิดตัวอัลบั้มแรก Ten
ถือเป็นผู้นำแถวหน้าของแนวดนตรีกรันจ์ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990
พวกเขายังได้รับการกล่าวถึงจากหัวหน้าวงเนอร์วานา เคิร์ต โคเบน —ว่าเป็นผู้ร่วมกำเนิดก่อเกิดของเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อก
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาการทำงานของวงได้ปฏิเสธหลักการดั้งเดิมของอุตสาหกรรมดนตรี
รวมไปถึงปฏิเสธการทำมิวสิกวิดีโอและการว่าจ้างในงานสาธารณะใหญ่ ๆ จำพวกที่ขายผ่านทิกเก็ตมาสเตอร์
ในปี ค.ศ. 2006 โรลลิงสโตนอธิบายเกี่ยวกับวงว่า
"พวกเขาใช้เวลานับสิบปีเพื่อฉีกชื่อเสียงพวกเขาออกไป" ตั้งแต่ตั้งวง
พวกเขามียอดขาย 30 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และยอดขายประมาณ 60 ล้านชุดทั่วโลก เพิร์ลแจมทำผลงานออลเทอร์นาทิฟร็อกยืนยาวตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ
1990 ได้รับการยอมรับว่าเป็นวงที่มีอิทธิพลมากที่สุดในทศวรรษ ออลมิวสิกเรียกพวกเขาว่า
"เป็นวงร็อกแอนด์โรลอเมริกันที่โด่งดังที่สุดในทศวรรษ 1990"
เรดฮอตชิลีเพปเปอส์
(Red
Hot Chili Peppers) เป็นวงร็อกอเมริกัน ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1983
สมาชิกในวงประกอบด้วย นักร้อง แอนโทนี คีดิส, มือกีตาร์
จอห์น ฟรัสซิแอนเต, มือเบส ไมเคิล "ฟลี" บัลซารี
และมือกลอง แชด สมิธ แนวเพลงของวงมีความหลากหลาย ที่เกิดจากการรวมของเพลงร็อกดั้งเดิมและฟังก์ เข้ากับองค์ประกอบของ เฮฟวีเมทัล, พังก์ร็อก และ ไซเคเดลิกร็อก นอกจากทั้งแอนโทนี
คีดิสและฟลี สมาชิกดั้งเดิมประกอบด้วยมือกีตาร์ ฮิลเลล สโลวัก และมือกลอง แจ็ก
ไอออนส์ ซึ่งสโลวักเสียชีวิตจากการเสพเฮโรอีนเกินขนาดในปี 1988
และเป็นผลให้ไอออนส์ลาออกจากวง โดยมีอดีตมือกลองวง เดด เคนเนดีส์
ที่ชื่อ ดี. เอช. เพไลโกรเข้ามาแทนก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น สมิธ จนปัจจุบัน ขณะที่สโลวักแทนที่โดน
ฟรัสซิแอนเต จากสมาชิกข้างต้นมีผลงานในชุดที่ 4 และ 5 คือ Mother's
Milk (1989) และ Blood
Sugar Sex Magik (1991) Blood
Sugar Sex Magik ถือเป็นผลงานชุดโบว์แดงของวง
ทำให้พวกเขาก้าวสู่กระแสนิยมกับยอดขาย 13 ล้านชุด ฟรัสซิแอนเตรู้สึกไม่ชอบใจกับความสำเร็จนี้จึงออกจากวงในระหว่างทัวร์อัลบั้มนี้ในปี
1992 ซึ่งเขาก็ยังติดเฮโรอีน คีดิส, ฟลี,
และสมิธ จ้าง เดฟ นาวาร์โร
จากวง เจนส์แอดดิกชัน
มาทำงานในอัลบั้มชุดต่อมาที่ชื่อ One Hot Minute
(1995) ความนิยมในอัลบั้มนี้ลดลงไปกว่า Blood Sugar Sex Magik
ทั้งทางด้านเสียงวิจารณ์และยอดขายที่ขายน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอัลบั้มก่อน
และนาวาร์โรออกจากวงเนื่องจากความคิดที่แตกต่างกัน ฟรัสซิแอนเต
กลับมาหลังจากบำบัดยา เข้าร่วมวงใหม่อีกครั้งในปี 1998 โดยคำเรียกร้องของฟลี
พวกเขาทั้ง 4 กลับมาทำอัลบั้มชุด Californication
(1999) ที่มียอดขาย 15 ล้านชุดทั่วโลก
ขณะที่เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจนปัจจุบัน หลังจากนั้น 3
ปีพวกเขาออกอัลบั้มชุด By the Way
(2002) ซึ่งก็ยังคงประสบความสำเร็จ ต่อมาในปี 2006 พวกเขาออกอัลบั้มคู่ชุด Stadium
Arcadium ซึ่งก็ทำให้พวกเขาได้รับรางวัลแกรมมี่ 7 รางวัล มียอดขาย
50 ล้านชุดทั่วโลก มี 7 ซิงเกิ้ลที่ติดใน 40 อันดับแรกของบิลบอร์ดฮ็อต 100
(รวมถึงมี 3 ซิงเกิ้ลติดใน 10 อันดับแรก) ยังมีเพลง 5 ซิงเกิ้ลขึ้นอันดับ 1
บนชาร์ทเมนสตรีมร็อก และ มี 11 ซิงเกิ้ลติดอันดับชาร์ทโมเดิร์นร็อก
เรดิโอเฮด
(Radiohead) เป็นวงดนตรีแนวออลเทอร์นาทิฟจากอังกฤษ
ก่อตั้งวงที่อ๊อกซ์ฟอร์ดเชอร์
ประกอบด้วยสมาชิก ทอม ยอร์ก (ร้องนำ, กีตาร์ริทึ่ม, เปียโน, อีเลกโทรนิกส์),
จอนนี กรีนวูด (กีตาร์ลีด, เครื่องดนตรีอื่น)
เอ็ด โอ'บรีน (กีตาร์ ร้องประสาน) ,โคลิน
กรีนวูด (กีตาร์เบส เครื่องสังเคราะห์เสียง) และ ฟิล เซลเวย์ (กลอง เพอร์คัชชัน)
เรดิโอเฮดออกอัลบั้มมาแล้ว 7 ชุด และมียอดขาย 23
ล้านชุด เรดิโอเฮดออกซิงเกิ้ลแรก "Creep" ในปี 1992 และอัลบั้มแรก Pablo Honey ในปี
1993 ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ช่วงแรก แต่ "Creep" ก็สามารถสร้างความนิยมในเวลาต่อมาในการขายใหม่ในปีถัดมา
ความนิยมของเรดิโอเฮดในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นหลังจากออกผลงานชุดที่ 2 The
Bends (1995) วงได้รับเสียงวิจารณ์ในทางที่ดีและจากแฟนเพลง
และผลงานชุด OK Computer (1997)
เรดิโอเฮดก็ยิ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก การออกอัลบั้ม
Kid A (2000) และ Amnesiac (2001) เป็นจุดสูงสุดของวง
ถึงแม้คำวิจารณ์จะถูกแบ่งออกไปเรื่องเกี่ยวกับแนวเพลงที่เปลี่ยนไป
เป็นดนตรีในแนวทดลอง หลังจากนั้นเรดิโอเฮดออกจากสังกัดเพลงอีเอ็มไอ
และออกผลงานอัลบั้มชุดที่ 7 In Rainbows (2007)
ผ่านทางเว็บไซต์ให้ดาวน์โหลด
สแมชชิง พัมพ์กินส์ (The
Smashing Pumpkins) เป็นวงอเมริกันร็อก ก่อตั้งขึ้นที่เมืองชิคาโกเมื่อปี 1988 ออกขายอัลบั้มชุดแรกในปี 1991 ชื่ออัลบั้ม
Gish
มียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว ตามมาด้วยอัลบั้มต่างๆ ทั้งอัลบั้ม Mellon
Collie And The Infinite Sadness ที่ได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวถึง 9
แผ่นและอัลบั้ม Siamese Dream ที่ได้รับแผ่นเสียงทองคำขาว 4
แผ่น เพลงดังของพวกเขาเช่นเพลง "Disarm,"
"Today," "Cherub Rock," "1979,"
"Tonight, Tonight" และ "Bullet With
Butterfly Wings" อัลบั้มชุดที่
6 ZEITGEIST ภายใต้สังกัด Martha's Music/Reprise และถือเป็นผลงานเพลงชุดใหม่ล่าสุดนับตั้งแต่ปี 2000
ที่พวกเขาออกวางจำหน่ายอัลบั้ม Machina/The Machines of God นานถึง
7 ปี
อลิซอินเชนส์ (Alice in Chains) เป็นวงร็อกอเมริกัน ก่อตั้งในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ในปี 1987 โดยมือกีตาร์ เจอร์รี แคนเทรลล์ และนักร้อง เลย์น สตาเลย์ ถึงแม้ว่าจะทำเพลงโดยมากในแนวกรันจ์ แต่ดนตรีก็มีส่วนของเฮฟวีเมทัล และอคูสติกด้วย ตั้งแต่การก่อตั้งวง อลิซอินเชนส์ออกผลงานสตูดิโออัลบั้ม 3 ชุด, อีพี 2 ชุด, อัลบั้มแสดงสด 2 ชุด, อัลบั้มรวมเพลง 4 ชุด และดีวีดี 2 ชุด วงเป็นที่รู้จัก มีจุดเด่นเรื่องเสียงร้องที่กลมกลืนเสียงร้องของสตาเลย์และแคนเทรลล์ด้วยกัน อลิซอินเชนส์ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ในฐานะวงดนตรีที่มีส่วนในการเคลื่อนไหวของเพลงกรันจ์ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ร่วมกับวงอื่นอย่างเนอร์วานา, เพิร์ลแจม และซาวด์การ์เดน ถือเป็นวงหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในทศวรรษ 1990 ด้วยยอดอัลบั้มขายกว่า 15 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียว วงยังมีอัลบั้ม 2 อัลบั้มติดชาร์ตอันดับ 1 บนบิลบอร์ด 200 (Jar of Flies และ Alice in Chains) มีซิงเกิ้ล 11 ซิงเกิ้ลที่ติดท็อป 10 บนชาร์ทเมนตรีมร็อกแทร็ค และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 6 ครั้ง ถึงแม้ว่าวงจะไม่เคยประกาศแตกวงอย่างเป็นทางการ แต่วงก็มีปัญหา จากการไม่เข้าร่วมที่เกิดจากปัญหาของเลย์น สตาลีย์กับปัญหาเรื่องทรัพย์สิน นำไปสู่การเสียชีวิตของเขาในปี 2002 อลิซอินเชนส์กลับมารวมตัวกันใหม่ในปี 2005 และจากข้อมูลปี 2009 พวกเขาเสร็จสิ้นการทำงานผลงานสตูดิโออัลบั้มครั้งแรกในรอบ 14 ปี กับนักร้องนำคนใหม่ที่ชื่อ วิลเลียม ดูวอลล์ อัลบั้มจะวางแผนเดือนกันยายน 2009 โดยค่ายเวอร์จิน/อีเอ็มไอ
ฟูไฟเตอร์ส
( Foo Fighters)
เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับแรกของวงฟูไฟเตอร์ส วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1995 โดยค่ายเพลงแคปิตอลเรเคิดส์ผ่านทางค่ายเพลงรอสเวลของเดฟ โกรล ในปี 1994
โกรลแต่งเพลงและบันทึกเสียงอัลบั้มนี้ด้วยตนเองที่โรเบิร์ตแลงสตูดิโอในเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน
โดยอาศัยความช่วยเหลือของโปรดิวเซอร์บาร์เรต โจนส์ และได้เกรก ดัลลีเป็นมือกีตาร์รับเชิญในส่วนหนึ่งของอัลบั้ม
โกรลกล่าวถึงอัลบั้มนี้ว่าเขาบันมึกเสียงอัลบั้มนี้แค่เพียงขำ ๆ
เป็นการปลดปล่อยประสบการณ์และความพยายามที่จะฟื้นฟูตัวเองหลังจากเคิร์ต โคเบน เพื่อนร่วมวงเนอร์วานาเสียชีวิตหลังจากโกรลบันทึกเสียงอัลบั้มสำเร็จ
เขาตั้งชื่อโปรเจ็กต์ดังกล่าวว่า "ฟูไฟเตอร์ส" เพื่อปกปิดตัวตน
และจ่ายแจกเทปคาสเซ็ตของการบันทึกเสียงในโปรเจ็กต์ดังกล่าวไปในหมู่เพื่อนสนิท หลังจากเทปดังกล่าวเป็นที่สนใจของค่ายเพลง
โกรลเซ็นสัญญากับแคปิตอลเรเคิดส์และนำนักดนตรีมาร่วมงานเพื่อให้เป็นวงที่สามารถแสดงสดได้
อัลบั้มนี้ได้รับการโปรโมตโดยทัวร์คอนเสิร์ตจำนวนมากและซิงเกิลหกซิงเกิล
ประกอบกับวิดีโอประกอบเพลงอีกสองเพลง อัลบั้มนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางบวก
โดยเฉพาะคำชื่นชมในเรื่องการแต่งเพลงและการเล่นดนตรี นอกจากนี้ยังทำยอดขายได้ดี
ขึ้นถึงห้าอันดับแรกในชาร์ตเพลงของสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และกลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายเป็นลำดับสองของวงในสหรัฐอเมริกา หลังการเสียชีวิตของ เคิร์ต โคเบน นักร้องนำวงเนอร์วานา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1994, Dave
Grohl มือกลองวงเนอร์วานาระบุอาจเป็นเพราะภาวะความซึมเศร้า, ซึ่งทำให้เขาไม่มีกระจิตใจในการเล่นดนตรี ซึ่งเขายังลังเลว่าจะทำอะไรต่อไป
ซึ่งเขาค่อนข้างครุ่นคิดเกี่ยวกับการลาออกจากศิลปิน ,ถึงอย่างไรก็ตามมีคำเชิญชวนจากวงต่างๆเข้ามากมายเช่น
Danzig และ Tom Petty and
The Heartbreakers ในการเข้ามาเป็นมือกลอง, “มันเป็นการเตือนผมว่าผมยังอยู่คงอยู่ในเนอร์วานา;
ทุกครั้งที่ผมนั่งลงบนกลองชุด,ผมก็จะคิดเช่นนี้”
การทัวร์คอนเสริ์ตของ Dave Grohl เกิดขึ้นจากการเสียชีวิตของเคิร์ต
โคเบน แสดงร่วมกับวง The Backbeat Band ในงาน 1994 MTV Movie
Awards เมื่อเดือนมิถุนายน , เขาถูกรับเชิญโดย Mike Watt
เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งกับอัลบั้มของเขา Ball-Hog or Tugboat?
หลังจากแสดงคอนเสริ์ตเสร็จแล้ว ,Dave Grohl มีความคิดที่จะตั้งโครงการดนตรีของเขาขึ้นมาเอง
ซึ่งการทำงานครั้งนี้จะคล้ายกับ ยาบำบัด ซึ่งเขาก็ออกไปและอัดเพลงโดยตัวของเขาเอง
หลังจากนั้น Dave Grohl ได้ทำการสำรองไว้ประมาณหกวันที่สตูดิโอ
Robert Lang Studio ซึ่งบริเวณใกล้กับบ้านของเขา , เมื่อเขาได้อัดเพลง เพลงโปรดของผม ผมเขียนมามันขึ้นเมื่อ 4-5
ปีซึ่งไม่มีใครฟัง ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากผู้ผลิต Barret
Jone , เมื่อครั้นที่เขายังส่งเทปดีโมไปให้ , Pocketwatch ปี 1992
ไอเดียนี้ทำให้ Dave
Grohl มีกระจิตกระใจและตั้งชื่อที่จะทำให้ผู้คนเชื่อเฉกเช่นอัลบั้ม Klark Kent ของ Stewart Copeland
Dave Grohl และ Barret Jones อัดเพลงในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในเดือนตุลาคม
ปีค.ศ. 1994 , โดย Dave Grohl เล่นเครื่องดนตรีเองทั้งหมด
(ไม่ว่าจะเป็นการร้อง กีตาร์ เบส และกลอง) รุ่งเช้าพวกเขาทั้งสองมายังสตูดิโอ Robert
Lang Studios , พวกเขาเริ่มอัดเพลงจนกระทั่งบ่ายโมงและอัดไปสี่เพลง
ขณะที่เขาอัดเขาต้องเล่นเป็นมือกองและสลับมาเป็นกีตาร์
และไปอัดเพลง , สักพักก็ไปนั่งพักโดยการจิบกาแฟแล้วกลับไปทำเพลงต่อ โดยการแสดงคอนเสริ์ตได้รับความช่วยเหลือจาก Greg Dull จากวง The Afghan Whigs
ในการจัดหาและบริการกีตาร์ X-Static
โดยการแสดงคอนเสริ์ตได้รับความช่วยเหลือจาก Greg Dull จากวง The Afghan Whigs
ในการเล่นกีตาร์ให้ ซึ่งเป็นคนที่ติดตามการอัดเพลงของ Dave Grohl , ในท้ายที่สุด Dave Grohl ก็ได้ให้เป็นมือกีตาร์
(ซึ่ง Greg Dull ได้เป็นมือกีตาร์ให้ฟูไฟเดอร์สเพียงเพลงเดียว
ในเพลง X-Static) โดยแต่ละเพลงนั้นใช้ความยาวประมาณ 45
นาทีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ การแต่งเพลงได้ถูกบันทึกไว้ในลำดับเดียวกันถูกกลายมาเป็นลำดับแทร็กและเป็นเพียงเพลงเดียวที่ถูกรั่วไหลก่อนจะเสร็จสมบูรณ์
"I'll Stick
Around" Dave Grohl รู้สึกไมปลอดภัยกับการร้องของเขา
, และเพิ่มเอฟเฟ็คเสียงลงในเสียงของเขาในเพลง Floaty และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานผ่านแทร็คที่สอง ในความพยายามที่จะตั้งตัวตนของเขา
, Dave Grohl วางแผนปล่อยเพลงภายใต้ชื่อ ฟู ไฟสเตอร์.
มันค่อนข้างจะได้ผลรับที่ค่อนข้างแย่สำหรับ 100 ตลับ LP Record ซึ่งถูกกดดันหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น Dave Grohl ต้องการที่จะสร้างแล็บเทปคาสเซ็ตที่ซีแอตเทิล ที่จะสร้าง 100 ตลับเทปคาสเซ็ต
ได้ทำสำเนาต้นฉบับสำหรับการประชุม
และเริ่มส่งให้ถึงมือของเพื่อนเพื่อดูความคิดเห็นและ ผมจะให้แจกเทปให้ทุกคน เด็กๆมาหาผมและพูดว่า
เนอร์วานาเป็นวงโปรดของฉันเลยและผมก็ว่า ฮ่าเยี่ยมไปเลย ,
แต่รับเทปไปซะไอ้หนู Eddie
Vedder ได้ทำการเปิดเพลง 2 เพลง จากที่อัดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์
1995 เป็นที่แรกผ่านทางวิทยุกระจายเสียง Self-Pollution Radio การบันทึกเป็นไปอย่างแพร่กระจ่าย ในเหล่าวงการเพลง , ซึ่งสร้างความน่าสนใจให้กับเรเคิดส์ ลาเบล (Record Label) ในท้ายที่สุดก็เซ็๋นสัญญากับค่าย แคปิตอลเรเคิดส์ โดยประธานบริษัทแคปิตอลเรเคิดส์ซี่งเป็นเพื่อนสนิทของ
Dave Grohl ตั้งแต่เมื่อเขาอยู่กับวงเนอร์วานากับค่าย
Geffen Records
ไนน์อินช์เนลส์
(Nine Inch Nails
หรือเรียกย่อ ๆ ว่า NIN) เป็นวงอเมริกันในแนวอินดัสเทรียล ก่อตั้งวงโดยเทรนต์ เรซเนอร์ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ และยังเป็นโปรดิวเซอร์หลัก, นักร้อง,
นักแต่งเพลง นักดนตรี
เรซเนอร์ถือเป็นสมาชิกคนเดียวที่มีความสำคัญที่รับผิดชอบกำหนดทิศทางของวง
แนวเพลงของไนน์อินช์เนลส์ มีความกว้างหลากหลายแนวเพลง
ขณะที่ยังคงมีเอกลักษณ์โดยการใช้เครื่องดนตรีอีเลกโทรนิกและกระบวนการ กลุ่มผู้ฟังเพลงใต้ดินต่างตอบรับไนน์อินช์เนลส์อย่างดีในช่วงปีแรก ๆ ของวง
โดยวงออกผลงานที่มีอิทธิพลต่อทศวรรษ 1990 หลายชุด และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
มีหลายเพลงของไนน์อินช์เนลส์เป็นเพลงฮิตทางสถานีวิทยุ พวกเขาเคยได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ และวงมียอดขายอัลบั้มมากกว่า 20
ล้านชุด กับยอดขายที่ได้รับการยืนยืนเฉพาะในสหรัฐอเมริกาอย่างเดียว 11 ล้านชุด ในปี 1997
เรซเนอร์ยังมีชื่ออยู่ในนิตยสารไทม์ ในรายชื่อบุคคลที่มีอิทธิพลแห่งปี
และนิตยสารสปิน อธิบายเขาว่า "ศิลปินที่มีความสำคัญมากทางด้านดนตรี ในปี 2004
นิตยสารโรลลิงสโตน จัดอันดับไนน์อินช์เนลส์
อยู่อันดับที่ 94 ในหัวข้อศิลปินยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
โทรยอล การ์ธ บรูกส์
(Troyal
Garth Brooks) เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962
เป็นศิลปินเพลงคันทรีชาวอเมริกัน ผลงานชุดแรกของเขาออกขายในปี
ค.ศ. 1989 ขึ้นอันดับยูเอสคันทรีอัลบั้มชาร์ตที่อันดับ 2 ขณะที่ชาร์ตบิลบอร์ด 200
ป็อปอัลบั้มไต่ได้สูงสุดอันดับ 13 แนวเพลงของเขาจะรวมองค์ประกอบเพลงร็อกเข้าไปและการแสดงสดที่สร้างความนิยมให้กับเขาอย่างมาก
การพัฒนานี้ทำให้เขามีซิงเกิลและอัลบั้มอันโดดเด่น
ขณะที่ก้าวประสบความสำเร็จในฝั่งป็อป ทำให้เพลงคันทรีมีฐานคนฟังเพิ่มมากขึ้น บรูกส์เป็นหนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการเพลง
สร้างสถิติมียอดขายและผู้เข้าชมคอนเสิร์ต ในคริสต์ทศวรรษ 1990 RIAA
รับรองผลงานเขาด้วยยอด 128 แผ่นเสียงทองคำขาว มียอดขายราว 113
ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา การ์ธ
บรูกส์ยังคงมียอดขายอัลบั้มในสหรัฐอเมริกามากที่สุดเป็นอันดับ 2 จากศิลปินทั้งหมด
เป็นรองวงเดอะบีตเทิลส์
บรูกส์มีผลงานอัลบั้ม 6 ชุด ได้รางวัลแผ่นเสียงเพชร (10 แผ่นเสียงทองคำขาว)
ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Garth Brooks
(10×
แผ่นเสียงทองคำขาว), No Fences (17× แผ่นเสียงทองคำขาว), Ropin' the Wind (14× แผ่นเสียงทองคำขาว), The Hits (10× แผ่นเสียงทองคำขาว), Sevens (10× แผ่นเสียงทองคำขาว) และ Double Live
(21×
แผ่นเสียงทองคำขาว). ตั้งแต่ปี 1989 บรูกส์มีผลงานสตูดิโออัลบั้ม 9 ชุด อัลบั้มแสดงสด 1 ชุด
อัลบั้มรวมเพลง 4 ชุด อัลบั้มคริสต์มาส 3 ชุด และ 2 บ็อกซ์เซตต์ และมีซิงเกิล 77
ซิงเกิล บรูกส์มียอดขาย 220 ล้านชุด ซิงเกิลและอัลบั้มทั่วโลก
พรินซ์ โรเจอร์ส เนลสัน (Prince Rogers Nelson) เกิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1958
เป็นนักดนตรี นักร้องชาวอเมริกัน
เขามีชื่อในการแสดงหลากหลายชื่อนอกจาก พรินซ์ ในนั้นมีสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถออกเสียงได้
ที่เขาใช้ในระหว่างปี 1993-2000 ซึ่งในช่วงนั้นเขามักถูกเรียกว่า
"ศิลปินที่เคยเป็นที่รู้จักในนาม พรินซ์" (The Artist Formerly Known as Prince) พรินซ์เป็นศิลปินที่มีผลงานมากมาย มีเพลงกว่า 100 เพลง
ทั้งที่เขาร้องเองและของศิลปินอื่น เขาได้รับรางวัลแกรมมี่มาแล้ว 7 ครั้ง, 1 รางวัลลูกโลกทองคำและ 1 รางวัลออสการ์ เขายังมีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ในปี 2004 เขายังติดอันดับ 1 ในการจัดอันดับศิลปินแนวป็อปในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาจัดโดย
ARC Rock on the Net โรลลิงสโตน จัดอันดับพรินซ์อยู่ที่อันดับ 28 ใน 100 อันดับของศิลปินที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
ผลงานในช่วงแรกของเขาจะเป็นแนว อาร์แอนด์บี ดนตรีโซลและฟังก์ ต่อมาเขาผสมผสานแนวเพลงอื่นเข้ามาด้วยไม่ว่าจะเป็น ป็อป, ร็อก, แจ๊ส, นิวเวฟ, ไซเคเดเลีย และฮิปฮอป เขาได้รับอิทธิพลด้านดนตรีจาก สลาย สโตน, ไมล์ส เดวิส, จิมมี เฮนดริกซ์, โจนี มิตเชลล์, เจมส์ บราวน์, พาร์ไลเมนต์-ฟังก์คาเดลิก และคาร์ลอส ซานตานา เอกลักษณ์อันเด่นชัดของผลงานเขาในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษ
1980 เช่น การใช้ดรัมแมชชีนเรียบเรียงเพลงแบบเสียงเครื่องจักรโปร่ง
ๆ และการใช้ท่อนริฟฟ์เครื่องสังเคราะห์เสียง ในลักษณะดนตรีอาร์แอนด์บี, ฟังก์
และดนตรีโซล ที่เรียกว่า "ดนตรีมินนิเอโพลิส" (หมายเหตุ พรินซ์
เป็นศิลปินในยุค 80’s )
เชอรีล ซูซานน์ โครว์
(Sheryl Suzanne Crow)
เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962
เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรี ชาวอเมริกัน แนวดนตรีของเธอผสมผสานเพลงร็อก เพลงคันทรี ป็อป และโฟล์ก เธอเคยได้รับรางวัลแกรมมี่มาแล้ว 9 รางวัล เธอยังเคยแสดงร่วมกับเดอะโรลลิงสโตนส์ และเคยร้องคู่กับมิก แจ็กเกอร์ ไมเคิล แจ็กสัน อีริก แคลปตัน และคิด ร็อก นอกจากนี้โครว์ยังเคยบันทึกเพลงในเพลงประกอบภาพยนตร์หลายเรื่องอย่างเช่น Cars, Erin Brockovich และ Tomorrow
Never Dies และเรื่องอื่น
มาร์แชล บรูซ มาเธอร์ที่สาม (Marshall Bruce Mathers III) (เกิดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1972) หรือชื่อที่รู้จักกันใช้บนเวทีว่า เอ็มมิเน็ม (Eminem แต่นิยมเขียนเป็น EMINƎM)และอัลเทอร์อีโกของเขา สลิม เชดี (Slim Shady) เป็นนักร้องแร็ป โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอเมริกา ความนิยมในเอ็มมิเน็มทำให้วงดี 12 ที่เขาเป็นสมาชิกเป็นที่รู้จัก นอกจากการเป็นสมาชิกวงดี 12 แล้ว เอ็มมิเน็มยังร่วมงานฮิปฮอปในแบดมีตอีวิล ร่วมกับรอยส์ดา 5'9" เอ็มมิเน็มเป็นหนึ่งในศิลปินที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในโลกและเป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายผลงานเพลงสูงสุดในคริศทศวรรษที่ 2000 หลายนิตยสารได้จัดอันดับเอ็มมิเน็มเป็นหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล อาทิ โรลลิ่งสโตน ซึ่งจัดอันดับอยู่ที่ 82 ในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ตลอกาล 100 คน และประกาศให้เขาเป็น "ราชาเพลงฮิปฮอป" รวมถึงการร่วมงานกับวงดี 12 และแบดมีตอีวิล เอ็มมิเน็มก็ประสบความสำเร็จติด 1 ใน 10 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 เอ็มมิเน็มได้ยอดจำหน่ายมากกว่า 42 ล้านเพลง และ 49.1 ล้านอัลบั้มในสหรัฐอเมริกา และ 100 ล้านอัลบั้มทั่วโลก เอ็มมิเน็มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1999 ด้วยอัลบั้มสังกัดค่ายเปิดตัวในชื่อ เดอะสลิมเชดีแอลพี และอัลบั้มแรกของเขา เดอะมาร์แชลมาเทอรส์แอลพี และอัลบั้มที่ 3 ของเขา เดอะเอ็มมิเน็มโชว์ ซึ่งล้วนได้รับรางวัลแกรมมี่ ทำให้เขาเป็นศิลปินคนแรกที่ได้รับรางวัลในสาขาอัลบั้มแร็ปยอดเยี่ยม (Best Rap Album) สำหรับแอลฟีทั้งสาม เดอะมาร์แชลมาเทอรส์แอลพี จัดว่าเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุดของเอ็มมิเน็ม เอ็มมิเน็มไปเฮียตัสหลังคอนเสิร์ตทัวร์ในปี ค.ศ. 2005 และออกอัลบั้มแรกนับแต่ปี ค.ศ. 2004 อังกอร์ โดยใช้ชื่อว่า รีแลปส์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 ต่อมาในปี ค.ศ. 2010 เอ็มมิเน็มได้ออกสตูดิโออัลบั้มลำดับที่เจ็ดในชื่อ รีโคเวอรี ซึ่งประสบความสำเร็จทั่วโลก รีโคเวอรี เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ขายดีที่สุดทั่วโลกในปี 2010 ร่วมกับอัลบั้ม เดอะเอ็มมิเน็มโชว์ ที่ขายดีที่สุดในปี 2002 เอ็มมิเน็มได้รับรางวัลแกรมมี่ทั้งจากอัลบั้ม รีแลปส์ และ รีโคเวอรี ทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมีตลอดการทำงานของเขาทั้งสิ้น 13 รางวัล
เทกแดต
(Take
That) คือกลุ่มศิลปินแนวป๊อปจากอังกฤษ สมาชิกวงประกอบไปด้วยมาร์ก โอเวน, ฮาวเวิร์ด ดอนัลด์, แกรี บาร์โลว์ และอดีตสมาชิกวง ร็อบบี้ วิลเลียมส์
และ เจสัน ออเรนจ์
ภายหลังที่พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990
จึงแยกย้ายกันไป แล้วกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 2000 เทกแดตรวมวงที่เมืองแมนเชสเตอร์ในปี 1990
พวกเขามียอดขายอัลบั้มและซิงเกิ้ลรวมกว่า 30 ล้านก๊อปปี๊ระหว่างปี 1991 - 1996
ในระหว่างปี 1991 อันเป็นปีที่ซิงเกิลแรกของพวกเขาได้เผยแพร่สู่สาธารณชน
จนกระทั่งถึงปี 1996 ที่พวกเขาแยกย้ายกันไปนั้น บีบีซีกล่าวถึงเทกแดตว่า
"เป็นวงดนตรีบริติชที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในสหราชอาณาจักรนับตั้งแต่วงเดอะบีทเทิลส์
อันเป็นที่รักของทั้งผู้สูงอายุ และวัยรุ่นโดยทั่วไป” เพลงแนวแดนซ์ป๊อป
และโซลของเทกแดตขึ้นชาร์ตมากมายในสหราชอาณาจักรในช่วงครึ่งทศวรรษแรกของคริสต์ทศวรรษที่
1990 อัลบั้ม 2 ชุดที่ขายที่ที่ส่วนของพวกเขาคือ Everything Changes
ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเมอร์คิวรีในปี 1994 และอัลบั้ม Greatest Hits ซึ่งออกจำหน่ายในปี
1996 โดยออลมิวสิกได้กล่าวไว้ว่า "ณ เวลานี้พวกเขาคือซูเปอร์สตาร์ในยุโรป
คำถามหลักๆไม่ใช่ต้องมุ่งประเด็นที่ทำอย่างไรถึงมีซิงเกิลยอดนิยม
แต่ควรถามว่ามีซิงเกิลขึ้นสู่อันดับหนึ่งเท่าไหร่" ปัจจุบันวงนี้ได้มีเพลงที่เผยแพร่แล้ว
119 เพลง จาก 7 สตูดิโออัลบั้ม 1 อัลบั้มพิเศษ 2 อัลบั้มรวมเพลง และ 40 ซิงเกิล
วงนี้มียอดขายมากกว่า 45 ล้านก๊อปปี๊ โดยมี 28 ซิงเกิ้ลที่ทำอันดับถึง 40
อันดับแรกในชาร์ตของอังกฤษ 17 ซิงเกิ้ลที่ขึ้นถึง 5 อันดับแรก และ 12
ซิงเกิ้ลที่ขึ้นถึงอันดับ 1 โดยมียอดขายอัลบั้มกว่า 20 ล้านก๊อบปี้
นอกจากนี้แล้วทุกอัลบั้มของพวกเขา (ยกเว้นอัลบั้มแรก Take
That & Party) นั้นสามารถขึ้นไปถึงอันดับ
1 ในชาร์ตของอังกฤษได้ทั้งหมด โดยในปี 2011 พวกเขาได้รางวัลบริทอะวอร์ดสในสาขาศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม
ในปี 1990 ไนเจล มาร์ติน-สมิธ (Nigel Martin-Smith) ได้รวมกลุ่มเด็กหนุ่ม
5 คน คือ แกรี บาร์โลว์ อายุ 19 ปี จาก Cheshire
ซึ่งได้ทำงานร้องเพลงและเล่นออร์แกนอยู่, ฮาวเวิร์ด ดอนัลด์
อายุ 21 ปี นักเพนท์สีรถ ซึ่งเขาก็รับงานดีเจ แดนเซอร์ และ เป็นโมเดลอยู่, เจสัน ออเรนจ์ อายุ 20 ปี
นักวาดรูปและนักตกแต่ง เจสันในขณะนั้นก็รับงานเป็นแดนเซอร์ในรายการโทรทัศน์ที่ชื่อว่า "The
Hitman and Her", มาร์ก โอเวน อายุ 18 ปี เสมียนธนาคาร
และ ร็อบบี้ วิลเลียมส์
อายุ 16 ปี ซิงเกิ้ลแรกของวงนี้คือ "Do What U Like"
โดยเพลงนี้สามารถขึ้นไปถึงอันดับที่ 82 ในชาร์ตของอังกฤษ
ซิงเกิ้ลต่อๆมาของวงอย่าง "Promises" และ "Once You've Tasted
Love" สามารถขึ้นไปถึงอันดับ 38 และ 47
ตามลำดับ ซิงเกิ้ลแรกที่ประสบความสำเร็จของพวกเขาคือ "It Only Takes A Minute"
เป็นเพลงคัฟเวอร์ของวงยุค'70 ชื่อ Tavares ขึ้นชาร์ทในอังกฤษสูงสุดอันดับ 7
ต่อมาเพลง "I Found Heaven"
สามารถขึ้นไปถึงอันดับ 15 หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเพลงฮิตอย่าง "A Million Love Songs"
เป็นเพลงช้าที่แต่งโดย แกรี โดยสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 7 ในอังกฤษ
จากนั้นก็ปล่อยเพลง "Could It Be Magic"
เพลงเก่าของ แบรรี แมนิโลว์
และ ดอนน่า ซัมเมอร์ ไต่ชาร์ทไปถึงอันดับ
3 หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ออกอัลบั้มแรก Take That & Party
ในปี 1992 โดยอัลบั้มนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 2 ของชาร์ตอังกฤษ
ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มเดียวของวงที่ไม่สามารถขึ้นถึงอันดับ 1
โดยอัลบั้มนี้ขายได้ประมาณ 1 ล้านชุด ปี 1993 วงได้ออกอัลบั้มอัลบั้ม Everything Changes
โดยเพลงส่วนใหญ่จะแต่งโดยแกรี มีเพลงอันดับ 1 ถึง 4 เพลง [คือเพลง Pray (เพลงนี้เป็นซิงเกิลแรกของวงที่สามารถขึ้นถึงอันดับ
1 ได้สำเร็จ) , Relight My Fire(โดยเพลงนี้เป็นเพลงคัฟเวอร์ของแดน
ฮาร์ทแมน), Babe และ Everything Changes]
ส่วนซิงเกิลแรก Why Can't I Wake Up
with You นั้นขึ้นถึงอันดับ 2 ทั้งที่อัลบั้มก่อน Take
That and Party ไม่มีซิงเกิ้ลใดขึ้นถึงอันดับ 1 เลย
และตัวอัลบั้มก็ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน ซิงเกิ้ลที่ 6 คือ "Love Ain't Here
Anymore" หยุดอยู่ที่อันดับ 3
อัลบั้มนี้ขายได้ถึง 3 ล้านชุดทั่วโลก ปี 1995 วงได้ออกอัลบั้มNobody Else
ปล่อยซิงเกิ้ลแรกคือ "Sure" สามรถขึ้นถึงอันดับ 1
ได้อีกครั้ง และซิงเกิ้ลที่ 2 คือ "Back For Good"
เพลงนี้เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวง
โดยเพลงนี้สามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งของชาร์ตซิงเกิ้ลของ 31 ประเทศ
ซึ่งเพลงนี้ถือเป็นเพลงฮิตเพลงเดียวในอเมริกาของเทกแดต โดยขึ้นไปถึงอันดับ 7
โดยอัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทั้งในแแง่ของอัลบั้มและซิงเกิ้ล
โดยอัลบั้มนี้ขายได้กว่า 6 ล้านชุดทั่วโลก และทั้ง 3
ซิงเกิ้ลได้ขึ้นถึงอันดับหนึ่งทั้งหมด เริ่มต้นจาก กรกฎาคม 1995
เมื่อร็อบบี้ต้องการที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองที่ดูสดใส และเริ่มคบหา
สังสรรค์กับวงโอเอซิส เป็นสาเหตุของข้อขัดแย้ง
ทำให้ร็อบบี้ต้องออกจากวงไปในที่สุด แต่ เทกแดต ก็ยังคงโปรโมท เพลงซิงเกิ้ลถัดมา
"Never Forget"
(รีมิกซ์โดย จิม สไตน์แมน)ซึ่งยังคงขึ้นถึงอันดับหนึ่งเหมือนเดิม 13 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 1996 เทกแดต ประกาศยุบวง โดยออกอัลบั้มรวมเพลง Greatest Hits
ซึ่งมีเพลง "How Deep Is Your
Love" (เพลงเก่าของบีจีส์) เป็นซิงเกิ้ลลาของวง ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่
8 และเพลงสุดท้ายของเทกแดต ยุคแรกที่ไปถึงอันดับหนึ่ง (ทั้งนี้ วงได้ออกอีก 2
ซิงเกิ้ล นั่นคือ "Every Guy" ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลโปรโมต
และ "Sunday To Saturday" ที่ปล่อยเฉพาะในญี่ปุ่น)
อัลบั้มนี้ขายได้กว่า 3 ล้านชุดทั่วโลก จากนั้นศิลปินแต่ละคนก็ไปมีผลงานเดี่ยว
เริ่มตั้งแต่ แกรี บาร์โลว์ ออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 1997 กับอัลบั้ม Open
Road มีเพลงฮิตอันดับ
1 ในอังกฤษ 2 เพลงคือ Forever Love และ
Love
Won´t Wait ส่วนอัลบั้มที่
2 Twelve
Months, Eleven Days ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จากนั้น แกรี
ก็ออกมาเปิดสตูดิโอของตัวเอง แต่งเพลงและโปรดิวซ์เพลงให้ศิลปิน เช่น ดอนนี ออสมอนด์, บลู
และ เดลตา กู๊ดเรม เป็นต้น โดยในปี
2013 เขาได้ออกอัลบั้ม Since I Saw You Last โดยขายได้เกือบหนึ่งล้านชุด คนต่อมา ร็อบบี้ วิลเลียมส์ ออกซิงเกิ้ลแรก Freedom
เพลงเก่าของ จอร์จ ไมเคิล
โดยในอัลบั้มแรกของเขา Life thru a Lens นั้นสามารถไปถึงอันดับ
1 ของชาร์ตอังกฤษ ร็อบบี้ ประสบความสำเร็จในการออกอัลบั้มอย่างมาก
โดยได้ออกผลงานอย่าง I've Been Expecting You, Sing When You're Winning,
Escapology, Intensive Care, Rudebox, Reality Killed the Video Star, Take the
Crown และ Swings Both Ways โดย 9 จาก 10
อัลบั้มเดี่ยวของร็อบบี้นั้นสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ของชาร์ตอังกฤษ
เขามีเพลงอันดับ 1 ในอังกฤษ 7 เพลง อัลบั้มและซิงเกิ้ลของร็อบบี้สามารถทำยอดขายได้มากกว่า
77 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้ร็อบบี้เป็นศิลปินชายจากอังกฤษที่มียอดขายมากที่สุด ,มาร์ก โอเวน ออกอัลบั้มเดี่ยวทั้งหมด 4 อัลบั้ม คือ
Green
Man, In Your Own Time, How the Mighty Fall และ The Art of
Doing Nothing ในปี2002 มาร์กเป็นผู้ชนะเลิศในรายการพิเศษของบิ๊ก บราเธอร์ในอังกฤษ ชื่อ "Celebrity
Big Brother" ,ฮาวเวิร์ด ดอนัลด์ ได้บันทึกเสียงซิงเกิ้ลไว้ แต่ไม่ได้ออกวางขาย
เขาได้หันไปเป็นดีเจ โดยเล่นในคลับในอังกฤษและเยอรมนี ,เจสัน ออเรนจ์ ได้รับบทแสดงโดยเล่นเป็น Brent
Moyer ใน Lynda La Plante's Killer Net ออกอากาศช่อง
UK Channel 4 และเขาได้แสดงใน King's Head Theatre ในลอนดอน เทกแดต
ยังติดสัญญาที่จะต้องออกอัลบั้มอีก 1 อัลบั้ม ถ้าไม่ออกอัลบั้มจะถูกฟ้องร้องจากทางค่ายเพลง ซึ่งเป็นที่มาที่จะต้องออกอัลบั้มรวมเพลงชุดที่
2 และ การโปรโมทอัลบั้มที่เป็นเงื่อนไขตามมา ฮาวเวิร์ดและเจสัน ตกลงเงื่อนไขทันที
ตามมาด้วย มาร์กและแกรี โดยมาร์กได้เข้าไปหาร็อบบี้เพื่อเจรจาเรื่องนี้
โดยทุกคนคิดว่าร็อบบี้คงไม่ตกลง แต่ร็อบบี้ก็ได้สร้างความประหลาดใจ เมื่อเขาตกลงที่จะปรากฏตัวในฟิล์มโฆษณา
แต่ต้องไม่พร้อมกับวง 16 พฤศจิกายน 2005 สมาชิก 4
คนของเทกแดต กลับมาอีกครั้งนึงในรายการทางช่อง ITV1
พูดคุยถึงการหายไปใน 10 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 4 คนได้บันทึกสารคดี
โดยนี่เป็นการทำให้คิดถึงการรวมตัวกันใหม่
และถูกย้ำให้ชัดเจนขึ้นในการเป็นผู้เข้าชิงในรายการ Rose d'Or award ที่มีผู้ชมกว่า 7 ล้านคน 25 พฤศจิกายน 2005
มีการแถลงข่าวว่า เทกแดต (4 คน) จะออกทัวร์คอนเสิร์ตในปี 2006 โดยใช้ชื่อว่า
"The
Ultimate Tour 2006" เริ่มต้นตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน
2006 ซึ่งมีแขกรับเชิญอย่าง เบเวอร์ลีย์ ไนท์, ลูลู และ พุซซี่แคท ดอลส์
ที่มาร่วมโชว์ในดับลิน รวมไปถึง ชูกาเบบส์ นอกจากนี้ ร็อบบี้ ยังได้ร่วมโชว์ในเพลง
"Could
it be Magic" โดยผ่านการบันทึกภาพในระบบฮอโลแกรมด้วย อัลบั้มรวมเพลงชุดที่ 2
Never Forget – The Ultimate Collection
พร้อมกับเพลงที่ไม่เคยออกมาก่อนอย่าง "Today I've Lost You" อัลบั้มรวมเพลงนี้ขายได้กว่า 2 ล้านชุด 9 พฤษภาคม 2006 เทกแดต
กลับมาอีกครั้งโดยเซ็นสัญญากับ Polydor Records ด้วยเงิน 3
ล้านปอนด์ โดยได้ออกซิงเกิลแรก "Patience" ในวันที่ 13
พฤศจิกายน เพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตอังกฤษในทันที ทำให้เป็นเพลงอันดับ 1
เพลงที่ 9 ของวงที่สามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ โดยทางวงได้ออกอัลบั้ม Beautiful World
ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2006
ซึ่งอัลบั้มนี้ขายได้กว่า 2.8 ล้านชุด
ทำให้มันกลายเป็นอัลบั้มของวงที่ขายดีที่สุดในอังกฤษ 14 กุมภาพันธ์ 2007 เทกแดตได้ร่วมแสดงในงานบริท อวอร์ดส โดยเพลง Patience
ชนะในสาขา British Single 4 มีนาคม 2007 เพลง "Shine" ซิงเกิ้ลที่ 2
จากอัลบั้มนี้ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ซึ่งถือเป็นเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 10 ของวง
แซงหน้าวงสไปซ์ เกิร์ลส และ แอบบ้า (ขึ้นอันดับ 1 ทั้งหมด 9 เพลง)
นอกจากนี้แล้วทางวงได้ออกอีก 2 ซิงเกิ้ล คือ I'd Wait for Life (เข้าอันดับที่
17 ของชาร์ตอังกฤษ) และ Reach Out
(ออกเฉพาะในภาคพื้นยุโรป) หลังจากเทกแดตได้ทัวร์เสร็จ ทางวงได้ทำการเซ็นสัญญากับ พาราเมาท์ พิกเจอร์ส
เพื่อแต่งเพลง Rule the World
เพลงสำหรับภาพยนตร์เรื่อง "Stardust"
นำแสดงโดย ชาร์ลี คอกซ์ แคลร์ เดนส์ โรเบิร์ต เดอนิโร และ เซียนนา
มิลเลอร์ กำกับโดย แมทธิว วอห์น ถือเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เพลงแรกของเทกแดต
เพลงนี้เข้าถึงอันดับที่ 2 ของชาร์ตอังกฤษ 24 พฤศจิกายน 2008
ทางวงได้ออกซิงเกิล Greatest Day
โดยสามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ทำให้กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ 11 ที่สามารถขึ้นไปถึงอันดับ
1 ก่อนที่จะออกอัลบั้มในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แล้วได้ออกอีก 4 ซิงเกิ้ล คือ Up All Night(เข้าชาร์ตในอันดับที่
14) ,The Garden (อันดับ 97) ,Said It All (อันดับ 9) และ Hold Up a Light
(อันดับ 123) โดยอัลบั้ม The Circus
มียอดขายในอังกฤษกว่า 2 ล้านก๊อปปี้ วันที่
15 กรกฎาคม 2010 ร็อบบี้
วิลเลียมส์ได้กลับมาอยู่ในวง ทำให้เทก แดท มีสมาชิกครบ 5 คนอีกครั้ง
โดยทางวงได้ออกอัลบั้มชุดที่หก Progressในวันที่
15 พฤศจิกายน โดยได้ออก 2
ซิงเกิ้ล ได้แก่ The Flood
(เข้าชาร์ตในอันดับที่ 2) และ Kidz (อันดับ 28)
แม้จะไม่มีซิงเกิ้ลไหนที่ขึ้นถึงอันดับ 1 เลย แต่ตัวอัลบั้มนั้นทำยอดขายได้กว่า 4
ล้านชุด อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีที่สุดของวง
และยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในอังกฤษประจำปี 2010 อีกด้วย ต่อมาในวันที่ 10 มิถุนายน 2011 ทางวงได้ออกอัลบั้มพิเศษ
Progressed
โดยเทกแดตได้ออกผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง X-Men: First Class
ชื่อเพลง Love Love (อันดับ 15)
โดยในเวลาต่อมาได้ออกผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ The Three Musketeers
ชื่อ When We Were Young
(อันดับ 88) ด้วย โดยในอัลบั้มนี้ ทางวงได้ออกซิงเกิ้ลเพื่อเป็นการโปรโมตงาน Red
Nose Day ประจำปี 2011 ของมูลนิธิ Comic Relief ในชื่อ Happy Now (อันดับ 52)
และทางวงได้ออกซิงเกิ้ลเพื่อโปรโมตการทัวร์คอนเสิร์ต Progress
Live ของพวกเขาในชื่อ Eight Letters (อันดับ
176) ทั้งนี้ เพลง SOS สามารถขึ้นไปถึงอันดับที่ 91
ในชาร์ตของอังกฤษ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงเดียวของวงที่สามารถขึ้นไปถึง 100
อันดับแรกของชาร์ต ทั้งๆที่ไม่ใช่ซิงเกิ้ล
แกรี บาร์โลว์ ได้ออกอัลบั้มเดี่ยว
Sing
และ Since I Saw You Last และไปเป็นกรรมการในรายการ
The X Factor UK ร็อบบี วิลเลียมส์ได้ออกอัลบั้มเดี่ยว Take
The Crown และ Swing Both Ways มาร์ก
โอเวนได้ออกอัลบั้มเดี่ยว The Art Of Doing Nothing ฮาวเวิร์ด
ดอนัลด์ ได้ไปเป็นกรรมการในรายการในเยอรมนี Got To Dance เจสัน ออเรนจ์ได้ออกจากวงในปี 2014
ร็อบบี วิลเลียมส์ได้ทำงานกับวงเป็นครั้งสุดท้ายในปี 2012 และเจสัน
ออเรนจ์ได้ออกจากวงในปี 2014 ทำให้เทกแดตมีสมาชิกเพียงสามคนเท่านั้น โดยในวันที่ 14 พฤศจิกายน
ทางวงได้ออกซิงเกิ้ลที่ทีชื่อว่า These Days โดยตัวซิงเกิ้ลนั้นขึ้นไปอยู่ในอันดับ
1 ได้สำเร็จ ทำให้มันกลายเป็นซิงเกิ้ลที่ 12 ที่สามารถขึ้นไปถึงอันดับที่ 1
ได้สำเร็จ และได้ออกอัลบั้มIII
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน โดยทางวงได้ออกงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Kingsman: The Secret Service
ชื่อว่า Get
Ready For It ในวันที่ 2 มีนาคม 2015
ทางวงได้ออกซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้ม ชื่อ Let in the Sun
และล่าสุด ในวันที่ 8 มิถุนายน วงได้ออกซิงเกิลใหม่ ในชื่อ Higher Than Higher
แบ็คสตรีท บอยส์ (Backstreet Boys) คือวงบอยแบนด์แนวป็อบร็อกที่โด่งดังสุดๆ ในช่วงกลางยุค 90s ด้วยท่อนฮุคที่ติดหู จังหวะดนตรีอันสนุนสนาน และการประสานเสียงที่ลงตัว ปัจจุบันประกอบสมาชิก 4 คนคือ Nick Carter, Howie Dorough, Brian Littrell และ AJ McLean (โดย Kevin Richardson ได้ลาออกไปตั้งแต่ปี 2006) จนถึงปัจจุบัน Backstreet Boys สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 76 ล้านชุดทั่วโลก และมีเพลงฮิตติดอันดับตามชาร์ทต่าง ๆ มากมาย หลังจากอัลบั้ม Unbreakable ในปี 2007 วันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับสตูดิโออัลบั้มใหม่ชุดที่ 7 ‘This is Us’ ซึ่งเปิดตัวด้วยซิงเกิลแรก ‘Straight Through My Heart’ ที่มีส่วนผสมระหว่าง Euro dance, Pop และ R&B โปรดิวซ์โดยโปรดิวซ์เซอร์สุดฮ็อท RedOne (Akon, Lady Gaga) ถือเป็นเพลงที่แสดงความเป็นตัวตน ของ Backstreet Boys จริง ๆ พวกเขายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับมืออาชีพมากมายในอัลบั้มนี้ ไม่ว่าจะเป็น Ryan Tedder (แห่ง OneRepublic) ที่มาช่วยในเพลง ‘Undone’ หรือว่า T-Pain ในเพลง ‘She’s A Dream’, Claude Kelly นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง (แต่ง “Circus” ให้ Britney Spears) ซึ่งร่วมมือกับทีมงาน Soulshock & Karlin (JoJo, Nelly) โปรดิวซ์ 2 เพลงในอัลบั้ม ‘Bye Bye Love’ และ ‘If I Knew Then’ และ Jim Jonsin มาช่วยในเพลง Helpless โดยจิมส่งเพลงนี้ไปให้ศิลปินที่มาแรงอย่าง Pitbull ช่วยเขียนเนื้อเพลงให้
แบ็คสตรีท บอยส์ (Backstreet Boys) คือวงบอยแบนด์แนวป็อบร็อกที่โด่งดังสุดๆ ในช่วงกลางยุค 90s ด้วยท่อนฮุคที่ติดหู จังหวะดนตรีอันสนุนสนาน และการประสานเสียงที่ลงตัว ปัจจุบันประกอบสมาชิก 4 คนคือ Nick Carter, Howie Dorough, Brian Littrell และ AJ McLean (โดย Kevin Richardson ได้ลาออกไปตั้งแต่ปี 2006) จนถึงปัจจุบัน Backstreet Boys สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 76 ล้านชุดทั่วโลก และมีเพลงฮิตติดอันดับตามชาร์ทต่าง ๆ มากมาย หลังจากอัลบั้ม Unbreakable ในปี 2007 วันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับสตูดิโออัลบั้มใหม่ชุดที่ 7 ‘This is Us’ ซึ่งเปิดตัวด้วยซิงเกิลแรก ‘Straight Through My Heart’ ที่มีส่วนผสมระหว่าง Euro dance, Pop และ R&B โปรดิวซ์โดยโปรดิวซ์เซอร์สุดฮ็อท RedOne (Akon, Lady Gaga) ถือเป็นเพลงที่แสดงความเป็นตัวตน ของ Backstreet Boys จริง ๆ พวกเขายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับมืออาชีพมากมายในอัลบั้มนี้ ไม่ว่าจะเป็น Ryan Tedder (แห่ง OneRepublic) ที่มาช่วยในเพลง ‘Undone’ หรือว่า T-Pain ในเพลง ‘She’s A Dream’, Claude Kelly นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง (แต่ง “Circus” ให้ Britney Spears) ซึ่งร่วมมือกับทีมงาน Soulshock & Karlin (JoJo, Nelly) โปรดิวซ์ 2 เพลงในอัลบั้ม ‘Bye Bye Love’ และ ‘If I Knew Then’ และ Jim Jonsin มาช่วยในเพลง Helpless โดยจิมส่งเพลงนี้ไปให้ศิลปินที่มาแรงอย่าง Pitbull ช่วยเขียนเนื้อเพลงให้
เอ็นซิงก์ ('N Sync หรือมักเขียนว่า *NSYNC) เป็นวงบอยแบนด์ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ และตั้งแต่ปี 1995 เอ็นซิงก์มียอดขายอัลบั้มมากกว่า 56 ล้านชุดทั่วโลก พวกเขาเริ่มก่อตั้งวงในออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ในปี 1995 ประกอบด้วยสมาชิกคือ จัสติน ทิมเบอร์เลค, เจซี ชาเซ, แลนซ์ เบสส์, โจอี ฟาโทน และ คริส เคิร์กแพทริก โดยชื่อของวงมาจากอักษรตัวสุดท้ายของชื่อพวกเขาในวง : Justi-N, Chri-S, Joe-Y, Lanste-N (ถึงแม้ว่าตัว 'N' จะมาจากสมาชิกดั้งเดิมที่ชื่อ Jason ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นแลนซ์) อัลบั้มของพวกเขาในปี 2000 ที่ชื่อ No Strings Attached ขายได้ 1.1 ล้านชุดภายในวันเดียวและ 2.4 ล้านชุดใน 1 สัปดาห์ ทำให้พวกเขาสร้างสถิติเปิดตัวยอดขายในสัปดาห์แรกที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นอันดับ 5 ของโลก และอัลบั้มต่อมาในปี 2001 ที่ชื่อ Celebrity ก็ทำสถิติเป็นอัลบั้มที่มียอดขายในสัปดาห์เดียวสูงสุดเป็นอันดับ 2 นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ และยังโชว์การแสดงในเวทีรางวัลออสการ์ ,เวิลด์ซีรีส์ ,ซูเปอร์โบว์ล และโอลิมปิก และยังเคยร่วมร้องหรืออัดเสียงกับศิลปินดังอย่าง แอโรสมิธ, แมรี เจ. ไบลจ์, บริตนีย์ สเปียรส์, เนลลี, ไมเคิล แจ็กสัน, เดอะแจ็กสันไฟฟ์, สตีวี วันเดอร์,เซลีน ดิออน และกลอเรีย เอสเตฟาน พวกเขายังเคยปรากฏตัวในซีรีส์การ์ตูนยอดนิยมเรื่อง เดอะซิมป์สันส์ ในตอน "New Kids on the Blecch" ที่ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 อีกด้วย ในปี2013 วง 'N Sync ได้รวมตัวเฉพาะกิจในงาน เอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิค อวอร์ด 2013 ที่ผ่านมา
จัสติน แรนดอล ทิมเบอร์เลก (Justin Randall Timberlake) เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1981 เป็นนักร้องแนวป็อปชาวอเมริกัน และเป็นนักแสดง เคยเป็นสมาชิกวง 'N Sync โดยในฐานะศิลปินเดี่ยวมีเพลงฮิตอย่าง "Sexyback" และ "Like I Love You"จัสติน ทิมเบอร์เลก เกิดในเมมฟิส รัฐเทนเนสซี เป็นบุตรชายของ ลินน์ ฮาร์เลสส์ (นามสกุลเดิม โบมาร์) และแรนดัลล์ ทิมเบอร์เลก เขามีเชื้อสายอังกฤษ ถึงแม้ว่าเขาจะอ้างว่าเขามีเชื้อสายทางอเมริกัน-อินเดียน ซึ่งอาจมาจากเฮนรี ทิมเบอร์เลก นักสำรวจและทำแผนที่อเมริกาในยุคล่าอาณานิคม ปู่ของเขา ชาลส์ แอล. ทิมเบอร์เลก เป็นผู้สอนศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ และตัวทิมเบอร์เลกเองก็นับถือโปรแตสแตนต์เช่นกัน พ่อแม่ของเขาหย่ากันราวปี ค.ศ. 1985 เมื่อเขาอายุราว 5 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานใหม่ โดยแม่ของเขาปัจจุบันเปิดบริษัทเกี่ยวกับแวดวงบันเทิง ชื่อ จัส-อิน ไทม์ เอนเตอร์เทนเมนต์ โดยแต่งงานกับ พอล อาร์เลสส์ นายธนาคาร ส่วนพ่อของเขาเป็นผู้กำกับเสียงประสานในโบสถ์ มีลูก 2 คนคือ โจนาธาน (เกิดปี 1993) และ สตีเฟน (เกิดปี 1998) ทั้งสองคนหลังการแต่งใหม่กับ ลิซา ทิมเบอร์เลกเติบโตมาในเชลบี ฟอร์เรส เมืองเล็ก ๆ ระหว่างเมมฟิสและมิลลิงตัน เขาได้ลงแข่งขันประกวดร้องเพลงครั้งแรกในงานแข่งขันร้องเพลงคันทรีในรายการค้นหาดาราในชื่อ "จัสติน แรนดัล" จัสติน ทิมเบอร์เลกเป็น 1 ในสมาชิกมิคกี้ เม้าส์ คลับ ซึ่งมีสมาชิกอย่างบริทนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า และ เจซี แชสเซส์ พออายุ 14 ปี คริส เคิร์กแพททริค ก็ติดต่อเขาให้มาร่วมวงผ่านทางเอเยนต์ จนได้ก่อตั้งเป็น 'N Sync ซึ่งได้ก่อตั้งในปี 1995 โดยวง 'N Sync มีอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างมากที่มียอดขายเร็วที่สุด คืออัลบั้ม No Strings Attached ในอัลบั้ม Celebrity จัสตินได้มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงถึง 7 เพลงรวมถึง Pop ซิงเกิลฮิตเพลงแรกของอัลบั้มนี้ด้วย นอกจากนี้ยังโปรดิวซ์เพลงเองอีก 3 เพลง รวมทั้งยังแต่งเพลง What It's Like To Be Me ให้อัลบั้ม Britney ของ บริทนีย์ สเปียร์ส ด้วย
บอยโซน
(Boyzone) เป็นวงบอยแบนด์รวมตัวครั้งแรกในปี 1994
ประกอบด้วยสมาชิก โรแนน คีตติง, สตีเฟน เกตลี, เชน ลินช์,ไมกีย์ เกรแฮม และ เคธ ดัฟฟี ประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ รวมทั้งในยุโรป เอเชีย โดยมีเพลงอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร 6 เพลง 1 ในนั้น คือเพลงฮิตอย่าง Love me for a reason โดยข้อมูลในปี 2007
พวกเขามียอดขายรวม 15 ล้านชุด ในปี 2008 พวกเขารวมตัวอีกครั้ง กับเพลงแรกในรอบ 9
ปี Love You Anyway ซึ่งเป็นหนึ่งในสองเพลงใหม่ที่จะอยู่ในอัลบั้มรวมเพลง
Back Again…No Matter What ช่วงปี 2000 ไปแล้ว
นักร้องนำของวงก็คือ โรแนน คีตติ้ง ประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปินเดี่ยว
กับซิงเกิ้ล และเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill คือซิงเกิลที่ชื่อ
“When you say Nothing at all” กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายของตัวเขา
เวสต์ไลฟ์
(Westlife) เป็นวงบอยแบนด์จากไอร์แลนด์ รวมวงเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1998
ซึ่งไซมอน โคเวล เป็นผู้จัดการในขณะนั้น
โดยปัจจุบัน ผู้จัดการวงคือ Louis Walsh เวสต์ไลฟ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในไอร์แลนด์และอังกฤษ
รวมถึงในยุโรป แอฟริกา เอเชีย ลาตินอเมริกา และ ออสเตรเลีย
เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาได้พัฒนาวงจากทีนป๊อป สู่ Adult contemporary music กับยอดขาย 36 ล้านก๊อปปี้กับ 8 อัลบั้มที่ผ่านมา เป็นวงที่มีเพลงอันดับ 1
ถึง 14 เพลงในสหราชอาณาจักร เป็นที่ 3 รองจากเอลวิส เพรสลีย์และเดอะ บีทเทิลส์ เทียบเท่ากับคลิฟ ริชาร์ด ได้รับสองรางวัลบริทอวอร์ด กับหนึ่งรางวัลเอ็มทีวี ยุโรป มิวสิก อวอร์ดส
และยังเป็นวงที่มีการแสดงสดที่สนามกีฬากลางแจ้ง (arena) ที่มากที่สุด กับเจ้าของสถิติการมีคอนเสิร์ตที่สนามเวมบลีย์มากถึง
23 ครั้ง เวสต์ไลฟ์ ฟอร์มวงในเดือนกรกฎาคม ปี 1998 โดยมีสมาชิกคือ Shane Steven
Filan,Nicky Bernard James Adam Byrne,Mark Michael Patrick Feehily,Kian John
Francis Egan,Brian McFadden โดยก่อตั้งวงที่ Sligo ทางตะวันตกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์ ในปี 1998 Westlife ได้เปิดวงบอยแบนด์ ในสหราชอาณาจักร และในปี 1999 ซิงเกิลแรกของพวกเขา "swear it again"
วางแผงและขึ้นสู่ชาร์ทอันดับสูงสุดในไอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
และความสำเร็จของเวสต์ไลฟ์ได้ยืนยันด้วยซิงเกิลที่ 2 "If I let you go" ขึ้นสู่อันดับ
1 ของชาร์ตในเดือนสิงหาคม 1999 ตามด้วย "Flying Without Wing"
ในเดือนตุลาคม ฉบับนี้รวมเพลงสำหรับภาพยนตร์ของ Cutfather กับ Joe เรื่อง My Private Movie พวกเขากลายเป็นนักร้องนักโชว์อันดับ 1 ในทศวรรษใหม่ เมื่อซิงเกิลของพวกเขา
"I Have a
Dream"/"Seasons in the Sun" ทำลายสถิติของ
Cliff
Richard เพลง "The Millennium Prayer" อัลบั้มแรก ได้ใช้ชื่ออัลบั้มอย่างง่ายๆ เวสต์ไลฟ์ วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1999
และกลายเป็นอัลบั้มยอดนิยม ขึ้นชาร์ตสูงสุดอันดับ 2 ซึ่งอัลบั้มนี้รวมเพลงซิงเกิล
4 ซิงเกิลและตามด้วย "Fool Again"
ซึ่งขึ้นชาร์ทในเดือนเมษายน ปี 2000 ไม่นานนักเวสต์ไลฟ์ก็ออกอัลบั้มใหม่ในเดือนพฤศจิกายน
ปี 2000 Coast To Coast ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากมายในสหราชอาณาจักร
และเป็นอัลบั้มที่ 4 ของประเทศที่ขายดีในรอบปี
เวสต์ไลฟ์ทัวร์คอนเสิร์ตรอบสหราชอาณาจักร "ทัวร์คอนเสิร์ต Coast
To Coast" อัลบั้มนี้โดดเด่นด้วยการร้องหมู่ระหว่างมารายห์ แครี ในเพลงคลาสสิกของ ฟิล คอลลินส์ "Against All Odds (Take
a Look at Me Now)" และ "My Love"
ทั้ง 2 ซิงเกิลขึ้นสู่อันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เขาสร้างสถิติ 7
ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทสหราชอาณาจักรในธันวาคม 2000 ในปี 2001 พวกเขาเริ่มต้นเวิลด์ทัวร์ ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "The
No Stools Tour" และหลังจากนั้นอัลบั้มที่ 3 ก็วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน
2001 World Of Our Own
ซึ่งมีเพลงยอดนิยมอย่าง "Queen of My Heart"
และ "World of Our Own"
รวมทั้งเพลงต้นฉบับอย่าง "Evergreen" ซึ่งร้องใหม่โดย
Gareth Gates และ Will Young ในรายการ Pop
Idol เดือนพฤศจิกายน ปี 2002
เวสต์ไลฟ์วางแผงอัลบั้มรวมเพลงยอดนิยม Unbreakable ชุดที่ 1
และออกซิงเกิล "Unbreakable" ในเดือนตุลาคม 1999
พร้อมทั้ง "Tonight" และ "Miss You Nights" เดือนกันยายน 2003 เวสต์ไลฟ์ออกซิงเกิล Hey
Whatever ซึ่งขึ้นสู่ชาร์ตอันดับ 4 ในชาร์ตสหราชอาณาจักร และในเดือนพฤศจิกายน 2003
อัลบั้มที่ 4 ของพวกเขา Turnaround บรรจุเพลงดังๆ
ฉบับขับร้องใหม่ Barry Manilow อย่าง "Mandy" วางจำหน่ายพฤศจิกายน 2003 และ "Obvious"
ก็เป็นซิงเกิลหนึ่งในอัลบั้มนี้ ขึ้นชาร์ตอันดับ 3 ในปี 2003 เวสต์ไลฟ์ได้รับรางวัล Record of the Year เป็นครั้งที่
3 ใน 5 ปีของพวกเขากับการเป็นนักร้อง วันที่9 มีนาคม 2004 3 สัปดาห์ก่อนทัวร์คอนเสิร์ตของเวสต์ไลฟ์ Bryan
McFadden แยกจากวงด้วยเหตุผลเพื่ออุทิศเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น
กับอดีตสมาชิกวง Atomic Kitten
Kerry
Katona และลูกทั้ง 2 ของเขา Molly (เกิดปี
2001) และ Lilly Sue (เกิดปี 2003) ในปี 2004
หลังการพักร้อนกว่า 4 เดือน พวกเขากลับมาอีกครั้งกับเพลง "You Raise
Me Up" ที่นำเอาเพลงของวงSecret Garden มาทำใหม่ ในสไตล์ GospelPop ซิงเกิลนี้เป็น 1 ใน
ซิงเกิลของอัลบั้มที่ 7 Face To Face ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2005
ทั้งซิงเกิลและอัลบั้มนี้ได้ขึ้นสู่อันดับ 1 ชาร์ตสหราชอาณาจักร
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งอัลบั้มและซิงเกิลของเวสต์ไลฟ์ขึ้นสู่อันดับสูงสุดในสัปดาห์เดียวกัน
รวมทั้งซิงเกิลนี้ยังได้รับรางวัลเพลงแห่งปีของสหราชอาณาจักร
ซึ่งเป็นศิลปินที่ได้รางวัลเพลงแห่งปีของสหราชอาณาจักรมากที่สุดถึง 4 ปี (รางวัลนี้เริ่มเมื่อปี
1998 - No Matter What ของ Boyzone)
คือ ปี 1999- Flying Without Wing, ปี 2000 - My Love, ปี 2003 - Mandy
และปี 2005 - You Raise Me Up นอกจากนี้ยังมีเพลง "When You Tell Me That You Love Me"
ซึ่งได้บันทึกเสียงเมื่อเดือนธันวาคม 2006
กับเจ้าของเพลงอย่าง Diana Ross (เคยมีการนำมาร้องใหม่โดย Dolly
Parton และ Julio Iglesias)
นอกจากนี้ก็ได้ออกซิงเกิลที่ 3 " Amazing" อีกด้วย ปลายปี 2006 เวฟท์ไลฟ์กับสตูดิโออัลบั้มที่ 8 ของเขา ซึ่งร่วมกับ Sony BMG
The Love Album
ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมเพลงที่นำมาขับร้องใหม่ทั้งหมดจากต้นฉบับเดิม
ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มคือ บทเพลงที่นำมาขับร้องใหม่ของ Bette Midler
"The
Rose" ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 14 ของพวกเขาที่ขึ้นสู่อันดับ 1
ในสหาชอาณาจักร ทำให้พวกเขาเป็นที่ 3 รองจากเอลวิส เพรสลีย์และเดอะ บีทเทิลส์ เท่าเทียบเท่ากับคลิฟ ริชาร์ด
เวสต์ไลฟ์ยังจัดทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหม่ "คอนเสิร์ตทัวร์ The
Love" เริ่มเมื่อกุมภาพันธ์ 2007
ที่เมือง เพิร์ท, ออสเตรเลีย
ซึ่งทัวร์ครั้งนี้ก็ได้จัดในอีกหลายๆเมืองในออสเตรเลีย ก่อนจะไปที่แอฟริกาใต้, สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์ และสิ้นสุดที่ดับลิน
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม Back Home
อัลบั้มที่ 9 ของพวกเขา อัลบั้มนี้รวมทั้งเพลงเก่าที่นำมาทำใหม่และเพลงใหม่
ซึ่งอัลบั้มนี้เวสต์ไลฟ์ได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์หลายคนได้แก่ Steve
Mac, Quiz Larossi, Jorgen Elofsson and Maratone ซึ่งกำหนดการจำหน่ายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2007
และ 6 พฤศจิกายน 2007
ในประเทศไทย พร้อมทั้งซิ้งเกิล
"Home"
ต้นฉบับ เป็นเพลงของ Michael Buble กำหนดจำหน่าย 29
ตุลาคม 2007 เมื่อเดือนตุลาคม 2011 เวสต์ไลฟ์ได้ประกาศแยกวงในปี 2012
หลังการทัวร์คอนเสิร์ต Greatest Hits
ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬาโครค พาร์ค (Croke Park Stadium) ในดับลิน
เมื่อวันที่ 22-23 มิถุนายน 2012 โดยมีผู้ชม 85,000 คน
เต็มความจุของสนาม
ทีแอลซี
(TLC)
เป็นกลุ่มดนตรีสัญชาติอเมริกันในแนวเพลงฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี ประกอบด้วยสมาชิก ทิออน
"ที-บอซ" วัตคินส์, ลิซา "เลฟต์
อาย" โลปส์ และโรซอนดา "ชิลลี" โทมัส พวกเธอมีเพลงซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Creep",
"Waterfalls", "No Scrubs", และ "Unpretty"
จากข้อมูลของ RIAA และบิลบอร์ด
ทีแอลซีถือเป็นศิลปินหญิงแนวอาร์แอนด์บีที่ประสบความสำเร็จกับยอดขายยืนยันที่ 22
ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในปี 2008 ยังได้มีชื่ออยู่ใน 100
ศิลปินตลอดกาลที่จัดโดยนิตยสารบิลบอร์ด ที่อันดับที่ 56 อัลบั้มชุดที่ 2 CrazySexyCool (1994)
ถือเป็นอัลบั้มแรกของศิลปินกลุ่มหญิงที่ได้รับรางวัลระดับเพชรจากการยืนยันของ RIAA
ด้วยยอดขายมากกว่า 11 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา ต้นปี 2002
ก่อนที่จะออกอัลบั้มชุดที่ 4 ชื่อชุด 3D
โลปส์เสียชีวิตจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในฮอนดูรัส วัตคินส์และโทมัสจึงประชาสัมพันธ์อัลบั้ม 3D ในฐานะศิลปินคู่ และในปี 2005 พวกเธอยังเป็นพิธีกรรายการเรียลลิตี้ที่ชื่อ R U the Girl
ทั้งคู่ได้แยกออกไปทำงานผลงานเดี่ยวและยังมีโอกาสกลับมาร่วมงานด้วยกันบางครั้ง
อลานิส นาดีน
มอริสเซตต์ (Alanis Nadine Morissette) เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1974
เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง ชาวแคนาดา/อเมริกัน เป็นโปรดิวเซอร์เพลง
และในบางครั้งยังเป็นนักแสดง เธอได้รับรางวัลจูโน่มา 12 ครั้งและได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ เธอมียอดขายอัลบั้มรวม
60 ล้านชุด ทั่วโลก มอริสเซตต์เริ่มอาชีพที่แคนาดา ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
โดยมีผลงานอัลบั้มแนวแด๊นส์-ป็อป 2 ชุด ชื่อชุด Alanis
และ Now
Is the Time ภายใต้สังกัดเอ็มซีเอ
จากนั้นออกผลงานในระดับนานาชาติในแนวร็อก ชุด Jagged Little Pill
ที่ถือสถิติเป็นอัลบั้มเปิดตัวของศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา
และมีสถิติเป็นอัลบั้มเปิดตัวทั่วโลกที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
กับยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลกข้อมูลจาก RIAA
เธอถือเป็นศิลปินร็อกหญิงที่มียอดขายมากที่สุด และต่อมาเธอมีผลงานอัลบั้มอย่าง Supposed
Former Infatuation Junkie ออกขายในปี 1998
และประสบความสำเร็จอย่างดี ในผลงานชุดต่อมาเธอยังรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์
อย่างผลงานชุด Under Rug Swept, So-Called Chaos และ Flavors of
Entanglement และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2005 มอริสเซตต์
ถือสัญชาติอเมริกัน ขณะที่ยังคงถือสัญชาติแคนาดาเช่นกัน
เซลีน มารี โกลแด็ต
ดียง (Céline Marie Claudette
Dion) หรือ เซลีน ดียง (Céline Dion) หรือ เซลีน ดิออน ตามสำเนียงภาษาอังกฤษ (สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งแคนาดา
ชั้นจตุรถาภรณ์ (OC), สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งควิเบก
ชั้นจตุรถาภรณ์ (OQ) และสมาชิกเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงโดเนอร์แห่งฝรั่งเศส
ชั้นเบญจมาภรณ์) เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี 1968
เป็นนักร้อง นักประพันธ์ดนตรี และนักแสดงชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส
เซลีนเกิดในครอบครัวใหญ่ เริ่มต้นการเป็นนักร้องโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส
หลังจากที่เรอเน อองเชลีล ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ (ต่อมาคือสามี)
จำนองบ้านของเขาเพื่อเป็นทุนในการออกอัลบั้ม ลาวัวดูบองดีเยอ
อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดแรก ต่อมาในปี 1990 เซลีนได้ออกอัลบั้มภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกในชื่อว่า
ยูนิซัน
อันเป็นจุดเริ่มต้นของเธอในวงการเพลงป๊อปสากลในสหรัฐอเมริกา และโลก เซลีนเป็นที่รู้จักในระดับสากลในช่วงคริสต์ทศวรรษ
1980 โดยได้รับรางวัลทั้งจากการประกวดการขับร้องเพลงในเทศกาลการขับร้องสากล
จัดโดยบริษัท ยามาฮ่า (Yamaha World Song Festival) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1982
และชนะการประกวดเพลงยูโรวิชัน
ในปี 1988
หลังจากนั้นเธอได้ออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสอีกหลายชุดในช่วงคริสต์ทศวรรษ
1980 จนกระทั่งเธอได้เซ็นสัญญาสังกัดค่ายโซนีเรคอร์ดส ในปี 1986ระหว่างช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เธอได้รับความช่วยเหลือจากเรอเน
เซลีนประสบความสำเร็จทั่วโลกกับอัลบั้มภาษาอังกฤษ และอัลบั้มภาษาฝรั่งเศส
กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการเพลงป๊อป อย่างไรก็ตาม
ในปี 1999 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอประสบความสำเร็จทั่วโลก
เธอได้ประกาศพักงานวงการดนตรีชั่วคราวเพื่อเริ่มชีวิตครอบครัว
และใช้เวลาอยู่กับสามีซึ่งขณะนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็ง หลังจากนั้นเธอได้กลับมาสู่วงการเพลงอีกครั้งในปี
2002 และเซ็นสัญญาในการแสดงชุด อะนิวเดย์... ที่โรงแรมซีซ่าส์พาเลซ
ลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นระยะเวลา 3 ปี (ภายหลังได้ขยายเป็น 5 ปี) ดนตรีของเซลีนได้รับอิทธิพลในแนวดนตรีหลายแนว ตั้งแต่ป็อปปูลาร์, กอสเปล, บัลลาด, คลาสสิก, อาร์แอนด์บี, แจ๊ซ, ประสานเสียง และร็อก กับทั้งสหภาษาตั้งแต่ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษาอังกฤษ ภาษาแอฟริกาน และภาษาอิตาลี เซลีนได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่าง
ๆ ถึงความสามารถและพลังในการร้องเพลงของเธอ ในปี 2004เซลีนมียอดขายรวมมากกว่า
175 ล้านชุดทั่วโลก และได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส
สำหรับการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ในเดือนเมษายนปี
2007 โซนี่ บีเอ็มจีประกาศว่าเซลีน
ดิออนมียอดขายกว่า 200 ล้านชุดทั่วโลก
ชาเนีย ทเวน
(Shania
Twain หรือชื่อเต็ม Eilleen Regina Edwards)
เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1965
ที่วินด์เซอร์,ออนทาริโอ ประเทศแคนาดา เป็นนักร้อง
นักแต่งเพลง ในสไตล์คันทรีและป็อป อัลบั้มที่ 3 ของเธอ Come
on Over เป็นอัลบั้มทำสถิติเป็นอัลบั้มของศิลปินหญิงที่ขายได้มากที่สุดตลอดกาล
และเป็นอัลบั้มคันทรีที่ขายได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
เธอเป็นศิลปินหญิงคนเดียวที่มียอดการขาย 3 อัลบั้มระดับไดอะมอนด์จากสถาบัน RIAA นอกจากนั้นเธอยังได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 5 ครั้ง
และรางวัลจาก BMI Songwriter awards เกือบ 40 ครั้ง
เรื่องชีวิตส่วนตัวเธอแต่งงานกับโปรดิวเซอร์เพลงแนวร็อกอย่าง โรเบิร์ต มัทท์ แลงค์
และ มีลูกชายวัย 5 ขวบชื่อ Eja, ชาเนียและครอบครัวได้อาศัยอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์และนิวซีแลนด์
โทนี มิเชลล์ แบรกซ์ตัน (Toni Michelle Braxton) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1967 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง แนวอาร์แอนด์บี ชาวอเมริกันและยังเป็นนักแสดง เธอเคยได้รับรางวัลแกรมมี่มาแล้ว 6 ครั้งและมียอดขายทั่วโลกมากกว่า 40 ล้านชุด และมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Un-break My Heart" ถือเป็นซิงเกิลของศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของนิตยสารบิลบอร์ด แบรกซ์ตั้งมีเสียงแบบ contralto แบรกซ์ตันมีอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 กับอัลบั้มในชื่อของเธอเองในปี 1993 ซึ่งเป็นผลงานเปิดตัว และอัลบั้มถัดมา Secrets ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 200 ได้อันดับ 2 มีซิงเกิลฮิตอันดับ 1 อย่าง "Un-Break My Heart" หลังจากประสบปัญหาในภาวะล้มละลาย เธอกลับมากับอัลบั้มชุดที่ 3 ที่ขึ้นอันดับ 1 ในชุด The Heat และต่อมาออกผลงานชุด More Than a Woman ซึ่งเป็นผลงานชุดสุดท้ายกับค่ายอริสตา และต่อมาออกผลงาน Libra กับค่ายแบล็กกราวด์ แบรกซ์ตันได้ร่วมแข่งขันในรายการเรียลลิตี้ ในฤดูกาลที่ 7 ของ Dancing with the Stars คู่กับนักเต้นมือาชีพ อเล็ก มาโซ เธอออกจากรายการเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ในสัปดาห์ที่ 5 ของการแข่งขัน เธอออกมายืนยันว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์ Dancing With The Star Winter Tour
โทนี มิเชลล์ แบรกซ์ตัน (Toni Michelle Braxton) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1967 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง แนวอาร์แอนด์บี ชาวอเมริกันและยังเป็นนักแสดง เธอเคยได้รับรางวัลแกรมมี่มาแล้ว 6 ครั้งและมียอดขายทั่วโลกมากกว่า 40 ล้านชุด และมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Un-break My Heart" ถือเป็นซิงเกิลของศิลปินหญิงที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของนิตยสารบิลบอร์ด แบรกซ์ตั้งมีเสียงแบบ contralto แบรกซ์ตันมีอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 กับอัลบั้มในชื่อของเธอเองในปี 1993 ซึ่งเป็นผลงานเปิดตัว และอัลบั้มถัดมา Secrets ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 200 ได้อันดับ 2 มีซิงเกิลฮิตอันดับ 1 อย่าง "Un-Break My Heart" หลังจากประสบปัญหาในภาวะล้มละลาย เธอกลับมากับอัลบั้มชุดที่ 3 ที่ขึ้นอันดับ 1 ในชุด The Heat และต่อมาออกผลงานชุด More Than a Woman ซึ่งเป็นผลงานชุดสุดท้ายกับค่ายอริสตา และต่อมาออกผลงาน Libra กับค่ายแบล็กกราวด์ แบรกซ์ตันได้ร่วมแข่งขันในรายการเรียลลิตี้ ในฤดูกาลที่ 7 ของ Dancing with the Stars คู่กับนักเต้นมือาชีพ อเล็ก มาโซ เธอออกจากรายการเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ในสัปดาห์ที่ 5 ของการแข่งขัน เธอออกมายืนยันว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์ Dancing With The Star Winter Tour
สไปซ์เกิลส์ (Spice Girls) เป็นกลุ่มศิลปินหญิงจากอังกฤษ เริ่มก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 1994 ในลอนดอน หลังจากออกซิงเกิลแรก "Wannabe" ก็สร้างปรากฏการณ์ในวงการเพลงป็อปไปทั่วโลก ยอดขายมีมากกว่า 55 ล้านชุดทั่วโลก ถือว่าเป็นกลุ่มศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จที่สุด สไปซ์เกิลส์ ได้ออกอัลบั้มทั้งหมด 3 สตูดิโออัลบั้ม กับ 10 ซิงเกิล ซึ่งมีซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรถึง 9 เพลง, ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ช่วงคริสต์มาสติดต่อกันสามปีซ้อนในสหราชอาณาจักร และซิงเกิลเพลง Wannabe ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาของวงหญิงล้วน และมีภาพยนตร์เรื่อง Spiceworld ที่ทำรายได้ 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พวกเธอยังได้รับรางวัลต่างๆหลายเวที รวมถึง บริท อวอร์ดส เดือนมีนาคม 1994 ได้มีการประกาศออดิชั่นโดยมีเด็กสาวร่วมร้อยคนเข้ามาสมัคร ผู้ที่ผ่านการออดิชั่นมี 5 คนคือ เมลานี คิสชอล์ม, เจรี ฮัลลิเวลล์, มิเชลล์ สตีเฟนสัน (เข้ามาแทนโดยเอ็มม่า บันทัน), เมลานี บราวน์ และ วิกตอเรีย เบคแฮม โดยเริ่มแรกได้ตั้งเป็นวงหญิงล้วนที่ชื่อ "Touch" ต่อมาเริ่มมีการบันทึกเสียง มิเชลล์ สตีเฟนสันได้ออกจากวง และเอ็มม่า บันทันเข้ามาแทน หลังจากที่เอ็มม่าได้ฝึกฝนจากสมาชิกที่เหลือ จากจุดนี้ถึงเดือน มีนาคม 1995 สมาชิกทั้ง 5 คนได้อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กๆในเมือง Maidenhead ที่ที่พวกเขาทำงานในชุดเดโม่รวมถึงการฝึกซ้อมเต้น หลังจากประสบความสำเร็จในการแสดงโชว์ในเซสชั่นจากนักวิจารณ์เพลงและโปรดิวเซอร์ พวกเธอทั้ง 5 ตัดสินใจไล่ผู้จัดการออก และได้ติดต่อ Eliot Kennedy มาทำหน้าที่แทน ตุลาคม 1994 ทางวงได้ถูกแนะนำให้กับโปรดิวเซอร์เพลงอย่าง Simon Fuller ก็ได้เซ็นสัญญากันกับเวอร์จิ้น เรคคอร์ดส์ในเดือนกันยายน 1995 และได้ทำการเขียนเพลงสำหรับอัลบั้มเปิดตัว 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1996 สไปซ์ เกิรืลสได้ออกซิงเกิลแรกในสหราชอาณาจักรเพลง "Wannabe" (กำกับมิวสิกวิดีโอโดย โจฮัน คามิทซ์ และถ่ายทำที่ Pancras Chambers ใน London) โดยเข้าชาร์ทในสัปดาห์แรกที่อันดับ 3 ก่อนที่จะขึ้นสู่อันดับ 1 เป็นเวลา 7 สัปดาห์ และเพลงนี้ก็ขึ้นอันดับ 1 ใน 31 ประเทศ ไม่เพียงสร้างสถิติซิงเกิลจากวงหญิงล้วนที่ขายดีที่สุด แต่ยังเป็นซิงเกิลเปิดตัวที่มียอดขายมากที่สุดตลอดการ สไปซ์เกิลส์ยังสามารถบุกตลาดอเมริกา โดยเข้าชาร์ทสัปดาห์แรกที่อันดับ 11 ซึ่ง ณ ตอนนั้นถือเป็นกลุ่มจากอังกฤษที่เข้าชาร์ทในสัปดาห์แรกได้สูงที่สุด ทำลายสถิติเพลง "I Want to Hold Your Hand" ของเดอะ บีทเทิลส์ที่เข้าชาร์ทอันดับ 12 และ Wannabe ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาในเวลาต่อมาเป็นเวลา 4 สัปดาห์ พฤศจิกายน 1996 ได้ออกอัลบั้มแรก โดยมียอดขาย 1.8 ล้านเฉพาะในสหราชอาณาจักร ใน 7 สัปดาห์แรกของการวางขาย และมียอดขายรวม 3 ล้านชุดในสหราชอาณาจักร ขึ้นชาร์ทสูงสุดที่อันดับ 1 ไม่ติดต่อกันนาน 16 สัปดาห์ และถือว่าเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในปี 1997 เช่นเดียวกับในอเมริกาที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในปี 1997 สูงสุดที่อันดับ 1 และ ขายได้มากกว่า 7 ล้านชุดในอเมริกา ซิงเกิลต่อมา "Say You'll Be There" ในเดือนตุลาคม และ"2 Become 1" ในเดือนธันวาคม ก็ตอกย้ำชื่อเสียงของวงด้วยการขึ้นอันดับ 1 ทั่วโลก 53 ประเทศ ส่วนเพลงสุดท้ายจากอัลบั้ม 'Spice' เป็น double A-side ซิงเกิล "Mama"/"Who Do You Think You Are" ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษเช่นกัน พฤศจิกายน 1997 สไปซ์เกิลส์ ออกอัลบั้มที่ 2 "Spiceworld" กับซิงเกิลแรก "Spice Up Your Life" สร้างสถิติใหม่ด้วยการมียอดขายเร็วที่สุดใน 2 สัปดาห์แรกสามารถมียอดชิปป์ถึง 7 ล้านชุด ยอดขายในยุโรปรวมถึง แคนาดาและ อเมริกาขายได้ 10 ล้านชุด ซิงเกิลต่อมาคือ "Too Much", "Stop" และ "Viva Forever" เพลง "Stop" ซิงเกิลนี้หยุดที่อันดับ 2 เป็นเพลงแรก มิถุนายน 1997 พวกเธอได้ถ่ายภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่อง Spiceworld: The Movie ในภาพยนตร์เรื่องนี้รวมดาราดังอย่าง โรเจอร์ มัวร์ ,เอลตัน จอห์น,เจนนิเฟอร์ ซอนเดอร์ส,ริชาร์ด อี แกรนด์,ไมเคิล แบรรีมัวร์ และ มีท โลฟ และได้เข้าสู่โรงเดือนธันวาคม 1997 ด้วยรายได้ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส และ 70 ล้านเหรียญทั่วโลก 7 พฤศจิกายน 1997 พวกเธอได้ไล่ผู้จัดการออก คือ Simon Fuller ด้วยเหตุผลที่ว่ามีข้อบังคับและควบคุมพวกเธอจากเสรีภาพมากเกินไป ต้นปี 1998 พวกเธอเริ่มทัวร์รอบโลกทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ 31 พฤษภาคม 1998 เจรี ฮัลลิเวลล์ประกาศที่จะแยกออกจากวง ด้วยเหตุผลที่เธอบอกว่าเธอดูแตกต่างจากพวกเธอ ถือเป็นข่าวช็อคสำหรับแฟนเพลง เพลง "Viva Forever" ซิงเกิลสุดท้ายจากอัลบั้ม Spiceworld ซึ่งวิดีโอเพลงนี้ได้ทำก่อนการออกไปของเจรี แต่อย่างไรก็ดีเพลงนี้ก็ไม่ได้ตัดเสียงเจรี และภาพเจรีในอะนิเมะชั่นมิวสิกวิดีโอชิ้นนี้ ขณะที่พวกเธอทัวร์อยู่ในอเมริกา สไปซ์เกิลส์ได้บันทึกเสียงเพลงใหม่ "Goodbye" สำหรับคริสต์มาสปี 1998 เพลงนี้ไม่ได้กล่าวถึงการจากไปหรืออุทิศให้เจรีแต่อย่างไร เพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 ในช่วงคริสต์มาสในอังกฤษเป็นปีที่ 3 ของวงสไปซ์เกิลส์ ในแคนาดาเพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 นาน 16 สัปดาห์ พฤศจิกายน 2000 สไปซ์เกิลส์ ได้ออกอัลบั้มสุดท้าย "Forever" ที่มีสไตล์อาร์แอนด์บีเพิ่มมากขึ้น ในอเมริกาขึ้นชาร์ทสูงสุดอันดับ 31 ส่วนในอังกฤษได้ออกวางขายพร้อมกับอัลบัม Coast To Coast ของเวสท์ไลฟ์ทำให้หยุดอยู่ที่อันดับ 2 ส่วนซิงเกิลแรก "Holler" / "Let Love Lead The Way" ประสบความสำเร็จขึ้นอันดับ 1 เป็นเพลงที่ 9 ของพวกเธอ มิถุนายน 2007 สไปซ์เกิลส์ออกมาประกาศการรวมหัวของ 5 สาวอีกครั้ง เพื่อการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกจำนวน 11 รอบเพื่อสนับสนุนอัลบัมรวมฮิตชุดแรกของวงที่จะออกมาในช่วงปลายปี โดยคอนเสิร์ตที่จะถึงนี้จะเป็นการโชว์ครั้งแรกของ สไปซ์เกิลส์ หลังจากที่ประกาศยุบวงไปเมื่อปี 2001 และเป็นครั้งแรกที่กลับมาโชว์กับแบบครบวง หลังจากที่ เจอรี "จินเจอร์ สไปร์ซ" ฮัลลิเวลล์ ขอออกจากวงไปเป็นศิลปินเดี่ยวเมื่อปี 1998 โดยออกอัลบั้มรวมฮิตที่มีเพลงซิงเกิลใหม่Headlines (Friendship Never Ends) ที่มอบให้เป็นเพลงประจำงาน 2007 Children In Need ซึ่งเป็นงานการกุศลของสถานีบีบีซีที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือมูลนิธิเด็กในสหราชอาณาจักร พวกเธอจะบริจาคกำไรทั้งหมดจากเพลง Headlines (Friendship Never Ends) ให้แก่งานการกุศลครั้งนี้ วันที่ 12 สิงหาคม 2012 สไปซ์เกิลส์กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 4 ปี เพื่อแสดงคอนเสิร์ตในพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 สไปซ์เกิลส์ แสดงเมดเลย์ 2 เพลง ได้แก่ "Wannabe" และ "Spice Up Your Life" ซึ่งการแสดงของพวกเธอทำให้คนทั่วโลกกล่าวถึง มีการทวีตข้อความในทวิตเตอร์มากกว่า 116,000 ข้อความต่อนาที ในช่วงเวลาที่พวกเธอกำลังทำการแสดง อีกทั้งยังได้รับความนิยมในเว็บไซต์ยูทูบอีกด้วย
เอ็มทูเอ็ม (M2M) คือ นักร้องคู่เพลงป๊อปจากนอร์เวย์ มีสมาชิกได้แก่ Marion Raven และ Marit Larsen สังกัดแอตแลนด์ติคเรคคอร์ต และ วอร์เนอร์มิวสิก ทั้งสองคนได้ออกอัลบั้มร่วมกันทั้งหมด 2 อัลบั้ม ได้แก่ Shades of Purple , The Big Room และยังมีอัลบั้มรวม "Greatest Hits" (ออกวางจำหน่ายหลังจากที่แยกวงโดยต้นสังกัดของพวกเธอ) ก่อนหน้าที่จะมาเป็น M2M พวกเธอยังเคยร้องเพลงตอนเด็กร่วมกัน โดยมีชื่อวงว่า "Hubba Bubba" พวกเธอรู้จักกันตั้งแต่ก่อนพวกเธออายุ 5 ขวบก่อนจะรวมเป็นวงเมื่อกลางปี ค.ศ. 1990 เพลงเปิดตัวของพวกเธอได้แก่ "Don't Say You Love Me" ในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งเพลงนี้ได้ประกอบภาพยนตร์โปเกมอน ซึ่งยังใช้เป็นเพลงเปิดตัวของอัลบั้มแรกของพวกเธอด้วย อัลบั้มที่ 2 ได้แก่ Shades of Purple เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2000 ในอัลบั้มนี้มีเพลงที่เป็นที่นิยม เช่น "Mirror Mirror", "The Day You Went Away", "Pretty Boy" และ "Everything You Do" อัลบั้มแรกของพวกเธอได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน นอร์เวย์ และ หลายๆ ประเทศในเอเชีย และยังติดอันดับ 1 ใน 40 อันดับในหลายๆ ประเทศ. และยังขึ้นติดอันดับที่ 1 ของรายการจัดอันดับ "Billboard Heatseakers" ของศิลปิน อัลบั้มนี้สร้างยอดขายทั่วโลกกว่า 2.5 ล้านตลับ อันดับสูงสุดในบิลบอร์ดคือ 89 สำหรับ Shades Of Purple ปี ค.ศ. 2002 พวกเธอกลับมาพร้อมเสียงที่มีเอกลักษณ์มากขึ้น และลดเสียงดนตรีป๊อปลงในอัลบั้มที่ 2 ของพวกเธอ The Big Room ในระยะเวลาเพียง 2 ปี เสียงของพวกเธอพัฒนาไปมากโดยเฉพาะเสียงของ Marion เพลงแรกของอัลบั้มคือเพลง "Everything" แล้วตามมาด้วย "What You Do About Me" สำหรับสาเหตุของการแยกวงนั้น Marit สมาชิกในวง เคยกล่าวกับรายการโทรทัศน์ รายการหนึ่งในนอรว์เวย์ไว้ว่า เนื่องจากว่า อัลบั้มที่สองนั้น ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ไม่เหมือนกับอัลบั้มแรก ทางค่าย จึงได้ทำการแยกวง. สมาชิกทั้งสองคน ปัจจุบัน ได้ผันตัวไปเป็นศิลปินเดี่ยว โดย Marit ได้กลายเป็นศิลปินแนว โฟล์ค-ป๊อป ส่วน Marion ได้กลายเป็น ศิลปินแนว ป๊อป-ร็อค ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จทางด้านการเป็นศิลปินเดี่ยวทั้งสองคน
เดสทินีส์ไชลด์ (Destiny's Child) เป็นวงหญิงล้วนแนวอาร์แอนด์บี และป็อป มีสมาชิกคือ นักร้องนำ บียอนเซ่ โนวส์ และ เคลลี โรว์แลนด์ และมิเชลล์ วิลเลียมส์ ออกผลงานอัลบั้มหลัก 4 สตูดิโออัลบั้ม และ มีซิงเกิลอันดับ 1 ในอเมริกา 4 ซิงเกิล รวมทั้งออกผงานเดี่ยวแล้ว พวกเธอมียอดขาย 50 ล้านชุดทั่วโลก และ 17.5 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และจากการอ้างโดยเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส พวกเธอเป็นกลุ่มศิลปินหญิงที่ขายดีที่สุดตลอดกาล นิตยสารบิลบอร์ดจัดอันดับศิลปินกลุ่ม 3 คน พวกเธอก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดนตรีที่ดีที่สุดตลอดกาล หลังจากก่อตั้งวงในปี 1990 ในฮิวส์ตัน รัฐเทกซัส เดสทินีส์ไชลด์เริ่มต้นในวงการดนตรีด้วยความอุตสาหะ กับวงสาวแรกรุ่น มีสมาชิก เด็กหญิง 6 คนภายใต้ชื่อ เกิร์ลสไทม์ (Girls' Tyme) หลังจากความพยายามมาหลายปี พวกเธอก็ได้เซ็นสัญญากับโคลัมเบียเรเคิดส์และเปลี่ยนชื่อวง โดยมีผลงานชุดแรกในชื่อวง และประสบความสำเร็จพอควร แต่หลังจากออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ในปี 199 ชื่อชุด เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์ ที่ทำให้พวกเธอเป็นที่รู้จักในกระแสหลัก มีซิงเกิลฮิตอย่างเช่น "Bills, Bills, Bills", "Bug a Boo" และ "Say My Name" อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยความสำเร็จทางด้านคำวิจารณ์และยอดขายที่ดี กลุ่มก็เกิดความขัดแย้งภายในและความวุ่นวายเกี่ยวกับกฎหมาย สมาชิกในวงอย่าง ลาทาเวีย โรเบอร์สัน และ เลโทยา ลักเก็ตต์ พยายามจะไล่ผู้จัดการของวงออก (พ่อของโนวส์) ชื่อแมททิว โนวส์ โดยอ้างถึงความลำเอียงกับโนวส์และโรว์แลนด์ ในที่สุดพวกเธอก็ออกไปและ วิลเลียมส์และฟาร์ราห์ แฟรงกิน ก็เข้ามาแทน แต่ต่อมาปี 2000 แฟรงกินก็ออกจากวงไป จนเป็นกลุ่มศิลปิน 3 คน ในอัลบั้มที่ 3 ชุด เซอร์ไวเวอร์ ซึ่งมีผลงานฮิตโด่งดังทั่วโลกอย่างเช่น "Independent Women", "Survivor" และ "Bootylicious" ต่อมาในปี 2002 เดสทินีส์ไชลด์ ออกมาประกาศแยกทางชั่วคราว และพวกเธอก็กลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 2004 กับอัลบั้มชุด เดสทินีฟูล์ฟิลด์ 1 ปีต่อมาได้ออกเวิลด์ทัวร์ จนออกมาประกาศว่าแตกวงถาวร และพวกเธอก็ออกผลงานเดี่ยวทั้งด้านดนตรี ละครเวที รายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ เดสทินีส์ไชลด์ก่อตั้งวงขึ้นในปี 1990 ในเมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกเดสทินีส์ไชลด์ มีสมาชิก 6 คน โดยใช้ชื่อ เกิร์ลสไทม์ (Girls' Tyme) พวกเธอได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในรายการ Star Search ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังในขณะนั้น แต่ผลออกมาไม่ค่อยดี เพราะการแสดงออกมายังไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก ในปี 1993 ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในวงคือ เลโทย่า ลัคเก็ท ต่อมาก็คัดเหลือ 4 คน และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดสทินีส์ไชลด์ ปี 1995 เป็นปีที่สำคัญของวงนี้ จากการฝึกฝนอย่างหนักพวกเธอได้รับโอกาสออดิชั่นเข้าในสังกัดค่ายเพลงอีเลกตราเรเคิดส์ หลังจากเข้าสังกัดค่ายเพลงดังกล่าว เดสทินีส์ไชลด์ ได้รับงานโชว์ตามงานต่างๆ ต่อมาในปี 1997 ก็ได้รับโอกาสเซ็นสัญญากับค่ายเพลง โคลัมเบียเรเคิดส์ เดสทินีส์ไชลด์มีซิงเกิลแรกคือเพลง "คิลลิงไทม์" ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เม็นอินแบล็ค ไม่นานก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกโดยใช้ชื่อเหมือนชื่อวงคือ เดสทินีส์ไชลด์ ในปี 1998 ซิงเกิลแรกเพลง "โน,โน,โน" ได้รับ 3 รางวัลจากเวทีงานประกาศผลรางวัลโซลเทรนมิวสิกอวอร์ดส อัลบั้มนี้ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก จนมาถึงอัลบั้ม เดอะไรติงส์ออนเดอะวอลล์ ในปี 1999 อัลบั้มชุดที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 13 ล้านชุดทั่วโลก ซิงเกิลที่ออกมาล้วนเป็นที่นิยมเช่นเพลง "บิลส์, บิลส์, บิลส์" ซิงเกิลอันดับ 1 เพลงแรก และเพลง "จัมพิน', จัมพิน'" รวมถึงเพลงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงจนถึงปัจจุบันนี้อย่างเพลง "เซย์มายเนม" ซึ่งในปีนั้นคว้ารางวัลแกรมมีมาถึง 2 รางวัล จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอเป็นที่จับตามองของสื่อและผู้คนมากมาย ในฐานะกลุ่มศิลปินหญิงหน้าใหม่ในยุคนั้น แต่ก็เกิดปัญหา เมื่อสมาชิกในวงได้มีการเปลี่ยนตัว หลังจาก เลโทย่า และ โรเบอร์สัน ถูกปลดออกจากวง ก็ได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาคือ มิเชล วิลเลียม และ ฟาร่า แฟรงคลิน ต่อมาได้ 5 เดือน ฟาร่า ได้ลาออกจากวงเนื่องจากปัญหาส่วนตัว ทำให้เดสทินีส์ไชลด์เหลือสมาชิกเพียง 3 คนคือ โนวส์, โรว์แลนด์, และวิลเลียม ในปี 2000 พวกเธอได้ออกซิงเกิลเพลงประกอบภาพยนตร์ นางฟ้าชาลี ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการขึ้นอันดับ 1 ถึง 7 สัปดาห์ นั่นคือเพลง "อินดีเพนเดนท์วูแมนพาร์ท1" อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเธอ เซอร์ไวเวอร์ วางขายในปี 2001 ติดอันดับบนชาร์ทบิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 1 ด้วยยอดขายกว่า 663,000 ชุดในสัปดาห์แรก และขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก และยังมีซิงเกิลที่ฮิตติดชาร์ทอีกมากมายอย่างเพลง "เซอร์ไวเวอร์" และ "บูตีลิเชียส" จากอัลบั้มนี้ทำให้พวกเธอคว้ารางวัลแกรมมีมาได้อีก 1 รางวัล ต่อมาพวกเธอได้มีอัลบั้ม 8 เดส์ออฟคริสต์มาส ซึ่งวางขายในปี 2001 เช่นกัน ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หลังจากวางขายอัลบั้มแล้ว ก็ได้มีการพักงานชั่วคราว เพื่อที่สมาชิกแต่ละคนจะได้ออกผลงานเดี่ยวของตนเดสทินีส์ไชลด์ร้องเพลง "เซย์มายเนม" ในทัวร์คอนเสิร์ต เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ... แอนด์เลิฟวิน'อิทเวิลด์ทัวร์หลังจาก 3 ปีที่พวกเธอได้ทำผลงานเดี่ยว พวกเธอก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในอัลบั้มชุดที่ 4 เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 อัลบั้มนี้สามารถขึ้นไปสูงสุดในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดได้ในอันดับที่ 2 มีซิงเกิลที่ฮิตอย่างเพลง "ลอสมายบรีท" , "โซล์เดอร์" , "เกิร์ล" , และ "คาเตอร์ทูยู" ต่อมาได้มีคอนเสิร์ตทัวร์ เดสทินีฟูล์ฟิลด์ ... แอนด์เลิฟวิน'อิทเวิลด์ทัวร์ ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน ปี 2005 ในปีเดียวกันก็ได้ออกอัลบั้มรวมฮิตชุดแรก #1's ที่รวบรวมซิงเกิลอันดับ 1 และเพลงฮิตทั้งหมดที่ทุกคนรู้จักตั้งแต่ก่อตั้งวงนี้มา รวมถึงเพลงพิเศษอย่าง "สแตนด์อัพฟอร์เลิฟ" ในปี 2005 จากความสำเร็จอย่างมากมาย ความทุ่มเทในการทำงานของพวกเธอทำให้ได้รับการจารึกชื่อวง เดสทินีส์ไชลด์ลงบน ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม ในเดือนมีนาคม ปี 2006 และในที่สุดวงนี้ก็ได้ประกาศยุบตัวลง เพื่อสมาชิกแต่ละคนจะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เหลือเพียงตำนานและชื่อเสียงที่น่าจดจำของ กลุ่มศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล และยังได้ตำแหน่ง 100 ศิลปินตลอดกาลที่บิลบอร์ดจัดขึ้นในปี 2008
บริตนีย์ จีน สเปียส์
(Britney
Jean Spears) เป็นศิลปินเพลงป็อปหญิงชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1981
ที่เมืองแม็คคอมบ์ รัฐมิสซิสซิปปี
และเติบโตที่เมืองเคนต์วูด รัฐลุยเซียนา
บริตนีย์มีความสามารถทั้งด้านการร้องเพลงและการเต้น ตั้งแต่อายุ
5 ปี เธอเข้าร่วมแสดงบนเวทีในงานโรงเรียน และงานประกวดต่าง ๆ ที่จัดขึ้น
บริตนีย์ได้เข้าร่วมออดิชันเพื่อแสดงในรายการมิคกี้เมาส์คลับ
เมื่ออายุ 8 ปี แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากยังเด็กเกินไป ต่อมาเมื่ออายุ 10 ปี
เธอจึงเข้าร่วมประกวดร้องเพลงในรายการ Star Search สตาร์เสิร์ซ ต่อมาเมื่ออายุ 11 ปี
บริตนีย์กลับเข้าไปออดิชันอีกครั้งและได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดงในรายการ The
Mickey Mouse Club เดอะมิคกี้เมาส์คลับ
เมื่อรายการมิคกี้เมาส์คลับปิดตัวลง บริตนีย์กลับไปใช้ชีวิตเด็กนักเรียนธรรมดาที่บ้านเกิด
เมืองเคนต์วูด แต่ด้วยความที่เธอรักการร้องเพลงและการเต้น
เธอจึงกลับมาตามความฝันของเธออีกครั้ง และได้เซนต์สัญญาเป็นศิลปินในค่าย Jive
Records ไจฟ์เรคคอร์ด การที่เธอได้รับคัดเลือกเป็นส่วนหนึ่งของ
มิคกี้เม้าส์คลับ ร่วมกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค และ คริสติน่า อากีเลร่า
บริตนีย์ได้แสดงในรายการมิคกี้เมาส์คลับ 2 ซีซัน
หลังจากนั้นรายการนี้ก็ปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1994
บริตนีย์จึงได้เดินทางกลับไปยังเคนต์วูด เพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมที่ Parklane
Academy ในเมืองแม็คคอมบ์ รัฐมิสซิสซิปปี มิถุนายน ค.ศ. 1997 บริตนีย์ได้รับการติดต่อจาก Lou
Pearlman ลู เพิร์ลแมน
เพื่อที่จะเข้าร่วมวงดนตรีหญิงล้วนที่มีชื่อว่า Innocence อินโนเซนต์
คุณแม่ลีนน์ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ ครอบครัว และนักกฎหมายธุรกิจบันเทิง Larry
Rudolph ลารรี รูดอฟ
รูดอฟตัดสินใจที่จะให้บริตนีย์ได้รับโอกาสเป็นศิลปินเดี่ยว
บริตนีย์จำเป็นต้องทำเดโมเสียงร้องในระบบการอัดเสียงที่มีคุณภาพ
รูดอฟจึงส่งเดโมเพลงของ Toni Braxton โทนี แบรกซ์ตัน
ให้บริตนีย์ไปฝึกร้องและอัดเสียงในห้องอัด
จากนั้นบริตนีย์ก็เดินทางไปที่นิวยอร์กพร้อมกับเดโม เข้าพบผู้บริหารบริษัทค่ายเพลง
4 บริษัท และกลับลุยเซียนาในวันนั้น ผลปรากฏว่า 3 บริษัทไม่รับเธอเข้าเป็นศิลปินในสังกัดโดยให้เหตุผลว่า
"ตอนนี้ตลาดต้องการศิลปินกลุ่ม อย่างเช่น Backstreet
Boys หรือ The Spice Girls และตอนนี้คงไม่มีใครจะเป็นได้อย่าง
Madonna, Debbie Gibson หรือ Tiffany ได้หรอก" สองสัปดาห์ต่อมา ผู้บริหารบริษัท Jive Record ไจฟ์เรคคอร์ด ติดต่อกลับมาที่ รูดอฟ Jeff
Fenster เจฟ เฟนสเตอร์
ประธานฝ่ายคัดเลือกศิลปินของบริษัทไจฟ์เรคคอร์ด กล่าวถึงการออดิชั่นของบริตนีย์ว่า
บริตนีย์ได้ร้องเพลง I have
nothing ของ Whitney
Houston วิธนีย์ ฮูสตัน
ต่อหน้าผู้บริหารและได้เซนต์สัญญาเข้าเป็นศิลปินในสังกัด ไจฟ์เรคคอร์ด[4]
บริตนีย์ได้พบกับ Eric Foster White อีริคฟอสเตอร์ไวต์ ใช้เวลาเกือบเดือนในการเริ่มต้นทำงานเพลง ในช่วงแรกโปรดิวเซอร์ให้บริตนีย์ปรับเสียงร้องให้ต่ำ
ทำให้ความเป็นเพลงป็อบลดลง แต่บริตนีย์เสนอว่า "เราควรจะวางแนวเพลงเน้นไปที่เพลงป็อบมากกว่าเพราะฉันสามารถเต้นในเพลงนั้นได้
มันเป็นตัวฉันมากกว่าค่ะ" ทางทีมทำเพลงจึงส่งบริตนีย์ให้ไปทำเพลงกับ Max
Martin แม็กซ์มาร์ติน ในสวีเดน
ซึ่งครึ่งหนึ่งของอัลบั้มเบบีวันมอไทม์ได้บันทึกเสียงที่นี่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเมษายน ค.ศ. 1998 หลังจากนั้นบริตนีย์ได้กลับไปที่อเมริกา เธอเริ่มโปรโมตทัวร์อัลบั้ม Baby One More
Time ...เบบีวันมอร์ไทม์ คอนเสิร์ตทัวร์ครั้งแรก
ในคอนเสิร์ตของวง *N Sync เอ็นซิงก์ อัลบั้มแรกของเธอวางแผงเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1999
ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของบิลบอร์ดชาร์ตในอเมริกาและได้รับการยืนยันจากสมาคมธุรกิจบันทึกเสียงแห่งอเมริกาว่าสามารถทำยอดขายอัลบั้มได้ถึง 2 แพลททินัม ภายใน 1
เดือน อัลบั้มของเธอขึ้นอันดับที่ 1 ในชาร์ตเพลง 15 ประเทศทั่วโลก
และมียอดขายมากกว่า 10 ล้านก็อบปี้ใน 1 ปี
เธอจึงกลายเป็นศิลปินวัยรุ่นที่มียอดขายมากที่สุดคนหนึ่ง
และชื่อซิงเกิลแรกที่ออกได้นำมาเป็นชื่ออัลบั้ม แรกเริ่มเดิมทีทางไจฟ์เรคคอร์ดจะให้มิวสิกวิดีโอเพลง
...เบบีวันมอร์ไทม์ เป็นแนวแอนิเมชัน แต่บริตนีย์เสนอแนวคิดว่าพลอตเรื่องมิวสิกวิดีโอควรจะเป็นเรื่องราวของนักเรียนหญิงแคทอลิกกำลังนั่งเรียนในห้องเรียน
รอเวลาเลิกเรียน ที่จะได้เต้นและเล่นบาสเกตบอลในโรงยิม ซิงเกิล ...เบบีวันมอร์ไทม์ทำยอดขายได้ 5
แสนก็อบปี้ในวันแรกที่เพลงออก และขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ถึง 2 สัปดาห์
เบบีวันมอร์ไทม์ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมีในสาขา ศิลปินเพลงป็อบหญิงยอดเยี่ยม
Best Female Pop Vocal Performance โดยซิงเกิลนี้สามารถทำยอดขายได้รวดเร็วที่สุด มียอดสั่งซื้อมากกว่า
460,000 ก็อบปี้ ในประเทศอังกฤษ ทำให้ซิงเกิลนี้กลายเป็น 1 ใน 25 ซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จตลอดกาลในประวัติศาสตร์ชาร์ตเพลงของประเทศอังกฤษ
บริตนีย์เป็นศิลปินหญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำยอดขายอัลบั้มได้ถึงหนี่งล้านในระดับประเทศ
เพลง (You Drive Me) Crazy ยูไดรฟ์ มี เครซี่ ได้ออกเป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้ม ติด 1 ใน 10 ของซิงเกิลยอดนิยมทั่วโลกและซิงเกิล ...เบบีวันมอร์ไทม์ มียอดขายมากถึง 26
ล้านก็อบปี้
คริสติน่า มาเรีย
อากีเลรา (Christina Maria Aguilera) เกิดเมื่อ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1980
เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง แนวป็อบ/อาร์แอนด์บีชาวอเมริกัน เจ้าของเพลงฮิต Genie
In A Bottle, What A Girl Wants, Come On Over, Beautiful และ Ain't
No Other Man และมียอดขายอัลบั้มรวมมากกว่า 43 ล้านหน่วยทั่วโลก
โดยนิตยสารโรลลิงสโตน ได้จัดให้เธออยู่อันดับที่ 58 ในหัวข้อ 100
นักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
โดยเธอเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการจัดอันดับ คริสตินา
อากีเลรา เกิดที่สแตตัน ไอส์แลนด์ นิวยอร์กซิตี้ รัฐนิวยอร์ก มีเชื้อสายไอริช-เอกวาดอร์ บิดาของอากีเลราเป็นทหารประจำการในขณะนั้น
ส่วนมารดาเป็นครูสอนภาษาสเปน ทั้งคู่หย่าร้างกันเมื่ออากีเลรามีอายุได้ 7 ปี
โดยอากีเลราและน้องสาวได้ย้ายตามมารดาไปยังรอสเชสเตอร์ซึ่งเป็นย่านชานเมือง
พิสต์เบิร์กในรัฐเพนซิลเวเนีย
ความสัมพันธ์ระหว่างอากีเลราและบิดานั้นไม่ค่อยราบรื่นนัก เห็นได้จากบทเพลง
มีหลายครั้งที่เธอได้ตัดพ้อ รวมไปถึง ชีวิตในวัยเด็ก ค.ศ. 1988
ตอนอายุ 8 ขวบเธอมีโอกาสไปออกรายการโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในรายการ Star
Search อากีเลราได้ร้องเพลง "A Sunday Kind of
Love" แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่อีก 3 ปีต่อมา
อากีเลราได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรายการมิกกี้ เม้าส์ คลับ ทางดิสนีย์แชนแนล ร่วมกับจัสติน ทิมเบอร์เลค และบริตนีย์ สเปียรส์ อากีเลรา
ประสบความสำเร็จในวงการดนตรีครั้งแรกในญี่ปุ่นตอนอายุ 14 กับเพลง All I
Wanna Do ที่เธอร้องคู่กับ เคอิโสะ นากานิ เสียงร้องของคริสติน่า
อยู่ในช่วงของโซปราโน และมีช่วงเสียงร้องกว้าง 4 ออกเตฟ (C3 - C#7) นักวิจารณ์มักจะจับเสียงร้องเธอไปเปรียบเทียบกับวิตนีย์ ฮิวสตัน และ มารายห์ แครี อยู่เสมอ
ต้นแบบด้านเสียงร้องของเธอนั้นมาจาก เอตตา เจมส์ นักร้องเพลงบูลส์ระดับตำนาน
และเจ้าของเพลง "At Last" ที่คริสติน่าร้องมาโดยตลอดช่วงชีวิตการเป็นนักร้องของเธอ
เธอกล่าวว่า "เอตตาคือศิลปินที่ฉันชอบมากที่สุด ฉันกล่าวแบบนี้มาตลอด 7 ปี
ตั้งแต่ฉันออกอัลบั้มแรก และทุกๆการสัมภาษณ์" โดยในงานศพของเอตต้านั้น
คริสติน่าได้ขึ้นโชว์เพลง At Last เพื่อรำลึกถึงเอตต้าด้วย
นอกจากเอตตา เจมส์แล้ว คริสติน่ายังมีต้นแบบของเธออีกคือ วิตนีย์ ฮิวสตัน มารายห์ แครี มาดอนน่า เจเน็ต แจ็กสัน อารีธา แฟรงคลิน และ นิน่า ซิโมน ปี ค.ศ. 1997
อากีเลราร้องเพลง "Reflection" ประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันของดิสนีย์ เรื่อง มู่หลาน ซึ่งทำไห้เธอได้เซ็นสัญญากับอาร์ซีเอ เร็คคอร์ดส
ต้นสังกัดปัจจุบันในเวลาต่อมา "Reflection" ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 24 สิงหาคม ค.ศ. 1999
ออกอัลบั้มชุดแรก ชื่อชุด "Christina Aguilera" เพลง
Genie In A Bottle ขึ้นไปครองอันดับ 1 ในอเมริกาถึง 6
สัปดาห์ ในเดือนกรกฎาคม อัลบั้ม Christina Aguilera ออกขายตามมาในเดือน
และตัวอัลบั้มขึ้นถึงอันดับ 1 ในอเมริกาด้วยยอดขายอัลบั้มอีกกว่า 8 ล้านหน่วย
เฉพาะที่อเมริกา และกว่า 17 ล้านหน่วยทั่วโลก นอกจากนี้อัลบั้มชุดนี้ยังมีเพลงฮิต
อันดับ 1 อีก 2 เพลงคือ "What a Girl Wants" และ
"Come on Over Baby (All I Want Is You)" และยังมีเพลงดังอย่าง
I Turn To You ที่เป็นผลงานการแต่งเพลงของไดแอน วอเรน ในงานการประกาศผลรางวัลแกรมมีครั้งที่ 42 อากีเลราได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
ต่อมาในปี ค.ศ. 2000
ซึ่งเป็นช่วงกระแสเพลงละตินมีความร้อนแรง อากีเลราได้ออกอัลบั้มภาษาสเปน Mi
Reflejo ซึ่งเป็นการนำเพลงฮิตจากอัลบั้ม "Christina
Aguilera" มาดัดแปลงเป็นเวอร์ชันภาษาสเปนและได้เพิ่งเพลงเข้าไปอีก
ตัวอัลบั้มเปิดตัวในชาร์ตที่อัน 27 และอันดับ 1 ส่วนอัลบั้มเพลงละติน
และได้รับรางวัลละติน แกรมมี สาขาอัลบั้มเพลงป็อปโดยศิลปินหญิงยอดเยี่ยม
แผ่นเสียงทองคำในสหรัฐอเมริกา และมียอดจำหน่ายทั่วโลกกว่า 4 ล้านหน่วย ในปี ค.ศ. 2000
นี้ อากีเลรายังได้ออกอัลบั้มเพลงคริสต์มาสในชื่อ My Kind of Christmas อีกหนึ่งอัลบั้ม และยังยังได้ร้องเพลง "Nobody Wants To Be
Lonely" ร่วมกับ ริคกี้ มาร์ติน อีกด้วย ปี ค.ศ. 2001
อากีเลรา ร่วมกับ ลิล คิม, ไมยา, และพิงก์ ออกซิงเกิลประกอบภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rough! ในเพลง "Lady Marmalade" ซึ่งต้นฉบับนั้นเป็นเพลงฮิตของ
แพตตี้ ลาเบล ในปี ค.ศ. 1975
ตัวซิงเกิลประสบความสำเร็จอย่างสูง ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด
และยังได้รับรางวัลแกรมมี สาขาศิลปินป็อปรวมกันเฉพาะกิจยอดเยี่ยมอีกด้วย
เดอะแครนเบอร์รี่ส์ (The Cranberries) เป็นวงร็อกจากลิเมอริค
ประเทศไอร์แลนด์ก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1989 ในภายใต้ชื่อ The
Cranberry Saw Us (ภายหลัง เปลี่ยนชื่อเป็น The Cranberries)
โดย โดโลเรส โอ’ริออร์แดน The
Cranberries ได้ออกอัลบั้มแรกของพวกเขาคือ Everybody
Else Is Doing It, So Why Can't We?, ซึ่งได้กลายเป็นความสำเร็จในเชิงการค้าสูง
และ ขายได้มากกว่า ห้าล้านชุดใน อเมริกา.
เป็นกลุ่มดนตรีหนึ่งที่มีความสำเร็จมากที่สุดของ วงการเพลงร็อก ในยุค'90s และ มียอดขายมากกว่า 14.5 ล้าน อัลบั้ม ใน
อเมริกา แล้วมีอัลบั้มที่ได้ขึ้น four top 20 albums บนบิลบอร์ด 200ได้แก่ (Everybody Else Is
Doing It, So Why Can't We?; No Need To Argue; To the Faithful Departed and Bury the Hatchet) และ มีซิงเกิลที่ขึ้นโมเดิร์นร็อกชาร์ตได้แก่
("Linger",
"Dreams",
"Zombie", "Ode to My Family",
"Ridiculous Thoughts",
"Salvation",
"Free To Decide" และ
"Promises") ในปี 2009
กลับมาตั้งวงใหม่อีกครั้งเพื่อมาเล่นทัวร์คอนเสิร์ตที่ อเมริกาเหนือ ตามด้วยที่
ละตินอเมริกา และ ยุโรป ในต้นปี 2010
นอกจากนี้ยังมีศิลปินในกลุ่มแนวฮิป-ฮอป (แร็ปเปอร์) ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในยุคปี 90's ที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์นี้อีกหลายคน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ตามลิ้งค์นี้ http://thoughtcatalog.com/rob-fee/2013/12/the-50-greatest-hip-hop-songs-of-the-90s/ และ http://www.complex.com/music/2013/10/best-90s-rappers/
นอกจากนี้ยังมีศิลปินในกลุ่มแนวฮิป-ฮอป (แร็ปเปอร์) ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในยุคปี 90's ที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์นี้อีกหลายคน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ตามลิ้งค์นี้ http://thoughtcatalog.com/rob-fee/2013/12/the-50-greatest-hip-hop-songs-of-the-90s/ และ http://www.complex.com/music/2013/10/best-90s-rappers/
(หมายเหตุ
คัดลอกและเรียบเรียงข้อมูลจาก วิถีพีเดีย สารานุกรมออนไลน์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น