นับจากวินาทีที่ เดอะ บีทเทิลส์ กลายเป็นคนดังระดับโลกไปแล้ว
ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปด้วย
เรื่องราวของบีทเทิลส์ในทุกแง่มุมนั้นกลายเป็นอาหารอันโอชะสำหรับผู้คนที่ทั้งรักและเกลียดพวกเขาไปพร้อมๆ
กัน แต่คนเราลงว่ามันจะดังซะอย่าง เอาอะไรมาฉุดมารั้งไว้ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว
ยิ่งประกอบกับการที่สมาชิกของวงนี้สามารถแต่งเพลงเองได้ เรียบเรียงเสียงประสานเอง
และเขียนเนื้อร้องได้อย่างแคล่วคล่องราวกับเสกเพลงเพราะๆ ออกมาได้ง่ายๆ
เข้าไปด้วยแล้ว
ผลงานแต่ละชิ้นของพวกเขาจึงกลายเป็นที่ต้องตาต้องใจของตลาดเพลงแทบทั้งหมด
อย่างไรก็ตามมีเพลงจำนวนไม่น้อยที่แม้พวกเขาจะแต่งกันขึ้นมาเอง
รวมไปถึงลองนำไปอัดเสียงเพื่อตัดเป็นซิงเกิลตามสมัยนิยมในขณะนั้น แต่จนแล้วจนรอด
พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าเพลงบางเพลงในมือของพวกเขาอยู่ในข่าย “ไม่เข้าท่า” หรือ
“เข็นไม่ขึ้น” ก็มี
จึงไม่ต้องแปลกใจที่เพลงจำนวนหนึ่งของบีทเทิลส์กลับไม่ได้รับการนำไปทำเป็นซิงเกิลขาย
หากแต่เอาไปให้นักร้องคนอื่นนำไปร้องแทน แต่ผลที่ได้ก็คือ...บางเพลงนั้นดังระเบิดเถิดเทิงและก็มีบางเพลงที่ย่ำแย่ขุนไม่ขึ้นเหมือนกัน
บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า บีทเทิลส์เองนั้นก็ไม่ใช่เทวดา และบางเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมาก็เข้าข่าย
“มุกแป้ก” หรือ “ไม่เวิร์ค” ได้เหมือนกัน ไม่ต่างจากศิลปินคนอื่นๆ
แต่กระนั้นก็ตาม....เพลงส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นติดอยู่ในกลุ่ม
“ขายได้” และหลายเพลงกลายเป็นเพลง “อมตะ” ตราบจนถึงทุกวันนี้ ถูกนำไปร้องไป cover มากมาย
เรียกได้ว่าสี่เต่าทองนั้น “ทำเพลงขึ้น” จริงๆ น่าจะเหมาะกว่า
ความเก่งกาจของ เดอะ บีทเทิลส์
นั้นส่งผลให้พวกเขาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1964
นั้นมีผลงานเพลงเด่นๆ หลายเพลง
วงดนตรีหนุ่มๆจากลิเวอร์พูลกลุ่มนี้สามารถพาตัวเองขึ้นไปสู่อันดับ 1 ใน 5 ของชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 (Billboard’s
Hot 100) ซึ่งถือเป็นสถิติที่แสนจะงดงามมากสำหรับวงดนตรีที่เพิ่งจะออกซิงเกิลมาได้ไม่ถึง
3 ปี , ถัดมาในปี ค.ศ. 1965 ต้องถือเป็น
“ปีทอง” สุดๆ สำหรับพวกเขา เป็นปีที่ เดอะ บีทเทิลส์
ได้สร้างผลงานเพลงที่ถือเป็นอมตะ เป็นเอกลักษณ์พิเศษขึ้นมาได้หลายเพลง
และแต่ละเพลงนั้นก็สะท้อนความเป็นตัวตนของสมาชิกในวงได้ไม่ใช่น้อย
ตัวอย่างเช่นเพลง “Yesterday” ซึ่งสะท้อนความเป็นตัวตนของพอล
แม็คคาร์ทนีย์ได้ดีเยี่ยม และเพลง “Help!”
ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ รวมไปถึง “Ticket to Ride” ก็สร้างความประทับใจให้กับแฟนเพลงได้อย่างน่าทึ่ง ปี 1965 จึงเป็นปีที่คนอังกฤษโดยทั่วไป
รู้สึกภาคภูมิใจกับวงป็อปร็อกอังกฤษวงนี้มาก แทบจะเรียกได้ว่า เดอะ บีทเทิลส์
เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของคนอังกฤษในอีกรูปแบบหนึ่ง (ทั้งๆ ที่จอห์น เลนนอน และพอล
แม็คคาร์ทนีย์ มีเชื้อสายมาจากชาวไอริชเต็มตัว ไม่ใช่บริทิชแท้)
ที่สามารถสร้างโลกให้คลั่งไคล้อังกฤษได้ในรูปแบบที่แปลกแยกออกไป ช่วงเวลานั้น
โลกทั้งโลก หายใจเข้าออกมีเพียง เดอะ บีทเทิลส์มากกว่าวงดนตรีใดๆ เท่านั้นเอง !
ความนิยมชมชื่นในสี่เต่าทองนั้นทำให้พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 พระราชทานตำแหน่ง
MBE หรือ Member of the Order of the British Empire ให้กับสมาชิกวงสี่เต่าทองทั้งสี่คน นำความปลาบปลื้มมาสู่พวกเขาทุกคน
รวมถึงแฟนๆ เพลงทั่วโลกอีกด้วย ทุกคนต่างลงความเห็นกันว่า
สี่เต่าทองสมควรได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่อีกราว 3 ปีให้หลัง จอห์น เลนนอน
ซึ่งเป็นสมาชิกและหัวหน้าของวงได้
“คืนตำแหน่ง MBE” ที่เขาได้รับมาจากควีนอลิซาเบธ คืนไป
(จอห์นให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการ “ต่อต้าน”
การที่อังกฤษยื่นมือเข้าไปแทรกแซงสงครามกลางเมืองของไนจีเรีย (ไนจีเรีย-ไบอัฟรา)
นอกจากนั้นยังมุ่งที่จะต่อต้านสงครามเวียดนามที่อเมริกากำลังลุยเข้าไปถล่มอย่างรุนแรงอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย)
แม้กระแสคลั่งไคล้ เดอะ
บีทเทิลส์และผลงานเพลงของพวกเขาจะสยบโลกไว้ได้ในด้านดีมากมายเพียงใดก็ตาม
แต่กระแสบางอย่างที่คืบคลานมาเป็นเงา “ด้านมืด” ของเดอะ บีทเทิลส์
ก็คอยเล่นงานพวกเขาอย่างไม่ลดละเช่นกัน
และบีทเทิลส์ก็ไม่ใช่วงดนตรีวงเดียวที่ประสบกับด้านมืดอันน่าสะพรึงกลัวนั้น
ที่จริงแล้วเพื่อนพ้องนักดนตรีร่วมสมัยต่างๆ ต่างก็เจอภัยด้านมืดกันอย่างงอมแงมด้วยเช่นกัน
ภัย “ด้านมืด” ที่ว่านั้นก็คือ...ยาเสพติดและอาการติดยาอย่างหนัก
เวลานั้นเป็นที่รู้กันว่าเป็นยุคที่มีการต่อต้านสงครามกันอย่างรุนแรง
และเป็นยุคที่ฮิปปี้หรือบุปผาชนกำลังมีอิทธิพล เป็นกระแสใหม่ที่ขจรขจายไปทั่วโลก
การเสพยา คู่กับการไว้ผมยาว แฟชั่นกางเกงยีนส์ขาบาน
พวกเขามีแนวความคิดเดียวกันคือเป็นขบถ
ต่อต้านทุกอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าจะมาระรานความสงบสุขของโลก จวบจนกระทั่ง
การเสาะหา แสวงหาความสุขของชีวิตด้วยการค้นหาแนวทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น
การใข้ยาเสพติด (
LSD ไปจนกระทั่ง โคเคน หรือเฮโรอีน) หรือการตั้งลัทธิ นิกายประหลาดๆ
ล้วนแล้วแต่เป็นกระแสความคิดของคนหนุ่มสาวในยุคนั้น
วงดนตรีจำนวนมากก็หันมาใช้ยาเสพติดกันอย่างงอมแงม
บีทเทิลส์เองก็ไม่อาจฝืนกระแสนั้น รวมไปถึงการอยากลองค้นหารูปแบบชีวิตหรือรูปแบบของเพลงตามความคิดของสมาชิกบางคน
ทำให้พวกเขาอยากลองสิ่งท้าทายนั้นด้วย
จอห์น เลนนอน และจอร์จ แฮริสัน คือสมาชิกของวง 2 คนแรกที่ได้ลองเสพ
LSD ในปี ค.ศ. 1965
และต่อมาอีก 1 ปีให้หลัง พอล แม็คคาร์ทนีย์ ก็หันมาลองลิ้มชิมรสของ LSD ดูบ้าง อันว่า LSD ก็คือ “ยากล่อมประสาท”
ชนิดรุนแรงชนิดหนึ่ง และก็อย่างที่บอก นั่นก็คือ
มันเป็นที่แพร่หลายกันในหมู่นักดนตรีหรือศิลปินร่วมสมัย
ที่อยากได้ไอเดียในการเขียนเพลงหรืออยากลืมเรื่องราวที่ทำให้พวกเขาเศร้าใจไปชั่วขณะได้
แต่ในขณะเดียวกัน LSD ก็เป็นตัวทำลายชื่อเสียง
ทำลายชีวิตของใครต่อใครได้เท่าๆ กับพลานุภาพของมันที่สามารถสร้างภาพหลอนขึ้นมาได้ในสมอง
ตราบเท่าที่ฤทธิ์ของยายังมีอิทธิพลอยู่ในหมู่นักดนตรีเหล่านั้น ข่าวเรื่องการติด LSD
นั้นสั่นคลอนภาพลักษณ์ของสี่เต่าทองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แฟนเพลงบางคนเริ่มมอง
เดอะ บีทเทิลส์ ด้วยสายตาที่แตกต่างจากในอดีต
แต่ก็มีแฟนเพลงไม่น้อยที่ไม่แคร์เรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ เพราะจะว่าไปแล้ว
เจ้า LSD ก็เป็นสิ่งที่วัยรุ่นและนักดนตรีระดับโลกหลายวงเสพมันพอๆ
กับการหันไปหากัญชา เหล้าแห้ง หรืออะไรต่อมิอะไร ที่เข้าข่ายยาเสพติดอื่นๆ
พวกเขารู้สึกว่าข่าวแบบนี้เป็นเพียงข่าวที่คล้ายคลึงกับที่ได้รับมาจากวงดนตรีโดยทั่วไป
ในขณะที่แฟนเพลงกลุ่มที่คลั่งไคล้เดอะ บีทเทิลส์จริงๆ จังๆ
ก็ยังคงมองที่เรื่อง “ผลงานเพลง” และ “ความสามารถ” ของพวกเขาเป็นหลัก โดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องส่วนตัว สรุปก็คือ ...บีทเทิลส์ยังคงขายได้ต่อๆ ไป
ทั้งๆ ที่มีเรื่องมัวหมองที่เกี่ยวกับ LSD มาเป็นตัวกัดเซาะทำลายวง ข่าวเรื่อง LSD ว่ารุนแรงระดับหนึ่งแล้ว
แต่ต่อมาไม่กี่เดือนให้หลัง ...เกิดเหตการณ์ที่จอห์น เลนนอน
ไปพูดพาดพิงถึงความนิยมชมชอบในตัวเขาที่เกี่ยวพันกับเอกลัษณ์ของศาสนาคริสต์ค่อนข้างแรงเข้าไปอีก ทำให้คริสต์ศาสนิกชนจำนวนมากหลายส่วนของโลกแอนตี้เดอะ
บีทเทิลส์ อย่างทันควัน เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน
ทำให้จอห์น
เลนนอนต้องออกมาแถลงการณ์และเอ่ยปากอธิบายในเรื่องที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดกันไปได้นั้น
แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องกล่าวคำขอโทษออกมา เพื่อไม่ให้เกิดความกินแหนงแคลงใจในหมู่ศาสนิกชนที่นับถือคริสต์
ต่อมาทางสำนักวาติกัน ก็ยอมรับการขออภัยจากจอห์น เลนนอน
และนั่นก็ทำให้โลกสงบขึ้นทันที
บีทเทิลส์กลายเป็นกลุ่มนักดนตรีที่กล้ายอมรับผิดและผู้คนก็พร้อมจะให้อภัย
ซึ่งทำให้กระแสคลั่งไคล้เดอะ บีทเทิลส์ยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ใครที่เคยเห็นคลิปการต้อนรับของแฟนเพลงทั่วโลกที่มีต่อวงเดอะ
บีทเทิลส์ในหนังอัตชีวประวัติของพวกเขา คงพอจะนึกออกและชินตา ที่จะเห็นเหล่าสาวกแฟนเพลง
“รุมทึ้ง” พวกเขา จนไม่อาจจะควบคุมอะไรได้เลย
เวลาที่พวกเขาไปแสดงดนตรีหรือโชว์ตัวตามสถานที่ต่างๆ ในหลากหลายวาระ ปรากฏการณ์คลั่งวงบีทเทิลส์นั้นรุนแรงขนาดหนัก
บางครั้งถึงขั้นแสดงคอนเสิร์ตไม่ได้เลย เพราะเสียงโห่ร้อง กรี๊ดกร๊าดแสดงความยินดีจากแฟนเพลงนั้นกลบเสียงเพลงและเสียงร้องไปหมดจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง
บางช่วงเวลา พวกเขาก็ถึงขนาดหยุดการเดินสายแสดงดนตรี และเอาเวลาไปพัฒนาเทคนิคการเล่นดนตรี
หรือพัฒนางานเพลงใหม่ๆ แทน
การแสดงคอนเสิร์ตของวงเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1966 นั้นต้องถือว่าเป็นการแสดงคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการครั้งท้ายๆ
ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา แฟนเพลงที่อัดแน่นในสวนสาธารณะแคนเดิลสติกพาร์ค
ในซานฟรานซิสโกนั้น ทุกคนต่างชื่นชมกับศิลปินยอดเยี่ยมวงนี้กันอย่างจุใจ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีก 4 ปีให้หลังจากนั้น
จึงจะมีการแสดงดนตรีแบบนี้อีกครั้ง
ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่ยาวนานมาก เหตุผลหลักๆ ก็อย่างที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว
ว่าเป็นเพราะบีทเทิลส์ต้องการทุ่มเทเวลาและการเอาใจใส่กับการสร้างเทคนิคล้ำยุคในห้องอัดเสียง
ตามที่พวกเขาสุมหัวกันทดลองอยู่หลายแบบ และอีกประการหนึ่งก็คือกระแสความคลั่งไคล้ของแฟนเพลงนั้นมีมากจนก่อให้เกิดการจราจลอย่างบ่อยครั้ง
เสมอๆ
สำหรับการแสดงครั้งสุดท้ายจริงๆ ขอเน้นว่าครั้งสุดท้ายที่มีสมาชิกอยู่ครบทั้งสี่คนจริงๆ
ก็คือ การแสดงสดเมื่อเดือนมกราคม 1969 บนหลังคาของอาคารแอ็บบี้สตูดิโอในกรุงลอนดอน
ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาอัดเสียงกันเป็นครั้งแรกและตลอดช่วงชีวิตของ เดอะ
บีทเทิลส์ นั่นเอง การแสดงสดในชุด “Get
Back” หรือ “รวมตัวกัน” นั้นทางสมาชิกวงได้ร่วมกันเล่นเพลงในอัลบั้ม Let
It Be ซึงภาพยนตร์เรื่อง Let It Be ถูกนำออกฉายในปีนั้นและทำรายได้อย่างถล่มทลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น