วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โลก 360 องศา - (แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น,เครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ดับกลางอากาศ,ยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนที่อินเดีย,มาเลเซียแอร์ไลน์ปลดพนักงานออกหลายพันคน,ประชุมนานาชาติเรื่องผู้อพยพโรฮิงญา)


เอเจนซีส์ เกิดแผ่นดินไหวระดับ 7.8 ใต้ทะเล ทางใต้ของญี่ปุ่นในเวลา 20.30 น. เมื่อวานนี้(30) ทำให้รับรู้แรงสั่นสะเทือนบริเวณตึกสูงในกรุงโตเกียว และแรงสั่นสะเทือนนี้มีไปทั่วประเทศ และในการเกิดแผ่นดินไหวญี่ปุ่นครั้งนี้ ประชาชนในกรุงนิวเดลีสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้เล็กน้อยเกือบนาทีในช่วงค่ำ  บีบีซี สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้(30)ว่า สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ USGS แถลงว่า แผ่นดินไหวระดับ 7.8 มีศูนย์กลางห่างจากกรุงโตเกียวไปราว 7.8 แมกนิจูด ซึ่งมีความลึกไม่ต่ำกว่า 660 กม. โดยเกิดในเวลา 20.30 น. ของวันเสาร์(30)ตามเวลาท้องถิ่น โดยในขณะเกิดเหตุ ตึกระฟ้ากลางกรุงโตเกียวแกว่งเกือบ 1 นาทีในขณะที่แรงสั่นาะเทือนเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ  และยังไม่มีรายงานเบื้องต้นความเสียหายร้ายแรงออกมา รวมไปถึงไม่มีการเตือนภัยสึนามิออกมา  แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจดับเพลิงได้รับการร้องเรียนจากประชาชนชาวญี่ปุ่นจากการที่รับบาดเจ็บจากการตกที่สูง สถานีโทรทัศน์ญี่ปุ่น NHK รายงาน  นอกจากนี้รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า ได้มีการระงับการให้บริการรถไฟฟ้าความเร็วสูงชินกันเซ็นสายโตเกียว-โอซาก้าชั่วคราวเนื่องจากมีการตัดกระแสไฟฟ้า  นอกจากนี้รถไฟบางส่วนในกรุงโตเกียวถูกระงับการบริการชั่วครวเช่นกันเพื่อความปลอดภัย ส่งผลทำให้ประชาชนที่ต้องการใช้บริการรวมตัวอยู่ตามบริเวณไม่ห่างจากสถานีรถไฟที่พลุกพล่าน  มิจิโกะ โอริตะ (Michiko Orita) ชาวเกาะฮาจิมะ (Hahajima) ที่อยู่ไม่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เปิดเผยกับ NHK ว่า มันสั่นอย่างรุนแรงมาก แท่นบูชาพระพุทธรูปของครอบครัวส่ายไปส่ายมาตามแรงแผ่นดินไหว ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน มันน่ากลัวมาก  ด้าน นาโอกิ ฮิราตะ (Naoki Hirata) ศูนย์กลางการศึกษาแผ่นดินไหวแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวให้ความเห็นว่า นี่เป็นการสั่นไหวที่รุนแรงมาก การสั่นไหวขยายเป็นวงกว้าง แต่โชคดีที่เกิดในที่ลึก ทำให้มีอันตรายจากสึนามิน้อยด้าน NDTV สื่ออินเดียรายงานว่า ผลจากเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.8 ทางใต้ของญี่ปุ่น นอกจากที่จะเขย่าประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ แรงสะเทือนยังรู้สึกได้ที่อินเดีย ซึ่งสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้เล็กน้อยนานเกือบนาทีในกรุงนิวเดลี และเมืองเอกของรัฐอื่นๆของอินเดียในค่ำวานนี้(30) ทำให้ผู้คนที่อยู่บนตึกสูงต่างแตกตื่นวิ่งออกมาภายนอก อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานความเสียหายเบื้องต้นออกมาที่อินเดีย

เอเอฟพี เครื่องบินแอร์บัส A330-300 ของสิงคโปร์แอร์ไลน์ส เผชิญปัญหาเครื่องยนต์ทั้งคู่ดับกลางอากาศระหว่างเดินทางสู่นครเซี่ยงไฮ้ ส่งผลให้เครื่องลดระดับลงมาถึง 13,000 ฟุต ก่อนที่นักบินจะสามารถกู้สถานการณ์ได้ทันและพาผู้โดยสารถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ขณะที่สิงคโปร์แอร์ไลน์สได้ตั้งทีมสอบสวนเพื่อหาต้นตอของเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนี้แล้ว  สิงคโปร์แอร์ไลน์ส แถลงในวันนี้(27 พ.ค.)ว่า เครื่องบินแอร์บัส A330-300 ซึ่งพาผู้โดยสาร 182 คนและลูกเรือ 12 คนเดินทางไปยังเซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 23 พ.ค. เผชิญสภาพอากาศเลวร้ายขณะบินอยู่ที่ความสูง 39,000 ฟุต หลังออกจากสนามบินนานาชาติชางงีไปแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง  เครื่องยนต์ทั้งคู่เกิดดับลงชั่วคราว นักบินผู้ควบคุมจึงปฏิบัติตามขั้นตอนฉุกเฉิน จนสามารถกู้เครื่องยนต์ให้กลับมาทำงานตามปกติได้  เที่ยวบินดังกล่าวได้เดินทางต่อไปจนถึงนครเซี่ยงไฮ้ และลงจอดอย่างปลอดภัยเมื่อเวลา 22.56 น. ตามเวลาท้องถิ่น
สายการบินระบุว่า เครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ทั้ง 2 ตัวของแอร์บัสลำนี้ ถูกตรวจสอบทันทีที่ไปถึงเซี่ยงไฮ้ แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ... ขณะนี้เราได้ขอคำปรึกษาจากผู้ผลิตเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ และแอร์บัสแล้ว  เว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน Flightradar24 ได้ทวีตข่าวเมื่อค่ำวานนี้ (26) ว่า เที่ยวบิน SQ836 “ประสบปัญหาเครื่องยนต์ดับทั้งคู่ ทำให้เครื่องบินทิ้งดิ่งลงมา 13,000 ฟุต ก่อนที่เครื่องยนต์จะกลับมาเดินเป็นปกติและต่อมาได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เครื่องยนต์ดับระหว่าง บินฝ่าพายุลูกใหญ่... ขณะอยู่ที่ความสูงสำหรับการเดินทางตามปกติ (cruise altitude)” โดยจุดเกิดเหตุอยู่นอกชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของจีน  สิงคโปร์แอร์ไลน์สซึ่งเป็นสายการบินใหญ่อันดับ 3 ของเอเชียตามมูลค่าตลาด มีฝูงบินแอร์บัส A330-300 อยู่ทั้งสิ้น 29 ลำในปัจจุบัน และยังมีเครื่องบินรุ่นซูเปอร์จัมโบ้อย่าง แอร์บัส A380-800 อีก 19 ลำ
      
บีบีซี - ยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมหลายรัฐในอินเดีย ทะลุ 1,100 ศพ โดยบางพื้นที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปเฉียดๆ 50 องศาเซลเซียส ทำเอาทางม้าลายถึงขั้นหลอมละลาย ขณะที่ทางการเตือนประชาชนให้อยู่แต่ในที่ร่ม  พื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดคือรัฐอานธรประเทศ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ หลังพบผู้เสียชีวิต 852 ศพ ส่วนอีกแห่งคือรัฐเตลันกานาที่อยู่ติดกัน มีผู้เสียชีวิต 266 คน ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากพิษคลื่นความร้อนนับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วใน 2 รัฐนี้ ขยับขึ้นเป็นอย่างต่ำ 1,118 คน (ตอนนี้ตัวเลขขยับไปถึง 1,700 คนแล้ว) อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวระบุว่ายังพบผู้เสียชีวิตสืบเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุในรัฐเบงกอลตะวันตกกับรัฐโอริสสา อีกอย่างต่ำ 24 ศพ  โรงพยาบาลต่างๆได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมรักษาคนไข้ที่มีอาการของโรคลมแดดและทางการแนะนำประชาชนให้อยู่แต่ในที่ร่ม อย่างไรก็ตามยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อมีความเป็นไปได้ที่อุณหภูมิในบางพื้นที่จะลดลงในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า  คลื่นความร้อนเข้าปกคลุม 2 รัฐที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน แต่กรณีเสียชีวิตส่วนใหญ่เพิ่งเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในรัฐอานธรประเทศ ที่สภาพอากาศเลวร้ายที่สุด พบว่าอุณหภูมิพุ่งทะยานถึง 47 องศาเซลเซียสในวันจันทร์(25พ.ค.) ฝ่ายบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐอานธรประเทศ ระบุว่า ได้ดำเนินการให้ความรู้ผ่านทางโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ โดยบอกประชาชนว่าไม่ควรออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีหมวก รวมถึงควรดื่มน้ำให้มากและใช้มาตรการป้องกันอื่นๆ  "เรายังได้ร้องขอไปยังเอ็นจีโอและหน่วยงานรัฐให้เปิดจุดบริการน้ำดื่ม เพื่อให้มีน้ำไว้คอยบริการแก่ผู้คนในเมือง" เจ้าหน้าที่บอกกับเอเอฟพี  ในรัฐเตลังคานา เหยื่อส่วนใหญ่เสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางอุณหภูมิที่พุ่งสูงถึง 48 องศาเซลเซียสในช่วงสุดสัปดาห์ อัลเฟรด อินเนส ที่พักอาศัยในเมืองไฮเดอร์ราบัด เมืองหลวงของรัฐเตลันกานา บอกว่าประชาชนแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางการเลย "ผมได้เห็นเด็กชายวัย 3 ขวบที่พักอยู่ใกล้ๆกันเสียชีวิตกับตา นั่นเพราะอากาศร้อนจัดมาก มันน่าเศร้าอย่างยิ่ง รัฐบาลไม่ทำอะไร แต่ละคนต้องพยายามช่วยเหลือตนเอง"  อุณหภูมิในเตลันกานา ลดลงเล็กน้อยเมื่อวันอังคาร(26พ.ค.) ส่วนในรัฐอานธรประเทศ คาดหมายว่าจะเริ่มลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ และเชื่อว่าอุณหภูมิจะเย็นขึ้นเรื่อยๆเมื่อฤดูมรสุมเริ่มขึ้นในสิ้นเดือนนี้  หนังสือพิมพ์ ฮินดูสถาน ไทม์ รายงานว่าอากาศในนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ทำสถิติร้อนระอุที่สุดในรอบ 2 ปี ด้วย 45.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันจันทร์(25พ.ค.) และบนหน้า 1 ของสื่อฉบับนี้ยังได้ตีพิมพ์ภาพถนนเส้นหนึ่งภายในเมือง ที่หลอมละลายเพราะความร้อน โดยจะเห็นได้ชัดเจนว่าทางม้าลายที่เป็นแถบสีขาวนั้นกลายเป็นเส้นโค้งผสมปนเปกับยางมะตอยสีดำ  กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดียระบุคลื่นความร้อนครั้งนี้มีต้นตอจากภาวะแล้งฝน พร้อมเตือนว่าในรัฐโอริสสา รัฐฌาร์ขันฑ์และรัฐรัฐอานธรประเทศ อุณหภูมิสูงสุดจะยังคงอยู่เหนือ 45 องศาเซลเซียส มีความกังวลว่าในบางรัฐที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอาจเผชิญกับภัยแล้งจนกระทั่งฝนฤดูมรสุมจะมาถึง ทั้งนี้คาดหมายว่าฤดูมรสุมจะเล่นงานรัฐเกรละราวๆสิ้นเดือน ก่อนพัดพาไปทั่วประเทศ
ซีเอ็นเอ็น - มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ใกล้ได้ข้อสรุปแผนปฏิรูปโครงสร้างขนานใหญ่ ซึ่งรวมถึงการปรับลดพนักงานลงราว 1 ใน 3 ในความพยายามฟื้นฟูบริษัท หลังเกิดโศกนาฏกรรมเลวร้ายกับเที่ยวบินของสายการบินแห่งนี้ถึง 2 เที่ยวเมื่อปีก่อน  การปลดพนักงานถูกคาดหมายว่าน่าจะมีขึ้นเร็วๆนี้และน่าจะส่งกระทบกับพนักงานราว 6,000 คนจากทั้งหมด 20,000 คน แต่รายงานข่าวบางแห่งบ่งชี้ว่าตัวเลขอาจสูงถึง 8,000 คน ขณะเดียวกัน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ก็จะแต่งตั้งผู้บริหารระดับอาวุโสเข้ามาดูแลในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านด้วย "พนักงานทุกคนจะได้รับจดหมายยกเลิกสัญญา อาจเป็นหนังสือเข้าร่วมบริษัทใหม่ หรือไม่ก็สำหรับลงทะเบียนช่วยหางานใหม่หลังโดนเลิกจ้าง(Outplacement)" โฆษกบริษัทระบุ ขณะที่ คริสตอฟ มุลเลอร์ ซีอีโอของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ยืนยันว่าแม้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ปฏฺิบัติการต่างๆของบริษัทจะดำเนินต่อไปตามปกติ  สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ต้องสั่นสะเทือนท่ามกลางชื่อเสียงในทางลบที่ถาโถมเข้าใส่เมื่อปีที่แล้ว ตามหลังการสูญหายอย่างลึกลับของเที่ยวบิน MH370 และเที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกในยูเครน  ทางสายการบินถอนตัวออกจากตลาดหุ้นและถูกเข้าควบคุมกิจการโดยคาซานาห์ เนชันแนล กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งท้ายที่สุดก็เผยแผนปฏิรูปโครงสร้างมูลค่า 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  แผนการปฏิรูปหลักๆ ประกอบด้วยตัดลดเส้นทางการบินที่ไม่ทำกำไร ตั้งผู้บริหารระดับสูงคนใหม่และปรับลดพนักงาน ทั้งนี้ใช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ได้ค่อยๆทยอยขายสินทรัพย์ต่างๆนานา ส่วนหนึ่งในแผนฟื้นฟูองค์กร ในนั้นรวมถึงหุ้นที่ถือครองในอาบาคัส บริษัทผู้กระจายบริการท่องเที่ยว  นอกจากนี้ทางสายการบินยังได้ดึงตัวนายมุลเลอร์ ซีอีโอคนปัจจุบันมาจากสายการบินเออร์ลิงกัส โดยขณะที่ดำรงตำแหน่ง ณ สายการบินของไอร์แลนด์ นายมุลเลอร์ นำพาบริษัทผ่านการต่อสู้ที่เข้มข้น จนกลายเป็นต้นแบบธุรกิจที่แข็งแกร่งและทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ต้องการ  ก่อนหน้าเกิดโศกนาฏกรมกับเที่ยวบิน MH370 และเที่ยวบิน MH17 สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ก็เผชิญความยากลำบากอยู่ก่อนแล้ว โดยบริษัทแห่งนี้ไม่มีกำไรมาตั้งแต่ปี 2008 และในช่วง 3 ปีจนถึงปี 2013 พวกเขามีผลประกอบการขาดทุนสะสมรวม 1,300 ล้านดอลลาร์ แม้ก่อนหน้านี้ได้เคยปฏิรูปและได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพยุงฐานะทางการเงินก็ตาม

รอยเตอร์ - การประชุมซึ่งมีเป้าหมายจัดการวิกฤตคนอพยพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กรุงเทพฯช่วงปลายสัปดาหห์นี้ ไม่น่าจะก่อข้อตกลงที่มีผลผูกมัดหรือแผนปฏิบัติใดๆสำหรับปกป้องชีวิตผู้คนหลายพันคนที่ยงตกค้างอยู่บนเรือที่ล่องลอยอยู่ในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน หนึ่งในผู้เข้าร่วมหารือเปิดเผยกับรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดี(28พ.ค.)  การประชุมในวันศุกร์(29พ.ค.) จะประกอบไปด้วยผู้แทน 17 ประเทศจากทั่วอาเซียนและชาติอื่นๆในเอเชีย เช่นเดียวกับสหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงองค์กรสากลอย่างสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ(UNHCR) อย่างไรก็ตามรอยเตอร์อ้างข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ระบุว่าผู้เข้าร่วมจำนวนมากไม่ใช่ระดับรัฐมนตรี และบางทีการประชุมอาจไม่บรรลุผลดังที่ฝ่ายจัดในกรุงเทพฯหวังไว้ โดย 3 ประเทศที่เป็นแก่นกลางของวิกฤต ทั้งพม่า อินโดนีเซียและมาเลเซีย ไม่มีผู้แทนระดับรัฐมนตรีเข้าร่วมหารือแต่อย่างใด  นอกจากนี้แล้วพม่ายังเปิดเผยในวันพฤหัสบดี(28พ.ค.) ว่าพวกเขาไม่มีแผนบรรลุข้อตกลงใดๆในกรุงเทพฯ "เราจะไปที่นั่น ก็เพื่อแค่ร่วมหารือเกี่ยวกับวิกฤตภูมิภาคซึ่งทุกชาติในอาเซียนกำลังเผชิญ" เถ่ง ลิน อธิบดีประจำกระทรวงการต่างประเทศของพม่าและหัวหน้าคณะผู้แทนจากพม่าบอกกับรอยเตอร์ มีผู้อพพจากบังกลาเทศและพม่ากว่า 3,000 คน ขึ้นฝั่งอินโดนีเซียและมาเลเซียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไทยดำเนินการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์อย่างจริงจังเมื่อช่วงต้นเดือน อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังมีผู้อพยพอีกราวๆ 2,600 คนที่ยังคงตกค้างอยู่กลางทะเลบนเรือที่ถูกปล่อยทิ้ง จำนวนมากของผู้อพยพที่ถูกพาขึ้นฝั่งแล้ว เป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจาของพม่า ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางภาวะเหมือนถูกแบ่งแยกเชื้อชาติในรัฐยะไข่ของพม่า ส่วนที่เหลือเป็นผู้อพยพชาวบังกลาเทศ  รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวจากองค์กรนานาชาติแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าระดับตัวแทนที่ชาติต่างๆส่งเข้าร่วมประชุมนั้นน่ากังวลอย่างยิ่ง "พวกเขาเป็นผู้เล่นสำคัญ มันจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรด้วยผู้แทนระดับนั้น" ส่วน โวลเคอร์ เติร์ก ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อร่วมประชุมในวันศุกร์(29พ.ค.) เตือนว่าวิกฤตที่ซับซ้อนนี้คงไม่อาจแก้ปัญหาได้ในวันเดียว "มันเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ซับซ้อน ผมไม่คิดว่ามันจะสามารถคลี่คลายได้ในการประชุมแค่วันเดียว แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีและเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญ" เขาให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ พม่าไม่รับรองสิทธิพลเมืองแก่ชาวโรฮีนจา เป็นผลให้พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไร้สัญชาติ อย่างไรก็ตามพม่าไม่ยอมรับคำกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติต่อชาวโรฮีนจาหรือตามประหัตประหารอย่างที่พวกเขารู้สึก  ทั้งนี้มีผู้คนเกือบ 140,000 คนต้องไร้ถิ่นฐานจากเหตุปะทะระหว่างมุสลิมโรฮีนจากับชาวพุทธในรัฐยะไข่เมื่อปี 2012 โดยชาวโรฮีนจาราว 100,000 คนได้หลบหนีทางทะเลนับตั้งแต่นั้น  เติร์ก บอกว่าการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการไร้สัญชาติในพม่าคือแก่นกลางที่จะคลี่คลายวิกฤตผู้อพยพดังกล่าว "หากมันยังเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันอันสืบเนื่องจากตัวบทกฎหมาย ก็ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับสถานะที่เท่าเทียม สถานะทางกฎหมาย มันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคลี่คลายวิกฤตนี้"

Coming Soon 1





 
 
นวนิยายเรื่องใหม่ของบล็อกหยิกแกมหยอก
 
เร็วๆ นี้
 
โปรดติดตาม

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สุดแค้นแสนเสียดาย เจ๊ติ๋ม vs กสทช.

กลายเป็นข่าวสะท้านสะเทือนทั้งวงการทีวีดิจิตอลกันเลย เมื่อคุณพันธุ์ทิพา ศกุนต์ไชย์ (หรือชื่อในวงการ “เจ๊ติ๋ม” ) เจ้าแม่สื่อทางด้านบันเทิง ที่เป็น 1ในผู้เล่นใหม่ในวงการทีวีดิจิตอล ออกมาประกาศว่าจะคืนไลเซ่นของช่องทีวีดิจิตอล จำนวน 2 ช่องที่ตนถือสิทธิ์ไปประมูลมาได้ โดยก่อนหน้านี้เคยประกาศว่าจะไม่จ่ายค่าสัมปทานงวดที่ 2 ที่เพิ่งถึงครบกำหนดจ่าย (เดตไลน์) ในวันที่ 25 พ.ค.2558 ที่ผ่านมานี้ โดยเธอประกาศกร้าวว่า “ใครจะจ่ายก็จ่ายไป แต่ช่องไทยทีวี กับโลก้า จะไม่ยอมจ่ายค่าสัมปทานให้กับ กสทช.” เนื่องจากเธออ้างว่า กสทช.ซึ่งในที่นี้ถือเป็นเจ้าของสัมปทานนั้น ไม่ได้ปฏิบัติตามแผนให้เป็นไปตามข้อตกลงหรือกติกา ที่เคยอ้างไว้เดิม ก่อนหน้าที่เธอจะมาประมูล ทุกอย่างผิดแผน ผิดคาด โดยเธอใช้คำแรงว่า เธอไม่คาดคิดว่า ธุรกิจนี้จะทำให้เธอประเมินผิด โดยผลของการก้าวเท้าผิดในครั้งนี้ ทำให้เธอขาดทุนจากผลประกอบการไปแล้วในปีที่ผ่านมาถึง 300 ล้านบาท เธอจึงไม่ยินยอมที่จะจ่ายค่าสัมปทานตลอดจนค่าเช่าสถานีอีกต่อไป แม้นว่าก่อนหน้านี้มีพันธมิตรร่วมอุดมการณ์เดียวกับเธออีกหลายช่องหลายสถานี พร้อมที่จะร่วมมือกับเจ๊ติ๋มด้วยการบอยคอตต์ไม่ไปจ่ายค่าสัมปทานหรือขอผ่อนปรนยืดระยะเวลาในการจ่ายเงินออกไป โดยให้เหตุผลเรื่องการเยียวยาผู้ประกอบการ ที่แผนงานต่างๆ กสทช.ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนที่เคยอ้างไว้แม้แต่ข้อเดียว แต่เมื่ออัยการได้ทำจดหมายชี้แจงประเด็นเรื่องมาตรการเยียวยาด้วยการขอผ่อนปรนและยืดระยะเวลาการส่งค่าสัมปทานงวดที่ 2 ของผู้ประกอบการโดยรวมออกไป ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำชี้แจงในประเด็นนี้ว่า กสทช.ไม่สามารถที่จะทำได้ หากว่า กสทช.ยินยอมออกมาตรการเยียวยาด้วยการผ่อนปรนหรือยืดระยะเวลาการส่งค่าสัมปทานออกไป จะเข้าข่ายเลือกปฏิบัติ และอาจโดยฟ้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ช่อง 7สีHD ได้เดินชิลล์ๆ หอบเงินจำนวนเกือบ 700 ล้านบาท ไปจ่ายให้กับ กสทช.เรียบร้อยเป็นเจ้าแรก ซึ่งกลายเป็นแรงกดดันให้ทั้ง กสทช.อัยการสูงสุด และผู้ประกอบการรายอื่นๆ จำต้องปฏิบัติตามในกติกาเดียวกัน และเมื่ออัยการสูงสุดออกมาชี้แจงประเด็นเรื่องนี้จนเคลียร์แล้ว ทำให้ กสทช.ประกาศใหม่ว่า ไม่สามารถเลื่อนหรือผ่อนปรน ยืดระยะเวลาการจ่ายค่าสัมปทานงวดที่ 2 ได้ นี่จึงเป็นที่มา หรือฟางเส้นสุดท้ายหรือไม่ที่ทำให้ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล ประกาศถอนตัว หรือทิ้งไพ่ใบสุดท้ายว่า ขอถอนไลเซ่นคืน แต่เกมนี้ไม่ง่ายในเมื่อ กสทช.ออกมาขู่แล้วว่า หากเบี้ยวจ่าย ทางเจ๊ติ๋ม อาจโดนยึดแบ็งคการันตี และมีสิทธิ์โดนฟ้องกลับด้วย  งานนี้ยังไงก็ต้องให้กำลังใจ เจ๊ติ๋มด้วย เพราะดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นใจและดูเหมือนไม่ยุติธรรมกับเธอเสียเลย ขอให้สู้ๆ ต่อไป กลับไปทำช่องทีวีดาวเทียม ทีวีพูลเหมือนเดิมก็ดีเหมือนกัน ผู้เขียนเองก็เคยเป็นแฟนรายการของช่องนี้มาก่อน ตอนมาทำทีวีดิจิตอลยังคิดตอนนั้นว่า เจ๊จะถนัดเหรอ ตอนนี้รู้แล้วว่า บุคลากรของเจ๊ติ๋มนี่ เหมาะกับการทำช่องทีวีพูลนั่นแหละเหมาะที่สุดแล้ว
 
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ กสทช. และ เจ๊ติ๋ม

-หลังจากที่ บอร์ด กสทช. เห็นชอบในหลักการ เลื่อนจ่ายเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอลงวดที่สองไปอีก 1 ปี เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดมีหนังสือสำคัญด่วนที่สุดที่ อส 0005/6086 จากสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งตรงถึง กสทช. ระบุว่า กสทช. ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลื่อนการจ่ายค่าใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลงวดที่สองออกไป ตามที่ผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลเรียกร้องมา ใจความสำคัญหนึ่งระบุว่า ตามหลักเกณฑ์การประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ข้อ 10 มีการกำหนดเงื่อนไขการจ่ายค่างวดเอาไว้ตายตัว มิได้เปิดช่องให้ กสทช. สามารถปรับเงื่อนไขได้ในภายหลัง และประกอบกับประกาศ คสช. ฉบับที่ 80 ที่บังคับให้ค่าใบอนุญาต ต้องส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน จึงทำให้ไม่มีมูลเหตุอันใดที่จะสามารถเลื่อนการจ่ายค่าใบอนุญาตออกไปได้  ทั้งนี้ อัยการสูงสุดชี้ว่า การเลื่อนการจ่ายค่าใบอนุญาตในรอบสองนี้ อาจจะเป็นการทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ได้เปรียบและ/หรือเสียเปรียบในการแข่งขันและการประกอบธุรกิจ อีกทั้งการจ่ายค่าใบอนุญาต ก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่ปรากฎอยู่ใน พรบ.กสทช. หาใช่นิติกรรมที่จะให้มาตราที่ 205 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งมาบังคับใช้ได้ ดังนั้นเมื่อประกอบกันทั้งสองเหตุผลแล้ว อัยการสูงสุดจึงชี้ว่า กสทช. ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลื่อนการจ่ายค่าใบอนุญาตออกไป อย่างไรเสีย อัยการสูงสุดได้ชี้ว่า หาก กสทช. ต้องการที่จะเลื่อนการจ่ายค่าใบอนุญาตออกไปจริง จะต้องมีการแก้ประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้สามารถเลื่อนการจ่ายเงินออกไปได้ หรือไม่ก็ต้องออกประกาศผ่อนผันเป็นลายลักษณ์อักษร และอ้างอิงไปยังประกาศฉบับดังกล่าวก่อนที่จะให้เลื่อนออกไปครับ  ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์

-กสทช. เตือน“ไทยทีวี-โลก้า” เร่งจ่ายหนี้ทีวีดิจิตอล งวด2 รวม 288.47 ล้านบาท คิดเบี้ยว เจอโทษหนัก ด้าน ติ๋ม ทีวีพูล เล็งฟ้องกลับ หลังจากครบกำหนดชำระเงิน ค่าประมูลทีวีดิจิตอลงวด 2 (25 พ.ค.58) มีผู้ประกอบการมาจ่ายเงิน 22 ช่อง รวมเป็นเงิน 8,404.42 ล้านบาท มีเพียงบริษัท ไทยทีวี เจ้าของช่องไทยทีวี และช่องโลก้า (LOCA) ที่ยังไม่นำเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอลงวดที่ 2 จำนวน 288.47 ล้านบาทมาจ่าย  วันที่ 26 พ.ค.58 พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เผยว่า การที่ไทยทีวีไม่จ่ายเงินประมูลทีวีดิจิตอลงวดที่ 2 จะต้อง คิดดอกเบี้ยค่าปรับในอัตรา 7.5% ต่อปี รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบมาตรการต่างๆ ทั้งนี้ ตามขั้นตอน กสทช. จะส่งหนังสือแจ้งไปให้ไทยทีวีจ่ายอัตราดอกเบี้ยค่าปรับ 7.5% ต่อปี เมื่อครบ 1 ปีแล้ว ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ จะมีมาตรการ ทั้งเตือน ปรับ และพักใช้ใบอนุญาต  ด้าน นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย (ติ๋ม ทีวีพูล) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แต่มีรายงานว่า บริษัทมีแผนจะยื่นฟ้อง กสทช. แต่ยังรอความชัดเจนจากนาง พันธุ์ทิพาก่อน  ที่มา - มติชนออนไลน์

เรื่องน่าเศร้าของเกมทีวีดิจิตอลนั้นมีปัญหาระหองระแหง หรือมีเค้าลางแห่งความหายนะมาตั้งแต่ยังไม่ทำคลอดออกมาแล้ว โดยในช่วงแรกมีนักวิชาการจำนวนมากได้เคยออกมาท้วงติง กสทช.และท้วงติงรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กำกับองค์กรอิสระหน่วงงานนี้แล้วว่า หากประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐานหรือเรื่องการบริหารจัดการที่ดีพอก็ไม่ควรที่จะเร่งรีบเปิดประมูลไลเซ่นทีวีดิจิตอล แล้วท่านก็ไม่ฟัง ลุกลี้ลุกลนที่จะเร่งทำให้ได้ โดยในตอนที่ประมูลได้ไลเซ่นกันไปแล้วในประเภทธุรกิจ 24 ช่องนั้น โครงข่ายของสถานีรับสัญญาณหรือ MUX ยังไม่ได้สร้างเลย หรือเริ่มสร้างสถานีโครงข่ายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเจ้าไหนเสร็จครบสมบูรณ์เลย มีเพียง MUX-2 ของกองทัพบก กับ MUX-4 ของไทยพีบีเอส เท่านั้นที่มีความพร้อม สามารถสร้างสถานีรับสัญญาณได้แล้วเสร็จครอบคลุมครบทุกพื้นที่ได้ภายใน 1 ปี ส่วน MUX-1 ของกรมประชาสัมพันธ์ยังไม่คืบหน้ามากนัก และ MUX-3 ของอสมท.เสร็จช้าไม่ทันภายใน 1 ปี นี่เป็นปัญหาเพียงเรื่องเดียว ยังมีปัญหาเรื่องการแจกคูปองล่าช้า ปัญหาการไม่ประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลในพื้นที่ท้องถิ่นต่างจังหวัด ปัญหาการติดตั้งและรับชมจากกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลที่ไม่มีประสิทธิภาพพลอยทำให้คนจำนวนมากทิ้งใบคูปองไม่ไปแลก และยอมที่จะรับชมผ่านแพล็ตฟอร์มของทีวีดาวเทียมต่อไป ปัญหาของช่อง 3 อนาล็อคที่ลากเอา กสทช.ง่วนอยู่กับการโต้เถียงแก้เกมอยู่นานเป็นเวลา 2-3 เดือน จนเสียสมาธิที่จะไปจัดการปัญหาอื่นๆ พลอยให้งานด้านอื่นๆ ล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนดเวลา ปัญหาการวัดเรตติ้งและอัตราค่าโฆษณาไม่เข้าช่องทีวีดิจิตอล รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางเอาไว้ อันเป็นผลจากความล่าช้าของโครงข่าย MUX และการแจกคูปองแลกกล่องรับสัญญาณล่าช้า และผลจากการอ่อนประชาสัมพันธ์อย่างมากๆ ของกสทช. ทั้งหลายเหล่านี้คือตัวบ่อนทำลายที่ทำให้ 1 ปีที่ผ่านไปของระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ทีวีดิจิตอลนั้น แทบจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ ที่ก่อให้เกิดความตื่นตัวหรือกระตุ้นต่อมของผู้คนต่อการเปลี่ยนแปลงในวงการทีวีนี้เลย หนำซ้ำผู้ประกอบการต่างๆ ที่วาดภาพสวยหรูถึงธุรกิจทีวีดิจิตอลเอาไว้ว่าจะทำให้เม็ดเงินรายได้ หรือเม็ดเงินโฆษณาโตเท่านั้น เท่านี้ เรตติ้งเท่านั้นเท่านี้ พลอยเหี่ยวเฉาไปหมด เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เอาไว้ ซึ่งไม่คุ้มกับรายได้ที่เข้ามา ทำให้ผู้เล่นรายใหม่เกือบทั้งหมดประสบผลขาดทุนจากการดำเนินงานในปีแรกอย่างถ้วนหน้า มีเพียงผู้เล่นเพียง 2-3 เจ้าเท่านั้นที่มีผลประกอบการเป็นกำไร ซึ่งก็คือช่องที่มีเรตติ้งเป็นผู้นำอยู่ในระบบนั่นเอง

ในขณะนี้ความอหังการ คุยโวของผู้เล่นหน้าใหม่ของทีวีดิจิตอลนั้น ไม่มีใครกล้าคาดเดาอนาคตของวงการทีวีบ้านเราได้อีกแล้ว ในเมื่อกฏเกณฑ์กติกามันพลิกผันเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ ใครจะกล้าสุ่มเสี่ยงลงทุนไปแบบไม่สามารถคำนวณผลตอบแทนได้อย่างแน่นอน คงไม่มีนักลงทุนคนใดทีจะกล้าสุ่มเสี่ยง เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในธุรกิจนี้ในช่วงแรกให้อยู่รอดได้ เพราะไม่ใช่องค์กรการกุศลไม่แสวงหากำไร ยังไม่นับถึงการต้องสร้างจุดขาย หากลยุทธ์มาฟาดฟันกับช่องคู่แข่งเพื่อช่วงชิงเรตติ้ง จึงนับว่าเกมนี้แสนสาหัสจริงๆ อย่างที่เจ๊ติ๋มยอมถอดใจโบกมือลาไปก่อนในปีแรก แม้นว่าอายุสัมปทานจะยาวถึง 15 ปี นับแต่นี้ช่องที่เหลือจะฟันฝ่าอุปสรรค และเอาตัวรอดในอุตสาหกรรมหรือเกมนี้ได้อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าติดตามและศึกษาต่อไป  

แผนผังนี้ คงพอจะเป็นภาพสะท้อนตัวอย่างได้ลางๆ ว่าในอนาคตจะมีทีวีดิจิตอลใดเหลือรอดในน่านน้ำสีแดงนี้บ้าง


หมายเหตุ ผู้อ่านสามารถเข้าไปชมบทวิเคราะห์เรื่องนี้ในลิ้งค์ของ ibizchannel ตรงนี้ได้เลย http://www.ibizchannel.com/viewall.aspx?cid=4877&lid=5&page=1 
ดิฉัน เข้าใจหัวอกเจ๊ติ๋มค่ะ เพราะดิฉันเคยโดนพวกมันแกล้งตอนเปิดทีวีดาวเทียม ดิฉันก็สู้กับมันจนหมดเนื้อหมดตัว
ทำทีวีไม่อยากหรอก ถามผมสิ ลงทุนไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องหวังเรตติ้ง นับจำนวนวิวก็พอ
เดี๊ยน ยังภูมิใจว่าเรตติ้งช่องดิฉัน ชนะรายการ คสช.ทุกคืนวันศุกร์ นะคะ
พี่บอยครับ ตอนนี้สถานการณ์ของช่องเราเป็นยังไงครับจะสู้เขาได้มั๊ย เราก็มีละครไงที่เป็นตัวช่วยเรตติ้ง ละครดีดูที่ช่องวันเท่านั้น ครับ ดูที่ช่องอื่นไม่ได้แน่นอน ต้องดูที่่ช่องเราเท่านั้น อืมม์ พี่บอยครับ ผมไม่กล้าพูดต่อเลย.......

ยุทธ ช่วงนี้ช่องเราได้อีแย้มช่วยเอาไว้ได้เยอะเลยนะ ต่อจากนี้ต้องหวังพึ่งยุทธ มาช่วยออกหน้าจอให้ครบๆ ทั้ง 4 ช่องหน่อยสิจะได้ช่วยเรตติ้ง
เอาอย่างนั้นเหรอนายท่าน กลัวคนดูจะเบื่อผมหน่ะสิ   ไม่หรอกยุทธ ก็เหมือนตอนที่คนเห่อช่วงๆ กับหลินฮุ่ยแหละ เขาอยากดูทั้งวัน เอาโก๊ะตี๋มาออกคู่กันเลยนะ  



 

 
 
 
หมายเหตุ เจ๊ติ๋มจะแถลงข่าว และเปิดใจเรื่องนี้ในเวลา 17.00 น.วันที่ 26 พ.ค.2558 ที่สตูดิโอของช่อง ไทยทีวี โปรดติดตาม 

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

I Know What You Did Last Summer ซัมเมอร์สยองต้องหวีด


สร้างจากนวนิยายขายดีในชื่อเดียวกันของลอยส์ ดันแคน (ปี 1973) ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายเมื่อเดือน พ.ย. ปี 1997 ในอเมริกา ภ.เรื่องนี้ กำกับโดย Jim Gillespie  เขียนบทโดย เควิน วิลเลี่ยมสัน ผู้เขียนบทที่แจ้งเกิดอย่างงดงามจากภาพยนตร์เรื่อง "Scream" ภาคแรก (1996) หนังทุนสร้างต่ำเกรดบีเรื่องนี้ สร้างเซอร์ไพร์ซ ในระดับปรากฏการณ์เมื่อสามารถทำรายได้ในบ็อกออฟฟิซอย่างถล่มทลาย ด้วยรายรับทั้งหมด 125 ล้านเหรียญสหรัฐในอเมริกา (ในยุคนั้นต้องถือว่าเยอะมาก) และจุดขายที่เด่นมากๆของหนังเรื่องนี้ก็คือ เป็นหนังที่เขารวมเอาดาราวัยรุ่นทีนไอด้อลสุดฮ็อตในยุคนั้นของอเมริกาไว้อย่าง Jennifer Love Hewitt, Sarah Michelle Gellar, Ryan Phillippe, Freddie Prinze Jr  แต่ละคนภายหลังก็ฉายแวว มามีผลงานเดี่ยวๆ ของแต่ละคนจนโด่งดังอีกมากมาย  ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ ทำให้ผู้สร้างตัดสินใจสร้างภาคต่อติดตามมาอีก 2-3 ภาคตามมา แม้นจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาคแรก แต่ก็เป็นการต่อยอดสร้างนักแสดงใหม่ๆ ตามมา รวมถึงได้สร้างกระแสแฟรนส์ไชส์ของหนังแนวนี้ ออกตามๆ กันมา เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบ ของหนังแนวทริลเลอร์วัยรุ่น ที่ทยอยก็อปปี้สูตรสำเร็จ ตามกันมาอย่าง Urban Legend, Wild Thing, Halowwen, Cry-Wolf,The Texas Chainsaw Massacre ,Disturbing Behavior, Saw ,Valentine , My Bloody Valentine หรือหนังตระกูล Friday(หนังยุค80'sที่นำมารีเมคในยุคนี้) เป็นต้น

เรื่องย่อโดยสังเขป ช่วงฤดูร้อนเดือนกรกฎาคม กลุ่มเพื่อน 4 คน ได้แก่ จูลี่ (เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตต์) เรย์ (เฟร็ดดี้ ปริ้นซ์ จูเนียร์) เฮเลน (ซาร่าห์ มิเชลล์ เกลล่าร์) และ แบรี่ (ไรอัน ฟิลิปเป้) ได้ไปจัดงานฉลองจบการศึกษากันที่เมืองเล็กๆ ของนักตกปลา ที่ชื่อเซาท์พอร์ท ระหว่างที่ทุกคนกำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่บนรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน พวกเขาไม่คาดคิด รถของพวกเขา ได้ชนใครคนหนึ่งที่กำลังข้ามถนนอยู่ ซึ่งพวกเขาไม่ทันได้ระวังจนเสียชีวิต แต่ด้วยความกังวลเรื่องอนาคต และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพวกเขาไม่ได้ตั้งใจ ต่างถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายจึงตัดสินใจ พวกเขาทั้งหมดเลือกที่จะเก็บงำความลับนี้ไว้ไม่บอกใคร แล้วนำศพคนตายนี้ไปทิ้งไว้ใกล้ๆ ทะเลแทน

จน 1 ปีต่อมา จูลี่ ได้กลับบ้านช่วงปิดภาคเรียนมหาวิทยาลัย เธอได้รับจดหมายที่เขียนข้อความว่าฉันรู้นะว่าฤดูร้อนที่แล้วพวกแกทำอะไรเอาไว้ นั่นทำให้เธอเริ่มประสาทเสีย แล้วจากนั้น จึงเกิดปฏิบัติการตามล่าหนุ่มสาวในกลุ่มเหล่านี้ จากบุคคลปริศนาซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร พวกเขาต้องจึงเผชิญหน้ากับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และลุ้นไปกับการเอาชีวิตรอดจากชายลึกลับที่สวมชุดดำมีอาวุธเป็น....


 

ดูครั้งแรกจะรู้สึกสนุกดี ตื่นเต้นไปกับพล็อตที่วางมา แต่พอมีหนังแนวนี้ออกมาให้ดูมากๆ จนเฝือ และเริ่มจับทางได้ ก็พลอยทำให้หนังแนวนี้หมดความนิยม และไม่สนุกอีกต่อไป พักหลังมานี้ฮอลลีวู้ดจึงไม่ค่อยได้สร้างหนังแนวนี้ตามสูตรนี้เท่าไหร่แล้ว เปลี่ยนพล็อตให้มันลึกลับซับซ้อนมากขึ้น อย่าง cabin in the wood ,หรือมีผจญภัญมีการแข่งขันและข้อจำกัดบางอย่างที่ตัวพระเอกกับคนร้ายทันกันบ้าง อาทิ The Hunger Game,The Maze Runner เป็นต้น หนังแนวนี้จะว่าไป นานๆ ดูทีก็รู้สึกสนุกตื่นเต้นทุกที แม้ว่าจะเดาทางของเรื่องได้เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จุดที่มันสร้างความน่าสนใจได้ทุกทีและขายได้ตลอดก็ตรงที่หนังแนวนี้ชอบนำนักแสดงหน้าใหม่ ที่รุปร่างหน้าตาดี มาเป็นเหยื่อฆาตกรโรคจิต ทำให้คนดูเวลาดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยให้มันรอดตายจากเงื้อมมือของฆาตกรโรคจิตเหล่านั้น หนังแนวนี้จึงสามารถสร้างออกมาขายได้ตลอด โดยเขาใช้วิธีหานักแสดงแจ่มๆ มาเล่น หรือไอเดียเรื่องกรรมวิธีของฆาตกรโรคจิตที่สุดแสนจะพิสดาร และน่าสยดสยองมาเป็นจุดขาย คือถ้าเป็นคนดูประเภทรับไม่ได้กับความซาดิสต์ อำมหิต โรคจิต เหวอะแหวะต่างๆ หรือพวกโลกสวย อย่าได้เผลอไปดูหนังแนวนี้เข้าเชียว เพราะว่ามันจะติดใจอยากดูอีกนั่นหน่ะสิ ตายเลยแล้วจะหาว่าไม่เตือน

ข่าวดีล่าสุดก็คือ ค่ายโซนี พิกเจอร์ เพิ่งประกาศไปไม่นานมานี้ว่าจะหยิบหนังเรื่องนี้มาปัดฝุ่นสร้างใหม่อีกครั้ง จะเป็นภาคต่อหรือจะรีเมคยังไม่รู้ แต่มอบหมายหน้าที่ให้ ไมค์ ฟลานากัน เป็นผู้กำกับ และให้ เจฟฟ์ โฮเวิร์ด เป็นคนเขียนบท โดยสองคนนี้เคยร่วมกันทำหนังสยองขวัญทุนต่ำ (ห้าล้าน) เรื่อง Oculus เข้าฉายเมื่อเดือนเมษา แล้วทำเงินได้กว่า 40 ล้านดอลลาร์มาแล้ว โซนี่บอกด้วยว่าให้ถือว่าโครงการสร้าง I Know What You Did Last Summer เป็นโครงการเร่งด่วน โดยกะว่าจะฉายช่วงซัมเมอร์ปี 2016

ทีนี้มาว่ากันที่เรื่อง Scream...เคเบิลเอ็มทีวีเคยแถลงไปก่อนหน้านี้ว่ากำลังจะสร้าง ไพล็อตของซีรีย์ Scream อยู่ ด้วยการเอาดาราหนุ่มๆ สาวๆ ที่กำลังโด่งดังจากทีวีช่องต่างๆ ในเวลานี้มาร่วมจอกัน...เช่น จอห์น คาร์น่า จาก The Neighbors, คาร์ลสัน ยัง จาก The Kroll Show วิลล่า ฟิทซ์เจอร์รัล จาก Royal Pains, เอมี่ ฟอร์ซิส จาก Reign เป็นต้น โดยมี เจมี่ ทราวิส ซึ่งกำลังมีผลงานซีรีย์ Faking it ทาง เอ็มทีวีตอนนี้ เป็นผู้กำกับ  ออริจินัล Scream ออกฉายในปี 1996 เป็นเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ถูกตามล่าสังหารโดยฆาตกรในหน้ากากขาว โดยนางเอก ซิดนีย์ เพรสก็อต (เนฟ เคมเบลล์) คือเป้าหมายหลักของฆาตกร เพราะ ความแค้นที่ฝังใจกันเป็นการส่วนตัว...แต่เอ็มทีวี บอกว่า Scream จอแก้วที่กำลังถ่ายทำและเร่ขายให้กับเน็ตเวิร์คต่างๆ อยู่นี้ ต่างออกไปจากเวอร์ชั่นออริจินัล โดยมีการเพิ่มตัวละครหลักเข้าไปอีกหลายตัว เพื่อให้เรื่อง กว้างเหมาะแก่การเดินเรื่องในรูปแบบของซีรีย์มากขึ้น...

การกลับมาของ Scream และ I Know What You Did Last Summer แบบนี้ คงทำให้แฟนหนังแนว slasher แบบยุค 80-90 ที่ถูกแทนที่โดยหนังเชือดแบบขายความแหวะ อย่างหนังตระกูล Saw ทั้งหลายมานาน...​คงจะตื่นเต้นรอดูกันต่อไป

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พัฒนาการของบรรดาศิลปินหญิง Teen Idol (3) ของเมืองไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน (ตอนที่ 3)


ยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ด พร้อมการมาของ MP3 และภัยร้ายเทปผี ซีดีเถื่อน ประมาณปี พ.ศ. 2540-2550

ยุคนี้การออกอัลบั้ม มักออกเป็นแผ่นซีดี และตามมาด้วย DVD คอนเสิร์ต หมดยุคเทปคาสเซ็ทท์ รวมถึงแผ่นเสียงไวนิลแล้ว ศิลปินที่ออกมาในยุคนี้ ถ้าไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง ก็มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เนื่องจากอัลบั้มซีดีนั้นขายไม่ค่อยดีเหมือนยุคเทปคาสเซ็ทท์แล้ว อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจไม่ดี การมาของเทคโนโลยี MP3 พร้อมๆ กับแผ่นผีซีดีเถื่อน การถือกำเนิดของเว็บไซต์ยูทูป you tube อัลบั้มที่ออกมาส่วนใหญ๋จึงขายไม่ค่อยดี เป็นผลทำให้ค่ายเพลงเล็กๆ ล้มหายตายจากไปตามๆ กัน คงเหลือแต่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ไม่กี่ค่าย ค่ายเล็กๆ ถูกเทคโอเวอร์ หรือต้องไปควบรวมกิจการกันเพื่อความอยู่รอด ในเมื่องานเพลงมีความเสี่ยง ทำให้ค่ายเพลงต้องเข็นศิลปินในรูปแบบกลุ่มขึ้นมาแทน ที่เรียกว่า เกิร์ลกรุ๊ป เป็นกลยุทธ์ที่นำมาใช้ในยุคนี้กันอย่างเกร่อแพร่หลาย พร้อมๆ กับการผุดอัลบั้มพิเศษ โปรเจ็คท์พิเศษขึ้นมาเพื่อเป็นจุดขายให้กับศิลปินแทน อาทิ การนำศิลปินต่างค่ายต่างแนวมาฟีจเจอริ่งกัน การนำศิลปินมาผสมรวมแบบไฮบริดจ์ คือกลุ่มศิลปินที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน และยุคนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดังอย่าง เดอะสตาร์ และเอเอฟ อีกด้วย เพื่อเฟ้นหาศิลปินจากเวทีประกวด ด้วยการสร้างฐานแฟนคลับจากการโหวต และจากการติดตามชมในรายการ เพื่อลดความเสี่ยงในการปั้นศิลปินใหม่ ฯลฯ

ค่ายแกรมมี่ ได้แก่ แอนนิต้า, ไบรโอนี่, บับเบิ้ลเกิร์ล, ทีนเอจเกรดเอ, วงแจมป์, แคทรียา อิงลิช,ไชน่าดอลล์, ซาซ่า,ญาญ่าญิ๋ง, คูน3 ซุปเปอร์แก๊งค์, 2002ราตรี, หนุ่ย นันทกานต์และเอ็กวายแซด, บูโดกัน, ดาและวงเอ็นโดรฟิน, ปาล์มมี่, วงดับเบิ้ลยู ,บีน้ำทิพย์ ,นาตาลี สตีเบิร์ท, มิ้นท์ อรรถวดี, ญารินดา, บัวชมพู ฟอร์ด,อ้นศรีพรรณและแก๊งค์ทีนทอล์ค ,ลานนา คัมมินส์, วงทรีจี, พลอย ณัฐชา ,เจนนิเฟอร์ คิ้ม ,นิวจิ๋ว ,เอ๋ เทเรซ่า ,แคล, เอิร์น กัลยกร ,โย ยศวดี ,วงครีม (แนน วาทิยา)แพท สุธาสินี ,พันช์ วรกาญจน์ เป็นต้น

 
 
 
 
 

ค่ายอาร์เอส  ได้แก่ กรพินธุ์ ,เอิร์น จิรวรรณ,ซินญอริต้า, เดอะซิส ,วงบาซู, โมเม ,นาตาลี-แจสกี้ ,ขนมจีน ,ปอรรัชม์ ยอดเณร ,วงพิ้งค์ ,ราฟฟี่-แนนซี่ ,ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ,เอ๊ะ ศศิกานต์ ,อ้อน ลัคณา,ไดอาน่า แรนต์ ,แอน มาแนง ,ซิกแซก ,ซับเทนชั่น เป็นต้น
 
ค่ายคีตา ได้แก่ กังสดาล ,แจน ฮาโลวีน

ค่ายโซนี่ ได้แก่ โน๊ต-ตูน ,ซาร่า ผุงประเสริฐ

ค่ายเบเกอรี่ ได้แก่ นีช ,โปรเจ็คท์เอช ,มิสเตอร์ซิสเตอร์ ,ออย ช็อคกิ้งพิ้งค์

ค่ายอิสระอื่นๆ ได้แก่ โรสแมรี่, อ้อน เกวลิน, วงซับใน ,วาเนสซ่า บีเวอร์, วีวีโค

 

อย่างที่บอกทีนไอด้อลหญิงในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบเกิร์ลกรุ๊ปซะเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเป็นศิลปินเดี่ยวๆ ก็มักต้องสร้างคาแร็กเตอร์ให้แตกต่างหรือฉีกจากคู่แข่ง ยุคนี้ความสามารถขั้นพื้นฐาน เช่น การร้อง การเต้น การเพอร์ฟอร์มบนเวที เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไม่ได้คาดหวังเป็นพิเศษอีกแล้ว เพราะเป็นอะไรที่เบสิค ที่ศิลปินคนหนึ่งควรจะต้องมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดจริงๆ คงอยู่ที่งานเพลงต้องโดดเด่น บุคลิกภาพ และการเอ็นเตอร์เทนคนดูเมื่ออยู่บนเวทีต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าศิลปินท่านนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะยอดขายซีดีหรือเทปเพลง ไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดได้อีกต่อไปแล้ว ศิลปินหญิงทีนไอด้อลในยุคนี้ จึงต้องแข่งกันสร้างความแตกต่างและการยอมรับให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคให้ได้ ยุคนี้ศิลปินหญิงทีนไอด้อลที่เด่นจริงๆ จึงนับหัวได้เลย ที่เหลือรอดมาถึงยุคปัจจุบันได้น้อยคนจริงๆ    

ยุคอุตสาหกรรมเพลงล่มสลาย การออกเพลงเป็นซิงเกิ้ล รับจ๊อบงานอีเว้นต์ ออกคอนเสิร์ต หากินกับการดาว์นโหลดเพลง และปั่นยอดวิว ยอดไลค์ในยูทูปแทน ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2550 ถึงปัจจุบัน

การถือกำเนิดของค่ายเพลงกามิกาเซ่ ที่เน้นผลิตศิลปินในรูปแแบเกิร์ลกรุ๊ป บอยแบนด์ เป็นหัวหอกหลักแทนศิลปินเดี่ยวๆ ในค่าย ซึ่งยุคหลังมานี้ศิลปินทีนไอด้อลของค่ายอาร์เอสก็ไม่สามารถเป็นไอค่อนของบรรดาวัยรุ่นไทยได้ทั้งหมดแล้ว ผลงานเพลงส่วนใหญ่ไม่ติดหูคนฟัง ไม่เป็นที่รู้จัก มีบ้างที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้ในวงกว้าง


ศิลปินทีนไอด้อลในยุคนี้จึงต้องหันเหไปหากินทางอื่นด้วย เช่น ไปแสดงละคร แสดงภาพยนตร์ ไปเป็นดีเจ วีเจ เปิดเพลงตามรายการวิทยุ เคเบิ้ล บางคนรับจ๊อบถ่ายแบบแนววาบหวิว หรือเดินแบบ ออกงานอีเว้นต์ โชว์คอนเสิร์ตร่วมด้วย จึงจะมีรายได้พอประทังกับรายจ่ายของยุคนี้ได้ บวกกับค่ายเพลงใหญ่หันไปรุกธุรกิจทีวีดาวเทียมม และภายหลังพัฒนาต่อยอดมาเป็นทีวีดิจิตอลแทน ยุคนี้ธุรกิจเพลงกลายเป็นบ่อน้ำที่เล็กลงและเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายได้หลักขององค์กรไปเสียแล้ว ไม่เว้นแม้แต่รายการเรียลลิตี้โชว์ประกวดร้องเพลงที่เฟ้นหานักร้องเสียงดีมาประดับวงการ ท้ายที่สุดกลายมาเป็นนักแสดงเพียงอย่างเดียวก็มี ไม่เพียงศิลปิน นักแต่งเพลง นักดนตรีก็พลอยตกงานกันเพียบ มันหมดยุคอุตสาหกรรมเพลงเฟื่องฟูไปนานแล้ว

ศิลปินทีนไอด้อลหญิงในยุคนี้ ถ้าเป็นเกิร์ลกรุ๊ป ส่วนใหญ่ก็จะรวมกันอยู่ในค่ายกามิกาเซ่ และโมโน เป็นส่วนใหญ่ อาทิ เนโกะ จัมพ์, เฟย์ฟางแก้ว,คิสมีไฟว์,เซเว่นเดย์, โฟร์มด, เกิร์ลลี่เบอร์รี่ (2 รายหลังนี้แยกวงปิดตำนานไปแล้ว) วงแอมไฟน์ ,หวาย, แต๊งกิ้ว,ใบเตย   ส่วน ค่ายโมโน ได้แก่ จี20, แคนดี้มาเฟีย, คัพซี ,เชอร์รี่แบล็ค ค่ายแกรมมี่ มีวงโอลีฟ

ถ้าเป็นทีนไอด้อลหญิง ที่มาจากเวทีประกวดร้องเพลง ก็อาทิ  นิวจิ๋ว,แก้ม,แกรนด์,กิ่ง,นท,เชอรีน,มาตัง,เกรซ,หญิง จากบ้านเดอะสตาร์  ,พัดชา,ซานิ,ลูกโป่ง,เนสต์ จากบ้านเอเอฟ   เต้น,พลอย,อะตอม จากไมค์ไอด้อล  เป็นต้น

ทีนไอด้อลที่เป็นศิลปินเดี่ยวในยุคนี้

ค่ายแกรมมี่ ได้แก่   น้ำชา ธีรณัช, โรส ศิรินทิพย์, เต้น นรารักษ์, ลุลา, ลูกหว้า พิจิกา,แพรว คณิกุล,พลอยชมพู ,พันช์ วรกาญจน์, Taton ,ฟิล์ม บงกช ,โบว์ลิ่ง ,หญิงลี , เป็นต้น ที่เป็นวงแต่นักร้องนำเป็นทีนไอด้อลหญิงก็มี อาทิ วงฟาเรนไฮน์,วงเคลียร์,วงโนมอร์เทียร์ เป็นต้น

 
 
 
 

อากับหลานคุยกัน ตอนที่ 2 (อีแย้มให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสามสลึง)


เสียงกดกริ่ง (ออดๆๆๆ)  หน้าบ้าน เสียงดังจนยายแย้มหนวกหูรำคาญ จึงเดินออกมาดูที่หน้าประตูรั้วบ้าน

 

ถาปะนอยด์   :   สวัสดีค่ะ...คุณยาย หนูมาจากสำนักข่าวสามสลึงนะค่ะ จะขอรบกวนเวลาคุณยายสักแป๊บเดียว เพื่อขอสัมภาษณ์คุณยายจะได้มั๊ยค่ะ

 

 
 
อีแย้ม :  เอ้า...กูนึกว่าใคร อีนอยด์นี่เอง มึงจะมาสัมภาษณ์อะไรกู กูกำลังขัดส้วมอยู่ ทำไมเสือกมาเวลานี้วะ กูไม่ว่างอยู่โว้ย

 

ถาปะนอยด์  :  อืมม์....คุณยาย หนูขอสัมภาษณ์ซัก 15 นาทีจะได้มั๊ยค่ะ เสร็จแล้วหนูจะกลับทันทีค่ะ ไม่รบกวนคุณยายอีก

 

อีแย้ม :  จะเอาอย่างนั้นหรือวะ งั้นมึงเข้ามานั่งในบ้านกูก่อน มาๆ....กินน้ำกินท่าก่อน

 

ถาปะนอยด์ :  คุณยายขา หนูขอนั่งสัมภาษณ์ตรงหน้าบ้านนี้ก็ได้ค่ะ ไม่อยากรบกวน

 

อีแย้ม :  ไม่ได้ อีนี่ยังงัยของมึงนะ อุตส่าห์จะมาสัมภาษณ์กูแล้ว ก็เข้ามานั่งคุยในบ้านสิวะ เดี๋ยวคนอื่นเห็น จะมาหาว่ากู ไม่ต้อนรับแขก เข้ามาๆ ให้มันเป็นกิจลักษณะ เป็นการเป็นงานหน่อยสิมึง ไหนๆ ก็จะมาติดต่อขอสัมภาษณ์กูแล้วเนี่ย ถึงกูจะไม่ใช่คนดัง แต่กูก็ให้เกียรติคนอื่นเสมอ

 

“นี่กูนึกว่า มึงยังเรียนไม่จบ ไปไงมาไงหล่ะ ฮะ..ถึงมาเป็นนักข่าว"

 

ถาปะนอยด์  :  ผู้สื่อข่าวก็ถือเป็นอาชีพนึงค่ะคุณยาย ที่หนูใฝ่ฝันอยากจะทำมานานแล้ว หนูเรียนจบมาทางด้านนี้ด้วยค่ะ

 

อีแย้ม  : เอ้าแล้วนี่แม่มึง ยังขายหอยทอดอยู่ในตลาดอยู่หรือเปล่า กูไม่ได้เห็นแม่มึงนานแล้ว

 

ถาปะนอยด์  :  ยังขายอยู่ค่ะ แต่แม่ย้ายสถานที่ขาย  ไปขายอยู่ข้างห้างบิ๊กซีแทนอ่ะค่ะ

 

อีแย้ม  :  อ๋อ... แม่มีงยังสบายดีอยู่ใช่มั๊ย    

 

ถาปะนอยด์ :   คุณแม่ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่แกก็ยังอยากค้าขายอยู่เหมือนเดิม ไม่ยอมเลิก หนุบอกให้คุณแม่เลิกขาย แล้วหยุดมาอยู่ที่บ้าน แต่แกก็ไม่ยอม บอกว่ายังพอมีแรงทำได้อยู่

 

อีแย้ม :  เอ้า...แล้วนี่มึงจะมาสัมภาษณ์อะไรกูหล่ะ รีบๆ เข้า กูยังขัดส้วมไม่เสร็จ

 

ถาปะนอยด์ :   คุณยายขา หนุจะสอบถามความคิดเห็นเรื่องประเด็นโรฮิงญาอ่ะค่ะ ว่าคุณยายมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

 

อีแย้ม  :  มึงจะกินยา มึงเป็นอะไรหล่ะ ไม่รู้ในบ้านกูจะมีหยูกยา รักษาโรคของมึงมั๊ย

 

 
ถาปะนอยด์  :   ไม่ใช่คะ คุณยาย หนุหมายถึง โรฮิงญา เหล่าชาติพันธุ์ที่เขาหลบหนีเข้ามาอาศัยอยุ่ในบ้านเราอ่ะค่ะ 

 

อีแย้ม  :   โรตีจา หรอกหรือ  ใช่มั๊ย       ถาปะนอยด์  :  ไม่ใช่คะ คุณยายรู้จัก “โรฮิงญา”  เคยได้ยินหรือทราบข่าวเกี่ยวกับบุคคลกลุ่มนี้มั๊ยคะ

 

อีแย้ม :  ก็ไอ้พวกโรตี ที่แอบหลบหนี มาจากพม่า ใช่มั๊ยหล่ะ  ที่พวกพม่าก็ไม่เอามัน มันหนีไปไหนก็ไม่มีใครเอามัน ใช่มั๊ยหล่ะ

 

ถาปะนอยด์ : ใช่แล้วค่ะ คุณยายเข้าใจถูกแล้วค่ะ กลุ่มคนพวกนี้แหละที่หนุจะมาขอสอบถามความคิดเห็น

 

อีแย้ม :  กูรู้ กูก็ติดตามข่าวเหมือนกัน แต่กูเรียกคนพวกนี้ว่า โรตีจา มันเป็นแขกอินเดียไม่ใช่เหรอ

 

ถาปะนอยด์  : ไม่ใช่ค่ะ พื้นเพเขาเป็นชนชาติบังคลาเทศค่ะ

 

อีแย้ม :  ก็เหมือนกันหน่ะแหละ ก็เมื่อก่อนบังคลาเทศก็เป็นส่วนหนึ่งของอินเดียไม่ใช่เหรอ ยุคล่าอาณานิคม อังกฤษมันเข้ามาปกครองดินแดนแถบนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะอินเดีย แล้วพอมันจะเข้ามายังพม่าต่อ มันกลับใช้คนพวกนี้เข้าไปปกครองพม่าแทน พวกนี้ก็เลยเข้าไปกดขี่ ข่มเหงคนพม่าเมื่อสมัยก่อน พอพม่าได้รับอิสรภาพในเวลาต่อมา จึงไม่ยอมรับสถานภาพของคนกลุ่มนี้ ไม่ยอมรับว่าเป็นคนร่วมชาติของเขา จึงเป็นที่มาของการขับไล่ไสส่ง ผลักดันพวกคนกลุ่มนี้ออกนอกประเทศ แต่คนกลุ่มนี้จะกลับไปยังบังคลาเทศบ้านเกิดของตนเอง บังคลาเทศก็ไม่ยอมรับอีก อ้างว่าคนกลุ่มนี้ได้อพยพย้ายถิ่นฐานออกไปนานแล้ว

 

ถาปะนอยด์ :  บังคลาเทศเป็นประเทศที่ยากจน ไม่สามารถดูแลประชากรของเขาที่มีอยู่จำนวนมากให้มีฐานะกินดีอยู่ดีได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้คนกลุ่มนี้กลับมาอีก ทำให้โรฮิงญาถูกกดดันทั้ง 2 ด้าน สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าจะต้องขอลี้ภัยไปอยู่ยังประเทศที่สาม และจุดหมายปลายทางที่เขาอยากไปก็เป็นประเทศตะวันตก หรืออาเซี่ยน แต่ไม่มีประเทศไหนอยากจะรับคนกลุ่มนี้เลย เขาจึงลอบหลบหนีเข้ามา และประเทศไทยก็เป็นทางผ่านที่เขาอยากจะมาพักพิงก่อน ระหว่างที่รอขออนุญาตลี้ภัยไปประเทศที่สาม แต่ชะตากรรมช่างโหดร้าย พวกเขาได้กลายเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง พอรัฐบาล คสช.ทราบปัญหา จึงทำการปราบปรามขนาดหนัก เพราะปัญหาค้ามนุษย์จะสร้างผลกระทบต่อการกีดกันทางการค้าของประเทศตะวันตก ซึ่งจะมีผลไปถึงไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศโลกตะวันตกได้ แต่ข่าวมันออกไปทั่วโลกว่า ชาวโรฮิงญามาตายในบ้านเราจำนวนมาก ด้วยการเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางภาครัฐร่วมรู้เห็นเป็นใจ  ภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตาชาวโลก จึงกลายเป็นว่าเราเป็นศูนย์กลางของธุรกิจค้ามนุษย์และการที่รัฐบาลคสช.เข้ามาปราบปรามอย่างหนักในช่วงนี้ ทำให้ต่างชาติมองว่าเราต้องการผลักดันคนกลุ่มนี้ให้ออกไปจากราชอาณาจักร ด้วยกรรมวิธีต่างๆ ที่โหดร้ายทารุณ จนถึงขั้นเสียชีวิต เขาเลยมองว่าประเทศเรากระทำการละเมิดหรือขัดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง

 

อีแย้ม :  ใครหล่ะ ใครที่มันกล่าวหาเราเช่นนั้น

 

ถาปะนอยด์ :  พวกองค์กรสิทธิมนุษย์ชน หรือ Human Right Watch อ่ะค่ะ

 

อีแย้ม :  แล้วทำไมเราจะต้องไปเต้นตามมันด้วยหล่ะ  ไอ้ Human, what like อะไรของมึงหน่ะ มึงไม่รู้หรอกหรือว่า มันเป็นพวกขี้ข้าของสหรัฐและชาติตะวันตก  ชาติตะวันตกใช้ไอ้คนพวกนี้เป็นเครื่องมือกดดันประเทศเล็กๆ อย่างพวกเรา เวลาเขาต้องการให้เราทำตามกุศโลบายหรือทิศทางของเขา มึงทำไมจะต้องดัดจริตไปเต้นตามมันทำไมหล่ะ

 

ถาปะนอยด์ :  หนูไปดัดฟันมาค่ะ คุณยายขา ไม่ใช่ดัดจริต หนูจึงอยากสอบถามความคิดเห็นของคุณยายว่าเห็นอย่างไรที่รัฐบาลจะไม่สร้างศูนย์กักกันผู้อพยพ เหมือนในอดีต ตามทิศทางของโลกตะวันตก

 

อีแย้ม : กูก็เห็นแบบเดียวกับรัฐบาลนั่นแหละ มึงอย่าไปเล่นตามเกมส์ของโลกตะวันตกเชียวนะ พวกนี้จะสร้างภาระให้กับเราระยะยาว เนื้อก็ไม่ได้กิน แต่จะเสือกเอากระดูกมาแขวนคอทำไม แล้วที่พ่อมึงเอาไอ้ดำ ไอ้ด่าง ไอ้หมอก มาทิ้งไว้ให้หลวงพ่อท่านเลี้ยง บางทีมันก็มาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านกู กูยังต้องมาคอยเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยว อยู่ไม่เป็นสุขอยู่นี่ มึงเคยรู้บ้างมั๊ย

 

ถาปะนอยด์ :  คุณยายขา คนหน่ะ ไม่ใช่หมา อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน

 

อีแย้ม :  มันก็ไม่ต่างกันหรอกนะ หมาบ้านมึงแท้ๆ ยังไม่มีปัญญาดูแล ปล่อยให้เป็นภาระของทั้งวัดและคนข้างบ้าน แล้วนี่มึงยังมีหน้ามาสอนกูเรื่องสิทธิมนุษยชนขี้คร่อก กำมะลออะไรนั่น

 

ถาปะนอยด์  :  คุณยายขา แต่เรื่องสิทธิมนุษยชน มันเป็นเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่เราให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะนะค่ะ เราต้องกระทำกับเขาเสมือนมนุษย์เพื่อนร่วมโลกคนนึง

 

อีแย้ม : กูเข้าใจพวกมึง แต่ถ้าถือเอาตรรกกะของมึงนี่แสดงว่า ถ้าเป็นสิทธิหมาชน บ้านมึง เวลามันมาขี้เยี่ยวบ้านกู กูก็ต้องปฏิบัติกับมันเหมือนเป็นหมาของกูด้วยสิ ต้องหาข้าวหาน้ำให้มันกินด้วยใช่มั๊ย อีนอยด์ แล้วมึงคิดว่ากูจะดูแลหมาของมึงได้งั้นหรือ มึงเอาตังค์มาให้กับกูหรือเปล่าหล่ะ แล้วนี่กูก็มีลูกมีหลานของกูเองที่ต้องเลี้ยงเยอะแยะ กูทำดีกับพวกมันตั้งเท่าไหร่ มันยังอกตัญญูกับกูเลย แล้วหมาบ้านมึงมันจะมารักและรู้บุญคุณกูหรอกหรือ   

 

ถาปะนอยด์ :  ไม่ใช่ค่ะ คุณยาย ไปกันใหญ่แล้ว หนูว่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าค่ะ

 

อีแย้ม :  เอ้า..นี่มึงไม่อยากถามกูเรื่องโรตียา กับสิทธิมนุษยชนแล้วเหรอว่ะ

 

ถาปะนอยด์ :  อ๋อ...หนูเข้าใจแล้วค่ะ คุณยาย หนูทราบความคิดเห็นของคุณยายเกี่ยวกับประเด็นเรื่องโรฮิงญาแล้ว  ทีนี้ หนูขอทราบความคิดเห็นของคุณยาย เกี่ยวกับ คนอีกกลุ่มนึงค่ะ โรนินจา ค๋ะ

 

อีแย้ม :   อะไรของมึงมีโรตีจา และยังเสือกมี โรนินจา อะไรอีก นี่กูงงไปหมดแล้ว

 

ถาปะนอยด์ :   ก็คนกลุ่มหน้าตาแบบนี้อ่ะค่ะ คุณยาย ที่เขามักจะมาโผล่แถวๆ สี่แยกคอกวัว แล้วก็การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ตอนช่วงเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ก่อนการทำรัฐประหารของ คสช. คุณยายว่า เราควรสร้างค่ายกักกันให้คนกลุ่มนี้มั๊ย เพื่อผลักดันออกนอกประเทศของเราไป

 

อีแย้ม :  มึงพูดอะไรของมึง อีบ้า กูไม่รู้จัก คนพวกนี้ ถ้ามึงอยากรู้ มึงก็ไปถามพวกมันดูเอาเองก็แล้วกัน  หมดเวลาของมึงแล้ว กูจะไปทำงานบ้านต่อ

 

ถาปะนอยด์ :  คุณยายคะ ถามอีกหนึ่งข้อจะได้มั๊ยค่ะ

 

อีแย้ม :  พอแล้วอีนอยด์ กูไม่ว่างแล้ว เชิญมึงกลับออกไปได้แล้ว ไว้วันหลังค่อยมาสัมภาษณ์กูใหม่ก็แล้วกัน

 

ถาปะนอยด์ :  ค่ะๆ หนูกราบลาคุณยาย ขอบคุณคุณยายนะคะที่ให้หนูสัมภาษณ์